ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

มังกรหยก ฉบับวณิพก ตอน ลี้มกโช้ว เทพธิดาไหมแดง

เริ่มโดย zeech, เมษายน 13, 2017, 06:49:37 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

zeech

ผมได้มีโอกาสดู ซีรีย์มังกรหยก 2013 แล้วสะดุดตากับนักแสดงหญิงคนหนึ่งที่รับทเป็นลี้มกโช้ว
เธอชื่อว่า  จางซินอวี่  ในความเห็นของผม ลี้มกโช้วในภาคนี้แสดงได้น่ารักและมีความสวยงามมากกว่า
เซียวเล่งนึ้งเสียอีก จนผมคิดว่า ถ้ากูเป็นเอี้ยก้วยในเรื่อง กูจะเอาอาจารย์ป้า ลี้มกโช้วคนนี้ทำเมียซะ
ไม่เอามันแล้วเซียวเล่งนึ้ง  จึงเป็นที่มาของเรื่องที่ผมนำมาลงให้ได้อ่านกันในตอนนี้

อันที่จริงผมได้วางโครงเรื่องไว้ เพื่อจะแต่งเข้าประกวดในเว็บบ้าน แต่ไม่ทันก็เลยทิ้งไป
จนมาถึงวันสงกรานต์ปีนี้ ซึ่งมีเวลามากพอจึงนำมาปั้นต่อจนจบ  โดยวางแผนไว้ว่าจะเลียนแบบท่านยาขอบ
ที่เขียนสามก๊ก ฉบับบวณิพก แต่ของผมจะเป็น มังกรหยกฉบับ วณิพก (จริงๆอยากใช้คำว่า ฉบับลามก)
โดยตั้งใจว่าจะนำตัวเอกฝ่ายหญิงในมังกรหยก อีกหลายๆตัวละคร มาแต่งเติมตามอำเภอใจตนเอง

ส่วนภาพของ จางซินอวี่ หากท่านใดต้องการเห็นเธอในลีลาอื่นๆบ้าง ผมก็ได้รวบรวมมาให้แล้ว ตาม link ด้านล่างครับ

http://www.mediafire.com/file/5lwbkn8ix6qsweo/จางซินอวี่.pdf

เอาล่ะครับ แพล่มมามากแล้ว ขอเชิญท่านทดลองเสพ มังกรหยก ฉบับวณิพก ตอน ลี้มกโช้ว เทพธิดาไหมแดง
แล้วฝากติชมให้ทราบด้วยนะครับ

ขอบคุณที่ติดตาม


------------


ลี้มกโช้ว  เทพธิดาไหมแดง





ยามเช้า ณ ลานกว้างหน้าโรงเตี๊ยมกลางเมืองต้าตู  โต๊ะของโรงเตี๊ยมถูกจับจองจากเหล่าผู้คนที่เดินทางเข้ามาจนเต็มแน่น
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมจึงนำโต๊ะมาตั้งเสริม จนยื่นยาวออกมาถึงบริเวณลานกว้าง ผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามา ณ โรงเตี๊ยมแห่งนี้
ล้วนเป็นชาวยุทธจากหลายถิ่นแคว้นที่เดินทางเข้ามาเพื่อร่วมประลองฝีมือเฟ้นหาสุดยอดทักษะยุทธไปเป็นราชองครักษ์
ประจำตัวรัชทายาทแห่งราชวงศ์หยวน

ท่ามกลางเสียงพูดคุยจากผู้ที่นั่งดื่มกินและผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมานั้น ปรากฎร่างของชายชราเคราขาวผู้หนึ่ง
ในมือถือไม้เท้ายันกายเดินเข้ามาหยุดยืน ณ ลานกว้างแห่งนั้น  เคียงข้างกับชายชราผู้นั้นเป็นดรุณีน้อยผู้มีอันทรวดทรงงดงาม
วัยราวสิบแปดปี  ในมือของนางถือฆ้องไว้ใบหนึ่ง ดรุณีนางนั้นยืนมองดูผู้คนในโรงเตี๊ยมอยู่ครู่หนึ่ง  แล้วชูฆ้องขึ้นพร้อมกับตีลงไป
ราวสี่ถึงห้าครั้ง พร้อมกับเปล่งเสียงป่าวประกาศออกมาว่า


"ผ่าง...ผ่าง.....ผ่าง....เรื่องราวในยุทธภพ ถูกบันทึกเป็นตำนาน เรียงถ้อยร้อยความ เล่าขานต่ออนุชน ...ผ่าง...ผ่าง...ผ่าง..."


"จอมยุทธก๊วยเจ๋ง กล้าหาญและสัตย์ซื่อ  อึ้งย้งผู้ภรรยา มากทั้งความงาม พร้อมด้วยสติปัญญา ทั้งสองถือเป็นคู่สามีภรรยา
ที่อนุชนรุ่นหลังล้วนจดจำมิลืมเลือน"



"ผ่าง...ผ่าง....ผ่าง... ขอเชิญเข้ามาฟัง เรื่องราวของวีรชนทั้งสอง เพียงคนละอีแปะเดียวเท่านั้น....ผ่าง....ผ่าง.....ผ่าง..."


พลันที่โต๊ะดื่มกินของนักเลงสุราโต๊ะหนึ่ง ก็บังเกิดเสียงโห่ร้องดังสวนขึ้นว่า


"ไม่เอา....ไม่เอา....ก๋วยเจ๋ง...อึ้งย้ง...มีใครบ้างไม่รู้จักท่านทั้งสอง หากว่าเจ้าไม่มีเรื่องราวอันใดที่น่าสนใจกว่านี้
ก็จงไสหัวไปซะ อย่าได้มาเห่าหอนขัดขวางความสำราญของพวกข้า"



ดรุณีน้อยนางนั้นมีสีหน้าสลดลงวูบหนึ่ง ก่อนจะแย้มยิ้ม พร้อมกับตีฆ้องและร้องขึ้นมาอีกครั้งว่า


"ผ่าง..ผ่าง...ผ่าง.. จอมยุทธอินทรี เอี้ยก้วย และ เทพธิดาแห่งสุสานโบราณ เซียวเล่งนึ้ง  เก่งกล้าสามารถ ยึดมั่นในความรัก
ไม่ยึดติดประเพณี  ผู้ใดต้องการรับฟังจงพากันเข้ามา เพียงหนึ่งอีแปะ ท่านปู่ของข้าจะเล่าขานตำนานของคนทั้งสอง
ให้พวกท่านได้รับฟัง....ผ่าง....ผ่าง....ผ่าง..."



เสียงของนักเลงสุราจากโต๊ะของโรงเตี๊ยม โต๊ะเดิมก็ดังขึ้นอีกว่า


"น่าเบื่อหน่ายที่สุด... เอี้ยก้วย เซียวเล่งนึ้ง   แม้แต่ทารกน้อยก็รู้จักพวกท่านเป็นอย่างดี  ใยต้องเสียเวลามาฟังเจ้าเฒ่าผู้นี้พร่ำเพ้อ...เฮอะ.."


ดรุณีน้อยนางนั้น หันไปมองยังต้นเสียงนั้นแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียง ที่ราบเรียบว่า


"เช่นนั้น ข้าขอเสนอเรื่องราวของคนผู้หนึ่ง ข้าเชื่อว่าพวกท่านคงไม่เคยได้รับทราบจากที่ใดเป็นแน่ 
คนผู้นี้ก็คือ ลี้มกโช้ว เทพธิดาไหมแดง"



"ลี้มกโช้ว  สตรีผู้มีความงามเป็นเลิศแต่มีความอำมหิตยิ่งนัก เพราะผิดหวังในความรักจนต้องเป็นนักบวชตลอดชีวิต
ข้าก็รู้ซึ้งถึงเรื่องราวของนางเป็นอย่างดี  แม่นางน้อย...หากว่าปู่ของเจ้าไม่มีเรื่องราวอันใดที่น่าสนใจไปกว่านี้ ก็จงรีบไสหัวออกไปซะ "






พอได้ยินเช่นนั้น ดรุณีน้อยนางนั้นก็หันไปมองดูชายชราเคราขาวที่ยืนนิ่งสงบอยู่ครู่หนึ่ง  ครั้นเห็นชายชราผู้นั้นผงกศรีษะให้
ดรุณีน้อยก็นั้นก็หันไปกล่าวกับเหล่าบรุษที่นั่งอยู่ ณ.โต๊ะนั้นว่า


"แต่ปู่ของข้า มีเรื่องราวของลี้มกโช้ว ที่มิเคยมีผู้ใดได้ล่วงรู้  เรื่องราวนี้ถูกเก็บเป็นความลับมาตลอดจนชั่วชีวิตของนาง
พวกท่านคิดต้องการฟังดูหรือไม่เล่า"



เหล่าบุรุษที่นั่งกินอยู่ที่โต๊ะนั้น ต่างมองดูหน้ากันแล้วหัวเราะขึ้น  แล้วบุรุษผู้หนึ่งในโต๊ะนั้นก็กล่าวขึ้นว่า

"เช่นนั้น เจ้ากล้าวางเดิมพันกับข้าหรือไม่เล่า  หากเรื่องที่ปู่เจ้าเล่าออกมาเป็นเรื่องที่ข้ามิเคยได้ยินจากที่ใดมาก่อน
ข้าจะให้เจ้า ห้าสิบตำลึงทอง  แต่หากแม้นว่าข้าสามารถเล่าเรื่องราวต่อจากปู่ของเจ้าได้อย่างถูกต้อง
เจ้า....แม่นางน้อย...จะต้องมาอยู่เป็นเพื่อนนอนให้กับข้าในคืนนี้  ฮ่า...ฮ่า....ฮ่า...."



ดรุณีน้อยนางนั้นถึงกับตาเบิกกว้าง มีใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นด้วยความโกรธ แล้วยืนนิ่งไม่กล่าวสิ่งใดออกมา


"อ้าว...แม่นางน้อยใยจึงนิ่งไป เช่นนั้นข้าจะเพิ่มเดิมพันเป็นหนึ่งร้อยตำลึงทอง  แต่เจ้าต้องเป็นผู้เล่าเรื่องแทนปู่ของเจ้า
ข้าไม่ต้องการฟังเสียงอันแหบพร่าของเฒ่าชราผู้นั้น"



บุรุษผู้นั้น เห็นดรุณีน้อยนั้นเงียบงันไป ก็รุกไล่ขึ้นอีกว่า

"หากว่าไม่กล้ารับคำท้าของข้าก็จงเร่งไสหัวพวกเจ้าจากไปซะ"


แล้วบรุษผู้นั้นก็ล้วงถุงเงินออกมาวางลงบนโต๊ะสองถุง  พร้อมกับจ้องมองมายังดรุณีน้อยผู้นั้น   

ดรุณีนางนั้นเหลือบตามองดูถุงเงินที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วบังเกิดแววตาเจิดจ้าขึ้นวูบหนึ่งก่อนจะกล่าวออกมาด้วยความเด็ดเดี่ยวว่า


"เช่นนั้น ข้าขอรับคำท้า"


นักเลงสุรา พอได้ยินเช่นนั้น ก็เหลือบตามองดูกัน แล้วพากันแสยะยิ้มออกมา บุรุษที่กล่าวคำท้ากับดรุณีน้อยนั้นก็เอ่ยออกมาว่า


"ดี....หากว่าเจ้าพ่ายแพ้ เจ้าต้องไปเป็นเพื่อนนอนกับข้าในคืนนี้อย่าได้บิดพริ้วเป็นอันขาด"


ดรุณีน้อยนั้น ก็กล่าวตอบโต้ไปเช่นกันว่า


"แต่หากว่าระหว่างที่ข้าเล่าเรื่อง ข้าส่งให้ท่านเล่าต่อ และท่านมิสามารถกระทำได้ ถือว่าท่านพ่ายแพ้ 
เงินหนึ่งร้อยตำลึงทองนั้นต้องเป็นของข้า"


บรุษนั้นใช้สองมือผลักถุงเงินสองถุงที่อยู่เบื้องหน้าออกมาแทนคำตอบ พร้อมกับจ้องมองนิ่งมายังดรุณีน้อยนั้น


