ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ทับทิม PT1

เริ่มโดย darkfrl, มีนาคม 10, 2017, 09:22:34 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 2 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

darkfrl

.
.
.
แจ้งเพื่อทราบ : งานชิ้นนี้เป็นงานที่ผม เจ้าของล็อกอินนี้เขียนด้วยตัวเองทั้งหมด  โดยไม่สงวนสิทธิ์ที่จะนำไปเผยแพร่ภายนอก (เข้าใจว่าผมในฐานะผู้เขียนอนุญาตไว้ตรงนี้แล้วผู้อ่านสามารถนำออกไปข้างนอกได้)  โดยผมไม่ต้องการให้เครดิตชื่อล็อกอินผมติดออกไปข้างนอก  อย่างไรก็ตาม  ขอสงวนสิทธิ์ไม่อนุญาตให้ดัดแปลง ตัดทอน ต่อเติมเนื้อหาของงานชิ้นนี้  เว้นแต่จะเป็นการแบ่งเป็นตอนตามที่ผมได้แบ่งเอาไว้เป็นรายกระทู้ในเว็บบอร์ดนี้เท่านั้น

ทับทิมเป็นงานแนวกึ่ง Realistic ที่ผมพยายามให้เป็นแบบ Erotic-Porn ที่ไม่เน้นหนักในเรื่องอย่างว่าเสียทุกย่อหน้า  งานนี้เป็นงานเรื่องยาวชิ้นแรกของผม  หากมีข้อเสนอแนะหรือความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ผมยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นครับ

.
.
.
.

Part1 : Pilot

มันเป็นเวลาอึดใจใหญ่ๆ หลังจากที่ผมเอื้อมมือไปกดสวิตช์ดับเครื่องยนต์เจ้าเอสยูวีคู่ใจด้วยความรู้สึกอันบอกไม่ถูก  เสียงเครื่องยนต์ที่ครางต่ำอยู่เงียบสงบลง  ภายในรถเงียบจนผมได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง  ผมยังนั่งนิ่งอยู่ในรถทอดสายตาผ่านกระจกหน้า  แสงแดดยามบ่ายจัดลอดผ่านใบไม้หนาเหนือหลังคารถ  ส่องแสงลงมาทาบกระจกหน้าเป็นลายดอกดวงรูปร่างสารพัดเกินกว่าจะจินตนาการ
เบื้องหน้าผมคือเงาทะมึนของบ้านไม้สีครีมหลังใหญ่  ขนาดของมันควรจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวใหญ่ที่มีพี่น้องอุ่นหนาฝาคั่ง  หรือควรจะเป็นของเจ้านายศักดิ์ใหญ่ผู้มีข้าทาสบริวารแหนแห่รับใช้คึกคักมากกว่าจะอยู่ในสภาพรกร้างอย่างที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้  ผมนึกถึงความหลังเมื่อครั้งยังเด็กที่เคยวิ่งเล่นอาศัยอยู่กับครอบครัวพี่น้องที่บ้านหลังนี้แล้วทอดถอนใจกับปัจจุบัน 
ฝากระดานที่ใช้วิธีเข้าไม้แบบลิ่มหลายแผ่นสีน้ำมันที่ทาไว้หลุดลอกออกตามกาลเวลา  เถาวัลย์พืชอะไรสักอย่างขนาดเกือบเท่านิ้วก้อยพันกอดรัดเสาไม้ที่ค้ำยันระเบียงใหญ่หน้าบ้านขึ้นไปชูช่ออยู่ที่ระดับพื้นระเบียง  ออกดอกสีม่วงอ่อนๆ  รังนกแห้งๆ สองสามรังพันห้อยร่องแร่งอยู่ไม้ฉลุที่เชิงชายใต้หลังคา  ผมถอนหายใจโล่งอกเมื่อมองไปยังเห็นว่าหลังคากระเบื้องแผ่นเล็กๆ สีส้มนั้นติดอยู่ครบถ้วนไม่ได้หายไปไหน  สภาพของมันยังดีกว่าที่ผมวาดภาพเอาไว้ตอนแรกก่อนที่ผมจะมา

"เขาเรียกสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล"  ชิต เพื่อนสถาปนิกของผมบอกเมื่อผมเอารูปถ่ายให้มันดู และเล่าให้ฟังว่าผมจะมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ "ไม่ใช่ทรงไทยหรอก เป็นแบบประยุกต์มาจากยุโรปน่ะ เมื่อก่อนมีเยอะ พวกบ้านขุนนาง วังของเจ้านายทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ถ้าไม่ผุพังหมดก็กลายเป็นพิพิทธภัณฑ์ไปหมดแล้ว  เฉพาะบ้านนี้ถอดขายละได้เป็นสิบล้านเลยนะพวก"
ขายเหรอ  เงินน่ะผมมีมากมายจนไม่รู้จะเอาไปทำอะไรแล้ว  จ้างนักลงทุนให้ลงทุนในหุ้น ซื้อทอง ซื้อที่ดิน  จริงๆผมไม่ได้เก่งขนาดหาเงินได้เยอะแยะขนาดนั้น แต่มรดกตกทอดตั้งแต่คุณทวดข้างพ่อที่ทิ้งไว้ให้มันก็มากมายเสียจนผมไม่จำเป็นต้องทำอาชีพอะไรเลยก็อยู่ได้ เท่าที่ทำงานวิชาชีพอยู่ทุกวันนี้ก็แค่ไม่ให้เหลือเวลามากจนประสาทกินตายเท่านั้น
ใช่ พวกเขาทิ้งไว้ให้ ทั้งปู่ย่าตายาย อา น้า พ่อแม่ ทุกคนทิ้งผมไปหมด เหลือไว้แต่เงินทองที่ทาง  กับชีวิตผมแค่คนเดียว
"บ้านหลังนั้นมันเป็นครอบครัวเดียวที่ฉันมีว่ะพวก นายก็รู้ ฉันตั้งใจลืมเรื่องที่พิษณุโลก แล้วมาสร้างครอบครัวที่กรุงเทพฯ แต่มัน..." ผมเว้นระยะ โคลงหัวไปมา "...ก็อย่างที่เห็นแหละ"  ผมตอบแค่นั้น  ชิตพยักหน้าช้าๆ อย่างเข้าใจ

