ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

GhostWriter ภาคเวนิสพิศวาส ตอนที่ 2 - ฝันหวานที่ Verona (Copy kankan)

เริ่มโดย Pem Samsan, กุมภาพันธ์ 06, 2017, 06:28:09 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

Pem Samsan

GhostWriter ภาคเวนิสพิศวาส ตอนที่ 2 - ฝันหวานที่ Verona (Copy kankan)

   หลังจากนั้นอีกหลายวันผมโทรไปหาโมที่สำนักพิมพ์ ตอนนั้นเธออยู่ในห้องน้ำ ผมคุยเรื่องงานบังหน้าสักครู่ใหญ่ แล้ววกมาถามเรื่องที่โอ๊คมันตกลงกับผม ห้องน้ำที่สำนักพิมพ์มิดชิดเมื่อปิดประตูแล้วมันกลายเป็นโลกส่วนตัวรับรองไม่มีใครได้ยินเสียงผมกับเธอเด็ดขาด ก็ไม่อยากให้ให้คนอื่นมาได้ยินการพูดคุยของเรานั้นเอง ผมตัดสินใจถามเธอไปตรง ๆ

   "โม..พี่ถามจริง ๆ เถอะ..ที่โอ๊คมันพูดกับพี่นะจริงหรือเปล่า โมต้องการแบบนั้นจริง ๆ เหรอ..?" เธอหัวเราะร่วนมาตามสายแล้วตอบผมเหมือนยั่วเย้าว่า
   "เรื่องไร..พี่กาญจน์...พี่ไปตกลงอันหยังกับพี่โอ๊คเหรอ...?" เสียงน่าหมั่นไส้เหลือเกิน
   "ก็เรื่องที่โมอยาก...อยาก...ลองกับคนอื่นนะ..." โมหัวเราะอิ ๆ แล้วพูดว่า
   "อ๋อเรื่องนั้นเองเหรอ..พี่โอ๊คเล่าให้โมฟังหมดแล้ว พี่กาญจน์เองก็สารภาพแล้วไม่ใช่เหรอ...ว่าอยากเอาโม.." ผมอึ้งกับคำพูดตรง ๆ ของเธอ แล้วพูดต่อไปว่า
   "อีกอย่าง..โม..เอง..ก็..ก็..ก็..อยากเอากับพี่กาญจน์เหมือนกันแหละ อิอิ"
   "เอ่อ..." ผมไปไม่เป็นเลยเมื่อเจอคนจริงอย่างโม
   "พี่กาญจน์อย่าคิดมากซิ..ไม่ใช่เราแอบเป็นชู้กันซักกะหน่อย ผัวอนุญาต..ไม่ดีเหรอจ๊ะ..?" โมหัวเราะเสียงใสจนผมเดาความคิดของเธอไม่ออก

   "ดิ...ดี...ไม่ฝืนใจโมนะ ? พี่เป็นห่วง..." ผมว่าผมเองนะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
   "ไหน ๆ เราก็เปิดเผยกันขนาดนี้แล้ว โมอยากถามพี่กาญจน์ตรง ๆ ว่าจะเอายังไง..?"
   "อึม...พี่ไม่ค่อยสบายใจ..ยังไงก็ไม่รู้...โอ๊คมันรักโม แล้วโมก็รักมัน พี่ไม่อยากเป็นคนที่สามนะ..."

   โมหัวเราะร่วนมาตามสายแล้วพูดว่า
   "แหม..พี่กาญจน์ก้อ...ทั้งพี่โอ๊คและโมไม่คิดอะไรแบบนั้นซักหน่อย...โมถามพี่กาญจน์ตรง ๆ ว่าอยากนอนกับโมหรือเปล่าละ ? ถ้าพี่กาญจน์บอกว่าไม่อยากนอนกับโม.. เรื่องนี้ก็จบไป.. เราก็เหมือนกันเดิม..โมขอให้พี่กาญจน์พูดจากใจจริง ๆ เลย บอกกับโมชัด ๆ มาเลยว่าพี่กาญจน์อยากนอนกับโมหรือเปล่า ?"
หางเสียงตอนท้ายคาดคั้นต้องการคำตอบ ถ้าอยู่ต่อหน้าผม..เธอคงจ้องตาผมเขม็งไม่ยอมให้เก็บซ่อนอะไร ๆ เอาไว้อีก

   "พี่...พี่..." ผมปั่นป่วนเต็มที
   "คือ..ถ้าพี่กาญจน์ไม่ต้องการ..เราก็หยุดแค่นี้ได้นี่จ๊ะ..ไม่มีอะไรซักหน่อย...." หางเสียงเธอพูดด้วยสำเนียงแผ่วอ่อนหวาน
   "ไม่ใช่...พี่...พี่..โอ๊ย...คือ...พี่เองก็อยากนอนกับโมเหมือนกัน...อยากตั้งแต่แรกเห็นแล้ว...." ผมสารภาพความรู้สึกอัดอั้นภายในออกไปตามความจริง
   "เห็นไหมละ..ไม่มีอะไรนี่...อยากนอนกับโม ส่วนโมเอง..ก็..ก็..อิอิ..อยากนอนกับพี่กาญจน์เหมือนกันแหละ..อิอิ." พูดจบเธอหัวเราะเสียงใสออกมา

   "พี่ไม่ค่อยสบายใจนะโม.."
   "แหมพี่กาญจน์...เราได้รับคอนุญาตนะ...ยังไม่สบายใจอีกเหรอ.. ยุคนี้มันยุคไหนกันแล้ว ความต้อการเราตรงกัน ไม่ใช่สวิงกิ้งหมู่นะ แล้วก็ไม่ใช่แลกคู่ หรือเป็นชู้แอบลักลอบเอากันนะ นี่ผัวออกใบอนุญาตแล้วประทับตราพิเศษให้พี่กาญจน์ น่า...พี่กาญจน์สบายใจเถอะคะ โมเองยังไม่คิดอะไรมากเลย อื้อ..กะว่าจะปล้ำให้ร้องจ๊ากกกเชียว....ไม่รู้ด้วยนะ" เธอพูดเสียงใสแบบเห็นเป็นเรื่องสนุก ๆ

   "โมไม่คิดอะไรเลยหรือไง ?"
   "ตอนแรกคิดมากไม่กล้มาบอกใคร..แต่พอถูกพี่โอ๊คถามเรื่องพี่กาญจน์บ่อย ๆ โมก็เลยสารภาพความจริง...พี่โอ๊คเองอีกเป็นคะยั้นคะยอ อยากให้โมลองนอนกับพี่กาญจน์ แหม..ผู้หญิงก็คนเหมือนกันนะ..อิอิ"
   "ก็โมไปต่อว่าโอ๊คนี่นาว่ามันนอนกับผู้หญิงตั้งหลายคน"
   "ก็ไม่จริงเหรอ โมนอนได้แค่คนเดียว แต่พี่โอ๊คนอนได้หลายคน เอาเปรียบกันนี่นา..."

   "ผู้ชายกับผู้หญิงมันไม่เหมือนกันนะโม..."
   "สมัยก่อนใช่..แต่สมัยนี้สิทธิเท่าเทียมกันแล้ว ผู้ชายทำได้ผู้หญิงก็ทำได้ เพียงแต่ว่าต้องเลือกให้ดี ๆ เท่านั้น" เธอหัวเราะเสียงหวาน
   "อึม..ได้พูดเปิดใจกับโมแล้วสบายใจจัง ตกลงโมจะไปเวนิสกับพี่แน่เหรอ...?"
   "แน่นอน..โมว่า..มันคงเป็นเวนิสพิศวาสบาดใจแน่ ๆ ...อิอิ.. แอบเอาใจตามไปตั้งแต่คราวก่อนทีนึงแล้ว..."
   "พูดเข้าไปนั่น..." แล้วผมก็หัวเราะชอบใจ

   "ถามจริง..พี่กาญจน์ชอบโมตรงไหน ?"
   "ชอบที่โมขาว หุ่นดี..แล้ว..แล้ว..." ผมหยุดไปนิดนึง เธอรีบถามสวนมาทันที
   "แล้วอะไรอีกละ..บอกมาให้หมดเลย..อยากฟังพี่กาญจน์บอก...อยากรู้ว่าแอบชอบโมตรงไหน ?"
   "หน้าอกใหญ่ สะโพกผายกลม ตั้งแต่ตอนแรกที่เห็น แต่ตอนหลังชอบนิสัยมากกว่า.."
   "บอกพี่กาญจน์ตามตรงก็ได้นะ นมโมใหญ่จริง..ไม่ใหญ่แค่นมอย่างเดียวนะ..อิอิ..." เธอหัวเราะยั่วเย้ามาตามสาย

   "พี่เองก็อยากพิสูจน์เหมือนกันว่าใหญ่จริงตามราคาคุยหรือเปล่า ?" ผมยังไม่ทันจะอ้าปากหัวเราะเธอสวนมาในทันทีว่า
   "จริง...เจ้าของการันตีว่าใหญ่จริง...แล้วพี่กาญจน์จะต้องชมว่า...โม..แหม..เด็ด..จริง ๆ"
   "พี่ชักกลัวแล้วซิ...กลัวตกม้าตาย..."
   "ไม่หรอก..โมไม่ใจร้ายผลักให้พี่กาญจน์ตกม้าหรอก..อิอิ"  พูดจบแล้วหัวเราะร่วน จากนั้นเธอกดตัดสายทันที...ปล่อยให้ผมครางเฮ้อ..น้ำลายเหนียวคนเดียว อึ้ง..ชักไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองขึ้นมาแล้วซิ

   ผมกดโทรศัพท์เรียกเธอไปอีกหลายหน แต่โมไม่รับสาย แล้วพาลปิดเครื่องไปเฉย ๆ

   *******

   ตกลงโปรแกรมการไปเวนิสของผมไม่โดดเดี่ยวเดียวดายเหมือนครั้งก่อน ๆ ทำให้ผมจินตนาการเตลิดเปิดเปิงไปถึงความสุขต่าง ๆ นา ๆ ในการพักผ่อนครั้งนี้ของผม

   เรานั่งการบินไทยจากสุวรรณภูมิตอนสองยามเศษ  ไฟล์ทนี้เป็นการบินตรงระหว่างกรุงเทพ กับ มิลาน ใช้เวลาประมาณสิบชั่วโมงเศษ ผมให้โมนั่งริมหน้าต่าง เพื่อเธอจะได้ดูกรุงเทพยามดึกจากมุมสูงเวลาเครื่องบินทะยานขึ้น ไม่นานมีการแนะนำเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย แล้วประกาศให้ทุกคนรัดเข็มขัด

   เครื่องบินค่อย ๆ เคลื่อนที่จากงวงไปยังลานบิน ไม่กี่นาทีเครื่องบินก็ทะยานขึ้นจากประเทศไทย โมเบิกมือเบาเป็นการอำลากรุงเทพ แม้จะเป็นเวลาดึกแต่เมื่อมองลงไปก็เห็นรถราวิ่งกันขวักไขว่
   "พี่กาญจน์...เหมือนเป็นดงหิ่งห้อยเกาะต้นลำพูเลย..." เธอชี้ให้ผมดูไฟดวงเล็กดวงน้อยที่เห็นจากความสูง ไฟถนน รถรา และบ้านเรือนเป็นสีเหลืองส้มจุดเล็กจุดน้อย

   ผมหันมองใบหน้าด้านข้างของโมยามที่เธอก้มลงมองออกไปนอกหน้าต่าง โมแม้จะไม่ใช่สาวรุ่นขบเผาะแต่ใบหน้าเธอขาวเกลี้ยงเกลาปราศจากไฝฝ้าใด ๆ โมแต่งหน้าน้อยมาก ขนตายาวงอน หน้าผากโหนกหนุน มีปอยผมดำสลวยปิดหน้าผากเมื่อมองจากด้านหน้า แต่เมื่อเห็นจากด้านข้างเห็นชัดทั้งความโหนกและกว้าง
จมูกโด่งเป็นสันสวยได้รูป ผมเคยถามไอ้โอ๊คว่าโมไปเสริมจมูกมาหรือเปล่า ?

   โอ๊คบอกผมว่าจมูกของโมเป็นของจริง เธอไม่ชอบพวกศัลยกรรมธรรมชาติให้มาแค่ไหนก็แค่นั้น ริมฝีปากอิ่มเคลือบด้วยลิปสติกสีบานเย็นบาง ๆ เป็นมันดูเซ็กซี่เร้าใจ คางเรียวมนรับใบหน้ารูปไข่ ส่วนลำคอระหงส่วนใหญ่ซ่อนอยู่ในเสื้อยีนส์รัดรูปปกใหญ่

   "พี่กาญจน์คิดอะไร..เหม่อเชียว..." เธอหันมามองผมตอนไหนก็ไม่ทราบ
   "เอ่อ...พี่...." การอึกอักของผมทำให้โมหัวเราะ ตาโตหน้าเปล่งปลั่ง
   "คิดอกุศลใช่ปล่าว...?"

