ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

GhostWriter ภาคเวนิสพิศวาส ตอนที่ 3 Padova & Venezia (Copy kankan)

เริ่มโดย Pem Samsan, กุมภาพันธ์ 06, 2017, 07:25:05 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

Pem Samsan

GhostWriter ภาคเวนิสพิศวาส ตอนที่ 3 Padova & Venezia (Copy kankan)
-------------------------

   ผมสะดุ้งตื่นเมื่อมีเสียงปลุกจากโทรศัพท์ที่สั่งให้โรงแรมปลุก โมยังนอนนิ่งอิงแอบอยู่ข้างไหล่ ผมผงกหัวขึ้นจูบหน้าผากโหนก ยกหูโทรรับทราบ..เฮ่อ..เจ็ดโมงแล้วซิ พยายามรวบรวมสติให้กลับคืนมาโดยเร็ว ผมกับโมเหลือเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมงทั้งอาบน้ำ ทานอาหารเช้า และต้องรีบเดินทางไปสถานีรถไฟให้ทัน เป้าหมายต่อไปของเรา คือ ปาโดวา หรือ ปาดัว (Padova)

   "โม...ตื่นเถอะ..." ผมกระซิบพร้อมจูบแก้มหอมเธอ โมขยับตัวแต่ไม่ลืมตา
   "เช้าแล้วเหรอ..พี่กาญจน์..." เสียงงัวเงียอ้อแอ้แบบอยากนอนต่อ
   "อื้อ..." ผมตอบ..แต่โมก็ยังนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วหัวเราะกิ๊ก ๆ ออกมา แล้วพูดว่า
   "หึ ๆ..เมื่อคืนอดเลย..."
   "ไว้คืนนี้เถอะไม่รอดแน่...โมเตรียมตัวเถอะ..." ผมพูดแล้วแกล้งขบเขี้ยวเคี่ยวฟันแบบหื่น ๆ ข้างหูเธอ โมลืมตาขึ้นมาดูแล้วหัวเราะแล้วพูดแบบเด็ก ๆ ว่า
   "ม่าย..กลัว...ม่าย..กลัว...อิอิ..." แล้วผงกหัวจูบตรงหัวนมผมแล้วถามว่า "มีเวลาปล่าว...พี่กาญจน์..." ผมส่ายหน้าแล้วพูดว่า
   "เหลืออีกไม่ถึงชั่วโมงเราต้องรีบอาบน้ำทานอาหารแล้วเดินทางไปขึ้นรถไฟไปปาโดวา..."

   โมมองหน้าผมแล้วยิ้มพรายตาเป็นประกายเหมือนดวงดาว
   "ไม่โทษโมนะ...?"
   "โทษไง...เมื่อคืนโมก็สุดยอดแล้ว..." โมขยับตัวขึ้นมาจูบแก้มผมแล้วรีบลุกขึ้นโชว์ร่างขาวเนียนผ่องไปทั้งตัว

   ผมมองร่างงามแล้วอดนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ได้ ว่ามันน่าแขกกะโหลกตัวเองที่ปล่อยเสียวจนม่อยหลับไปได้ยังไงก็ไม่รู้ ???

   โมอาบน้ำเสร็จเดินออกมาผมเข้าไปสวมกอดเธอทันที
   "มีเวลาหรือเปล่าละพี่กาญจน์..." ผมส่ายหน้าเพราะเข้าใจในสัญญาณของเธอ โมจึงหัวเราะแล้วดันตัวผมเข้าไปในห้องน้ำ  ไม่มีกี่นาทีผมอาบเสร็จออกมาช่วยจัดกระเป๋าและไม่ลืมรวบเอา Ferragamo ไปด้วย โมหันมาเห็นแล้วยิ้ม
   "โมกำลังคิดว่าเดี่ยวจะเข้าไปเก็บ...หอมดีจัง..."

   ผมจัดการแจ้งให้ทางโรงแรมเสริฟอาหาร สเต๊กชนิดมีเดียมที่เนื้อด้านในเป็นสีชมพูอ่อนเรื่อ สุดยอดของความหวานนุ่ม ชุ่มสุด ๆ ใจ เคียงมาด้วยขนมปัง สลัดผักและซุปอีกสองชนิด ผมกับโมทานกันอย่างเอร็ดอร่อยจนหมดเกลี้ยงทุกจาน โมเงยหน้าขึ้นยิ้มแก้มใสแล้วพูดว่า
   "ไม่เคยกินสเต๊กที่ไหนที่อร่อยสุด ๆ แบบนี้มาก่อนเลย กินที่กรุงเทพจานละเป็นพันยังไม่ได้ครึ่งเลย..."
   "นั่นซิพี่ติดใจมาก..มาทีไรก็ต้องมาพักที่นี่แหละ..."

   เมื่อเราเช็คเอ้าท์เรียบร้อยก็ให้ทางโรงแรมเรียกแท็กซี่ให้จากโรงแรมถึงสถานีรถไฟใช้เวลาไม่นาน แล้วรีบไป Validate ตั๋วให้เรียบร้อย ไม่ถึงสิบนาทีที่เรานั่ง รถไฟเริ่มเคลื่อนออกจากสถานีมุ่งสู่เมืองปาโดวาทันที

   ปาโดวา หรือ ปาดัว เป็นเมืองใหญ่ ใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก ถึงสถานีปลายทางเหมือนเดิม ผมจัดการฝากกระเป๋ากับซุ้มรับฝากกระเป๋า เป้าหมายที่ผมพาโมมาที่นี่คือร้าน 'Caffe Pedrocchi' ที่เปิดมาตั้งแต่ ค.ศ.1831  ตัวร้านอยู่ในอาคารเก่าแก่ สวยงามและคลาสสิคเหลือกำลัง
   

   ผมสั่งคาปูชิโน ส่วนโมสั่งช็อคโกแลตร้อนเข้มข้นแต่นุ่มนวล เราจิบกันอย่างอ้อยสร้อย เพราะยังเหลือเวลาอีกมาก โมชี้ชวนให้ผมมองหนุ่มสาวอิลาเลียนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีฉูดฉาดสดใส
   "พี่กาญจน์ชอบแบบนั้นหรือเปล่า..." ผมพยักหน้าแล้วพูดว่า
   "ช่วงนี้อากาศไม่หนาวมาก โมเห็นปล่าวว่าพวกเราไม่ได้ใส่ตัวหนา ๆ กัน"  โมจิบช็อคโกแลตพร้อมกับใช้สายตาสำรวจตรวจตราทั้งผู้คนและเครื่องแต่งกาย

   ออกจากร้านกาแฟเก่าคลาสสิค ผมจูงมือโมพาเธอเดินเลี้ยวขวาไปยังจัตุรัส Della Frutta
   

   เดินไปเรื่อย ๆ เพื่อดูร้านรวงและผู้คนหลากหลาย แต่ไม่เจอคนไทยเลย เราเดินผ่าน Della Frutta จนถึงจัตุรัส Signori ที่อยู่ถัดไป
   "โม..เดี่ยว ๆ ไปเราแวะไปดูอาคารยักษ์ที่ชื่อ Palazzo della Ragione
   
   สถานที่นี้เคยเป็นศาลในยุคกลาง และมีภาพ fresco (ภาพวาดปูนเปียก) ที่สวยเหมือนกัน
   
   เข้าไปภายในโมดึงให้ผมหยุดดูเป็นระยะ ๆ ผมคอยอธิบายไปเรื่อยตามที่พอทราบจนมาถึงประตูทางออก

   "พี่กาญจน์นี่น่าจะเป็นไกด์ทัวร์นะ...ข้อมูลละเอียดมาก ๆ" โมหันมาพูดแล้วหัวเราะ ผมส่ายหน้าช้า ๆ
   "เป็นไกด์ของโมคนเดียวนะ..."
   "พี่กาญจน์จำรายละเอียดแม่นจัง..."
   "จะไม่ให้จำแม่นได้ไง...โมลืมแล้วเหรอ ซีรีย์ชุด 'รักในเวนิส' เมื่อสองปีก่อนไง..." โมเบิกตาโตแล้วพยักหน้า
   "เขียนชุดนั้นพี่อ่านและค้นข้อมูลตั้งแต่อดีต-ปัจจุบันจนทะลุปรุโปร่ง เขียนจนรักเวนิสแล้วอยากมานอนที่เวนิสนี่ไง..."
   "อื้อ..จริง..โมลืมไป ชุดเวลานิสของพี่กาญจน์มันสามเล่มใหญ่เลยนี่..." โมเอียงศีรษะมาอิงกับไหล่ผม "นั่นซิ..ดูดีกว่าไกด์อีกโมว่า..."
   ออกมาเราไม่ต้องรีบเร่งเดินสบาย ๆ ดูซุ้มโค้ง และกรอบหน้าต่างโค้งสวยสอดรับกลมกลืนและสวยงาม ทะลุตรอกไปโผล่ที่ Signori ผมชี้ให้โมดูหอนาฬิกา Palazzo Del Capitano
   