ผมเปิดประตูรถออก สัมผัสอากาศร้อนชื้นอบอ้าวของฤดูฝนที่แตกต่างจากเครื่องปรับอากาศเย็นๆ ในตัวรถ  ก้าวแรกที่หย่อนขาลงบนพื้น  เสียงเท้าเหยียบบนใบมะม่วงแฉะๆ ที่กองหนาอยู่บนพื้นทำหน้าที่ต้อนรับการมาถึงของผมอย่างอบอุ่น  สภาพบนพื้นดินดูเหมือนจะน่าหนักใจกว่าตัวบ้าน เมื่อผมพบว่าพื้นดินที่เคยเป็นสนามหญ้ากลายเป็นแอ่งน้ำขัง และส่วนใหญ่เป็นพงหญ้าสารพัดชนิดหนาทึบ  ยังดีที่ทางเข้าบ้านยังพอมองออกว่าเป็นคอนกรีต เพราะใบไม้ใบหญ้าที่ร่วงลงมายังไม่ได้ทับถมพื้นถนนจนหมดเสียทีเดียว
ผมก้าวสวบๆ ไปตามทางคอนกรีตเข้าสู่ตัวบ้าน  แล้วมาหยุดอยู่ที่บันไดหน้าบ้าน  ประตูไม้เตี้ยๆ สูงเพียงเอวสีครีมที่มีรอยคราบน้ำคราบโคลนที่กระเด็นขึ้นมาเกาะเมื่อฝนตกเกาะเกรอะกรัง  แม่กุญแจขนาดใหญ่คล้องอยู่ที่สายยูเป็นปราการด่านแรก  ผมมองขึ้นไปก็พบว่าบันไดและราวบันไดถูกเช็ดถูไว้อย่างไม่เรียบร้อยนัก  แต่ก็สะอาดพอประมาณ  ไม่ได้ดูแย่เท่าสภาพภายนอกของตัวบ้าน  ผมเลิกสนใจบ้าน  แล้วเดินต่อไปตามทางเดินดินเล็กๆ ที่เห็นได้ชัดว่ามีร่องรอยคนเดินผ่านประจำ จนทะลุออกนอกเขตบ้าน 
บ้านหลังถัดไปนั้นเป็นบ้านไม้สองชั้นขนาดไม่ใหญ่นักแต่ดูสะอาดสะอ้าน ที่หน้าบ้านไม่มีรั้วแต่มีต้นชะอมปลูกเรียงราย ตัดแต่งกิ่งเป็นพุ่มแสดงเขตบริเวณบ้าน  ใต้ถุนบ้านมีรถจักรยานยนต์จอดอยู่หนึ่งคัน
"น้าไว... น้าไว..."  ผมร้องตะโกนเรียก  "อยู่หรือเปล่า"
หมาสีแดงๆ ตัวล่ำสันที่นอนอยู่ใต้เปลญวนหูผึ่งเมื่อได้ยินเสียงผม มันชะเง้อคอขึ้นมองคนแปลกหน้าแล้วทำเสียงต่ำๆ ในลำคอ  ผมไม่ให้ความสนใจมันมากนัก
"น้าไว"
"จ้า..." เสียงหวานๆ ของผู้หญิงดังออกมาจากทางหลังบ้าน  ครู่หนึ่งผมจึงเห็นร่างของหญิงสาวหน้าตาหมดจดไร้เครื่องสำอางเติมแต่ง  ผมยาวไม่มากนักมัดรวบเป็นหางม้าที่ด้านหลังเปิดให้เห็นใบหน้าสวยอ่อนเยาว์  สิ่งที่สะดุดตาผมคือคิ้วหนาทั้งสองเหนือดวงตากลมโตใสที่ดูเหมือนไม่เคยจะผ่านการกันตกแต่งนั้นยาวเกือบจะต่อเป็นแถบเดียวกัน  เสื้อยืดสีน้ำเงินแม้จะตัวไม่รัดเหมือนสมัยนิยมแต่ก็แสดงให้เห็นถึงเรือนร่างอันอวบอิ่มเกินมาตรฐานสาวๆยุคบ้าความผอมมาเล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับส่วนสูงที่ดูแล้วไม่น่าเกิน 160 ของเธอ  หน้าอกที่ดันเสื้อขึ้นมา  และกางเกงยีนส์รัดความยาวสามส่วนก็ยังแสดงให้เห็นถึงส่วนสัดสวยในวัยสาวเต็มที่ของเจ้าของ เพียงแขน ขา และใบหน้าที่อยู่นอกร่มผ้าเท่านั้นที่เผยผิวสีเข้มเพราะถูกแสงแดดไล้  ช่วยให้ใบหน้าคมเข้มอย่างที่ผมไม่ค่อยได้เห็นเมื่ออยู่ในเมือง  เธอจัดว่าเป็นคนที่น่ารักไม่น้อยคนหนึ่งเลยทีเดียว
"สวัสดีค่ะ คุณเทพหรือเปล่าคะ"  เธอยกมือไหว้ผมอย่างคนที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี
"ครับ สวัสดีครับ"  ผมยกมือไหว้ตอบ
"พ่อไม่อยู่ค่ะ  ออกไปหาคนมาทำงานพรุ่งนี้  สงสัยจะกลับมาเย็นๆโน่นละค่ะ"
"อ้อ แย่จริง"  ผมทำหน้าผิดหวัง
"พ่อให้กุญแจเอาไว้ค่ะ  พลอยเข้าไปเช็ดถูจัดเฉพาะห้องนอนใหญ่เอาไว้แล้ว  พ่อบอกว่าคุณเทพจะมานอนคืนนี้  เลยไม่ทันได้ทำห้องอื่นๆด้วย เดี๋ยวพลอยไปเปิดบ้านให้"  ว่าแล้วก็หมุนตัวจะกลับขึ้นไปบนบ้าน
"ไม่เป็นไร  แค่นี้ก็ดีมากแล้ว อย่างอื่นไว้วันพรุ่งนี้เถอะ เอ่อ... ว่าแต่ หนูชื่อพลอยใช่มั้ย"  ทันใดนั้น ผมก็เพิ่งจะนึกออกว่าเธอเป็นใคร  เด็กหญิงเล็กๆ โตขึ้นมากหลังจากที่ผมไม่ได้พบเธอนับสิบปี
"คะ"
"ไม่ต้องเรียกพี่ว่าคุณเทพหรอกนะ เรียกว่าพี่เถอะ"  ผมยิ้มให้อย่างสนิทสนม
"ค่ะ" เธอยิ้มเล็กน้อยแวบหนึ่ง แล้วหันหลังกลับขึ้นไปบนบ้าน

สภาพตัวบ้านเมื่อผมขึ้นมาข้างบนดูดีกว่าที่เห็นข้างนอกเยอะ  พลอยทำความสะอาดเช็ดถูบันได ระเบียง และทางเดินหลักของบ้านชั้นบน  แม้จะยังไม่สะอาดหมดจดและยังมีหยากไย่ระโยงระยางอยู่ตามมุมฝ้าบ้างแต่ก็ดีเหลือเฟือสำหรับอยู่อาศัย  โต๊ะ ตู้ เก้าอี้ และเครื่องเรือนอื่นๆ คลุมด้วยผ้าสีมอๆ  ฝุ่นจับเป็นเงาตะคุ่มอยู่ทั่วไป ดูไม่ออกว่าเป็นอะไรบ้าง
"พี่คิดว่าบ้านจะผุพังไปหมดแล้วเสียอีก"
"ไม่ผุหรอกค่ะ ก็อย่างที่พ่อเคยบอกพี่เทพ ถ้าตรงไหนชำรุดก็จะเปลี่ยน  อย่างตอนที่หลังคาแตกนี่ก็เปลี่ยนทันที แล้วก็ยังจ้างเขามากำจัดปลวกตามกำหนดตลอดค่ะ"  พลอยว่าขณะไขกุญแจเปิดประตูบานใหญ่สูงลิ่ว  "พลอยทำห้องนอนกับห้องน้ำไว้ให้พี่เทพแล้ว น่าจะพอใช้นอนไปก่อนได้นะคะ"