พลัน ณ ลานกว้างหน้าโรงเตี๊ยมแห่งนั้นก็เงียบงันลง  ทุกคนต่างจ้องมองมายังดรุณีน้อยผู้นั้น อย่างพร้อมที่จะรับฟัง
แล้วดรุณีน้อยนางนั้น ก็เปล่งเสียงเจื้อยแจ้วออกมา ดังนี้


---------------





"ถามไถ่ทั่วโลกหล้า อันว่ารักเป็นฉันใด จึงได้มอบแก่กันด้วยชีวิต"

ลี้มกโช้วผู้อาภัพรักได้กล่าวถ้อยคำนี้ไว้ก่อนที่นางจะจบชีวิตลง นางเป็นศิษย์แห่งสำนักสุสานโบราณ รุ่นที่สาม และเป็นศิษย์ผู้พี่ของเซียวเหล่งนึ่ง 
ลี้มกโช้วเป็นสตรีที่มีความงดงามเป็นอย่างมาก  นางมีดวงตาที่ดำขลับ ฟันขาวสะอาด ผิวพรรณละเอียดอ่อน ท่วงทางแช่มช้อยงดงาม
และมีเสียงสำเนียงที่อ่อนโยนนุ่มนวล เพียงแต่จิตใจภายในกลับไม่ได้งดงามตามรูปลักษณ์ภายนอก ทั้งนี้ก็เนื่องจากพิษแห่งความรักที่มักแปรเปลี่ยนผู้คน

ลี้มกโช้วมีวิชาแซ่ปัดที่อ่อนนุ่มแต่บังคับได้ดังใจ ทั้งยังบัญญัติวิชาฝ่ามือเบ็ญจพิษอันเป็นวิชาฝ่ามือที่ร้ายกาจ และเป็นที่ครั่นคร้ามแก่เหล่าชาวยุทธยิ่งนัก
นอกจากนี้นางยังมีอาวุธลับที่ร้ายกาจ นั่นก็คือ เข็มเงินน้ำแข็งเย็นที่มีพิษอันรุนแรง แม้เพียงสำผัสก็สร้างความเจ็บปวดร้าวจนจนมิอาจมีชีวิตสืบต่อไป


ครั้งหนึ่งขณะที่เมืองเซียงเอี๊ยงถูกทหารมองโกลบุกโจมตีโดยการนำของราชครูกิมลุ้น พร้อมกับเหล่ายอดฝีมือที่ทางมองโกลคัดสรรมา 
ขณะนั้นจอมยุทธก๊วยเจ๋งได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้ในครั้งก่อน อีกทั้งจอมยุทธหญิงอึ้งย้งก็มีครรภ์แก่ใกล้จะคลอด  คงมีแต่เอี้ยก้วยและเซียวเล่งนึ้ง
ที่อยู่ในเมืองเซียงเอี้ยง ณ ขณะนั้น ทั้งสองจึงเป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการช่วยสู้รบต้านทานเหล่าทหารมองโกลไว้

ในวันนั้นราชครูกิมลุ้นถือโอกาสขณะที่จอมยุทธก๊วยเจ๋งบาดเจ็บ นำพาเหล่าทหารมองโกลก็บุกโจมตีเข้ามาอย่างหักโหม เปลวไฟถูกจุดและโหมกระพือขึ้น
รอบเมืองเซียงเอี๊ยง จนสภาพของเมืองตกอยู่ในสภาวะคับขัน  ราชครูกิมลุ้นลอบบุกเข้ามายังภายในกำแพงเมืองเซียงเอี๊ยงได้เป็นผลสำเร็จ
และหวังจะใช้โอกาสนี้สังหารจอมยุทธก๊วยเจ๋ง และจอมยุทธหญิงอึ้งย้งซึ่งตั้งครรภ์แก่ จนมิอาจมีเรี่ยวแรงต่อต้านมัน ให้ตายไปเสียทั้งคู่ 

ในเวลาเดียวกันนั้น จอมยุทธหญิงอึ้งย้งก็ได้คลอดบุตรหญิงออกมาในเวลาอันคับขัน  นางให้ชื่อแก่ทารกน้อยนั้นว่า ก๊วยเซียง 
และได้ไหว้วานให้เซียวเล่งนึ้ง นำพาบุตรหญิงของนางหลบหนีออกไปจากเมืองเซียงเอี๊ยง  ส่วนเอี้ยก้วยเอี๊ยก็หลอกล่อราชครูกิมลุ้น
โดยใช้กลอุบายทำคล้ายกับว่าได้แบกร่างจอมยุทธก๊วยเจ๋งออกมาจากเมืองเซียงเอี๊ยง จนราชครูกิมลุ้นหลงกลติดตามออกมา 

ราชครูกิมลุ้นติดตามเอี้ยก้วยออกมาจนในที่สุดก็รู้ตัวว่าตนเองหลงกลเอี้ยก้วยอีกครั้งหนึ่งแล้ว  มันทั้งบังเกิดความแค้นและชิงชังเอี้ยก้วยยิ่งนัก
เร่งฝีเท้าไล่ติดตามเอี้ยก้วยมาจนทันและเข้าต่อสู้พัวพันอยู่กับเอี้ยก้วย  ในขณะนั้น เซียวเล่งนึ้งได้อุ้ม ก๊วยเซียง ติดตามมาทันพอดี
และแลเห็นเอี้ยก้วยกำลังรับมือกับราชครูกิมลุ้นอย่างหักโหม นางจึงอุ้มก๊วยเซียงไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง แล้วชักกระบี่เข้าต่อสู้ร่วมกับเอี้ยก้วย

ยามเมื่อเอี้ยก้วย และเซียวเล่งนึ้งประสานกระบี่กัน จะบังเกิดเป็นเพลงกระบี่อันล้ำเลิศ  ทั้งรวดเร็ว รุนแรงและไร้ช่องโหว่
จนราชครูกิมลุ้น ซึ่งเคยพ่ายแพ้ต่อเพลงกระบี่นี้มาครั้งหนึ่งแล้วถึงกับครั่นคร้ามมิกล้าบุ่มบ่ามเข้าต่อสู้อย่างหักโหม 
เพลงกระบี่คู่ของเอี้ยก้วยและเซียวเล่งนึ้งยิ่งต่อสู้ ยิ่งเพิ่มความดุดันจนราชครูกิมลุ้นต้องถอยร่นออกไปไม่เป็นขบวน และได้ถูกคมกระบี่ของเอี้ยก้วย
เข้าที่ไหล่ซ้ายหนึ่งกระบี่ 

เอี้ยก้วยเห็นว่าสถานะการณ์ของตนเองเริ่มเป็นฝ่ายได้เปรียบ ก็คิดใช้กลอุบายให้ราชครูกิมลุ้นมีความกังวลใจจนมิอาจต่อสู้ได้อย่างเต็มที่ 
จึงเอ่ยขึ้นมาว่า


"ราชครูหัวโล้น ท่านถูกกระบี่อาบยาพิษของเราไปหนึ่งกระบี่ ยังคิดเดินลมปราณต่อสู้อีกรึ  หรือว่าท่านมิกลัวว่าพิษของเราจะแพร่ไปทั่วร่างของท่าน"


ราชครูกิมลุ้นได้ยินเช่นนั้น ก็ชะงักเท้าไว้ แล้วลอบทดลองโคจรลมปราณดูก็เห็นว่ามิติดขัดใดๆก็เบาใจ  จึงตอบโต้กลับไปว่า

"เอี้ยก้วย เจ้าคิดใช้อุบายหลอกล่อ คิดว่าอาตมาจะหลงเชื่อเจ้าง่ายๆกระนั้นรึ"


เอี้ยก้วยแย้มยิ้ม แล้วกล่าวต่อว่า

"หากท่านไม่เชื่อ คิดใช้กำลังหักโหมเข้ามา ก็อย่าว่าข้าพเจ้ามิได้กล่าวเตือนท่าน"


ราชครูกิมลุ้นในยามนี้ คิดเพียงให้พ้นจากสถานการณ์นี้ไปเสียก่อน แล้วจึงค่อยคิดแก้ปัญหาเรื่องพิษในร่างเมื่อภายหลัง
แต่ก็มิอาจเข้าจู่โจมใส่เพลงกระบี่คู่ของคนทั้งสองได้โดยตรงอีก  จึงคิดใช้วิธีแยกบุคคลทั้งสองออกจากกัน พลันก็ขว้างจักรทอง
จู่โจมใส่เซียวเล่งนึ้ง

กงจักรทองนั้นหมุนคว้างไปในอากาศ แล้วพุ่งตรงมายังทรวงอกของเซียวเล่งนึ้งด้วยความเร็ว เซียวเล่งนึ้งเห็นว่านางอุ้มทารกน้อยอยู่
มิอาจรับกงจักรนั้นได้โดยตรง ด้วยเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อทารกน้อย  นางจึงสะกิดเท้าล่องลอยหลบจักรนั้นไปได้
อย่างฉิวเฉียด  พลันก็รู้สึกว่ากงจักรนั้นได้หมุนวนกลับมายังร่างของนางอีกครั้ง  เซียวเล่งนึ้งคิดเป็นห่วงเกรงว่า ก๊วยเซียงจะเป็นอันตราย
จึงเสี่ยงชีวิตด้วยการใช้มือที่ใส่ถุงมือทองคำขาว คว้าจับกงจักรของราชครูกิมลุ้นเอาไว้ แล้วร้องเรียกเอี้ยก้วยขึ้นว่า

"เอี้ยก้วย  เจ้าจงรับบุตรีของท่านป้าก๊วยไว้ แล้วระวังอย่าให้มีอันตรายใดๆ"


สิ้นคำร่างทารกน้อยนั้นก็ล่องลอยมาสู่มือของเอี้ยก้วยด้วยความแม่นยำ  เอี้ยก้วยครั้นรับทารกนั้นไว้แล้ว ก็เพ่งดูใบหน้าของทารกน้อยนั้น
เห็นไม่คล้ายกับก๊วยพู๊ ก็ถูกชะตานึกรักใคร่ยิ่งนักโอบรัดร่างของทารกน้อยนั้นไว้แนบอก

ข้างฝ่ายราชครูกิมลุ้นครั้นได้ยินว่า ทารกนั้นเป็นบุตรีของก๊วยเจ๋งและอึ้งย้ง ก็เกิดความยินดีคิดที่จะชิงไว้เป็นตัวประกันเพื่อต่อรองกับก๊วยเจ๋ง
จึงผละจากเซียวเล่งนึ้งหันมาใช้กงจักรเงินจู่โจมใส่ทรวงอกของเอี้ยก้วยที่อุ้มทารกน้อยนั้นอยู่  เอี้ยก้วยเห็นเช่นนั้นก็หันข้างฟาดฟันกระบี่
ในมือต่อต้านกงจักรเงินของราชครูกิมลุ้นเอาไว้ จนเสียงกระบี่ปะทะกับกงจักรเงินดังระรัวถี่

เซียวเล่งนึ้งเห็นเช่นนั้น ก็ตรงเข้าต่อสู้ช่วยเหลือเอี้ยก้วยอีกทางหนึ่ง มือซ้ายของนางถือกงจักรสีทอง ฟาดใส่ราชครูกิมลุ้นโดยหมายใช้อาวุธ
ของมันทำร้ายตัวมันเอง หวังจะให้ราชครูกิมลุ้นบังเกิดความละอาย สลับกับใช้กระบี่ในมือขวาทิ่มแทงไปทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง
ราชครูกิมลุ้น มือขวาถือกงจักรเงิน มือซ้ายถือกงจักรทองเหลืองร่ายรำตั้งรับกระบี่คู่ของคนทั้งสองอย่างระมัดระวัง แต่เมื่อผ่านไปได้
สามสี่กระบวนท่า มันกลับเห็นเพลงกระบี่คู่ของคนทั้งสองหาได้มีอานุภาพที่กร้าวแกร่งดุจเดิมไม่ มันรอดูอยู่อีกหลายกระบวนท่า
จนแน่ใจแล้วว่า เพลงกระบี่ของเอี้ยก้วยและเซียวเล่งนึ้งด้อยอานุภาพลงแน่แล้ว ก็ดีใจยิ่งนัก หันกลับมาใช้กระบวนท่าอันร้ายกาจ
รุกไล่กลับใส่บุคคลทั้งสองอย่างรุนแรงและรวดเร็ว โดยหมายจะชิงมีชัยโดยฉับพลัน