   ผมส่ายหน้าแต่ไม่กล้าสู้สายตาเธอ
   "ไม่ต้องเขินหรอก...คิดได้นี่นา อิอิ...บอกหน่อยได้ปล่าวคิดไร...?"
   "ก็..ก็..กำลังชมโฉมโมอยู่นั่นแหละ..."
   "ชมไง...?"
   "ก็ไม่เคยเห็นใกล้ ๆ แบบนี้ พี่ว่าโม..มองจากด้านช้างนี่...หน้าผากโมโหนกน่าดู..."
   "อ้าว..ก่อนนี้พี่กาญจน์ไม่เคยเห็นหน้าฝากโมชัด ๆ เหรอ...?" ผมส่ายหน้าแล้วพูดว่า
   "เจอกันทีไรเจ้าปอยผมกระจุกนี้ปิดไปเกือบหมด เลยไม่สังเกต" ผมชี้ไปที่ปอยผมของเธอ โมเอามือเสยผมที่ปรกหน้าฝากขึ้นแล้วพูดว่า
   "ดูซิ..โหนกจริงหรือปลอม...?"

   ผมเห็นหน้าผากของเธอแล้วทำให้ผมอดคิดเลยเถิดไปถึงไหน ๆ ไม่ได้ แล้วเธอคงรู้ทันผมนั่นแหละ
   "คิดแล้วใช่ปล่าว...?" ผมพยักหน้ารับมองตาเธอแป้ว
   "โมไม่ใช่สาว..เข้าใจพี่กาญจน์น่า...คิดอยากพิสูจน์ละซิ อิอิ..ว่า...ว่า..."  โมหยุดนิดนึงหันไปมองนอกหน้าต่างที่มืดสนิทเมื่อเครื่องบินขึ้นมาเหนือเมฆกลุ่มใหญ่
   "ว้า...ไม่เห็นเมืองไทยแล้วนะนี่...."

   "โม..ไม่พูดต่อละว่า..ว่าอะไร...?" ผมเอียงตัวไปกระซิบที่ข้างหูเธอเบา ๆ โมหน้าแดงเรื่อกว่าเก่า ทำคอข่น หันหน้ายื่นปากมาที่ข้างหูผมแล้วกระซิบกระซาบว่า
   "ตรงนั้นโม..จะกระโหนกเหมือนหน้าฝากหรือเปล่านะ ? ใช่ม๊ะ ๆ...?" พูดแล้วโมก็หัวเราะกิ๊ก ๆ คำพูดแทงใจดำของเธอทำเอาผมขนลุกซู่ ชักอยากให้ถึงเวนิสเร็ว ๆ เหลือเกิน

   เธอเห็นผมเงียบไปเหมือนโดนนะจังงังก็ยิ่งหัวเราะชอบใจใหญ่
   "เอ่อ..ใช่..พี่...พี่ชักอยากพิสูจน์ว่าจริงตามตำราหรือเปล่า ?" ผมพูดประชดเธอไปตรง ๆ
   "โอ๋..อย่างอน..นา..นะ..." เธอลอยหน้าลอยตายั่วเย้าผม
   "โมนี่น่ารักมากเลยนะ...."
   "แอ๊ะ ๆ จริงหรือเปล่า ? หรือพูดเล่น..."
   "จริง..นี่พูดจากใจจริงเลย..."
   "ขอบคุณข้าาาาา...." เธอแกล้งลากเสียงยาวพร้อมกับหอมแก้มผมฟอด พอเธอถอยหน้าออกไป ผมจึงตามไปหอมแก้มเธอฟอด
   "แหม..ไม่ยอมเสียเปรียบเลยนะ..." โมพูดนัยน์ตาแพราวพราวเป็นประกายเจิดจ้า

   จากนั้น...เราก็คุยกระหนุงกระหนิงกันไปตลอดจนเธอง่วงแล้วแกล้งเอียงมาพิงไหล่ผมหลับ ผมจึงค่อย ๆ ยกมือขึ้นมาโอบไหล่ของเธอเอาไว้ หัวใจผมเต้นแรงด้วยความรู้สึกเหมือนได้รับของขวัญชิ้นที่ถูกใจที่สุดในชีวิต โมพิงไหล่ผมหลับ ส่วนผมก็อึงอลไปกับฝันหวาน ไฟถูกหรี่ลงไปนานกว่าผมจะหลับ

   สนามบินของเมืองมิลานชื่อว่า Malpasa เราผ่านกระบวนการเข้าเมืองไม่นานนักก็มายืนอยู่หน้าสนามบิน ผมพาเธอเดินเพื่อไปขึ้นรถบัสไปยังสถานีรถไฟกลาง
   
   (สนามบิน Malpasa เมืองมิลาน อิตาลี)   

   ค่อนข้างสะดวกเราต่างมีกะเป๋าเดินทางใบใหญ่กับเป้อีกคนละใบ เดินไปได้หน่อยเดียวก็เจอป้าย BUS ชัดเจน รถทุกคันจะมีป้ายเขียนเอาไว้ว่า Malpansa Express
   ผมเดินเข้าไปซื้อตั๋วกับพนักงานที่ขายอยู่แถว ๆ นั้น จ่ายเงินแล้วขนกระเป๋าไปไว้ใต้ท้องรถ (บริการตัวเอง)  ขึ้นไปนั่งรอบนรถบัสประมาณเกือบสิบนาทีเห็นจะได้รถถึงได้ออก เรานั่งมองข้างทางกันเงียบ ๆ พักใหญ่รถก็มาจอดเทียบชานข้างสถานีรถไฟใจกลางเมือง ผมกับโมลงจากรถมารับกระเป๋า แล้วชวนกันเดินตามฟุตปาธไปเรื่อย ๆ ไม่กี่นาทีก็ถึงสถานี

   สถานีรถไฟที่มิลานสูงตระหง่านสร้างในสไตล์เก่าแก่คลาสสิค ผมพาเธอเดินไปยังตู้คล้าย ๆ กับตู้ ATM บ้านเราแต่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย มีป้ายเขียนเอาไว้ว่า Fast Ticket วางแผนเอาไว้ว่าเมืองแรกที่ผมจะพาโมไปคือเมือง Verona ผมจึงกดปุ่มเลือกชื่อเมือง จากนั้นก็กดตามขั้นตอนไปเรื่อย ๆ แล้วหยอดเหรียญค่ารถ
ท้ายที่สุดตู้ก็จะออกตั๋วให้เรามาหนึ่งใบ

   "พี่กาญจน์ทำไมมีตั๋วออกมาใบเดียวละ...?"
   "ที่นี่จะกี่คนมันก็ออกให้แค่ใบเดียวเท่านั้น แต่โมดูนี่ซิ..." ผมชี้ให้เธอดูข้อมูลที่พิมพ์ในตั๋ว ซึ่งจะบอกว่ารถวิ่งจากไหนไปไหน วันที่เท่าไหร่  เป็นตั๋วโดยสารชั้นไหน สุดท้ายก็จะบอกเบอร์โบกี้ เบอร์ที่นั่งเรียงกันมาสองเลขโมดูแล้วพยักหน้าหงึก ๆ แล้วพูดว่า
   "นึกว่า..จะแอบหนีไปคนเดียว...." แล้วหัวเราะชอบใจ
   "เดี่ยวทิ้งเสียจริง ๆ หรอก..." ผมหัวเราะบ้าง

   "อย่าได้คิดเชียวนะ...จะทิ้งเมียได้ลงคอเลยเหรอ...?" คำพูดของโมทำเอาผมถึงกับอึ้งพูดไม่ออก
   "อื้อออ...ย..า..ง..ไม่..ใช่..เมีย...ว่าที..เมีย..ต่างหาก...อิอิ"  พูดแล้วชม้อยตามองผมจนผมไม่กล้าสบตา 

   แหม..ลูกเล่นลูกนี้ของเธอเข้าเป้าอย่างจัง ทำเอาใจหวิวรัวขึ้นมาจนชักไม่อยากแวะเที่ยวที่ไหน

   "พี่กาญจน์เค้าต้องให้ลงไป Validate ตั๋วก่อนนี่นา..นี่เค้าบอกเอาไว้ชัดเจน..." โมชี้ให้ผมดูป้ายที่ประกาศขั้นตอนการใช้ตั๋วเอาไว้ข้างตู้
   "อื้อ..เกือบลืม..ตู้สีเหลืองที่อยู่ตรงเสานะ โมเอาตั๋วไปเสียบได้เลยจ้า..." โมรับตั๋วไปจากผมเดินไปเพียงชั่วครู่ก็กลับมา ส่งตั๋วให้ผมดูว่าเครื่องมันพิมพ์วันเวลาลงบนหน้าตั๋วเรียบร้อยแล้ว เราช่วยกันลากกระเป๋าไปยังชานชาลา ไปนั่งรอตรงตำแหน่งตู้โดยสารที่ระบุบนตั๋ว

   พอดีผมนึกถึงภาพ The Kiss ที่วาดโดยสุดยอดฝีมือศิลปินชาวอิตาลีขึ้นมาได้ ตัวเองผมเคยไปดูและลุ่มหลงกับภาพนี้มาก จึงอยากพาโมไปดู โมเองก็เป็นคนชอบศิลปะ โดยมีสาเหตุสำคัญที่ว่าหนุ่มจูบสาวในภาพจูบกันสุดแสนจะวาบหวามดูดดื่มรัญจวนใจ
   ...............
   
   "โมเคยดูภาพ The Kiss หรือเปล่าละ ?" ผมเปรยกับเธอเบา ๆ โมรีบหันขวับมาหาผมทันที
   "ใช่ The Kiss ของ Hayez หรือปล่าวพี่กาญจน์ ? " ผมพยักหน้า
   "เรามีเวลาพอหรือเปล่าละนี่ ?"
   "มี..กว่าเราจะขึ้นรถไฟก็อีกเกือบสองชั่วโมง แกลเลอรีที่ว่าอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟนี่หรอก
นั่งรถไฟใต้ดินฝั่งตรงข้ามนี่ไปไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงแล้วละ..."

   "โม..อยากดูพี่กาญจน์ โมเคยเห็นแต่ในหนังสือ...ไปนะพี่กาญจน์นะ...." เสียงอ้อนของโมช่างอ่อนหวานเสียเหลือเกิน
   "ไปซิ..เดี่ยวเราไปฝากกระเป๋าตรงห้องด้านขวานั่นก่อน แล้วเดินมุดลงใต้ดินไปขึ้นรถไฟฟ้าฝั่งตรงข้าม" ผมบอกเธอพร้อมจัดแจงลากกระเป๋าไปยังห้องที่ว่าทันที

   "ดี..ดีจังเลย..." โมกระโดดโลดเต้นนำหน้า ผมจัดการฝากกระเป๋าแล้วจ่ายเงินค่าฝาก พร้อมกับรับตั๋วใส่กระเป๋าเรียบร้อย

   จูงมือโมเดินฝ่าฝูงคนที่เดินสวนมายังสถานีรถไฟฟ้า ไม่นานก็มาถึงตู้ขายตั๋วรถไฟฟ้าใต้ดิน ผมจัดการซื้อตั๋ว พาโมขึ้นรถ แล้วมองความร่าเริงน่ารักของเธอ สร้างความคึกคักกระชุ่มชวยให้กับผมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

   รถไฟฟ้ามาถึงสถานี Lanza เราลงจากรถ เดินไปตามทางขึ้นจากใต้ดิน จากนั้นเดินไปตามทางเท้า อากาศไม่ร้อนเลย ไม่ทันเหนื่อยก็ถึงแกลเลอรี ผมรีบจูงมือโมเดินตรงไปยังห้องที่แสดงภาพ The Kiss ทันที
   (สถานี Lanza)
   

   ภาพหนุ่มจูบสาวที่แสนจะวาบหวาม ผมยืนมองภาพดังกล่าวอย่างตื่นตาตื่นใจเหมือนเคยเห็นครั้งแรก
แม้ตัวผมเองจะเคยมายืนอยู่ตรงนี้ไม่ต่ำกว่าสามครั้งแล้วก็ตาม
   (The Kiss ภาพมีมนต์ขลัง)
   

   โมเองยืนตะลึงตาโตมองภาพขนาดใหญ่ตรงหน้า เธอยืนนิ่งเหมือนเหมือนรูปปั้น ผมแอบมองแววตาดูดดื่มกับผลงานศิลป์ขั้นสุดยอดจนลืมเนื้อลืมตัว ผมมองโมกับภาพ The Kiss สลับกันไปมา ...มันเย้ายวนใจเหลือเกิน ผมอยากประคองใบหน้าโมขึ้น แล้วก้มลงบรรจงจูบให้ดูดดื่มเหมือนภาพ

   ผมมอง The Kiss กับโมสลับไปมาอยู่พักใหญ่ แล้วสวรรค์หรืออะไรไม่รู้ห้ผมตัดสินใจเดินตรงไปหาเธอ ผมยื่นมือไปประคองใบหน้าให้เงยขึ้นแล้วประกบลงจูบริมปากอิ่มทันที

   ตอนนั้นผมไม่สนใจและไม่แคร์ว่ารอบข้างจะมีคนไทยอยู่บ้างหรือเปล่า จูบนั้นเป็นจูบที่ผมลืมโลก ลืมวันเวลา ลืมสถานที่ และเหตุการณ์ใด ๆ ทั้งหมด ต่อให้ผมต้องถูกจับหลังจากจูบโมผมก็ยอม ยังไงผมต้องจูบเธอให้ได้ โมสนองจูบตอบผมอย่างดูดดื่มและกระหายไม่แพ้กัน เธอเงยหน้ามือเกาะไหล่ผมเอาไว้ บดริมฝีปากกันอย่างใจปรารถนา

   เราทั้งสองมาสะดุ้งตื่นขึ้นจากมนต์ของ The Kiss เพราะมีเสียงปรบมือดังขึ้น มันอายเหมือนกัน..แต่พอหันไปด้านข้างเราก็มีหนุ่มสาวอีกสองคู่ที่ต้องมนต์ขลังของ The Kiss เหมือนเรา ผมกับโมเขินมากเลย..ทำอะไรไม่ถูกจึงโค้งให้กับผู้ที่ปรบมืออย่างงดงาม โมหน้าแดงปลั่งยิ่งทำให้ดูแล้วน่ารักอย่างที่สุด
เรายืนนิ่งมองภาพนั้นอยู่อีกนานทีเดียว

   วันนั้นโชคดีที่คนค่อนข้างน้อย ครู่ใหญ่คนอื่น ๆ ต่างเดินไปดูงานชิ้นอื่น ผมประคองใบหน้าโมขึ้นมาจูบอย่างดูดดื่มอีกครั้ง คราวนี้นานกว่าคราวแรกเพราะไม่มีเสียงปรบมือมารบกวนเราอีก

   ผมถอนริมฝีปากออกเพราะโมดันใบหน้าผมให้เงยขึ้น แล้วพูดเสียงหอบ ๆ ว่า
   "เดี่ยว..โม..ก็ลงไปกองตรงนี้หรอก...จูบซะเกือบจะ..ขาดใจ..."
   "The Kiss นี่มันมีมนต์จริง ๆ นะโม..."