   พอโมเห็นเจ้าตัวนาฬิกาชัด ๆ เท่านั้นเธอถึงอุทานออกมาเสียงดัง
   "โห..พี่กาญจน์...สวยจังเลย..."
   "ถึงพามาดูไง...นี่นาฬิกาดาราศาสตร์นะ แสดงเส้นทางดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ อีกอย่างนะโมมันสร้างเมือ ค.ศ.1344 กี่ปีแล้วโม ?"
   ผมหันไปถามเธอยิ้ม ๆ โมนิ่งไปนิดนึงแล้วตอบวา
   "โห...นี่ก็..ก้อ..ก็หกร้อยหกสิบห้าปีเข้าไปแล้ว...?" โมเงยขึ้นมองนาฬิกาอีกครั้งอย่างตะลึงและพิศวง "มันยังเดินดีอยู่เลย..."
   "แปลกไหมละ สมัยนั้นเขายังสร้างได้ถึงขนาดนี้...น่าพิศวงจริง ๆ" โมพยักหน้าเห็นด้วย

   ผมโอบเอวโมเดินต่อไปเรื่อย ๆ แวะดูโน่นดูนี่ไปจนถึงโบสถ์เก่าประจำเมืองที่แสนจะโด่งดัง โบสถ์ใหญ่นี้ชื่อ Duomo ประวัติว่าสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงความเก่า ภายนอกตัวโบสถ์ดูเรียบ ๆ ธรรมดา แต่ภายในมีภาพวาด fresco แบบยุคกลางวาดโดย Menabuoi ซึ่งวาดรูปพระเยซูและเหล่านักบุญล้อมรอบเป็นชั้น ๆ ในวงกลม
   
   

   ภายในตัวโบสถ์ Duomo สำหรับคนรักศิลปะอย่างผมกับโม การได้เข้าไปดูมันเต็มอิ่มและแช่มชื่นอย่างบอกไม่ถูก เดินคลอเคลียดูมุมโน้นมุมนี้ ไม่เหมือนตอนที่ผมมาดูคนเดียวที่ยืนนิ่งเพิ่งพินิจเพื่อซึมซับภาพเข้ามาในใจมีความสุขแต่เหงาอย่างบอกไม่ถูก

   จากนั้นผมจูงโมเดินไปดูวิหาร Cappella Degli Scrovegni  พาไปที่นี่ก็เพียงให้โมได้ดูฝีมือของนาย Giotto di Bondone ผู้มีประวัติชีวิตอันน่าอัศจรรย์ วิหาร Cappella เรียกกันทั่วไปว่า 'วิหารสีฟ้าของ Giotto' ถือว่าเป็นสุดยอดที่ต้องยกนิ้วโป้งให้แบบไม่ต้องนับ
   
   การเข้าไปดูมีพิธีการพอสมควร
   ทางเข้าเขาสร้างเป็นอาคารทันสมัยใช้กระกระจกเป็นผนัง ตอนผมกับโมยืนรออยู่หน้าประตูที่ปิดสนิท
   "ข้างในเขาทำอะไรกันนะ...?" โมถามผมงง ๆ ที่เห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็ก ๆ ก่อนหน้าถูกขังอยู่ภายใน
   "เขาแบ่งนักท่องเที่ยวออกเป็นลุ่มเล็ก ๆ ไม่ให้เกิน 20 คน เพราะภาพในวิหารนี้เก่าแก่มากและประเมินคุณค่าไม่ได้ นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาและพบว่าลมหายใจของคนก็เป็นอันตรายต่อภาพเขียน
ทางการจึงต้องให้คนที่อยากจะเข้าชมต้องหยุดพักรอเพื่อปรับลมหายใจก่อน เลยมีจัดที่มิดชิดให้นั่งรอและชมประวัติของวิหาร ภายในห้องจะมีการปล่อยอากาศพิเศษพ่นออกมา มีผลให้คนเข้าชมรู้สึกผ่อนคลาย ลมหายสม่ำเสมอสดชื่นและสำคัญคือลมหายใจจะบริสุทธิ์ขึ้น ทุกคนก่อนเข้าต้องอยู่ในห้องนี้ประมาณยี่สิบนาที" โมพยักหน้าหงึก ๆ มองอย่างทึ่ง ๆ

   ต่อมาอีกครู่ใหญ่ประตูเข้าวิหารก็เลื่อนเปิดให้คนกลุ่มที่นั่งดูสารคดีจบเข้าไปภายใน จากนั้นประตูที่กั้นก็เปิดออกปล่อยผมกับโมและคนอื่น ๆ ได้เข้าไปนั่งชมสารคดีแทนชุดเข้าไปชมภายใน สารคดีที่ฉายเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติการสร้างวิหารและคุณค่าที่ควรอนุรักษ์เอาไว้ให้กับอนุชนรุ่นหลังดูจนสารคดีจบประตูทางเข้าวิหารก็เปิดปล่อยให้เข้าไปชมภายใน

   แค่ย่างเท้าเข้าไปเท่านั้น ผมเห็นโมยืนตะลึงนิ่งมองโถงเพดานสูง มีแต่สีฟ้าเกลื่อนตา  โดยเฉพาะหลังคานี่นาย Giotto เอาธรรมชาติเข้ามาไว้ในภาพด้วย โดยแกจำลองท้องฟ้า สวรรค์ ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ ลำธารให้มาอยู่รวมกัน และนายคนนี้ได้ชื่อว่าเป็นคนแรกที่เขียนภาพแบบ Perspective ที่มีความลึกแบบสมัยใหม่ เราเดินดูความงามของวิหารอย่างอ้อยอิ่งจนหมดรอบจึงต้องอำลาวิหารสีฟ้าของนาย Giotto อย่างแสนเสียดาย

   ผมโอบเอวโมเดินกลับไปยังสถานีรถไฟอีกครั้ง เราจะได้เดินทางไปเป้าหมายสุดท้าย คือ Venice หรือเวนิสพิศวาสของเราสอง จาก Padova นั่งรถไฟสาย Venezia ก็คือเวนิสนั่นแหละ สถานีรถไฟปลายทางของเวนิสคือซานตาลูเซีย ขนาดไม่ใหญ่โตนักเมื่อเทียบกับหัวลำโพง

   ระหว่างทางที่รถไฟจะไปเวนิสมีอยู่ช่วงหนึ่งที่มีทางวิ่งข้ามทะเลไปยังเกาะ ผมเห็นโมเหมือนจะเคลิ้ม ๆ จึงสะกิดให้เธอตื่นขึ้นมาดูช่วงที่รถไฟวิ่งผ่านทะเล

   "พี่กาญจน์คล้าย ๆ กับที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เลยนะพี่..."
   ผมพยักหน้ารับเพราะครั้งแรกที่ผมเห็นก็คิดแบบเดียวกับเธอเหมือนกัน

   ไม่นานรถไฟก็เทียบชานชาลา โมจับมือผมแน่นมองซ้ายมองขวาอย่างตื่นเต้นกับจุดหมายสุดท้ายของเรา เราเดินช่วยกันลากกระเป๋ามานิดเดียวก็ถึงทางออกและได้เห็นคลองของเวนิสอยู่ตรงหน้า "คลอง..." โมอุทานเบา ๆ หัวเราะเหมือนเด็ก ๆ

   ผมรีบพาโมเดินไปซื้อตั๋วเรือ Water Bus สาย Actv โดยซื้อแบบเหมาจ่ายเจ็ดสิบสองชั่วโมง ราคาค่าตั๋วสามสิบยูโรต่อคน ได้ตั๋วแล้วผมจูงมือเธอเดินลากกระเป๋ามาออกประตู จากนั้นเดินตรงไปสู่ลานริมคลอง มองไปจะเห็นโป๊ะเรียงกันไปหลายโป๊ะ

   "โมเรานั่งเรือสายหนึ่งนะ คอยดูป้ายให้พี่ด้วย" ผมบอกเธอเบา ๆ
   "สายหนึ่งหรือพี่กาญจน์ ? โน่นไง..." โมชี้ให้ผมดูป้ายที่ติดตรงเสาแล้วหัวเราะเสียงใส
   "สายนี้จะวิ่งเข้าคลองใหญ่ ที่สำคัญคือเรือจอดทุกป้าย โมจะได้เห็นวิวสองฝั่งคลองชัด ๆ เลยแหละ"
   โมพยักหน้ารับสายตาเธอวาวโรจน์เปี่ยมฝันจนผมเองก็ใจพองโตไปกับเธอด้วย

   เราเดินผ่านที่โป๊ะเรือสายสองก่อนแล้วผ่านไปยังโป๊ะเรือสายหนึ่งที่อยู่ทางขวามือ โมหยุดดูป้ายขนาดใหญ่ที่แสดงเส้นทางเดินเรือ ผมชี้นิ้วไล่ให้โมดูว่าเรือสายนี้ผ่านสะพานริอัลโต จัตุรัสซานมาร์โค รวมทั้งผ่านชุมชนเก่าแก่ในเวนิสทุกแห่ง ไม่ว่าจะพักที่โรงแรมไหนบนเกาะเวนิสเรือสายนี้จะพาไปถึงได้ทั้งหมด เรือจะมาสุดปลายทางที่จัตุรัสโรมา (Piazza Roma)

   โมช่วยผมขนกระเป๋าเพื่อขึ้นเรือ รอไม่นานเรือก็เล่นออกจากท่า ช่วงแรกเรือตีวงจากทะเลอาเดรียตริกเข้าสู่คลองที่เรียกกันว่า Grand Canal ก่อน คลองนี้ตัดผ่านเกาะเวนิสจากทิศเหนือลงไปทางทิศใต้ คลองคดไปมานิดหน่อย ที่สำคัญที่สุดคลองนี้ตัดผ่านย่านชุมชนแล้วทะลุออกมาที่ชายฝั่งอีกด้านของจัตุรัสซานมาโคศูนย์กลางเมือง

