ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

GhostWriter ภาคเวนิสพิศวาส ตอนที่ 5 โบสถ์ San Marco & แก้ว Murano (Copy kankan)

เริ่มโดย Pem Samsan, กุมภาพันธ์ 08, 2017, 05:19:21 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

Pem Samsan

GhostWriter ภาคเวนิสพิศวาส ตอนที่ 5 โบสถ์ San Marco & แก้ว Murano (Copy kankan)
--------------------------------------

   ตอนที่แล้วฝีมือโมเป็นไงบ้างค่ะ..อิอิ เสียวดีไหมละ ? (อึม...ยกประโยชน์ให้ครูเต็ม ๆ...)
   พี่กาญจน์เคยบอกโมว่า...หัวใจของการเล่าเรื่องทั้งหลายทั้งหมด คือ "คน" ถ้ารู้ เข้าใจ รู้สึกได้ถึงคน ทั้งตัวเองและคนอื่น ๆ รอบข้าง เราก็นำเอาสิ่งเหล่านั้นนั่นแหละมาเล่า การเล่าเรื่องจึงเป็นเรื่องของใช้ศิลป์มากกว่าศาสตร์ ส่วนศาสตร์จะไม่ใช่ไม่จำเป็น ช่วยให้เรื่องเล่าคงเส้นคงวา ไม่สะเปะสะปะ
   พี่กาญจน์บอกต่ออีกว่า "ยาขอบ" เรียนหนังสือไม่จบมัธยม แต่เขียนเรื่องผู้ชนะสิบทิศยิ่งใหญ่กว่าจบปริญญาเอกเป็นไหน ๆ ให้โมลองดูเพื่อน ๆ ที่จบอักษรศาสตร์ หรือนิเทศน์ศาสตร์ออกมาซิมีกี่คนที่เขียนเรื่องราว เรื่องเล่าได้ดี ๆ มีบ้าง..แต่น้อยเสียเหลือเกิน วิธีการต่าง ๆ ในการเขียนใคร ๆ ก็เรียนได้ รู้ได้ ศึกษากันได้...แต่ทำไมถึงเขียนกันไม่ได้ เขียนไม่ออก แปลกดีไหมละ ?

   "ความเป็นนักประพันธ์ คือ เป็นผู้รู้คน" พี่กาญจน์ย้ำกับโมบ่อย ๆ ถึงอมตะวาจาของยาขอบ และยาขอบยังได้ขยายให้ฟังอีกว่า "ยิ่งรู้คนมากขึ้นเท่าไหร่ ธาตุแท้ของนักประพันธ์ยิ่งกุมกันแน่นแฟ้นขึ้นเท่านั้น"

   โมคิดว่าตัวเองเริ่มจะเข้าใจอะไร ๆ ได้นิด ๆ แล้วละ
   นอกจากนั้นพี่กาญจน์ยังย้ำอีกว่า คนจะเขียนเรื่อง เขียนนิยายได้ดีต้องมี 'คลังคำ' ในหัว สามารถดึงออกมาใช้ได้อย่างไม่จำกัด ภาษาไทยของเราเป็นภาษากวี เป็นภาษาดนตรี คำแต่ละคำแม้จะให้ความหมายเดียวกัน แต่ไพเราะไม่เท่ากัน

   อีกอย่างหนึ่งที่โมเอก็รับรู้รับทราบมานานแล้วตั้งแต่วัยเรียนแล้ว คือ อ่านให้มาก อ่านให้หลากหลาย อ่านจนรัก และเป็นรักที่ถอนตัวไม่ขึ้น อ่านให้กายและใจหลอมรวมกับหนังสือ แต่ไม่ใช่ท่องจำ อ่านให้อยู่ดวงจิต จึงตอนเขียนก็เหมือนกัน เขียนอย่างที่ไม่มีตัวเราเป็นคนเขียน มีแต่ใจ ตัวละคร และเรื่องราวของพวกเขาเท่านั้น

   โมจะพยายาม...พยายาม และพยายาม

   ................................

   เช้านี้โมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา..เวลาเท่าไหร่ก็ไม่รู้หละ แต่คงสายมากแล้ว แสงแดดสาดผ่านผ้าม่านสีอ่อนเนื้อหนาเข้ามาในห้อง โมนอนซุกอยู่กับอกของพี่กาญจน์ ได้ยินเสียงกรนเบา ๆ อยู่เลย เมื่อคืนคงเหนื่อยมากซิ...(ฮา....) หวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน โมอดที่จะวาบหวามใจไม่ได้เลย คนอะไรก็ไม่รู้...ไม่น่าเชื่อว่าจะเก่งถึงขนาดนั้น
   "อุ๊ ๆ ท่าลิงอุ้มแตง...ฮู้วววววววว" อ๊ะ ๆ นึกแล้วแปล๊บขึ้นมาเลย เกิดมายังไม่เคยโดนท่านี้เลย....

   โมพยายามนอนนิ่ง ๆ ให้มากที่สุด ก็ไม่อยากจะปลุกให้พี่กาญจน์ตื่นนี่นา แอบจุ๊บตรงหัวใจเขอบคุณเบา ๆ สวรรค์มันเป็นแบบนี้เอง...อิอิ...มันไม่ใช่เกียรติ ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือความมั่งคั่งร่ำรวยใด ๆ ที่เป็นได้อย่างมากแค่เปลือก
   โมคงเป็นคนที่โชคดีมาก ๆ ที่มีทั้งพี่โอ๊คกับพี่กาญจน์มอบความสุขความเสียวให้อย่างเกินอิ่มและตาหลับ ผู้หญิงเราจะมีอะไรเลอเลิศและวิเศษวิโสไปกว่ามีผู้ชายรักจริง หลงใหล ทั้งตัวและหัวใจอีกละหรือ ? งั้น..จะพากันไปบุกป่าฝ่าดงหรือลำบากยังไงก็ยอมละ ขออย่างเดียวก็คือมีใจให้แก่กันอย่างเต็มเปี่ยม

   โมแอบจุ๊บตรงหัวใจพี่กาญจน์เป็นระยะ ๆ แต่ก็ทำอย่างแผ่วเบา ไม่อยากให้รู้สึกตัว แต่ครั้งสุดท้ายนี่ซิ ไม่รู้ว่าจุ๊บแรงไปหรือไง พี่กาญจน์ขยับตัวพลิกนอนหงาย
   "ตื่นนานแล้วเหรอ...."
   "อื้ม...."
   "หลับสบายจังเลย...โอ๊ววสายมากแล้วซิ..." โมยันตัวขึ้นมองหน้าพี่กาญจน์แล้วพยักหน้า
   "เหนื่อยมากเหรอ...?" ถามแล้วหน้าคงปรากฏริ้วสีแดงเรื่อเป็นแน่เลย ก็มันเขินเหมือนกันนี่นา
   "โมละ..เหนื่อยหรือเปล่า...?" แต่พี่กาญจน์ถามแบบยิ้มละไม โมส่ายหน้า
   "พี่ไม่เหนื่อยหรอก..แต่สุด ๆ ในชีวิตเลย..." พี่กาญจน์จ้องตาโมนิ่งจนต้องหลบแล้วแนบแก้มลงกับอก
   "คนอะไรก็ไม่รู้..เอาเก่งจัง..." เสียงแผ่วออกจากปากโม
   "จริงหรือเปล่า ?" เสียงพี่กาญจน์มีแววตื่นเต้น
   "จริงอะไร...?"
   "ที่ว่าเอาเก่งนะ..?" พี่กาญจน์ยกมือขึ้นมาลูบผมเบา ๆ
   "จริง...สุด ๆ ไปเลย..." โมตอบแล้วหัวเราะเบา ๆ ก็มันจริงนี่นา คนอะไรก็ไม่รู้ (น่าเสียดายจัง)
   "พี่เองก็สุด ๆ เลยในชีวิต..."
   โมนอนแนบอกฟังเสียงหัวใจพี่กาญจน์เต้นตุ๊บตั๊บ ๆ นิ่งไม่ตอบอะไรอีก

   .................................

   "เออ..พี่กาญจน์จ๋า....วันนี้เราจะไปดูอะไรกันมั่งละ ?" โมเปลี่ยนเรื่องดีกว่า พี่กาญจน์นิ่งเงียบจนโมต้องผงกหัวขึ้นมอง
   "เราไปดูในโบสถ์ San Marco กันดีกว่า โมเห็นแต่ข้างนอก วันนี้เราไปดูข้างในกัน ลุกขึ้นไปอาบน้ำกันเถอะ..."
   "พี่กาญจน์ยังเหนื่อยอยู่หรือเปล่าละ ?" พี่กาญจน์ขยี้ผมโมแรง ๆ แล้วหัวเราะหึ ๆ ก่อนจะพูดว่า
   "ไม่ต้องห่วง...หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแล้วละ แล้ว..แล้ว..." แกล้งหยุดแล้วยิ้มตาเป็นประกายจนโมทุบปั๊กเอาที่ไหล่
   "แล้ว..อะไร..บอกมานะ..." เอาฟันงับตรงหัวนมจนพี่กาญจน์ร้องอุ๊ย...
   "โม...ยอม...บอกแล้ว...แล้ว..แล้ว..โมอยากเหนื่อยกับพี่แบบนั้นอีกหรือเปล่า ละ ?" โมก้มลงจูบกลางอกอีกครั้งแล้วหัวเราะ อิอิ ไม่ตอบหรอก

   ................................

