ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ทิฐิหรือความเกลียด 5 (จบ)

เริ่มโดย twintower, มีนาคม 06, 2017, 09:59:09 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

twintower

มิ่งมาตรงตามเวลานัดและเจอผู้หมวดสาวที่นั่งรอที่ร้านอาหารอยู่แล้ว  ซึ่งการสนทนาระหว่างทานอาหารส่วนใหญ่หญิงสาวจะเป็นคนถามตลอด เธอมักจะสอบถามเรื่องช่วงที่มิ่งทำงานในหน่วยซีล มิ่งตอบไปเท่าที่จะตอบได้  จนเธอถามว่าคิดยังไงที่คนมองว่าหน่วยซีลคือฮีโร่ มิ่งตอบไปว่า

"ถ้าในมุมมองของคนอเมริกันส่วนหนึ่งก็จะมองเป็นที่คุณป็อปคิดนะครับ โดยเฉพาะป้าผมจะมองว่าพวกผมคือฮีโร่  แต่ถ้าเป็นคนในประเทศที่เราไปทำสงครามสายตาที่มองมาเป็นอีกแบบหนึ่งครับ  ดูยังไงพวกผมก็ไม่ใช่ฮีโร่ครับ ในสายของคนพวกนั้นมองเราเหมือนปีศาจที่มายึดครองที่อยู่ของพวกเค้า  ไม่แปลกที่จะมีการออกมาตอบโต้ในรูปแบบต่างๆ จนทำให้ทุกวันนี้ผมขับรถคร่อมเลนบ่อยๆ  เพราะความเคยชินครับ "

"อ้าวทำไมหรือคะ  แต่ป็อปก็พอจะจำได้วันที่คุณมิ่งรับพวกเราไปส่งรีสอร์ท ป็อบเห็นคุณมิ่งขับรถคร่อมเลนหลายครั้ง"

"ใช่ครับ เกิดจากกลัวขับทับกับระเบิดที่วางดักไว้ไงครับ แต่ถ้าขับกลางถนนยังมีโอกาสรอดครับมันเลยติดเป็นนิสัยไม่หายสักที  แต่ถ้าเป็นในทะเลทรายก็วัดดวงเอาครับ"

อาหารมื้อเย็นมื้อนี้มันเป็นการสนทนาที่ดีของทั้งคู่และเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของทั้งคู่ ก่อนที่หมวดสาวจะอำลาเมื่อถึงเวลาอันควร  มิ่งขับรถไปส่งเธอถึงโรงแรมที่เธอพักแล้วขับรถออกมา แต่ก็มีโทรศัพท์เข้ามาบอกกับมิ่งว่าขอเชิญมิ่งไปที่สถานกงสุลสหรัฐในเชียงใหม่  ชายหนุ่มรับปาก ซึ่งใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก หลังจากติดต่อเจ้าหน้าที่และจอดรถเรียบร้อย  มีเจ้าหน้าที่ได้เดินนำมิ่งที่ห้องๆหนึ่ง พร้อมเปิดประตูให้มิ่งเข้าไปก่อนปิดประตู มิ่งพบว่ามีผู้หญิงต่างชาติคนหนึ่งนั่งรอมิ่งอยู่แล้ว  ทั้งคู่สบตากันก่อนมิ่งจะพูดว่า

"ผมนั่งได้ไหม"

หญิงต่างชาติพยักหน้าเล็กน้อย มิ่งนั่งลงตรงข้ามแล้วเอ่ยออกมาต่อว่า

"มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหมที่ผมมาเจอ เจ้าหน้าที่ NSA  (National Security Agency/ สำนักความมั่นคงแห่งชาติ)  ที่นี่"

" มงคล คุณน่าจะรู้นะว่าชั้นมาเพราะอะไร"

"แค่ผมแปลกใจ ว่าทำไมต้องเป็น NSA  ถ้าทางสถานทูตส่งคนมาผมไม่แปลกใจ จะเป็น CIA หรือจะเป็นคนของกองทัพเรือสหรัฐก็ได้นี่ลินดา"

"มันก็น่าจะใช่นะมงคล  แต่พอรายงานที่คุณส่งไปให้ทาง ผช.ทูตทหารเรือเจ้านายเก่าของคุณนะ แล้วท่านส่งต่อไปที่กองทัพเรือแต่สำเนาทางทำเนียบขาวด้วยแถมทางหน่วยงานของไทยก็แจ้งไปที่กระทรวงการต่างประเทศผ่านสถานทูตสหรัฐอีก ทางนั้นก็เลยเต้น เลยอยากรู้ว่ามันใช่ตามที่คุณบอกหรือเปล่า ไม่ใช่เกิดจากการของพวกก่อการร้าย ถ้าเป็นไปตามที่คุณรายงานมันก็จบ  แต่ถ้าไม่ใช่ มันก็เป็นปัญหาใหญ่นะทางผู้ใหญ่ก็คิดกันไปว่ามันจะเกี่ยวกับความมั่นคงหรือเปล่า วิตกไปถึงเรื่อง ชื่อของคุณกับทีมงานหลุดไปได้ยังไง และเผอิญชั้นมาประชุมที่สิงคโปร์ เลยถูกส่งตัวให้มาหาคุณ "

"แล้วถ้ามันเป็น แบบที่ 2 ละลินดา"

หญิงต่างชาติมองไปรอบๆห้องก่อนตอบว่า

"เราอาจจะเอาตัวคุณไปคุ้มครองสักระยะหนึ่งจนกว่าความจริงมันจะปรากฏ"

มิ่งหัวเราะเบาๆแล้วนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น หลังจากคืนนั้นวันต่อมา มิ่งทำรายงานส่งไปให้ทางผช.ทูตทหารเรือทางอีเมล  อธิบายรายละเอียดทั้งหมด ว่าทำไปเพื่ออะไร และมิ่งรู้ดีว่าเรื่องนี้หน่วยงานความมั่งคงของไทยก็ต้องทำเรื่องไปทางสถานทูตแน่นอน  แต่นึกไม่ถึงว่า ผู้ใหญ่ทางวอชิงตันจะบ้าจี้ถึงกับส่งเจ้าหน้าที่ NSA มาสอบถามมิ่งโดยตรง   อดีตซีลนึกว่าอย่างน้อยก็คงเข้าไปให้ข้อมูลอีกครั้งกับทางสถานทูตสหรัฐด้วยตนเองแต่ที่ไหนได้  แล้วเจ้าหน้าที่ NSA ที่ส่งมานี่ก็เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง แถมมิ่งรู้จักเป็นอย่างดีซะด้วย ก่อนที่มิ่งจะตอบไปว่า

"ฟังนะลินดา  ทุกอย่างมันเป็นไปตามที่ผมรายงานไป  ไอ้ 2 คนนั่นมันเป็นนักเลงกระจอก ส่วนไอ้คนจ้างมันก็เคยมีเรื่องกับผมมาก่อนแล้ว มันคงแค้นผมที่ทำให้มันเสียหน้า ต่อหน้าพ่อของผม  ที่ผมแจ้งขอความช่วยเหลือไปทางไทยเพราะอยากให้ทุกอย่างมันเงียบ มันจะได้ไม่มากระทบกับแม่และน้าผมที่ทั้งสองคนไม่รู้เรื่องนี้  ไม่ต้องไปพัวพันกับบริษัทของพ่อผมที่กำลังมีเรื่องกันอยู่เรื่องที่ดิน ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นข่าวมันจะบานปลายไปมากกว่านี้และดีไม่ดี  ผมโดนขุดอีกว่าเป็นอดีตหน่วยซีล  คราวนี้แหละมันจะสนุกเข้าไปใหญ่ ผมอยากใช้ชีวิตเงียบๆเหมือนเพื่อนผมอีกหลายๆคนนะลินดา"

ลินดายิ้มรับคำอธิบายของมิ่งเธอไม่พูดแทรกเลยระหว่างที่มิ่งอธิบาย ก่อนจะถามต่อไปว่า

"คุณไม่คิดบ้างหรือว่าที่คุณทำมันรุนแรงไปกับคนที่คุณเรียกว่านักเลงกระจอก"

"ลินดาคุณคิดอีกมุมสิ ว่าถ้าวันนั้นผมไม่อยู่แล้วแม่กับน้าผมอยู่จะเกิดอะไรขึ้น"

ประโยคนี่ทำเอาลินดานิ่งไปชั่วขณะก่อนตอบกลับชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามเธอว่า

"เอาละชั้นพอเข้าใจ คุณมงคลแต่คุณก็ต้องรู้นะว่าบางที มันมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ยิ่งคุณเคยผ่านงานลับๆมาพอสมควร และคุณเลือกจะมาใช้ชีวิตอยู่ไกลจากการดูแลของทางเรานะมงคล"

"ผมพอจะเข้าใจลินดา"

เธอเงียบไปอึดใจก่อนจะเอามือไปหยิบเครื่องบันทึกเสียงที่มิ่งพึ่งเห็นมาปิด แล้วเธอพูดว่า

"งั้นทางเราก็ได้ข้อสรุปและชั้นก็มั่นใจกับข้อมูลของคุณว่ามันมาจากเรื่องส่วนตัว ที่อีกฝ่ายไม่ยอมเลิกราทางผู้ใหญ่จะได้เลิกประสาทเสียซะที ส่วนทางไทยก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร"

ทั้งคู่ต่างนิ่งกันไปครู่หนึ่งแล้วฝ่ายหญิงก็พูดต่อว่า

"สบายดีนะมงคล เราไม่ได้พบกันกี่ปีแล้ว"

"3-4ปีได้แล้วมั้ง หลังจากที่คุณเอาข้อมูลมาบรรยายสรุปให้พวกผม ที่ดูไบ"

"น่าจะได้นะ แต่ชั้นก็ยังนึกว่าคุณจะไปฝึกกรีนทีม"

"ผมพอแล้ว ลินดา"

มิ่งได้ถามต่อไปว่า

"แล้วคุณจะกลับวันไหนละ"

"พรุ่งนี้ แต่ชั้นต้องบินไปสิงคโปร์ก่อนทีมงานชั้นอยู่ที่นั่น  แล้วค่อยกลับสหรัฐ"

"งั้นผมขอเลี้ยงเครื่องดื่มคุณแล้วกัน  ผมกับเพื่อนๆยังติดคุณอยู่ที่ดูไบ เพราะคุณกลับไปก่อน"

"โอเคยังจำได้ดีนี่"

"งั้นเชิญครับลินดา"

หญิงสาวเดินตามมิ่งออกจากห้องที่ใช้ในการพูดคุยก่อนจะส่งเครื่องบันทึกเสียงให้เจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลแล้วเดินตามมิ่งไปที่รถ  มิ่งพาเธอไปร้านอาหารแห่งหนึ่ง ต่างสั่งเครื่องดื่มมาแล้วนั่งคุยกัน เวลาผ่านไป พักใหญ่ ต่างฝ่ายต่างพุดคุยกันเรื่องทั่วๆไป   ลินดานั้นเคยมาบรรยายสรุปร่วมกับเจ้าหน้าที่ CIAให้กับมิ่งและทีมซีลที่ดูไบ ในภารกิจคุ้มกันเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐที่จะมาเยือนดูไบ  ซึ่งตอนนั้นทั้งคู่ได้สร้างมิตรภาพที่ดีต่อกัน   ลินดาเป็นหญิงชาวอเมริกาที่รูปร่างบอบบางเหมือนผู้หญิงเอเชีย แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ได้คืบหน้าอะไรมากนักเพราะ เธอบินกลับประเทศก่อนและไม่ได้เจอกันอีกเลยจนวันนี้  จนในที่สุดความรู้สึกที่อยากจะสานสัมพันธ์ต่อของทั้งคู่ได้เกิดขึ้นหลังจากวิสกี้แก้วที่ 3 หมดไป  มิ่งเอามือมากุมมือหญิงสาว ซึ่งเธอไม่ดึงกลับ สายตาประสานกัน ก่อนที่มิ่งจะพูดว่า 