   บนเกาะเวนิสอาคารบ้านเรือนทั้งหมดอยู่เลียบริมคลองตลอดแนวชายฝั่ง ส่วนพื้นดินตัดเป็นตรอกซอกซอยลัดเลาะไปทั่วทั้งเกาะ ที่เหลือก็มีคลองเล็กคลองน้อยไขว้กันไปมามากมาย คลองเองก็มีทั้งขนาดใหญ่และเล็กแตกต่างกันไป คลองเล็กเรือใหญ่วิ่งเข้าไปไม่ได้ก็จะมีเรือ Water Taxi แทน หรือไม่ก็อาศัยเรือกอนโดล่า

   "กอนโดล่า..พี่กาญจน์ สวยจังเลย...." โมชี้ให้ผมดูเมื่อเธอเห็นเรือกอนโดล่าแจวผ่านไป
   "แล้วเราจะไปนั่งเล่นกัน..."  โมหันมามองผมแล้วหรี่ตาพูดว่า
   "ทำไมต้องนั่งเล่นด้วย นอนเล่นไม่ได้เหรอ..." พูดออกมาแล้วก็เขินหน้าแดงทำเอาผมหัวเราะคิดถึงภาพเมื่อคืน โมมองสบตาผมครู่หนึ่ง เมินหนีแล้วหันมากระซิบถามที่ข้างแก้มว่า
   "คิดไรอยู่โมรู้นะ...."
   "รู้ก็ดีแล้ว...เดี่ยวเข้าโรงแรมก่อนเถอะ.."
   แก้มโมยิ่งเข้มขึ้นจนไล่มาถึงคอ เธอไม่ตอบแต่เปลี่ยนเรื่อง ชี้ให้ผมดูตึกเก่า ๆ แทน

   ตึกพวกนี้เก่าจริง ๆ ไม่ใช่สร้างใหม่แล้วย้อมแมวให้เป็นของเก่า แต่ละหลังมีประวัติและอายุหลายร้อยปี เวนิสเป็นเมืองเก่าคลาสสิคจนได้รับฉายานามต่าง ๆ มากมาย เช่น 'ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก' (Queen of the Adriatic) 'เมืองแห่งสายน้ำ' (City of Water) 'เมืองแห่งสะพาน' (City of Bridges) และ 'เมืองแห่งแสงสว่าง' (The City of Light)  ในแต่ละปีผู้คนจากทั่วโลกหลั่งไหลมาเวนิสเพื่อดูตึกเก่า ลำคลอง และบรรยากาศของอดีตหลายล้านคน

   โมอุทานเป็นระยะ ๆ กับวิวริมน้ำ ตึกส่วนมากเคยเป็นวังโบราณของเจ้านายทางยุโรป แต่ปัจจุบันกลายเป็นโรงแรมหรู และหลายแห่งได้กลายเป็นแกลลอรี่แสดงภาพ ตึกริมน้ำนี่แหละที่เป็นมนเสน่ห์สะกดจิตตรึงใจคนให้วนเวียนกันมาดูกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ หนึ่งในนั้นก็คือผม ตอนนี้ก็คงโมที่แสนจะตื่นตาตื่นใจ  เห็นแบบนี้แล้วก็อดจะรู้สึกหดหู่กับคลองเล็กคลองน้อยบ้านเราไม่ได้

   เรือเมล์ล่องไปตาม Canal Grande จอตามป้ายที่ได้กำหนดเอาไว้ไปเรื่อย ๆ เริ่มตั้งแต่ต้นคลองจนจรดปลายคลอง โมกระซิบบอกผมว่า
   "พี่กาญจน์..โมนับท่าเรือทั้งหมดที่ผ่านมามีสิบห้าท่า รวมทั้งท่าเรือริมทะเลด้วยก็เป็นสิบหกท่า"
ผมพยักหน้าแล้วหัวเราะ
   "เก่งจัง..พี่นั่งเรือนี้มาเป็นสิบ ๆ รอบแล้วไม่เคยคิดจะนับเลย มัวแต่ชมวิว"
   "อิอิ...ชมวิวหรือชมสาวอิตาเลี่ยน..." เธอหันมายิ้มยั่วผมจนตาหยี ผมยื่นนิ้วชี้ไปจิ้มตรงหน้าผากแล้วพูดว่า
   "พี่ว่าคนที่ทำให้พี่มองจนหลง..น่าจะเป็นคนนี้มากกว่า..." โมยื่นมือมาลูบคางผมเบา ๆ
   "ปากหวานเป็นเหมือนกันนะนี่..นึกว่าเขียนบทรักบทหวานในหนังสือเป็นอย่างเดียว.." แล้วก็หัวเราะ

   "ว่าไงที่พี่ถามว่าเดี่ยวเราเข้าโรงแรมกันนะ...?"
   "แถวนี้มีม่านรูดด้วยเหรอพี่กาญจน์..." เธอหันมองซ้ายมองขวาจนผมหัวเราะแล้วส่ายหน้าไปมา
   "ไม่ใช่ม่านรูด..แต่เป็นโรงแรมที่เราจะไปพัก...แต่พี่ขอพักตลอดบ่ายแล้วค่อยออกมาดูพระอาทิตย์ตก"
   โมเอาปลายนิ้วจิ้มตรงแก้มแล้วเขี่ยเบา ๆ
   "กะว่าทั้งวันจะให้โมนอนตาลอยมองเพดานอย่างเดียวละซิท่าาา..."  พูดจบเอียงศีรษะมาซบไหล่ ผมก้มลงกระซิบกระซาบแผ่วเบา
   "ใครบอก..ผลัดการนอนตาลอยมองเพดานดีกว่า..."
   "พี่กาญจน์บ้า..." ผมฟังเสียงแผ่ว ๆ เหมือนกลัวคนอื่นได้ยินของเธอแล้วอยากให้เรือมันถึงท่าเสียเร็ว ๆ ไม่ได้ พี่กาญจน์...โมดูไม่เบื่อเลย...." เธอเอียงตัวมองไปด้านข้างแล้วชี้ให้ผมดูโบสถ์หลังใหญ่สวยแปลกตา
   "พี่กาญจน์นั่นโบสถ์อะไรนะ..สวยจัง...?"
   ผมหันไปดูตามมือชี้ของเธอแล้วอธิบายว่า
   "โบสถ์ Church of The Scaizi"
   
   "สวย..สวยมากจริง ๆ..." โมอุทานอย่างตื่นเต้น
   ผมมองสายตาของโมที่มองปฏิมากรรมรายเรียงไปตามจุดต่าง ๆ มีแม้กระทั่งบนหลังคา
   "ดูเสาโรมันที่ตั้งเรียงกันเป็นคู่ ๆ ซิ จากชั้นล่างต่อเนื่องไปถึงชั้นสองเลย" โมพยักหน้ารับ แม้เรือผ่านไปเธอยังหันกลับไปมองอย่างสนใจ

   เรือเล่นมาถึงสะพานข้ามคลองแห่งแรก สะพาน คือ Ponte สะพานนี้ชื่อ Ponte Degli Scaizi
   "สะพานในเวนิสจะมีขนาดเล็กสร้างข้ามคลอง ออกแบบเพื่อให้คนเดินข้ามอย่างเดียว แต่ความโดดเด่นก็คือมัน...แก่.."  ผมอธิบายให้เธอฟังไปเรื่อย ๆ พอถึงตรงนี้โมหันมาสวนทันที
   "สะพาน..แก่..."
   "อ้าว..ไม่แก่ได้ยังไง..มันแก่ซิโม อายุของพวกมันแต่ละสะพานระหว่างสามร้อยถึงสี่ร้อยปีเป็นอย่างน้อย ไม่แก่รึไง..." พูดจบผมหลิ่วตาให้เธอข้างหนึ่ง เป็นเงินล้อเลียน โมหัวเราะแล้วทุบไหล่ผมตุ๊บจนร้องอุ๊ย

   โมเงยหน้าขึ้นมองตอนเรือลอดใต้สะพาน เรือเริ่มเข้าเขตชุมชนของเป็นเมือง ยิ่งเข้าลึกไปในเขตเมืองก็จะยิ่งสัมผัสกับมนต์ขลังของเวนิส โลกใบนี้อาจจะมีเมืองเก่า ๆ หลายเมือง แต่เมืองเก่าที่มีแต่คลองคงมีแต่เวนิสแห่งเดียว ทำให้ผมนึกถึงกรุงเทพอีกแล้ว เราถมคลองเป็นถนน บ้านเก่า ๆ เราทุบทิ้งสร้างตึกทรงสี่เหลี่ยมน่าเกลียด เราสร้างคอนโดหลายสิบชั้นริมแม่น้ำแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้คนเขาเรียกเราว่าเจริญหรือทันสมัย ประเทศไทยของเรา จึงได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่รกตาเมืองหนึ่งของโลกใบนี้