   อาบน้ำแต่งตัวเสร็จสิบโมงกว่าแล้ว พี่กาญจน์รวบรวมเสื้อผ้าที่ใช้แล้วใส่ถุงที่ทางโรงแรมเตรียมเอาไว้ให้ นั่งกรอกรายละเอียดในแผ่นกระดาษที่วางเตรียมเอาไว้ให้บนโต๊ะ ลอกแผ่นกาวแปะลงไปบนถุง
   "ทำอะไรนะพี่กาญจน์ ?" โมอดที่จะถามไม่ได้ พี่กาญจน์หันมายิ้ม
   "เดี่ยวพี่จะส่งซักนะโม..." โมพยักหน้า

   เราเดินออกจากโรงแรมเกือบสิบเอ็ดโมง
   "โมอยากกินอะไร ?"
   "พิซซ่า" โมตอบด้วยความมั่นใจ ยักไหล่แล้วถามอีก "อร่อยเปล่า ?" พี่กาญจน์ส่ายหน้า
   "ไม่เหมือนบ้านเรา มันแข็ง ๆ หน่อย"
   "โมอยากลอง...ไหน ๆ มาถึงต้นตำหรับแล้ว..." พี่กาญจนดึงโมมาซุกอก
   "ได้เลย..เดินจากนี้หน่อยเดียวก็ถึงแล้ว..."

   ดูแล้วน่ากินเน๊อะ...แต่แหะ ๆ บ้านเรานะอร่อยที่สุดแล้ว....
   
   คนเราเวลามีความสุขถึงจะไม่อร่อยยังไง ก็กินได้อย่างสุนทรีย์นะ กินจนอิ่มเชียวละ ออกจากร้านเดินกลับมาตามเส้นทางเดิมเข้าแถวซื้อตั๋วเข้าชมภายในโบสถ์ มีคนยืนรออยู่ก่อนเกือบสามสิบคน ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีเราจึงได้รับตั๋วและเดินเข้าไปภายใน

   ภาพหน้าโบสถ์ San Marco
   
   ภายในโบสถ์โมเดินเข้าไปอย่างตื่นเต้น พื้นโบสถ์ปูหินอ่อนเนื้อดีสุด ๆ ในชีวิตเห็นอาคารเก่าแก่มาก็ไม่น้อย แต่บอกได้เลยว่าในชีวิตโมไม่เคยเห็นหินอ่อนเนื้อดีขนาดนี้มาก่อน แผ่นหินอ่อนเรียงเป็นลวดลายสวยมาก ไม่ใช่หินอ่อนสีขาวแบบนมสดนวลเนียนเท่านั้น หินอ่อนที่นี่มีหลากสีสรร แต่ละแผ่นรู้สึกได้ถึงคุณค่า แต่ด้วยความเก่าและพื้นดินของเวนิสเป็นที่ราบปากแม่น้ำไม่แข็งพอเลยทำให้พื้นเป็นลอนสูง ๆ ต่ำ ๆ อย่างน่าเสียดาย

   พี่กาญจน์สะกิดให้โมเงยหน้าขึ้นมองแท่นบูชาที่อยู่ตรงกลาง ดูแล้วละลานตาจริง ๆ เสาหินแบบต่าง ๆ ประกอบกับรูปปั้น รูปสลัก และยังแต่งแต้มด้วยโมเสกหลากสีสรรอย่างวิจิตรบรรจง พี่กาญจน์บอกว่า กว่าจะได้ความสมบูรณ์ขนาดที่เห็นนี่ ช่างต้องใช้เวลาสร้างเสริมต่อ ๆ กันมานานนับร้อยปี

   (น่าเสียดายที่ภายในโบสถ์ไม่ให้มีการถ่ายรูปใด ๆ ทั้งสิ้น)

   พี่กาญจน์ชี้งานชิ้นหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางโบสถ์ ทำเป็นทางขึ้นสู่แท่นบูชาชั้นใน พื้นเป็นหินอ่อนระดับสุดยอดของสุดยอดจริง ๆ ก่อเป็นบันไดขึ้นไปเป็นชั้น ๆ มีเสาหินอ่อนตั้งเรียงกัน แต่ละต้นนะ...โอวว...โอ๊ววววว...ช่างงามล้ำค่าจริง ๆ หัวเสาแกะเป็นลายละเอียดยิบ พี่กาญจน์หันมากระซิบว่า
   "เสานะสวยแล้วโม ลองดูไม้กางเขนบรอนซ์นั่นซิ..." โมพยักหน้าแล้วหันไปมองผ่านแสงสลัวที่สาดเข้ามาในโบสถ์
   "อึม...มันเป็นไงมาไงกันค่ะ...?" โม..งงนี่นา ไม้กางเกงมันก็เป็นไม้กางเขน มีอะไรแปลกเป็นพิเศษหรือ ?
   "ไม้กางเขนชิ้นนี้..อายุไม่มากไม่มายเท่าไหร่...แค่หกร้อยกว่าปี..เอง" พี่กาญจน์กระซิบบอกพร้อมทิ้งหัวหัวเราะในตอนท้าย ไม้กางเกงเขนตั้งเด่นเป็นสง่า มีประติมากรรมนักบุญสาวกพระเยซูยืนเรียงรายเป็นหน้ากระดาน

   โมขยับมาทางซ้ายทีขวาที พยายามหามองมุมถนัด ๆ ยืนพิจารณา โอ๊ยยยย...มันทำกันได้ยังไงหว่า สุดยอด ๆ ๆ ๆ ๆ ผลงานแต่ละชิ้นโมขอบอกว่าขั้นเทพประทาน ประกอบด้วยหินอ่อนเนื้อเยี่ยมเนียนตา ดูเท่าไหร่ก็ไม่มีเบื่อ ดูวนไปเวียนมา เอาตรงโน้นมาเปรียบกับตรงนี้ ให้พี่กาญจน์เล่าถึงตรงนั้น ดูด้วยสายตาที่ทึ่งและซาบซึ้งในฝีมือของมนุษย์จริง

   เผลอแป๊บ ๆ เวลาผ่านไปแล้วเกือบสองชั่วโมงจนพี่กาญจน์สะกิด
   "โมยังมีม้าอยู่ข้างบน..อีกนะ..."
   "หา....ม้า...." แหมจะไม่ให้...หา...ได้ไง โบสถ์กับม้ามันไม่น่าจะเกี่ยวกันนี่นา
   "ใช่ม้า...ม้าจริง ๆ..ม้าที่ร้อง ฮี้ ๆ กับ ๆ นั่นแหละ"
   แหม...ดูพี่กาญจน์ซิทำหน้ายื่นเหมือนม้าเชียว อิอิ แล้วตรงนั้นอาจจะญาติห่าง ๆ ของม้าก็เป็นได้ อิอิ พี่กาญจน์เหมือนจะอ่านแววตาทะลึ่งของโมออก เอานิ้วชี้มาจิ้มหน้าผากโมแล้วขยี้ไปมาอย่างมันเขี้ยว

   "มา ๆ พี่เล่าต่อ ม้า..ของเวนิสเป็นประติมากรรมม้าศึกโรมันที่หาได้ยากมาก ๆ สมัยก่อนนั้นม้าศึกนะมีความสำคัญมาก เรียกกันว่า 'Quadriga' ใช้ม้าศึกสี่ตัว ม้าสี่ตัวนี้มีความเป็นมาสนุกมาก ตอนกรุงโรมตะวันออกล่มสลาย ความเจริญต่าง ๆ เริ่มย้ายไปอยู่ที่จักรวรรดิ์โรมันตะวันตกที่กรุงคอนสแตนดิโนเปิล จนสืบต่อกันมาอีกนับพันปี ก่อนถึงจุดเสื่อมสลาย พ่อค้ารายหนึ่งรีบนำประติมากรรมชั้นยอดนี้หลบซ่อนออกจากเมืองและหลบเอามาเก็บที่เวนิสนี่แหละ เวนิสเอาไปซ่อนไว้ที่หลังคาโบสถ์นี่แหละ หลังจากนั้น...ม้าสี่ตัวนี้ห้อเหยียดไปถึงฝรั่งเศสอีกที โดยท่านนโบเลียน ต่อมา..เมื่อ ท่านนโบเลียนหมดอำนาจ ม้าชุดนี้ถูกนำกลับมาไว้ที่เวนิสเหมือนเดิม"

   แต่พอเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าโบสถ์ โมเห็นม้าศึกทั้งสี่ตัวยืนเรียงเป็นแถว แต่ละตัวใหญ่มาก กล้ามเนื้อเป็นมัดนูนเด่น เส้นเอ็นที่น่องและขาชัดเจน โมมาสะดุดก็ตรงที่บริเวณคอม้าทำไมมันถึงได้มีปลอกเหล็กรัดอยู่ด้วย... แต่เขาทำกลมกลืนนะ..ไม่น่าเกลียด..ถ้าไม่สังเกตดี ๆ จะไม่เห็นความแปลกแยก แล้วทั้งสี่ตัวอยู่ตรงตำแหน่งเดียวกันหมด

   ภาพ..ม้าศึกที่บนหลังคาโบสถ์ San Marco
   
   ภาพแรกนะเป็นตัวจำลอง ของจริงเก็บเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์
   
