ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_GoDeRsOuL

7 Sin : Lust "รู้เขา....รู้เรา" (EP.5) *Rewrite*

เริ่มโดย GoDeRsOuL, มีนาคม 09, 2017, 12:11:02 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

GoDeRsOuL

ตอนนี้รีไรท์ค่อนข้างยาก เนื่องมาจากก่อนจะรีไรท์ ผมแต่งตอนนี้ด้วยความยากลำบาก
แม้ว่าพอมาอ่านทีหลังจะพบเจออะไรผิดๆอยู่เยอะก็ตาม ตอนที่รีไรท์เลยรู้สึกเสียดาย
สุดท้ายก็แก้น้อยมาก เรียกว่าเพิ่มเข้าไปจะถูกต้องกว่าแก้
แต่ถึงแก้ไปแล้ว อ่านเองไปอีกสามสี่รอบ ผมก็ยังไม่ค่อยพอใจอยู่ดี (เฉพาะ Ep นี้)
ถ้าอ่านแล้วแปลกๆขัดๆ หรืออะไรยังไง เม้นบอกผมได้เลยนะครับ

ซ่อนแค่รูปประกอบจินตนาการนะครับ

อ่านจบแล้วถ้าแสดงความคิดเห็นให้หน่อยจะกรุณามากครับ จะได้นำไปปรับปรุงผลงาน

เจอคำผิดบอกด้วยนะครับ


...........................................................................

สมองทั้งสองซีกของผมร่วมกันทำงานอย่างหนักหน่วงเพื่อคิดตีความถึงประโยคที่แอสโมดิวส์เคยบอกเอาไว้
ผมจ้องมองสังเกตุปฏิกิริยาของร่างสวยข้างๆจนเมื่อแน่ใจว่าเธอไม่ได้ตกอยู่ใต้การควบคุมจากพลังของแอสโมดิวส์
ใบหน้าของผมจึงส่อแววเคร่งเครียดจนทำให้เหมยรู้สึกตกใจและรีบเอ่ยถามผมด้วยความสงสัย
ท่าทางของเธอดูจริงจังผิดแผกไปจากเมื่อครู่จนทำให้ผมเริ่มรู้สึกตัวจากภวังค์
ผมได้แต่แสดงท่าทีอึกอักเพราะไม่รู้ว่าจะตอบเธอด้วยเหตุผลอะไรให้ผิดสังเกต
โชคยังดีที่บังเอิญมีเสียงโครกครากดังออกมาจากท้องของผมได้ถูกเวลาพอดี

" เอิ่ม.... สงสัยพลจะหิวแล้วหล่ะ ฮะๆ "
ผมพยายามทำให้เป็นเรื่องตลกเพื่อบ่ายเบี่ยง ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะได้ผล เหมยมีท่าทางผ่อนคลายลงและตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงโล่งใจ

" อ้าว! พลหิวก็ไม่บอก ทำหน้าซีเรียสเชียว "
ดวงตาเฉี่ยวของเธอที่เคยจ้องเขม็งมาที่ผมกลับกลายเป็นปกติพร้อมกับรอยยิ้มสวย

" งั้นเหมยขอไปล้างตัวก่อน แล้วเราค่อยลงไปหาอะไรกินกัน อ๋อ! มีห้องน้ำอีกห้องอยู่ข้างนอกด้วย หรือว่า.... พลจะเข้ามาอาบกับเหมยก็ได้น้าาาา "
เหมยลากเสียงยั่วยวนก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงและเดินนวยนาดอวดร่างเปลือยเปล่าตรงเข้าห้องน้ำไป

หลังจากที่ประตูห้องน้ำปิดสนิทลง
ตัวผมนั้นยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเตียงโดยที่ยังไม่ไปอาบน้ำ
ภายในหัวเฝ้าคิดวนเวียนถึงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ซึ่งหากยึดตามจากสิ่งที่แอสโมดิวส์บอก
การที่เหมยไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของพลังหลังจากที่ผมพลาดหลั่งน้ำเชื้อใส่เธอ ก็หมายความว่าเธอเป็นหนึ่งในตัวแทนแห่งบาปเหมือนผมงั้นหรือ....

แต่เมื่อได้นึกย้อนกลับไปเมื่อคืนวาน
ทำไมตอนที่ร่างของเธอสัมผัสเข้ากับแก่นกายที่ลานจอดรถ ผมถึงสามารถใช้พลังควบคุมราคะของเธอได้
ยิ่งคิดผมก็ยิ่งสับสนหนักยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าจะมีคนให้คำตอบได้ ก็คงเป็นตัวแอสโมดิวส์เองล่ะมั้ง

ในขณะที่ผมกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดนั้น ผมก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของอะไรบางอย่าง
เมื่อหันไปมองด้วยความสงสัย ก็พบว่ามันคือโทรศัพท์มือถือของเหมยที่เห็นเธอหยิบขึ้นมาเล่นในร้านอาหารเมื่อคืนวาน
มันกำลังสั่นเป็นจังหวะอยู่ตรงหัวเตียงเพราะมีคนโทรเข้ามา

ผมเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาดูพลางขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะตำเหน่งที่ควรจะแสดงชื่อและเบอร์คนที่โทรเข้ามาบนหน้าจอกลับว่างเปล่า
และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เหมยเปิดประตูห้องน้ำออกมาพอดี

" เออ.... ใครโทรมาเหรอพล "  เหมยทำหน้าตื่นๆเมื่อเห็นผมถือโทรศัพท์ที่กำลังสั่นของเธออยู่
ร่างของเธอพันไว้ด้วยผ้าขนหนูสีขาวเพียงผืนเดียว ร่างกายที่ยังไม่แห้งมีหยดน้ำเกาะอยู่ทั่ว ทำให้เธอดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ

" ไม่รู้ซิ ไม่มีเบอร์บอกไว้หน่ะ กำลังจะเอาไปให้พอดีเลย " ผมบอกเธอไปตามที่เห็น

เหมยแสดงสีหน้าตกใจขึ้นมาเพียงชั่วครู่ก่อนจะกลับเป็นปกติ และเดินมาหยิบโทรศัพท์ไปจากมือผมที่ยื่นส่งให้
เธอก้มลงมองดูหน้าจอโทรศัพท์แต่ไม่ได้กดรับสายทั้งๆที่มันกำลังสั่นอยู่

" ขอบใจมากนะ พลยังไม่ได้อาบน้ำไม่ใช่เหรอ ไปอาบเลยสิ เดี๋ยวเราจะได้ไปหาอะไรกินกัน "

เหมยเดินอ้อมมาผลักผมจากด้านหลังให้เดินเข้าห้องน้ำ
ก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้องนอนไปโดยทิ้งให้ผมยืนตัวเปลือยอยู่คนเดียว
ผมจึงต้องเดินออกจากห้องน้ำไปเก็บเสื้อผ้าที่กองอยู่ตรงปลายเตียงเพื่อจะเอามาใส่หลังจากอาบน้ำเสร็จ
จากนั้นก็มองหาผ้าเช็ดตัวที่เหมยไม่ได้ให้ผมไว้ซักผืนไปทั่วห้องแต่ก็ไม่พบ
จนเมื่อไม่รู้ว่าจะหาได้จากที่ไหน ผมจึงตัดสินใจที่จะเดินไปถามเหมย

เมื่อผมเปิดประตูห้องนอนและเดินออกไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อจะไปหาเหมย
ผมก็พบว่าเธอกำลังนั่งอยู่บนโซฟาด้วยท่าทีแปลกๆ
เธอถือโทรศัพท์เอาไว้แนบหูเหมือนกำลังใช้มันพูดคุยกับใครบางคนอยู่
มันคงจะดูไม่แปลกเลยซักนิดถ้าหากว่าเธอไม่ได้นั่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาและดวงตาเหม่อลอยอยู่แบบนั้น

และสิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจที่สุดก็คือแสงสีเหลืองนวลอ่อนที่ปกคลุมอยู่รอบตัวของเธอ
มันเปล่งแสงเบาบางซะจนแทบจะมองไม่เห็นไปทั่วร่าง
ยกเว้นก็แต่ที่โทรศัพท์ของเหมย
แสงสีเหลืองนั้นเปล่งประกายเข้มจนสามารถมองเห็นได้ชันเจน....

" เหมย! เป็นอะไรหน่ะเหมย! " ผมเดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อลองเรียกชื่อและเขย่าตัวเธอ
แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไร้การตอบกลับ เธอยังคงนั่งนิ่งโดยถือโทรศัพท์แนบหูเอาไว้อยู่เหมือนเดิม
ตอนนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงเบาๆดังลอดออกมาจากโทรศัพท์
มันเบาซะจนไม่สามารถจับใจความได้ว่าอีกฝ่ายนั้นพูดถึงเรื่องอะไร
พอรู้ว่าเธอกำลังคุยโทรศัพท์กับคนอื่นอยู่ ผมจึงถอยห่างออกมาและหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟาตรงข้ามเธอแทน
แม้ว่าจะยังติดใจเรื่องที่เธอไม่พูดโต้ตอบกับคู่สนทนาและแสงสีเหลืองประหลาดที่ปกคลุมร่างบางของเหมยก็ตามที

เวลาผ่านไปเพียงชัวครู่ในขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้น จู่ๆแสงสีเหลืองจากโทรศัพท์เครื่องนั้นก็พลันสว่างขึ้นกว่าเก่า
มันค่อยๆลามไหลปกคลุมตัวของเหมยช้าๆโดยมีต้นกำเนิดมาจากโทรศัพท์เครื่องนั้น

ตาของผมเบิกกว้างเมื่อสังเกตุเห็นถึงความผิดปกติ
ผมจึงรีบพุ่งเข้าไปดึงโทรศัพท์เครื่องนั้นออกมาจากมือของเธอทันที
เมื่อนั้นเอง แสงสีเหลืองที่ไหลลงมาช้าๆจนเกือบจะถึงปลายเท้าก็สลายหายไปจากร่างของเหมยจนหมด
ผมได้แต่สับสนกับสิ่งประหลาดที่เกิดขึ้นและก้มมองดูโทรศัพท์ของเหมยที่กำลังเปล่งแสงสีเหลืองเข้มเพื่อว่ามันจะมีคำตอบให้
แต่คำตอบที่ปรากฏอยู่ในเครื่องกลับดูคุ้นตาผมเป็นอย่างมาก
เพราะมันคือตราสัญลักษณ์ลักษณะเดียวกับที่ปรากฎบนตัวของพยาบาลแก้วหลังจากผมหลั่งน้ำเชื้อเข้าไปในตัวเธอ
เพียงแต่ว่า....
สัญลักษณ์นี้มีรูปร่างคล้ายกบ....
กบสีเหลืองที่ดูชั่วร้ายจนทำให้ผมขนลุกแม้เพียงแค่มองเห็น....