   เธอหันมายิ้มให้ผมหน้าแดงปลั่งแล้วพยักหน้า
   "พอเห็นภาพแล้วอยากจูบโมใช่ไหมละ ?" ผมพยักหน้าสารภาพ
   "ตอนนั้นแม้ตายก็ยอม..ต้องจูบโมให้ได้..." เธอหัวเราะร่วนแล้วชม้ายสายตามองพร้อมพูดว่า
   "สวยและมีมนต์ขลังจริง ๆ พี่กาญจน์ว่าไม่ละ ?"
   ผมพยักหน้ารับก็จริงอย่างเธอว่า The Kiss ยิ่งมองยิ่งประทับใจและดูดดื่ม

   จากนั้นเราเดินไปดูภาพอื่น ๆ อีกเกือบชั่วโมง
   "กลับไปสถานีรถไฟกันเถอะ..."

   โมจูงมือผมเดินออกจากแกลเลอรี่ตามเส้นทางขามา ไม่นานเรามาอยู่ที่สถานีรถไฟ ยังเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมง เราจึงเดินไปหาโต๊ะนั่งแล้วสั่งกาแฟมาดื่มกันคนละแก้ว

   ไม่รู้ผมเพ้อไปหรือเปล่า..ผมว่าโมดูสดใสกว่าเมื่อกี้อีกเยอะเลย ผมจึงเฝ้าวนเวียนมองเธอไปก็ยิ้มไปจนเธอเขิน
   "โมมีอะไรประหลาดเหรอ ? พี่กาญจน์ถึงได้มองจัง..."
   "พี่ว่าโมน่ารักมาก ๆ แก้มถูกอากาศหนาว ๆ แดงเป็นตำลึงเชียว..."
   "ไม่ใช่อากาศหนาวมั่งพี่กาญจน์ โมว่าเพราะ The Kiss ของพี่นั่นแหละ..."
   ผมแกล้งหันไปมองทางเดินที่มีหนุ่มสาวเดินตระกองกอดกันผ่านไป

   "พี่กาญจน์เรานั่งรถไฟไปลงที่ Venezia ห่างจากเวนิสอีกไกลไหมนี่..."
   "พี่จะพาโมไปเมือง Verona ก่อนไป Venezia"
   "ไม่ไกลใช่ไหม..."
   "รถไฟของที่นี่เขาวิ่งเร็วกว่าบ้านเราเยอะนะโม..." เธอหันมาพยักหน้า แล้วก้มลงจิบกาแฟของเธอต่อไป

   เราละเลียดกาแฟอยู่นาน ไม่ใช่เพราะมันอร่อย แต่เพราะมันแพงแก้วละหลายร้อยบาท จนกาแฟหมด พักใหญ่มีเสียงประกาศ Venezia ดังก้องออกมา ผมจึงหันมาทางโม
   "โมไปเอากระเป๋าเถอะ เกือบได้เวลาขึ้นรถแล้วละ..."


   โมหยิบกระเป้ของเธอขึ้นมาสะพาย แล้วเดินเกาะแขนผมเดินไปยังที่ฝากกระเป๋า ผมล้วงหยิบเอาใบฝากส่งให้เจ้าหน้าที่ ไม่นานเราก็ลากกระเป๋าไปยังตำแหน่งตู้รถไฟที่ระบุ รถไฟเข้ามาจอดพักใหญ่แล้ว ผมจัดการยกกระเป๋าทั้งสองใบขึ้นไปบนรถไฟโดยมีโมช่วยดัน
   รถไฟของอิตาลาเขาจะมีช่องให้ให้เราเก็บกระเป๋าเป็นระเบียบเรียบร้อย เราเดินไปตามทางที่นั่งของเราทั้งสองอยู่ไม่ห่างจากที่วางกระเป๋ามากนัก ผมให้โมนั่งใกล้หน้าต่างเพื่อเธอจะได้ชมวิวได้ถนัด
   
   (รถไฟไป Venezia)

   มีเสียงประกาศเป็นภาษาอิตาลี จากนั้นไม่ถึงสามนาทีรถไฟก็เริ่มขยับ โมร้อง 'ว้าว...' เบา ๆ อย่างดีใจ
ผมอดขำอาการน่ารักเหมือนเด็ก ๆ ของเธอไม่ได้
   "เราจะถึงเวนิสแล้วพี่กาญจน์..."
   "อึม....ไม่ช่าย ๆ เราแค่ใกล้เข้าไปเท่านั้นโม" โมเห็นนิ้วชี้ผมส่ายไปส่ายมาแล้วหัวเราะ

   จากนั้นเธอก็หันหน้าไปมองทิวทัศน์และตึกเก่าเป็นระยะที่รถไฟวิ่งผ่าน ผมปล่อยให้เธอได้ดื่มดำกับธรรมชาติที่งดงามคลาสสิคแตกต่างจากบ้านเรามากมาย โดยเฉพาะช่วงนี้อากาศไม่ถึงกับหนาวมาก ผมว่าแค่เราใส่เสื้อหนาขึ้นหน่อยก็สบายแล้ว อากาศแบบนี้เหมาะสำหรับเที่ยวครับ เราจะไม่ค่อยเหนื่อยและหิวน้ำ

   โมชี้ชวนให้ผมดูอาคารเก่า ๆ สองข้างทางที่ถูกรักษาเอาไว้ให้ลูกหลานอย่างดี
   
   ความทันสมัยที่สอดรับกับความเก่า ลงตัวจริง ๆ อิตาลีรักษาสิ่งเหล่านี้เอาไว้ได้อย่างดีที่สุด

   อิตาลีเป็นประกาศที่มีอารยธรรมเก่าแก่มาแต่โบราณกาลนับพัน ๆ ปี เป็นประเทศเดียวที่มีมรดกโลกมากถึงสี่สิบเอ็ดรายการ แต่ละปีมีคนเข้าไปเยี่ยมชมศิลปวัฒนธรรม รวมกันแล้วมากกว่าพลเมืองทั้งประเทศ

   ผมกับโมชี้ชวนกันชมโน่นดูนี่จนเพลิน มีเสียงประกาศที่ประมาณว่ารถใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว
ที่นี่เขาจะประกาศก่อนถึงห้านาที และอีกครั้งเมื่อรถไฟไปถึงเป้าหมาย ผมกับโมเตรียมสะพายเป้และกระเป๋า แล้วมายืนรออยู่ที่หน้าประตูโบกี้
   
   (สถานีรถไฟ Verona)

   เมืองเวโรน่า (Verona) มีสถานีรถไฟเล็ก ๆ แต่ไม่มีรถไฟฟ้าทั้งเมืองมีแต่รถเมล์ ผมพาโมแวะก่อนไปเวนิสเพราะว่าอยากพาเธอไปดูบ้านของจูเลียต จูเลียตที่ว่าก็คือจูเลียตของนายโรมีโอนั่นแหละ บ้านของเธออยู่ที่เมืองนี้ครับ

   เราจะไปพักที่โรงแรมที่มีชื่อว่า Il Sogno Di Giulietta ที่แปลว่า 'Juliet's Dream' คงไม่ใช่ฝันของจูเลียตคนเดียว ฝันนั้นต้องเป็นฝันของโรมีโอด้วย และสำคัญที่สุดฝันนั้นคงรวมกันแล้วเป็นฝันของผมกับโมแน่นอน
   
   
   
   (ภาพจากระเบียบโรงแรม)

   ตัวโรงแรมเป็นอาคารเก่าแก่มีอายุนับพันปี อยู่ตรงข้ามลานบ้านของจูเลียต ประตูโรงแรมเปิดสู่ลานสวน และตรงลานสวนนั่นแหละที่จะมีผู้คนพากันมายืนถ่ายรูปกับระเบียงบ้านของจูเลียต ผู้คนขวักไขว่ชี้มือชี้ไม้ไปยังระเบียงบ้านแล้วถ่ายรูปกันเป็นที่สนุกสนาน

   พอเดินเข้าห้องเท่านั้นโมก็ร้อง 'โอ้โฮ..' ออกมาอย่างตื่นเต้น ห้องพักที่นี่ไม่ใหญ่นัก แต่มีความคลาสสิค เตียงนอนมีเสาสี่เสามีผ้าม่านขึงสามด้านแล้วก็เพดาน ดูแล้วเหมือนกับนอนบนเตียงในพระราชวังยังไงยังงั้น
ด้านหน้ามีระเบียงหินให้โผล่ออกไปชมวิวข้างนอกได้ มองจากระเบียงจะเห็นอาคารเก่าแก่ตลอดความยาวของถนนที่ชื่อแคปเปลโล

   โมโผล่หน้าออกไปมองแล้วหันมาโผเข้ากอดผมไว้แน่น "พี่กาญจน์เลือกห้องเก่งจังเลย เหมือนในฝันสมกับชื่อโรงแรมเลยเน๊อะ..."
   "ที่นี่อาหารอร่อยด้วยนะโม เดี่ยวเขาจะเอารายการมาให้เราเลือก โมอยากกินอะไรก็ให้ติ๊กเลือกในรายการจะกี่อย่างก็ได้ เสร็จแล้วไปแขวนไว้ตรงประตู ตอนเช้าทางโรงแรมจะเอาอาหารที่เราเลือกมาส่งให้ถึงห้องนอนเลย..."

   "ขอโมไปดูห้องน้ำหน่อยนะ..."
   เธอปล่อยตัวผมแล้วเดินโหย่ง ๆ ไปเปิดประตูห้องน้ำ ผมได้ยินเสียงร้องอย่างตื่นเต้นอีกครั้ง โมตื่นเต้นกับห้องน้ำที่สะอาดสะอ้าน สุขภัณฑ์ทุกชิ้นดูดีน่าใช้ ส่วนอุปกรณ์อาบน้ำทั้งหมดเป็นของ ยี่ห้อ 'Salvatore Ferragamo' ที่เป็นยี่ห้อกระเป๋าและรองเท้าดังที่คนไทยรู้จัก  แต่ไม่ค่อยมีคนรู้ว่าความจริงเขาทำสบู่ แชมพูและครีมนวดด้วย  ส่วนสนนราคานั้นไม่ต้องพูดถึง ผมไปเจอที่อิมโพเรียม ของเค้าดีใช้แล้วหอมไปทั้งตัว...
   
   (เตียงนอน)

   โมเดินสำรวจทุกรายละเอียดด้วยความตื่นเต้นและชื่นชม
   "พี่กาญจน์ห้องกะทัดรัดคลาสสิคจัง..คืนนี้คงนอนฝันหวานนะพี่กาญจน์นะ..." ผมหัวเราะเบา ๆ
   "พี่ว่าโมจะได้นอนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?" เธอหันมามองสายตากรุ้มกริ่มของผมแล้วหน้าแดง
   "ถนอม ๆ โมบ้างน่า...นะ..." แล้วเธอก็หัวเราะอิ ๆ พลอยทำให้ผมอดขำไปกับเธอไม่ได้

   "พี่กาญจน์..เราไปเดินชมเมืองดีปล่าว...เย็น ๆ ค่อยกลับมาอาบน้ำกินข้าว..."
   "จ๊ะ..อยู่ในห้องกลัวพี่ปล้ำเหรอ ?"
   "ก็ถูกปล้ำจูบไปหลายทีแล้วนะ...ไปเถอะ..." เธอรีบเข้ามากึ่งจูงกึ่งลากมือผมมาที่ประตู

   "อึม..งั้น...พี่พาโมไปดูสะพาน Ponte di Pieta ดีกว่า..."
   "สะพาน..มีอะไรดี..."
   "มันสะพานหินที่มีอายุกว่าสองพันปีนะ เราไปกันดีกว่า..อยู่ทางตอนเหนือของเมืองนี่เอง..."
   