   "พี่กาญจน์..ม้าศึกของโรมนี่เขาใส่ปลอกคอแบบนี้หรือไง ?" พี่กาญจน์ส่ายหน้ายิ้มพราว
   "โมนี่เก่งไม่ใช่เล่นนะ ช่างสังเกตเชียว ปลอกคอนี่มีความเป็นมา ก็ตอนที่เคลื่อนย้ายม้ามาจากกรุงคอนสแตนดิโนเปิล เขาจำเป็นต้องหั่นเอาคอม้าออก ก็ตัวมันใหญ่มากนี่นา จึงต้องเอาหัวม้าแยกมาต่างหาก เมื่อแอบเอามาจนถึงเวนิสได้สำเร็จ เลยต้องมีการเชื่อมหัวม้าเข้ากับตัวใหม่อีกครั้ง ทำไง ๆ ยังเห็นรอยต่ออยู่ ทำให้เรียบสมบูรณ์เหมือนเดิมไม่ได้คิดกันจนปวดหัวอยู่นานเชียวทีเดียว ในสุดเลยเสนอให้ทำปลอกคอสวมเพื่อปกปิดร่องรอย แล้วทุกคนก็เห็นด้วย ก็เป็นมาฉะนี้..."
   "น่าเสียดายนะ...."
   "นั่นซิ...แต่ก็ดีกว่าที่ต้องสูญเสียไปตลอดกาล พวกนี้เป็นมรดกของมนุษยชาตินะ"
   โมพยักหน้าแล้วอดหวนนึกไปถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาไม่ได้ เราสูญเสียศิลปะของชาติไปมหาศาลจนไม่อาจนับได้ ทั้งจากการปล้นชิง การเผาทำลาย เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เรารุ่นลูกหลานไม่สามารถจะเห็นได้อีกแล้ว

   ออกจากโบสถ์ San Marco พี่กาญจน์พาโมเดินไปยังฝั่งตรงข้ามเพื่อขึ้นไปชมวิวเวนิส หอชมวิวนี้เรียกว่า Campanile di San Marco เป็นสิ่งก่อสร้างที่เรียกว่าสูงที่สุดในเวนิส สูงหนึ่งร้อยเมตรพอดิบพอดี พี่กาญจน์เล่าต่อว่าหอนี้สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 จากนั้นก็ต่อเติมกันเรื่อย ๆ จนสุดท้ายกลายเป็นตึกสี่เหลี่ยมสีอิฐอย่างที่เห็น ด้านบนยอดหอมีหินสีขาว และมีนางฟ้าที่สามารถหันไปมาตามลมได้

   หอ Campanile di San Marco
   

   โมแหงนหน้าดูยอดหอ พี่กาญจน์จึงรีบดักคอโมว่า
   "คงไม่ไหวละซิ...ไม่ได้คิดให้โมต้องขึ้นบันไดไปนี่นา..เขามีลิฟต์บริการจ๊ะ..." แหมคนอะไรรู้ทันไปทุกอย่างเชียว อิอิ โชคดีที่วันนี้คนไม่มากนัก ไม่นานเราได้ขึ้นมาชมวิวบนจุดสูงสุดกับท้องฟ้าใสกระจ่าง อากาศเย็นสบายดีจริง ๆ มลภาวะน้อยมาก ๆ สูดเข้าไปได้อย่างเต็มปอด โมเดินไปดูมุมโน้นบ้างมุมนี้บ้าง แล้วมายืนมองเรือยอร์ชลำสีน้ำเงินคาดขาวที่กำลังเล่นผ่านหน้าจัตุรัส San Marco สวยจริง ๆ เราใช้เวลาเดินชมภายในโบสถ์กับหอชมวิวไปมากกว่าสี่ชั่วโมง
   "โม..หิวยัง...พี่จะพาโมไปชิมแฮมเบอร์เกอร์ยี่ห้อดังของเวนิส..." โมตาลุกวาวเลยซิ มีด้วยเหรอ..
   "อยู่ตรงไหนละพี่กาญจน์.....?" พี่กาญจน์ดึงมือโมเดินลัดเลาะเข้าไปในซอกหนึ่งของจัตุรัสแล้วก็มาเจอกับเจ้าตัว M สีเหลืองอยู่เหนือประตู
   "นี่ไง...เข้าไปชิมเลยพี่กาญจน์..." โมขันพี่กาญจน์ตั้งเห็นไอ้เจ้าตัว M แล้ว แกล้งดันหลังพี่กาญจน์แรง ๆ ให้นำหน้าฝ่าคนเข้าไป ร้านเขาอยู่ในซอยแคบ ๆ ประตูโค้งสีเขียวเข้ม แต่โมว่ามันอร่อยสู้เมืองไทยบ่ได้ด๊อก.... ยังห่างชั้นกว่าส้มตำปูเยอะเลย อิอิ

   หลังจากยัดแฮมเบอร์เกอร์รองท้องกันคนละก้อน พี่กาญจน์จูงมือพาโมเดินดูอาคารสวยหรูยาวเหยียดตลอดแนวทั้งสองด้านนับร้อยคูหา ร้านเด็ดที่พี่กาญจน์คุยนักคุยหนาว่ายังไงก็ต้องพาโมไปนั่งละเลียดให้ได้ก็คือร้าน "Caffe Florian" เสียงพี่กาญจน์ยังก้องในหัวโมเลย
   "โม..ร้านกาแฟเก่าแก่ที่สุดในโลกนะ ร้านนี้เปิดขายกาแฟมาตั้งแต่ คศ.1720"
   "หา...!" โมร้อนลั่นเลยแหละ ร้านกาแฟบ้าอะไรเปิดมาได้เกือบสามร้อยปีเข้าไปแล้วนั่น
   "ไม่ต้องหาละ..เขาเปิดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา...สนไหมละ...?"
   "สน..ซิ...ร้าน..ร้านกาแฟ...Caffe Florian เนี๊ยะ....!!"
   จะไม่ให้โมต้องเบิกตาโตเป็นไข่ห่านได้ไง ร้านกาแฟที่เปิดขายต่อเนื่องไม่เคยปิดมายาวนานเกือบสามร้อยปี โดนไม่หยุด ไม่เลิก
   "เฮ่อ..มันจะอาหย่อยยย..ขนาดไหนกันละนี่....? ไปเลยพี่กาญจน์จ๋า...."
   เอาหน้าผากโหนก ๆ ดันไหล่พี่กาญจน์ให้รีบเดินไปเร็ว ๆ จนทำให้พี่กาญจน์แกล้งทำเป็นเซมากระแทกโม

   เดินไล่ร้านไปเรื่อย ๆ ที่ละร้าน เขาอนุรักษ์ของเก่าเอาไว้อย่างดีที่สุด
   เมื่อหลายร้อยปีก่อนเป็นแบบไหน ตอนนี้ก็ยังคงเป็นแบบนั้น ภายในร้านคุณจะจัดจะวางยังก็ได้ตามใจ แต่เดินดูเถอะทุกร้านจะจัดร้านแบบมีคลาสด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครจัดแบบเลอะเทอะหรอก เขารับผิดชอบบ้านเมืองของเขา ร้านแบรนด์ดัง ๆ เรียงกันไปเป็นแถว พี่กาญจน์ยื่นหน้าทำเป็นชี้ชวนให้มองร้านแบรนด์กระเป๋า แต่ขอโทษเถอะโมไม่ใช่คนบ้าแบรนด์ มองแล้วก็แค่นั้นไม่ได้เกิดอาการกรี๊ดแต่อย่างใด เดินมาประมาณครึ่งทางก็ถึงร้านกาแฟโคตะระเก่าและแก่ที่ว่า (ไม่ได้ว่าพี่กาญจน์นะ...บอกก่อน อิอิ)

   ร้าน Caffe Florian (หน้าร้าน)
   
   มุมสูง จะเห็นโต๊ะเล็ก ๆ มีวงดนตรีมาแสดงด้วย
   
   วงที่เล่นเป็นประจำ
   
   ชุดกาแฟชุดใหญ่
   

   หน้าร้านที่ดูว่าเก่าแสนเก่าแล้ว พอเข้าไปข้างในหรูหรามาก คนมากินกาแฟจำนวนหนึ่งแต่งกายกันแบบไม่ธรรมดา โดยแต่งกายย้อนยุคใส่หน้ากากมาโชว์ด้วย โย่ว ๆ ๆ
   
   ทีนี้มาดูถ้วยกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์ของร้าน
   
   โมกับพี่กาญจน์เดินเข้าไปเลือกนั่งโต๊ะติดกระจก นั่งสักพักจึงมีบริกรใส่ชุดหรูเริดกว่าชุดเจ้าบ่าวเสียอีก นายนั่นเดินเข้ามาถามเราว่าจะรับอะไร พี่กาญจน์กับโมสั่งคาปูชิโนสองที่กับเค้กอีกคนละชิ้น ขณะรอเห็นหนุ่มสาวเดินเข้ามาในร้านแต่ละคนใส่ชุดหรูเลิศวิจิตพิสดาร

   นั่งละเลียดกาแฟคาปูชิโนสไตล์อิตาลีแท้ ๆ อยู่นาน ดูผู้คนที่เดินเข้าเดินออกกันขวักไขว่
   "ถ้าโมมาในช่วงเทศกาล Venice Carnival ราว ๆ ต้นเดือนกุมภาฯ จะมีคนแต่งชุดย้อนยุคแบบนี้เยอะไปหมด"
   "โห..คงน่าดูมาก ๆ เลยซิ..."
   "อึม..แต่ละชุดพี่เคยเข้าไปคุยกับพวกเขามาราคาเป็นล้านก็มี พวกนี้จะหวงชุดของเขามาก ห้ามคนเข้าแตะชุดโดยเด็ดขาด"
   "แต่งกันทั้งเมืองเลยหรือเปล่า ?"
   "ก็คนที่เป็นเวนิสแท้ ๆ เกือบทั้งหมดนั่นแหละ บางชุดตกทอดกันมาเป็นร้อย ๆ ปี"

   งาน Venice Carnival
   
   
   
   
   
   