ภายในห้องดูจะถูกเช็ดถูทำความสะอาดอย่างพิถีพิถันกว่าภายนอก  เตียงไม้หกฟุตทำจากไม้อะไรสักอย่างเนื้อสีเข้มหนาเตอะ มุมเตียงทั้งสี่มีเสาและคานสูงสำหรับแขวนมุ้ง  หัวเตียงชิดฝาทางทิศเหนือ  มุ้งใสสะอาดเอี่ยมครอบอยู่ท่าทางน่านอน  มุ้งด้านหนึ่งถูกมัดติดกับเสาเหมือนกับผ้าม่าน หมอนฟูใหม่เอี่ยมปลอกสีขาววางอยู่หัวเตียง ปลายเตียงมีผ้านวมสีฟ้าพับอย่างเรียบร้อย ใกล้หัวเตียงมีตู้ไม้เล็กๆ สีเดียวกับเตียงวางโคมไฟลายวิจิตร  ปลายเตียงมีตู้เสื้อผ้าและโต๊ะกระจกสไตล์โบราณ กับพัดลมทองเหลืองอีกตัวหนึ่งที่ผมไม่แน่ใจว่าจะใช้ได้จริงหรือเป็นแค่เครื่องประดับ  พลอยเดินข้ามห้องไปเปิดหน้าต่างฝั่งตะวันออกให้แสงสว่างส่องเข้ามา  มันเป็นห้องนอนที่สวยทีเดียว
"เดี๋ยวเย็นๆค่ำๆ พ่อก็มา ตอนนี้พี่เทพพักผ่อนก่อนนะคะ" พลอยว่าขณะก้มตัวลงเก็บเศษอะไรสักอย่างจากที่นอนผ้าปูสีขาวสะอาด หันสะโพกอวบที่รัดด้วยกางเกงยีนส์มาทางผม สายตาผมละจากหน้าต่างไปมองทันทีโดยสัญชาตญาณมากกว่าจะจงใจ สะโพกอวบดันกางเกงยีนส์ผ้ายืดโชว์สัดส่วนที่สมบูรณ์แบบ ระหว่างต้นขาอวบทั้งสองข้าง ผ้ายีนส์พับเป็นรูปเนินเนื้อเด่นชัดเมื่อมองจากด้านหลัง  เกือบจะทันใดนั้นก่อนที่ผมจะคิดอะไรไปมากกว่านี้  พลอยก็ยืดตัวตรง แล้วหันกลับมา  เดินมาทางผม สายลมอ่อนๆ พัดเข้ามาจากหน้าต่าง โชยกลิ่นเหงื่อบางๆ และกลิ่นสาวแบบที่ผมไม่เคยได้กลิ่นมานานแล้ว ปลุกเอาความเป็นชายของผมให้ตื่นตัว พร้อมกับความรู้สึกเหมือนจะวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย  ดูเหมือนผมจะสืบเท้าเข้าหาเธอโดยไม่รู้ตัว
"กุญแจบ้านค่ะ" เสียงพวงกุญแจกรุ๋งกริ๋งปลุกสติของผมกลับคืนมา
"ขอบใจจ้ะ" ผมพยายามทำเสียงให้เป็นปกติ  "เดี๋ยวเย็นๆ พี่ไปหาน้าไว พลอยกลับไปก่อนเถอะ" 
"ให้พลอยช่วยขนของขึ้นมาไหมคะ" เธอยิ้มถาม
"ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ขนขึ้นมาเอง ไม่มีอะไรนักหรอก" ผมตัดสินใจว่าให้เธอรีบๆกลับไปเสียจะดีกว่า จะได้ตัดความคิดชั่วๆ ออกจากหัวสมองสกปรกของผม

เหล้ายี่ห้อโปรดที่ผมหิ้วมาจากดิวตี้ฟรีในสนามบินพร่องไปเกือบหมดขวดแล้ว  น้าไวทั้งคอแข็งและไม่ขัดศรัทธาผมที่อุตส่าห์ขนมาให้แกกินเลย  เราคุยกันสัพเพเหระสารพัดเรื่องตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันตั้งสิบเจ็ดปี  น้าไวนุ่งกางเกงขาก๊วย ถอดเสื้อโชว์ผิวเกรียมแดดที่ผมคุ้นเคยว่ามันเคยมีมัดกล้ามบึกบึน  และสารพัดรอยสักทั้งหน้าอก หลัง และแขน  แม้ว่าบัดนี้จะเริ่มหย่อนคล้อย และรอยสักก็จางลงไปบ้างแต่ยังมีเค้าของความแข็งแรงอยู่  ส่วนพลอยอยู่ในชุดนอนผ้าแพร เสื้อเชิ้ตคอกลมแขนสั้น กางเกงขายาวสีฟ้าอ่อน เดินขึ้นๆ ลงๆ เก็บจานและเพิ่มเติมกับแกล้ม นานๆ ก็มานั่งฟังเราเสวนากัน  ผมของเธอปล่อยยาวตรงเลยบ่าเล็กน้อย ไม่ได้มัดเหมือนเมื่อตอนกลางวัน  กลิ่นแชมพูจางๆ ลอยมากับลมยามค่ำ ทำให้ผมใจชื้นขึ้นกว่ากลิ่นสาวเมื่อตอนกลางวันเยอะ  ผมพยายามที่จะไม่มองที่หน้าใสๆ ของเธอมากนัก
"ดีแล้ว เทพ ดีแล้วที่มาอยู่ที่นี่  อยู่กรุงเทพที่ไหนมันจะดีเท่าบ้านเรา"  เสียงแกระรัวด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์
"ใช่น้า อยู่กรุงเทพเหงาจะตาย คนก็ไม่ค่อยจะมีจริงใจ  หึ"  ผมเริ่มจะเอาชีวิตส่วนตัวมาดราม่าพอๆ กับเสียงที่แกว่งไกว  เพราะครองสติไม่ค่อยจะอยู่
"หึ้ย..." แกทำเสียงสูง โบกมือไปมา "...ช่างมันเหอะเรื่องไม่ดีเราก็อย่าไปจำ ผู้หญิงดีๆ เหมาะกับเทพเยอะแยะ  นี่แน่ะ มาอยู่บ้านเราเนี่ยแหละดี อย่างน้อยๆ ลุงก็จะได้มีเพื่อนบ้าน  เมื่อก่อนคนคึกคัก เดี๋ยวนี้เงียบหมด ทางซ้ายโน่นก็... พอยายแมวตาย ไอ้ชัย ไอ้ชอบ ลูกแกเลยเข้ากรุงเทพกันหมด มันเหงาหงอย  เดี๋ยวพอลูกสาวน้าเรียนจบก็คงหนีไม่พ้น เข้ากรุงเทพ ไม่ก็แต่งงานไปอยู่กะผัว ปล่อยให้น้าอยู่คนเดียวอีกเหมือนกัน  ตั้งแต่แม่มันตายก็ได้ลูกมาอยู่เป็นเพื่อน อีกหน่อยก็คงต้องไปตามทาง"
ผมนึกถึงน้าผัน เมียน้าไวที่ผมรู้จักคุ้นเคยเมื่อครั้งยังเด็ก  น้าผันเป็นคนสวย เรียบร้อย เท่าๆ กับที่น้าไวก็เป็นคนขยันขันแข็ง เป็นมิตร  เดิมทีทั้งสองคนเป็นคนตัวเปล่า  มาขอเช่านา เช่าที่ดินคุณย่าอยู่  แต่ด้วยความขยันขันแข็งและซื่อสัตย์ไว้ใจได้ คุณย่าจึงรักสองสามีภรรยามาก  ถึงกับยกที่ดินแปลงข้างบ้านให้สร้างเป็นบ้านอยู่อาศัยถาวร ซ้ำยังยกนาที่แกเคยเช่าให้เสียเปล่าๆ ให้แกทำกินมาจนถึงทุกวันนี้
เมื่อวันที่ผมย้ายตามพ่อแม่เข้าไปอยู่ที่กรุงเทพ  ผมอายุเพียงสิบห้าปี  ตอนนั้นน้าผันตั้งท้องอ่อนๆ ผมสัญญากับน้าผันว่าจะกลับมาเล่นกับน้องบ่อยๆ  ไม่คิดว่าเพียงไม่กี่เดือนหลังจากนั้น  ผมต้องกลับมางานศพน้าผัน  ที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อหลังจากคลอดลูกออกมาไม่นาน  ทิ้งพลอย ลูกสาวยังเล็กไว้ให้น้าไวดูแล 
ผมกลับมาที่นี่อีกครั้งเมื่อตอนงานศพคุณย่า  ท่านจากไปด้วยวัยแปดสิบสอง  เด็กหญิงพลอยวัยสี่ขวบยังเด็กเกินกว่าที่จะจำผมได้ และก็ยังเด็กเกินกว่าที่ผมจะจำเธอได้เช่นกัน  แต่น้าไวก็ยังเป็นน้าไวที่ดีกับครอบครัวผมไม่เคยเปลี่ยนแปลง
"น้าก็ยังหนุ่มยังแน่น ไม่หาใครมาอยู่เป็นเพื่อนสักคนล่ะ" ผมถามอย่างคะนองปาก
"โอ๊ย ไม่เอาหรอกเทพ แก่ขนาดนี้ใครเขาจะไปเอา เทพนั่นแหละ อายุขนาดนี้น่าจะมีได้แล้ว"
"อย่างที่บอกนั่นแหละน้า  ขอลาขาดแล้วเรื่องเมีย หาดีๆ ไม่ได้ก็อย่าไปมีเลย คราวที่แล้วทำเอาผมแทบตาย"
น้าไวหัวเรอะเอิ๊กอ๊าก  แล้วตะโกนสั่งให้พลอยทอดปลามาเพิ่มเติมวงเหล้า  แต่ผมร้องห้ามเอาไว้  เพราะรู้สึกเมาเต็มแก่  ประกอบกับพรุ่งนี้ยังมีงานต้องเก็บกวาดบ้านอีกมาก  ผมจึงขอตัวกลับ  น้าไวเดินถือไฟฉายแบบที่คาดศีรษะมาส่งผมถึงประตูบ้านผม  ดูเหมือนยิ่งเดินผมจะยิ่งเมากว่าตอนที่นั่งกินเสียอีก 
พอลากสังขารขึ้นมาถึงห้องนอนก็ถอดกางเกงขายาวโยนไปทางหนึ่ง ถอดเสื้อเชิ้ตโยนไปบนที่นอน เหลือแต่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียว หัวหมุนติ้ว ผมล้มตัวลงนอน ดูเหมือนผมจะหลับไปก่อนที่หัวจะลงถึงหมอนเสียอีก