"ผมไปคุยต่อที่ห้องคุณได้หรือเปล่า"

ลินดาพยักหน้าแทนคำตอบ   มิ่งจัดการจ่ายค่าเครื่องดื่ม    แล้วให้หญิงสาวพาไปที่โรงแรมที่พัก ซึ่งอยู่ไม่ห่างเท่าไหร่นัก เธอยอมให้มิ่งโอบเอวจนถึงห้องพัก ทันทีที่เข้าห้อง หลังจากที่ล็อคประตูเรียบร้อย มิ่งตวัดลินดาเข้ามาในอ้อมกอดแล้วก้มหน้าลงไปโดยหญิงสาวเงยหน้ารับการจูบของของมิ่ง ปากทั้งคู่ทาบกันสนิท ลิ้นตวัดเกี่ยวกันไปมา

"มงคลไปที่เตียงเหอะ"

ลินคาเป็นฝ่ายเชิญชวนหลังจากที่มิ่งถอนปากออกมา มิ่งทำตามคำขอ ต่างฝ่ายต่างรีบถอดรองเท้าออก พอถึงเตียงหญิงสาวเอนกายลงไปนอนบนเตียงพร้อมโน้นคอของชายหนุ่มให้ลงมา  ปากทั้งคู่แนบสนิทกันอีกครั้ง  มิ่งเป็นฝ่ายบรรจงถอดเสื้อของหญิงสาวออกจากร่างพร้อมเสื้อของตนเอง หน้าอกขนาดกะทัดรัดที่ถูกห่อหุ้มอยู่ภายใต้ยกทรงปรากฏให้เห็น  มิ่งไม่รีบเร่งในเกมส์รักนี้ ก่อนที่จะเอาจมูกไปไซร้ตามซอกคอและใบหูของลินดา ที่เงยหน้ารับการปลุกเร้าอารมณ์พร้อมครางออกมาอย่างลืมตัว เธอมารู้ตัวอีกครั้งเมื่อกางเกงที่นุ่งจะถูกปลดออกจากตัว  ลินดายกก้นเพื่อให้มิ่งจัดการกับกางเกงได้สะดวกและเป็นคนเตะให้พ้นจากร่างกาย

"โอ้วววววววว มงคลขา ชั้นรอวันนี้มานานแล้ว"

ร่างกายของเธอเหลือแต่เพียงชุดชั้นในเท่านั้นที่ปกปิดส่วนที่สำคัญอยู่ มิ่งจัดการกางเกงของตนเองจนเปลือยล่อนจ้อนแล้วเอื้อมมือไปปลดตะขอยกทรงจากด้านหลัง  หน้าอกที่ขนาดไม่ใหญ่ขาวสล้างพร้อมหัวนมสีน้ำตาลนั้นท้าทายสายตาของมิ่ง  แต่หญิงสาวกลับเป็นคนกดหัวของมิ่งลงไปที่หน้าอกของเธอ  มิ่งไม่ขัดขืนพร้อมลิ้มรสหัวนมที่บานขยายรองรับริมฝีปากของชายหนุ่ม  มิ่งดูดสลับไปมาพร้อมกับเอานิ้วไปบี้ที่หัวนม

ลินดาแอ่นอกรับการดูดดื่มจากอดีตซีลที่กำลังเพลิดเพลินกับเต้านมของเธอสลับไปมา ปากเธอครางไม่หยุดแล้วเธอเป็นฝ่ายดันไหล่ของมิ่งให้ลงไปด้านล่าง ก่อนที่เธอกับมิ่งจะช่วยกันถอดชั้นในชิ้นสุดท้ายออกจากร่างของเธอ สิ่งที่ปรากฏต่อหน้ามิ่งนั้นมันผิดความคาดหมาย  ลินดาเป็นผู้หญิงที่ซ่อนรูปอย่างไม่น่าเชื่อ โคกหีของเธอนั้นช่างใหญ่เหลือเกินประดับด้วยขนหมอยสีทองประปราย  มิ่งไม่รอช้าก้มหน้าเอาลิ้นไปสัมผัสทันที  พอลิ้นของมิ่งสัมผัสกับเม็ดแตด ลินดานั้นผวาพร้อมร้องครวญคราง

"โอ้ววววว ไม่ มงคลชั้นเสียวเหลือเกิน"

ยิ่งพอลิ้นของมิ่งกวาดเข้าไปในรูหี  เจ้าของยิ่งส่ายตัวไปมา จนต้องอ้อนวอนมาว่า

"มงคลทำเหอะ ชั้นทนไม่ไหวแล้ว"

มิ่งลุกขึ้นนั่งจัดการเอาชาของเธอมาพาดบ่า แล้วเอาควยจ่อที่รูหีก่อนดันเข้าไปอย่างช้าๆ  ช่องทางรักของลินดานั้นยังกระชับอยู่มาก  แต่มิ่งก็ดันเข้าไปจนสุดโดยที่เจ้าของโคกหีอันใหญ่นั้นให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ลินดาเลื่อนขาลงมาคล้องเกี่ยวลำตัวของมิ่งให้แน่นขึ้น  มือของคู่ประสานกันแน่น มิ่งกระเด้าอย่างต่อเนื่องช้าสลับเร็ว โดยลินดาเด้งรับ   ปากทั้งคู่ต่างส่งเสียงครวญคราง จนขาของลินดามาราบบนพื้นเตียง  เธอดึงให้มิ่งมาทับบนตัวเธอ มือกอดรัดลำตัวของชายหนุ่ม เอวเด้งรับจังหวะการกระเด้าตลอด

จนเธอนั้นเริ่มรู้ถึงอาการที่ส่งสัญญาณว่ามิ่งกำลังจะพาเธอไปถึงจุดหมาย เธอร้องขอให้มิ่งกระเด้าเธอให้แรงขึ้นทำให้เสียงเนื้อของหนุ่มไทยกับสาวอเมริกาดัง

"ตั่บๆๆๆๆๆ"

ถี่ขึ้น ก่อนที่มิ่งจะยัดควยส่งท้ายพร้อมปล่อยน้ำกามออกมาเต็มรูหีของหญิงสาวที่มีอาการตอดรัด  มิ่งพลิกตัวลงมานอนข้างๆ เสียงลมหายใจแรงๆถี่ๆดังออกมาจากทั้งคู่ มิ่งดึงหญิงสาวเข้ามากอด ให้ลินดามานอนหนุนไหล่  หญิงสาวผงกหน้าไปหอมแก้มของมิ่งแล้วเอามือลูบไล้ไปตามใบหน้าเรื่อยมาถึงทรวงอก

"มีความสุขไหมมงคล"

"มีสิแล้วคุณละ"

"เช่นกัน ชั้นไม่เคยนึกว่าเราจะมีวันแบบนี้ได้"

"ทำไมละ"

"โอกาสที่เราจะพบกันไม่มี  แต่มันเหมือนทุกอย่างลงตัว  สงสัยคงต้องขอบคุณไอ้นักเลงกระจอกนั่นที่ทำให้ชั้นกับคุณได้มีวันนี้"

เธอตอบแล้วหอมแก้มมิ่งอีกครั้งก่อนลุกเดินเปลือยกายไปห้องน้ำแต่หันมาทิ้งสายตาให้มิ่ง   มิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปชั่วครู่ก่อนลุกเดินตามเธอเข้าไปในห้องน้ำ    ร่างของลินดานั้นกำลังอยู่ภายใต้ฝักบัวที่อยู่เหนืออ่างอาบน้ำมิ่งก้าวลงไปในยืนในอ่างอาบน้ำ ก่อนไปยืนประกบด้านหลังของเธอ   เอามือทั้งสองโอบไปรอบเอว ลินดาปล่อยให้มิ่งลูบคลำไปทั้งร่างของเธอได้ตามสบายก่อนที่เธอจะหันหน้ามา   เอาหน้าอกเบียดชิดตัวมิ่ง มือลูบคลำควยของมิ่งที่ยังอ่อนตัวอยู่    แล้วก่อนที่มิ่งจะทันตั้งตัวลินดาทรุดกายนั่งลงกับพื้นอ่างอาบน้ำ ใช้ มือรูดควยของมิ่งไปมาพร้อมเอาริมฝีปากไปสัมผัสบริเวณส่วนหัวแล้วเลียไปมา ไม่นานนักปากเธอก็อมเข้าไปที่ควยของมิ่ง ลินดาใช้ทั้งปากทั้งลิ้นปลุกควยของมิ่งให้แข็งขึ้นมาอีกครั้ง ทักษะการใช้ปากทำรักของลินดานั้นมิ่งดูออกว่าชำนาญมาก  เธอใช้ลิ้นเลียไปทั่วสลับกับการใช้ปาก จนมิ่งเริ่มจะทนไม่ไหว ต้องบอกเธอว่า

"ลินดาพอก่อนเหอะ  ผมจะทนไม่ไหวแล้ว"

มิ่งพูดพร้อมประคองเธอให้ลุกขึ้น  พร้อมพลิกตัวให้ลินดาหันหน้าไปทางผนัง  หญิงสาวรู้ทันทีว่ามิ่งต้องการอะไร  เธอรีบเอามือยันผนัง แล้วแอ่นก้นไปทางมิ่งที่เอามือจับเอวของเธอไว้แน่น  เมื่อจัดท่าเรียบร้อยมิ่งอาควยไปจ่อตรงรูหีของเธอก่อนจะสีไปมา2-3ครั้ง

"มงคลอย่าทรมานชั้นเลย  ทำเหอะ"

มิ่งสนองความต้องการของเธอทันที ดันควยเข้าไป จนลินดาครางออกมา

"โอ้ววววววว  มงคลเบาหน่อยสิ"

มิ่งไม่สนใจตั้งหน้ากระเด้าอย่างต่อเนื่อง ลินดาครวญครางพร้อมกับเด้งรับจนเธอร้องมาว่า

"มงคลเปลี่ยนท่าเหอะ  ชั้นเมื่อย"

มิ่งหยุดตามคำขอของเธอ ก่อนที่จะถอนควยออกมา  พลิกตัวหญิงสาวให้หันหน้ามา แล้วมิ่งลงไปนั่งบนอ่าง ลินดานั้นนั่งคร่อม แล้วจับควยของมิ่งมาจ่อที่ปากรูหีของเธอก่อนจะหย่อนตัวลงไปช้าๆ จนสุดจับประคองที่เอวของเธอ ลินดาเริ่มโยกตัวมาและส่งเสียงคราง

"โอววววววววว มงคล เด้งหน่อยสิ ชอบหรือเปล่าแบบนี้"

"ชอบสิครับ"

มิ่งตอบพร้อมสนองความต้องการของเธอทำให้ลินดาร้องเสียงหลงเมื่อควยของมิ่งไปกระทบกับมดลูกของเธอ ทำให้เธอขย่มแรงขึ้นไปอีก เมื่อเจอกับการตอบสนองที่ถึงอกถึงใจ  มิ่งนั้นก็ต้องการคลายความเครียดจากเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้น  จึงสนองตอบเธออย่างเต็มที่ จนในที่สุดมิ่งนั้นร้องออกมาว่า

"ลินดาผมเต็มที่แล้ว"

"ค่ะๆๆๆ มงคลชั้นก็ทนไม่ไหวเหมือนกันโอวววววววววววววว"

ลินดากอดรัดมิ่งแน่นขึ้นเมื่อน้ำอุ่นๆของมิ่งพุ่งเข้าใส่รูหีของเธอ พร้อมกับการบิดกายเกร็งตัว ก่อนที่เธอจะไปซบที่บ่าของมิ่งพร้อมกับการหายใจถี่ๆไม่ต่างกับมิ่ง ต่างฝ่ายคลอเคลียกันครู่ใหญ่ก่อนที่จะช่วยกันอาบน้ำล้างตัว เช็ดตัวแล้วประคองกันไปที่เตียง ลินดานอนหนุนไหล่ของมิ่งแล้วเอามือลูบไปที่ใบหน้าของมิ่ง