เอี้ยก้วยและเซียวเล่งนึ้งต้องถึงกับถอยร่น มิสามารถต้านทานอยู่ได้ ท่ามกลางความงุนงงและไม่เข้าใจว่าเหตุใด เพลงกระบี่คู่ของตน
จึงอ่อนด้อยอานุภาพลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ  โดยเหตุผลที่แท้จริงแล้ว เพลงกระบี่ดรุณีหยก ใช้สองกระบี่  แต่หนึ่งจิตใจ สอดประสาน
แต่ในยามนี้ในมือของเซียวเล่งนึ้งกลับมีกงจักรอยู่ในมือ คล้ายกับเป็นสิ่งขวางกั้นมิให้สองกระบี่สอดประสานได้เหมือนเดิม

และแล้วระหว่างที่เอี้ยก้วย และ เซียวเล่งนึ้ง กำลังถอยร่นจนใกล้จะอับจนอยู่แล้วนั้น เอี้ยก้วยและเซียวเล่งนึ้งก็ตัดสินใจใช้วิชาตัวเบา
ทะยานร่างลอยขึ้นสู่อากาศหลบคมแห่งกงจักรที่ราชครูกิมลุ้นลุกไล่เข้ามาจวนเจียนจะถึงตัว  ราชครูกิมลุ้นเห็นเช่นนั้นก็สบช่อง
เหวี่ยงกงจักรทองเหลืองล่องลอยเข้าใส่ร่างของทารกน้อยในอ้อมกอดของเอี้ยก้วย โดยหวังว่าเมื่อเอี้ยก้วยจวนตัวก็จะปล่อยร่างทารกนั้นร่วงลงมา 

แต่เอี้ยก้วยกลับกระทำตรงข้าม ในระหว่างที่ร่างของตนเองล่องลอยอยู่ในอากาศเหลือบมองไปเห็น กงจักรเปล่งประกายสีทองเหลืองอร่าม
พุ่งตรงมายังร่างของตน เอี้ยก้วยกลับไม่ยอมปล่อยร่างของทารกน้อย แต่กลับโอบไว้อย่างแนบแน่น แล้วหันข้างเพื่อเบี่ยงหลบกงจักรสีทองนั้น
แต่ก็ไม่พ้น คมของกงจักรถูกเข้าที่ไหล่ขวาของเอี้ยก้วยจนได้รับบาดเจ็บ และแรงเหวี่ยงของกงจักร ยังทำให้ร่างของก๊วยเซียง
กระเด็นหลุดออกมาจากอ้อมอกของเอี้ยก้วยร่วงหล่นลงสู่พื้นเบื้องล่าง

ราชครูกิมลุ้นเห็นดังนั้นก็ขว้างจักรเงินเข้าไปโดยหมายจะรองรับร่างของก๊วยเซียงไว้ และเป็นขณะเดียวกับที่เซียวเล่งนึ้งคิดจะขยับฝีเท้า
ถลันเข้าไปรับร่างของทารกน้อยนั้นไว้เช่นกัน แต่นางยังมิทันจะขยับตัว ก็เห็นแลเห็นเงาของคนผู้หนึ่งถลันเข้ามา ใช้แส้ปัดฟาดเข้าที่กงจักร
ของราชครูกิมลุ้นจนล่องลอยกระเด็นกลับออกไป  เซียวเล่งนึ้งพอเห็นชัดว่าคนผู้นั้นเป็นใครก็ถึงกับอุทานออกมาว่า

"ศิษย์พี่"


ผู้ที่ใช้แส้ปัดตอบโต้กงจักรของราชครูกิมลุ้น แล้วรับร่างของทารกน้อยนั้นไว้ก็คือ ลี้มกโช้ว 




ลี้มกโช้วลอบดูการต่อสู้ของคนทั้งสามอยู่นานแล้ว และเห็นว่าทั้งเอี้ยก้วยและเซียวเล่งนึ้งถึงกับทุ่มเทช่วงชิงทารกน้อยผู้นี้อย่างไม่เห็นแก่อันตราย
ก็เข้าใจว่าทารกน้อยนี้ก็คือ บุตรของเซียวเล่งนึ้งกับเอี้ยก้วย จึงถลันร่างเข้าไปรับเอาทารกน้อยนั้นมาอุ้มไว้  แล้วยิ้มกระหยิ่มที่มุมปาก
ก่อนที่จะทะยานร่างหลบหนีไป


เซียวเล่งนึ้งรู้ซึ้งถึงความอำมหิตแห่งศิษย์พี่ของตนดี เห็นเช่นนั้นก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง เร่งดีดร่างออกติดตามพลางร้องเรียกขึ้น

"ศิษย์พี่ จะเอาทารกนั้นไปทำสิ่งใด โปรดคืนต่อข้าพเจ้าเถิด"


ลี้มกโช้วได้ยินเซียวเล่งนึ้งกล่าวเช่นนั้น ก็ยิ่งแน่ใจว่าทารกน้อยผู้นี้คือบุตรของเซียวเล่งนึ้งเป็นมั่นคง  จึงกล่าวตอบโต้ไปว่า

"สำนักสุสานโบราณของเรา มีแต่สตรีพรหมจรรย์ทุกรุ่น เจ้าช่างไร้ความละอาย กล้าให้กำเนิดทารกน้อยนี้ มาเป็นพยานความชั่วช้าของเจ้า"


เซียวเล่งนึ้งได้ยินเช่นนั้น ก็กล่าวอ้อนวอนขึ้นว่า

"ศิษย์พี่ ทารกนั่นไม่ใช่บุตรของข้าพเจ้า  ท่านจงเร่งคืนมาให้ข้าเถิด  เซียวเล่งนึ้งร้องซ้ำๆเช่นนี้หลายครั้ง จนลมปราณที่เกร็งไว้คลายออกจากกัน
และถูกทิ้งเอาไว้ที่เบื้องหลังหลายสิบวา"



ฝ่ายราชครูกิมลุ้น เห็นแม่ชีนางหนึ่งแย่งชิงทารากน้อยนั้นไปก็โกรธ ผละจากการต่อสู้กับเอี้ยก้วย เข้าติดตามลี้มกโช้วไปในทันที
เช่นเดียวกับเอี้ยก้วยเมื่อเห็นว่าเป็นลี้มกโช้ว ที่อุ้มเอาทารกน้อยนั้นไป ก็คิดเป็นห่วงยิ่งนัก รีบเร่งติดตามราชครูกิมลุ้นไปติดๆ

ทั้งเอี้ยก้วยและราชครูกิมลุ้น ติดตามลี้มกโช้วมาจนถึงกำแพงเมืองเซียงเอี๊ยงอันสูงใหญ่ ซึ่งเบื้องล่างเป็นพื้นดินอันต่ำกว่ากำแพงเมืองยิ่งนัก
ราชครูกิมลุ้นเห็นเช่นนั้น ก็นึกกระหยิ่มใจว่า แม่ชีนางนี้คงหนีไม่พ้นมือของตนเป็นแน่

แต่ลี้มกโช้วกลับกระทำเหนือความคาดหมาย นางหยุดยืนมองดูพื้นดินเบื้องล่างอยู่เพียงครู่ ก็คว้าจับเอาตัวทหารรักษากำแพงเมืองผู้หนึ่ง
โยนลงไปจากกำแพง แล้วกระโดดตามติดลงไป รอจนร่างของทหารผู้นั้นใกล้ถึงพื้นดินที่เบื้องล่าง ก็ใช้เท้ายันร่างของทหารผู้นั้น
ส่งร่างของตนเองให้ลอยสูงขึ้น แล้วจึงลดระดับลงสู่พื้นดินอย่างนิ่มนวล




ราชครูกิมลุ้นตามนางมาติดๆ ครั้นเห็นเช่นนั้น ก็คิดอยู่เพียงในใจว่า  สตรีนางนี้ร้ายกาจยิ่งนัก  แล้วจึงคว้าจับทหารมาผู้หนึ่ง
มากระทำเช่นเดียวกับนางบ้าง   เอี้ยก้วยตามราชครูกิมลุ้นมาจนทัน พอเห็นเช่นนั้นก็มิอาจมีใจอำมหิตกระทำตามได้ 
หันไปพบม้าศึกตัวหนึ่งจึงผลักให้ล่วงหล่นลงไปจากกำแพงเมือง แล้วกระโดดติดตามลงไปโดยใช้ม้านั้นเป็นเครื่องประคองร่างของตน
มิให้กระทบสู่พื้นดินที่เบื้องล่าง

ทั้งสามมีฝีเท้ารวดเร็วยิ่ง  ลี้มกโช้วเสียเปรียบที่อุ้มทารกไว้ที่อก ทำให้ความรวดเร็วตกลงไปบ้าง  ส่วนราชครูกิมลุ้นที่ไหล่ขวา
ถูกคมกระบี่ของเอี้ยก้วยเข้าหนึ่งกระบี่ และไม่มีความมั่นใจว่าเป็นกระบี่อาบยาพิษหรือไม่ จึงมิกล้าหักโหมใช้กำลังติดตามอย่างเต็มที่

ลี้มกโช้วเห็นหุบเขาสูงๆ ต่ำๆอยู่เบื้องหน้า จึงคิดเร่งฝีเท้า เข้าไปใกล้ด้วยคิดว่าหากเข้าไปถึง ก็จะสามารถหลบซ่อนตัวได้โดยง่าย
แม้นางได้ยิน เซียวเล่งนึ้งบอกว่า ทารกนี้มิใช่บุตรของตน แต่กลับเห็นเอี้ยก้วยไล่ติดตามไม่เลิกราเช่นนี้ ก็แน่ใจว่า
ทารกนี้เป็นบุตรของคนทั้งสองเป็นแน่  จึงคิดว่าขอเพียงมีทารกนี้อยู่ในมือ ก็จะขู่บังคับให้เซียวเล่งนึ้ง และเอี้ยก้วย
มอบคัมภีร์กระบี่ดรุณีหยกออกมา

ทั้งสามวิ่งมายังพื้นดินสูงต่ำของหุบเขา รอบข้างมีแต่ป่าที่เริ่มรกครึ้มขึ้นเรื่อยๆ  ราชครูกิมลุ้นเห็นภูมิประเทศเป็นเช่นนั้นก็คิดว่า
หากปล่อยให้แม่ชีนางนี้หลุดรอดไป ก็ยากที่จะหาตัวนางได้อีก จึงร้องออกไปว่า

"สตรีนางนั้น  จงเร่งปล่อยทารกมาให้เรา หาไม่แล้วจะหาว่าเราเหี้ยมโหดกับเจ้ามิได้แล้ว"


ลี้มกโช้ว ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเสียงใสดังก้องกังวาน แล้วเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก

ราชครูกิมลุ้นบังเกิดความร้อนใจ มิอาจปล่อยให้นางหลุดพ้นเงื้อมมันไปได้ จึงขว้างกงจักรเงินออกไปในทันที
กงจักรเงินหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ เปล่งประกายเป็นสีรุ้งเงินวาววับ แล้วพุ่งเข้าใส่เบื้องหลังของลี้มกใช้ว

ลี้มกโช้วรู้สึกถึงกระแสพลังอันรุนแรงกำลังพุ่งเข้ามายังเบื้องหลังตนอย่างรวดเร็วเช่นนั้น  ก็มิอาจทำเป็นไม่สนใจได้
จึงหันหลังกลับมา พร้อมกับสะบัดแส้ปัด หมายจะฟาดใส่กงจักรให้ล่องลอยกลับออกไป แต่นางสังเกตเห็นกงจักรนั้น
พุ่งเข้ามาด้วยพลังอันรุนแรงยิ่งนัก  หากกระทำดังเช่นที่คิดไว้ เกรงว่าแส้ปัดของตนจะขาดลง จึงกระทำเพียงเบี่ยงร่างหลบ
ออกไปทางด้านข้างให้กงจักรนั้นลอยผ่านร่างของนางไป 

ราชครูกิมลุ้นเห็นเช่นนั้นก็รุกไล่กระชั้นเข้ามาอีก พร้อมกับขว้างจักรทองเหลืองในมือตามติดออกไป กงจักรทองเหลืองหมุนวน
ทอประกายสีเหลืองทองอย่างประหลาดพุ่งตรงไปยังร่างของลี้มกโช้วอย่างรวดเร็ว