ม้านั่งในสวนที่ผมนั่งอยู่ตรงนั้นมันร้อนอ้าว  ต้นหูกระจงยามนี้ไม่มีร่มเงามากพอที่จะให้ความร่มเย็นแก่คนที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งนั้นได้  ยิ่งความร้อนรุ่มในจิตใจยิ่งไม่ต้องพูดถึง  ไม่ใช่ว่าโครงการบ้านจัดสรรราคาสามล้านกลางกรุงที่ผมอยู่นี้จะไม่หาร่มเงาให้คนนั่งพักผ่อนในสวน  แต่เป็นเพราะตรงจุดนี้ผมพอจะมองเห็นประตูรั้วหน้าบ้านผมเองได้  โดยมีพุ่มต้นข่อยดัดพุ่มใหญ่พรางตัวผมอยู่เหงื่อเม็ดใหญ่ๆ ซึมตามใบหน้า ใช่ผมร้อน แต่ไม่มากเท่าเพลิงในใจผมที่เผาจนแทบจะเป็นบ้าตายเสียให้ได้
แล้วมันก็มาถึง รถเก๋งสีดำคันนั้นที่ผมสงสัยนั่นแหละ มันแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านผม คนขับหน้าตาดีลงมากดกริ่งประตูอยู่ครู่หนึ่ง  แล้วเธอก็ลงมาเปิด  ทั้งสองพากันเดินเข้าไปในตัวบ้าน
ผมออกวิ่งตรงมาที่รั้วหน้าบ้านทันที  โชคดีที่ก่อนออกมาผมปิดม่านทั้งชั้นบนชั้นล่าง  ผมวิ่งมาถึงหน้าบ้าน หันซ้ายหันขวาไม่เห็นว่ามียามที่เคยขี่จักรยานตรวจตราหรือมีเพื่อนบ้านคนไหนโผล่หน้าออกมาดูแล้วก็โหนรั้วอัลลอยด์ ดึงตัวเองข้ามรั้วไป  แล้วใช้กุญแจไขประตูด้านหลังบ้านกลิ่นของบ้านที่ผมคุ้นเคย กลิ่นของผม และกลิ่นของเธอระคนกัน กลิ่นนี้เคยทำให้ผมรู้สึกสบาย ปลอดกังวลในเวลาที่เครียดจากงาน  แต่ตอนนี้กลิ่นนั้นยิ่งทำให้ผมจุกอก เมื่อผมนึกถึงสิ่งที่ผมกำลังจะเห็นอยู่เดี๋ยวนี้  เสียงชายหญิงดังแว่วมาจากชั้นบนผมจรดเท้ากริบขึ้นไปตามบันไดปูหินแกรนิต ประตูห้องนอนผมเปิดแง้มเล็กน้อย  นี่รีบกันถึงขนาดไม่ปิดล็อกห้องนอนเลยหรือ  แสงสว่างที่ลอดออกมาตามช่องนั้นเรียกร้องให้ผมแนบตาดู
...ช่างเขาเถอะเขาออกไปแต่เช้าแล้ว เห็นบอกว่าไปต่างจังหวัด คงกลับมาเย็นโน่น...  นั่นเสียงของเธอ
...เอาน่า คุณจะสนใจเขามากกว่าสนใจฉันอีกหรือไง...
เธอเอื้อมมือไปกอดคอเขา ดึงลงไป  ตัวเธอเองนอนลงบนเตียงนอนของผม ร่างของเขาทาบทับบนตัวเธอ
...นี่ฉันไม่ใส่ชั้นในอย่างที่คุณสั่งแล้วนะ....
จากมุมที่ผมมองอยู่มันเห็นได้ทุกการกระทำ เขาก้มลงกดปากเข้ากับริมฝีปากสวยของเธออย่างกระหาย  เธอส่งลิ้นเข้าไปในปากเขาอย่างชำนาญ  ทั้งคู่แลกน้ำลายกัน  เธอส่งเสียงอืออาในลำคอ  สองมือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของฝ่ายชาย  ขณะที่มือของเขาลูบไล้ และล้วงเข้าไปในชายเสื้อยืดสีเหลืองอ่อนของเธอ เคล้นคลึงเนินอก
เธอแบะอกเสื้อเขาออก แล้วดึงออกไป เขาจำต้องละมือจากอกของเธอเพื่อถอดเสื้อออก  เมื่อร่างกายพ้นพันธนาการของเสื้อแล้ว เขาจึงจัดการดึงชายเสื้อของเธอขึ้นไปไว้เหนือเต้านมเปลือยเปล่าไม่มีชั้นในปกปิด  ปากของเขาเปลี่ยนจากการจูบแลกลิ้น  มาเป็นซุกไซ้ที่ซอกคอ ต่ำลงไปที่เต้านม  สองมือบีบขยำ ใบหน้าฟอนเฟ้นที่เนินสวยที่ผมหลงไหล  แล้วแลบลิ้นออกไล้เลียและดูดที่ยอดหัวนมสีน้ำตาลอ่อนตัดผิวที่ขาวนั้นอย่างเมามัน  เธอครางในลำคออย่างพึงพอใจในสิ่งที่ได้รับ
ฝ่ายชายเคล้นคลึงเชยขมเต้านมทั้งสอง  พร้อมๆกับดึงเสื้อออกทางศีรษะของเธอ  จากนั้นจึงเลื่อนใบหน้าต่ำลงมา  จนถึงหน้าท้อง  เขาปลดตะขอกางเกงยีนขาสั้นออกแล้วแหวกซิปหน้า เผยให้เห็นเส้นขนอ่อนสีดำขลับ  เขาเลื่อนใบหน้าต่ำลงมาคลอเคลียอยู่ที่ขนสีดำตรงนั้น  เธอนอนหงายร่างสั่นสะท้าย ส่งเสียงอา อา ในลำคอตลอดเวลา  ในที่สุดเหมือนเธอไม่ทันใจในสิ่งที่เขาทำ  เธอยกสะโพกขึ้นแล้วดึงกางเกงขาสั้นของตัวเองลงไป แล้วยกเข่าข้างขวาขึ้นปลดกางเกงออกจากขาข้างขวา
เมื่อเปลื้องกางเกงออกจากตัวแล้วเธอก็คว้าเรือนผมของเขาด้านหลัง  กดใบหน้าเข้ากับเนินเนื้อของเธอ  ดูเขาจะชื่นชอบและชำนาญในการทำแบบนี้  สะโพกของเธอเริ่มไม่อยู่นิ่ง มันเริ่มแอ่นลอยขึ้นเป็นจังหวะ  พร้อมกับเสียงร้องอา อา ที่เริ่มจะมีเสียงซี้ดซ้าดออกมาบ้างแล้ว
...ดูด ดูดตรงนั้น นั่นแหละ เอาลิ้นใส่เข้าไปด้วย เร็วๆ ให้ฉันเสร็จสักทีนึงก่อน... 
ถึงจะไม่ได้เห็นแต่เธอก็ทำให้ผมจินตนาการภาพตามได้
เธอเริ่มส่งเสียงดังขึ้น สะโพกเริ่มแอ่นลอยจนไม่ติดพื้น  สุดท้ายเธอส่งเสียงร้องยาว แอ่นสะโพกค้าง ร่างสั่นกระตุกเบาๆ  มือที่กดศีรษะฝ่ายชายคลายออก
...เร็วๆสิ ฉันอยากได้ควย ไม่ไหวแล้ว เอาควยมาเย็ดหีเร็วๆ...
เธอไม่เคยพูดคำแบบนี้กับผมเลย
มือทั้งสี่ช่วยกันปลดเข็มขัดและกางเกงของเขาเป็นพัลวัน  ปล่อยท่อนขนาดไม่เล็กแต่แข็งแกร่งเต็มที่ออกมา  ทันทีที่กางเกงหลุดออกจากปลายเท้าเขาก็แทรกตัวเข้าระหว่างซอกขาเธอทันที
...ใส่เลย ใส่เลยเร็วเข้า...