" หืม! เคยบอกไปแล้วนี่ ว่าให้อยู่คนเดียวก่อนจะรับสาย "
เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังออกมาจากโทรศัพท์ มันเป็นเสียงของคนๆเดียวกับที่ผมได้ยินก่อนหน้านี้

" อาจจะทำให้เรื่องมันยุ่งยากนิดหน่อยแต่ก็ไม่เป็นไร ยังไงสัญญาก็เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว
ตอนนี้ก็คงพูดได้แค่ว่า ลาก่อนนะเหมย....  ตืด! ตืด! ตืด! ตืด!
"
สายถูกตัดไปพร้อมๆกับที่สัญลักษณ์และแสงสีเหลืองค่อยๆจางหายไปจนเหลือไว้เพียงโทรศัพท์ธรรมดา

" หืม...... อ้าว! พล มายืนทำอะไรตรงนี้หล่ะ นี่ยังไม่ได้อาบน้ำอีกเหรอ "
ดูเหมือนเหมยพึ่งจะได้สติกลับมาหลังจากที่ชายคนนั้นวางสายไป ดูเธอจะจำเรื่องเมื่อครู่ไม่ได้เลยสักนิด

" อ้อ พอดีพลจะมาถามเหมยเรื่องผ้าเช็ดตัวหน่ะ เหมยยังไม่ได้หยิบให้พลเลย "
ผมพูดถึงจุดประสงค์ที่เดินมาให้เธอฟังด้วยสีหน้าปกติขณะที่เอามือไพล่หลังไว้เพื่อไม่ให้เธอเห็นโทรศัพท์

" เอ้า! เหมยลืม แหะๆ ขอโทษนะ เดี๋ยวเหมยจะไปหยิบให้ "
เหมยแลบลิ้นและเอามือเคาะหัวตัวเองด้วยท่าทางโก๊ะๆเหมือนอย่างเคย
ก่อนที่เธอจะลุกยืนขึ้น และเดินไปที่ระเบียงเพื่อไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาให้ผม

ในขณะนั้น....
ผมไม่ได้รู้ตัวเลยซักนิด....
ว่าจะได้เห็นรอยยิ้มอันสดใสของเธอเป็นครั้งสุดท้าย....

ผมยืนมองเหมยเลื่อนประตูกระจกและเดินออกไปตรงระเบียง
ในใจคิดถึงแต่เรื่องสัญลักษณ์และแสงสีเหลืองเมื่อครู่จนรู้สึกสังหรณ์ถึงอะไรบางอย่าง
รวมเข้ากับคำพูดถึงท้ายของชายปริศนาที่ผมมั่นใจว่าต้องเป็นหนึ่งในตัวแทน
ทำให้ผมส่งเสียงเรียกเหมยเพราะนึกอยากจะสอบถามเธอในเรื่องนี้

แต่น่าประหลาดที่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ยิน
ร่างของเธอเดินผ่านผ้าราวตากผ้าไปที่ระเบียงช้าๆพลางปลดผ้าขนหนูออกจากตัวไปด้วย
เหมยพยายามหันหน้ามาหาผมอย่างยากลำบาก
สีหน้าของเธอดูตื่นตระหนกเป็นอย่างมากจนทำให้ผมรู้สึกถึงความผิดปกติ

" พะ พล!! เหมยบังคับตัวเองไม่ได้เลย ร่างกายมันขยับไปเอง นี่มันอะไรกัน! ช่วยเหมยด้วยยย!! "

เหมยร้องตะโกนให้ผมช่วยด้วยน้ำเสียงสั่นเทา น้ำตาของเธอเริ่มรินไหลออกมาจนอาบไปทั่วทั้งสองแก้ม
ดูเหมือนว่าเหมยกำลังพยายามอย่างสุดกำลังที่จะฝืนร่างกายของตัวเอง
แต่แสงสีเหลืองกลับปรากฏออกมาทั่วร่างเปลือยของเธอและดูเหมือนมันจะทำให้เหมยเดินตรงไปที่ระเบียงเร็วขึ้นไปอีก

ตอนนี้ผมไม่มีเวลามาสังเกตุหรือคิดอะไรได้อีกต่อไปแล้ว
เพราะร่างของเหมยนั้นเดินไปถึงราวระเบียงอย่างรวดเร็วและกำลังก้าวขาปีนขึ้นไป

" เห้ย!! เหมย!! อย่า!! " ผมรีบวิ่งไปที่ระเบียงด้วยความรวดเร็วที่สุดเท่าที่สองขาของผมจะพาไปได้
ทั้งๆที่ระยะจากจุดที่ผมยืนกับระเบียงที่เหมยอยู่มันไม่ได้ห่างกันมากมายนัก

แต่ชั่วพริบตาที่ผมวิ่งมาถึงระเบียง....
ร่างของเหมยก็นั่งหันหลังหอยขาอยู่ที่ราวระเบียงในสภาพเปลือยเปล่าเรียบร้อยแล้ว....

ผมไม่รอช้ารีบกระโดดพุ่งตัวออกไปสุดแรงเกิดและส่งมือขวายื่นออกไปจนสุดแขนโดยหมายจะคว้าเอวของเธอไว้
เหมยหันใบหน้าที่อาบนองไปด้วยน้ำตากลับมา แววตาของเธอนั้นดูหวาดกลัว ตื่นตระหนก และเศร้าสร้อย
ตาของเราประสานกันก่อนที่จะเหมยจะเอ่ยคำพูดสุดท้ายของเธอ....

" พล.... ช่วยเหมยด้วย "

" อย่านะ!!! เหมยยยยยยยยยยยยยยยยย!!! "

มันเป็นเสียววินาทีที่ยาวนานจนเหมือนนิรันดร์หลังจากที่ผมตะโกนเรียกชื่อของเธอ
ร่างของเเหมยค่อยๆโนมตัวก้มลงไปข้างหน้าและหล่นหายวับไปราวกับเล่นกล
เสียงหวีดร้องด้วยความกลัวสุดขีดค่อยๆจางหายไปตามระยะทาง
หลงเหลือไว้เพียงแค่สัมผัสที่ปลายนิ้วมือของผมเท่านั้น....
ที่บอกให้รู้ว่าผมไม่ได้ฝันไป....