ลี้มกโช้วเห็นอำนาจจู่โจมอันรุนแรงของกงจักรนั้น ก็มิกล้าบุ่มบ่ามเข้าปะทะโดยตรง นางกระทำเพียงบิดร่างอันอ้อนแอ้น
หลบกงจักรทองเหลืองที่จู่โจมเข้ามา   แต่ในครั้งนี้กงจักรทองเหลืองหาเป็นเช่นกงจักรสีเงินไม่ มันกลับหมุนวนกลับมา
ยังร่างของนางอีกครั้งคล้ายดั่งมีชีวิต  ลี้มกโช้วสะกิดเท้าด้วยวิชาตัวเบาอันล้ำเลิศ ส่งร่างของตนลอยขึ้นสู่เบื้องบน
กงจักรสีทองนั้นก็หมุนวนกลับมาอีกครั้งในระหว่างที่ร่างของนางกำลังล่องลอยลงมา  ลี้มกโช้วเร่งพลังลมปราณใช้ปลายเท้า
แตะที่กงจักรนั้น ดีดร่างของตนสูงขึ้นไปอีกครั้งอย่างว่องไว

ในระหว่างที่ลี้มกโช้วกำลังหลบหลีกกงจักรอยู่นั้น ราชครูกิมลุ้น ก็ติดตามมาจนใกล้จะถึงตัวของนาง  ลี้มกโช้วเห็นเช่นนั้น
ก็สะบัดแส้ปัดของนางออกไปบังเกิดเป็น เข็มเงินนับร้อยเล่มพุ่งเข้าสู่ดวงตาของราชครูกิมลุ้น




ราชครูกิมลุ้นเห็นเช่นนั้น ก็ขว้างจักรตะกั่วอันสุดท้ายในมือออกต้านรับเข็มทองเหล่านั้น แลัวโผเข้ารับจักรเงินและทอง
ที่ลอยวนเข้ามาไว้ในมือ แล้วตรงเข้าจู่โจมใส่ลี้มกโช้วอย่างหักโหม  ลี้มกโช้วปัดป่ายแส้ปัด ตอบโต้พลางทะยานร่างล่องลอยอยู่ไปมา
เพื่อผ่อนคลายน้ำหนักของกงจักรของราชครูกิมลุ้น ซึ่งฟาดเหวี่ยงออกมาด้วยพลังข้อมืออันหนักหน่วง



ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังต่อสู้กันจนผ่านไปสิบกระบวนท่า เอี้ยก้วยก็ติดตามมาทันแล้วหยุดยืนโคจรลมปราณพักผ่อน
มองดูทั้งคู่ปะทะฝีมือกันเพื่อหาจังหวะเข้าช่วงชิงทารกในอ้อมกอดของลี้มกโช้วคืน เอี้ยก้วยยิ่งมองดูก็ยิ่งทราบว่าไม่ว่าทั้งด้านกำลังภายใน
และพลังฝีมือ ราชครูกิมลุ้นต่างก็เหนือกว่าลี้มกโช้วอยู่ขั้นหนึ่ง และยิ่งในยามนี้ลี้มกโช้วกลับมีทารกน้อยอยู่ในมือ ก็ยิ่งตกอยู่ในสภาวะเป็นรอง

ลี้มกโช้วยิ่งต่อสู้ ก็ยิ่งถูกราชครูกิมลุ้นกดดันจนต้องถดถอยไปทีละก้าว  สถานะการณ์ของนางเริ่มตกเป็นรองอย่างชัดเจนขึ้น
จนตอนหนึ่งราชครูกิมล้น ฟาดจักรทองเข้าสู่ทรวงอกของนาง แต่เมื่อเห็นทารกน้อย ก็ระงับยับยั้งไว้ แล้วหันไปโจมตีจุดอื่น
ลี้มกโช้วเห็นเช่นนั้นก็ตระหนักว่า นักบวชผู้นี้มิต้องการทำร้ายทารกน้อยผู้นี้  จึงคิดนำมาเป็นเครื่องกำบัง แล้วตอบโต้กลับ
พอถึงช่วงคับขัน ก็ยกร่างทารกน้อยนั้นขึ้นรับการจู่โจมจากราชครูกิมลุ้น  ราชครูกิมลุ้นก็ยั้งมือไว้แล้วกลับกลาย
เป็นฝ่ายถูกนางตอบโต้กลับอย่างหนักหน่วง

เอี้ยก้วยจับตามองดูคนทั้งสองต่อสู้กันด้วยความวิตก เกรงว่าจะเกิดอันตรายขึ้นต่อทารกน้อย จึงคิดที่จะหาจังหวะเข้าไปขัดขวาง
และช่วงชิงทารกน้อยนั้นคืนมา

ราชครูกิมลุ้นต่อสู้ไปพลางครุ่นคิดไปพลางที่จะหาวิธีแก้ลำลี้มกโช้วที่ใช้ทารกน้อยนี้เป็นเครื่องกำบัง จึงบังเกิดความคิดขึ้นวูบหนึ่ง
แม้ว่าวิธีนี้จะไม่สมกับเป็นชายชาตรี แต่ไหนเลยจะต้องใส่ใจ  มือซ้ายของมันถือจักรเงินพุ่งออกไปยังร่างของลี้มกโช้ว
ลี้มกโช้วเบี่ยงร่างหลบไปทางขวา แต่กลับถูกมือขวาของราชครูกิมลุ้นถือจักรเงินฟาดออกมา จนอยู่ในท่าโอบกอดร่างของนางไว้ 
ลี้มกโช้วมีใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นด้วยความอับอาย เอ่ยปากด่าทอราชครูกิมลุ้นอย่างคับแค้นว่า

"ไอ้โจรหัวโล้น ใช้กระบวนท่าอันชั่วร้าย มิสมกับอยู่ในเพศบรรพชิต "


แล้วนางก็หันหลังกลับคิดจะผละออกไปจากอ้อมแขนของราชครูกิมลุ้น  เป็นเวลาเดียวกับที่เอี้ยก้วยสะอึกร่างเข้ามา แล้วใช้สองมือ
ช่วงชิงทารกน้อยออกจากทรวงอกของลี้มกโช้ว ลี้มกโช้วเห็นเช่นนั้นก็รั้งร่างของทารกน้อยนั้นกลับเข้ามายังทรวงอกของตน
แต่มือของเอี้ยก้วยกับถูกรั้งตามมาด้วย แล้วสัมผัสเข้ากับทรวงอกทั้งสองของนาง

เอี้ยก้วยมีใบหน้าแดงระเรื่อขึ้น เมื่อรับรู้ถึงความเต่งตึงและหยุ่นนิ่มจากทรวงอกทั้งสอง แต่ลี้มกโช้วกลับไม่รู้สึกตัว ยังคงเหนี่ยวรั้ง
ร่างของทารกน้อยกลับคืนมาด้วยความรุนแรง

ทันใดนั้นราชครูกิมลุ้นก็โอบแขนเข้ามากอดรัดร่างของนางไว้ที่เบื้องหลัง ลี้มกโช้วพยายามสลัดร่างให้หลุดจากอ้อมกอดของราชครูกิมลุ้น
ก็ยิ่งทำให้มือของเอี้ยก้วยสัมผัสเข้ากับเต้าทั้งสองของนางอย่างแนบแน่น   เอี้ยก้วยจึงครุ่นคิดขึ้นว่าหากไม่ใช้วิธีล่วงเกินนาง
คงไม่ได้ทารกน้อยนี้คืนเป็นแน่ มันจึงสอดมือลงไปในอกเสื้อของลี้มกโช้ว แล้วสัมผัสเข้ากับเนื้อแท้อันหยุ่นนิ่มของนาง
พลางบดบี้คลึงเค้นแล้วกล่าวออกมาว่า

"อาจารย์ป้า ใยท่านจึงรั้งมือข้าพเจ้าไว้ที่ทรวงอกของท่าน"


ลี้มกโชว้ถูกกระทำเข้าเช่นนั้นก็บังเกิดความอับอาย เปล่งเสียงด่าทอเอี้ยก้วยขึ้นว่า

"เอี้ยก้วย...เจ้ามันชั่วช้านัก...."




แล้วปล่อยมือที่โอบรัดร่างของทารกน้อยนั้นออก เอี้ยก้วยถือเป็นโอกาสอันเหมาะสมจึงรีบคว้าร่างของทารกนั้นออกมาเข้าสู่อ้อมอกของตน
ราชครูกิมลุ้นครั้นเห็นว่าทารกน้อยตกไปสู่มือของเอี้ยก้วย  ซึ่งกำลังจะผละหนีไป มันจึงทะยานร่างเข้าขวางสะกัดทางหนีไว้
แล้วจู่โจมใส่ด้วยกงจักรทั้งสองในมือ 

เอี้ยก้วยกวัดแกว่งกระบี่อย่างรวดเร็ว จนบังเกิดเป็นรังสีกระบี่แผ่เป็นม่านเข้าปกคลุมร่างไว้  แล้วหันหลังกลับคิดจะผละหนีไปอีกทาง
กลับถูกลี้มกโช้วเข้าขวางสกัดไว้อีกทาง พร้อมกับกล่าวว่า

"เอี้ยก้วย เจ้าเด็กชั่ว จะเร่งหนีไปใย จงทดลองต่อสู้กับหลวงจีนรูปนี้ดูก่อนแล้วค่อยว่ากล่าวสิ่งอื่น"


ทันใดนั้นกงจักรเงินของราชครูกิมลุ้น ก็พุ่งเข้ามาที่ใบหน้าของเอี้ยก้วยห่างออกไปไม่ถึงเชี้ยะ จนเอี้ยก้วยจำต้องผงะใบหน้าหลบไปยังเบื้องหลัง
พร้อมกวัดแกว่งกระบี่เข้าต่อต้านกระบวนท่าของราชครูกิมลุ้น ทั้งสองได้เคยต่อสู้กันมาหลายครั้งหลายครา จนล่วงรู้กระบวนท่าของกันและกันเป็นอย่างดี
พอลงมือปะทะกันก็ช่วงชิงความได้เปรียบด้วยความรวดเร็วในการฟาดฟันอาวุธใส่กันในทันที

เอี้ยก้วยต่อสู้กับราชครูกิมลุ้นด้วยท่วงท่าที่รวดเร็วแคล่วคล่องจนผ่านไปยี่สิบกระบวนท่า  ลี้มกโช้วชมดูแล้วก็ถึงกับลอบคำนึงด้วยความสงสัยว่า
เหตุใดเอี้ยก้วยจึงมีฝีมือที่รุดหน้าได้รวดเร็วเช่นนี้  นี่คงเป็นเพราะวิชาจากคัมภีร์กระบี่ดรุณีหยกเป็นแน่แท้ จำเราต้องแย่งชิงทารกน้อยผู้นี้
มาเป็นเครื่องต่อรองให้เอี้ยก้วยถ่ายทอดแก่เราให้จงได้

ลี้มกโช้วคิดได้ดังนั้นก็ไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเอี้ยก้วย แต่กลับยืนดูนิ่งคอยโอกาส  นางเห็นเอี้ยก้วยในมืออุ้มทารกน้อยไว้
อีกมือหนึ่งกวัดแกว่งกระบี่อย่างสุดฝีมือ  ยิ่งผ่านไปหลายกระบวนท่า เอี้ยก้วยก็เริ่มตกเป็นรองไปทุกขณะ นางจึงคิดรอคอยโอกาส
หากเมื่อใดที่เอี้ยก้วยเพลี่ยงพล้ำก็จะถือโอกาสนั้น แย่งชิงทารกไปจากอ้อมอกของเอี้ยก้วย

เอี้ยก้วยอยู่ในสภาวะคับขัน เห็นลี้มกโช้วยืนยิ้มมองดูตนต่อสู้อยู่ก็กล่าวออกมาว่า

"อาจารย์ป้า ใยท่านไม่มาช่วยข้าต่อสู้กับนักบวชหัวโล้นผู้นี้ก่อน แล้วเรื่องราวอื่นใดของเราค่อยว่ากล่าวกันในภายหลัง"