   โมหลับตาจินตนาการจากคู่ที่นั่งกินกาแฟอยู่โต๊ะไม่ไกลนัก โหถ้าแต่งกันแบบนี้ทั้งเมืองคงสวยและยิ่งใหญ่น่าดู
แบบนี้ต้องหาโอกาสมาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์อีกสักทีแล้วหละ ชุดพวกนี้เป็นมนต์เสน่ห์มัดใจแขกผู้มาเยือนได้จริง ๆ ด้วย

   อิ่มอาหารว่าง ดูดดื่มกับรสกาแฟต้นตำหรับ ผสานเพลงโดยการบรรเลงของวงดนตรีสี่คน เพลงทั้งคลาสสิค ป๊อบ ร๊อค ส่วนใหญ่ก็คุ้น ๆ หูทั้งนั้นแหละ อาการเย็นสบาย ผู้คนแต่งตัวสวยงาม หนุ่มหล่อสาวสวย แม้คนสูงอายุต่างก็ค่อนข้างดูดี โมว่าที่นี้เพรียบพร้อมทั้งอาหารปาก อาหารตา อาหารหู และอาหารทางใจครบถ้วน สมเป็นเมืองสวรรค์

   ออกจากร้านกาแฟโคตะระเก่า พี่กาญจน์พาเดินไปยังมุมที่เป็นร้านหรู ๆ โดยเฉพาะ เข้าซอยเล็กจิ๋วอยู่ตรงข้ามกับโบสถ์แล้วเดินทะลุผ่านอาคารเข้าไป เริ่มต้นกันที่ร้านหลุยส์ซึ่งตั้งตระหง่านท้าทายชิดชาแนล กุชชี่ บอตเตก้า พราด้า และ...และ...อูยยยย...เรียงเป็นแถว..เยอะจริง ๆ โห...ทุกแบรนด์ที่คนไทยอยากได้มีหมดและมีมากกว่าที่เรารู้จักเสียอีก ของที่ขายก็มีมันทุกรูปแบบ ประเภทลิมิเต็ดเอดิชันก็เยอะแยะจนตาลาย ถ้าขาประจำมาคงรูดกันบัตรลุกเป็นไฟทีเดียวแหละ

   "โม..อยากได้อะไรก็เลือกเอาเลยนะ...เต็มที่...."
   โมหันมายิ้มแล้วส่ายหน้า ไม่ใช่โมเกรงใจพี่กาญจน์หรอก แต่โมไม่ใช่คนบ้าแบรนด์ต่างหาก เดินเข้าร้านนี้แล้วก็ออกไปร้านโน้น ไล่ไปทีละร้าน ๆ มีความสุขกับการได้ดูอย่างเดียว

   เอ๊ะ ๆ แต่ไปเจอกับเสื้อตัวหนึ่งชุดลายหอย รีบหยิบป้ายมาดูราคาแล้วคูณห้าสิบในใจแล้วก็หัวเราะ
   "เสื้อบ้าอะไรว๊ะ..เสื้อหอยตัวนี้ราคาเกือบสี่แสน..ใส่แล้วมันจะเหาะก็ไปอย่าง..." พี่กาญจน์แอบได้ยินเสียงพึมพำของโมก็หัวเราะ
   "เออ..มันบ้าจริง ๆ นั่นแหละเสื้อตัวเดียว...สี่แสน..." เราหันมาสบตากันแล้วหัวเราะเดินออกจากร้าน

   เดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ตามเส้นทางไปสะพาน Rialto สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านเล็กร้านน้อยมากมายนับไม่ไหว


   ผ่านไป ๆ จนเจอร้านขายของฝากกระจุ๋มกระจิ๋มที่ขายเครื่องแก้วมูราโน
   สร้อยคอรูปหัวใจ
   
   ชิ้นนี้ก็ทำจากแก้วแต่เป็นสีทอง ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทำได้ยังไง แต่แพงสุด ๆ
   
   โหอันนี้ถูกใจสุด อิอิ..ใจแตกกับอันนี้นี่แหละ
   
   แล้วอันนี้ก็เรียบร้อยโมไปเหมือนกัน
   
   ประเภทแบบนี้ก็เยอะมาก ๆ
   
   แบบหุ้มด้วยทองคำขาวก็มีหลากหลายแบบ แต่อันนี้ไม่กล้าแตะเลย...สุด ๆ มีเพชรประกอบด้วย
   
   แหวนวงนี้ซื้อให้พี่กาญจน์เป็นที่ระลึก
   

   นี่ของที่ระลึกจากทางร้านเนื่องจากจ่ายไปเยอะทีเดียว
   

   ดูเพลินจนแทบไม่อยากเดินไปดูของอย่างอื่นเลย เครื่องแก้วมูราโนนี่โมดูจากในเน็ตมาก่อนแล้ว แต่พอมาเจอของจริงพระเจ้าจอร์จ ซาร่าละลานตาละลานใจจนเตลิดเกินห้ามใจ แล้วพี่กาญจน์ก็เชียร์จัง ไม่เชียร์อย่างเดียวจะซื้อให้อีกแนะ ไอ้เราก็บ้าจี้ลืมตัวไปหลายชิ้น มันโทษใครไม่ได้หรอก ต้องโทษพี่กาญจน์นั่นแหละที่ทำให้โมสนใจเครื่องแก้วมูราโน ตั้งแต่ตอนที่พี่กาญจน์มาเวนิสครั้งแรก ขากลับพี่ท่านซื้อสร้อยรูปหัวใจไปฝากโม เฮ่อ...ตกหลุมรักตั้งแต่ครั้งนั้นแหละ เอ..หลุมอะไร ไม่ใช่หลุมพี่กาญจน์หรอก เป็นหลุมมูราโนนะ..โปรดอย่าเข้าใจผิด

   ดี..สมแล้วละ..ต้องลงโทษให้หนัก อยากทำให้โมคลั่งมูราโน..ทำม่ายก็ไม่รู้

   เดินออกมาจากร้านพร้อมกับถุงอย่างดีมียี่ห้อมูราโนเป็เอกลักษณ์ บอกตามตรงนะค่ะ..อยากกอดแล้วจูบพี่กาญจน์มาก ๆ เลย แต่กลับเมืองไทยแล้วโมจะโอนเงินไปเข้าบัญชีให้ทีหลังนะ

   "พี่กาญจน์เล่าเรื่องที่มาที่ไปของแก้วมูราโนให้ฟังหน่อยซิ..."
   พี่กาญจน์โอบเอวมือดึงเข้ามาใกล้ ๆ พาเดินไปนั่งตรงหน้าร้านขายหน้ากากเชิงสะพานริอัลโต
   "เดิมช่างเป่าแก้วก็อยู่บนเกาะเวนิสนี่แหละ แต่การเป่าแก้วมันต้องใช้ไฟใช่มั้ยโม" โมพยักหน้ารับเหรอ ๆ หน่อย
   "เป็นเหตุให้เกิดไฟไหม้บ่อย ๆ ชาวเวนิสจึงได้ขับไล่พวกเป่าแก้วให้อพยพไปอยู่ที่เกาะอื่น ด้วยความจำใจพวกนักเป่าแก้ว จึงพากันย้ายไปอยู่เกาะใกล้ ๆ ที่ชื่อเรียกว่ามูราโน คนบนเกาะก็ยินดีต้อนรับ อยู่มาตั้งแต่ตอนนั้นถึงตอนนี้ก็นานหลายร้อยปี

   ฝีมือของนักเป่าแก้วพวกนี้เป็นที่ยอมรับของคนทั้งโลก แก้วที่พวกเขาเป่าออกช่างวิจิตรพิสดารอย่างที่โมเห็นนั่นแหละ มีเทคนิคการใส่สี ใส่ทอง เงินและอื่นเข้าเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับแก้วล้วนแล้วแต่พิสดาร ถ้ามีโอกาสเราอาจแวะไปที่เกาะก็ได้" โมพยักหน้าสายตาลุกวาว...จนพี่กาญจน์หัวเราะแล้วกระซิบว่า
   "ซื้อได้อีกนะ...โควตายังไม่หมด..." โมค้อนให้แล้วพูดว่า

   "ยุให้ซื้อมาก ๆ โมไม่มีเงินคืนพี่กาญจน์ไม่รู้ด้วยนะ..." พี่กาญจน์หัวเราะจนเห็นฟัน
   "พี่ให้โม...." พูดแล้วก็เอานิ้วชี้จิ้มหน้าผากโหนกของโมเล่น
   "เกรงใจ..มันเยอะนา..."
   "นาน ๆ ทีได้เงินมาพี่ไม่ค่อยได้ใช้อะไรมากนักหรอก...แบ่งให้โมใช้มั่งก็ดีเหมือนกัน ช่วยงานพี่ก็เยอะนี่นา..." พูดแบบนี้จะไม่ให้โมซึ้งใจได้ไงพี่กาญจน์ขา...น้ำตาจะไหลคลอจะไหลให้ได้เชียว...