   (สะพาน Ponte di Pieta)

   เดินไปแบบไม่รีบเร่ง รอบ ๆ บริเวณนั้นมีร้านอาหารมากมาย ข้างบนสะพานมีร้านขายของที่ระลึก
ที่ขาดไม่ได้ก็คือพวกหน้ากาก สวยและแพงมากไปจนถึงสวยมาก ๆ ก็แพงมากที่สุด

   "พี่กาญจน์หน้ากากสวยจังเลย..." โมพูดพร้อมกับยกหน้ากากอันหนึ่งให้ผมดูแล้วหัวเราะร่า ผมจึงถามโมว่า
   "โมอยากได้สักอันไหมละ ?" โมถอดหน้ากากออกมาดูราคาแล้วส่ายหน้า
   "เอาไว้ไปดูที่เวนิสดีกว่า...อาจสวยกว่านี้พี่กาญจน์" พูดจบเธอวางหน้ากากลง
   
   (หน้ากาก-เวนิส)

   โมสอดมือเธอมาคล้องแขนพาเดินไปเรื่อย ๆ  จนมาถึงถนน Mazzini เขาห้ามรถผ่าน พื้นถนนเป็นหินเก่าอัด
   สักครู่ก็พบกับร้านขายช็อกโกแลตแท่ง หรือช็อกโกแลตรูปหัวใจสอดไส้คาราเมลหรือครีม ผมว่ากินตอนอากาศเย็น ๆ หน่อยแบบนี้มันซู่ซ่าดี ผมให้โมเลือกใช่ถุงมาหลายแบบทีเดียว
   "อา..หย่อย..จัง..พี่กาญจน์"
   ผมพยักหน้ารับทราบแล้วหยิบจากในถุงส่งไปให้เธออีกแท่ง แต่โมส่ายหน้า

   เดินจูงมือกันไปเรื่อย ๆ จนมาถึงจัตุรัส Bra อาคารบ้านเรือนเก่าสวยมาก
   สร้างจากหินหรือปูนแล้วทาสีส้มออกเหลือง หน้าต่างแคบแต่สูงมีบานเกล็ดไม้ทาสีเขียวมะกอก
แต่ละห้องจะมีระเบียงหินเล็ก ๆ ยื่นออกมาด้วย

   เดินมาอีกหน่อยเราก็มาถึงประตูทางออกเมืองแล้วเลี้ยวขวาก็เจอร้านขายไอศกรีม ชื่อร้าน 'Gelateria Savola' ขายไอศกรีมอร่อยหลายชนิด แต่ที่ขึ้นชื่อก็คือไอศกรีมสี่เหลี่ยมแล้วมีแผ่นบิสกิตปิดไว้ทั้งสองข้าง
   มาถึงแล้วก็อดซื้อไม่ได้ผมกับโมเดินกินไอศกรีมไปจนถึงริมแม่น้ำที่มีป้อมยักษ์ขวางอยู่ ผมชี้ให้โมดูปราสาทเก่าที่ชื่อ Castle vecchio และแปลว่า 'ปราสาทเก่า'
   

   
   (ปราสาท Vecchio)

   ด้วยความตื่นเต้นโมรีบเดินลิ่วนำหน้าผมลอดประตูทางเข้าปราสาทไปแล้ว ทำให้ผมต้องรีบจ้ำตามเธอไปทันทีที่ปราสาทมีสิ่งที่คนรักศิลปะอยากจะดูอยู่สิ่งหนึ่ง คือ รูปปั้น "ม้า" เป็นของเก่าแก่ สถิตอยู่ที่มุมตึก
บนม้ามีคนขี้ม้าชื่อ Cangrande Scala เป็นบรรพบุรุษของตระกูล Scaligeri ที่ต่อสู้จนได้ชัยชนะเหนือเมืองนี้
นอกนั้นก็เป็นป้อมทึมทึกที่มีแต่กำแพงสูงเรียงรายกันไป

   ผมชวนโมเดินออกมาตามลานกว้างแล้วทะลุผ่านสะพาน ตรงสะพานเราหยุดดูกำแพงที่สร้างด้วยอิฐ ปูน และหินก้อนกลม ๆ ดูแล้วแปลกดี เดินต่อมาจนทะลุถึงตรอกแคบ ๆ มีชื่อเสียงเพราะเป็นทางเดินไปสู่สะพาน Ponte Scaligero ตัวสะพานทำด้วยอิฐสีส้ม มีเสารูปทรงแปลก ๆ เป็นระยะ  ในสมัยศตวรรษที่สิบสี่นี่คือสะพานที่ยาวที่สุดในโลก ตามที่ผมเคยอ่านบอกว่าตอนกลางสะพานยาวประมาณสักสี่สิบแปดเมตร อย่าลืมนะครับว่าสะพานนี้สร้างเมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน
   
   (สะพาน Ponte Scaligero)

   "โม..ลองคิดดูซิว่ามันมหัศจรรย์ขนาดไหน เมื่อเจ็ดร้อยปีก่อนคนเราทำได้ถึงขนาดนี้"
   โมพยักหน้าหงึก ๆ มองตัวสะพานอย่างสำรวจตรวจตา สะพานนี้สร้างข้ามแม่น้ำ Adige ตอนกลางคืนจะมีฉายไฟใส่สะพานดูแล้วจะยิ่งดื่มด่ำสวยงาม

   เราเดินออกจากสะพานกลับมาทางเดิมแล้วผมพาเธอไปยังจัตุรัส Erbe พาไปดูน้ำพุ Madonna Verona
   
   (น้ำพุ madonna di verona)

   บรรยากาศเริ่มย่ำค่ำมีการเปิดไฟทำให้โลกในเวโรน่ายิ่งมีมนต์ขลังและแสนจะโรแมนติก ผมชี้ชวนให้โมดูน้ำพุ Madonna Verrona ตรงใจกลางจัตุรัส อีกด้านเป็นตึกทรงสี่เหลี่ยมทำจากหิน ด้านบนตึกมีรูปปั้นเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมากมาย

   จากนั้นผมจูงมือพาเธอเดินเคียงข้างเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ  เราผ่านจากอาคารหลังหนึ่งไปสู่อาคารอีกหลังโดยเส้นทางระหว่างตึกเชื่อมด้วยซุ้มหินโค้งขนาดใหญ่

   ตามตัวตึกมีประติมากรรมประดับ ยิ่งต้องแสงไฟในยามท้องฟ้าเริ่มเป็นสีครามเข้มเกือบดำ แสงสาดส่องตามผนังอาคาร ทำให้เกิดแสงเงาในมุมมองต่าง ๆ ขลังเกินบรรยาย นุ่มนวล อ่อนหวาน เหมือนถูกพ่อมดสะกดให้เข้าสู่ภวังค์แสนหวาน

   เดินกันเรื่อย ๆ จนมาถึงจัตุรัสกลางเมืองอีกแห่ง  ผมชี้ให้เธอดูรูปปั้นของสุดยอดกวีซึ่งผมรู้ว่าเธอรู้จัก
   "โม..จำนายคนนี้ได้หรือเปล่า คนที่โมชอบนะ... ?" โมเงยหน้าขึ้นมองขมวดคิ้วด้วยความพิศวงอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนยิ้มพรายจนตาหยีแล้วตอบผมว่า
   "นายคนนี้ใช่...ดังเต้..ปล่าว พี่กาญจน์ ?" ผมพยักหน้าเพราะเราเคยคุยกันถึงงานของสุดยอดนักกวี นักเขียนท่านนี้มาบ่อยครั้ง

   ดังเต้ (Dante Alihieri) เป็นสุดยอดนักเขียนยุคเก่า  ผลงานที่โด่งดังจนต้องมีการสร้างอนุสาวรีย์ให้เป็นเกียรติในที่หลายแห่ง อย่างในฟลอเรนซ์ เวโรน่า และราเวนนา ผลงานชิ้นนั้นก็คือ Divine Comedy เป็นหนังสือแค่สามเล่ม
   
   เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับนรก โลกมนุษย์ และสวรรค์ โดยดังเต้เป็นตัวเอกที่เดินพลัดหลงผ่านเข้าไปในโลกทั้งสาม ผลงานชิ้นนี้ไม่ใช่จินตนาการ แต่เป็นการรวบรวมความรู้ด้านต่าง ๆ มากมาย โดยได้รวบรวมความรู้ต่าง ๆ ที่มีเข้ากับความรู้ทางศาสนาคริสต์และอิสลามเอาไวอย่างแนบเนียนว่ากันว่าดังเต้ใช้ภาษาที่งดงามมาก ๆ จนได้รับฉายาว่า 'บิดาแห่งภาษาอิตาลียุคใหม่'

   "เสียดายจังนะพี่กาญจน์ที่ยังไม่มีใครอาจหาญแปลเรื่องนี้ออกมาเป็นภาษาไทย"
   "ดังเต้เขียนเป็นบทกวีที่มีความยาวมากถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบรรทัด คนแปลจะต้องเก่งทั้งเรื่องภาษาและกวี จึงหายากและอีกอย่างไม่เคยมีหน่วยงานไหนของรัฐที่สนับสนุนในเรื่องแบบนี้...น่าเสียดายและสงสารคนไทย..." โมหันมามองผมแล้วพยักหน้ารับอย่างเศร้า ๆ

   "ตอนเรียนพี่เคยฟังอาจารย์เล่าให้ฟังว่าเรื่องเริ่มจากดังเต้นอนหลับในป่าแล้วเลี้ยวผิดทาง ดังเต้ได้พบกับกวีเวอร์จิล ซึ่งมานำทางเขาผ่านประตูนรกเข้าไปดูชีวิตหลังความตาย ดังเต้ได้เดินทางไปเห็น Purgatory (ดินแดนสำหรับวิญญาณที่ไม่โดนลงโทษรอการชำระบาปก่อนขึ้นสวรรค์), Inferno (นรก) และ Paradise (สวรรค์) พี่ว่าออกจะคล้าย ๆ กับความเชื่อของคนไทยอยู่บ้างเหมือนกัน..."
   "น่าจะมีคนเก่ง ๆ แปลมาให้อ่านกันนะ..."
   "นั่นซิ.....น่าเสียดายจัง..."

   เราเดินกันไปเงียบ ๆ อยู่ครู่ใหญ่แล้วผมก็บอกเธอว่า
   "โมอยากเห็นบ้านของนายโรมีโอสุดหล่อหรือเปล่าละ ?" โมหันมามองผมตาโตอย่างตื่นเต้นแล้วพูดว่า
   "อยากซิ...พี่กาญจน์...ใช่..ใช่ซิ..เรื่องเกิดขึ้นที่นี่นี้นา...เรานอนตรงข้ามบ้านจูเลียตหวานใจ แหม..ถ้าได้เห็นบ้านพ่อสุดหล่อของโมนะ...ยอดมากเลย...อยู่ตรงไหน..อยู่ไหน ?" โมเขย่าแขนผมจนผมอดหัวเราะกริยาอาการของเธอไม่ได้
   "นั่น..สุดหล่อของจูเลียตเขานะโม..ไม่ใช่สุดหล่อของโมนะ..."
   "แอะ ๆ สุดหล่อของโมเดินอยู่ข้าง ๆ แล้วนี่นา..ลืมตัวไป อิอิ"
   พูดแล้วโมเอียงไหล่มาพิงต้นแขนของผม ก้มลงมองแล้วพูดต่อว่า
   "งั้นไปกัน..ไปดูบ้านสุดหล่อ.."