"หน้าตาคุณดูดีขึ้นนะมงคล  คงหายเครียดไปเยอะเลยซินะ"

"คุณรู้ได้ยังไง"

"ชั้นดูออกนะ ตั้งแต่เจอกันหน้าตาคุณดูเคร่งเครียดมาก  แต่ตอนนี้ดูหน้าตาคุณสดใสกว่าตอนที่เจอกันที่กงสุล"

"ก็คงตามที่คุณว่า  สิ่งที่เกิดมันทำเอาผมเครียดไปเหมือนกัน ผมไม่นึกว่าจะต้องมาเจอที่นี่"

"ลืมมันไปซะเถอะมงคล   คุณทำเพื่อป้องกันตัวเองกับครอบครัว"

มิ่งไม่ตอบอะไรหญิงสาวก่อนที่ทั้งคู่จะหลับไปด้วยความอ่อนเพลียคืนนั้นกว่ามิ่งจะได้จากลากับลินดา เธอได้ปลุกอารมณ์มิ่งด้วยปากอีกครั้ง  ก่อนจะจบลงด้วยท่าด็อกกี้  จนสุขสมอารมณ์ไปทั้ง 2 ฝ่าย มิ่งได้อำลาเธอไปช่วงกลางดึกก่อนขับรถกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่ปลอดโปร่งขึ้น  หลังจากวันนั้น ทาง ผช.ทูตทหารเรือสหรัฐได้แจ้งมิ่งผ่านทางอีเมลว่า เรื่องของมิ่งนั้นไมมีปัญหาเพราะจากการตรวจสอบข้อมูลของหลายๆฝ่ายแล้วต่างสรุปตรงดันว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่ปัญหาของกลุ่มก่อร้าย  ยิ่งทำให้มิ่งนั้นโล่งใจขึ้น  แต่เวลาผ่านไปจวนจะครบ 2เดือนตามสัญญาเรื่องการคืนที่ดิน ทางทนายความที่เป็นตัวแทน ได้แจ้งว่าทางบริษัทยังไม่สามารถคืนที่ให้ได้ทันตามสัญญา   จะขอยืดเวลาไปอีก 20 วัน แต่ยอมจะจ่ายค่าปรับให้ตามข้อตกลงวันละ 5แสน ซึ่งเงินค่าปรับจะโอนเข้าบัญชีที่มิ่งให้ไว้ทุกวัน  มิ่งนั่นฟังด้วยความรู้สึกที่เฉยๆ และตนเองก็รู้ว่าพ่อโอนงินค่าเสียหายมาให้ 40 ล้าน โดยที่แม่เป็นคนมาบอก  สิ่งที่มิ่งแสดงออกคือความเฉยเมยเหมือนเดิม

ช่วงเวลาที่ผ่านมา  มิ่งแทบจะไม่สนใจว่าความคืบหน้าไปถึงไหนตนเองนั้น ใส่ใจในการช่วยงานแม่กับน้ามากกว่า และความสัมพันธ์ของตนเองกับหมวดสาวนั้นก้าวหน้าขึ้นมีการโทรศัพท์หากันตลอด    จนอีก 5วันจะครบตามกำหนดที่ทางบริษัทของดิเรกแจ้งขอยืดระยะเวลา  ทนายความของมิ่งได้โทรมาแจ้งว่าได้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นในที่ระหว่างการปรับปรุงพื้นที่ทำให้คนงานบาดเจ็บ 2 คน  ทำให้มิ่งต้องเดินทางไปดูสถานที่โดยที่ทนายความไปรอมิ่งอยู่ก่อนแล้ว และพอมิ่งไปถึงก็พบว่า บิดาของตนเองพร้อมทั้งลูกทั้ง 2คนและคนติดตามรวมถึงขวัญได้มาถึงแล้วเช่นกัน  ความเสียหายที่มิ่งเห็นและตามที่โฟร์แมนคุมงานได้รายงานคือ รถตักดินได้เสียหลักบริเวณขอบบ่อน้ำจนตกลงไปและทำให้ศาลาริมน้ำที่อยู่ใกล้ทรุดตามรถตักดินลงมาด้วยแถมไปเกี่ยวสายไฟ จนดึงให้เสาไฟล้มไปทับตัวบ้านที่พึ่งสร้างเสร็จ  ทำให้คนขับรถตักดินและคนงานอีก 1คนได้รับบาดเจ็บ

มิ่งฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉยโดยไม่หันไปมองหน้าพ่อ ทั้งๆที่รู้ว่าพ่อพยามยามจะคุยด้วย มิ่งปล่อยให้ทนายความเป็นคนเจรจากับกำพลที่เป็นนิติกรอย่างเดียว  โดยตนเองไม่พูดอะไรมองไปรอบๆ จนวุ้นที่เห็นพ่อนั้นมองไปมิ่งด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเสียใจอย่างยิ่ง วุ้นตัดสินใจเดินไปหาพี่ชายต่างมารดาและพูดว่า

"พี่มิ่งคะ  ไม่ต้องห่วงนะคะ ทางพ่อกับวุ้นจะเร่งทำให้  แต่เวลาคงต้องขอยืดไปก่อนส่วนจะกี่วันนั้นทางวุ้นขอไปประเมินอีกทีคะพี่ ส่วนเรื่องค่าปรับ พ่อบอกมาก่อนหน้านี้แล้วว่าจะจ่ายให้ตามเดิมนะคะ"

สิ่งที่ทุกคนได้ยินจากปากของมิ่งคือคำพูดที่บอกมาว่า

"คุยกับทนายผมอย่างเดียว"

พอพูดจบมิ่งเดินไปทางอื่นทันทีโดยไม่หันมามองวุ้นและพ่อของตนเองที่ใบหน้าซีดเผือด จนรอดที่ยืนอยู่ไม่ห่างต้องมายืนใกล้ๆแล้วถามไปที่ดิเรกว่า

"ท่านไหวไหมครับ"

ดิเรกพยักหน้าแต่สายตามองตาลูกชายตลอด พร้อมนึกไปด้วยว่า

"เกลียดพ่อมากใช่ไหมมิ่ง  พ่ออยากเห็นลูกทำอะไรสักอย่างเพื่อรับรู้ว่าพ่อยืนอยู่ตรงนี้"

มิ่งนั้นไม่หันมามองจนตัวเองไปยืนตรงหน้าบ้านที่พังไปครึ่งหนึ่งเพราะถูกเสาไฟล้มทับ ทำให้ขวัญที่มองตามมิ่งอีกคนนั้นหันไปส่งสัญญาณให้รอดเข้าไปคุยกับมิ่ง  เพราะเธอคิดว่ารอดน่าจะเป็นคนที่มิ่งยอมคุยด้วยมากที่สุด  เพราะตั้งแต่มิ่งลงจากรถ มิ่งไม่มองมาที่เธอเลย ทำให้เธอไม่กล้าจะเข้าไปคุยด้วย ที่ผ่านมาเธอเคยโทรหามิ่งตามคำสั่งของผู้เป็นเจ้านายแต่มิ่งไม่รับสายและได้รับฟังคำบอกเล่าทั้งจากดิเรกหรือจากวุ้นในเรื่องของมิ่ง ไม่ว่าตั้งแต่การเซ็นสัญญาหรือการไปหาถึงที่บ้านแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความเย็นชาจากมิ่ง ยิ่งทำให้เธอไม่กล้าไปคุยกับมิ่งในวันนี้  ทั้งดิเรกและลูกๆรวมถึงขวัญต่างมองตามรอดที่กำลังเดินเข้าไปหามิ่ง

พอรอดเดินไปใกล้ๆมิ่งที่มองเห็นกลับเป็นฝ่ายชี้ที่บ้านพร้อมบอกว่า

"ตอนเด็กๆผมอยู่ที่นี่ปีกว่า ๆ  ข้างๆบ้านหลังที่โดนรื้อไปเมื่อก่อนจะปลูกต้นมะม่วง  ตากับผมช่วยกันปลูก ส่วนสระน้ำเมื่อก่อนน้ำจะใสกว่านี้ ตอนหน้าฝนตากับยายจะให้คนงานสูบจากลำธารด้านข้างเข้ามาเก็บไว้ใช้ในหน้าแล้ง  ผมจะลงไปเล่นเกือบทุกวันหลังจากช่วยงานแม่เสร็จแล้ว  ที่นี่มีความหลังกับผมมากถึงผมจะมาอยู่ไม่นานเท่าไหร่"

รอดนั้นยิ้มก่อนแล้วบอกมาว่า

"เมื่อก่อนรอบบ้านคงร่มรื่นน่าดูนะครับคุณมิ่ง"

"ใช่ครับคุณรอด  ยังไม่รวมถึงต้นเงาะ ต้นมังคุดที่ปลูกไว้อีกนะ และตรงนั้น"

มิ่งชี้ไปตรงที่เป็นเนิน

"มันมองไปเห็นทะเลอย่างชัดเจน ผมชอบไปนั่งเล่นบนเนินเวลาเบื่อๆ  ขนาดตอนไปอเมริกาใหม่ๆผมยังเคยฝันว่าผมได้มานั่งตรงเนินนั่นเลย"

"คุณมิ่งคงรักที่นี่มาก"

"ก็ไม่เชิงครับ  แต่มันเป็นที่ ที่ทำให้ผมสบายใจขึ้น  แม้หลายๆอย่างจะเลือนจากความทรงจำไปตามกาลเวลา แต่มันก็เป็นที่ของตาของยายผมครับ"

"ทางท่านก็จะทำทุกอย่าง ให้มันเหมือนเดิมให้มากที่สุดก่อนคืนให้คุณมิ่งครับ"

มิ่งยิ้มออกมาและไม่ตอบอะไร เป็นจังหวะที่ทางทนายความได้เดินเข้ามาคุยกับมิ่ง  รอดจึงได้ขอตัวเดินกลับไปหาเจ้านาย มิ่งคุยกับทนายความครู่หนึ่งก่อนจะเดินกลับไปที่รถโดยไม่หันมามองทางพ่อของตนเองแม้แต่น้อย  ดิเรกนั้นถึงจะเตรียมใจมาบ้างว่าจะต้องเจอแบบนี้แต่ก็ไม่วายที่จะเสียใจกับพฤติกรรมของลูกชาย   ซึ่งดิเรกได้แต่โทษตนเองว่าทุกอย่างตัวเองเป็นต้นเหตุ จนหันมาบอกให้ทุกกลับพร้อมกำชับให้ทีมก่อสร้างรีบกู้รถตักดิน และให้รายงานความคืบหน้าตลอด จนขึ้นไปบนรถตู้ ดิเรกนั้นนั่งหลังคนขับโดยมีลูกสาวนั่งข้างๆ ด้านหลังเป็นลูกชายกับเลขา รอดนั้นนั่งคู่กับคนขับ ส่วนกำพลที่เป็นนิติกรได้กลับอีกคันผจก.ฝ่ายก่อสร้าง  พอรถออกดิเรกได้ถามคนสนิทไปว่า

"เค้าคุยอะไรกับรอดบ้าง"

รอดได้หันมาเรียนเจ้านายถึงเรื่องที่ได้คุยกับมิ่ง ดิเรกนั้นฟังไปก็สะท้อนใจไป แล้วหันไปบอกกับลูกสาวคนโตว่า

"วุ้นกลับไปช่วยประชุมแทนพ่อที จะได้ประเมินความเสียหายนี้ ว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่  พ่ออาจต้องเอาหุ้นบางตัวไปขายเพื่อเอาเงินมาจ่ายเป็นค่าปรับให้มิ่ง    พ่อกะว่าคงเป็นเดือนแน่นอน ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างรีสอร์ท พ่อว่าเราต้องเจรจากับธนาคารใหม่  เพื่อขอวงเงินกู้เพิ่ม  เราจ่ายไปเยอะแล้วในเรื่องนี้ งบบานปลายแน่นอนงานนี้เราเจ็บตัวเห็นๆเพราะเราเอาคนเกือบทั้งหมดมาปรับพื้นที่คืนให้มิ่ง  รีสอร์ทก็ต้องเลื่อนเปิดแน่นอน"