   เรือล่องไปอีกไม่นานโมก็ร้อง "ว้าว.." ข้างหูผม
   
   "พี่กาญจน์..เรือกอนโดล่าแจวมาแล้ว..สวยจังเลย..."
   เรือกอนโดล่าจะเป็นแบบเดียวกันทั้งหมดตัวเรือสีดำ ทรงยาวหัวงอนท้ายงอนใช้แรงคนพายหรือแจว
   "พี่ว่า..ถ้าอยู่บ้านเราก็เรือแจวนั่นแหละโม...." โมหัวเราะแล้วพยักหน้าเห็นด้วยกับผม

   ตัวเรือกอนโดล่าแคบพอให้คนนั่งเรียงกันได้สองคนเท่านั้นแต่ราคาเรือลำละเป็นล้าน
      
   หนุ่มสาวหลายคู่นั่งอยู่บนเรือโบกไม้โบกมือทักทายพวกเรา โมโบกมือตอบพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างสดใสร่าเริง

   ผ่านกลุ่มเรือมาก็เห็นวังเก่าอีกแห่ง ถ้าผมจำไม่ผิดวังนี้ชื่อว่า Palazzo vendramin calergi
   
   ตัวอาคารทาสีขาวชั้นสองมีระเบียงยื่นออกมาประดับด้วยหน้าต่างเว้าทรงสูง อายุของตัววังว่ากันว่ามากกว่าห้าร้อยปีขึ้นไป วังนี้ตามที่ผมเคยสืบค้นประวัติ บอกเอาไว้ว่าเป็นอยู่สุดท้ายของนาย Wagner ผู้ประพันธ์เพลงชาวเยอรมัน
   "โมชอบอีตา Wagner คนนี้ไม่ใช่เหรอ ?" ผมถามเธอเบา ๆ โมพยักหน้ารับแล้วพูดต่อว่า
   "อีตา Wagner เจ้าของเพลง Wedding March มาตายที่วังนี้เหรอ ? คงตายตาหลับนะพี่กาญจน์นะ..."
   "พี่ก็ว่างั้นแหละโม...."

   ****************

   เรือเมล์แวะรับและส่งคนเป็นระยะ ๆ จนมาเจออาคารหน้าตาแปลก ๆ อีกหลัง โมหันมาหาแล้วถามทันที
   "พี่กาญจน์หลังนี้ประหลาดจัง..." ผมหันไปมองก็จำได้จึงตอบเธอไปว่า
   "นี่คือ Fondaco dei Turchi"
   "เป็นวังอีกเหรอพี่กาญจน์ ?"
   ผมส่ายหน้าหัวเราะกิ๊กแล้วบอกว่า
   "โม..มันเป็นโกดัง Fondco เขาแปลว่าโกดังจ๊ะ..."

   "โกดังนี่อ๊ะ..." โมทวนคำแล้วหัวเราะร่วน "โกดังยังมีเสาโรมันเรียงรายเลย จากชั้นหนึ่งขึ้นไปจนถึงชั้นสองและชั้นสาม น่าอิจฉาจัง..."
   
   "ในหนังสือเค้าบอกว่าสร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 แนะ ตอนสร้างออกแบบเป็นบ้านของเศรษฐี แต่สุดท้ายดันล้มละลายไปซะก่อน ต่อมาก็เลยกลายมาเป็นโกดัง..."
   "มิน่าละ..โมว่ามันสวยเกินกว่าจะเป็นโกดัง..."

   เราก็มาถึงสะพานอันสุดแสนบรรเจิดแห่งนครเวนิสชื่อ Ponte di Rialto เจ้าสะพานนี่นะโด่งดังเพราะว่ามันเชื่อมจุดศูนย์กลางชุมชน และเป็นจุดที่ Grand Canel สิ้นสุดตรงจุดนี้ สะพานนี้มีอายุเบาะ ๆ ประมาณเจ็ดร้อยปี

   "พี่เคยบอกโมใช่เปล่าว่า Ponte แปลว่า 'สะพาน' นะ" โมพยักหน้ามองผมแบบงง ๆ จนผมหัวเราะแล้วบอกเธอว่า
   "ก็มาจากคนสร้างสะพานนี้แหละ ตาคนนี้ชื่อ Antonio da Ponte คำว่า Ponte ก็มาจากเค้านี่แหละ" โมหัวเราะร่วนแล้วพูดแบบขำ ๆ มั่งว่า
   "สมัยนั้นคงยิ่งใหญ่น่าดูซิท่า..." ผมพยักหน้า
   "โมลองคิดดูซิเจ็ดร้อยปีก่อนเขาออกแบบให้สะพานกว้าง แถมเน้นฐานริมตลิ่งให้หนา ตรงกลางบางหน่อยเพื่อเฉลี่ยน้ำหนักให้ไปตกที่ฐาน ไม่ต้องสร้างเสาตอม่อให้เกะกะกลางคลองแม้แต่ต้นเดียว เรือลอดไปมาได้สะดวก..สุดยอดแค่ไหน ?"
   
   "ข้างบนสะพานมีร้านขายของด้วยนะ" ผมกระซิบบอกโมเบา ๆ จนโมตาลุกวาว
   "เราต้องมาเดินบนสะพานให้ได้นะพี่กาญจน์"
   "แน่นอน..ต้องไปอยู่แล้ว..เอาเป็นตอนใกล้ค่ำหน่อย เปิดไฟแล้วจะยิ่งสวยกว่านี้อีกหลายเท่า"
   "แล้ววันนี้...เวลาที่เหลือละ..."
   "นอนในโรงแรม..." ผมพูดยิ้ม ๆ แล้วแกล้งทำเฉยไม่รู้ไม่ชี้ โมเงียบไปครู่แล้วเอียงศีรษะมาพิงไหล่พูดลอย ๆ ว่า
   "คิดอยู่ตลอดละซิ...ที่เสียท่าเมื่อคืน...อิอิ" ผมเองหัวเราะกับน้ำเสียงเย้ายั่วของเธอไม่ได้ แต่ไม่พูดอะไรต่อ

   เลยสะพาน Rialto มา บ้านเรือนแต่ละหลังยิ่งสวย พวกวังเจ้าเก่า ๆ เพียบเลย ไม่ไกลเรามาเจออีกสะพานที่ชื่อ Ponte Dell' Accademia เป็นสะพานสุดท้ายก่อนออกทะเลทางด้านใต้ ตัวสะพานทำด้วยเหล็กตอนแรกจะสร้างสะพานหินแต่ก็ทำไม่ได้เนื่องจากคลองช่วงนี้กว้างเกินไป
   
   ชื่อสะพานนี้เป็นชื่อเดียวกับแกลลอรีที่เป็นพิพิธภัณฑ์สำคัญที่สุดของเวนิส

   พอใกล้ถึงปากแม่น้ำผมชี้ให้โมดูวังเก่าชื่อดัง Palazzo Barbaro และ Palazzo Dario  ทั้งสองวังสร้างในศตวรรษที่ 15 สวยงามมาก แล้วยังเป็นที่ที่ Monet เคยมาพักเขียนรูปที่นี่ด้วย "โมเนต์หรือพี่กาญจน์ แกคงมานั่งเขียนภาพ Venice Twilight นะซิ" ผมพยักหน้า
   
   "โมนี่ชอบงานศิลป์จริง ๆ จัง ๆ เลยนะ พี่ว่าโมเป็นผู้รู้คนหนึ่งได้แล้ว..." ผมหันไปมองหน้าเธอแล้วยิ้มอย่างชื่นชม
   "โมนี่..ไม่ใช่โมเนต์นะ วาดไม่เป็นแต่ชอบดูอย่างเดียว..แล้วก็ชอบ..โมนี่ชอบงานศิลป์มาก ๆ"
   "งั้นพี่เปลี่ยนชื่อให้ใหม่เลยดีกว่า..." โมขมวดคิ้วสงสัย ผมเลยพูดต่อว่า
   "อ้าว...ก็ชื่อ 'โมนี่' ไง..ดีกว่าโมเฉย ๆ..." โมหัวเราะดวงตาเป็นประกายสดใส
   "แต่ถ้าเป็นโมเฉย ๆ แล้วคงแย่เลย....ก็โมไม่เฉย ๆ นี่นา...." พูดแล้วก็ขำกิ๊ก ๆ หน้าแดงทำให้ผมอยากปล้ำเต็มที

   ยิ่งใกล้ปากแม่น้ำเราจะเห็นวิวที่เป็นฉากหลังรูปโดมขนาดยักษ์ของโบสถ์ Santa Maria della Salute
   
   โบสถ์หลังนี้สร้างมาเพื่อบูชาพระแม่มาดอนนา ต่อมามีการแต่งเติมเสร็จจนสมบูรณ์สวยงานเช่นทุกวันนี้

   จากนั้นเรือเล่นผ่านปากคลองพาเราออกสู่ทะเล Adriatic (อะเดรียติก) คนละด้านจากที่เราขึ้นเรือ
น้ำไม่ได้ใสแจ๋วเป็นสีฟ้าเหมือนทะเลที่มัลดีฟส์หรอกนะ สีมันขุ่นเหมือนสีน้ำคลองบ้านเรา เรือเริ่มหันหัวเข้าสู่ฝั่งอันเป็นเขตจัตุรัส San Marco ก่อนถึงจะมีเกาะเล็ก ๆ ขวางหน้าอยู่
   "เกาะอะไร..เล็กนิดเดียวแต่มีโบสถ์ด้วย...?"
   "เกาะชื่อ Isola di S. Giorgio Maggiore ส่วนโบสถ์ชื่อ S. Giorgio Maggiore"
   
   "พี่กาญจน์โบสถ์นี้นี่เองที่อยู่ในภาพ Venice Twilight ของโมเนต์..ชัดเลย..." ผมพยักหน้า
   "ใช่แล้ว..โมนี่..." โมนี่หันมาค้อนให้ผมวงใหญ่ เออ..ตั้งแต่เดินทางร่วมกันมาผมยังไม่เห็นวงค้อนของโมเลยจนถึงตอนนี้ โมเห็นผมมองนิ่งเลยหัวเราะร่วนแล้วพูดว่า
   "อ้าว...โมนี่ก็โมนี่..ท่าจะชอบใจมาก..." แล้วยื่นริมฝีปากมาหอมแก้มผมฟอดใหญ่ "โมนี่...ให้รางวัล..."