   ผมพาเธอเดินมุดเข้าไปในตรอกจนไปเจอกับแผ่นอิฐแปลกตาคล้าย ๆ กับราวสะพานเก่า ผมชี้ให้เธอดูบ้านหลังที่อยู่ตรงนั้น โมขยับเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วหันมาหาผมถามว่า
   "เขารู้ได้ยังไงละว่านี่คือบ้านของสุดหล่อโรมีโอ ?"
   "ใครจะไปรู้ละ..เขาว่าหลังนี้...เราก็หลังนี้..ตอนกลางวันคนจะมาดูกันเยอะ เหมือนบ้านจูเลียตที่อยู่ตรงข้ามโรงแรมที่เราพัก" โมพยักหน้าแล้วยิ้มแพรวพราว ดวงตาสุกสว่างเป็นประกาย
   "เค้าจัดแสงเงา..ดูโรแมนติกดีจัง..." โมเปรยขึ้นมาเบา ๆ

   จากนั้นผมจูงมือเธอเดินออกจากซอยบ้านของพ่อโรมีโอมาตามถนน ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดลงมากแล้ว แสงเงาที่ถูกจัดไว้อย่างดียิ่งดูโดดเด่นยิ่งขึ้น อากาศเย็นสบายไม่ถึงกับหนาว ทำให้เดินกันอย่างสบาย ๆ ไม่เหนื่อย ทั้งบริเวณมีแต่อาคารเก่าแก่ รัฐบาลห้ามไม่ให้รถราเข้าในนี้เด็ดขาด

   อีกไม่เกินสิบห้านาทีเราก็เดินกลับมาถึงหน้าโรงแรม ผมกดรหัสผ่านตรงประตูทางเข้าแล้วเดินเข้ามาหยุดที่หน้าบ้านของแม่นางจูเลียตหวานใจพอโรมีโอ เงยหน้าขึ้นดูระเบียงหินเล็กที่ยื่นออกมา ว่ากันว่าเป็นที่เอาไว้ให้จูเลียตออกมาพลอดรักกับสุดหล่อโรมีโอ หันมาจับใบหน้าของโมที่ก้มลงมองป้ายให้เงยหน้าขึ้นมองตรงระเบียบหินดังกล่าว

   "นี่แหละบ้านของแม่นางสุดสวยจูเลียต..."
   "ถ้าโมขึ้นไปโผล่หน้าตรงระเบียบ พี่จะขอเป็นโรมีโอสักวัน แม้จะหล่อสู้ไม่ได้ก็ตาม" โมหันมาหัวเราะร่วนแล้วพูดว่า
   "พี่กาญจน์ดูดี..ภูมิฐาน..." โมนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเธอก็ร้องเพลงออกมา

   .....ฉันและเธอที่จริงเรารักกัน แม้ว่าใจเราเองต่างรู้ดี ว่าความจริงนั้น มันไม่ได้เป็นอย่างฝัน

   ความเป็นจริงที่ใจเราต้องการ คือความจริงที่ใครไม่ต้องการ เขาไม่ยอมรับ และไม่อยากรู้

   มันช่างทรมานเหลือเกิน กับรักที่ต้องปิดบัง ซ่อนความจริง ซ่อนใจ ซ่อนทุกอย่าง อย่างไม่มีจุดหมาย...

...................

   โมหยุดร้องแค่นี้.. ผมไม่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อนจึงถามเธอว่า
   "เพลงอะไรนะโม ฟังแล้วเศร้าจัง..."
   "ก็เพลง...โรมีโอ แอนด์ จูเลียต..ของน้อย วงพรู"
   "โมนี่ก็ร้องเพลงเพราะเหมือนกันนะ..."
   "แหม..ร้องต่อไม่ได้..จำเนื้อได้แค่นี้แหละ..." โมยื่นมือสอดเข้ามาคล้องแขนผมเอาไว้แล้วพูดว่า
   "โรมีโอของจูเลียต..เราไปห้องกันเถิดจ้า ข้าผู้ภักดีจะขอตามท่านโรมีโอไปทุกหนทุกแห่ง ดังทาสผู้สัตย์ซื่อ" ผมอดหัวเราะท่าทางที่เหมือนกับจะเล่นละครเวทีของเธอไม่ได้
   "ไปกับข้าเถิดแม่นางสุดที่รักแห่งข้า..แม่นางผู้ประดุจน้ำทิพย์แห่งจิตวิญญาณ ข้าส่งให้แม่นางได้สัมผัสสวรรค์อันบรรเจิด..." คราวนี้น้องโมหัวเราะจนตัวงอ
   "พี่กาญจน์ก็เอาโมไปด้วย..."

   ผมสะดุดกับคำพูดของเธอเลยก้มลงไปกระซิบที่ริมหู
   "พี่กาญจน์ต้องเอาโมแน่นอน..ปรารถนามานานหลายปีแล้วนิ..." โมหันมาทุบแขนผมสองสามที ไม่กล้าสบตาผมแล้วพูดเสียงแผ่ว ๆ
   "ก็รีบขึ้นไปซิ...ตรงนี้ไม่ได้หรอก..."
   "จูบกันในแกลเลอรี่ยังได้เลย..." ผมกระซิบที่ข้างหูเบา ๆ
   "นั่นเราสองคนตกอยู่ในมนต์ขลังของ The Kiss นี่นา..." โมก้มหน้าซุกลงกับแขน

   ผมยื่นมือไปขยี้ผมเบา ๆ โมเงยหน้าขึ้นมาพิงไหล่ผม
   "ตอนนั้นโม..ลืมตัวไปหมดเลย...พี่กาญจน์ละ..."
   "อื้อ..พี่ว่าเป็นจูบที่ดีที่สุดในชีวิตของพี่เลย...โมว่าไง... ?" โมเงียบไปนานจนผมคิดว่าเธอคงไม่อยากตอบผมแล้ว

   "โม..ไม่เคย เคลิ้มไปกับรสจูบได้ถึงขนาดนี้มาก่อนเลย..พี่กาญจน์" เสียตอบของเธอเบาหวิว แต่ช้าชัดถ้อยชัดคำ ความจริงผมอยากจะถามเธอต่อว่าไม่เคยจูบกับโอ๊คแล้วรู้สึกแบบนั้นมาก่อนเลยหรือ ? แต่เก็บปากเก็บคำไม่ถามแล้วก็ไม่ควรถามเป็นเด็ดขาด

   ผมประคองพาเธอเดินเข้าไปในโรงแรมเจ้าหน้าที่ต้อนรับโค้งให้แล้วกดลิฟต์ให้เราเข้าไป ออกจากลิฟต์เราเดินคลอกันไปตาาทางจนถึงห้องของเราที่อยู่ตรงมุม ผมกดระหัสเปิดประตูให้โมเดินเข้าไปในห้องก่อน เดินตามเข้าไปแล้วหันกลับมาล็อคประตู พอผมหันหน้ากลับมาชนโมที่ยืนรอนิ่งอยู่ด้านหลังผม เธอไม่ได้ขยับไปไหน โมโผกอดผมแน่นแล้วเขย่งขึ้นมาจูบแก้มผมฟอดใหญ่

   ผมทิ้งของที่ถือลงกับพื้นรีบประคองใบหน้าของเธอที่เงยอยู่แล้วเอาไว้ ประกบริมฝีปากอิ่มจูบแบบ The Kiss อีกครั้ง และอีกครั้งจนไม่นับ โมรับการจูบของผมอย่างเต็มใจแล้วโต้กลับมาอย่างรุนแรงเช่นกัน

   เรายืนจูบกันตรงประตูนานจนผมรู้สึกว่าเนื้อตัวของโมสั่นสะท้านด้วยอารมณ์ แต่พอสอดมือจะช้อนร่างของเธอขึ้นมา โมกลับฝืนตัวถอนริมฝีปากออก แล้วกระซิบเสียงสั่นเครือ
   "ขอ..ขอ..โม..อาบ..น้ำ..ก่อน..."
   "อากาศเย็น..ไม่อาบก็ได้..." ผมบอกเธอด้วยความอารมณ์ปั่นป่วนปรารถนาไม่แพ้กัน

   "ข..อ..ขอ..โม..อาบ..ก่อน..นะ..นะ..ค่ะ.."
   "พี่อาบด้วยได้ปล่าว.. ?"
   "ให้โมอาบคนเดียวนะ..นะค่ะ..." โมเว้าวอนผมอีกครั้ง

   ผมถอนหายใจพรือยาวแล้วพยักหน้า พยายามสะกดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอย่างเต็มที่ เธอเขย่งขึ้นมาจูบแก้มผมอีกครั้งเพราะเข้าใจอารมณ์ผมดี
   "อีกนิด..นิดเดียว..อาบน้ำแล้วพี่กาญจน์จะได้หอมชื่นใจด้วย Ferragamo ไงจ๊ะ..."
   "จ๊ะ...พี่ขอให้โมอาบก่อนแล้วพี่ค่อยอาบ..."
   "ขอบคุณคะ..."

   โมเดินไปรูดซิปกระเป๋าหยิบของที่จำเป็นเพื่อเตรียมตัวเข้าห้องน้ำ ผมเดินเข้าไปเปิดไฟจัดการแกะสบู่ออกจากห่อ  ปลดล๊อคยาสระผมกับครีมนวดออก แล้ว้เดินออกมาจากห้องน้ำ

   "เชิญแม่นางจูเลียตหวานใจของโรมีโอ..เข้าไปอาบน้ำเถิด..." โมหัวเราะร่วน ยกมือขึ้นมาลูบแก้มผมแล้วพูดว่า
   "โรมีโอจ๋า..อดใจอีกหน่อยนะที่รัก..."
   "จูเลียต..แม่นางผู้เป็นหวานใจแห่งข้า..ข้าจะเฝ้ารอแม่นางด้วยไฟปรารถนา..." โมพยักหน้าแล้วหัวเราะก่อนรีบเดินไปเข้าห้องน้ำ

   ผมเดินไปที่ริมหน้าต่างเปิดประตูระเบียงหินมองไปยังถนนที่คนยังเดินพลุกพล่าน ตั้งแต่ผมเห็นโมครั้งแรกตอนโอ๊คแนะนำให้รู้จัก ผมฝันกระเจิดกระเจิงถึงเธออยู่บ่อยครั้ง ผมชอบคนขาว มีหน้าอกหน่อย เอวคอด แล้วสะโพกกลมผาย

   ต่อมาพอสนิทกันผมยิ่งแอบชื่นชมในสมองและฝีมือการทำงานของเธอ ยิ่งตอนที่เธออาสาจะเป็นคนพิสูจน์อักษรงานเขียนของผมทั้งหมด ยิ่งทำให้ผมยิ่งใกล้ชิดและแอบชื่นชมเธออย่างลึกซึ้ง

   ในการทำงานไม่ว่าใครต่างผิดพลาดได้เป็นธรรมดา ไม่ว่าจะพยายามยังไงก็แล้วแต่ แต่งานที่ไอ้โอ๊คมันป้อนให้ผม ทำให้ผมไม่สามารถพิถีพิถันกับมันได้มากนัก ก็โมนี่แหละ...ถ้าตรงไหนสงสัยว่าข้อมูลผิดพลาด หรือขาดเหตุขาดผล โมจะโทรมาบอกผม ช่วยวิเคราะห์และในบางครั้งเธอช่วยผมจัดการปรับแก้ใหม่เลยก็มี

   แต่โมกับผมมันเป็นเพียงความปรารถนาที่ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว ไอ้โอ๊คมันหวงโมจะตายไป
ก่อนที่มันจะเปรยเรื่องนี้กับผมมันเคยแหย่ผมมานานแล้ว แต่ผมเองต่างหากที่ระวังตัวแจไม่กล้าที่จะแหยมในเรื่องนี้ ผมรู้ว่ามันรู้ว่าผมแอบชอบโม แต่มันกับผมรู้จักและรู้ใจกันมานาน อีกอย่างตัวผมปฏิบัติตนแบบสมถะ พอเพียง ยิ่งเลิกเหล้า ผมไม่นอกลู่นอกทางแน่นอน

   ผมย้อนนึกถึงเหตุการณ์หลาย ๆ เหตุการณ์ที่ไอ้โอ๊คมันตะล่อมถามเรื่องโมกับผม ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคิดอะไร จะว่ามันเบื่อโมก็ไม่ใช่ มันชอบอ้างว่าโมบ่นกับมันเรื่องมันนอนกับผู้หญิงหลาย แต่เธอไม่มีโอกาส มันอยากให้โอกาสเธอบ้าง แล้วผมเป็นเพื่อนสนิทกับมัน อีกอย่างผมชอบโม และโมเองก็ชอบผมเหมือนกัน  มันไม่คิดว่าผมเป็นชู้กับเมียมัน แต่เป็นการให้โมหาประสบการณ์ใหม่ ๆ

   "พี่กาญจน์โมอาบเสร็จแล้วคะ..." ผมได้ยินเสียงใส ๆ ของโม ทำให้ผมตื่นจากภวังค์ความคิดกลับมาอยู่กับปัจจุบัน โมนุ่งผ้าขนหนูกระโจมอกเดินเข้ามาหาผมที่ยืนอยู่ตรงประตูริมตรงระเบียบหิน
   "หอมจังเลย..." เธอยกแขนเธอขึ้นมาสุดกลิ่น
   "จริงเปล่า...ให้พี่พิสูจน์หน่อย" โมพยักหน้ายิ้ม ๆ แบบรู้ทันพร้อมกับยื่นแขนมาที่จมูกผม
   "พี่พิสูจน์ตรงนี้นะ..."
   ผมพูดพร้อมกับชี้ไปที่ร่องอกอวบล้นของเธอ โมหัวเราะอิ ๆ แล้วถามว่า
   "ทำไมต้องตรงพิสูจน์ตรงนั้นด้วยละพี่กาญจน์..."