ตอนนี้แหละ เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวผม  อย่าให้มันทำ นั่นแฟนเรา คนที่เราจะแต่งงานด้วยนะ แสดงตัวออกไปเลย หยุดมันให้ได้ไม่ต้อง อีกเสียงหนึ่งสั่ง มันไม่ทันแล้ว ไม่มีอะไรทันแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ช่างมันเถอะ ปล่อยมันเถอะ ตอนนี้ไม่เหลืออะไรไว้ให้เราอีกแล้ว
...อา อา....
เสียงของเธอทำให้ผมเลือกความคิดอย่างหลัง  ถึงจะรักแค่ไหน เราก็คงรับคนคนนี้ไม่ได้อีกแล้ว ไม่ใช่เพราะเธอไปมีอะไรกับคนอื่น  แต่เป็นเพราะเธอนอกใจผม เธอโกหกตอแหลเป็นไฟแม้ว่าผมจะคาดคั้นเธอ จนผมต้องมาเห็นด้วยตัวเองไปวันนี้  อย่างไรเสียมันก็ต้องจบ  เขาเริ่มขยับเอวเพื่อส่งท่อนลำเข้าไปข้างในตัวเธอ  ดูมันเข้าไปไม่ยากนัก  ผมก็รู้ว่าเวลาที่เธอมีอารมณ์มากๆ น้ำของเธอจะเยอะมาก  เขาอัดท่อนเนื้อเข้าใส่เนินของเธออย่างเนิบ  เธอก็ยกสะโพกสวนตามจังหวะ  แล้วค่อยๆ ยกขาทั้งสองขึ้นสูงเพื่อรับการกระแทกกระทั้นที่รุนแรงขึ้นเป็นลำดับ  จนในที่สุดเธอยกขาขึ้นสูง อ้ากว้าง  เขายกตัวเองขึ้นแล้วอัดหนอกเนินเนื้อของเขาเข้ากับของเธอเสียงดังชัดเจน
เขาเอาแขนสอดเข้าได้ขาพับทั้งสองข้างของเธอที่ยกชูขึ้นอยู่ข้างๆตัวเขา แล้วโน้มขาของเธอไปจนชิด  ต้นขาของเธอเบียดอัดกับเต้านมทั้งสองจนบี้แบน  สะโพกของเธอลอยขึ้นจากพื้น พูกลีบเนื้อทั้งสองเบียดเสียดอยู่ตรงระหว่างขา  ตรงกลางระหว่างพูเนื้อ  มีท่อนลำเป็นมันปลาบของเขาเสียบคา ชักเข้าออกรวดเร็ว เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังประสานกับเสียงน้ำแฉะๆ ให้ผมได้ยิน
...อา  อา....
คราวนี้เสียงร้องของเธอไม่ใช่แค่ครางในลำคอ  แต่มันเปล่งเสียงออกมาชัดเจนลั่นห้อง  ในที่สุดเขาก็หยุด ดูเหมือนจะหอบหายใจเล็กน้อย  เธอกลับผลักเขาลงนอน  กลีบเนื้อของเธอคายท่อนของเขาออก น้ำเหนียวยืดเป็นเส้นอย่างอาลัยอาวรณ์  เขานอนแผ่หงาย  เธอก้าวขาขึ้นคร่อมตรงกลางตัวเขา ย่อขาลงเอาร่องฉ่ำน้ำที่เบิกอ้าเล็กน้อยจรดที่ปลายท่อนที่ชโลมด้วยน้ำหล่อลื่น  จากนั้นจึงวางน้ำหนักกด  กลืนท่อนเนื้อลงไป พร้อมๆ กับเสียงอา... ยาวของเธอ
เธอไม่รอทำจากช้าไปเร็วแล้ว ทันทีที่ท่อนลำมุดเข้าไปในระหว่างกลีบร่องประดับด้วยขน เธอก็ควบขย่มอย่างหนักหน่วงรุนแรงต่อเนื่อง  เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่น  เธอขย่มรุนแรงจนเต้านมทั้งสองแกว่งสะบัดไปมา  ฝ่ายชายเอื้อมมือไขว่คว้าบีบเคล้น  แล้วเลื่อนไปจับที่สะโพกที่สะบัดสะท้อนเป็นลอนตามจังหวะการกระแทก  จากลูบจับ เป็นบีบเคล้น  เริ่มมีเสียงซี้ดซ้าดออกมาจากปากฝ่ายชายบ้างแล้ว
...จะเสร็จแล้ว ฉันจะเสร็จแล้ว...
ผมได้ยินเสียงเธออย่างนั้น  ฝ่ายชายเหมือนจะรู้งานใช้เล็บจิกเข้าที่สะโพกของเธอ  เธอร้องอา ยาวอีกครั้ง  โหย่งตัวกระแทกร่องเนื้อเข้ากับท่อนเนื้ออย่างบ้าคลั่ง ผมเผ้ากระจายไม่เป็นทรง  ผมได้ยินเสียงของฝ่ายชายร้องออกมา  เธอกระแทกส่งท้ายอีกชุดหนึ่ง  แล้วจึงหยุด นั่งทับท่อนเนื้อ ร่างกายกระตุกสั่นอยู่อย่างนั้น  แล้วฟุบตัวลงกับอกฝ่ายชาย  ดูดปากกันอย่างสุขสม
...เย็ดกับชู้มันกว่าเย็ดกับผัวอยู่แล้ว...
นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน ก่อนที่จะรู้สึกว่าร่างกายซีกซ้ายร้อนผ่าวราวกับถูกไฟเผา  แต่ร่างกายซีกขวาหนาวเย็นจัด  เหงื่อเม็ดโตๆ ไหลออกจากซอกคอ หน้าอก และหลังจนเปียกชุ่มที่นอนและหมอน  ท่อนเนื้อส่วนความเป็นชายตั้งชูชันแข็งเกร็งจัด  ผมลืมตาขึ้นพบกับสีขาวพร่ามัวของมุ้งบางๆ 
ทันทีที่อนุสติเตือนตัวเองได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ผมก็พลิกตัวเปลี่ยนท่านอน ร่างกายที่ชุ่มเหงื่อเมื่อได้รับความเย็นของอากาศบริสุทธิ์ทำให้เย็นวาบเหมือนขึ้นสวรรค์  มือซ้ายร้อนจัดราวกับไฟเผาผมเพิ่งพบว่ามันพันแน่นอยู่กับเสื้อที่ผมเพิ่งถอดโยนไว้บนเตียง ผมแกะมันออกแล้วขว้างมันออกไปนอกมุ้ง  นอนหงายรับไอเย็นจากอากาศยามดึก  แล้วผลอยหลับไปอีกครั้งหนึ่ง
ในฝัน หญิงสาวผมตรงยาว นุ่งโจงกระเบนสีน้ำตาล ผ้ารัดอกและสไบเฉียงสีแดงเรื่อๆ ยืนอยู่ที่ปลายเตียงผม  ยิ้มน้อยๆ พูดอะไรสักอย่างหนึ่งที่ผมพยายามอ่านปากได้ความว่า  ...น่าสงสาร...
จนกระทั่งเช้า เมื่อผมตื่นเพราะเสียงโหวกเหวกของน้าไวกับพวกที่มาปรับปรุงบ้าน  แม้ผมจะจำความฝันครั้งหลังของผมไม่ได้  เหมือนกับไม่เคยฝันมาก่อนเลยก็ตาม  แต่ความฝันแรกของผมนั่นผมจำได้แม่นไม่ว่าจะพยายามสลัดมันออกจากหัวสักเท่าใด 
เพราะมันคือความเป็นจริง