   ความจริงคนแถวยุโรปนี่การหอมการจูบกันเป็นเรื่องธรรมดามากจนเห็นกันได้ทั่วไป ผมยื่นแขนโอบไหล่โมเอาไว้แล้วก้มลงจูบเรือนผมแล้วคลอเคลียอยู่อย่างนั้น
   "เหม็นสาบเปล่า ?...ไม่ได้สระผมเลย..."
   "หอมออก...." โมกอดผมเอาไว้แน่น

   ***************

   เรือเริ่มเบนหัวเข้าเทียบท่าหน้าจัตุรัสที่ผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ ท่าเรือตรงจัตุรัสมีด้วยกันสองแห่ง ท่าแห่งแรกชื่อ San Marco จะอยู่ก่อนถึงจัตุรัสนิดหน่อย ผมบอกให้โมเตรียมตัวเราจะขึ้นที่ท่านี้เพื่อไปเช็คอินเข้าโรงแรม  พอลงเรือก็ช่วยกันลากกระเป๋าเดินตรงเข้าตรอก ตรงหัวมุมจะมีร้านชื่อ Harry's Bar อันแสนโด่งดัง
เล่ากันว่าปู่เฮอร์มิงเวย์เคยมานั่งร่ำสุรา (ไม่แน่ใจว่านารีแดงด้วยหรือเปล่า ?) แกนั่งชมวิวแล้วเอาไปเขียนหนังสือที่ร้านนี้

   เราช่วยกันลากกระเป๋ากุก ๆ กัก ๆ เข้าไปในโรงแรมหรูที่ปูด้วยพรมสีแดง ไปหยุดยืนหน้าเคาน์เตอร์ไม้สีเข้มแดงเกือบดำเก่าคลาสสิค คุณลุงผมขาวร่างท้วมใส่ชุดเต็มยศหรูระดับชาติยืนต้อนรับจนเราออกจะเขิน ๆ
โรงแรมแห่งนี้แม้ผมจะมาพักหลายครั้งเป็นโรงแรมหรูเริดคลาสสิคสมราคาที่แสนแพงจริง ๆ

   คุณลุงแกจะยืนทำหน้าขรึมอยู่ตลอดเวลา แต่พอเห็นโมของผมยืนทำหน้าบ๊องแบ๊วผมเห็นแกแอบอมยิ้มด้วยความเอ็นดู
   "พี่กาญจน์นี่มันโรงแรมไรหว่า..หรูโครต...???" โมพูดเสียงตื่น ๆ
   "อึม..โรงแรมชื่อ Gritti Palace จ้า..."
   "อยู่ตรงข้ามกับโบสถ์ Santa Maria เลย..." ผมพยักหน้า
   "แหม..โมนี่จำแม่นเหมือนกันนะพี่บอกชื่อเพียงครั้งเดียวเอง..." โมหัวเราะแล้วตอบผมว่า
   "ก็โมนั่งมองอยู่นานนี่คะ..เลยยังจำได้...ดีป๊ะ..."
   "ดี..."
   
   (มุมมองจากโรงแรม)
   

   เราหันมาคุยกันปล่อยให้พนักงานโรงแรมจัดการกับรายละเอียดต่าง ๆ จนเรียบร้อย
   จากนั้นคุณลุงใจดีก็ช่วยโมลากกระเป๋าพาเราไปยังห้องพักบนชั้นสาม
   "โมนี่..อย่าลืมทิปให้ลุงด้วยนะ..." ผมกระซิบบอกโมแล้วแอบยัดเงินยูโรให้เธอตอนเดินตามหลังมายังห้องพัก คุณลุงจัดการเปิดประตูแล้วช่วยเราเอากระเป๋าเข้าไปเก็บในห้อง รับทิปจากหนูโมนี่แล้วโค้งให้อย่างงดงามก่อนออกจากห้อง

   โมหันไปสำรวจรอบ ๆ ห้อง ส่วนผมเดินไปเปิดผ้าม่านแล้วยืนมองภาพโบสถ์สวยที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
   "ห้องสวยจังพี่กาญจน์..." โมเดินมาโอบเอวผมเอาไว้แน่น
   "ตอนเย็น ๆ เราจะเห็นเรือเล็กเรือใหญ่วิ่งกันไปมาเยอะเชียว..."
   "เหมือนอยู่ในฝันเลยนะพี่กาญจน์..."
   "ฝันของใครละคราวนี้โม..."

   "คราวที่แล้วเป็นฝันของจูเลียตคนสวย..แต่คราวนี้เป็นฝันของโม.."
   "ฝันของโมนี่..." ผมเสริมพร้อมก้มลงจูบเรือนผมของเธอ
   โมเงยหน้าขึ้นสบตาผมประกายตาไปด้วยความสุขและดื่มด่ำ
   ผมก้มลงจูบตรงหน้าผากโมอีกครั้งไล้มาที่แก้มนวล
   "หอมชื่นใจจัง...." ผมกระซิบริมหูเธอเบา ๆ โมเงยหน้าขึ้นยื่นริมฝีปากขึ้นมาปะกบจูบริมฝีปากของผม
ผมเลยก้มลงจูบเธอในท่าของ The Kiss อีกที จูบบดริมฝีปาก แล้วตามด้วยลิ้นตวัดเข้าหากัน ไม่รู้หละ ผมจูบเธอไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่าโมเริ่มยืนโอนเอนไปมา เลยสอดมือเข้าไปอุ้มเธอยกขึ้นแล้วเดินไปวางไว้บนเตียงที่ปูผ้าคลุมเตียงสีขาว ตึงเรียบ บรรยากาศภายในห้องตกแต่งหรูหราคลาสสิค
   
   ปล่อยร่างโมลงบนเตียงสะโพกเธอหนุนอยู่กับขอบเตียงขาทั้งสองห้อยลงมาบนพื้น โมปรือตามองผมนิ่ง สายตาไล่มองใบหน้าสีเข้ม แววตาหวานซึ้ง ริมฝีปากเหมือนจะแย้มยั่ว
มองลงมาที่อกภายในเสื้อไหมพรมหนา ไล่สายตาถึงหน้าท้องแล้วมายังกางเกงสีดำผ้าเนื้อดี
   ผมโน้มตัวก้มลงจูบตรงยอดอกของเธอนอกเสื้อแล้วขยี้ใบหน้าเฟ้นฟอนเหมือนกระหาย โมขยับตัวนิด ๆ อาจเพราะจั๊กจี้แล้วหัวเราะเบา ๆ ยื่นมือข้างหนึ่งมาคล้องคอผมเอาไว้ ใช้อีกข้างยันที่นอนดันตัวขึ้นนั่งจนผมต้องยืนตัวตรง ผมก้มลงจับชายเสื้อไหมพรมของเธอแล้วรูดออกจากแขน

   บราสีฟ้าอ่อนปิดเต้าอวบกลมเนื้อขาวผ่องล้นออกมา ผมสอดมือไปด้านหลังเพื่อจะควานไปปลดตะขอ
โมจับมือผมดึงมาวางยังตรงร่องอก
   "ตะขออยู่ตรงนี้..พี่กาญจน์..." เธอบอกผมเสียงแผ่ว

   ผมพยายามปลดยังไง ๆ มือมันสั่น นานจนโมหัวเราะแล้วพูดว่า
   "โมปลดให้เองดีกว่านะ..." พูดแล้วโมใช้นิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือกดยังไงก็ไม่รู้ครอบเต้าแต่ละข้างของเธอดีดผึงออกจากกันทันที เต้านมนวลขาวกลางความสว่างยามฟ้าใสช่วงเที่ยงกว่า ๆ ทำให้ผมเห็นชัดจนละลานตา หัวนมโมเม็ดเล็กจิ๋วสีเข้มประดับบนป้านนมสีไม่ต่างแต่ขนาดโตกว่าเหรียญสิบเล็กน้อย

   ผมคุกเข่าลงกับพื้นพรมจมูกผมตรงกับยอดอกที่อวดท้าทายพอดี โมแอ่นอกให้หัวนมของเธอเขี่ยไปมาตรงปลายจมูกและแก้มผม กลิ่นนวลเนื้อของโมช่างหอมกรุ่นรัญจวนเกินห้ามใจจริง ๆ

   ผมพยายามขยี้จมูกไล่ตามหัวนม แต่โมก็อยากเล่นเขี่ยปลายจมูกและแก้มของผมต่อไป ประสาทสัมผัสที่ได้รับจากผิวหนังถ่ายทอดเข้าสู่สมองและจิตใจทำเอาผมพล่านได้อย่างน่าอัศจรรย์ "ช้า ๆ นะพี่กาญจน์นะ..ใจเย็น ๆ..." โมบอกผมเสียงกระเส่า ผมไม่ตอบแต่ชักสนุกกับการที่พยายามใช้จมูกไล่ดมหัวนมของเธอ ถูกบ้างผิดบ้างลุ้นดี

   แต่ในที่สุดโมโน้มตัวลงนิดนึงใช้มือประคองเต้านมแล้วป้อนหัวนมจ่อตรงริมฝีปากผม
   ผมเงยหน้าขึ้นมองเธอเหมือนจะถามว่าไม่อยากเล่นแล้วเหรอ
   "ให้รางวัลไง...."