แต่ก็กลับเห็นนางยืนยิ้มนิ่งเฉยอยู่เช่นนั้น  เอี้ยก้วยต่อสู้ไปพลางก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอก เนื่องด้วยใช้กำลังภายในหักโหมจนเกินไป 
มันรู้ตัวดีว่า หากต่อสู้กับราชครูกิมลุ้นต่อไปเช่นนี้ คงต้องพลาดท่าถูกมันทำร้ายถึงตายเป็นแน่ จึงคิดหาอุบายเอาตัวรอดโดยการต่อสู้ไปพลาง
ก้าวถอยไปพลาง จนเข้าใกล้ลี้มกโช้วที่กำลังยืนดูอยู่ แล้วจึงส่งเบาะที่รองรับทรกน้อยนั้นส่งไปไปให้ลี้มกโช้ว แล้วกล่าวว่า

"ให้ท่าน"


ลี้มกโช้วยื่นมือรับทารกน้อยนั้นมาอย่างมึนงงและเหนือความคาดคิด นางไม่เข้าใจเจตนาของเอี้ยก้วยที่ทำเช่นนี้ 

ที่แท้เอี้ยก้วยคิดใช้แผนให้นางตกเป็นเป้าของราชครูกิมลุ้นแทนตน แล้วหลบออกไปยืนดูอยู่ห่างๆ ราชครูกิมลุ้นเห็นทารกน้อยอยู่ในมือของลี้มกโช้ว
ก็หันมาฟาดจักรทั้งสองเข้าใส่ลี้มกโช้วแทน

ลี้มกโช้วยังมิทันตั้งตัวได้ถนัด ก็ฟาดแส้ปัดของตนเข้าสะกัดการบุกของราชครูกิมลุ้น แล้วเหลือบมองดูเอี้ยก้วยยืนมองดูตนต่อกับราชครูกิมลุ้น
ด้วยความแค้นใจ

เอี้ยก้วยยืนดูลี้มกโช้ว ต่อสู้กับราชครูกิมลุ้น แล้วหันมองไปโดยรอบก็เห็นว่า  เวลาได้ล่วงเข้าสู่ยามเย็นใกล้จะพลบค่ำ การต่อสู้ที่ยืดเยื้อเช่นนี้
ยิ่งมิมีผลดีต่อทารกน้อยที่ต้องเผชิญกับบรรยากาศในยามค่ำมืด ที่เต็มไปด้วยละอองน้ำค้างที่รังแต่จะก่อให้เกิดความเจ็บไข้ จึงคิดคำนึงว่า
หากว่าเราไม่ลงมือช่วยเหลือก็มิเห็นหนทางที่การต่อสู้นี้จะสิ้นสุดลงเป็นแน่  จึงคิดอุบายหลอกล่อราชครูกิมลุ้นแล้วพูดขึ้นว่า

"อาจารย์ป้า  เจ้าหลวงจีนหัวโล้นนี้ต้องพิษจากกระบี่ของข้าพเจ้า เราทั้งสองจะร่วมมือกันต่อสู้กับมัน เพื่อเร่งพิษในร่างมันให้กำเริบขึ้นเถิด"


สิ้นคำเอี้ยก้วย ก็ตรงเข้าฟาดฟันกระบี่ใส่ราชครูกิมลุ้นร่วมกับลี้มกโช้วอีกทางหนึ่ง  ราชครูกิมลุ้น พอได้ยินคำของเอี้ยก้วยก็บังเกิดความกังวล
มิเป็นอันต่อสู้  มันพยายามเคลื่อนย้ายลมปราณให้น้อยที่สุดด้วยเกรงว่าพิษในร่างจะแพร่กำเริบขึ้น  จนกระบวนท่าของมันอ่อนด้อยอานุภาพลง 

ลี้มกโช้วเห็นเป็นโอกาสอันดี นางจึงเร่งเร้าแส้ปัดของนางเข้าลุกไล่ราชครูกิมลุ้นอย่างหนักหน่วง แล้วพริ้วกายผลุบหายเข้าไปยังถ้ำที่เบื้องหน้า 
ราชครูกิมลุ้นเห็นเช่นนั้นก็ถลันตามเข้าไปแต่รั้งรออยู่ที่หน้าถ้ำ มิกล้าไล่ติดตามเข้าไป เนื่องด้วยเกรงว่าจะมีกลอุบายใดซ่อนอยู่

เอี้ยก้วยเห็นเช่นนั้นก็เกรงว่าลี้มกโช้วจะทำอันตรายต่อก๊วยเซียง จึงคิดเสี่ยงชีวิตมุดติดตามเข้าไปในถ้ำนั้นทันที

ทันใดนั้นก็บังเกิดประกายแวววาวนับร้อยพุ่งออกมาจากในถ้ำ  เอี้ยก้วยจึงปัดป่ายกระบี่ขึ้นต้านรับเข็มเงินน้ำแข็งเย็นของลี้มกโช้วที่ซัดออกมา
พร้อมกับเร่งพูดขึ้นว่า

"อาจารย์ป้า นี่ข้าพเจ้าเอง"


เอี้ยก้วยย่างเท้าไปภายในถ้ำที่มีแต่ความมืดมิด แต่สายตาของเอี้ยก้วยคุ้นเคยกับความมืดเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อครั้งอาศัยอยู่ในสุสานโบราณ 
จึงสามารถมองเห็นทุกสิ่งภายในถ้ำ เอี้ยก้วยเห็นมือซ้ายของลี้มกโช้ว อุ้มทารกน้อยไว้ มือขวามีเข็มเงินน้ำแข็งเย็นเตรียมที่จะซัดออกมาอีกครั้ง
มันจึงหันหน้ากลับออกไปยังปากถ้ำเพื่อถึงแสดงความบริสุทธิ์ใจให้ลี้มกโช้วคลายใจ  แล้วกล่าวขึ้นว่า

"อาจารย์ป้า ในยามนี้พวกเราร่วมมือกันต่อต้านหลวงจีนหัวโล้นนั้นก่อนเถิด"

"เจ้าเด็กชั่ว คิดจะใช้เล่ห์เหลี่ยมใดกับข้าอีก"

"อาจารย์ป้า หากท่านกับข้ามิร่วมมือกัน ก็ยากที่จะรอดออกไปในสถานะเช่นนี้  เจ้าราชครูหัวโล้นมันคอยเฝ้าอยู่ที่ปากถ้ำเช่นนี้
พวกเราจะทำเช่นใด"



ลี้มกโช้วได้ยินเช่นนั้น ก็เห็นคล้อยตาม ลดมือที่เตรียมซัดเข็มเงินลง  และนิ่งไม่กล่าวสิ่งใดออกมา

เอี้ยก้วยสงบรออยู่ครู่หนึ่ง มิเห็นนางกล่าวสิ่งใดออกมา ก็จึงหันหน้ากลับมาแล้วแล้วติดตามลี้มกโช้วเข้าไปในถ้ำ



ฝ่ายราชครูกิมลุ้น ขณะรั้งรออยู่หน้าปากถ้ำ เห็นเอี้ยก้วยเร่งติดตามเข้าไปพลันบังเกิดเสียงกระบี่กระทบกับเข็มเงินของลี้มกโช้ว
ดังระรัวถี่จนเกิดประกายวาววับพุ่งออกมาภายนอกถ้ำ ก็เร่งกระโจนหลบเข็มพิษไปในที่ห่างออกไปทันที

ครั้นเมื่อรอดูอยู่ครู่หนึ่งก็หามีความเคลื่อนไหวอันใดเกิดขึ้นจึงร้อนใจนัก  แต่เมื่อสังเกตเห็นปากถ้ำที่เบื้องหน้าทั้งแคบและมืด
ตนเองก็มีร่างกายที่ใหญ่โต หากติดตามเข้าไปแล้วนางซัดเข็มพิษออกมาอีก ก็เกรงว่าจะมิสามารถหลบเลี่ยงได้พ้น
จึงเปล่งเสียงกล่าวออกมาว่า

"ตัวข้าเป็นนักบวช ฝึกฝนตนเองจนมิต้องกินและหลับนอนได้เป็นเวลาแรมเดือน  ข้าจะทดลองดูว่าพวกเจ้าจะสามารถอยู่ในถ้ำนั้น
ได้นานเพียงใด"


แล้วจึงทรุดกายนั่งลงทำสมาธิที่หน้าถ้ำนั้นอย่างสงบ

เวลาล่วงผ่านไปจนดวงตะวันตกดิน เอี้ยก้วยจึงก่อกองไฟขึ้นภายในถ้ำเพื่อเพิ่มความอบอุ่น ลี้มกโช้วอุ้มก๊วยเซียงไว้แนบกับทรวงอกของนาง
แล้วก้มมองดูด้วยแววตาที่รักใคร่  จนเอี้ยก้วยที่แอบลอบมองดูอยู่ถึงกับนิ่งตะลึงค้างในความงามของลี้มกโช้วในยามนี้ 
แสงจากกองเพลิงอันวับแวมต้องใบหน้างามของลี้มกโช้ว จนมองดูขาวนวลเปล่งปลั่งคล้ายดังนางมีอายุเพียงยี่สิบหกยี่สิบเจ็ด 
แววตาของนางดูอ่อนหวานยามจ้องมองทารกน้อยจนเอี้ยก้วยถึงกับลอบคำนึงอยู่ภายในใจว่า

"อาจารย์ป้าลี้มกโช้วผู้นี้ แท้ที่จริงนางก็มีความงามแลดูอ่อนหวานยิ่งนัก  หากแม้นว่านางมิมีจิตใจเหี้ยมโหดและอำมหิต
ก็จะดีอยู่ไม่น้อย  แต่ถึงอย่างไร นางก็ยังเป็นรองท่านอาของเรา"






ขณะนั้นเองลี้มกโช้วก็รู้ตัวว่าตนเองถูกเอี้ยก้วยลอบมองดูอยู่จึงหันมา แล้วสบสายตากับเอี้ยก้วย  ซึ่งในยามนี้ ในดวงตาของมันกำลังหยาดเยิ้ม
และตกอยู่ในห้วงคำนึงถึงความรักที่มีต่อเซียวเล่งนึ้ง

ครั้นเมื่อนางได้เห็นแววตาของเอี้ยก้วย ก็พลันคำนึงถึงบุรุษผู้เป็นหนึ่งเดียวในดวงใจของนาง บุรุษผู้นั้นคือ เล็กเต็งง้วน
มันผู้นั้นเคยมีแววตาเช่นเอี้ยก้วยในยามนี้ให้กับนาง ยิ่งมองดูดวงตาของเอี้ยก้วย นางก็ยิ่งบังเกิดความเจ็บปวด ลี้มกโช้วแปรเปลี่ยนดวงตา
เป็นอำมหิตฟาดฝ่ามือใส่ใบหน้าเอี้ยก้วยดังฉาดใหญ่

"เผี่ยะ........"


"อาจารย์ป้า...เหตุใดจึงตบตีข้าพเจ้า"


"เฮอะ...บรุษในโลกนี้ล้วนเลวทรามต่ำช้า  ตบเพียงฝ่ามือเดียวยังมิสาสมกับความเลวของเจ้า"


"อาจารย์ป้า  ข้ามิได้กระทำความผิดใดต่อท่าน เหตุใดจึงมากล่าวหาต่อว่าข้าเช่นนี้"


"ความผิดของเจ้าน่ะรึ   นี่อย่างไร...ทารกน้อยผู้นี้คือหลักฐานความชั่วช้าของเจ้า ที่สู่สมกับเซียวเล่งนึ้ง นังแพศยาผู้เป็นอาจารย์ของเจ้ายังไงเล่า"


เอี้ยก้วยได้ยินลี้มกโช้วกล่าววาจาเช่นนี้ก็โกรธอย่างที่สุด  แผดเสียงตวาดลี้มกโช้วออกไปว่า

"อาจารย์ป้า....ท่านอย่าได้ด่าทอ ท่านอาของข้าเป็นอันขาด  พวกเรามิเคยกระทำความชั่วดังความคิดโสมมของท่าน"


ลี้มกโช้ว แหงนหน้าหัวเราะเสียงใส แล้วกล่าวขึ้นอีกว่า

"หญิงก็แพศยา  ชายก็ชั่วช้านัก กล้ากระทำแต่มิกล้ายอมรับ  หากมิใช่บุตรของพวกเจ้า เช่นนั้นก็ปล่อยให้ข้า ฆ่ามันทิ้งเสียเถิด"


สิ้นคำลี้มกโช้วก็ยกฝ่ามือขึ้น หมายจะฟาดลงบนร่างของทารกน้อย

เอี้ยก้วยเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ  ส่งเสียงร้องห้ามขึ้นด้วยความเร่งรีบ

"อาจารย์ป้า.....อย่าได้กระทำเช่นนั้น"


ลี้มกโช้วหยุดมือ แล้วแสยะยิ้มไปให้เอี้ยก้วย 

"เจ้าจะยอมรับแล้วหรือไม่ ว่าทารกน้อยนี้คือบุตรของเจ้ากับเซียวเล่งนึ้ง  หากยังไม่ยอมรับข้าจะฆ่ามันซะ"


เอี้ยก้วยเกรงว่านางจะลงมือต่อก๊วยเซียงจริงๆ จึงรีบรับคำออกไปเพื่อหยุดยั้งนาง

"อาจารย์ป้า....ข้ายอมแล้ว.....ข้ายอมรับแล้ว......."