งานปรับปรุงบ้านร้างหลังใหญ่ที่ไม่มีคนอยู่มานับสิบปีไม่ใช่งานเล็กๆ  ผมเดินขึ้นลงบ้านอำนวยการจัดแจงให้คนงานทำความสะอาดทั้งตัวบ้านและบริเวณบ้าน  คนงานชายสองคนและหญิงสามคนล้วนแต่เป็นพี่น้องในหมู่บ้านที่น้าไวติดต่อให้มาช่วยทำงาน  ชายสองคนใส่เสื้อแขนยาวกางเกงขายาว สวมรองเท้าบู๊ตและถุงมือ  คนหนึ่งใช้มีดหวดหักร้างถางพงที่ขึ้นรกทั่วบริเวณบ้าน  ในขณะที่อีกคนใช้เครื่องตัดหญ้าแบบสะพายบ่าตัดพงหญ้าคาเนื้อที่เกือบสองไร่บริเวณหลังบ้าน  หญิงสามคนทำงานอยู่บนบ้าน  สองคนช่วยกันปลดผ้าที่คลุมเครื่องเรือนออก แล้วเช็ดถูทำความสะอาดฝุ่น อีกคนหนึ่งใช้เสื้อยืดพันปกปิดใบหน้าและเรือนผมกันฝุ่น  แล้วกวาดหยากไย่ เช็ดถูพื้นและผนังไม้ทุกห้อง 
มันเป็นเวลาบ่ายเข้าไปแล้วกว่าที่ผมจะได้หยุด  นั่งพักที่เก้าอี้ไม้ระเบียงหน้าบ้าน  ที่นอกบ้านควันจากกองไฟเผาวัชพืชลอยอ้อยอิ่ง บัดนี้บริเวณบ้านสะอาดโล่งผิดไปจากตอนที่ผมมาถึง  มีเพียงต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาครึ้มที่ถูกตัดแต่งกิ่งอย่างเรียบร้อย   พี่ผู้หญิงสองคนลงไปที่ใต้ถุนยกสูงชั้นล่าง ใช้น้ำฉีดล้างโคลนจากพื้นซีเมนต์
เสียงวัตถุกระทบกันดังเบาๆ มาจากในครัวซึ่งต่อแยกออกไปทำให้ผมนึกได้ว่ายังมีคนงานหญิงอีกคนหนึ่งทำงานอยู่ในครัว  ผมเดินตามสบายเข้าไปถึงประตูด้านหลังซึ่งเชื่อมต่อกับครัวไทยเปิดโล่ง  ร่างหนึ่งยืนหันหลังให้ผม ดูเหมือนเธอกำลังล้างถ้วยจานและเครื่องครัวที่ยกออกมาจากในตู้กองใหญ่  ผมตรงยาวสีดำสนิทเป็นเงา  เสื้อยืดรัดรูปสีชมพูเข้มโชว์สัดส่วนที่สมบูรณ์แบบ เอวคอดรับกับสะโพกกว้างที่ห่อหุ้มด้วยกางเกงยีนส์ขายาวรัดรูปสีน้ำเงินเข้ม  เพียงช่วงแขนที่พ้นแขนเสื้อออกมาก็แสดงให้เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นคนผิวขาวจัดคนหนึ่ง
"เมื่อกลางวันไม่ไปกินข้าวกับคนอื่นเขาล่ะ"  ผมถามขึ้นอย่างเป็นมิตร
"ตรงนี้เหลือแค่ล้างหม้อพวกนี้  คุณไปดูเขาทำข้างล่างเถอะ"  เธอตอบเรียบๆไม่ตรงคำถาม
"ตอบไม่ตรงคำถามนี่"  ผมว่า ขณะเดินอ้อมโต๊ะเตรียมอาหารกลางห้องครัวไปยืนที่อ่างล้างจานข้างๆ เธอ  แล้วเริ่มลงมือล้างหม้อใบใหญ่ด้วยน้ำเปล่า
เธอหันมามองหน้าผม  ผมเพิ่งเห็นหน้าเธอชัดๆ เมื่อไม่มีผ้าพันปกปิดใบหน้า  เธอเป็นคนผิวขาวจัด ขาวจนเห็นรอยเลือดฝาดแดงระเรื่ออยู่ใต้ชั้นผิวหนัง  ไม่มีร่องรอยถูกไอแดดเหมือนคนในละแวกบ้านทั่วๆไปที่ผมเคยพบเห็น  ที่ผมแปลกใจก็คือใบหน้าของเธอสวยสมบูรณ์แบบเสียจนไม่น่าเชื่อว่าจะมาอยู่ในหมู่บ้านนอกเมืองแบบนี้  ดวงตากลมโตไม่ได้แต้มสี คิ้วกันสวยแบบเปรี้ยว  ปลายจมูกคมเป็นสันงามและริมฝีปากบางเล็กแดงระเรื่อ  ทำให้ใบหน้าของเธอดูดุ เฉียบขาดน่าเกรงใจอยู่ไม่น้อย  แม้ว่าคำนวนจากสายตาแล้วอายุเธอคงน้อยกว่าผมเกือบสิบปีก็ตาม  เนินอกสวยดันเสื้อยืดสีชมพูเข้มธรรมดาๆ พิมพ์ลายภาษารัสเซียให้พุ่งชันนูนขึ้นมาราวกับหุ่นแขวนเสื้อในห้างสรรพสินค้า
"ผู้ชายก็ควรทำงานแบบผู้ชาย"  เธอหันไปสนใจกับงานที่ทำต่อ หย่อนถาดสแตนเลสขนาดย่อมๆ ใส่อ่างน้ำตรงหน้าผม
"ผมไม่ใช่ผู้ชายประเภทนั้น ที่จะมาแบ่งแยกว่าอันนี้งานผู้ชาย อันนี้งานผู้หญิง"  ผมล้างถาดนั่น  "ยังไม่ได้ตอบผมเลยว่าเมื่อกลางวันได้กินข้าวหรือเปล่า"
"ฉันกลับไปกินที่บ้าน" 
"บ้านอยู่แถวนี้เหรอ"  ผมถามอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก
"อยู่โน่นแน่ะ" เธอชี้นิ้วไปทางหลังบ้านผมไปทางสวนหลังบ้านผมที่อยู่ลึกเข้าไป  ผมเพิ่งสังเกตเห็นแหวนโลหะสีเงินวาวที่นิ้วกลางข้างขวาของเธอ หัวแหวนประดับหินสีแดงส่องประกายออกมาจากคราบฟองน้ำยาล้างจานที่เกาะอยู่
ผมมองตาม  หลังบ้านผมถัดจากบริเวณบ้านที่เก็บกวาดจนสะอาดไปแล้วประมาณหนึ่งไร่  เป็นสวนป่าป่าที่ยังไม่ได้หักร้างถางพง  มีเพียงทางคนเดินเล็กๆ กว้างประมาณสามเมตร  มีกลุ่มต้นทับทิมเก่าแก่ที่ผมจำได้ว่าผมเป็นคนปลูกเอาไว้เล่นๆ ตั้งแต่เมื่อตอนเด็กอยู่ที่ปากทางนั้น ผมก็เพิ่งเห็นว่ามันยังอยู่ ไม่ได้ตายหรือถูกตัดไปเสียก่อน  ทางเส้นนั้นตัดจากบ้านผมออกไปถึงทุ่งนาของชาวบ้าน เชื่อมต่อกับคันนาที่อยู่ลึกเข้าไป
"บ้านลุงเม่นน่ะเหรอ"  ผมถามถึงบ้านไม้หลังเล็กๆ เก่าคร่ำคร่าของลุงเม่นที่ผมจำได้ว่าตั้งอยู่แถวๆนั้น
"ใช่"
ลุงเม่นตั้งบ้านอยู่ที่นั่นตั้งแต่ผมจำความได้  แกไม่มีเมีย งานหลักของแกคือทำนาและรับจ้างทั่วๆไป  นอกจากนั้นก็กินเหล้า  ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ ผมไม่ชอบแกนักเพราะแกมักจะล้อเล่นผมด้วยการทำท่าดุให้ผมกลัววิ่งกลับเข้าบ้านทุกที  ครั้งสุดท้ายที่ผมได้ข่าวแกเมื่อสักปีที่แล้ว  ที่น้าไวบอกว่าลุงเม่นเสียเพราะโรคมะเร็งตับ
"เป็นญาติลุงเม่นเหรอ"
"เป็นหลาน ฉันเพิ่งย้ายมาอยู่เมื่อสักเดือนที่แล้ว"  เธอตอบพลางเปิดจุกยางไขน้ำออกจากอ่างล้างจาน  เดินไปเช็ดมือกับผ้าเช็ดมือ แล้วออกจากห้องครัวไป