   เดินเที่ยวกันจนเย็นมากเลยจึงเดินลัดเลาะกลับทางเก่า โมจำทางไม่ได้หรอก เข้าตรอกนั้นออกซอยนี้ พี่กาญจน์จำทางได้ไงก็ไม่รู้
   "พี่กาญจน์จำทางได้ไง...." พี่กาญจน์หัวเราะแล้วชี้ให้ดูป้ายเล็ก ๆ ตามมุมตึก แต่ถ้าให้โมนำทางรับรองหลงแน่นอน เพราะฉะนั้นพี่กาญจน์ไปไหนโมเกาะติดหลังเจแบบไม่ยอมให้ห่าง กลัวถูกทิ้ง....อิอิ

   กว่าจะกลับมาถึงจัตุรัส San Marco ก็เกือบทุ่ม
   ต้องเข้าใจนะคะว่าประเทศแถบนี้ในฤดูกาลนี้เวลาสองทุ่มกว่าแล้วยังสว่าง เหมือนห้าโมงหกโมงเย็นบ้านเราเลย กว่าจะมืดสนิทโน้นก็สามทุ่มไปแล้ว
   "โมหิวยัง..." โมส่ายหน้า
   "ซัดมูราโนเซี๊ยะเต็มคราบแล้ว..."
   "น่า...ไปกินกันเถอะ...."
   "พี่กาญจน์พาไปซิ...."

   นั่นซิ..มันต้องให้พี่กาญจน์พาไป โมจะพาไปถูกซะที่ไหน
   นึกว่าพี่กาญจน์จะพาไปกินที่ไหน ในที่สุดกลับมากินอาหารเย็นย่ำที่โรงแรมกินไปชมวิวไปเกือบสามทุ่มแล้วยังไม่มืดเลย
   
   ภาพนี้มองจากห้องพักของอีกวันถัดมา
   
   จานนี้น่ากินสุด ๆ
   
   สเต็กซี่โครงแกะกับไวน์รสเลิศ
   

   แก้วมังกรไม่รู้มาจากเมืองไทยหรือเปล่า แหม..แต่วางอย่างศิลป์จริง ๆ
   

   ความมืดโรยตัวลงมาคลอเคลียกับบรรยากาศแสนโรแมนติด
   ผลไม้รสเปรี้ยวหวานค่อย ๆ หายไปทีละชิ้นจนหมดจาน
   สายตาพี่กาญจน์มองโมตาเป็นประกายจ้า โมไม่หลบสายตาวาวนั่นหรอก
   "วันนี้..พี่ให้โมพักหนึ่งวัน..." โมพยักหน้ายิ้มล้อ ๆ
   "ยังอิ่มกับเมื่อคืนอยู่เหรอพี่กาญจน์...?" โมกระซิบถามเบา ๆ พี่กาญจน์ส่ายหน้า
   "พี่เห็นโมเดินไม่ค่อยปกตินัก เลยอยากให้พักสักคืนนะ...ไม่รู้จะดีขึ้นหรือเปล่า ?"

   แหม...ดูซิช่างสังเกตถึงขนาดนั้นเชียว จากการกระแทกกระทั้นเมื่อคืนตื่นทำให้เช้านี้โมรู้สึกหน่วง ๆ พิกล
   "ทีหลังก็ถนอม ๆ หน่อยซิ อิอิ...เล่นเสียงรุนแรงแบบนั้น ผู้หญิงก็แย่ซิ...." พี่กาญจน์สลดลงนิดแล้วพยักหน้า
   "พี่ขอโทษ..อดใจไม่ไหวจริง ๆ พยายามแล้วนะ..."
   "อิอิ...โมเองก็อยากให้เต็มที่แบบนั้นด้วย...ไม่ได้โทษพี่กาญจน์ซักหน่อย...แต่พี่กาญจน์จะอดใจไหวหรือเปล่าละ ?"
   "ไหวซิ...ไว้ตกเบิกคืนพรุ่งนี้...."
   "อื้อ..." โมตอบรับแบบไม่ค่อยเชื่อว่าพี่กาญจน์กับโมจะอดใจเอาไว้ได้

   พี่กาญจน์ลุกขึ้นแล้วยื่นมือมาประคองให้ลุก เดินอิงแอบกันเงียบ ๆ ขึ้นลิฟต์
   "โม..วันนี้ขอพี่จูบโมทั้งตัวได้ไหม...??" โมหันมามองแล้วยิ้มเต็มหน้า
   "อดใจไม่ไหวละซิ...โมเซ็กซี่ถึงขนาดนี้...ใช่ปล่าว ?" พี่กาญจน์ส่ายหน้า "อ้าว..แล้วทำไมอยากหอมอย่างนั้นละ จะทนไหวเหรอ ? ..บอกหน่อยซิ..."
   "พี่แค่อยากหอมโมไปทุกส่วน อยากตั้งแต่วันแรกที่พี่ได้เห็นโมแล้วละ.."
   "โอวววว...แล้วทำไมพี่กาญจน์ไม่หอมเสียละ...? เห็นทำแต่อย่างอื่น อิอิ"

   "หึ ๆ...อดใจไม่ไหวนะซิ มันอยาก..." พี่กาญจน์หยุดนิดนึงแล้วเอียงมาริมหูให้โมขนลุกซู่ "ความอยากเย็ดมันแย่งไปหมดเลย..."
   "วันนี้ไม่ได้เย็ด..เลยอยากหอมงั้นซิ..." พี่กาญจน์พยักหน้าตาพราวเยิ้มเชียว
   "อื้อ....งั้นแหละ...." พี่กาญจน์รับคำง
   "โมจะอาบน้ำแล้วแก้ผ้าล่อนจ้อนให้พี่กาญจน์หอมทุกจุดทุกเลยเลย...ดีไหมจ๊ะ...?" พี่กาญจน์ยิ้มหน้าบานเชียว
   "ดีซิ..ดี...พี่จะหอม ๆ ๆ ๆ ให้สมใจอยากเลย..."

   "อิอิ..แล้วพี่กาญจน์จะอดใจไหวเหรอ ? ซะขนาดนั้นนะ..." โมแอบถามเสียงแผ่วเชียวแหละ แค่นึกยังไม่รู้ว่าตัวเองจะทนไหวหรือเปล่าเลย
   "รับประกัน..วันนี้พี่ให้โมได้พักแน่นอน..." พี่กาญจน์ยกขึ้นทำท่าเหมือนสาบาน
   "โมเชื่อพี่กาญจน์..แต่กลัวว่าโมเองจะทนไม่ไหวซะต่างหาก แค่ฟังก็ชักเสียว ๆ แล้ว..."
   "อ้าว..ไม่อยากเก็บเอาไว้บ่มให้สุกงอมในวันพรุ่งนี้เหรอ..." โมพยักหน้าแล้วเอียงตัวไปซบไหล่พี่กาญจน์

   เดินออกมาเปิดประตูเข้าห้องพี่กาญจน์กอดโมเอาไว้แน่น
   "อึม...เก็บเอาไว้วันพรุ่งนี้นะ..." โมย้ำเบา ๆ
   "ได้จ๊ะ..พี่ตามใจโม.."
   "งั้น..ให้พี่กาญจน์หอมโมได้อย่างเดียว...อย่ามาขอโมทำอย่างอื่นเชียวหละ..." พูดแล้วโมแกล้งเอาหน้าขยี้ กับอกแล้วกอดจนแน่น พี่กาญจน์เองตวัดแขนรัดตัวโมไว้แน่นเช่นกัน
   "ให้โมไปอาบน้ำอาบท่าก่อน..รอนิดนึง..."
   "จ๊ะ..." พี่กาญจน์ตอบเสียงใสพร้อมปล่อยตัวโมเป็นอิสระ

   โมเดินไปจัดเตรียมเสื้อผ้า
   "พี่กาญจน์..เสื้อผ้าที่ซักมาส่งแล้วละ...." พี่กาญจน์รีบเดินเข้ามาดู แล้ว...อิอิ ดันมาช่วยโมถอดเสื้อผ้าไปเสียนี่
   ถอดไม่ถอดเปล่าดันไม่เรานุ่งอะไรเสียอีกปล่อยให้เปลือยล่อนจ้อนอยู่อวดเรือนร่างอวบตึงสมส่วน
   "รูปร่างโมนี่ดูเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ อก เอว สะโพก น่าฟัดจริง ๆ ด้วยแหละ" พูดแล้วถอยออกมาเอียงคอซ้ายทีขวาทีด้วยสายตาแพรวพราว
   "อ้าว..นี่โมจะได้อาบน้ำไหมนี่ ?" พี่กาญจน์หัวเราะร่วนแล้วพยักหน้า
   "ได้ ๆ รีบ ๆ เข้านะ..."

   ตกลงโมไม่ต้องนุ่งอะไรแล้วละ คว้าผ้าเช็ดตัวจากพี่กาญจน์แล้ววิ่งจู๊ดเข้าห้องน้ำทันที
   อิอิ...ตรงนี้วางกลเอาไว้นิดนึง คอยดูว่าที่โมคิดจะถูกหรือเปล่า ?

   ขั้นแรกโมล้างหน้าล้างตาเพื่อขจัดคราบเครื่องประทินผิวออกไปเสียก่อน ต่อมาเปิดฝักบัวปรับน้ำจนได้ที่ เล้วรดไปทั่วร่าง ๆ ค่อย ๆ ขัดสีฉวีวรรณ เทสบู่เหลวที่เก็บเอามาจากโรงแรม 'ฝันของจูเลียต' ฟอกไปทั้งตัว เน้นหนักไปตามซอกทุกมุม

   อิอิ...แล้วกลที่วางไว้หรือสังหรณ์ก็เป็นจริง แม่นไหมละ ?
   เสียงเคาะประตู แล้วบิดลูกบิด รู้ว่าพี่กาญจน์ทนไม่ได้จะต้องเข้ามาร่วมด้วย โมจึงไม่ล็อคประตูไง ?
   "เข้ามาซิคะ..." ตอบไปด้วยน้ำเสียงเจือแววขำ

   พี่กาญจน์ค่อย ๆ เปิดประตูยิ้มแป้นเข้ามา
   "อยู่คนเดียวเหงา..."
   "เหงาก็มาอาบกับโมซิ..." พี่กาญจน์หัวเราะก้าวขึ้นมายืนด้านหลัง สอดมือเข้าประคองสองเต้านวดเบา ๆ โมเลยยื่นฝักบัวให้สายน้ำรดตัวพี่กาญจน์ข้าง แล้วกลับหลังหันมายืนประจัญหน้า เอาสายน้ำฉีดไปที่ตรงอก มือก็ลูบไล้ไปทั่ว
   "พี่เทสบู่เหลวมาหน่อยซิ..โมจะฟอกตัวให้..."