ลูกชายที่เงียบมาตลอดนั้นพูดว่า

"พ่อครับ  เงินค่าปรับไวย์จะช่วยพ่อออกนะครับ"

"พ่อสั่งแล้วไงว่าไม่ให้แกยุ่งกับเรื่องนี้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะแกกับชัยที่สมคบกันทำเรื่องนี้  ดีที่ชัยมันตายไปแล้วไม่งั้นพ่อไล่มันออกแน่นอน   ยังดีที่แกเป็นลูกไม่งั้นแกโดนไล่ออกตั้งวันแรกแล้ว แล้วเงินช่วยเหลือชัยแกทำเรียบร้อยแล้วใช่ไหมไวย์"

"ครับพ่อ  ผมทำตามระเบียบเงินช่วยเหลือของบริษัททุกอย่างรวมถึงเรื่องเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่มอบให้พ่อกับแม่เค้าก็เรียบร้อยแล้วครับ"

ดิเรกพยักหน้าและไม่พูดอะไรถึงเรื่องนี้ต่อ  เพราะทางตำรวจแจ้งมาว่าชัยกับเพื่อนอีก 2คนขับรถตกเหว สันนิษฐานว่าไม่เมาก็ไม่ชำนาญพื้นที่ เพราะตอนผ่าศพพบว่าในกระเพราะอาหารมีแอลกอฮอล์อยู่ทั้ง 3คน  และพ่อแม่ของชัยก็ไม่ติดใจ  ระหว่างงานศพดิเรกมอบหมายให้วุ้นกับไวย์เป็นคนจัดการ    ส่วนลูกชายนั้นหน้าซีดเข้าไปอีก  เพราะรู้ว่าเงินที่ต้องเสียไปนั้นมันมีมูลค่ามาก และผลที่ตามมาก็เป็นไปอย่างที่พ่อเป็นคนบอกคือการสร้างรีสอร์ทไม่เสร็จทันตามกำหนดแน่นอน ยิ่งคิดยิ่งเสียใจกับการกระทำของตนเองและมันมีผลต่อสุขภาพของพ่ออย่างเห็นได้ชัด  วุ้นได้หันไปมองพ่อก่อนบอกว่า

"พ่อคะ วุ้นว่าเราควรไปคุยกับพี่เค้าอีกทีนะคะ  เพราะยังไงเราก็คืนที่เค้าอยู่แล้วแต่อยากจะขอให้ลดค่าปรับลงนะคะ พ่อจะได้ไม่ต้องขายหุ้น เพราะไม่รู้ว่าต้องเสียอีกกี่ล้านวุ้นจะได้โทรหาคุณแม่ที่เชียงใหม่เผื่อจะช่วยเราคุยด้วย  แต่เราจะเปลี่ยนจากเงินค่าปรับมาเป็นให้พี่เค้ามาถือหุ้นแทนคะพ่อ" 

ดิเรกส่ายหน้าก่อนบอกว่า

"ไม่ได้วุ้น    พ่อไม่อยากจะทำผิดสัญญาที่ผ่านมาพ่อก็ผิดกับเค้ามามากพอแล้ว ถ้าพ่อขอเจรจาต่อรองลดค่าปรับ เค้าคงจะสาปส่งพ่อแน่นอนอีกอย่างถ้าเราผิดสัญญา ดีไม่ดีเป็นข่าวแน่นอนและเรื่องพวกนี้อย่าไปคุยกับอำไพเค้า  มิ่งรู้เข้าไม่ยอมแน่นอน "

ดิเรกถอนหายใจก่อนบอกต่อไปว่า

"แล้วอย่าลืมสิที่เราเคยคุยกัน  มิ่งไม่ได้ตัวคนเดียวแน่นอน   ไม่อย่างงั้นตอนที่เกิดเรื่องใหม่ๆเค้าคนเดียวที่พึ่งกลับมาเมืองไทยไม่มีทางเตรียมเอกสารต่างๆได้เร็วขนาดนี้หรอก  แถมมีทั้งภาพถ่ายทางอากาศภาพถ่ายจากดาวเทียม ที่ทางทนายเค้าเอามาให้เราดูก่อนทำสัญญา คนธรรมดาจะหาข้อมูลได้จากที่ไหน  ถ้าไม่มีแบ็คแข็ง จริงไหมรอด"

ประโยคท้ายดิเรกได้ถามไปยังคนสนิท ซึ่งรอดตอบทันที

"ใช่ครับท่าน คุณมิ่งต้องมีคนรู้จักเยอะแต่ผมก็หาข้อมูลมาเพิ่มเติมไม่ได้ครับ"

"นั่นสินะ ขนาดผมไปถามกับพลโทวิชัยที่เป็นเจ้านายเก่ารอด  คุณวิชัยก็บอกว่าบอกไม่ได้ทั้งๆที่ผมกับเจ้านายเก่าของรอดก็สนิทกันดี  แปลว่าเรื่องของลูกชายคนโตผมนั้นคงเป็นความลับจริงๆ"

รอดไม่ตอบอะไรก่อนที่จะนึกไปถึงเรื่องของชัย  ที่รอดพอจะปะติปะต่ออะไรบางอย่างได้ แต่ไม่พูดออกมาเพราะทุกอย่างมันจบไปแล้ว   รอดได้แต่สงสารชัยที่ความโกรธบังตาโดยไม่รู้ว่าเล่นกับพระกาฬอยู่ ทั้งๆที่เคยเตือนไปแล้ว  แต่ชัยกลับไม่ฟัง  รอดนั้นพอจะเดาออกได้จากประสบการณ์ของทหารหน่วยรบพิเศษ ว่าชัยไม่ได้ตายเพราะขับรถตกเหว  รอดประเมินจากพื้นที่ที่ชัยตายมันอยู่ในรัศมีของบ้านของมิ่งและคนตายอีก 2 คน นั้นคนอย่างชัยไม่น่าจะเป็นเพื่อนของชัยเรียกได้ว่าคนละระดับกัน    คนอย่างชัยไม่มีทางลดตัวไปคบกับคนประเภทนี้ได้ มันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นรอดได้แต่เดาว่าชัยไปยุ่งเกี่ยวกับมิ่งในเรื่องบางอย่างและถูกเก็บเงียบอย่างแน่นอน

รอดได้พยายามทุกวิถีทางใช้เส้นสายที่มีในการหาข้อมูลของมิ่งเพิ่มเติม แต่ก็ไม่สามารถที่จะหารายละเอียดได้  เพราะหลายๆคนบอกว่าลับสุดยอดยกเว้นเรื่องที่มิ่งเคยมาฝึกให้กับทางไทยเท่านั้นที่พอเล่าให้ฟังได้   รอดนั้นพอจะเดาออกจากรูปของมิ่งที่ดิเรกเคยให้ดูว่ามิ่งนั้นผ่านมาเยอะดูได้จากเหรียญตราและเครื่องหมายที่ประดับ  ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของพ่อกับลูก รอดนั้นแต่แต่ภาวนาให้มิ่งลดทิฐิลงมาเพราะสงสารผู้เป็นเจ้านายที่ดูวิตกกังวลตลอดแถมสุขภาพยังทรุดโทรมลงไปมาก           

ผ่านไปได้ 2  วัน ช่วงค่ำหลังจากที่ดิเรกกลับไปถึงบ้านและได้เข้าไปในห้องทำงานทันที  ดิเรกนั้นได้รับรายงานสรุปความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเรื่องปรับที่ดินของมิ่ง   ทางฝ่ายก่อสร้างได้บอกว่าคงต้องใช้เวลาประมาณ1 เดือน ดิเรกที่กำลังนั่งดูตัวเลขค่าใช้จ่ายจากเอกสารเรื่องของงบที่บานปลายออกไปมาก    ยังไม่รวมถึงเงินส่วนตัวที่ตนเองต้องจ่ายเป็นค่าปรับให้มิ่งอีก ทำให้ถึงกับเครียดอย่างมาก เพราะไหนจะเรื่องการก่อสร้างรีสอร์ทที่เสร็จไม่ทันกำหนดเรื่องงบประมาณบานปลายกว่าที่ตั้งไว้   และที่สำคัญคือเรื่องของมิ่งที่แสดงออกมาโดยที่ไม่เห็นว่าตัวเองนั้นมีตัวตน มิ่งไม่เคยมองมา ไม่เคยพูด ไม่เคยทักทาย ภาพในอดีต ต่างๆนั้นผุดออกมา ตั้งแต่วันที่มิ่งคลอด ภาพที่ตนเองอุ้มมิ่งตอนแบเบาะ ภาพที่มิ่งขี่คอตนเอง ที่มิ่งส่งเสียงหัวเราะแสดงความดีใจ   ภาพวันที่ไปส่งมิ่งไปเรียนวันแรก  ภาพสองพ่อลูกลงเล่นน้ำทะเลด้วยกัน จนถึงภาพวันที่ตนเองส่งเงินให้มิ่ง 1,000 บาทพร้อมคำพูดที่ว่า

"ไม่ครับพ่อ  ผมกับแม่มีกินมีใช้"


นี่คือคำพูดสุดท้ายที่มิ่งเรียกตนเองว่าพ่อจนถึงคำพูดสุดท้ายที่มิ่งพูดกับตนเอง

"อีกอย่างยังกล้าเรียกตัวเองว่าพ่ออีกหรือ และดูแลคนของคุณให้ดีหน่อยนะเพราะที่ผ่านมามารยาททรามเหลือเกิน"


ยิ่งคิดมันยิ่งสร้างความปวดร้าวให้กับตนเองเป็นอย่าง ดิเรกได้แต่พึมพำว่า

"มิ่งอโหสิกรรมให้พ่อเถอะลูก  พ่อรู้ที่ผ่านมาพ่อมันเลวเหลือเกินอยากรวย อยากมีความสุขจนทิ้งแม่กับลูกไป แต่ตอนนี้กรรมมันตามพ่อมาทันแล้ว"

นี่คือความคิดสุดท้ายก่อนที่ความรู้สึกปวดศีรษะจนแทบระเบิดและแน่นหน้าอกจะแสดงออกมา   จนดิเรกนั้นวูบไปโดยไม่รู้ตัว     ที่บ้านของมิ่งในตอนดึกของคืนนั้น  มิ่งที่กำลังจะเข้านอนเห็นโทรศัพท์เข้ามา  แต่มิ่งก็ไม่รับและปิดเครื่องทันทีเพราะรู้ว่าเป็นเบอร์ของครอบครัวของผู้เป็นพ่อ  แต่ไม่นานนัก มิ่งได้ยินเสียงแม่มาเรียกหน้าห้องด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรน  มิ่งเปิดประตูทันทีพบแม่กับน้าที่ยืนด้วยสีหน้าตกใจอยู่หน้าห้อง ก่อนบอกมาว่า

"มิ่ง  หนูวุ้นโทรมาบอกพ่อไม่สบายหนักต้องส่งโรพยาบาลตอนนี้อยู่ห้อง ICU"

"เป็นอะไรหรือครับ"

"ทางนั้นก็ไม่รู้ เห็นว่าบอกว่าพ่อฟุบไปกับโต๊ะและไม่รู้สึกตัว ทางนั้นเลยรีบส่งโรงพยาบาล"

ท่าทีของมิ่งนิ่งเฉยและรู้ว่าทำไมถึงมีโทรศัพท์เข้ามาตรงข้ามกับท่าทีของแม่ที่ดูว้าวุ่นอย่างมาก และแม่พูดต่อทันที

"มิ่งขับรถพาแม่ไปดูพ่อเดี่ยวนี้เลย"