ลี้มกโช้วพอได้ยินเอี้ยก้วยกล่าวยอมรับออกมา แทนที่จะพอใจกลับโกรธยิ่งขึ้น เนื่องด้วยภายในก้นบึ้งของหัวใจของนาง
มีจิตริษยาต่อคู่ของเอี้ยก้วยและเซียวเล่งนึ้ง  ดวงตาของนางแฉวอำมหิตออกมาอย่างเห็นได้ชัด พลันฟาดมือที่เกร็งพลังไว้
ลงมาทารกน้อยอย่างรวดเร็ว เอี้ยก้วยซึ่งคอยเฝ้าระวังอยู่เห็นเช่นนั้น ก็ยื่นมือเข้าขัดขวาง ทั้งสองปะทะเพลงฝ่ามือกันอยู่สามสี่กระบวนท่า
ลี้มกโช้วเห็นว่านางเหลือมืออยู่ข้างเดียว อยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ จึงเคลื่อนร่างถอยห่างจากเอี้ยก้วยแล้วใช้วิชากงเล็บ
จ่อไว้ที่คอของทารกน้อย

เอี้ยก้วยเห็นเช่นนั้น ก็หยุดมือ ร้องเรียกขึ้นอย่างตกใจว่า

"อย่านะ.....อาจารย์ป้า...."



ลี้มกโช้วเห็นเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่จะใช้ทารกนี้ขู่บังคับให้เอี้ยก้วย มอบคัมภีร์กระบี่ดรุณีหยกออกมา  จึงพูดขึ้นว่า

"เอี้ยก้วย....เจ้าจงนำคัมภีร์กระบี่ดรุณีหยกมามอบให้ข้า  มิฉะนั้นข้าจะฆ่าทารกนี้ซะ"


ในยามนี้ เอี้ยก้วยไม่มีคัมภีร์ใดๆอยู่ในตัวเลย จึงบอกกล่าวไปตามความเป็นจริงว่า

"อาจารย์ป้า  ข้าหามีคัมภีร์กระบี่ดรุณีหยกไม่"


"เจ้ากลอกกลิ้ง เจ้าเล่ห์เพทุบาย ข้าหาเชื่อคำเจ้าไม่ จงมอบคัมภีร์มาให้ข้า"



เอี้ยก้วยมิรู้จะทำประการใด จึงเปลื้องเสื้อของตนออก จนท่อนบนเปลือยเปล่า แล้วกล่าวว่า

"ทีนี้ ท่านเชื่อวาจาข้าหรือไม่  หรือจะให้ข้าถอดกางเกงนี้ด้วย"



สิ้นคำเอี้ยก้วย ก็ทำท่าคล้ายดั่งจะเปลื้องกางเกงออก  ลี้มกโช้วเห็นเช่นนั้นก็ตาเบิกกว้าง ส่งเสียงออกมาว่า

"พอแล้ว  อย่ากระทำสิ่งที่ทุเรศนัยน์ตาต่อหน้าข้า  หากว่าเจ้าไม่มีคัมภีร์ ทารกน้อยนี้ก็มิมีประโยชน์อันใดสำหรับข้า"


แล้วนางก็คิดที่จะตะปบกงเล็บลงบนคอของทารกน้อย  เอี้ยก้วยเห็นเช่นนั้นร้องห้ามแล้วกล่าวว่า

"หยุดก่อนอาจารย์ป้า....ข้าสามารถจดจำเคล็ดวิชากระบี่ดรุณีหยกเอาไว้ได้"


ลี้มกโช้วหันมามองดูเอี้ยก้วยอย่างพอใจ  พร้อมกับแย้มยิ้มออกมา

"เช่นนั้น  ก็จงเร่งถ่ายทอดวิชากระบี่ดรุณีหยกต่อข้า"


เอี้ยก้วยพลั้งปากพูดออกไปเพื่อหวังหยุดยั้งลี้มกโช้วมิให้ทำอันตรายต่อก๊วยเซียง  ครั้นถูกนางเร่งรัดให้ถ่ายทอดวิชาในคัมภีร์ออกมา
ก็คิดถึงคำของเซียวเล่งนึ้งที่เคยกล่าวกับตนเองว่า วิชากระบี่ดรุณีหยกนี้ ปรมาจารย์ได้เคยกล่าวห้ามไว้มิให้ตกถึงมือของลี้มกโช้ว
จึงคิดหาอุบายให้นางมิกล้าฝึกปรือวิชานี้ จึงกล่าวออกมาว่า

"แต่ว่า.........วิชากระบี่ดรุณีหยกต้องใช้คนสองคนร่วมฝึกวิชานี้  ก่อนฝึกกระบวนท่าจะต้องฝึกกำลังภายในก่อน
แต่เนื่องจากการฝึกกำลังภายใน ตามคัมภีร์ระบุเอาไว้ว่า...จะต้อง.....เอ่ออออ......."



เอี้ยก้วยหยุดคำเอาไว้ ยังมิกล้าเอ่ยออกมา  แต่ลี้มกโช้วกลับกล่าวสวนออกมาว่า

"จะต้องเปลื้องผ้าออกทั้งหมด เพื่อผ่อนคลายความร้อนอันเกิดจากการโคจรพลังลมปราณของคนทั้งสอง
มิเช่นนั้น ธาตุไฟในร่างจะกำเริบขึ้นจนถึงแก่ความตาย ใช่หรือไม่"



เอี้ยก้วยได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับตกตะลึง  เนื่องด้วยสิ่งที่นางกล่าวออกมานั้น เป็นเคล็ดวิชาที่ระบุไว้ในคัมภีร์จริงๆ

แล้วลี้มกโช้วก็พูดขึ้นมาอีกว่า

"ข้าเคยลอบเปิดอ่านเมื่อครั้งอยู่ในสุสานโบราณ จึงจดจำในช่วงต้นของคัมภีร์ได้  หากว่าเจ้าคิดถ่ายทอดข้อความผิดเพี้ยนไปจากที่ระบุในคัมภีร์
ก็อย่าหวังว่า ชีวิตทารกน้อยผู้นี้จะยืนยาวต่อไปได้"



เอี้ยก้วยจึงกล่าวตอบไปว่า 

"นี่ท่านยังคิดให้ข้าถ่ายทอดให้อีกกระนั้นรึ  ทั้งๆที่ท่านก็รู้ว่า  ผู้ที่จะฝึกปรือวิชานี้จะต้องเปลือยกาย"


"ใช่...แต่ข้าจะให้เจ้าควักดวงตาของเจ้าออกเสียก่อน  มิเช่นนั้น ข้าจะฆ่าทารกนี้เสีย"


เอี้ยก้วยได้ยินเช่นนั้น ก็กล่าวว่า

"เช่นนั้น ข้าจะแลกชีวิตกับท่าน มิแน่ว่าทารกนั่นอาจมีหนทางรอดชีวิตอยู่บ้าง"


ลี้มกโช้วเห็นเอี้ยก้วยกล่าวออกมาอย่างหนักแน่นเช่นนั้น ก็ใคร่ครวญอยู่ภายในใจว่า

"หากเราไม่ถือโอกาสในยามนี้รับการถ่ายทอด คัมภีร์กระบี่ดรุณีหยก ต่อไปภายภาคหน้าก็ยากนักที่จะมีโอกาสเยี่ยงนี้อีก"

คิดได้เช่นนั้น ลี้มกโช้วก็กล่าวกับเอี้ยก้วยว่า

"ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะใช้ผ้าผูกตาเจ้าไว้  หากเจ้าคิดชั่วช้าลอบเปิดดูข้าจะไม่ไว้ชีวตทั้งทารกนี้และตัวเจ้า"


"หากท่านตกลงเช่นนั้นก็จงส่งคืนทารกนั้นแก่ข้าพเจ้าก่อน"


ลี้มกโช้วส่ายศรีษะ แล้วกล่าวว่า

"ข้ามิอาจวางใจเชื่อ  เจ้ามันกลอกกลิ้งนัก  ข้าจะอุ้มทารกนี้ไว้เอง"


เอี้ยก้วยต้องการให้ทารกนั้นพ้นจากเงื้อมมือของลี้มกโช้ว จึงกล่าวขึ้นว่า

"อาจารย์ป้า...หากท่านทำเช่นนั้นจะสามารถรับการถ่ายทอดวิชาในคัมภีร์ได้อย่างไรกัน  ข้าพเจ้าขอเสนอวิธีหนึ่ง
พวกเราวางทารกน้อยนี้ไว้กึ่งกลางระหว่างเรา  และพันธนาการมือของพวกเราติดกันไว้ข้างหนึ่ง หากผู้ใดคิดมิซื่อ
ก็ไม่อาจหนีรอดไปจากกันได้  ท่านเห็นว่าเป็นอย่างไร"



ลี้มกโช้วใคร่ครวญดูก็เห็นว่า หากพันธนาการมือของเอี้ยก้วยไว้กับนางก็จะเป็นการดี แม้ว่าเอี้ยก้วยจะมีอุบายประการใดก็มิอาจ
หลุดรอดไปจากนางได้ จึงกล่าวว่า

"เช่นนั้น แล้วจะทำประการใดกับเจ้าโจรหัวโล้นที่อยู่ภายนอกถ้ำ หากว่ามันบุกเข้ามา ในขณะที่พวกเราเดินลมปราณอยู่ จะมิเป็นอันตรายรึ"

เอี้ยก้วยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ขอเข็มเงินน้ำแข็งเย็นจากหลี่มกโช้วไปจำนวนหนึ่ง  แล้วนำไปปักที่พื้นดินบริเวณทางเข้าที่หน้าถ้ำ
แล้วกลบฝังพลางตาไว้ มิให้มองเห็น โดยตั้งใจว่า หากมันคิดบุกเข้ามาโดยมิทันระวังก็จะเหยียบเข็มพิษที่อำพรางเอาไว้
จากนั้น เอี้ยก้วยก็ฉีกเสื้อของตนออกโดยคิดที่จะพันธนาการมือของตนกับมือของลี้มกโช้วไว้ด้วยกัน

"อาจารย์ป้า โปรดวางทารกนั้นลงก่อน"


ลี้มกโช้ววางทารกนั้นลง แล้วฉวยเอาผ้าในมือของเอี้ยก้วยมาถือไว้แล้วกล่าวว่า

"เอี้ยก้วยเจ้าปิดตาลง ข้าจะใช้ผ้านี้ปิดตาเจ้าเสียก่อน"


เอี้ยก้วยสบตากับนางนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก็ปิดตาลงกระทำตามคำขอของนาง  ลี้มกโช้วใช้ผ้าที่ฉีกจากเสื้อของเอี้ยก้วยผูกปิดตาเอี้ยก้วยไว้
จนแน่นหนา แล้วหันมาพันธนาการมือของเอี้ยก้วยข้างหนึ่งเข้ากับมือของตนเอง  หลังจากนั้นนางก็รีรอที่จะเปลื้องผ้าของตนออก
ลี้มกโช้วเหลียวมองไปโดยรอบ แล้วหันมาดูเอี้ยก้วยอีกครั้ง นางต้องการทดสอบดูว่า เอี้ยก้วยมองเห็นนางในขณะนี้หรือไม่
จึงทดลองล้วงเข็มพิษขึ้นมาแล้วทำท่าทีว่าจะทิ่มแทงลงไปบนร่างของเอี้ยก้วย แต่ก็ไม่พบปฏิกริยาใดๆของเอี้ยก้วย
นางจึงกล่าวออกมาว่า