 


.
.
..
...

" โธ่! ผู้กองครับ ผมก็บอกไปแล้วไงครับ ว่าผมเป็นเพื่อนเก่าของเธอ และผมก็พึ่งจะได้เจอกับเธอเมื่อคืนนี้เอง "

แต่คนที่โทรแจ้งเหตุบอกกับทางเราว่าเห็นผู้ตายถูกผลักตกลงมาจากระเบียง และภายในห้องนั้นก็มีแค่คุณอยู่เพียงคนเดียวนะครับ ยังไงวันนี้ผมก็ต้องขอกักตัวคุณไว้สอบปากคำก่อนครับ "

" ปัดโธ่! ถ้าผมเป็นคนฆ่าเธอจริงๆ ผมคงไม่อยู่รอให้ถูกจับแบบนี้หรอกครับ แล้วเธอก็เป็นเพื่อนของผมด้วย ผมจะฆ่าเธอไปทำไมละครับผู้กอง "

ผมร้องตะโกนโหวกเหวกอยู่หน้าคอนโดท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในขณะนั้น
ต้องย้อนกลับไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนหลังจากที่เหมยร่วงลงไปจากระเบียง
ในขณะที่ผมกำลังนอนร้องไห้อยู่กับพื้นได้ไม่ถึงสิบห้านาที
จู่ๆเจ้าหน้าที่ตำรวจก็บุกเข้ามาภายในห้องและเข้าจับกุมตัวผมทันโดยไม่สอบถามใดๆทั้งสิ้น
ทางตำรวจอ้างว่าได้รับโทรศัพท์ลึกลับโทรเข้ามาแจ้งเหตุว่ามีคนถูกฆาตกรรมโดยการผลักจนตกลงมาเสียชีวิตจากห้องนี้
ผมได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเพราะรู้สึกว่าจังหวะมันพอดีเกินไปจนเหมือนต้องการจะให้ผมเป็นแพะ
แต่ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอดจากการเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เจ้าหน้าที่ฟัง
ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเชื่อผมเลยก็ตาม

" ขอโทษนะคะ ขอดิชั้นคุยกับผู้ต้องหาหน่อยค่ะผู้กอง "

หญิงสาวคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นในขณะที่เธอกำลังเดินตรงเขามาและยื่นบัตรอะไรซักอย่างให้ผู้กองดู
น่าแปลกที่ผู้กองคนนั้นถึงกับเบิกตากว้างและรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
จนทำให้ผมต้องหันไปมองที่ผู้หญิงคนนั้นด้วยความสงสัย
เพียงแว่บแรกที่เห็นผมก็บอกได้ทันทีว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างสวยคนหนึ่ง
เธอสวมชุดสูทสีครีมและพับแขนเสื้อร่นขึ้นไปจนเกือบถึงข้อศอก
ผมยาวสลวยจนเกือบถึงกลางหลังและท่าทางทะมัดทะแม่งนั้นดูเข้ากันกับแว่นกันแดดสีดำที่เธอใส่อยู่เป็นอย่างดี
แต่ผมก็ไม่สามารถสังเกตุเธอไปได้มากกว่านี้
เพราะเมื่อเธอเดินมาถึงเธอก็จับมือขวาผมขึ้นมาบีบไว้แน่นและเอ่ยคำทักทายทันที

คุณเจน

" สวัสดีค่ะ ดิชั้นชื่อเจน ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณพล "

" คะ ครับยินดีที่ได้รู้จักครับคุณเจน "

" ได้ยินมาว่าคุณเป็นเพื่อนเก่าของผู้ตายใช่ไหมค่ะ "

" ใช่ครับ เธอเป็นเพื่อนสมัยเด็กของผม เราไม่ได้เจอกันมานานมากแล้วจนกระทั่งเมื่อวานครับ "

" หืม.... " หญิงสาวตรงหน้ามีท่าทางเหมือนแปลกใจอะไรซักอย่าง และเธอก็บีบมือผมแน่นขึ้นเรื่อยๆจนผมเริ่มรู้สึกเจ็บ

" เออ.... เป็นอะไรรึเปล่าครับคุณเจน บีบมือผมซะแน่นเชียว "

" อ้อ! เปล่าคะ ขอโทษทีนะคะ "

คุณเจนปล่อยมือของผมออกและหยิบสมุดบันทึกขนาดพอเหมาะออกมาจากด้านในเสื้อสูท
เธอดึงปากกาออกมาจากสันของสมุดและก้มหน้าก้มตาจดอะไรบางอย่างลงไป
จากนั้นเธอก็ฉีกออกมาแผ่นหนึ่งและยัดมันใส่มือผม

" เจนเชื่อในสิ่งที่คุณพลบอกนะคะ เดี๋ยวเจนจะเคลียกับทางตำรวจให้เองค่ะ
ตอนนี้คุณกลับบ้านไปได้แล้ว ถ้าต่อไปมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นและคุณต้องการความช่วยเหลือ
โทรหาเจนได้ตามเบอร์ที่ให้ไปได้เลยนะคะ ตอนนี้เจนขอตัวก่อน แล้วพบกันใหม่ค่ะคุณพล
"

กล่าวจบคุณเจนก็เดินจากไปโดยทิ้งให้ผมยืนงงว่าจุดประสงค์ของเธอคืออะไร
ทั้งๆที่เธอบอกว่าต้องการจะคุยกับผม แต่สิ่งที่เธอทำก็มีแค่การจับมือทักทายและสอบถามแค่ประโยคเดียวเท่านั้น
แถมยังให้เบอร์ติดต่อมาเหมือนกับว่าผมจะต้องติดต่อหาเธอแน่ๆ
ผมได้แต่เก็บความสงสัยทั้งหมดเอาไว้ในใจก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้นเพื่อจะกลับบ้าน
ดูเหมือนว่าพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจะเกรงใจเธอเป็นอย่างมาก
เพราะหลังจากที่เธอเดินไปคุยกับผู้กองไม่ถึงห้านาที
ผมก็สามารถเดินออกมาได้โดยไม่มีใครขวางแม้แต่คนเดียว