   ผมเผยอให้หัวนมสอดเข้าไป เม้มริมฝีปากบีบหัวนมแล้วใช้ปลายลิ้นตวัดเลีย ทำเอาโมสะท้านจนห่อไหล่ ส่งเสียงร้อง "อูววว" ออกมาจากปากให้ยินชัดเจน
ผมเลยอมหัวนมของเธอเข้าไปในอุ้งปากจนลึก ให้ริมฝีปากหนาประกบป้านนมของเธอจนเกือบหมด
เริ่มดูดเน้นหนัก ๆ จนแก้มตอบ โมแอ่นอกหราครางซี้ด ๆ เหมือนกินของเผ็ด

   "ซี้ดดดดด....อาาาา....ววววว....."
   ผมยิ่งเน้นการดูดให้หนักขึ้นแต่ควบคุมจังหวะให้เป็นช่วง ๆ พอถอนปากออกโมก็ป้อนหัวนมอีกข้างของเธอใส่มาในปากให้ผมดูด ผมก็เลยดูดหัวนมซ้ายทีขวาทีอยู่แบบนั้นอย่าง โดยไม่สนใจว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ โมผวาแอ่นอกหราหน้าเชิดบดเนื้อนมกับปากผม ปากส่งเสียงซี้ดกระเส่าเร้าอารมณ์ไม่หยุดหย่อน

   โมดึงเต้านมของเธอจนผมปล่อยหัวนมออกจากปากอย่างแสนเสียดาย เงยขึ้นมองหน้าโมที่ก้มลงมองด้วยแววตาเช๊กส์เปิดเผยอารมณ์อย่างล่อนจ้อน
   "ดูด..จน..โม..เสียว..จัง..อิอิ..."
   "ก็หัวนมโมหอมแล้วหวานเหลือเกินนี่นา...อดใจไม่ไหว..."
   "แล้วดูดจนอิ่มยังละ..." ผมส่ายหน้าแล้วหัวเราะ
   "อิ่มอะไร..ยิ่งดูดก็ยิ่งหิวนมหนักขึ้นไปอีก..." พูดจบผมก้มหน้าลงหอมกลางอกแล้วไล่จมูกปากลงมาจนถึงท้องน้อย โมรีบดันผมแล้วกระซิบบอกเสียงแผ่ว ๆ
   "ให้โมไปห้องน้ำก่อน..เดี่ยว..เดี่ยว...ไม่ไหว..." ผมก็งง ๆ อยู่เหมือนกัน โมผลักผมออก รีบพลิกตัวหนีลงจากเตียงแล้ววิ่งไปเข้าห้องน้ำทันที
   "เป็นไร..โม...."
   "ปวดฉี่...." เธอตอบแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำ

   ผมนั่งคุกเข่านิ่งอยู่กับพื้นพรมนุ่ม สูดหายใจเข้ายาวเพื่อระงับอารมณ์ที่ถูกเบรค จากนั้นลุกขึ้นยืนจัดการถอดเสื้อกางเกงของตัวเองพาดไว้ด้านข้าง เหลือแต่กางเกงในสีขาวตัวเดียว น้องชายสุดท้องของผมผงาดแข็งจนตุงกางเกงในออกมา ผมเดินไปรูดผ้าม่านผืนบางปิดหน้าต่างบานสูงซึ่งทำหน้าที่เพียงกรองแสงให้สลัวรางลงบ้างเท่านั้น เดินไปหยิบผ้าขนหนูมานุ่งไม่ให้ประเจิดประเจ้อนัก แล้วกระหยิ่มยิ้มย่องกับตัวเอง

   เสียงกดน้ำของโมดัง ผมหันไปมองเห็นโมเปิดประตูเดินออกมา โมนุ่งผ้าขนหนูกระโจมอกเดินมาหาผมที่นั่งรออยู่ริมเตียง ผมอ้าขาออกให้เธอเดินเข้ามายืนจนชิดแล้วยื่นปลดผ้าขนหนูออกจากร่าง มองสำรวจนวลเนื้ออย่างใกล้ชิดตั้งแต่เต้านมไล่ลงไปที่หน้าท้องแบนราบเอวกิ่วคอย ไปจนถึงเนินโหนกใหญ่เกลี่ยด้วยกลุ่มไหมดำบาง ๆ ที่มองจากมุมสูง โมถอดกางเกงในให้ผมเรียบร้อยแล้ว ผมเงยหน้าขึ้นแล้วโน้มคอเธอลงมาจูบ

   พอถอนปากออกผมรีบถามเธอว่า
   "โมให้พี่ใช้ลิ้นทำให้อีกหรือเปล่า...?" โมดันตัวออกนิดนึงแล้วส่ายหน้าแล้วพูดแผ่ว ๆ
   "กลัวจะถึงเสียก่อน..โมไม่ยอมด้วย..พี่อยากกับโมเหรอ....??"
   "พี่อยากซิจ๊ะ...อยากใจจะขาด..อยากเย็ดโมที่สุดเลย..."
   "งั้นทำเลยซิ...โมอยากถึงพร้อมกับพี่กันนะ..." เธอกระซิบออดอ้อนแล้วกอดผมแน่น

   "โมนอนลงให้พี่หอมต่อซิ...."
   "อยากหอมโมเหรอ...?"
   "อื้อ..อยากหอมให้ทั่วทั้งตัวเลย..หอมไม่เว้นซักกะที่...."
   "อิอิ...อยากทำมานานแล้วซิ..."
   "อื้อ..เคยฝันแบบนั้น..แต่เมื่อคืนพลาดไป.."
   "หือ..พลาดไง..ก็หอมหีจนเสียวขนาดนั้น...?"
   "ก็เผลอหลับไปไง...?"
   "โมก็หลับ....มันสบายตัวจริง ๆ นะพี่กาญจน์"
   "พี่ก็เหมือนโม...ถ้าพี่ไม่ครอก ๆ ไปเสียก่อน ได้ลักหลับโมแน่เมื่อคืน..." พูดแล้วก็หัวเราะ โมเองก็หัวเราะเต็มเสียง
   "ก็พี่กาญจน์ทั้งดูดทั้งเลียขนาดนั้น โมฟิวส์ขาด...หมดเรี่ยวหมดแรงไปเลย..."
   "โมก็ทั้งอมทั้งดูดของพี่แบบสุด ๆ เหมือนกันนี่นา..."
   "ดีป๊ะ...." เธอขยับมาจูบซอกคอผม
   "อื้อ...แต่อย่าทำแบบนั้นบ่อย อยากทำอย่างบ้าง..."
   "อยากทำไร...???"
   "พี่อยากเย็ดโมซิ...." ผมสารภาพเต็มเสียง "อยากเย็ดให้โมเสียวสุด ๆ ไปเลย"
   "แล้วพี่กาญจน์ละจะสุด ๆ กับโมด้วยหรือเปล่า...?"
   "เดี่ยวรู้...." ผมเอนหลังดึงตัวเธอลงมาคร่อมตัวผมไว้
   "ของพี่กาญจน์แข็งกว่ามื่อคืนอีก...."
   "มันคงอยากจัดนะโม...."

   โมขยับตัวคร่อมผมแล้วเธอก็แลบลิ้นเลียตรงหัวนมของผมแผล๊บ ๆ แรก ๆ ก็แค่จั๊กจี้ดี แต่พอนานเข้าปลายลิ้นโมขยี้หัวนมแล้วปาดลิ้นเลีย หลาย ๆ ครั้งเข้าทำให้ผมรู้ซึ้งเลยจริง ๆ ตอนที่โมถูกผมดูดหัวนม เลียหัวนม ป้านนม เธอถึงกับสั่นสะท้าน  มันเสียวแบบนี้และมากกว่านี้เพราะหัวนมเธอใหญ่กว่าทำให้ผมดูดได้แรงกว่า ผมผงกหัวขึ้นมองการกระทำของโมปรีเปรม เธอตวัดลิ้นเลียปาดไปปาดมา สลับกับเม้มริมฝีปากดูดหัวนมเล็กจิ๋ว เออหนอ..ผมเพิ่งเคยถูกผู้หญิงเลียและดูดหัวนมเป็นครั้งแรกในชีวิตทำเอาเกร็งไปเหมือนกัน

   "โมป้อนนมให้พี่ดูดให้มั่งซิ..." โมเงยหน้าขึ้นมองผมตาหยาดเยิ้ม
   "ตะกี้ไม่อิ่มเหรอ..." ผมพยักหน้าแต่โมก็ไม่ยอมป้อนนมใส่ปากผม เธอกลับขยับตัวเลื่อนลงไปแล้วถอดกางเกงในผมออก ท่อนควยแข็งของผมผงาดตั้งฉากแบบเก้าสิบองศาจนโมหัวเราะ