   "ตำราเค้าบอกว่า..ร่องอกของผู้หญิงจะหอมที่สุด..." ผมมั่วตำราไปงั้นเอง
   "เหรอ..ตำราบอกเหรอ...งั้นก็ได้..." โมแอ่นอกกลมมาให้ผมก้มลงไปหอมฟอดใหญ่
   "อื้อ..หอมที่สุดเลยโม..." โมหัวเราะชอบใจกับอาการของผม แล้วพูดว่า
   "พี่กาญจน์รีบไปอาบน้ำอุ่นเถอะ..อาบแล้วสบายตัวจัง..ในห้องก็ไม่หนาวเลย"
   "นอนรอพี่นะโม..." ผมกระซิบแผ่ว ๆ ริมหูจนโมจั๊กจี้ขนลุกชูชัน แล้วทำคอย่นเอียงตัวหนี
   "รีบอาบเถอะ...ไป..." เธอยื่นผลักผมออกมา

   ผมเดินไปถึงหน้าประตูห้องแล้วหันมาบอกเธออีกว่า
   "จูเลียตรอโรมีโอก่อนนะ.." โมค้อนผมวงใหญ่แล้วหัวเราะ

   ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก็เสร็จ นุ่งผ้าขนหนูออกจากห้องน้ำ โมนอนหลับตาพริ้มอยู่ใต้ผ้าห่มหนา
   ผมหยิบชุดนอนที่เป็นเสื้อคลุมยาวของออกมาสวมโดยไม่ได้นุ่งกางเกง จากนั้นสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มคลุมหนาข้าง ๆ เธอ โมหันหน้ามาทางผมแต่ไม่ยอมลืมตา

   "ง่วงนอน..หรือโม..." เธอส่ายหน้าแล้วพูดคำสั้น ๆ ว่า
   "เขิน..." ผมเอื้อมมือไปเสยผมที่ปรกหน้าผากเธอขึ้น
   "จะดูหน้าโหนกของโมเหรอจ๊ะ ?"
   "อื้อ...โหนกจริง ๆ ด้วย แล้ว.แล้ว..."
   "แล้วอะไรละ..." โมลืมตาโตขึ้นมองตาผมอย่างรู้ทัน

   "ก็ตำราเค้าว่าไว้..หญิงใดที่หน้าผากโหนกหนุนกว้าง โยนีก็จะอวบใหญ่และโหนกด้วย ไม่รู้จริงหรือเปล่า ?"
   "ไม่จริงมั่ง...??"  พูดแล้วแล้วโมก็หัวเราะหึ ๆ เท่าทันเล่ห์กลของผม ทำเอาผมหัวเราะตามไปเธอด้วย
   "แล้วไม่จริงหรือไงโม ?" ผมกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเครือด้วยอารมณ์
   "โม..กลัวพี่กาญจน์ผิดหวังแล้วละนา..."
   "ผิดหวังก็ไม่เป็นไร สมหวังบ้าง ผิดหวังจะเป็นไรไป..."
   "สมหวังอะไรละ... ?" โมถามเสียงฉงน

   "อ้าว...ก็โมโนตมออก พี่รู้เพราะแอบ ๆ พิสูจน์ขนาดตอนอยู่บนเครื่องบินมาแล้ว..."
   "อ๊ะ ๆ..แอบจับตอนโมหลับเหรอ ?" ผมส่ายหน้าไปมาแล้วบอกว่า
   "ไม่ใช่...พี่ไม่ชอบเอาเปรียบแบบนั้นหรอก..."
   "แล้วรู้ตอนไหน..."
   "ก็ตอนที่โมกอดพี่ไง รู้สึกได้เลยว่าต้องล้นมือพี่แน่นอน..." โมหัวเราะแล้วพูดว่า
   "แนะ ๆ..รู้จริงเซี๊ยะด้วย..."

   "แล้วตรงนั้นไม่โหนกเหรอโม..." ผมแกล้งถามย้ำไปอีก
   "ไม่รู้ซิ...อันนี้พี่กาญจน์ต้องไปปิดไฟก่อน..."
   "ปิดแล้วพี่จะเห็นความโหนกยังไงกันละโม ?" ผมทำหน้าละห้อย
   "ไฟห้องน้ำเปิดทิ้งไว้ไม่ใช่เหรอ..แสงโรแมนติกออก..."
   "อึ่ม..จริง..."

   ผมรีบลุกขึ้นเดินตรงไปปิดสวิทช์ไฟดวงใหญ่กลางห้องปล่อยให้ไฟห้องน้ำเปิดอยู่เหมือนเดิม บรรยากาศในห้องสลัวรางลงแต่ก็เห็นอะไรได้ชัดเจน และยังช่วยให้ห้องนุ่มนวลโรแมนติก ผมรีบเดินไปที่เตียงแล้วสอดตัวลงใต้ผ้าห่มอีกครั้ง
   "พี่กาญจน์...พี่กาญจน์อยากนอนกับโมจริง ๆ เหรอ..." ผมผงกหัวขึ้นมองใบหน้านวลผ่องแล้วตอบว่า
   "จริง..สารภาพเลย..ว่าพี่เก็บโมไปฝันบ่อยมากเลย..."

   "น่าสงสารจัง.." เสียงเธอแผ่ว "ทำไมพี่กาญจน์ไม่หาแฟนสักคน จะได้ไม่ต้องฝันเอา.."
   "พี่เคยบอกโอ๊คว่าเมื่อไหร่มันเบื่อโมให้ยกให้พี่..พี่จอง..." โมมองสบตาผมนิ่งใต้แสงสลัวรางของห้อง

   เธอผงกหัวขึ้นมาจูบริมฝีปากผม ทำให้ผมรีบประคองศีรษะเอาไว้แล้วประกบบดริมฝีปากจูบอย่างดูดดื่ม เป็นจูบที่มากกว่า The Kiss เสียอีก เราแลกลิ้นตวัดรัดพันกันนัว

   พักใหญ่เธอดันหน้าผมขึ้น
   "พี่กาญจน์...."
   "จ๋า..." ผมขานรับอย่างแผ่วหวาน โมเงียบไปอีก ผมจึงถามเธอว่า
   "โม..ตอนอยู่บนเตียงโมชอบพูดตรง ๆ เหรอ..."
   "พี่โอ๊คบอกเหรอ..." ผมพยักหน้า
   "พี่โอ๊คเป็นคนนำโม..ก็เลยติดไปด้วย..พี่กาญจน์ก็ชอบแบบนั้นหรือเปล่าละ..."
   "ดีเหมือนกัน..แต่ไม่ได้พูดกับเคยกับใครเลย.. พี่ว่าผู้ชายเวลาอยู่บนเตียงก็มักจะชอบแบบนี้เป็นส่วนใหญ่แหละจ๊ะ"
   "ตอนแรกโมก็เขินน่าดู แต่พี่โอ๊คชอบ หลัง ๆ โมกับพี่โอ๊คจึงพูดกันแบบนั้นแหละ...พี่โอ๊คเล่าพี่กาญจน์หมดเลยเหรอ..อายจัง..."
   "อายทำไมละ...โอ๊ค..มันฝากโมไว้กับพี่ เลยเล่าอะไร ๆ ให้พี่ได้รับรู้ว่าโมชอบยังไง..."

   "พี่กาญจน์ไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้นิน่า...เอาแบบที่พี่กาญจน์ชอบแล้วถนัดซิ..."
   "ใครบอกพี่อยากแบบนั้นเหมือนกัน ยิ่งกับคนที่ปรารถนายิ่งแล้วใหญ่ ที่ผ่านไม่เคยเจอ....."
   "งั้น..พี่กาญจน์ทำอย่างที่ใจพี่กาญจน์อยากทำได้เลย..."
   "โม...โม..."

   "เรียกทำไมจ๊ะ..." เสียงแผ่วหวาน ยื่นมือมาลูบใบหน้าของผม
   "พี่จะพูดแล้วนะ..."
   "คะ..โมอยากลองฟังพี่กาญจน์พูดมั่ง..พูดเถอะคะ.."
   "โมจ๋า..บอกพี่กาญจน์ได้ไหมว่า..หิ..หี...โมโหนกจริงหรือเปล่า ?" พอสมพูดออกไป โมกลับรั่งท้ายทอยผมลงมาแล้วบดปากจูบ ครู่หนึ่งจึงถอนออกแล้วกระซิบเบา ๆ
   "โมแค่ล้อพี่กาญจน์เล่นนะ...โหนกซิจ๊ะ...พี่กาญจน์ถามบ่อยจัง ติดใจอะไรเหรอ หรือว่าไม่โหนกแล้วไม่มีอารมณ์ ?"
   "มีซิ..พี่มีอารมณ์กับโมมานานแล้ว...แค่ในฝันยังขนาดนั้น...แต่ยังอยากคุยกับโมนะ..."

   "พี่กาญจน์นี่เป็นคนโรแมนติก..นุ่มนวลดีจัง..."
   "โมชอบแบบนุ่มนวลหรือเปล่าละ.. ?"
   "คะ..ค่อย ๆ เร้าอารมณ์ให้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดีจะตายไป แค่นึกก็ดีแล้ว..."
   "พี่ก็ว่างั้นแหละ...ไม่ตอบให้พี่ชื่นใจหน่อยเหรอ.."
   "ตอบไร.... ?"
   "ก็..ก็...หี...โม..โหนกหรือเปล่า ?"
   "ขนาดฝ่ามือกาง.แล้วโหนกด้วย..."

   ผมได้ฟังจากปากของโมถึงกับอดใจไม่ไหวก้มลงบดริมฝีปากจูบแลกลิ้นอีกครั้ง มือของโมโอบรอบคอผมแน่น พอถอนปากออกโมก็พูดเสียงแผ่วเครือทันที
   "แหม..ฟังแค่นี้จูบปากใหญ่เลย.."
   "ฟังแล้วมันได้อารมณ์นี่โม..."
   "โมก็ฟังแล้วมีอารมณ์เหมือนกัน..."

   "พี่จับนมนะ..."
   "อื้อ..."
   ผมสอดมือเข้าที่อกของเธอ โมไม่ได้ใส่บรา ผมลูบนมของเธอนอกชุดนอน
   "ใหญ่กว่าฝ่ามือกางอีก..."
   "พี่กาญจน์ชอบใหญ่ ๆ ไม่ใช่เหรอ ?"
   "จ๊ะ..หัวนมแข็งเชียว.."
   "ก้อ..พี่กาญจน์ทำให้โมปั่นป่วนไปหมดแล้ว..."

   ผมนวดนมให้เธอทั้งสองข้าง คลึงเคล้าแบบเน้น ๆ บ้าง เบา ๆ บ้างสลับกันไปมาจนโมเพลินเชี่ยวละ
มีบางครั้งผมใช้ปลายนิ้วจับหัวนมของบีบเล่นไปมา โมแอ่นอกหราขึ้นมาในบางที่ผมใช้ปลายเล็บของผมเการอบ ๆ ป้านฐานนมของเธอ

   "พี่ถอดชุดนะ.." เธอพยักหน้า... ผมยันตัวขึ้นนั่งแล้วปลดสายที่ผูกตรงไหล่ออก แล้วค่อย ๆ รูดชุดลงมาเรื่อย เต้านมอวบใหญ่แต่กลมตั้งเต้าสวย หัวนมเล็กจิ๋วแข็งชูชัน น่าแปลกที่ป้านฐานนมของโมเป็นป้านวงใหญ่อย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมจ้องเขม็งที่ป้านนมของเธอ จนโมถึงกับกระซิบว่า

   "มีอะไรผิดปกติหรือพี่กาญน์..."
   "ปล่าวจ๊ะ...พี่ชอบป้านนมโมจัง...เนื้อนมก็ขาว..อวบกลมด้วย..." โมเอาฝ่ามือดันด้านข้างทั้งสองเต้าของเธอให้มาเบียดชิดกัน
   "สวยจังโม..นมโมใหญ่แต่ไม่หย่อนคล้อยเหมือนซาลาเปาเลยนะ..."
   "ก็โมบริหารให้อยู่เสมอให้มันกระชับนี่นา..."

   "พี่ถอดมันออกไปหมดเลยนะ..."
   ผมรูดชุดของของเธอลงไปอีก โม้ขยับเอวแอ่นก้นของเธอขึ้นสูงให้ผมรูดชุดนอนออกไปได้สะดวก
ด้านล่างโมใส่กางเกงในสีขาว  ผมรูดชุดนอนออกจากปลายเท้า แล้วขยับมานั่งด้านข้างใกล้อกของเธอ
ยื่นฝ่ามือที่ค่อนข้างสั่นกับความขาวผ่องของเธอลูบไล้เต้านมของเธอเล่นต่อ

   "พี่กาญจน์นอนกับผู้หญิงบ่อยหรือเปล่า ?"
   "ไม่บ่อย..ไหนโมจะพูดกับพี่ตรง ๆ ไง. ?"
   "แหมลืมไป...พี่ไม่ว่าโมหยาบนะ..โมรักษาภาพพจน์กับพี่แทบแย่ หมดกันวันนี้เอง..." พูดแล้วเธอหัวเราะเบา ๆ
   "จะหมดได้ไง..พี่อยากกับโมมานานเต็มที่แล้ว..ภาพของโมไม่เคยจางจากใจพี่เลย..."
   "อ้าว..ยังไม่ตอบโมเลยว่าพี่กาญจน์มีอะไรกับผู้หญิงบ่อยหรือเปล่า ?"
   "นาน ๆ..พี่ถึงเรียกเด็กทางโทรศัพท์ทีหนึ่ง...เป็นเดือนสองเดือนครั้ง..."
   "อดอยากแย่เลยซิ...อิอิ" พูดแล้วเธอมองผมอย่างเห็นใจ