ถึงแม้ว่าทางตำรวจจะสรุปว่าเหมยฆ่าตัวตายไปแล้วตามที่คุณเจนบอกแต่ตัวผมรู้ดีว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ผมก็หมกตัวอยู่แต่ที่บ้านเพื่อเพื่อเสาะหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตทันที
ในตอนนี้ผมต้องการที่จะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเหล่าบาปตนอื่นๆให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

อีกทั้งในวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังสรุปข้อมูลทั้งหมดที่หาได้อยู่ ก็มีอีเมล์ปริศนาฉบับหนึ่งถูกส่งเข้ามาหาผม
เมื่อได้เปิดดูผมก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะในนั้นมีข้อมูลเกี่ยวกับคดีของเหมยอยู่เต็มไปหมด
และเมื่อผมอ่านข้อมูลทั้งหมดนั่นจนจบ ผมก็พอจะสรุปได้ทันทีว่าควรจะเบนเข็มไปที่ใคร
ข้อมูลในอีเมล์ฉบับนั้นบ่งบอกว่าเหมยมีกรมธรรม์ประกันชีวิตอยู่หลายฉบับ
และกว่าครึ่งนั้นมีผู้รับผลประโยช์นเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือดกับเหมยเลยซักนิด
ซึ่งทางครอบครัวของเหมยที่ทราบเรื่องการยกผลประโยชน์นี้ในภายหลังก็ดูไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่
ดูเหมือนว่าพวกเค้าจะเอาเวลาไปจัดพิธีศพให้ใหญ่โตซะมากกว่า

' นายพสิษฐ์ ' หรือ ' บอย ' คือชายหนุ่มที่ถูกระบุเอาไว้ว่าเป็นผู้รับผลประโยชน์จากกรมธรรม์ของเหมย
ผมจึงเสาะหาประวัติและพบว่าเขาเป็นคู่มั่นที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับเหมยในอีกไม่ถึงสองสัปดาห์ข้างหน้านี้
นอกจากนี้นายบอยยังเป็นผู้สืบทอดบริษัทผลิตมือถือแห่งหนึ่งซึ่งเกือบจะล้มละลายจากการบริหารงานของนายบอย
แต่เนื่องจากนายบอยนั้นถูกมั่นหมายกับเหมยโดยผู้หลักผู้ใหญ่ ตระกูลของเหมยจึงยื่นมือเข้ามาช่วยประคองบริษัทเอาไว้
แต่สามเดือนก่อนหน้าที่เหมยจะตายนั้น จู่ๆบริษัทของนายบอยกลับทำกำไรได้อย่างมหาศาลอย่างน่าพิศวง
ไม่มีใครรู้ว่าเขาทำได้อย่างไรยกเว้นก็แต่เจ้าของอีเมล์ลึกลับฉบับนั้น
เพราะในอีเมล์มีรายชื่อของคนกลุ่มหนึ่งซึ่งตอนแรกที่ผมเห็นไม่รู้ว่าหมายถึงอะไรแนบอยู่
บุคคลในรายชื่อนี้ทั้งหมดมีพฤติกรรมแปลกประหลาดที่เอิ้อต่อการเติบโตของบริษัทนายบอย
เช่นจู่ๆก็บริจาคเงินให้ ย้ายมาทำงานให้ เป็นพนักงานของบริษัทคู่แข่งที่เสียชีวิต
และฆ่าตัวตายโดยยกผลประโยช์นให้คนในบริษัทนายบอย
ทำให้ผมสรุปได้ทันทีว่านายบอยคนนี้คือตัวแทนแห่งบาปเหมือนกันกับผมแน่นอน

ความอำมหิตของชายคนนี้ที่ใช้พลังที่ได้มาฆ่าคู่หมั่นเพื่อผลประโยชน์ได้อย่างน่าตาเฉย
ทำให้ผมคิดที่จะต้องเริ่มทำอะไรสักอย่างขึ้นมา
ลำพังพลังของเหล่าบาปก็อันตรายด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว
ยิ่งคนที่ได้รับพลังพวกนี้ไปอาจจะเป็นคนที่โหดเหี้ยมแบบนายบอยยิ่งแล้วใหญ่
ถึงแม้ว่าพลังที่ผมได้มาจะสามารถใช้บังคับร่างกายหรือจิตใจคนได้เหมือนกัน แต่ผมไม่เคยคิดที่จะใช้มันทำร้ายใครเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปคงจะต้องมีคนธรรมดาถูกทำร้ายหรือฆ่าตายอีกเป็นจำนวนมากแน่นอน

ในที่สุดผมก็สรุปข้อมูลทั้งหมดเสร็จในอีกสามวันให้หลังและพบว่าเหล่าบาปนั้นมีอยู่ทั้งหมด 7 ตนด้วยกัน
แบ่งคร่าวๆได้แก่...