มิ่งที่ยังนิ่งอยู่บอกแม่ว่า

"แม่ครับ  แม่ฟังมิ่งนะ  นี่กี่ทุ่มแล้ว  เราไปช้าไปเร็วก็ช่วยอะไรไม่ได้ครับ  เราไม่ใช่หมอ  เค้าอยู่กับหมอแล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอดีกว่า  แม่จะไปทรมานบนรถทำไม  นั่งเครื่องบินไปพรุ่งนี้สะดวกกว่าครับ"

เธอนิ่งไปนิดก่อนตอบลูกชายว่า

"ยังไงแม่ก็อยากไปถึงให้เร็วที่สุด"

"แม่ครับไปตอนนี้ แม่ไปด้วยมิ่งไม่กล้าขับรถเร็วครับ  เชื่อมิ่งเถอะครับแม่ พรุ่งนี้เราค่อยไปออกจากบ้านเช้ามืด  มิ่งสัญญาว่ามิ่งจะซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวเช้าที่สุดที่ไปกรุงเทพครับ"

น้าสาวของมิ่งสนับสนุนความคิดของหลานชายโดยบอกว่า นั่งรถให้ทรมานไปทำไม เวลาไปถึงไม่น่าจะห่างกันมาก  แม่ของมิ่งรับคำอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่  มิ่งได้ขอร้องให้แม่ไปพักผ่อนอย่าวิตกกังวล แม่เดินกลับไปที่ห้องด้วยจิตใจที่ไม่เป็นสุขนัก  โดยมีน้าเดินตามไปส่ง    ก่อนที่มิ่งจะปิดประตูห้อง แล้วตั้งนาฬิกาปลุกให้ปลุกตอนตี 4  เป็นอีกคืนที่มิ่งข่มตาให้หลับได้ยากอีกคืน      สองคนแม่ลูกได้ออกเดินทางจากบ้านแต่เช้า มิ่งทำตามที่บอกทุกอย่างตลอดทางทั้งคู่ต่างไม่พูดอะไรกันมากเท่าไหร่ท่าที่ทีของมิ่งนั้นนิ่งเฉยเหมือนเดิม   เมื่อทั้งสองแม่ลูกมาถึงกรุงเทพ  ผู้เป็นแม่ได้โทรสอบถามวุ้นอาการพ่อและห้องที่นอนรักษาตัวอยู่  และมิ่งพาแม่ขึ้นแท็กซี่ไปถึง โรงพยาบาล จนไปถึงโรงพยาบาล มิ่งพาแม่ไปที่ห้อง ICU และพบว่าหนาห้องมีคนรอหน้าห้องกันพอสมควร  วุ้นรีบวิ่งมารับก่อนพาสองแม่ลูกไปพบกับแม่ตนเอง สตรีสูงวัยทั้งคู่ต่างมองหน้ากันก่อนที่แม่ของมิ่งจะพูดอะไรออกมา  แม่ของวุ้นเป็นคนยกมือไหว้ก่อนและเดินเข้าไปจับมือก่อนบอกว่า

"ขอบคุณมากนะคะที่รีบมา"

"อาการคุณดิเรกเป็นยังไงบ้างคะ"

แม่ของมิ่งเป็นคนถาม  ส่วนมิ่งนั้นถึงหูจะฟังการสนทนาแต่สายตากวาดไปทั่วและพบว่าขวัญกับรอดจ้องมองมาอยู่แล้ว พร้อมบุคคลอีก 4-5คนที่ยืนมองมา พร้อมกับที่แม่ของวุ้นตอบมาว่า

"คือเห็นแกเงียบไปในห้องทำงานที่บ้านคะ  เลยเข้าไปดูเลยเห็นว่าแกฟุบไปที่โต๊ะเข้าไปเรียกแกก็ไม่รู้ตัวเลยรีบส่งโรงพยาบาล  หมอบอกว่าเส้นโลหิตในสมองแตกคะตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกตัว"

วุ้นเสริมด้วยเสียงที่สะอื้นว่า

"คุณพ่อเครียดนะคะ และเป็นความดันอยู่แล้วด้วย"

แล้วแม่ของวุ้นหันมามองมิ่งก่อนพูดว่า

"มิ่งใช่ไหมลูก ไปไปเยี่ยมพ่อกัน  เชิญคะคุณพี่"

มิ่งไม่ตอบอะไรหันมาเดินจูงแม่เข้าไปในห้องโดยมีวุ้นกับแม่เดินนำเข้าไป  พอเข้าไปในห้องไวย์ที่นั่งอยู่ข้างๆเตียงหันมามอง  ร่างของดิเรกที่นอนอยู่บนเตียงพร้อมสายต่างๆระโยงระยางเต็มไปหมด   แล้วแม่ของวุ้นเรียกไวย์ให้มาไหว้แม่ของมิ่งโดยที่ไวย์ทำตามโดยไม่มีทีท่าที่ไม่เต็มใจ    มิ่งนั้นมองไปที่ร่างของพ่อที่ใบหน้ามีหน้ากากออกซิเจครอบอยู่และฟังการสนทนาของแม่ตนเองกับภรรยาใหม่ของพ่อจนจับใจความได้ว่า    หมอรอดูอาการวันต่อวันไปก่อน  เพราะอาการของดิเรกนั้นหนักมาก  มิ่งไม่พูดอะไรออกมาสักคำเดียวนอกจากสีหน้าที่เรียบเฉย จนหมอเข้ามาตรวจญาติจึงออกไปรอนอกห้อง  มิ่งจึงชวนแม่ไปกินข้าวแต่แม่บอกว่าไม่หิว  มิ่งจึงเดินไปคนเดียวท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองตาม  ซึ่งทุกคนคิดว่ามิ่งไม่สนใจอาการที่โคม่าของผู้เป็นพ่อ คงจะมาจากเรื่องที่ผ่านๆมา  มีแต่รอดเท่านั้นที่มองไปตามไปด้วยความเข้าใจ

มิ่งใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่จะซื้อขนมปังกับนมมาให้แม่ โดยบอกแกมบังคับว่ากลัวจะเป็นอะไรไปอีกคนขอให้กินจะได้มีแรง  แม่ยอมกินแต่บอกมิ่งว่าอาการของพ่อนั้นหมอไม่กล้ารับรอง    มิ่งไม่แสดงอะไรออกมาให้ทุกคนเห็น  ขวัญนั้นอยากจะหาโอกาสคุยกับมิ่งแต่เมื่อเห็นทีท่าของอดีตแฟนขวัญไม่กล้าที่จะเข้าไปคุยและมิ่งนั้นไม่สบตากับเธอด้วย ทุกคนที่มาเฝ้ารอต่างพยายามให้กำลังใจและภาวนาให้อาการของดิเรกนั้นดีขึ้น     ไวย์นั้นเฝ้าพ่อไม่ห่าง พร้อมโทษตัวเองว่าที่พ่อเป็นแบบนี้เพราะตัวเอง  ส่วนวุ้นบางทีก็ร้องไห้ออกมา ส่วนผู้หญิงที่เป็นอดีตภรรยาและภรรยาคนปัจจุบันต่างนั่งปรับทุกข์ด้วยกัน   รอดนั้นก็นุ่งอยู่อีกมุมอย่างเงียบๆ ไม่ต่างกับมิ่งที่ไม่คุยกับใครเลย  มีคนที่รู้มาเยี่ยมดูอาการของดิเรกกันมากมายแต่หมอนั้นสั่งห้ามเยี่ยม ยกเว้นเฉพาะญาติและคนที่สนิทกันจริงๆเท่านั้น

จนช่วงบ่ายพลโทวิชัยกับบุตรสาวและ ทส.คนสนิทได้มาเยี่ยมดิเรก ซึ่งวุ้นกับแม่ได้พาพลโทวิชัยเข้าไป ปล่อยให้หมวดป็อปกับทส.รออยู่หน้าห้อง รอดได้เดินเข้าไปคุยกับ ทส.ส่วนผู้หมวดสาวที่พึ่งเห็นมิ่งได้เดินมาทัก ทั้งคู่ต่างพูดคุยกันอย่างดีรวมถึงแม่ของมิ่งที่จำเธอได้เป็นอย่างดี  โดยทุกอย่างอยู่ในสายตาของขวัญตลอดและเธอเห็นว่ามิ่งนั้นมีรอยยิ้มออกมาระหว่างพูดคุย จนพลโทวิชัยออกมาและเดินเข้าไปทักมิ่งทันที

"เป็นไงคุณมงคล มาเงียบๆเลยนะ"

"ครับท่าน  ผมอยากอยู่แบบเงียบๆนะครับ"

"อืมผมก็พอรู้  แต่ถ้าคุณเปลี่ยนใจตำแหน่งครูฝึกยังรอคุณอยู่นะ  ใจผมอยากจะเชิญคุณไปเป็นวิทยากรแต่มันติดหลายอย่าง ระบบราชการทั้งเค้าทั้งเรา "

ก่อนที่จะเรียก ทส.มาแนะนำให้รู้จักต่างฝ่ายต่างทักทายกันอย่างดี มิ่งได้ถือโอกาสแนะนำให้รู้จักกับแม่ของตนเอง   จนพลโทวิชัยขอตัว รอดนั้นเป็นคนเดินไปส่งถึงรถ  รอดยืนส่งจนรถออกจากโรงพยาบาล ภายใน รถ ทส.ที่นั่งด้านหน้าได้หันมาถามผู้เป็นนายว่า

"ผมพึ่งเคยเจอตัวจริงคุณมงคลวันนี้นะครับท่านเคยได้ยินแต่ชื่อเสียง  ดูสุภาพมากเลย"

"นี่แหละคนนี้แหละ  ผมอยากจะให้เค้ามาช่วยเทรนให้พวกรบพิเศษของเราจะตายไป  แต่มันลำบากต้องขอสหรัฐก่อนต้องรอสักพัก"

ป็อปที่นั่งฟังมาตลอดจึงถามขึ้นว่า

"พ่อคะเห็นแม่คุณมิ่งบอกว่าคุณมิ่งเป็นลูกคุณดิเรก"

"ใช่ลูก  มงคลเค้าเป็นลูกคุณดิเรก หน้าเหมือนกันจะตายพ่อเจอหนแรกยังดูออกแต่ไม่กล้าทักอะไรเพราะมันเป็นเรื่องของครอบครัวเค้า"

"แล้วอาการคุณดิเรกละคะ"

"พ่อว่าหนักนะ  ถ้ามาส่งช้ากว่านี้อาจไม่รอด  ถึงรอดอาจจะไม่เหมือนเดิมแกคงเครียดเรื่องงานนะ"

ผู้เป็นพ่อตอบก่อนจะนึกถึงรายงานที่ได้รับมาในเรื่องของมิ่ง จนพอจะเดาออกความเป็นมาและสาเหตุที่ทำให้ดิเรกเข้าโรงพยาบาลแต่ตนเองพูดอะไรไม่ได้   ส่วนมิ่งหลังจากที่ พลโทวิชัยกลับไปแล้วมิ่งได้บอกแม่ว่า

"แม่ครับเรากลับกันเถอะครับ  ถ้าช้ากว่านี้จะไม่ทันเครื่องบินมิ่งซื้อตั๋วไปกลับไปไว้แล้ว"

ผู้เป็นแม่มองหน้าบุตรชายด้วยความแปลกใจก่อนบอกว่า

"พ่อยังไม่รู้สึกตัวเลยนะมิ่ง  แม่คงยังไม่กลับ"

มิ่งถอนหายใจออกมาก่อนบอกว่า

"แล้วแม่จะพักที่ไหนครับ อะไรก็ไม่ได้เตรียมมา"

แม่ของวุ้นที่นั่งอยู่ข้างๆพูดมาทันทีว่า

"ให้แม่เค้าพักที่บ้านของแม่นะมิ่ง  บ้านออกจะกว้างขวาง"

มิ่งนิ่งไปสักพักก่อนบอกว่า

"แม่ครับ"

"มิ่งจะกลับก็กลับเหอะ  แม่เตรียมเสื้อผ้ามา2-3 ชุดแล้วอยู่ในกระเป๋า"