   "อื้อ..ทำไงได้ละ เจอคนที่คิดว่าใช่ แต่ก็ดันมีเจ้าของแล้ว..."
   "ก็คนที่พี่กาญจน์ว่าใช่ตอนนี้เธออยู่ตรงนี้กับพี่กาญจน์แล้วไง...อยาก..เ..ย็...ด...ค้ามากเลยไม่ใช่เหรอ ? โมรู้นะ..." คำพูดตรง ๆ แม้จะชัดคำนักก็ตาม แต่พอออกจากปากโม..หัวใจผมชาวูบจนสั่นรัว
   "อื้อ..พี่อยากใช่..พี่อยาก..เย็ด..โมตั้งแต่แรกเห็นแล้วจริง ๆ นะโม..."
   "โมเชื่อ...โมรู้มานานแล้วละ..แววตาพี่มันฟ้อง..."
   "จึงได้แต่เก็บเอาไปฝันเอาไง...นอนกับคนอื่นก็คิดว่าเค้าเป็นโมคนนี้..." ผมสารภาพให้เธอฟังอย่างหมดเปลือก
   "วันนี้...พี่กาญจน์ก็ได้เ.ย็.ดโมคนนั้นสมใจแล้วนี่คะ..ได้เย็ดโมจริง ๆ แล้วไง ไม่ต้องเย็ดแต่ในฝันนะพี่กาญจน์..."
   "พี่ฝันว่าถ้าพี่ได้เย็ดโมบ่อย ๆ มาก แต่เพียงในฝันนะ...มา..ให้พี่จูบโมไปทั้งตัวนะ อยากจะจูบ ๆ ๆ"

   โมดึงใบหน้าผมลงไปหาแล้วกระซิบเสียงกระเส่าว่า
   "ตอนนี้พี่กาญจน์มีโอกาสแล้ว..โมก็อยู่ตรงนี้กับพี่แล้ว...ไม่อยากเห็นเหรอเห็นว่าโมใหญ่แล้วโหนกจริงหรือเปล่า ?"
   "ยะ...ยะ...อยากซิ..."
   ผมเงอะงะขึ้นมาทันที..จนโมจับมือผมไปวางที่เนินโหนกของเธอ มือผมสัมผัสกับกางเกงในที่มีรอยเยิ้มฉ่ำด้วยหล่อลื่นของเธอ

   "โม..หีโมแฉะแล้วนะ..."
   "ก็พี่กาญจน์กระตุ้นอารมณ์โมเหลือเกินนิจ๊ะ..พี่กาญจน์จ่า..หีโมก็เยิ้มซิ..."
   "งั้นพี่ถอดกางเกงในโมออกนะ..อยากพิสูจน์หีโมก่อน...ว่าตรงตามตำราบอกหรือเปล่า ?"
   ผมใช้สามนิ้วเกี่ยวขอบกางเกงในแล้วรูดลงไป โมยกสะโพกลอยขึ้นสูงเพื่อให้ผมได้รูดกางเกงได้ง่ายขึ้น ตอนที่โมแอ่นสะโพกขึ้นทำเนินอวบของเธอลอยเด่นโชว์ความโคกโหนกเป็นหลังเต่านาตัวใหญ่

   ผมพยายามหักใจยังไม่มองรีบรูดกางเกงออกจากปลายเท้าโดยเร็วแล้ววางไว้ที่ริมเตียง
ค่อย ๆ หันมามองเป้าหมายที่ผมแอบจินตนาการมาหลายปี แสงสลัวจากห้องน้ำสว่างมากพอที่จะให้ผมได้ชมเนินเต่าโคกอวบตัวนั้นชัดเจน
   จากปลายสามเหลี่ยมตรงซอกขาแล้วแผ่ขยายกว้างขึ้นไปป็นสองกลีบใหญ่เบียดชิดเต็มหน้าขาจนฐานสามเหลี่ยมที่หัวเหน่า แม้โมจะยังหนีบขาทั้งสองของเธอเอาไว้ก็ตาม แต่กลับดันกลีบแคมให้นูนจนล้น
ใยไหมดำเส้นละเอียดหยิกแผ่แนบกลีบเนื้ออวบนวลลามขึ้นไปยังเหนือรอยผ่าไม่ดกจนรก ร่องกลางเป็นแนวลากยาวเป็นเส้นตรงหลบหายไปที่ซอกขา

   ผมว่าโมคงเฝ้าจังสังเกตอากัปกริยาของผมที่มัวตะลึงชมเนินหีใหญ่ของเธอ
   "ตรง..ตรง..ตามตำราของพี่กาญจน์ไหมค่ะ.. ?"
   "ตะ..ตะ..ต ร ง เ ป๋ ง โ ม..." ผมติดอ่างน้ำลายเหนียวหนึบจนกลืนลำบาก
   "โมจ๋า..หีโมสวยเหลือเกิน สวยทั้งนมทั้งหีเลยจ๊ะ..."
   ผมพร่ำออกมาเหหมือนคนละเมอ แล้วยื่นมือไปจับขาเธออ้าออก โมสนองตอบโดยดี

   แคมอวบเป่งทั้งสองกลีบถูกรั้งออกจนอ้าโชว์ร่องกลางเป็นมันชัดเจน ผมขยับไปใกล้ ๆ ก้มลงมองแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มอย่างพอใจ เงยขึ้นมองหน้าโมที่ตอนนี้เธอขยับเอาศอกยันหมอนยกตัวขึ้นมามองผม
"ของ ๆ โม..สวย..มาก จริง ๆ เลย..."
   "ของคนอื่นสวยสู้โมไม่ได้เลยเหรอ... ?"
   "จ๊ะ..บางคนที่เจอใหญ่แต่แบน บางคนก็เล็กเรียวไม่สวย แต่บางคนใหญ่โหนกแต่แคมในปลิ้น แต่ของโมเพอเฟ็กซ์จริง ๆ"
   "แสดงว่าพี่ชอบหีโมละซิ..อิอิ"
   "อื้อ...ถูกใจที่สุด...แค่เห็นนี่ก็ใจเต้นตูมตามเลย โมจ๋า..." ผมสารภาพอย่างหมดใจ

   "โมไม่เคยมีอารมณ์แปลก ๆ แบบนี้มาก่อนเลยพี่กาญจน์..."
   "แปลกไงละ...?"
   "แค่คุยกันยังทำให้มีอารมณ์ขนาดนี้ พี่กาญจน์ยังไม่ได้ทำอะไรเลย โมก็ใจสั่นไปหมด..."
   "เหรอ..อาจจะผิดกลิ่นก็ได้...ใชปล่าว ?"
   "ไม่รู้ซิ...กับพี่โอ๊คโมก็ไม่จี๊ดถึงขนาดนี้เลย..."

   "งั้น..มาให้พี่เล้าโลมให้มั่งดีกว่า..."
   "โมไม่ใช่สาวที่ไม่เคยนะ..ตอนแรกก็หวั่น ๆ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว.."
   ผมเงียบเพราะมัวแต่สนใจเนินหีอวบใหญ่ของเธอ โมจึงพูดเสียกระเส่าว่า
   "ไม่เอาของพี่กาญจน์มาให้โมได้รู้จักมั่งเลยเหรอ...พี่กาญจน์พิสูจน์ความใหญ่ของโมแล้ว..."

   ผมรีบสลัดชุดนอนที่เป็นเสื้อคลุมออกทันที แล้วขยับสะโพกไปหาโมโชว์ท่อนเนื้อผงาดตั้งฉากเก้าสิบองศา พอโมเห็นเข้าเท่านั้นเธอก็หัวเราะร่ามองผมตาเป็นประกายแล้วพูดว่า
   "ดูซิ..ควยพี่กาญจน์ชี้โด่ชี้เด่เลย..."
   "มันอยากมุดเข้าไปในรูหีของโมนะซิ..." ผมบอกเธอตรง ๆ
   "เดี่ยว..ขอให้โมทำความรู้จักของพี่ก่อนได้ป๊ะ...?"

   เธอพูดพร้อมกับยื่นนิ้วมาเขี่ยตรงหัวถอกเบา ๆ ปลายเล็บสกิตถูกเนื้ออ่อนทำให้ผมเสียววาบจนต้องเขม่วก้นยิก โมเงยหน้ามองผม หัวเราะแล้วพูดว่า
   "เสียวซิ....เดี่ยวโมจะทำให้พี่กาญจน์เสียวมากกว่านี้อีก..."
   "เอาเลย..เต็มที่เลยโม..."

   พอผมพูดจบโมดันตัวเธอลุกขึ้นนั่งก้มลงจุ๊บตรงหัวถอกผมหนึ่งครั้งเป็นการทักทาย ผมมองการกระทำของเธอแล้วอดดีใจที่ได้มีโอกาสเย็ดกับเธอไม่ได้ สาวที่มีประสบการณ์และเปิดใจแบบโมนี่มันเร้าใจเกินบรรยายจริง ๆ โมเป็นฝ่ายรุกผมก่อนจากการจุ๊บครั้งแรก เธอเริ่มใช้ลิ้นออกมาเลียเหมือนเลียไอศกรีม

   "อร่อยมากไหมโม...?" เธอคายหัวถอกผมแล้วเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาเยิ้มฉ่ำ
   "อึม..อร่อยกว่ากินไอศกรีมอีกพี่กาญจน์...นอนให้โมทำให้เต็มที่ไปเลยดีกว่า"
   "ต้องให้พี่จูบโคกหีโมด้วยนะ..ทำคนเดียวพี่ไม่ยอมเด็ดขาด" โมเงยหน้าขึ้นมายิ้มหวาน
   "โมก็อยากให้พี่กาญจน์จูบจนใจสั่นไปหมดแล้ว พี่กาญจน์นอนหงายลงซิค่ะ..."

   ผมรีบนอนหงายลงตามที่เธอต้องการอย่างว่าง่าย โมขยับตัวหันหัวไปทางปลายเท้าแล้วยกขาขึ้นคร่อมอกผมทันที กลีบแคมอวบเต่งแลบจากง่ามก้นงามละลานตาลอยอยู่ตรงหน้า แคนและเนินขาวเนียนตัดกับไหมดำเส้นละเอียดเกลี่ยบาง ๆ

   แม้โมจะอ้าขาออกเพื่อคร่อมตัวผม แต่พูทั้งสองไม่ได้แตกอ้าออกไปมากมาย ผมสัมผัสความอุ่นกับความนุ่มของลิ้นโมที่เริ่มเลียและอมปลายควยผมเข้าไปแล้ว  ตอนนี้โมเธอนำหน้าผมแล้วหนึ่งขั้น

   มือผมสั่นไม่น้อย มันตื่นเต้น หัวใจเต้นตูมตามจนควบคุมไม่อยู่ รีบผงกหัวขึ้นจูบกลางเนินของเธอฟอด ๆ โมขยับก้นส่ายตอบรับทันที กลิ่นร่องเนินของเธอช่างหอมหวนยวนใจเหลือเกิน ผมจูบแล้วจูบอีกจนหนำใจ ผมยื่นมือขึ้นไปลูบไล้แก้มก้นกลม ก้นโมเนื้อเนียนลื่นมือหาตำหนิรอยด่างดำไม่เจอ ฝ่ามือสากของผมลูบไล้ผสมกับการบีบเคล้นอย่างเมามัน แล้วเลื่อนมือลงมาแหวกแก้มก้นให้อ้าออก

สายตาผมเห็นรอยจีบรูก้นโมเป็นสีผมพูเรื่อชัดเจน ต่ำลงอีกหน่อยเป็นปลายสามเหลี่ยมที่เป็นจุดเริ่มของรอยผ่ากลางของแคมคู่ เลื่อนมือลงมาใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างรั้งแคมให้อ้าออกไปอีก ผมเห็นกลางร่องฉ่ำเยิ้ม ภายในรูปเอ่อท้นด้วยหล่อลื่นชุมโชก

   แม้โมจะมีความสัมพันธ์กับโอ๊คมาหลายปี แต่ดูจากร่องรอยยังเป็นสีชมพูสวยกว่าสาว ๆ เสียอีก แสดงว่าเธอดูแลรักษาอย่างดีและบริหารของเธออย่างสม่ำเสมอ พอเห็นชัด ๆ ผมสุดจะอดใจต่อไปได้ ผงกหัวขึ้นประกบปากจูบกลางร่องทันที จูบฟอดแล้วฟอด ๆ อย่างคนอดอยาก

   โมสะท้านเฮือกทันทีที่ผมโจมตีจุดสำคัญ  เธอขยับขาอ้ากดสะโพกต่ำลงเนินหีเธอต่ำจนจ่อตรงปากผมพอดี ผมขยี้ใบหน้าส่ายละเลงอย่างเมามัน จมูกปากผมเลอะด้วยหล่อลื่น กลิ่นเนินของโมอวลไปด้วย Salvatore Ferragamo หอมเย้ายวนกวนอารมณ์เหลือเกิน ผมเริ่มต้นส่งลิ้นเข้าไปกวาดชิมรสหวานหอมกลางกลีบดอกไม้ของโมทันที

   ใจผมปั่นป่วนอึงอลด้วยอารมณ์กระสัน โมกระตุกแก้มก้นระริกเมื่อปลายลิ้นของผมจิกไปโดนเม็ดแตดของเธอ ยิ่งตอนที่ห่อลิ้นกวาดกวนไปที่ปากรูเสียวของเธอ โมกระตุกริก ๆ ขาเกร็งกดกับสีข้างตัวผมแน่นเป็นจังหวะตามอารมณ์