ตัวแทนบาปแห่งราคะ แอสโมดิวส์ 'Asmodeus'
ปีศาจที่หลงรักมนุษย์หญิงสาวคนอื่นและฆ่าชายที่จะแต่งงานกับนางทุกคน

บาปแห่งความตะกละ เบลเซบับ 'Beelzebub'
เจ้าชายแห่งนรกหรือเจ้าแห่งหมู่ แมลงวัน ผู้นำพาโรคร้ายและความตะกละอันไม่มีสิ้นสุด

บาปแห่งโลภะ แมมมอน 'Mammon' ปีศาจแห่งความมั่งคั่งที่ไม่เป็นธรรม

บาปแห่งความเกียจคร้าน เบลเฟกอร์ 'Belphegor'
ปีศาจผู้ไม่ยอมทำอะไรเพียงแต่บอกให้มนุษย์คอยทำสิ่งเหล่านั้นให้

บาปแห่งโทสะ ซาตาน 'Satan' ปีศาจแห่งความมืดผู้ค่อยล่อล่วงมนุษย์ให้ทำแต่สิ่งผิดบาป

บาปแห่งความริษยา ลิเวียธาน 'Leviathan'
ปีศาจอสรพิษทะเลแห่งนรก เจ้าแห่งการปลอมแปลง ผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้านพระเจ้า

และสุดท้าย บาปแห่งความเย่อหยิ่ง ลูซิเฟอร์ 'Lucifer'
อดีตเทวดาที่ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์เนื่องจากเห็นว่าตนมีอำนาจเทียมพระเจ้าจนก่อสงครามยึดสวรรค์ขึ้น

ผมสรุปลักษณะต่างๆของบาปทั้งหมดด้วยข้อมูลที่หาได้แม้จะไม่รู้ว่าถูกต้องไหม
แต่อย่างน้อยผมก็ได้รู้ว่านายบอยคู่หมั้นของเหมยนั้นเป็นผู้ถือครองพลังของบาปแห่งโลภะแน่นอน
เพราะปีศาจแห่งความโลภแมมมอนนั้น มีสัญลักษณ์ประจำตัวคือกบ และมีสีประจำบาปคือสีเหลือง
ถึงผมจะไม่รู้ว่าพลังของบาปแห่งโลภะสามารถทำอะไรได้บ้าง
แต่....
ผมรู้ว่าควรจะถามเรื่องนี้กับใคร....

ผมนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ในห้องของตัวเองและหยิบเข็มปลายแหลมทิ่มไปที่ปลายนิ้วชี้มือซ้าย จากนั้นก็ปล่อยให้เลือดหยดใส่แก้วน้ำที่เตรียมไว้สามหยด

" แอสโมดิวส์.... " ผมพูดลอยๆ พลางส่ายหัวมองไปรอบๆห้อง แต่ก็พบแต่เพียงความว่างเปล่า

" แอสโมดิวส์.... " ผมลองเอ่ยชื่อเธออีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ต่างออกไป
เพราะอยู่ดีๆผมก็รู้สึกร้อนร้อนวูบวาบที่แก่นกาย จากนั้นก็รู้สึกเสียวไปทั่วทั้งท่อนลำจนต้องก้มลงไปมอง

" มะ เหมย!!   ซื๊ดดดดดดดด!! " ผมจ้องมองภาพที่เห็นด้วยความตกตะลึง

เพราะผมเห็นเหมยนั่งคุกเข่าอยู่ใต้โต๊ะคอมพิวเตอร์ตรงหว่างขาของผมโดยที่ผมไม่ได้ส่วมใส่แม้แต่กางเกงใน
เธอกำลังดูดดุ้นยาวอวบใหญ่ที่แข็งตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้อย่างชำนาญ
หัวของเธอผงกเข้าออกอย่างรวดเร็ว ทำเอาผมเสียวสะท้อนจนต้องแอ่นสะโพกตาม

" เป็นไปไม่ได้เหมยมาได้ยังไง! โอ๊ย! ซื๊ดดดดดดดด! "

ใบหน้าอันคุ้นตาชำเลืองมองขึ้นมา แต่ไม่มีเสียงตอบ มีแต่เสียงดูดท่อนเอ็นที่ดูเหมือนจะดังเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ลีลาการดูดเลียของเธอทำให้ผมเสียวจนต้องแอ่นเอวขึ้นอีกครั้ง
จังหวะนั้นเองที่เธอส่งมือลอดใต้หว่างขาเขาไปที่ก้นของผมและดันนิ้วชี้ล้วงเข้าไปในรูก้นอย่างรวดเร็ว
เธอใช้นิ้วกดนวดจุดกระสันต์ในรูก้นเป็นจังหวะเดียวกับปากของเธอด้วยความหนักกหน่วง
สิ่งที่เธอทำส่งผลให้ผมไม่สามารถอดกลั้นความเสียวที่ได้รับอีกต่อไปจนต้องร้องตะโกนออกมา

" อ๊ากกกกกก!! "

ผมกระฉูดน้ำรักออกมาอย่างแรงจนมันกระจายเลอะหน้าของเธอเต็มไปหมด
หญิงสาวแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างเอร็ดอร่อยก่อนจะมุดออกมาจากใต้โต๊ะและยืนขึ้นเต็มส่วนสัด ทั่วทั้งร่างงามมีเพียงผ้าขนกำมะหยีสีดำที่คล้องอยู่ที่คอเและกางเกงในลูกไม้สีดำตัวจิ๋วเท่านั้น

 

" ไม่ไหวเลยนะ เจอแค่นี้เธอก็แตกซะแล้ว คิกๆ " ร่างของเหมย ใบหน้าของเหมย สัมผัสของเหมย
แต่วิธีการพูดแบบนี้มัน....

" อะ แอสโมดิวส์เหรอ? " ผมถามหยั่งเชิงออกไป เพราะคิดไว้อยู่แล้วว่ามันแปลกเกินไปถ้าจะเป็นเหมยตัวจริงๆ
ก็ผมเห็นกับตาว่าเธอตายไปแล้วนี่นา....