   พี่กาญจน์ก้มลงหยิบขวด Ferragamo เปิดฝา โมส่งฝักบัวให้พี่กาญจน์ รับขวดสบู่เหลวมาบีบเทลงบนฝ่ามือ
ลูบไล้ไปทั่วแผ่นอกแล้วถูนวดเบา ๆ ไปจนทั่ว สอดเข้ายังจั๊กแร้แล้วอ้อมมือไปยังด้านหลัง ชั่วครู่ทั้งพี่กาญจน์และโมต่างก็ลื่นไปด้วยฟองสบู่ที่หอมกรุ่นชื่นใจ

   โมสอดมือลงไปฟอกน้องชายพี่กาญจน์ ก็แกล้งถู ๆ นวด ๆ จนมันผงาดแข็ง กระดกสู้มือตลอด ตอนนั้นนึกในใจขึ้นมาอีกแล้วว่าพี่กาญจน์จะทนไหวแน่ละเหรอ แค่นวดยังผงาดได้ขนาดนี้ พี่กาญจน์ให้โมเล่นอะไร ๆ ได้ใจชอบจนโมบอกให้พี่กาญจน์รดน้ำล้างตัวนั่นแหละ

   พี่กาญจน์รดน้ำให้โมก่อนแล้วลูบไล้ไปทั่วร่าง ทีนี้พอถึงช่วงล่างนี้ซิพี่กาญจน์จับขาโมข้างหนึ่งยกขึ้นมาเหยียบขอบอ่าง ยื่นฝักบัวเอาน้ำฉีดเข้าไปกลางร่องแคม โมสะดุ้งเชียว จากนั้นพี่ใช้มือและนิ้วล้างของโมจนสะอาด โดนเข้าแบบนี้มีหรือโมจะไม่เสียว  โมเลยให้พี่กาญจน์ยกขาขึ้นเหยียบขอบอ่างมั่ง แก้แค้นว่างั้นเถอะ กว่าจะล้างน้องชายเสร็จ อิอิ...ทำเอาพี่กาญจน์ตัวเกร็งไปเลย

   เฮ่อ...จะใจแข็งพอไหมนี่ (ตัวเองนะ)

   อาบน้ำเสร็จพี่กาญจน์ดึงผ้าขนหนูมาคลุมตัวโม ประคองมลงมายืนบนพรมหน้าอ่าง
   พี่กาญจน์จัดการเอาผ้าเช็ดตัวมาซับน้ำบนตัวจนแห้งแล้วลงมายื่นข้าง
   "มา..มาให้พี่เช็ดตัวให้...." โมยื่นกางแขนปล่อยให้พี่กาญจน์ทำตามใจชอบ

   จับขาโมแยกออกแล้วคุเข่าลงเช็ดตรงเนินที่ห่างจากใบหน้าไม่กี่นิ้ว
   แหม...ดูแลมันอย่างพิถีพิถันมาก ๆ แถมเช็ดเสร็จยังก้มลงจูบกลางเนินฟอดใหญ่เป็นรางวัลอีก
   "หอมชื่นใจจัง..โม..."
   "ถูกใจเจ้า Ferragamo...." พี่กาญจน์ส่ายหน้า
   "เนื้อโมนะหอมอยู่แล้ว..."

   พี่กาญจน์ยื่นมือไปหยิบแปรงสีฟันมาบีบยาสีฟันแล้วส่งให้โม จากนั้นก็บีบใส่แปรงสีฟันของตัวเอง เรายืนแปรงฟันหน้าอ่างล้างหน้าที่มีกระจกเงาบานใหญ่
   ภาพเปลือยเปล่าของโมกับของพี่กาญจน์เหมือนภาพถ่ายบนผนังชัด เราสบตาผ่านกระจกเงากันบ่อย ๆ สายตาพี่กาญจน์จับจ้องอยู่ตรงเต้านมกลมอวบเหมือนถูกแรงดึงดูด ไม่นานการแปรงฟันของเราทั้งสองก็เสร็จเรียบร้อย ล้างปากล้างมือ

   พี่กาญจน์จูงมือโมออกมาจากห้องน้ำ เดินมาที่ริมเตียง เปิดผ้าห่มที่เป็นผ้าคลุมเตียงไปด้วยออก โมคลานขึ้นมานอนกลางเตียง พี่กาญจน์ขยับตามขึ้นมาทีนที พี่กาญจน์นั่งลงข้าง ๆ ตัวโม ส่วนโมเองแกล้งหลับตาพริ้ม
   "พี่หอมนะ...." แหม...เสียงกระเส่าเชียวนะ โมพยักหน้าแต่ยังลืมตามอง

   พี่กาญจน์ก้มลงหอมตรงหน้าผากโหนกฟอด ๆ  หนำใจก็ไล่ลงมาที่แก้มนวล หอมแล้วพึมพำเบา ๆ ว่า
   "ชื่นใจ ๆ ๆ" อยู่นั่นแหละ
   "โมนี่ตัวหอมจังเลย..."

   พี่กาญจน์หอมแบบสูดกลิ่นเนื้อฟอด ๆ ผ่านเลยริมฝีปากโมไปที่คาง ลำคอ ไหล่ แล้วจับแขนโมทั้งสองข้างยกขึ้นเอาไปวางพาดกับหมอน โมปรือตามองเห็นพี่กาญจน์ที่กำลังดูจั๊กแร้ของโมแล้วก้มลงหอมฟอดหนึ่งก่อน
   โมจั๊กจี้กับริมฝีปากและไรหนวดเคราจนอดเกร็งตัวไม่ได้ ยิ่งพี่กาญจน์เอาจมูกซุกถูไถไปตามแนวจั๊กแร้ อารมณ์มันบอกไม่ถูก อิอิ..รู้สึกอยากฟัดพี่กาญจน์ให้จั๋งหนับขึ้นมางั้นแหละ

   พี่กาญจน์หอมจั๊กแร้ทั้งซ้ายและขวา แล้วไล่มาที่เต้านมโดยใช้ริมฝีปากจูจุ๊บเป็นระยะ เต้าทั้งสองถูกหอมแทบทุกตารางมิลลิเมตร เรียกว่าหอมแล้วหอมอีกอย่างไม่รู้เบื่อ หอมจนปุ่มเสียวปรากฎขึ้นชัด ๆ เลย พี่กาญจน์เอาหน้าซุกตรงที่กลางอกแล้วขยี้เบา ๆ จนโมจั๊กจี้จนต้องยื่นมือขึ้นไปจับหัวของพี่กาญจน์กดเอาไว้ให้อยู่นิ่ง ๆ

   พี่กาญจน์เงยหน้าขึ้นโมก็เลยปล่อยมือลง
   "โม..หอมเหลือเกินจ๊ะ...ชื่นใจที่สุด..."
   พูดแล้วพี่กาญจน์ก้มหน้าลงที่หน้าท้อง หอมตรงนั้นตรงนี้ก็แล้วแต่ความพอใจ จมูกสูดกลิ่นเนื้อไล่ลงเรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่ตรงหลุมสะดือ พี่กาญจน์เงยหน้าขึ้นแล้วห่อปากก้มลงจุ๊บพร้อมกับขยี้หน้าไปมาแรง ๆ อุ๊ย...สยิวจนโมถึงกับตัวงอเชียวหละ แหม..เล่นไปได้ขนาดนั้น.....

   จากนั้นก็ไล่จมูก-ปากลงไปทีละนิด ๆ พี่กาญจน์ข้ามเนินโหนกของโมไปเสียงั้นแหละ แค่หยุดมองนิดเดียวแล้วก้มลงจุ๊บไปตามโคนขาโม ขยับเคลื่อนไปทีละนิด ๆ จนถึงเข่า จับขาโมยกแล้วดันอ้าออกในท่างอเข่า จากนั้นเอาฝ่าเท้าทั้งสองมาปะกบกันเป็นท่าดอกบัว พี่กาญจน์จัดท่าจนพอใจเชียวหละ เอียงซ้ายเอียงขวา สายตาลุกวาวเชียว โมแม้จะไม่เห็นเรือนร่างตัวเองกับตา แต่คิดว่าหน้าเนินของโมคงเปิดโล่งโจ้งอวดเต็มพื้นเนินเขาให้เห็นเต็มตาเชียว พี่กาญจน์เหลียวมองเนินโมบ่อยครั้ง เอาลิ้นเลียริมฝีปากไปมาอย่างกระหาย

   "เฮ่อ..จะรอดไหมเนี๊ยะ...." ประโยคนี้ปรากฏขึ้นมาในใจอีกครั้ง เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้