   ตอนนั้นผมลืมไปหมดทุกอย่าง เหมือนล่องลอยอยู่ในความฝันบรรเจิดที่ไม่อยากตื่น มีแต่ความกระสันปั่นป่วนกับเนินนวลของโมเท่านั้นที่เป็นของจริงจริง นอกนั้นพร่าเลือนเหมือนอยู่ในม่านหมอก ผมไม่อาจบอกได้ว่าโมเธอจะรู้สึกยังไง และการใช้ริมฝีปากของเธอเป็นยังไง ผมจูบ เลีย สอดปลายลิ้นเข้าแหย่กวาด และขยี้จมูกปากกับร่องหีของโม  ทำอย่างสุดจิตสุดใจเพราะกลัวว่าถ้าลืมตาขึ้นแล้วเธอจะหายตัวไปเหมือนทุกที
โมที่อยู่เพียงในความฝัน พอลืมตาตื่นก็เหลือแต่ความว่างเปล่ากับผมคนเดียวที่อ้างว้าง เหงาลึก

   ผมได้ยินเสียง 'จุ๊บ ๆ จ๊วบ ๆ อา..อ๊ากกก' แว่ว ๆ ปลุกว่านี่คือความจริงไม่ใช่เพียงความฝัน ผมที่ยังมีโมตัวตนจริงและกำลังให้ผมจูบเลียเนินอวบใหญ่ของเธออยู่ ตัวตนของโมเองกำลังดูดของผมจ๊วบแล้วจ๊วบเล่าอย่างเมามันเช่นกัน

   การดูดของโมแต่ละทีทำให้ผมเสียวสะท้านจนแอ่นก้นหราไม่ติดที่นอน ผมอยากร้องครางออกมาแต่ก็ไม่อยากหยุดเลียร่องเสียวของเธอ จึงได้แต่อื้อ ๆ อ้า ๆ อู้ ๆ ลิ้นไม่หยุดรัว เร็ว สลับกับประกบปากจูบดูดของเธอ

   เธอดูดของผมแรงมากเท่าไหร่ ผมก็ดูดตอบกับเธอหนักขึ้นเท่านั้น ความจริงผมมีประสบการณ์เกี่ยวกับการลิ้นค่อนข้างจำกัดมาก อยากทำ..แต่ต้องทำให้กับคนที่รู้สึกอยากและต้องทำให้เท่านั้น ฝ่ายมาผมใช้บริการน้องนางประเภทไลน์ที่ไม่ใช่ประเภทที่ผมต้องต้องทำ ผมเพียงแก้ความหิว

   ความปรารถนาอันนี้จึงสุมรุมอยู่เพียงในใจและในความฝัน ครั้งนี้เมื่อได้มีโอกาสที่จะได้ทำ ผมจึงอยากทำอย่างเต็มที่และเต็มใจ ผมเร่งเร้าปากและลิ้นนำเอาสิ่งที่ที่เห็นจากหนัง หนังสือ และคำบอกเล่าของคนรอบข้าง ซึ่งก็คงไม่เลวนัก เพราะผมสัมผัสว่าแก้มก้นของน้องโมกระตุกริก ๆ จนเกิดลักยิ้มที่แก้มก้นเป็นระยะ ๆ

   ผมว่าตัวผมเสียวมากจนเกร็ง โมเองก็เกร็งไม่แพ้ผมเหมือนกัน ความเสียวของผมทวีขึ้นไปเรื่อย ๆ ผมพยายามฝืน กลัวว่าเสร็จไปเสียก่อน โมเธอจัดว่าเป็นผู้เชียวชาญในการใช้ปากมากกว่าผู้หญิงทุกคนที่ผมเคยเรียกใช้บริการ

   ผมรู้สึกปลายถอกของผมผ่านริมฝีปากที่บีบรัดแล้วรูดผ่านลึกเข้าไปในลำคอของเธอ ความเสียวสุดยอดตอนที่อุ้งปากของเธอบีบรัดเมื่อเธอดูดจนทำให้เกิดภาวะสุญญากาศ มันบีบรัดไปตลอดท่อนลำที่ส่วนปลายมันถลำลึกเข้าไปในลำคอของเธอ

   โมยกหัวของเธอขึ้นคายท่อนลำของผมออกมาแล้วกดหัวให้ริมฝีปากเธอรูปมันหายเข้าไปในปากใหม่
บางทีเธอยกหัวขึ้นรีดริมปากปล่อยให้หลุดจนดังผลัวะออกจากริมฝีปากจนเกิดเสียงดัง 'พล๊อก'  จากนั้นโมกลับมาจีบริมฝีปากครอบแล้วรูดยาวเร็วลงไปจนมิดยันโคน ทำแบบนี้ผมเสียวสุด ๆ ในชีวิตไม่เสียวถึงขนาดนี้มาก่อน

   ผมก็ไม่รู้ว่าปลายถอกของผมเข้าไปถึงไหนบ้าง ขนาดหกนิ้วเศษของผมน่าล่วงล้ำเข้าถึงลำคอของเธอแน่นอน โมทำให้ผมเสียวสุดกว่าที่ผมเคยเล่นเสียวกับปากหรือเนินโคกของสาวใด ๆ ที่เคยลอง ผมว่าผมนะสั่นสะท้านไปทั้งตัว ส่วนหัวใจก็เต้นถี่ยิบและดังตูมตามจนได้ยิน

   เพื่อสนองตอบความสุดยอดที่เธอบรรจงให้ ผมเร่งระดมลีลาลิ้นแบบไม่หยุดนิ่ง ทั้งสอดแยงลึกเข้าไปในรูของเธอ โดยพยายามให้ลึกสุดที่ลึกได้ บ้างก็ตวัดเลียไปรอบ ๆ ปากรู แล้วลากยาวขึ้นไป ใช้เกร็งปลายลิ้นแข็งบดขยี้เม็ดเสียวของเธอ ผมไม่เคยเห็นแก้มก้นสาวใดที่เมื่อเสียวสุดแล้วกระตุกยิก ๆ จนบุ่มเป็นลักยิ้มทุกครั้งที่จุดสำคัญของเธอ

   ผมรู้สึกว่าตอนนี้แก้มก้นกระตุกถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเครื่องหมายว่าเธอคงใกล้เต็มที่ ความจริงตัวผมเองก็จวนเจียน ๆไม่ต่างไปจากเธอมากนัก ผมพยายามอดทนอดกลั้นเอาไว้ใจแทบขาด ผมพยายามจะยืดเวลาการลงลิ้นกับเนินเนื้อที่ใฝ่ฝันมานานหลายปีนี้ให้ยืดยาวไปนานแสนนาน ผมละเลงลิ้น สลับกับจูบ แล้วประกบปากแน่นแล้วดูดจ๊วบ ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้เบื่อ

   น้องโมกระตุกรุนแรงมากเมื่อผมดูดแรง ๆ ที่สุดแล้วเธอผวาบดเนินกับริมฝีปากผมแน่น  ผมก็บดหน้าละเลงหนักหน่วงอย่างสุดชีวิตเหมือนกัน สุดที่ผมจะทนต่อไปไม่ไหว เมื่อโมดูดของผมจ๊วบ ๆ อย่างเดียวจนผมชาวาบ ภาวนาขออย่าให้ถึงในตอนนี้เลย แต่ผมจะภาวนายังไงก็ไม่เป็นผล

   ต่อมของผมกระตุกวาบ ๆ เสียวจนต้องแอ่นสะโพกหราให้น้องโมดูดจ๊วบ ๆ ต่อไปอีกไม่กี่ครั้ง ผมผวาขยับใบหน้าออกจากเนิน กระตุกสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือก ๆ อย่างรุนแรง สุดขีดของการอดกลั้นจะรั้งเอาไว้ได้อีกต่อไป ผมกระตุกสั่นไปทั้งตัว  ธรรมชาติได้ปลดปล่อยน้ำรักออกมาในให้ปากของโมในพริบตา

   ผมรู้สึกเลยว่าน้องโมไม่ได้ถอนปากของเธอออก เธอดูดของเธอต่อไป ดูดไปเรื่อย ๆ ผมเสียวจนสะท้านรีบบดขยี้โลมลิ้นกับร่องเนินอย่างสุดกลั้นอีกครั้ง ห่อปลายลิ้นให้เรียวแหลมแยงเข้าไปในรูแล้วตวัดกวาดไปทั่วปากรูของเธอ ไม่นานแก้มก้นของน้องโมก็กระตุกระริก ๆ จนเกิดรอยลักยิ้มอีกครั้ง เธอผวากดก้นลงบดเนินเนื้อของเธอกับปากผมแน่นจนผมแทบหายใจไม่ออก โมถึงจุดสุดยอดไปอีกครั้งในแทบจะทันที

   ผมสอดมือไปรัดรอบเอวของเธอกอดเอาไว้แน่น  โมคายท่อนควยผมออกมาให้เป็นอิสระ แล้วนอนหอบหายใจแรง ใบหน้าซบกับโคนควย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าลีลาการใช้ริมฝีปากของโมจะเด็ดดวงถึงขนาดนี้
ผมนึกเปรียบเทียบกับการมีความสัมพันธ์กับสาวไซด์ไลน์ที่ผ่านมา ฝีมือคุณเธอเหล่านั้นที่ได้ชื่อว่ามืออาชีพ ยังไม่ได้แม้กระผีกของโมในเรื่องการใช้ปาก โมทำให้ผมเสียวสุดยอดชนิดที่ในชีวิตผมที่ผ่านมาไม่เคยได้รับถึงขนาดนี้แม้สักครั้งเดียว

   เสียงหอบหายใจแรงของสองเราได้ยินชัดเจน ปล่อยให้ความเสียวซ่านละลายเข้าไปตรึงอยู่กับใจสองดวง โมพลิกตัวขึ้นมานอนซบนิ่งกับอกผม ใช้สองมือสอดรักแร้เหนี่ยวไหล่ผมไว้
   "หัวใจพี่กาญจน์เต้นเสียงดังจัง..." เสียงเหมือนละเมอแผ่ว
   "หือ....เสียวมาก..." ผมตอบไปเสียงแผ่วเครือแทบไม่มีแรงที่จะลืมตา
   "อิอิ...โม..ก็..เสียว..มาก ๆ...."

   จากนั้นเราก็นอนนิ่งไม่อยากไหวติงร่างกาย ปล่อยสูดกลิ่นหอมจากเรือนผมโมไปเงียบ ๆ ไม่นานผมรู้สึกว่าผมหายใจของโมค่อยแผ่วลงจนราบราบเรียบ หลังพายุอารมณ์...ผมว่าโมหลับสนิทไปแล้ว
ผมเองทั้งร่างกายและจิตใจริบหรี่ลงเต็มที่ก่อนขาดผึงไปในที่สุด

------------------------------
ด้วยความขอบคุณ kankan

 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

Ureal

ขอบคุณคับ บรรยายได้ดีมากเลย ค้างมากมาย มาต่อไวๆนะคับ

Phoenixxy

ช่วงแรกเหมือนเป็นนิยายท่องเที่ยวเลย...เห็นภาพ...แต่สุดท้ายก็สุดยอดครับ

thep59

สุดยอดครับ สุดท้ายก็คงไม่แคล้วเสร็จพี่กาญจน์จนได้ ลุ้นต่อไปครับ

tacklove

โอยบรรยายซะจนเห็นภาพชัดเจนเลย สุดเพอร์เฟคและโรแมนติกมากๆ สุดยอดครับ

man5252


akennya


whitehorse

ชอบมากครับเห็นบรรยากาศเลยอยากไปอยู่ตรงนั้นด้วยจังสนุกมากๆติดตามครับ

nithiwit sakfun

ระเอียอมากครับอ่านแล้วรู้สึกเมือนอยู่ในสถานที่จริงเลย

Phisuiti Suwacheecharan

นำเที่ยว ตอนแรก แหวกแนวครับ   ออรัลได้เห็นภาพเลยครับ

decha55

ผมชอบนะ บรรยายได้เห็นเมืองเวนิช มีบรรยากาศ โรเมนติค แสดงอารมณ์และความรัก มีการแสดงความต้องการ ด้วยความรัก เนื้อเรื่องมืงเห็นภาพพจน์ชัดเจน

kaithai

"เขียนเรื่องนี้ในเชิงท่องเที่ยวปนเสียว (น้อย ๆ) "   นายกาญจน์  กล่าวไว้ ตั้งแต่แรก

ซึ่งเราจะได้ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ มากมาย
และมีเรื่องเสียวปิดท้ายนิดหน่อย อิอิ

Pongsathorn Weerahong

ฟินสุดๆ


22/2/2560


อ้างจาก: Pongsathorn Weerahong เมื่อ กุมภาพันธ์ 07, 2017, 12:22:23 ก่อนเที่ยง
ฟินสุดๆ
GhostWriter ภาคเวนิสพิศวาส ตอนที่ 2 - ฝันหวานที่ Verona (Copy kankan)
( 1 เดือน  22/2/2560-22/3/2560)

ฟินแต่รีพลายผิดกฏเวปก็พักใช้ไปนะ ตรวจเห็นหลายรีพลายยังพอใช้ได้จะแบน
ห้ามโพสต์ห้ามตอบ 1 เดือน

tatumi41

มาแวกแนวดีครับ ชอบบรรยากาศนำเที่ยว แล้วแวะมาเสียวกัน  ::Bloody::