มิ่งที่ไม่สนใจสายตาของใครต่อใครที่มองมาได้ตอบกลับแม่ตนเองไปว่า

"งั้นมิ่งกลับก่อนนะครับ  แม่จะกลับวันไหนโทรไปบอกแล้วกันมิ่งจะได้มารับ"

พูดจบอดีตเนวี่ซีลได้ลุกขึ้นแล้วบอกว่าโดยไม่เจาะจงว่าพูดกับใคร

"งั้นผมขอตัวก่อน"

แล้วมิ่งได้เดินไปทันทีโดยไม่สนใจกับสายตาที่มองมา  จนแม่ของวุ้นหันไปบอกกับรอดว่า

"รอดไปส่งคุณมิ่งที่สนามบินสิ"

แต่ก่อนที่รอดจะขยับตัว  ขวัญที่เงียบมาตลอดได้พูดว่า

"ท่านคะขวัญไปเองดีกว่าคะ"

วุ้นที่รู้ความเป็นมาของขวัญกับมิ่งนั้นพยักหน้าอนุญาต  ขวัญจึงวิ่งตามไปทันที โดยไปทันมิ่งที่หน้าลิฟท์ มิ่งหันมามองด้วยสายตาที่เฉยเมยแต่ขวัญบอกว่า

"มิ่ง ขวัญไปส่งที่สนามบินนะ"

เหมือนพูดกับสิ่งของ มิ่งไม่ตอบกลับพร้อมเป็นจังหวะที่ประตูลิฟท์เปิด  มิ่งก้าวเข้าไปโดยขวัญตามเข้าไปติดๆ แต่ไม่มีโอกาสจะพูดอะไรต่อเพราะมีคนอื่นในลิฟท์  แต่พอออกจากลิฟท์มิ่งเดินไปที่ตรงประตูทางเข้าออกโดยไม่สนใจหญิงสาวขวัญที่เดินตามไปติดๆกำลังจะบอกว่าให้มิ่งรอตรงทางออกเธอจะขับรถมารับ  แต่มิ่งเดินออกไปเรียกแท็กซี่ก่อน  ทำเอาเธอทำอะไรไม่ถูกแต่แล้วเธอทำสิ่งที่มิ่งคาดไม่ถึง ขวัญที่เห็นมิ่งเปิดประตูด้านหน้าของแท็กซี่ เธอรีบเปิดประตูด้านหลังและก้าวตามไปทันที  มิ่งหันมาชำเลืองมองแต่ก็ไม่พูดอะไรจนแท็กซี่ขับออกไป  ขวัญนั้นก็ไม่พูดอะไรออกมา เธอนั่งนึกไปถึงอดีตที่ผ่านมาว่าสิ่งที่เธอได้ทำลงคงทำให้มิ่งเกลียดเธอมาก

เรื่องมันเหมือนผ่านมาไม่กี่วันนี้ มันเป็นช่วงที่ก่อนเธอกับมิ่งจะเรียนจบทั้งคู่ต่างตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเรียนปริญญาโทต่อด้วยกัน    แต่มิ่งนั้นไม่รู้ว่าขวัญมีชายหนุ่มหน้าตาดีที่เป็นคนอเมริกันมาตามจีบอยู่จนเธอเริ่มไขว้เขว   และเป็นช่วงที่มิ่งกลับมาเยี่ยมแม่ที่ประเทศไทย   ด้วยความคิดที่ชั่ววูบขวัญตัดสินใจทิ้งมิ่งทันทีและเตรียมย้ายไปอยู่กับหนุ่มอเมริกันคนนั้น พอมิ่งกลับมาเธอได้ขอเลิกกับมิ่งโดยให้เหตุผลว่าไปด้วยกันไม่ได้   และย้ายออกจากห้องมิ่งทันที ทำเอามิ่งนั้นเสียใจมากหลังจากนั้นเธอกับมิ่งแทบจะไม่ได้เจอกันเพราะมิ่งมักจะหลบหน้าเธอ ถึงบางวิชาจะมีเรียนด้วยกัน มิ่งจะเข้าห้องทีหลังและนั่งห่างจากเธอจนทั้งคู่เรียนจบ


แต่ชีวิตรักใหม่ของเธอก็ล้มไม่เป็นท่าก่อนรับปริญญา  เพราะหนุ่มคนนั้นไม่ได้จริงจังกับเธอทำให้เธอเสียใจเป็นอย่างมากที่ทิ้งมิ่งไป จนเธออยากจะหาโอกาสไปคุยกับมิ่งเพื่อบอกว่าเธอขอโทษ  แต่เธอได้ข่าวว่ามิ่งกำลังจะไปสมัครเป็นทหารและไม่ยอมเรียนต่อปริญญาโท    จนวันรับปริญญามิ่งนั้นอยู่ห่างกับเธอตลอด แต่เธอก็ทำอะไรมากไม่ได้เพราะทางบ้านเธอบินมาร่วมงานทำให้เธอไม่มีโอกาสคุยกับมิ่ง และขวัญตัดสินใจไม่เรียนต่อปริญญาโทที่สหรัฐ  เพราะเหตุผลเรื่องของมิ่ง เธอจากลาสหรัฐมาโดยไม่โอกาสได้กล่าวคำขอโทษกับมิ่ง 

จนมาถึงวันนี้แต่ในรถนั้นเงียบเพราะมิ่งไม่ได้พูดอะไรกับเธอ มีแต่พูดโทรศัพท์เป็นภาษาอังกฤษด้วยน้ำเสียงอันเบาจนเธอฟังไม่ถนัด และเธอก็พึ่งมารู้ว่ารถไม่ได้ไปที่สนามบิน มาจอดที่หน้าสถานทูตสหรัฐ  มิ่งจัดการจ่ายค่าโดยสารและลงจากรถโดยไม่หันมามองเธอ ขวัญรีบก้าวตามออกมา  เธอเห็นมิ่งเดินไปที่ประตูทางเข้าเธอก้าวตามไปติดๆ  ก่อนที่มิ่งจะถึงประตูทางเข้าขวัญได้ตัดสินใจเรียกมิ่งทันที

"มิ่งรอขวัญก่อน"

มิ่งหยุดแต่ไม่ได้หันมาทำเพียงเอี้ยวตัวหันมามอง ขวัญจึงตัดสินใจบอกว่า

"เพราะอะไรไม่รู้นะ ทำให้มิ่งเปลี่ยนไปขนาดนี้  ขนาดพ่อตนเองเจ็บหนักมิ่งยังไม่สนใจแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัวขวัญไม่ขอยุ่งเกี่ยว  แต่ขวัญอยากจะบอกกับมิ่งว่าเรื่องในอดีตของเรานะ ขวัญขอโทษทุกอย่างมันเป็นความผิดของขวัญเอง"

สิ่งที่มิ่งตอบกลับมานั้นทำเอาถึงกับพูดไม่ออก เพราะมิ่งพูดกับเธอด้วยประโยคสั้นๆว่า

"มีเท่านี้นะ"

พอพูดจบมิ่งเดินเข้าไปในประตูพร้อมโชว์บัตรประจำตัวก่อนจะเดินหายเข้าไป ขวัญนั้นเดินกลับมาด้วยน้ำตาที่ไหลนองเป็นสายโดยไม่อายใครพร้อมกับคำถามที่วนอยู่ในความคิดว่า

"เพราะอะไรมิ่ง  เพราะอะไร ทำไมเธอถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้ ทั้งเฉยชา ทั้งเย็นชา มิ่งเกลียดขวัญมากนักใช่ไหม"

ส่วนที่โรงพยาบาลหลังจากมิ่งเดินจากไปไม่เท่าไหร่ ผู้เป็นแม่ได้สบตากับภรรยาของอดีตสามีก่อนจะบอกมาว่า

"ต้องขอโทษด้วยนะคะ  มิ่งกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เป็นทหารแล้ว  บางทีเหมือนคนที่ไร้ความรู้สึกนะคะ"

แต่รอดที่ยืนอยู่ไม่ห่างนักได้บอกมาว่า

"ขออนุญาตนะครับคุณผู้หญิง  ผมว่าผมพอจะเดาออกว่าทำไมคุณมิ่งถึงเป็นแบบนี้ในสายตาของใครๆในที่นี้"

"เพราะอะไรหรือรอด"

คนพูดคือแม่ของวุ้น

"ผมเดาว่าตอนแกเป็นทหารชีวิตแกคงผ่านเรื่องหนักๆมาเยอะนะครับ จนทำให้เก็บอารมณ์เก็บความรู้สึกได้ดีกว่าพวกเราครับและเรื่องพวกนี้คุณมิ่งคงบอกใครไม่ได้นะครับ ผมเคยเห็นภาพที่คุณท่านถ่ายมาให้ดูรูปที่คุณมิ่งแต่งเต็มยศนะครับ เครื่องหมายหลายๆอย่างที่แกติดมันแสดงว่าแกต้องผ่านอะไรมาเยอะมากครับเราเลยเห็นเหมือนกับแกไม่ยินดียินร้ายอะไรออกมาให้เห็นครับ"

ทุกคนต่างนิ่งเงียบโดยเฉพาะผู้เป็นแม่ของมิ่ง พร้อมทั้งใคร่ครวญคำพูดของรอดกับพฤติกรรมของมิ่ง แต่เธอก็ยังนึกอยู่ว่ามิ่งน่าจะทำอะไรให้เห็นว่าเสียใจหรือแสดงออกถึงความห่วงใย    แต่สิ่งที่แสดงออกมาในวันนี้เหมือนจะไม่สนใจอาการของผู้เป็นพ่อเลยสักนิด   ทุกคนนั้นไม่รู้หรอกว่าภายในจิตใจของมิ่งนั้นปั่นป่วนขนาดไหนยิ่งมาเห็นสภาพของผู้เป็นพ่อที่ต้องใช้ออกซิเจนช่วยหายใจและบรรดาเครื่องมือต่างๆ    มิ่งนั้นดูออกว่าอาการของพ่อตนเองนั้นหนักมากแต่หมอพูดออกมาไม่หมด   มิ่งดูไปที่เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจและชีพจรก็ดูออกว่าไม่ดีเท่าไหร่  แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ตนเองต้องแสดงออกมามันไม่ใช่วิสัยของตนเอง   มิ่งเจอมาเยอะกว่านี้เลยสามารถเก็บอารมณ์ได้ เหมือนอย่างที่รอดคาดไว้  และเมื่อแม่ไม่ยอมกลับมาด้วยมิ่งเห็นว่ามีเวลาจึงอยากจะเข้าไปรายงานเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้กับ ผช.ทูตทหารเรือด้วยวาจาอีกครั้งแต่นึกไม่ถึงว่าขวัญจะตามมาด้วยวิธีนี้

มิ่งนั้นไม่มีอารมณ์ที่จะพูดคุยกับขวัญทั้งสิ้น เพราะสิ่งที่ขวัญเคยทำกับมิ่งและเรื่องอาการป่วยหนักของพ่อ มันกระทบต่อจิตใจของมิ่งอยู่แล้ว   มิ่งเลยแสดงออกกับขวัญแบบนี้ เพราะไม่อยากให้ขวัญเข้ามาพัวพันกับชีวิตตนอีก  มิ่งเลือกที่จะเดินไปข้างหน้ามากกว่าจะเดินย้อนกลับไปหาคนในอดีต หลังจากที่มิ่งได้เข้าพบ  ผช.ทูตทหารเรือแล้ว  มิ่งได้เดินทางต่อไปที่สนามบินเพื่อกลับบ้านที่เชียงใหม่  ซึ่งน้าของมิ่งนั้นรอสอบถามอาการของดิเรก อย่างใจจดจ่อเพราะโทรคุยกับพี่สาวก็ได้ข้อมูลไม่มากนัก  มิ่งบอกเท่าที่จะบอกได้ เพราะกลัวว่าจะพูดอะไรออกไปแล้วน้าจะเอาไปคุยกับแม่ จนกลายเป็นการทำลายความหวังของแม่