" แล้วเธอเรียกใครมาหล่ะ คิกๆ " แอสโมดิวส์ในร่างของเหมยเอามือปิดปากหัวเราะร่วนด้วยท่าทางสนุกสนาน

" ทำไม... เอ่อ.... " ผมนิ่งเงียบไปเพราะไม่รู้ว่าจะใช้สรรพนามเรียกตัวตนแบบเธอว่าอะไรดี

" เธออยากเรียกเราว่าอะไรก็ตามใจเถอะ เราไม่ถือหรอก หรือจะเรียกเราว่า ' เหมย ' ก็ได้นะ คิกๆ "
แอสโมดิวส์ยังคงสนุกสนานกับการแกล้งผม แต่ผมไม่ได้รู้สึกสนุกด้วยเลยแม้แต่นิด

" หยุดใช้รูปร่างของเหมยมาคุยกับผมได้ไหม.... ผมขอร้อง.... "

ผมก้มหน้าลงต่ำ เพราะยิ่งมองเห็นภาพเธอก็ยิ่งคิด....
และยิ่งคิด.... ก็ยิ่งเจ็บปวด....

แอสโมดิวส์เดินอ้อมมาทางด้านหลังเก้าอี้ที่ผมนั่ง
เธอโน้มตัวลงมาโอบกอดรอบคอใบหน้าซบลงที่ไหล่ขวาจนไออุ่นจากปากของเธอจ่ออยู่ที่หูของผม

" อย่าเศร้าไปเลยหน่า เธอไม่ควรคิดมากแบบนี้นะ ถึงแม้นางจะเป็นเพื่อนของเธอ แต่นางก็คือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
สักวันหนึ่งนางก็ต้องตาย เพราะ 'ความตาย' ยุติธรรมกับทุกคนเสมอ เธอควรจะทำใจให้ชินนะ
เพราะหลังจากนี้เธอยังจะต้องพบเจอเรื่องแบบนี้อีกเยอะ
"

น้ำเสียงของแอสโมดิวส์ดูจริงจังผิดกับท่าทีเมื่อครู่
ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่า ว่าน้ำเสียงของแอสโมดิวส์นั้นเจือปนไปด้วยความเศร้าของการสูญเสียคนสำคัญ

" เอาละ เรารู้แล้วว่าเธอเรียกเรามาเพราะสาเหตุใด แต่เราไม่สามารถบอกให้เธอรู้โดยตรงได้
มันเป็น ' กฎ ' ที่แม้แต่เราก็ยังต้องทำตาม เธอจงถามเราในสิ่งที่อยากรู้เถิด เราจะตอบเท่าที่จะตอบได้
"

แอสโมดิวส์ถอนตัวออกจากบ่าผมและเดินไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าต่างกระจกในห้องพลางจ้องมองออกไปด้านนอก ครั้งนี้แอสโมดิวส์ดูเหมือนจะจริงจังผิดกับทุกครั้ง
แต่ตัวผมกลับจมอยู่กับความเจ็บปวดที่ได้เห็นภาพเหมย แม้จะรู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นเพียงแค่รูปลักษณ์ปลอมๆของแอสโมดิวส์
แต่ภาพความทรงจำและความรู้สึกในตอนที่สูญเสียเหมยไป กลับผุดออกมาทั้งๆที่พยายามลืมไปแล้ว

" เห้อออออ.... สงสัยจะไม่ไหวล่ะมั้งแบบนี้ แล้วจะไปสู้คนอื่นได้ยังไงกัน งั้นเราจะบอกเรื่องดีๆให้เธอฟังซักหน่อยก็แล้วกัน "
แอสโมดิวส์หันกลับมาสบตาของผมที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว
ใบหน้าของเหมยยังคงงดงามไม่เปลี่ยนแปลงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าไม่ใช่ของจริง

 

" เธอคงพอจะเดาได้ใช่ไหม ว่าดวงวิญญาณของเพื่อนเธอได้ตกเป็นของตัวแทนคนนั้นแล้ว "

ผมไม่ตอบเพียงแต่พยักหน้ารับ เพราะนี่เป็นสิ่งที่ผมคาดไว้อยู่แล้วและผมก็คิดไม่ผิด
แต่สิ่งที่ผมอยากรู้ก็คือ.... สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นต่างหาก

" จริงๆเรื่องนี้เราไม่ควรจะบอกให้เธอรับรู้ แต่ถึงยังไงเธอก็ต้องรู้เข้าเองสักวันอยู่ดี คงไม่ผิดกฏหละมั้ง คิกๆ
เรื่องก็คือ วิญญาณของผู้ที่ได้ทำสัญญากับตัวแทนแห่งบาปต่างๆนั้น
หลังจากตายไปแล้วจะไม่ได้ไปสู่นรกหรือสวรรค์ทั้งนั้น ดวงวิญญาณเหล่านั้นจะหลุดออกจากวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด
และตกเป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเราเหล่าบาปที่สามารถจะนำไปใช้ทำอะไรก็ได้
โชคยังดีที่เพื่อนของเธอไปทำสัญญากับตัวแทนของเจ้าเปี๊ยกนั่น
อย่างดีก็คงแค่ถูกเอาไปใช้แรงงานอยู่ในโรงงานนรกของมันตลอดกาลเท่านั้น และเรื่องดีๆที่เราจะบอกเธอก็คือ....
"

แอสโมดิวส์เว้นจังหวะและทำน้ำเสียงให้ฟังดูตื่นเต้น
ดูเหมือนว่าความสามารถในการกลั่นแกล้งจะเป็นเรื่องที่ผมต้องนำไปใส่เพิ่มไว้ในประวัติของเหล่าบาป

" คือ.... " ผมอดรับมุขกับเธอไม่ได้ ดูเหมือนว่าอารมณ์ผมจะดีขึ้นมาเล็กน้อย

" เธอยังคงสามารถช่วยดวงวิญญาณของนางได้ไงล่ะ " แอสโมดิวส์ฉีกยิ้มกว้าง

" แล้ว....ผมต้องทำยังไง "