   "โห..คงอยากมากซิ...."
   เธอเขี่ยนิ้วตรงหัวทำเอาผมเสียวจนต้องขยับแอ่นตูดลอยขึ้นมา โมหัวเราะใหญ่แล้วพูดว่า
   "พี่กาญจน์นอนเฉย ๆ ก่อนนะ ให้โมเล่นกับมันสักหน่อยก่อน..."
   "ไม่ดูดแล้วนะ...กลัว...." โมหัวเราะ "พี่กลัวไม่ได้เย็ดโม..เหมือนเมื่อคืน..." โมยิ่งหัวเราะใหญ่
   "แหม..โมไม่ได้ดูดให้ซักหน่อย...แค่อยากทำแบบนี้...."
   โมขยับคร่อมตรงหน้าขาผม เธอขยับอ้าขาออกกว้างให้ร่องแคมวางทาบกับแนวสันด้านล่างของลำควย พอนาบได้ที่โมก็ขยับก้นยิก ๆ ผมมองการกระทำของโมด้วยสายตาลุกวาว แคมอวบใหญ่แต่ละข้างแตกอ้าเมื่อขยับขา แล้วใช้มือกดท่อนหัวของผมให้นอนราบลงกับหน้าท้อง

   โมบดร่องแคมของเธอไปมาจนได้ที่ เธอจึงเงยขึ้นมองสบตาผม
   "ดีจังพี่กาญจน์...." ผมพยักหน้าแล้วพูดว่า
   "ทำเรื่อย ๆ นะ...รูดแบบนี้พี่เสียวจัง" โมหัวเราะ
   "นี่...แค่เริ่มต้นความมันเท่านั่นนะพี่กาญจน์..."
   "ท่านี้โมเซ็กส์จังเลย...."

   โมไม่ตอบขยับโยกเอวรูดร่องแคมกับลำควยของผมไปเรื่อย ๆ ไม่เร็วนัก พักเดียวผมรู้สึกได้ถึงความลื่นจากสิ่งที่โมหลั่งออกมามากมาย โมหน้าเชิดหลับตาพริ้ม แต่พอเสียวมาก ๆ เข้าก็ห่อปากซู๊ดดัง ๆ เต้านมกลมกระเพื่อมไปมาตามจังหวะที่ขยับเอวรูดแรง ๆ น่าดูเหลือเกิน

   ผมเอื้อมมือเคล้าคลึงเต้านมสลับกับให้นิ้วบีบบี้หัวนมเพิ่มอารมณ์ให้เธอทั้งสองข้าง โมแอ่นอกหราขยับเอวรูดขึ้นลงเร็วและแรงขึ้นด้วยความเสียว พอโมรูดแรง ๆ ร่องเนินของเธอที่ลื่นได้ที่ก็ทำให้ลำควยของผมเป็นมันปลาบไปด้วย แคมอวบอูมคาบลำควยผมเอาไว้เหมือนไส้กรอกในขนมปังแซนวิช จังหวะที่โมรูดลง ผมเห็นหัวควยโผล่หัวแดงออกมา แต่พอโมรูดร่องแคมขึ้นมาเนินอวบของเธอก็ขยับขึ้นสูงหัวแดงของผมกูผลุบหายไปอยู่น่าจะแถว ๆ เม็ดเสียวของเธอ

   และที่สำคัญก็ตอนที่โมรูดขึ้นมาสูง ๆ นี่แหละ (มันเหลือเกิน) เมื่อเธอขยับขึ้นมาสูงมากปลายควบควยของผมรูดปรื๊ดลงไปต่ำจนน่าจะถึงปากรูเสียว แล้วพอเธอไถเนินข้นมาหัวมู่ทู่ก็ขยับไถปากรูและครูดตามร่องมาชนกับเม็ดเสียวตรง ๆ จนโมต้องหยุดห่อปากครางลั่น
   "ซี๊ดดด...โอ๊วววววว...อาาาาาา...."
   ผมเองก็รู้สึกวาบไปทั้งลำควยที่ถูกแรงเสียดสีของร่องแคมจนตาลอยกันฟันกรอด ๆ เหมือนกัน

   โมรูดร่องแคมเร็วและแรงขึ้นเรื่อย ๆ เธอขยับลากขึ้นมาสูงมากและตอนลงก็กดลงไปต่ำมาก ๆ เช่นกัน รูดไปรูดมาผมนะเสียวและเกร็งก็เลยเริ่มยักย้ายส่ายก้นร่อน ทำให้ปลายควยผมจ๊ะเอ๋จ่อตรงปากรูพอดิบพอดี พอโมขยับเข่าชันยกขึ้นนิด ๆ เหมือนจะนั่งยอง ๆ แล้วขยับเนินรูดร่องเนินเสยขึ้นมาแรง ๆ ผมเสียววาบตรงหัวควยเหมือนถูกบีบรัดแน่น จนต้องครางซี้ดเบา ๆ

   โมเองกลับซี้ดปากลั่นโน้มตัวลงมาใช้มือยันยอดอกผม แล้วโน้มใบหน้าลงขยับก้นกดเนินเนื้ออวบลงมาทันที หัวควยของผมเข้าไปมิดเงี่ยง แล้วที่เหลือก็กำลังตามเข้าไปในรูเสียวของเธอ โมขยับก้นยิก ๆ กลืนท่อนลำให้ค่อย ๆ จมหายเข้าไปทีละน้อย โมขยับโยกเอวยักย้ายส่ายเป็นปั๊กเป้าเบิกทางให้ท่อนลำของผมเข้าไป ปากก็ครางซี้ด ๆ  ผมเองซู๊ดปากซี้ดถี่ ๆ เหมือนกินพริกเข้าไปเป็นกำ ๆ

   "อูยยยยย...พี่..กาญจน์...โม...จะ..ไม่..ไหว...โอ๊ววววววว...."
   โมร้องออกมาเสียงดังแล้วฟุบหน้าลงกับอก ผมยกมือขึ้นโอบร่างขาวผ่องของโมเอาไว้แน่นแล้วพยายามดันตัวพลิกให้เธอลงนอนหงายกับที่นอน ขยับสองสามทีก็เริ่มเข้าที่ท่อนเนื้อของผมถูกอัดจนฝังเข้าไปจนมิดด้าม

   ผมยันตัวขึ้นมาจับโคนขาโมดันให้อ้าออกกว้าง ช่องสวาทของโมบีบกระชับลำควยผมอย่างแรงจนทำให้ผมเสียวจนหน้าเหยเก ผมก้มลงมองแคมทั้งคู่ของโมที่แตกอ้าจนเห็นปากรูเสียวสีสดของเธอรัดรอบโคนควยของผมเอาไว้แน่น ผมจับขาโมพาดกับแขนแล้วขยับตัวไปข้างหน้า ปรับท่าให้สาวท่อนควยได้ถนัดและต่อเนื่องไม่ขาดตอน

   ผมก้มลงดูโคกหีสวยของโมอีกครั้งก่อนที่จะชักลำควยออกมานิดเดียวแล้วกระเด้า แคมอวบอูมทั้งสองของโมขยายออกตอนผมชักออก และย่นยู่ยุบเข้าไปตอนผมกระเด้าควยเย็ด เป็นภาพที่ดูแล้วแสนรัญจวนใจจริง ๆ โมหลับตาพริ้มห่อปากครางด้วยความเสียว ยิ่งผมขยับดึงออกมายาว ๆ แคมก็แตกอ้าออกจนเห็นปากรูเสียวชัดมันช่างงดงามเหลือเกิน

   ผมสุดทนที่จะทำช้า ๆ ต่อไปได้อีกแล้ว ก็เลยเริ่มสาวลำควยเข้าออกยาวและเร็วขึ้น โมเสียวจี๊ด ๆ จนต้องแอ่นก้นร่อนเนินรุกรับกับลำควยผมจนก้นลอยแทบไม่ติดที่นอน ผมแอ่นหลังเงยหน้าเชิดขึ้นก้นขยับกระทุ้งท่อนควยพรีดลงเต็มแรงลงไปจนมิดยันโคน

   "อูยยยยยย...โม...เสียวววว...เหลือ..เกิน...พี่...กาญจน์....อู๊ยยยยสสส"

   ผมบดอัดโคนควยผมกับแคมอวบของเธออย่างเมามัน หมอยเส้นหยาบใหญ่เสียดสีกับหมอยเส้นละเอียดของโมจนแทบแยกไม่ออกว่าเป็นของใคร โมแอ่นเอวดันสะโพกเธอลอยขึ้น ส่วนขาก็ถูกไหล่ผมดันโล้ไปข้างหน้า
   พอผมขยับถอยลงมาโมก็สอดมือเกี่ยวข้อพับเพื่อรั้งขาของเธอให้อ้าเอาไว้แทน ผมสอดมือลงไปยันที่นอนขยับสะโพกชักท่อนลำออกมายาว ๆ โมร่อนเนินตามมาเหมือนกลัวว่าผมจะชักออกมาจนหลุดจากรูสวาทของเธอ เหมือนปั๊กเป้าที่ต้องลมบนส่ายระรี้ระริก ทำให้ผมเสียวจนกัดฟันกรอด ๆ กระแทกท่อนลำพรืดลงไปเต็มแรง