   พี่กาญจน์ก้มลงหอมโคนขาโมใหม่อีกครั้ง แล้วไล่จมูกต่ำลงไปที่ขาหนีบ จุ๊บเป็นระยะ ๆ ไปเรื่อย แต่ตอนที่โมปรือตาแอบมองเห็นนะ สายตาพี่โมไม่ค่อยโฟกัสห่างจากเนินอวบของโมไปไกลหรอก แม้จะนอนหนุนแต่ก็เห็นไม่ชัดหรอก โมอยากจะเห็นว่าพี่กาญจน์จะทำยังก็เลยผงกหัวขึ้น พี่กาญจน์เงยหน้าขึ้นมาเห็นแล้วยิ้มพราวถามว่า
   "โมอยากดูก็ยันตัวลุกขึ้นซิ...เอาหนอนพิงหลังไว้ก็ได้..."
   พี่กาญจน์ขยับตัวไปดึงหมอนมาวางซ้อนกันสองใบหนุนหลังให้ ส่วนโมเอามือทั้งสองยันที่นอนในลักษณะกึ่งนั่งกึ่งนอน

   พี่กาญจน์กลับมานั่งที่ตรงข้ามจับเข่าโมดึงขึ้นให้อยู่ในลักษณะชันเข่าแล้วฟุบตัวราบลงกับที่นอน ใบหน้าห่างจากเนินอูมของโมไม่เกินสามนิ้ว ตามองแล้วจุ๊ปากจุ๊บจิ๊บ เงยหน้าขึ้น
   "ของโมนี่...แคมสวยเหลือเกิน..น่าดูจัง..." โมยิ้มหวานให้กับคำชม แต่สายตาของพี่กาญจน์นี่ซิอธิบายไม่ถูกว่าดึงดูดจิตใจของโมยังไง
   สายตานั้นมากับถ้อยกระทงความนวนมากมายมหาศาล แล้วแล้วแต่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดได้ นอกจากสัมผัสได้ในความรู้สึกของกันและกันเท่านั้น โมมองเห็นถึงเยื่อใย ความเอื้ออาทร นุ่มนวล อ่อนหวาน และความปรารถนาที่ลุกฮือโหมทั้งมวลที่อยู่ในใจของพี่กาญจน์ ขณะเดียวกันนั้นโมคิดว่าพี่กาญจน์ก็ได้สัมผัสใจของโมผ่านทางสายตาเหมือนกัน
   ตาเป็นประตูของหัวใจจริง โมว่า...มันเร้ารุนแรงยิ่งกว่าคำพูดเป็นไหน ๆ ก็เจ้าคำพูดนั้นมันต้องผ่านกระบวนการร้อยเรียงแสร้งสรรอีกต่อหนึ่งนี่นา

   พี่กาญจน์สบตาหวามกับโมอยู่ครู่ใหญ่ แล้วก้มหน้าลงจูบตรงกลุ่มไหมดำกลางเนินอีกครั้ง เรื่องกลุ่มไหมหรือ 'หมอย' ของโมนะเส้นไม่ได้หยาบหนาเหมือนแบบของพี่กาญจน์หรอกจ๊ะ เส้นนะเล็กละเอียดสีดำสนิท แล้วโมก็ไม่ดกจนรกหรอกคะ แผ่เป็นปีกหยิกแนบกับเนินเนื้อขาวกับดำตัดกันดีจัง โมก้มลงดูพี่กาญจน์ห่อริมฝีปากจุ๊บกลางกลุ่มหมอยของโมครั้งแล้วครั้งเล่า

   ความรู้สึกในใจมันอธิบายไม่ถูกหรอกคะ แต่โมจะไม่แลกความรู้สึกนี้กับอะไรทั้งสิ้น ทั้งความสุข ซาบซึ้ง ดื่มด่ำ การซ่านกระสันที่แผ่ลามขึ้นมา โมว่ามันมีค่ามากกว่าอะไรทั้งหมด พี่กาญจน์เป็นคนละเอียดอ่อน อ่อนหวาน ทั้งความรู้สึกและอารมณ์ บรรดานี้นี่แหละที่พี่กาญจน์ทอดผ่านรอยจูบแล้วจูบส่งมาถึงโม

   ใจหนึ่งโมชักอยากให้พี่กาญจน์แลบลิ้นออกมาโลมเลียตรงนั้นผ่าซักนิด แต่ต้องรีบหักห้ามใจ อิอิ...อยากบ่มความกระสันนี้เอาไว้นาน ๆ  เก็บให้มันกระสันจนล้นทะลักในคืนพรุ่งนี้ดีกว่า ให้แสนหวานแสนชื่อใจและสมใจอยากมากกว่า

   พี่กาญจน์ขยับหน้าต่ำลงไปอีก จูบตรงกลางร่องกลีบแคมอวบนูนทั้งสอง โมกลัวพี่กาญจน์จะเมื่อยก็เลยยันตัวขยับแอ่นก้นให้ลอยขึ้นช่วย พี่กาญจน์ขยี้จมูกปากกับกลางเนินอย่างเมามันแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มเหมือนยั่ว

   "ชื่นใจที่สุดเลยโม....อยากจูบแบบนี้มานานนักหนาแล้ว..."
   "นานนะ..ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?"
   "ก็ตั้งแต่...ที่พี่เห็นโมครั้งแรกนะ..." โมเบิกตาโพรงมองสบตาพี่กาญจน์นิ่ง
   "ตั้งแต่....แต่....ตอนนั้นเลยเหรอนี่...." พี่กาญจน์พยักหน้า
   "เก็บเอาไปฝันเลยแหละ..."
   "ฝันไง..??"
   "ฝันว่าได้จูบแบบนี้แหละ จูบ ๆ ๆ ๆ ๆ ซ้ำ ๆ แบบนี้ นี่ ๆ ๆ ๆ...."
   พี่กาญจน์ระดมจูบเนินโคกอวบของโมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วนโมเองก็เกร็งตัวแอ่นก้นร่อนรับอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

   "พี่กาญจน์ฝันว่าจูบโมอย่างเดียวหรือเปล่า ?" พี่กาญจน์เงยหน้าขึ้นแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ
   "ฝันอะไรอีก ?"
   "ฝันว่าเย็ดโมด้วย...บ่อย ๆ เลย"
   "ฝันแล้วชักว่าวเหรอ ?"
   "อื้อ...คิดถึงโมแล้วไม่รู้เป็นไง..มันมีอารมณ์ทุกทีจนอดใจไม่ได้..."
   "โมเซ็กซี่มากถึงขนาดนั้นเลยหรือไง ?"
   "กับคนอื่นพี่ไม่รู้หรอก แต่สำหรับพี่โมคือเทพธิดาในฝันจริง ๆ"
   โมฟังพี่กาญจน์พูดแล้วอดขำไม่ได้ นี่แสดงว่าโมถูกพี่กาญจน์แอบ...โมไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้วซิ

   "งั้นถามจริง...พอได้สัมผัสกับของจริงแล้วถูกใจเหมือนอย่างฝันหรือเปล่า ?" โมแกล้งแอ่นก้นเอากลีบเนินถูจมูกพี่กาญจน์จนพี่จูบอีกฟอด
   "แล้วตกลง...พี่กาญจน์สมหวัง หรือผิดหวัง ?"
   "พี่สมหวัง....โม อึ่ม...จูบให้ชื่นใจอีกที..." พี่กาญจน์ระดมจูบฟอด ๆ อย่างไม่รู้เบื่อ "โมเยิ้มไปหมดแล้วนะ...." พี่กาญจน์เงยหน้าขึ้นบอกตายิ้มพราว
   "อื้อ..มันขมิบใหญ่เลยแหละ" โมสารภาพ

   "เสียวเหรอ..." โมพยักหน้า
   "พี่ใช้ลิ้นเลียให้เอาไหมละ...?" โมส่ายหน้า
   "โมอยากเก็บเอาไว้วันพรุ่งนี้..."
   "ทนไหวแน่นะ...?"
   "อื้อ...เอาเป็นว่าพี่กาญจน์ละทนไหวหรือเปล่า ?"
   "ไหวซิ....เมื่อคืนทำให้โมระบมไม่น้อยซิ...?" โมพยักหน้า
   "หน่วง ๆ อยู่เหมือนกัน...." พี่กาญจน์ก้มลงซุกหน้ากลางเนินนิ่งครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้น
   "พี่ส่งกำลังใจไปช่วยแล้วละ...หรือจะให้พี่เป่ามนต์ให้...."
   "หา...พี่กาญจน์เป่ามนต์เป็นด้วยเหรอนี่...อ้าว..ลองดู...."
   "งั้นโมขยับอ้าขาออกกว้าง ๆ กว่านี้หน่อย" โมรีบทำตามก็อยากรู้นี่ค่ะว่าจะเป่ามนต์ยังไง ไม่เคยได้ยินมาก่อน

   พี่กาญจน์ใช้หัวแม่มือทั้งสองข้างกดอ้ากลีบแคมรั้งออก เผยให้เห็นร่องแคมเป็นมันเยิ้มจรดปากรูเสียว
   "โม..พี่เป่ามนต์แล้วนะ...." พูดจบพี่กาญจน์ห่อปากแล้วเป่าลมพรวดตรงไปยังปากรูเสียว

   โห...สะดุ้งเลย...มันเสียวแปล๊บ ๆ ขึ้นมาสุดใจเลย พี่กาญจน์เป่าครั้งที่หนึ่ง สอง สาม แล้วก็อีกหลายครั้งจนโมนับไม่ไหว โมเสียวสะท้านและเกร็งตัวเขม็ง ภายในขมิบอย่างรุนแรงจนขึ้นจี๊ด ๆ มาเลย พี่กาญจน์เงยหน้าขึ้นหัวเราะแล้วพูดว่า
   "เป็นไงมนต์ของพี่..." โมระบายลมหายใจออกยาว ผ่อนคลายตัวเองลง
   "มนต์..มนต์..พี่กาญจน์นี่...โห...แรง...มาก ๆ" พูดเสียงตะกุกตะกักเลยแหละ แล้วโมก็หัวเราะ พี่กาญจน์ก็ยันตัวขึ้นนั่งอีกครั้งแล้วหัวเราะร่วนประสานเสียงกับโม

   โมเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิบ้าง ยกมือขึ้นทุบที่ไหล่พี่กาญจน์เบา ๆ
   "แกล้งโมเหรอ...." พี่กาญจน์หัวเราะเต็มเสียงแล้วพยักหน้า โมเลยโอบรอบคอพี่กาญจน์แล้วทิ้งตัวลงกับที่นอนดึงตัวพี่กาญจน์ล้มลงมาด้วย
   "เดี่ยว...ไม่ไหว..พอเถอะ...พี่กาญจน์จะหลับลงหรือเปล่าละ ?" พี่กาญจน์ไม่ฟังกลับก้มลงจูบหน้าผากโหนก "พี่กาญจน์จะให้โมดูดให้เอาไหมจ๊ะ ?" พี่กาญจน์ส่ายหน้าแล้วก้มลงจูบหน้าผากอีกที
   "พี่อยากเก็บเอารอโม..เอาไว้ถึงพร้อมกับโม.." พี่กาญจน์ยันตัวขึ้นดึงตัวโมเอาหมอนออกจากหลังมาหนุนให้โม
   "ให้พี่จูบส่งท้ายราตรีสวัสดิ์ก่อนนะ..."
   พี่กาญจน์ไม่รอให้โมตอบยังไง ก้มหน้าลงหอมตรงหน้าผาก หัวนมทั้งสองข้าง หลุมสะดื้อ แล้วจุดสุดท้ายเนินโคกอวบของโม

   จากนั้นพี่กาญจน์ขยับไปดึงผ้าห่มมาคลุมร่างโมและสอดตัวเข้าไปนอนตะแคงกอดอยู่ข้าง ๆ โมพลิกตัวนอนตะแคงซุกหน้าลงกับอกกำยำแล้วจูบตรงตำแหน่งหัวใจฟอดใหญ่
   "พี่มีความสุขเหลือเกินโม พี่ได้ทำอย่างที่พี่ฝันมานานแล้ว..."
   "จูบนี่เหรอ..."
   "ก็ทั้งหมดนั่นแหละ...สำคัญที่พี่ได้ทำกับโมต่างหาก" พี่กาญจน์ก้มลงหอมเรือนผมโม
   "โมก็มีความสุขอย่างที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลย...โมสารภาพความจริงให้พี่กาญจน์ฟังนิดนะ..."
   "หือ..สารภาพ...."   
   "คะ..."
   "งั้น...ว่ามาเลยโม....."

   "ไม่ใช่พี่กาญจน์แอบคิดกับโมแบบนั้นคนเดียวหรอก...."
   "หมาย..หมายความว่าไงโม...?" พี่กาญจน์สวนขึ้นมาทันที
   "โมก็เก็บเอาพี่กาญจน์ไปฝันว่าเคยทำอะไร ๆ กับโมมาเหมือนกันแหละ...."
   "โม...โม...เคยฝันว่าเย็ดกับพี่เหรอนี่....ดีใจจัง...."

   "ทำไมดีใจด้วย...พี่กาญจน์ก็ยังฝันว่าได้เย็ดโมไม่ใช่เหรอ...?"
   "พี่ดีใจที่สุดเลยที่ได้ฟังจากปากโม..." พี่กาญจน์ก้มลงหอมหน้าผากตอนที่โมเงยหน้าขึ้นฟอด ๆ "งั้น..ฝันของเราก็เป็นจริงซินะ...โชคดีจัง...."
   "โมขอบคุณพี่โอ๊คที่ให้โอกาสนี้แก่โมและพี่กาญจน์..."

   "นั่นซิ....มันดีมาก ๆ เลย..ดีที่สุดในชีวิตของพี่เลย..."
   "กับโมก็เหมือนกัน..."
   "ให้พี่หอม..หอม.ตรงนั้นโมอีกทีได้หรือเปล่าละ ?" พี่กาญจน์เอานิ้วชี้จิ้มไปที่เนินโคกของโมนอกผ้าห่ม
   "แน๊ะ ๆ ติดใจละซิ..."
   "อื้อ..ติดใจมาก ๆ เลย อยากหอมบ่อย ๆ"
   "งั้นก็หอมซิ...ไม่มีใครห้ามนี่นา...อิอิ"

   ตกลงพี่กาญจน์ต้องดึงผ้าห่มออกอีกครั้งแล้วขยับตัวลงไปก้มหอมเนินที่นูนเป็นหลังเต่าของโมฟอดแล้วฟอดเล่า อีกครั้งและอีกครั้ง โมผงกหัวขึ้นมองด้วยอารมณ์ที่แสนจะอิ่มเอม ชื่นบานเหมือนกับได้ดื่มน้ำทิพย์ก็ไม่ปาน

   โมปล่อยให้พี่กาญจน์หอมจนพอใจแล้วมานอนกอดอยู่ในผ้าห่มเหมือนเดิม
   พี่กาญจน์จับให้โมนอนหงายอ้าขาออกเพื่อให้มือพี่กาญจน์โลมลูบสัมผัสกับกลีบเนินได้สะดวก
   "หมอยโมนิ่มมือมาก ๆ เลย...ไม่เหมือนของพี่เส้นแข็งเชียว..."
   "เอ่อ..พี่กาญจน์ชอบผู้หญิงขนดก หรือมีนิดหน่อยแบบโม หรือโล้น ๆ แบบเด็ก"
   "พี่เหรอ..." พี่กาญจน์นิ่งเหมือนคิดไปครู่ "แบบดกมาก ๆ มันตำจมูกแย่ โล้น ๆ แบบเด็กก็ไม่ไหว แบบโมนี่แหละอยู่สายกลางกำลังพอดี..."
   "พี่กาญจน์เกาเบา ๆ แบบนี้สบายจัง..."
   "อื้อ...ชอบจะได้เกาให้ก่อนนอน..."
   "ดีจัง..."

   .....................................

   พี่กาญจน์เกาเบา ๆ ไปที่ซอกขาหนีบแล้วเลื่อนมาที่เนินนูน เกากลีบแต่ละข้าง แล้วใช้ปลายเล็บของนิ้วชี้กับนิ้วกลางเกาไปกลางกลุ่มขนมันยุบ ๆ ยิบ ๆ เสียวสบายมาก ๆ จนอยากให้นอนเกาแบบนี้ทั้งวันทั้งคืนไปเลย
โมหลับตาพริ้มปล่อยกายปล่อยใจให้ลอยละล่องเข้าไปในในห้วงแห่งความฝันแสนหวาน

   "หมื่นแสนลำลึงค์แห่งข้า
   ไร้เดียงสาไปเสียแล้ว
   แค่เพียงหนึ่งจุมพิตโยนีแห่งนาง"
   (จำมาจากเรื่องสั้นเรื่องอะไรจำไม่ได้แล้ว)

   เสียงอ่านนั้นนุ่มนวลแผ่วเบา จะเป็นเสียงพี่กาญจน์หรือเสียงใครโมก็ไม่รู้ โมไม่สามารถลืมตาขึ้นมองได้แล้ว มันหนักเสียเหลือเกิน พยายามฝืนจากความหลับอันแสนสบาย ปล่อยดวงจิตใจปลอดโปร่ง โมสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าคืนพรุ่งนี้โมจะตอบแทนให้พี่กาญจน์อย่างเต็มความปรารถนาทีเดียว

------------------------------------------
ด้วยความขอบคุณ  kankan


 

เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

tacklove

สมความปรารถนาทั้งสองคน แล้วถ้ากลับไปที่เมืองไทยมันคงทรมานน่าดู อยากรู้แนวคิดของทั้งสองคนว่าจะรอดได้มั้ย และทำอย่างไร

kaithai

คุณ kankan เข้าใจคำของยาขอบได้ ลึกซึ้งเลยละ
   "ความเป็นนักประพันธ์ คือ เป็นผู้รู้คน"

ถึงได้เขียนได้ ละเมียดละไม เข้าถึงจิตใจคนอ่าน
ทำให้คล้อยตาม และเหมือนเป็นตัวละครในเรื่อง

ขอบคุณมากครับ ที่นำเรื่องเยี่ยมๆ มาแบ่งปัน

Pem Samsan

สุดยอดเลยคุณ kaithai ที่ยกคำของยาขอบ มาอธิบายให้เห็นภาพได้ชัดแจ้ง
"ความเป็นนักประพันธ์ คือ เป็นผู้รู้คน"

การจะเป็นนักเขียนที่ดีจะต้องเป็นคนอ่านมาก เห็นมาก ช่างสังเกต ช่างจดจำ และที่สำคัญที่สุดคือการถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นตัวหนังสือ ให้ผู้อ่านเห็นภาพชัด มีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องราวที่นำเสนอ ลื่นไหลมีสะดุด

อ่านแล้วอยากเป็นนักเขียนบ้างจังเลย อิอิ หรือไม่ก็เป็นนักเล่าเรื่องก็ยังดี 555

kenwin




Sessiri Ratanatharakeat



chanky2007

อ่านแล้วรู้สึกละมุ่นในความรู้สึกจริงๆครับ

นุ่ม ชวนฝันมากครับ

ชอบทั้งบทของโมและกาญจน์
ขอบคุณมากครับ
คิดว่าดี ก็ทำไป

7946410


acropobia899

สนุกสุขสมกันมากมายแบบนี้ต้องกอบโกยให้พอ  เพราะเวลาสนุกใกล้หมดลงไปทุกที ช่างน่าเสียดาย

kodzilla



eaddy48