จนผ่านไป 2 แม่ของมิ่งก็บอกว่ายังไม่กลับหลังจากที่มิ่งโทรไปหา  บอกว่าจะกลับต่อเมื่ออาการของพ่อดีขึ้นกว่านี้ เพราะพ่อเริ่มรู้สึกตัวลืมตาได้แล้ว พร้อมขยับมือได้ แต่คืนนั้นช่วงตี 3 แม่ได้โทรมาหามิ่งบอกว่า พ่ออาการโคม่าไม่ดีเท่าไหร่มิ่งบอกแม่ไปว่าจะรีบขับรถไปให้เร็วที่สุดก่อนจะไปปลุกผู้เป็นน้าแล้วบอกว่าเกิดอะไรขึ้น  ชายหนุ่มรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมไปสำรองอีก 2-3 ชุด  ก่อนจะรีบขับรถออกไปจากบ้าน พร้อมภาวนาว่า

"พ่อครับรอมิ่งด้วย"

เป็นการขับรถที่เร็วที่สุดอีกครั้งหนึ่งของมิ่ง   ซึ่งแวะแค่เติมน้ำมันอย่างเดียวเท่านั้น และมิ่งทำเวลาได้เร็วเกินคาดจากการขับรถอย่างเร็ว พอไปถึงโรงพยาบาลชายหนุ่มรีบวิ่งไปที่ห้องที่พ่อนอนป่วยอยู่ พอเปิดประตูเข้าไป จากภาพที่เห็นใครหลายๆคนยืนล้อมรอบเตียงอยู่  น้องสาวต่างมารดานั้นร้องไห้ไม่หยุดโดยยืนกอดกับน้องชายอยู่  คนในห้องต่างหันมาดูมิ่งและแม่นั้นก้มไปที่เตียงพร้อมบอกว่า

"คุณคะ  มิ่งมาแล้ว"

พอได้ยินประโยคนี้ แพทย์ที่ทำการรักษาที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งได้หันไปมองเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจและพบว่าสัญญาณที่อ่อนลงทุกขณะนั้นกระเตื้องขึ้นมาทันที  ซึ่งอาการของคนไข้นั้นโคม่าตั้งแต่ตี 2 แต่สร้างความประหลาดใจให้กับทีมแพทย์อย่างมากว่าทำไม"คนไข้ถึงยังอยู่ได้ถึงตอนนี้ทั้งๆที่ควรจะไปอย่างสงบได้นานแล้ว"  ญาติที่มายืนดูก็เพื่อมาดูใจดิเรกในวาระสุดท้ายทุกคนต่างเตรียมใจไว้หมดแล้ว    เพราะทางทีมแพทย์บอกว่าอาการเกินกว่าที่จะรักษาได้  สายตาทุกคู่แลเห็นดวงตาของดิเรกเหลือบมามองที่มิ่งและมีน้ำตาไหลออกมา มิ่งเดินไปชิดที่เตียงแล้วก้มไปบอกข้างๆใบหน้าของผู้เป็นพ่อว่า

"พ่อครับมิ่งยกโทษให้กับทุกเรื่องที่ผ่านมา เราไม่มีอะไรติดค้างกันครับ"

พูดจบมิ่งได้ทำการกราบที่หน้าอกของพ่อ   ใบหน้าของดิเรกที่ทุกคนเห็นคือมีรอยยิ้มออกมา  มือข้างขวาได้พยายามยกขึ้นแล้วมาลูบที่ศีรษะลูกชายคนโตที่ยังก้มกราบอยู่ก่อนจะร่วงลงไป  พร้อมสัญญาณชีพที่จะนิ่งสนิท พร้อมเสียงร้องของภรรยาและลูกสาวที่ต่างร้องออกมาไล่ๆกัน

"คุณคะ"

"คุณพ่อ"

มิ่งเงยหน้าขึ้นแล้วเอามือไปจับมือของพ่อและพบว่าชีพจรไม่เต้นแล้ว ชายหนุ่มจึงจับมือทั้งสองข้างของดิเรกมาวางไว้บนอก ก่อนถอยออกมาเพื่อให้หมอเข้ามาดูและหันมาดูผู้เป็นแม่ที่ยืนร้องไห้อยู่

"พ่อเค้าไปสบายแล้วครับ"

มิ่งพูดจบดึงแม่เข้ามากอด ด้วยดวงตาที่แดงกล่ำ บรรยากาศในห้องมีแต่ความเศร้าสลด แต่ใบหน้าของผู้ที่จากไปนั้นเป็นใบหน้าที่มีความสุขเหมือนจะสมหวังในสิ่งที่ตนเองเฝ้ารอมานาน  แล้วแม่ของวุ้นที่ดูเหมือนจะทำใจได้ก่อนใครได้เดินมาหามิ่งก่อนจะบอกว่า

"มิ่งแม่ขอบคุณมากๆ  คำๆนี้พ่อเค้าอยากได้ยินจากปากมิ่งมานานแล้วเค้าถึงจากไปอย่างมีความสุขนะลูก"

มิ่งพยักหน้าออกมาแต่ไม่พูดอะไรก่อนจะเดินออกไปนอกห้องและทรุดตัวลงบนเก้าอี้พร้อมเอามือปิดหน้าก่อนจะพึมพำว่า

"เราเกลียดพ่อขนาดนี้เลยหรือไง"

มันเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบนอกจากใจของมิ่งเท่านั้นที่รู้คำตอบนี้  งานศพของดิเรกนั้นจัดอย่างยิ่งใหญ่สมกับฐานะที่เป็นนักธุรกิจระดับแนวหน้าของประเทศ มีคนมาร่วมงานมากมายแต่ทุกคนต้องประหลาดใจที่เห็นพวงหรีด จาก ผช.ทูตทหารของสหรัฐครบทุกเหล่าและของทูตสหรัฐประจำประเทศไทยและที่ประหลาดใจที่สุดคือพวงหรีดของ ผบ.กองเรือที่ 7ของสหรัฐพร้อมข้อความแสดงความเสียใจมายังครอบครัว   เลยทำให้ทุกคนรู้ว่ามิ่งนั้นสำคัญมากๆ จนไวย์ที่เคยคิดดูถูกดูแคลนมิ่งตั้งแต่รู้ว่ามิ่งเป็นลูกคนโตของพ่อคนว่าเป็นทหารยศแค่พันจ่าถึงจะเป็นหน่วยซีลก็คงเป็นพวกชอบใช้กำลัง  แต่รอดนั้นเตือนสติไว้ให้คิดว่า

"คุณไวย์ครับ  พันจ่าของเค้ากับของเรานะมันต่างกันเยอะนะครับ  และยิ่งระดับคุณมิ่งผมว่าไม่น่าจะเป็นอย่างที่คุณคิดแน่นอน  คนที่จะเป็นซีลได้นั้นมันไม่ใช้กำลังอย่างเดียวต้องมีทั้งไหวพริบและปฏิภาณ เป็นอย่างดี ครับ"

ทำให้ไวย์คิดได้แต่ก็ยังมีการตั้งแง่อยู่บ้างยิ่งทั้งพ่อและรอดต่างพุดคุยกันว่ามิ่งนั้นไม่ธรรมดาต้องมีแบ็คที่แข็งคอยช่วยอยู่ จนมาถึงงานศพพ่อทำให้ไวย์นั้นรู้ว่าพี่ชายต่างมารดาของตนเองนั้นคงจะเป็นคนสำคัญมากๆ เพราะนอกจากหรีดของบุคคลสำคัญแล้วในคืนสวดศพคืนที่ 2  ผช.ทูตสหรัฐยังมาร่วมงานศพด้วยตัวเองทำให้ความรู้สึกที่ดูถูกนั้นหายไป กลายเป็นความนับถือเข้ามาแทนที่    แต่ในส่วนลึกๆของไวย์นั้นยังโทษตนเองอยู่ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อต้องเสียชีวิต จนเจ้าตัวตั้งใจว่าหลังจากจัดการงานศพเรียบร้อย ไวย์นั้นจะบวชให้พ่อสัก 1พรรษา

ขวัญนั้นเสียใจเป็นอย่างมากที่เจ้านายอันเป็นรักและนับถือของเธอได้จากไป แต่ต้องมาเสียใจหนักเข้าไปอีก เพราะมิ่งไม่ยอมที่จะพูดกับเธอเลยตั้งแต่วันที่มิ่งไปสถานทูตสหรัฐ  และเธอก็มั่นใจว่ามิ่งนั้นสนใจในตัวของลูกสาวพลโทวิชัย เพราะการแสดงออกที่เห็นได้ในงาน  หมวดป็อปนั้นมาทุกวันและแสดงออกถึงความสนิทกับมิ่ง แถมยั้งรู้จักทั้งแม่และน้าสาวของมิ่งเป็นอย่างดี

ในส่วนของมิ่งนั้นได้สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน  ถึงแม้ตลอดในงานมิ่งนั้นแทบจะไม่ค่อยได้พูดกับใครเท่าไหร่นัก  มิ่งได้ทำหน้าที่ลูกชายคนโตได้อย่างสมบูรณ์ไม่ว่าจะจุดธูปให้แขกที่มาเคารพศพ   หรือเคาะโลงเพื่อให้พ่อฟังสวด และพนักงานในบริษัทต่างรู้ดีว่า มิ่งเป็นลูกอีกคนของดิเรกเพราะวุ้นกับไวย์นั้นไม่ปิดบัง แถมยังแนะนำให้มิ่งรู้จักกับผู้บริหารในบริษัททุกคน  ซึ่งดูเหมือนคนมิ่งจะพูดคุยด้วยมากที่สุดคือรอด คนสนิทของพ่อ  รอดนั้นบอกมิ่งว่าหลังจากงานศพเรียบร้อยตนเองคงจะขอกลับไปใช้ชีวิตทำสวนกับครอบครัวที่ลพบุรี

จนถึงวันเผาศพมิ่งนั้นได้สร้างทั้งความประหลาดใจและความประทับใจให้กับครอบครัวของฝ่ายแม่ของวุ้นกับไวย์มาก  มิ่งนั้นแต่งชุดทหารเรือสหรัฐแบบเต็มยศ ซึ่งตอนแรกมิ่งจะเป็นคนแบกโลงศพแต่แม่ของวุ้นกับไวย์บอกว่า

"มิ่งเป็นลูกชายคนโตของพ่อ  มิ่งถือกระถางธูปนะลูก"

ซึ่งมิ่งทำตามโดยไม่มีเงื่อนไขวุ้นนั้นเป็นคนถือรูปส่วนไวย๋นั้นเป็นขอไปช่วยเข็นรถบรรทุกโลงศพของพ่อตอนเดินรอบเมรุ ซึ่งในวันเผาศพนั้นนอกจากพลโทวิชัยกับลูกสาวแล้ว    ผช.ทูตทหารเรือสหรัฐนั้นได้มาร่วมด้วย จนพิธีการต่างๆผ่านไปจนหมด เหลือตอนเผาจริง วุ้นกับไวย์รวมทั้งขวัญนั้นร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร  จนโลงได้เข้าไปสู่เตาเผา  มิ่งที่ยืนประคองแม่ที่น้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสายได้เดินไปหน้าเตาแล้วปลดเข็ม Trident ที่ประดับอยู่บนหน้าอกเสื้อด้านซ้ายออกมา แล้ววางไปบนฝาโลง ก่อนชิดเท้าตรงพร้อมทำวันทยาหัตถ์ให้และพูดออกมาว่า

"หลับให้สบายนะครับพ่อ  มิ่งทำได้เท่านี้"