"เอี้ยก้วยเจ้าเปลื้องผ้าของเจ้าได้แล้ว"


เอี้ยก้วยได้ยินเช่นนั้น ก็คิดกลั่นแกล้งลี้มกโช้ว กล่าวออกมาว่า

"อาจารย์ป้า ท่านใยไม่ปิดตาของท่านด้วย หรือท่านคิดที่จะลอบมองดูข้าใช่หรือไม่"


"เอี้ยก้วย...เจ้าเด็กชั่วช้า ผู้ใดต้องการมองดูเจ้า"


แล้วนางก็คิดขึ้นได้ว่า  นางเองก็มิต้องการเห็นภาพอันอุจาดตาของเอี้ยก้วยเช่นกัน  นางจึงปิดตาลงจนสนิท

จากนั้นทั้งสองก็เริ่มเปลื้องผ้าตนเองจนเปลือยเปล่าไปทั้งร่าง   แล้วทรุดกายนั่งลงหันหน้าเข้าหากัน
ลี้มกโช้วบังเกิดความอับอายจึงเร่งให้เอี้ยก้วยเริ่มถ่ายทอดวิชาให้แก่นาง  แต่เอี้ยก้วยต้องการตรวจสอบดูก่อนว่าทารกน้อย
นั้นยังเป็นปกติตามข้อตกลงหรือไม่ จึงทดลองใช้มือคลำที่ตัวก๊วยเซียงดูก็คลายใจ ครั้นจะชักมือกลับก็ได้คิดว่า ลี้มกโช้ว
ไม่กล่าวคำใดออกมาในยามที่ตนใช้มือคลำก๊วยเซียง ก็มั่นใจว่านางได้ปิดตาลงแล้ว


ในขณะที่มันชักมือกลับ เอี้ยก้วยก็ลอบดันแถบผ้าที่ปิดตาตนเองให้ร่นขึ้นด้วยความรวดเร็วยิ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า

"อาจารย์ป้า พวกเราจะประสานมือทั้งสองเข้าด้วยกัน แล้วท่านกระทำตามคำบอกของข้า"


ลี้มกโช้ว กระทำตามคำบอกของเอี้ยก้วย ยกสองมือขึ้นมาประสานกับมือของมัน แล้วโคจรลมปราณจากฐานที่ท้องน้อย
ไปยังจุด ซินซู     เซินจู้  และ เซิ่นซู ตามข้อความที่ระบุไว้ในคัมภีร์กระบี่ดรุณีหยกทุกประการ  จนทำให้ลี้มกโช้วซึ่งพอที่จะจดจำ
ข้อความในคัมภีร์ในช่วงแรกได้อยู่ คลายความระแวงสงสัยลง แล้วมุ่งสมาธิไปกับการควบคุมลมปราณให้โคจรตามจุดต่างๆ

ผ่านไปหลายชั่วยาม เอี้ยก้วยคาดคะเนว่า นางได้เข้าสู่สมาธิในการโคจรลมปราณแล้ว ก็ลอบนำข้อความในช่วงท้ายของคัมภีร์
มาสับเปลี่ยนกับช่วงต้นแล้วบอกให้นางกระทำตาม ครั้นเห็นว่าเวลาผ่านไปครู่ใหญ่แล้ว ก็มิเห็นมีสิ่งใดผิดปกติก็เกิดความสงสัยนัก
จึงลอบเปิดเปลือกตาขึ้นมองดูจนพบ ร่างเปลือยเปล่าขาวผุดผ่องของลี้มกโช้ว ต้องกับแสงแห่งกองเพลิงที่ส่องสว่างจนชัดถนัดตา
ดวงตาทั้งสองของมันจับจ้องนิ่งค้างที่ถันอันกลมกลึงประดับด้วยปลายยอดสีชมพูทั้งสอง ที่กำลังเคลื่อนไหวตามจังหวะลมหายใจเข้าและออกของนาง
แล้วไล่สายตาลงมายังหน้าท้องที่แบนราบ มาจนถึงช่วงเอวอันคอดกิ่ว แล้วหยุดจับจ้องนิ่งอยู่ที่เนินสวาทซึ่งกำลังเบ่งบานจากท่านั่งของนาง
มันถูกปกคลุมด้วยไหมสีดำอ่อนละเอียด แต่ก็ยังสามารถมองเห็นกลีบสวาทที่กำลังเปิดแย้มออก จนมองเห็นติ่งเนื้อน้อยได้อย่างชัดเจน
พลันมันก็มิอาจควบคุมจังหวะการหายใจได้เป็นปกติจนลี้มกโช้วรู้สึกได้กล่าวออกมาว่า

"เอี้ยก้วย เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ ใยลมปราณของเจ้าจึงติดขัดไม่ต่อเนื่องเช่นนี้"




เอี้ยก้วยตกใจแทบสิ้นสติ รีบควบคุมลมปราณของตนให้กลับมาเป็นปกติแล้วกล่าวตอบนางไปว่า

"ข้าไม่เป็นอะไรมาก อาจารย์ป้าเพียงแต่บาดเจ็บเล็กน้อยจากการต่อสู้กับราชครูหัวโล้นนั่น แล้วท่านเล่าเป็นเช่นไรบ้าง"


แต่เอี้ยก้วยกลับไม่ได้คิดฟังคำตอบจากนาง มันเพ่งดูใบหน้าอันงดงามของลี้มกโช้วซึ่งในยามนี้กำลังปิดตาสนิท
จมูกของนางโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากที่งามได้รูป มันพบเห็นนางแต่ในชุดนักบวชจนชินตา และไม่คาดคิดว่า แท้ที่จริงแล้ว
อาจารย์ป้าผู้นี้ยามไร้อาภรณ์ใดๆปกปิดเรือนร่าง กลับงดงามเกินความคาดคิดของมันยิ่งนัก

เอี้ยก้วยปิดตาลงอีกครั้ง แล้วพยามยามรวบรวมสมาธิประสานลมปราณกับนางอีกครั้ง  แต่ก็มิอาจกระทำได้อย่างต่อเนื่อง
ภาพเรือนร่างอันเปลือยเปล่าของลี้มกโช้ว ปรากฏอยู่ในห้วงความคิดของมันจนมิอาจระงับสติให้กลับมาเป็นดังเดิมได้
จนในที่สุดมันก็ลอบเปิดเปลือกตาขึ้นมองดูอีกครั้ง  แต่กลับพบว่าลี้มกโช้วกลับมีอาการสั่นกระตุกไปทั้งร่างแล้วล้มลงสิ้นสติไป
มือของนางที่พันธนาการติดอยู่กับมือของเอี้ยก้วยก็รั้งร่างของมันให้ล้มลงติดตามร่างของนางไป

เอี้ยก้วยตกใจยิ่งนักจ้องมองใบหน้าของนางแล้วส่่งเสียงเรียกขึ้น

"อาจารย์ป้า....อาจารย์ป้า....ท่านเป็นเช่นไรบ้าง "


ที่แท้ลี้มกโช้วบังเกิดอาการลมปราณแตกซ่าน เนื่องด้วยข้อความที่ระบุไว้ในคัมภีร์ให้ใช้คนสองคนเดินลมปราณสอดประสาน
ซึ่งกันและกัน แต่เอี้ยก้วยกลับเสียสมาธิมิได้โคจรลมปราณประสานกับนางในหลายขณะ จนบังเกิดลมปราณของนางโคจรตีกลับ
และแตกซ่านไปทั่วร่างกาย

เอี้ยก้วยพยายามร้องเรียกนางอยู่เป็นเวลานาน นางก็ยังมิรู้สึกตัว จนทันใดนั้นมันก็เริ่มรู้สึกตัวว่า ร่างของตนเองทาบทับร่าง
อันเปลือยเปล่าของลี้มกโช้วอยู่ จนรับรู้ได้ถึงความหยุ่นนิ่มและอบอุ่น  เอี้ยก้วยกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัวแล้วก้มลงสำรวจดู
เรือนร่างของตนเอง ก็เห็นว่าทรวงอกของมันกดทับอยู่บนถันอันเต่งตึงทั้งสองของนาง  ใบหน้าของมันก็ห่างจากใบหน้าของนาง
เพียงสองสามคืบ มันใกล้ชิดจนได้กลิ่นกายของนางซึมซาบผ่านลมหายใจของมัน จนทำให้มันเคลิบเคลิ้มและก่อเกิดราคะขึ้น
และที่ยิ่งไปกว่านั้น มันรู้สึกได้ว่าแก่นกายของมันได้ทาบทับลงบนเนินสวาทของนางพอดี

เอี้ยก้วยสุดจะหักห้ามใจมิให้ก่อเกิดราคะ แก่นกายของมันยิ่งนานก็ยิ่งพองโตขึ้น  ช่วงเอวของมันเริ่มเคลื่อนย้ายส่ายไปมา
จากแรงผลักดันตามธรรมชาติแห่งความเป็นบุรษเพศ  เนินสวาทของลี้มกโช้วถูกแก่นกายของเอี้ยก้วยกดทับและบดคลึงไปมา
จนไหมสีดำขลับของนางถูกก่อกวนจนยุ่งเหยิง  ยิ่งกระทำเอี้ยก้วยก็ยิ่งบังเกิดความซ่านเสียวรัญจวนใจ จนมันลืมตัวใช้ขาทั้งสอง
ของมัน ผลักดันขาทั้งสองของนางให้อ้ากว้างออก เป็นผลให้กลีบสวาททั้งสองของนางแย้มเปิดออกจนแก่นกายของเอี้ยก้วย
ทาบทับลงไปในร่องสวาทของนางทันที

มือของเอี้ยก้วยข้างหนึ่งถูกพันธนาการติดอยู่กับมือของนาง  ส่วนอีกข้างก็เลื่อนมาเค้นคลึงที่ทรวงอกอันเต่งตึงทั้งสอง พร้อมกับ
ใช้ปลายจมูกของมันซุกไซ้ดอมดมที่เต้าถันทั้งสอง สติของเอี้ยก้วยในตอนนี้ถูกราคะครอบงำไว้จนหมด มันเหลือเพียงความต้องการ
ที่จะเชยชมเรือนร่างอันงดงามของลี้มกโช้วเท่านั้น

เอี้ยก้วยอ้าปากงับปลายยอดถันของลี้มกโช้วไว้แล้วดูดกินอย่างหื่นกระหาย  พร้อมกายเคลื่อนย้ายท่อนล่างของมันบดบี้กับเรือนร่าง
ของนางมากขึ้น จนในที่สุดส่วนหัวแห่งแก่นกายของมันก็จ่ออยู่ที่ปากทางแห่งคูหาสวรรค์ของนาง และเตรียมที่จะมุดหายเข้าไป

----------


ที่ลานกว้าง หน้าโรงเตี๊ยม กลางเมืองต้าตู

ดรุณีน้อยนางนั้นหยุดนิ่งมิเล่าเรื่องต่อ  หันไปมองนักเลงสุราโต๊ะนั้นที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ เคลิบเคลิ้มดื่มด่ำไปกับเรื่องเล่าของนาง
และแล้วบรุษผู้หนึ่งในโต๊ะนั้นก็กล่าวขึ้นมาว่า

"แม่นางน้อย....ใยจึงหยุดเล่าเรื่องเสียเล่า โปรดเร่งเล่าต่อเถิด"


ดรุณีน้อยนางนั้นแย้มยิ้ม แล้วชี้มือไปยังบรุษผู้กล่าวคำท้าต่อนาง แล้วกล่าวออกมาว่า

"ผู้ที่เล่าเรื่องต่อจากนี้ ต้องเป็นท่าน  หากว่าท่านเล่าเรื่องต่อจากข้าได้  ก็ถือว่าท่านเป็นผู้ชนะ"


ฝูงชนที่ซึ่งในขณะนี้มากันมาล้อมวงรับฟังเรื่องเล่าของดรุณีน้อย ต่างรู้สึกคั่งค้างต้องการรับฟังเรื่องของนางต่อ
พอได้ยินเช่นนั้นก็พากันส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความไม่พอใจกันโดยสิ้น

"ฮูยยยย......ไม่เอา....ไม่เอา....พวกเราจะฟังเรื่องที่แม่นางผู้นี้เล่า...."