   บางครั้งผมชักออกมาแค่หมิ่น ๆ จนเงี่ยงหลุดออกมาจากรูเสียว รอจังหวะให้โมร่อนโคกเธอขึ้นมาแล้วกระสวนกลับลงจนสุดตอบดเป็นวงแล้วชักออกมาให้เกือบสุดแล้วกระแทกกลับไปอีก โมครางซู๊ด ๆ ไม่ขาดปาก ผมเองก็ไม่ดีไปกว่าเธอสักเท่าไหร่หรอกมันเสียวจริง ๆ
   "พิ..พี่...พี่...กาญจน์...โม..โม...ม้าาายยย...หวาย...โอยยยยย....."
   ผมหลับตากระเด้าเนินโคกเธอถี่ยิบจนเธอร้อง "อ๊าาาาากกกกก......" ยาวแล้วถึงจุดสุดยอดไปก่อนผม

   ตัวผมเองก็ฉิวเฉียดเจียนอยู่เจียนไปเหมือนกัน พยายามเกร็งเอาไว้เต็มที่อัดแนบกับใหญ่นูนของเธอคานิ่ง ๆ ไม่กล้าขยับ โมกระดกเนินของเธอยิก ๆ อย่างสุดเสียว หายใจกระชั้นรัว หลับตาพริ้มอย่างเปี่ยมสุข ผมมองตุ่มเสียวที่ตรงป้านฐานหัวนมของโมที่ปูดเป็นเม็ดเล็กขึ้นมาชัดเจน ขนตามตัวก็ดูเหมือนจะลุกเกรียว
   "โอ๊ววววว....อื่มมมม...." โมเผยอปากครางแผ่วเครือด้วยอารมณ์กระสัน

   ผมหยุดเพียงครู่เดียวก็เริ่มขยับดึงท่อนควยของผมออกมาหนึ่งในสี่และสวนลงไปช้า ๆ
   "อ๊าาาาาาา......" โมครางออกมายาว
   ผมขยับซอยเย็ดเธอไปเรื่อย ๆ ในจังหวะสั้น ๆ อีกครั้ง ตัวผมเองก็ต้องห่อปากครางซี๊ด ๆ แทบไม่หยุดเหมือนกัน ภายในของโมทั้งแน่นทั้งดูด เธอขมิบแต่ละทีน้ำผมแทบเล็ด

   "เต็ม..เต็มที่...เลย..พี่..กาญจน์..." โมปรือตาหยาดเยิ้มมองสบตาผมนิ่ง
   ผมจึงขยับชักออกมายาว ๆ จนเกือบสุดอีกครั้งแล้วกระแทกพรืดเต็มแรงจนดัง "ปั๊บ ๆ" ชัดเจน เข่าทั้งสองของโมขยับอ้าออกเปิดฐานหน้าเนินกว้างของเธอออกเต็มที่ เสียงของเนื้อต่อเนื้อประสานกับเสียงครวญครางด้วยอารมณ์ทั้งของผมและของเธอดุจเสียงสวรรค์

   ผมเองเสียวสุดขีดแต่ยังพยายามเกร็งรั้งเอาไว้เต็มที่ สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยอมให้มันกระฉูดก่อนที่โมจะถึงอีกรอบเด็ดขาด แม้โพรงเนื้อของเธอจะขมิบตอดท่อนลำของผมแรงสักเพียงไหนก็ตาม

   "โอ๊วววว....ดี..ดี...พี่..กาญจน์ เย็ด..เก๋ง..จัง...เก๋ง....อู๊ยยยยยสสสส" เนื้อตัวของโมสั่นริกกล้ามเนื้อหน้าท้องเกร็งหนุนกันเป็นลอนลูกคลื่น เต้านมทั้งสองกระเพื่อมขึ้นลงสวนทางแรงกระแทกเย็ดของผม

   ในที่สุดแล้วผมเกร็งสุดตัว ความหนาวสั่นสะท้านแผ่นซ่านขึ้นมาตั้งแต่ปลายก้นกบวิ่งตามกระดูก สันหลัง ผมกระแทกหนัก ๆ แบบไม่ยั้งอีกแล้ว ในที่สุดก็ผวาลงกอดโมเอาไว้แน่น..กอดให้แน่นสุดชีวิต โมยกขาตวัดรัดเอวไว้ ส่วนมือก็กอดผมเอาไว้แน่นเช่นกัน อยากจะให้ร่างของเราละลายเป็นเนื้อเดียวกัน อยากประร่างทั้งสองให้เป็นร่างเดียวกัน ไม่ใช่แค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง ผมรีบประกบริมฝีปากจูบโมอย่างกระหายและรุนแรงอย่างไม่อาจห้ามใจ โมก็จูบตอบและเล่นลิ้นกันอย่างปล่อยใจเต็มที่

   โลกและสวรรค์ล้วนว่างเปล่า เบาหวิวไปทั้งใจและกาย อยากอยู่นิ่งไม่อยากรับรู้รับทราบอะไรทั้งนั้น

   เรานอนกอดกระชับกับแน่นอยู่แบบนั้น ปล่อยให้ห้วงเวลานาทีอยู่ส่วนของมัน ไม่เกี่ยวกับเราทั้งสอง
ให้พายุอารมณ์ที่โหมกระหน่ำอย่างหนำใจ เรานอนหอบหายใจ เร็ว ยาว แรง เนื้อตัวเบาหวิว นุ่มเหมือนปุยนุ่น แล้วยังเหมือนนอนอยู่บนปุยเมฆ โมรู้สึกไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่ เธอนอนหลับตาพริ้ม  ผมขยับหนังตาที่หนักเหมือนถ่วงหิน มองริมฝีปากยิ้มพรายของเธออย่างแสนอิ่มเอม ผมขยับตัวไปจูบแก้มผ่องของเธอเป็นการขอบคุณ แล้วนอนหลับตานิ่งปล่อยให้ใจล่องลอยไปสวรรค์วิมานแมนแดนสรวง

   ****************

   เราปล่อยให้อยู่ในท่านั้นนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้จนของผมอ่อนและหลุดออกจากของเธอ ผมได้ยินเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ
   "ขำเหรอโม....??" ผมกระซิบที่ข้างหู
   "พี่กาญจน์นี่เยี่ยมมากเลย..."
   "เยี่ยมไง..?" ผมถามเพราะอยากรู้คำว่าเยี่ยมของเธอนะหมายถึงอะไร
   "ก็...ก็...เย็ดเก่งไง...โมเสียวเกือบขาดใจ..."
   "เหรอ..โมชอบป๊ะ...?"
   "อึม...." แล้วโมก็นอนเงียบไป

   ****************
   เรื่องตอนค่ำ ๆ เอาไว้ก่อนเถอะ...อยากหลับตานอนพักกับโมก่อน
   ****************
.............
ด้วยความขอบคุณ kankan

 

เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

ziggy2

เหมือนได้ไปเที่ยวเลย write ข้อมูลแน่นจริงๆ ขอบคุณที่นำมาให้อ่านครับ

thep59

บรรยายได้ดีมากครับ ทำให้เห็นภาพเลยครับ อ่านแล้วอยากไปเลยครับ ขอบคุณกับนิยายดีๆแบบนี้ครับ

Ureal

ขอบคุณคับ หายค้างเลย สื่ออารณ์ออกมาได้ดีมากเลยคับ

tacklove

กาญจน์กะโมทำกันสุดแสนจะโรแมนติกจริงๆ เหมือนๆกับตัวเองหลุดเข้าไปทำแบบนั้นเลย บวกกับบรรยากาศที่แสนอบอุ่นและสวย(ในจินตนาการ)ช่างเป็นอะไรที่ครบรสจริงๆ รูป รส กลิ่น เสียง สุดๆเลยครับ คิดถึงแฟนจัง


whitehorse

เหมือนได้ไปด้วยเลยมีภาพประกอบด้วยอยากไปอยู่ตรงนั้นบ้าง สนุกมาก ติดตามนะครับ


kaithai

GhostWriter ภาคเวนิสพิศวาส ตอนที่ 3, นักเขียนผีกับหวานใจไปเวนิส   
kankan  7 Jan 2010, 21:18   

GhostWriter ภาคเวนิสพิศวาส ตอนที่ 3 Padova & Venezia
---------------------------------
Note : สวัสดีปีใหม่ทุกท่าน ขอให้มีความสุข ปราศจากโรคภัย รวย ๆ ตอนนี้ นักเขียนผี (กาญจน์ กับ น้องโม) ถึงเวนิสเรียบร้อยแล้ว ตอนเที่ยง ๆ เลยแหละ 55555
---------------------------------


นี่คือสิ่งที่คุณ kankan  โพสในเวลานั้น

acropobia899

บรรยายจนอยากพาสาวๆ ไปเที่ยวตามทริปแบบนี้เลยท่าน

บรรยากาศคงดีมากๆ  ไม่อยากจะคิดว่าจะฟินแค่ไหน


pitsaram

เนื้อเรื่องลื่นไหล สนุกมากครับ เร้าอารมณ์สุดๆ


nongoo144


dekduer55

สองคนนี้ได้อารมณ์มากบรรยากาศโรแมนติกทำให้อะไรก็ดีไปหมด