ตะวันต่ำลงมากแล้วเมื่อตอนที่บ้านผมดูเหมือนเป็นบ้านสำหรับคนอยู่จริงๆ เสียที ทั้งในและนอกตัวบ้านเข้าที่เข้าทางอย่างสมบูรณ์แบบ เว้นแต่ปัญหาคือมันอาจจะใหญ่โตเกินไปสำหรับที่ผมจะอยู่คนเดียว 
คนงานทั้งหมดกำลังเก็บของใส่ย่ามเตรียมตัวกลับบ้าน  ผมเดินไปหาน้าไว กำเงินไปปึกหนึ่งให้แกไปจ่ายเป็นค่าแรง
"คนละเท่าไรนะน้าไว"
"คนละสามร้อย ตามนโยบายรัฐ มาตรฐานเดียวกันหมด"
"ห้าคน  ก็พันห้า"  ผมส่งใบละร้อยให้แกฟ่อนหนึ่ง
"แค่สี่คน น้าไม่ได้มาทำนี่ ไม่เอาหรอก"  แกมองหน้าผมงงๆ  แต่ก็รับเงินไป
"ก็ห้าคนนี่น้า ไม่ได้รวมน้าด้วยหรอก น้าหามาห้าคนไม่ใช่เหรอ  ผู้ชายสอง ผู้หญิงสาม คนที่ใส่เสื้อสีชมพูอีกคนน่ะ"  ผมกระพริบตาปริบๆ มองหาเธอคนนั้น
"ไม่ใช่แล้ว น้าหามาแค่สี่ ก็นี่ไง"  แกชี้ไปที่พี่ผู้ชายและผู้หญิงคู่ผัวเมียทั้งสองคู่  "ก็สี่คนนี่เท่านั้นแหละ พันสอง ทำกันอยู่แค่นี้  ถ้าจะให้น้า ไว้เอาไอ้อย่างเมื่อคืนไปกินกันที่บ้านดีกว่า"  แกหัวเราะพลางว่าแล้วก็ยัดเยียดเงินสามร้อยใส่มือผมเหมือนเดิม
น้าไวไม่ได้สนใจอะไรผมอีก  เดินไปหากลุ่มคนทำงานที่กำลังจะกลับเพื่อแบ่งสรรเงินค่าจ้าง  ผมเดินงงๆ เลี่ยงออกมา  นึกในใจว่าสงสัยเธอจะไม่มีเงินและต้องการงานถึงขนาดได้ข่าวว่าผมหาคนงาน ก็เลยมาทำงานโดยไม่ได้ตกลงกับผมก่อน  พลันสายตาเหลือบไปเห็นร่างบางๆ เดินเห็นหลังอยู่ไวๆ ไปทางหลังบ้านผม  ผมจึงรีบสาวเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไป
"เดี๋ยวก่อน คุณ จะรีบไปไหนล่ะน่ะ" ผมร้องเรียก  ไปทันกันเกือบถึงทางเข้าสวนป่าหลังบ้านพอดี
เธอหันมา ผิวขาวใสแดงระเรื่อเมื่อกระทบแสงแดดยามเย็นยิ่งแดงเปล่งประกายสวยจนผมอดชื่นชมไม่ได้  ริมฝีปากยิ้มน้อยๆ  นั้นไม่ได้ตอบว่าอะไร
"จะกลับแล้วเหรอ ยังไม่ได้คุยกันเลย"
"ก็งานเสร็จแล้วนี่ ฉันก็มีบ้านต้องกลับเหมือนกัน"
"เอานี่ ลืมเงินเสียแล้ว" ผมยื่นเงินสามร้อยให้เธอ
เธอมองเงินในมือผมครู่หนึ่ง แล้วยื่นมือมารับ  กล่าวขอบคุณเบาๆ แล้วทำท่าจะหันหลังกลับ
"เดี๋ยวสิ เอ่อ ผมยังไม่รู้ชื่อเลย"
เธอหันกลับมายิ้มให้ผม เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเธอยิ้มเต็มที่
"ฉันชื่อทับทิม คุณเทพ"
"แล้วเธอ... เธออยู่กับแฟนเหรอ แล้วทำงานอะไรที่ไหนหรือยัง กินอยู่ยังไง"
"ฉันไม่มีหรอกแฟน อยู่ตัวคนเดียวนี่แหละ  ก็เรื่อยๆ ปลูกผักไปส่งที่ร้านค้า หากินไปวันๆ ไม่ได้ทำไร่นาอะไรหรอก"  เธอมองสบตาผมตรงๆ อะไรบางอย่างทำให้ผมรู้สึกว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาบ้านๆอย่างที่เธอบอก  ผมค่อนข้างสงสัยที่เธออยู่บ้านในดงเปลี่ยวๆ นั่นคนเดียว  ปากผมไวเท่าความคิด
"คือ บ้านฉันน่ะ  ฉันไม่มีปัญญาดูแลหรอกหลังใหญ่ขนาดนี้  ถ้าทับทิมว่างมาทำงานเก็บกวาดบ้านซักผ้าให้ฉันหน่อยเถอะ ฉันอยู่ในเมืองสบายจนเคยตัวแล้ว  ไม่ต้องบ่อยหรอก เอาที่เราว่าง อาทิตย์ละสามสี่วันก็ได้"  นั่นเป็นผลพลอยได้  ความคิดจริงๆ ของผมคืออย่างน้อยๆ มีสิ่งสวยๆ งามๆ ให้ดูเจริญหูเจริญตามันดีกว่าอยู่คนเดียวอยู่แล้ว
"ได้ เริ่มวันมะรืนนี้เลยแล้วกัน  ตอนบ่าย" เธอยิ้มตอบ  ดูมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อยเหมือนคนสมหวังอะไรสักอย่าง
"แล้วนี่เธอจะเดินกลับบ้านมืดๆ อย่างนี้น่ะเหรอ มันอันตรายนะ  แล้วเธอก็อยู่บ้านลุงเม่นคนเดียวเนี่ยนะ ให้ฉันไปส่งไหม"  ผมมองฟ้าที่ใกล้มืดลงทุกที  บรรยากาศอย่างบ้านลุงเม่นน่ะ อย่าว่าแต่ให้ผู้หญิงตัวเล็กๆคนเดียวมาอยู่เลย  ต่อให้ตัวผมเองก็คงไม่รับประทาน
"ไม่มีใครทำอะไรฉันหรอกน่า ฉันเอาตัวรอดได้แม้จะอยู่คนเดียวก็เถอะ ฉันเดินคนเดียวได้ บ้านอยู่แค่นี้เอง  คุณกลับบ้านไปซะ"
"อ๋อ มีหน้าตาเป็นอาวุธ ว่ายังงั้น"  ผมสัพยอกด้วยหวังจะสร้างความสนิทสนมกับสาวสวย
"หึๆ ยิ่งกว่าหน้าตาอีก..." เธอตอบเสียงจริงจัง ตาเป็นประกายวาว  ว่าพลางหันหลังเดินไปต่อ  ผ่านกลุ่มต้นทับทิมลับเครือเถาวัลย์ไป  ผมก้าวเท้าจะเดินตาม  แต่เมื่อเดินมาถึงปากทางเข้าสวนป่า  ก็ไม่ปรากฎร่างของเธอเสียแล้ว  ทับทิมลูกเขื่องสามลูกที่ห้อยอยู่ตรงระดับสายตานั้นมันเหมือนจะยิ้มเยาะผม
.
.
.