แอสโมดิวส์ชูนิ้วขึ้นมา 3 นิ้ว ก่อนจะบอกผมถึงวิธีช่วยดวงวิญญาณเหมย

" มีอยู่ 3 วิธี  หนึ่ง 'มอบให้' คือ เจ้าของดวงวิญญาณจะต้องมอบดวงวิญญาณนั้นๆให้เธอด้วยความเต็มใจ
สอง 'เดิมพัน' คือ เธอและเจ้าของวิญญาณจะต้องเดิมพันแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการด้วยข้อตกลงที่ทั้งคู่ยอมรับ
และสุดท้าย อย่างที่สาม 'แย่งชิง' คือ เธอจะต้องกำจัดเจ้าของดวงวิญญาณเด้วยมือของเธอเอง
เฉพาะข้อนี้ดวงวิญญาณทั้งหมดก็จะตกเป็นของเธอ ง่ายใช่มั้ยหละ คิกๆ
"

" แล้วพลังของตัวแทนคนอื่นๆหล่ะ พอจะบอกผมได้ไหม " ผมถามคำถามที่ตั้งใจจะถามตั้งแต่แรกออกไป แต่คำตอบที่ได้รับกลับไม่ช่วยอะไรผมเลย

" เรื่องนี้เราบอกไม่ได้หรอก มันผิด ' กฎ ' บอกได้แค่ว่ามันอยู่ในข้อมูลที่เธอหามานั่นแหละ คิกๆ
เอาหละ เธอจะถามอะไรเราอีกมั้ย ไม่งั้นเราจะไปแล้วนะ
"
แอสโมดิวส์ส่ายหน้า และจ้องมองมาที่ผมอย่างคาดคั้น เหมือนเธอรอให้ผมเอ่ยปากถามอะไรบางอย่าง

" แล้วพลังของผมทำอะไรได้อีกนอกจากที่คุณบอก ถามเรื่องนี้คงบอกได้ใช่ไหม "

" เห้อ.... " แอสโมดิวส์ถอนหายใจและทำสีหน้าเหมือนผิดหวังเล็กน้อยก่อนที่จะตอบคำถามผม

" เอาเป็นว่า.... พลังของบาปแต่ละตนนั้นขึ้นอยู่กับที่ว่าเธอจะตีความบาปนั้นๆว่าอย่างไร
ส่วนเรานั้นคือตัวแทนแห่ง ' ราคะ ' ย่อมหมายความว่าพลังของเราเกี่ยวของกับราคะ
แต่สิ่งที่เหมือนกันสำหรับตัวแทนทุกคนก็คือ ยิ่งเธอทำสัญญาแลกดวงวิญญานได้มากขึ้นเท่าใด
เธอก็จะยิ่งมีพลังแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น และเมื่อถึงตอนนั้นเธอจะสามารถรับรู้ได้เองว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง
อย่าลืมว่าศัตรูของเธอไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แต่ว่าเป็นหนึ่งในตัวแทนเหมือนกันกับเธอ
หลังจากนี้เรามีเรื่องต้องไปทำไม่ต้องเรียกเรามาอีกหละ อย่าทำให้เราผิดหวังนะ บ๊ายบาย คิกๆ
"
เพียงกระพริบตา ร่างของแอสโมดิวส์ก็หายไปจากห้อง ทิ้งให้ผมนั่งครุ่นคิดถึงสิ่งที่ผมจะทำต่อไปเพียงลำพัง....


...........................................................................

ผลโหวตตัวละครสาว

ทุกท่านสามารถเข้าไปแนะนำติชมเพิ่มเติม หรืออ่านเกร็ดเล็กน้อยได้ที่นี่
My living room [GoderSoul]...

เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

darksoulsZ

ขอบคุณมากครับ กำลังรอติดตามผลงานอยู่เลยครับผม

matrix_cp

โอ้ว หายไปนานมาก กลับมาแล้ว ขอบคุณมากครับ

etracker

ในที่สุดอีกเรื่องที่รอคอยก็มาให้อ่านแล้ว ขอบคุณมากนะครับ

warunnop

ติดตามเรื่องนี้เสมอนะครับ น่าจะเป็นนิยายที่ยาวและน่าอ่านอีกเรื่องเลยครับ
เป็นกำลังใจให้นะครับผู้แต่ง

eveden

อ่านถึงตอนนี้ทีไร ก็ยังสงสารเหมยมากๆครับ
ในเรื่อง timeline ที่เคยเขียนก่อนหน้า เหมือนจะมีโอกาสที่เหมยจะกลับมา หวังว่าจะได้มีบทอีกครับ

ballzae

ขอบคุณครับ เหมยตายง่ายจัง น่าจะมีบทอีกซักหน่อยย

hanami2

ขอบคุณครับ ต้องออกไปตามหาตัวคนทำแล้ว

thisisbest

ขอบคุณครับ แอบลุ้นให้มีเปลี่ยนบทไม่ต้องตาย ช่างน่าสงสาร


thetalongtong

ขอทดลองอ่านดูแล้วค่อยเม้นท์อีกทีแล้วกัน ขอบคุณครับ

pfrankz

ไม่น้า TwT

  ตัวแทนคนไหนเป็ฯคนทำล่ะเนนี่ย

102030

เหมยเหมือนลุงเบนของ spiderman สินะ เป็นตัวผลักดันให้พระเอกต้องทำอะไรซักอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าที่ตัวเองเคยคิด
RIP เหมย T^T

exaram

อ่านอีกรอบก็ยังเกลียดตอนนี้โครตทำร้าย ขอบคุณมากครับ

aom43104

 ::Bloody::หายไปนานเชียวนะครับ แต่ก็ขอบคุณมากครับ