การกระทำแบบนี้ทำให้ทุกคนยิ่งประทับใจเข้าไปอีก รอดนั้นรู้สึกภูมิใจแทนเจ้านายที่ล่วงลับไปว่า ลูกชายที่เคยแสดงออกถึงความไม่สนใจในตัวของผู้เป็นพ่อตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ที่แท้จริงเป็นอย่างไรและให้เกียรติพ่อขนาดไหน ส่วนมิ่งนั้นได้เดินไปโอบกอดแม่โดยไม่พูดอะไร โดยไม่สนใจกับสายตาหลายๆคู่ที่มองมาอย่างชื่นชม และในวันต่อมาวันที่เก็บอัฐิของดิเรก ทางแม่ของวุ้นกับไวย์ได้มอบ เงิน 1,000 บาทที่ดิเรกเก็บใส่กรอบไว้ให้มิ่ง โดยบอกไปว่า "พ่อเค้าเก็บไว้ตลอด  แม่อยากให้มิ่งเป็นคนเก็บรักษาต่อ"  มิ่งนั้นรับด้วยน้ำตาที่คลอออกมา  จนผ่านไป 10 วันหลังจากที่งานศพและการทำบุญให้ผู้ล่วงลับผ่านไปเรียบร้อย มิ่งได้พาแม่ไปสวนที่ระยอง สองแม่ลูกได้เดินขึ้นไปบนเนิน โดยมีทั้งวุ้นกับไวย์และผู้เป็นแม่ได้เดินตาม ทั้งหมดต่างยืนมองไปรอบๆก่อนที่แม่ของวุ้นจะบอกว่า

"มิ่งมั่นใจแล้วนะลูกที่จะมอบที่ตรงนี้ให้นะ"

"ครับ  ผมมั่นใจแล้วและก็เป็นความตั้งใจของแม่  แต่อย่างที่บอกผมอยากให้ตรงนี้ทำเป็นเจดีย์เพื่อบรรจุกระดูกของพ่อครับ เพราะมันเห็นทะเลได้อย่างชัดเจนและพ่อก็เป็นคนที่อยู่ใกล้ทะเลมาเกือบตลอด"

อำไพแม่ของมิ่งนั้นพยักหน้ายืนยันคำพูดของลูกชายอีกที  หลังจากวันเผาดิเรกเธอได้ปรึกษากับมิ่งว่าจะไม่เอาที่คืน จะยกให้วุ้นเพื่อขยายที่ในการสร้างรีสอร์ทต่อไป เหมือนเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้กับพ่อโดยมิ่งไม่คัดค้านอะไร ซึ่งน้องสาวเธอที่กลับไปดูแลไร่ที่เชียงใหม่โดยขับรถของมิ่งกลับไปด้วยก็สนับสนุนความคิดนี้  และมิ่งเสนอให้สร้างเจดีย์เพื่อบรรจุกระดูกของพ่อไว้ตรงเนินซึ่งทุกคนเห็นด้วย   และมิ่งได้พูดต่อไปว่า

"แล้วเงินที่ได้มาจากพ่อผมจะคืนให้นะครับ"

แม่ของวุ้นกับไวย์พูดต่อทันทีว่า

"มิ่งเงินก้อนมันเป็นของพ่อที่เค้าเก็บไว้ให้มิ่งนะ  มันเป็นส่วนของมิ่งที่ต้องได้ ทางเราไม่รับหรอกลูก  พ่อเค้าจะได้สบายใจด้วย"

วุ้นนั้นที่พึ่งเข้ารับตำแหน่งแทนดิเรกและยังขอให้ขวัญเป็นเลขาเหมือนเดิม  ได้พูดต่อจากผู้เป็นแม่ว่า

"พี่มิ่งไม่เปลี่ยนใจนะคะที่จะมาช่วยงานกับทางเรา"

"ไม่ละครับ ถึงผมจะจบปริญญาตรีแต่พอมาทำงานก็มาเป็นทหารจับปืนพอออกจากทหารก็มาจับจอบจับเสียมครับ ขอเป็นชาวไร่ดีกว่า"

"แต่ถึงจะเป็นขาวไร่ก็พูดภาษาอังกฤษได้ชัด นี่คะพี่"

มิ่งยิ้มๆไม่ตอบอะไรก่อนจะมองไปรอบๆแล้วหันมาบอกแม่ว่า

"ไปเหอะครับแม่  ป็อปรออยู่ที่กรุงเทพทานข้าวเสร็จเราจะได้กลับบ้านถ้าช้าอาจตกเครื่องได้ น้าปราณีบอกว่าเจ้าเขี้ยวมันนั่งรอตรงประตูอยู่ทุกเย็นแล้วครับ"

ผู้เป็นแม่พยักหน้ารับคำก่อนกล่าวคำอำลาทุกคนแม่ของวุ้นกับไวย์ได้ยกมือไหว้แล้วเข้ามากอดเหมือนกับลูกสาวคนโตส่วนไวย์นั้นได้ยกมือไหว้อย่างเดียว และมิ่งได้บอกว่า

"เตรียมเอกสารเสร็จวันไหนก็โทรไปบอกแล้วกันนะครับ  ผมจะได้มาเซ็นโอนที่ให้"

วุ้นนั้นพยักหน้าและไวย์ที่เงียบมาตลอดได้พูดขึ้นว่า

"แล้วถ้าพวกเราจะไปหาที่ไร่ที่เชียงใหม่จะได้ไหมครับ"

มิ่งยิ้มกว้างออกมาพร้อมตอบว่า

"ไร่มิ่งมงคลยินดีต้อนรับตลอดเวลาครับ  ลาละครับ"

มิ่งเดินพาแม่ลงจากเนินไปที่รถตู้ที่วุ้นได้จัดเตรียมไว้ให้พร้อมคนขับ สายตาของสามคนแม่ลูกต่างมองไปที่มิ่งและแม่ แล้ววุ้นได้พูดขึ้นมาว่า

"พ่อคงตายตาหลับนะคะแม่"

"ใช่แล้วลูกถ้าเค้าอยู่คงดีใจแต่ยังไงตอนเค้าสิ้นหน้าตาของเค้าก็มีความสุข  คงเพราะสิ่งที่มิ่งพูดออกมาให้เค้าได้ยิน เค้าเลยจากไปอย่างสงบและมีความสุข  เราก็รู้ๆกันอยู่ว่าเค้ารอที่จะเจอมิ่ง แต่แม่ก็เคยบอกเค้าไปนะว่าที่มิ่งทำนะมันไม่ใช่ทิฐิหรือความเกลียดที่มีต่อพ่อเค้าหรอก  มันคงเป็นความน้อยใจมากกว่าเลยแสดงออกแบบนี้ ถ้าเค้าเกลียดพ่อจริงเราคงไม่เห็นว่าเค้าทำให้ขนาดไหนตอนงานศพของพ่อ"

ก่อนที่เธอจะส่งความคิดไปถึงสามีผู้ล่วงลับไปแล้วว่า

"คุณคงรับรู้แล้วสินะว่ามิ่งเค้าไม่ได้เกลียดคุณเลย  ดวงวิญญาณของคุณคงอยู่อย่างสงบสุขแล้วนะคะ"

kaithai

#1
ที่มิ่งทำนะมันไม่ใช่ทิฐิหรือความเกลียดที่มีต่อพ่อเค้าหรอก 
มันคงเป็นความน้อยใจมากกว่า ถึงได้แสดงออกแบบนี้






คำเตือน  ก่อนคอมเม้นต์ จากเจ้แว่น
................................................................................................................
ใครจะอ่านผลงานทุกตอนในห้องนี้ ถ้าทำตามกติกา-เงื่อนไขนี้ไม่ได้ แล้วรีพลายมักง่ายผ่านไปที หรือ รีพลาย ขอบคุณครับ,ขอบคุณ,ขอบคุณค่ะ,ติดตามครับ,สนุกมากครับ,ติดตามต่อ. อะไรประมาณนี้ จะแบนเลยนะ ขอบคุณมากๆครับ ก็ไม่ต้อง thank,thank you,thx ขี้หมาหลายแหล เหล่านี้ก็อย่าให้เห็น จัดรูดแบนไปยาวๆถ้าเจอ นี่เป็นข้อตกลงไว่ก่อนอ่านระหว่างเจ้าของงาน กับสมาชิก ::Angry:: ถ้า รีพลายผิดเงื่อนไขมาหรือ โชว์พาล์วอยู่มานาน โชว์เก๋า โชว์สด โชว์เกรียน ทำมึนลองมาจะแบนเลย เพื่อสมาชิกอีกส่วนที่พร้อมทำตามกติกา ::Cheeky:: เพราะไม่เช่นนั้น รีพลายคุณอาจทำให้ สมาชิกที่ปฏิบัติตามพลอยอดอ่านไปด้วย ฉะนั้นไม่แน่ใจ อย่าพิมพ์เอามักง่ายมั่วๆ..ถ้าคิดว่า กฏนี้มันยากก็ไปหาที่อื่นเสพนะ อย่าเข้ามาใช้มาอ่านงานที่ห้องนี้ อ๋อ ใครโดน pm เตือนถ้ายังมึนจะแบนจาก 6 เดือนเป็น 1ปี. .

กฎที่วางนี่ไม่ได้เขียนเอา ฮา เนอะ แบนจริงใครอยู่นานแล้วคงรู้จัก แว่น ดี..คิดว่า ฉันแบนจริงหรือเตือนเอาสนุกเล่นๆ..อย่าๆลอง เดี๋ยวจะเสียความรู้สึกด้วยรีพลายคุณเอง ทำตามเงื่อนไข ยากอะไร หรือ จะโชว์เกรียน..เตือน,ขอร้อง,ขอความร่วมมือ แล้วเมื่อไม่รักษาสิทธิ์-ประโยชน์คุณเอง ก็แบนไปใช้เวปอื่น. .
................................................................................................................

633sqd

#2
น้ำตาไหล มิ่งน่าจะดีกับพ่อตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลนะ เช็ดน้ำตาไปหลายรอบกว่าจะอ่านจบ ::Crying:: ::Crying::..... รออ่านเรื่องต่อไปนะครับ ::Thankyou::

jashow


ziggy2

ขอบคุณมากครับ รออ่านเรื่องต่อๆ ไปจากท่านนะครับ

dwarf

ขอบคุณครับ..บอกได้คำเดียวว่า...ไม่มีที่ติครับ

elviswhat

น้ำตาไหลเลยครับ ตอนที่มาอโหสิกรรม แล้วก็ตอนทำความเคราพหน้าเมรุอีก เป็นอีกเรื่องที่เรียกน้ำตามาก ๆ ครับ คุณ twintower

tacklove

ขวัญในความคิดของผม สมแล้วที่มิ่งทำแบบนั้น แต่ก็อย่างว่านะวัยรุ่นอารมณ์อ่อนไหวง่ายเลยต้องเสียใจจนจบเรื่องเลย พระเอกของเราก็ติดเท่ห์ซะเกือบไม่ทันดูใจพ่อตัวเองแล้วเนี่ย ว่าแต่จะจบแบบนี้จริงๆหรือครับ ยังไปได้อีกไกลเลยนะ ต่อเหอะครับ

sniperteam

เป็นเรื่องแรกที่ผมข้ามอ่านช่วงบทเสียว แต่สนใจที่เนื้อเรื่องมากกว่า การเป็นทหารฝึกคนให้เป็นคนยิ่งขึ้น สุดท้ายมิ่งก็แสดงออกมาจากใจจริง ขอบคุณผู้แต่ง เป็นนิยายที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งที่อ่านมาครับ

ponggunyuki2527

อ่านแล้วน้ำตาไหลเลยอ่ะ ซึ้งจริงๆ รอผลงานชิ้นต่อไปครับ

myzzr

อ่านจบแล้วบอกไม่ถูก เขียนกินใจคนอ่านมากครับ 

devilzoa


sunnie06

ทําไมจบเร็วละครับ แต่ก็ประทับใจตอนจบนะครับ

cd13579

เรื่องนี้ต่อได้อีกอะ รู้สึกค้างจริงๆ แต่กองเรือ7ส่งพวงหลีดมานี้ถือว่าดุจริงไรจริง แถทผชทูตอีก ตัวเบิ้มเลยนะเนี่ย
ใครหื้อใครซ่า ข้าแบนเรียบ

adas

เป็นนิยายที่ดีมากๆๆๆครับ
อ่านแล้วได้แง่คิดหลายๆอย่าง
ขอบคุณรับ