GoDeRsOuL

ทับทิม ....หรือจะเป็นผีนางทับทิมนะ
เขียนได้ดีครับ ผมต้องยืมไปใช้บ้างแล้ว

Seraphia13

รู้สึกเสียวๆ(ตอบทีเดียวได้หลายความหมายเลยวุ๊ย)

kaithai

เริ่มต้นมา ยังแค่ปูพื้น
โผล่ชื่อทัมทิม มาปลายๆตอน
ยังมองแนวทางไม่ออก
ยินดีต้อนรับครับ สำหรับนักเขียนคนใหม่



tantawanjames

แนวทางดูเดายากแต่เหมือนจะแฝงด้วยความลึกลับ น่าติดตามครับ

peddo

สำนวนน่าอ่านมากครับแต่ออกแนวหยองๆชอบกล ออกมากลางแดดด้วย ท่าจะแรงจริงขอบคุณครับ

nolulu6969

เรื่องนี้ปูเนื้อเรื่องมาน่าสนใจมาก ขอติดตามยาวๆเลยครับ ถ้ามาต่อเนื่องได้จะเป็นพระคุณอย่างมาก ขอบคุณครับ

peat

ทับทิมนี่จะเป็นอะไรกันนะ..จะนางไม้หรือวิญญาณหรืออะไรกัน..
คงต้องรอติดตามต่อไปซินะ..

zasde

อันนี้มาแนวหนังผีรึเปล่าครับ แบบว่าผีนางเอกไม่ยอมไปเกิดรอพระเอกอยู่ สนุกดีครับ เมืองไทยมี ตานี ตะเคียน นางไม้ อีกอันที่กำลังเกิดใหม่คือทับทิมรึเปล่าเนี่ย
ขอบคุณครับ

sunnie06

แปลกๆนะเนี่ย ผีสาวแน่นอน

soleza020

เป็นเรื่องเกี่ยวกับผีหรอครับ จะรอติดตามตอนต่อไปนะครับ

adas

บรรยายได้ดีครับ อ่านลื่นเลย

whitebag

ท่าทางเรื่องแนว มีอะไรกับสิ่งที่มองไม่เห็นสะแล้ว ตื่นเต้นจัง ::Beggar::

Kunchay Ronnapee

ผมชอบอ่านซีรี่ส์มาก คาดหวังว่าจะยาวนะครับ ขอบคุณครับ

devilzoa

เอาละสิทับทิมผู้ลึกลับ