แม้บุรุษผู้กล่าวคำท้าต่อนางเอง ก็รู้สึกคั่งค้างอยากฟังดรุณีน้อยผู้นี้เล่าต่อเช่นกัน  จึงกล่าวออกมาว่า

"ข้ายอมแพ้ต่อเจ้า  แม่นางน้อยจงรับเงินนี้ไว้แล้วโปรดเร่งเล่าเรื่องต่อด้วยเถิด"


ดรุณีน้อยนั้นยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน  ใช้มือรวบเก็บถุงเงินนั้นไว้ แล้วเริ่มเล่าเรื่องต่อดังนี้

-----------


ทันใดนั้นก็บังเกิดเสียงของคนผู้หนึ่งร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด  มันคือเสียงของราชครูกิมลุ้นที่ตัดสินใจลอบเดินเข้ามาในถ้ำ
ด้วยเห็นว่า มิเห็นความเคลื่้อนไหวของคนทั้งสองอยู่นานแล้ว มันคิดสงสัยว่าที่ส่วนลึกภายในถ้ำอาจจะมีทางออกสู่ภายนอก
และคนทั้งสองได้หลบหนีหลุดรอดไปจากเงื้อมมือของมันแล้ว  แต่ในขณะที่มันกำลังเดินเข้ามา พลันรู้สึกว่ามีเข็มกำลังทิ่มแทง
เข้ามาที่ฝ่าเท้าของมัน ด้วยความที่มีนิสัยหวาดระแวงอยู่แล้ว มันจึงเร่งถอนฝ่าเท้ากระโดดกลับออกไปด้วยวิชาตัวเบา
แต่ถึงกระนั้นก็สร้างความเจ็บปวดให้แก่มันอย่างมากจนถึงกับ ร้องมาด้วยความเจ็บปวดอย่างลืมตัว พร้อมกับด่าทอเอี้ยก้วยอย่างรุนแรงว่า


"เอี้ยก้วย....อุบายชั่วช้าเช่นนี้ต้องเป็นเจ้าโดยแน่แท้...หากว่าข้าพบเจอเจ้า ข้าจะบดขยี้มิให้เจ้าเหลือแม้เพียงเถ้ากระดูก"

แล้วราชครูกิมลุ้นก็ทรุดร่างลงนั่งด้วยความเจ็บปวดยิ่ง  มันพิจารณาดูบาดแผลที่ฝ่าเท้าพบเป็นรอยสีม่วงคล้ำก็ทราบว่าต้องพิษเข้าแล้ว
จึงจี้สกัดจุดตนเองไว้ แล้วโคจรลมปราณปิดกั้นจุดต่างๆในร่าง เพื่อสกัดพิษมิให้แผ่ซ่านเข้ามาในร่างของมัน



ในขณะนั้น นีมอซิง ยอดฝีมืออีกผู้หนึ่งของข่านแห่งมองโกล ได้เข้ามาพบราชครูกิมลุ้น นั่งอยู่ที่ปากถ้ำจึงร้องถามขึ้นว่า

"ท่านราชครู ใยจึงมานั่งเพียงผู้เดียวอยู่ ณ ที่นี่  ข้าเห็นท่านไล่ติดตาม เอี้ยก้วยกับก๊วยเจ๋งมามิใช่หรือ"


ราชครูกิมลุ้นมิอยากกล่าวให้มากความ ด้วยเกรงว่า นีมอซิงจะล่วงรู้ว่าตนกำลังได้รับบาดเจ็บอยู่ จึงบุ้ยปากไปที่ปากถ้ำ
แล้วนั่งหลับตาลงดังเดิม  นีมอซิงเห็นดังนั้นก็เข้าใจว่า เอี้ยก้วยแบกร่างของก๊วยเจ๋งหลบหนีเข้าไปอยู่ในถ้ำ จึงเร่งติดตามเข้าไป
อย่างยินดี ด้วยหวังว่าจะได้รับความดีความชอบอย่างใหญ่หลวง


ขณะนั้นเอี้ยก้วยพลันกลับมามีสติอีกครั้ง จึงเร่งคืนร่างออกจากการทาบทับร่างของลี้มกโช้ว  แล้วครุ่นคิดหาทางรอด
จากสถานการณ์คับขันอย่างเร่งด่วน  มันครุ่นคิดอยู่ว่าหากราชครูกิมลุ้นฝ่าเข้ามาได้ในตอนนี้มันคงจะต้องพบกับความยากลำบากนัก 
เนื่องด้วยลี้มกโช้วยังคงหลับไหลไม่ได้สติทั้งยังมีทารกน้อยก๊วยเซียงอีก

มันจึงเร่งแก้ผ้าที่พันธนาการมือของมันกับลี้มกโช้วออก แล้วตัดสินใจใช้ผ้าที่เหลืออยู่ ห่อพันร่างของก๊วยเซียงแล้วสะพายไว้ที่เบื้องหลัง
พร้อมกับประคองร่างเปลือยเปล่าของลี้มกโช้วขึ้นพาดบ่าแล้วเดินหายเข้าไปในเบื้องลึกของถ้ำนั้นอย่างรีบเร่ง  เพื่อให้รอดพ้นจากสายตา
ของราชครูกิมลุ้นไว้เป็นเบื้องแรก

ฝ่ายนีมอซิงเนื่องจากเป็นชนพื้นเมืองมีภูมิลำเนาอยู่กับทะเลทราย จึงมีฝ่าเท้าที่หนาและหยาบกร้านยิ่งนัก มันเดินบุกฝ่าเข้าไปในถ้ำ
แล้วถูกเข็มพิษที่เอี้ยก้วยวางกับดักไว้ที่ปากทาง  ปักเข้าที่ฝ่าเท้าของมันหลายเล่ม แต่มันกลับมิรู้สึกตัว มันเร่งเดินเข้าไปในถ้ำด้วยหวัง
ความดีความชอบเป็นที่ตั้ง  ครั้นเข้าไปภายในถ้ำกลับแลเห็นความเคลื่อนไหวคล้ายกับมีคนกำลังหลบหายเข้าไปยังส่วนลึกภายใน
จึงหยิบไม้ติดไฟจากกองเพลิงที่เอี้ยก้วยก่อไว้ ติดมือมาแล้วคิดจะติดตามไป  แต่ทันใดนั้นมันก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวดที่ฝ่าเท้าเป็นอย่างยิ่ง
นีมอซิงมีความโลภในชื่อเสียงลาภยศยิ่งสิ่งใด มันจึงฝืนทนต่อความเจ็บปวดเร่งติดตามเอี้ยก้วยเข้าไปภายในถ้ำ

ภายในถ้ำยิ่งลึกเข้าไปก็ยิ่งมืดมิด หากเป็นผู้อื่นก็คงมิอาจจะเดินต่อไปได้หากไม่ใช้แสงเพลิงนำทาง  แต่สายตาของเอี้ยก้วยคุ้นชิน
กับความมืดมิดเช่นนี้เป็นอย่างดี มันจึงเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ  จนได้ยินเสียงหนึ่งแว่วเข้ามากระทบกับประสาทหูของมัน 

เอี้ยก้วยหยุดนิ่งฟังอยู่ครู่หนึ่งก็ทราบว่าเป็นเสียงของน้ำที่ไหลตกกระทบกับแผ่นหิน  มันหยั่งทราบได้ทันทีว่าถ้ำแห่งนี้มีทางออก
ไปยังเบื้องนอกเป็นแน่แท้ จึงเร่งเดินตามเสียงของน้ำนั้นไป 

เอี้ยก้วยยิ่งเดินลึกเข้าไป เสียงตกกระทบของน้ำก็ยิ่งดังชัดขึ้นเรื่อยๆ  ขณะนั้นเวลาได้ล่วงผ่านเข้าสู่เช้าวันใหม่ แสงแห่งดวงตะวันเริ่มสาดส่องจับขอบฟ้า
และสาดแสงส่องทะลุลงมายังถ้ำแห่งนั้น  เอี้ยก้วยมองดูที่เบื้องหน้าเห็นเป็นแสงสว่างอยู่ลึกเข้าไปไม่ไกลนัก  ก็มั่นใจว่านั่นคือทางออกของถ้ำแห่งนี้ 
จึงเร่งฝีเท้าก้าวตรงเข้าไป 

ในที่สุดมันก็มาหยุดยืน ณ ที่สุดปลายทางของถ้ำแห่งนั้น ครั้นมองออกไปก็เห็นว่าปากถ้ำแห่งนี้ เป็นแหล่งรวมธารน้ำภายในถ้ำ
แล้วไหลลงสู่เบื้องล่างอันสูงจากพื้นดินมากนัก หนทางที่จะเดินออกไปทั้งลื่นและสูงชัน ขณะที่มันกำลังลังเลใจอยู่นั้นก็ได้ยินฝีเท้าของคนกำลัง
ติดตามมา เอี้ยก้วยจึงตัดสินใจเสี่ยงเดินไต่ลงไปซ่อนตัวยังพื้นหินที่โผล่ยื่นออกมา ณ ใต้ชะง่อนผาปากถ้ำแห่งนั้น

นีมอซิงฝืนทนต่อความเจ็บปวด เดินติดตามมาจนถึงปากถ้ำแล้วยืนมองสำรวจดู  แต่แล้วพิษในร่างของมันก็กำเริบขึ้นจนมิอาจหยัดยืนต่อไป
มันล้มลงเกลือกกลิ้งร่ำร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แล้วฝืนกำลังยันกายขึ้นนั่งโคจรลมปราณสกัดพิษอยู่ ณ ที่นั้น

เอี้ยก้วยแบกร่างของลี้มกโช้วมาตลอดทางจนรู้สึกเหนื่อยล้า จึงวางร่างของนางลงยังพื้นหินที่ซ่อนตัว แล้วทรุดตัวลงนั่งพักผ่อน
แต่ครั้นทอดสายตามายังร่างเปลือยเปล่าของลี้มกโช้ว ที่นอนหงายร่างอยู่ต่อหน้ามันเช่นนั้น แก่นกายของมันก็กลับชี้ชันขึ้นอีก
มันเพ่งมองส่วนสัดต่างๆของนางอย่างเต็มตา แล้วหวนคิดถึงคืนที่ผ่านมา ก็บังเกิดอารมณ์เสียวซ่านก่อกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง
มือของเอี้ยก้วยลูบไล้ไปตามเรียวขาของลี้มกโช้ว แล้วไต่สูงขึ้นไปจนเกาะกุมเนินสวาทอันโหนกนูนเอาไว้  นิ้วของมันทาบ
ลงบนรอยผ่ากลางเนินอันโคกนูนนั้น แล้วทิ้งน้ำหนักลงจนนิ้วของมันจมลึกหายลงไปในโพรงสวาทของนาง 

เอี้ยก้วยถูกราคะเข้าครอบงำจนขาดสติอีกครั้ง มันวนนิ้วมือเวียนอยู่ไปมาในโพรงสวาทของนาง จนเริ่มรู้สึกว่าบังเกิดความชื้นแฉะ
เกิดขึ้น แล้วติดตามมาด้วยอาการตอดรัดนิ้วมือของมัน

ลี้มกโช้วมีอาการคล้ายกับตกอยู่ในห้วงภวังค์คล้ายจริง คล้ายฝันว่านางได้อยู่พลอดรักอยู่เพียงลำพังกับ เล็กเต็งง้วน ชายในดวงใจของนาง
นางถูก เล็กเต็งง้วน จู่โจมล่วงล้ำเข้าที่เนินสวาทจนนางบังเกิดความซ่านเสียวอย่างที่สุด  ปากของนางก็พร่ำเพ้อว่า

"อย่า...เต็งง้วน...อย่ากระทำข้า....อ้าาาาา.......ซี๊ดดดด......เต็งง้วน......อย่าาาาา"


พร้อมกับบิดกายอยู่ไปมาด้วยความซ่านเสียว  เอี้ยก้วยจ้องมองดูอาการของนางด้วยความเคลิบเคลิ้มและยิ่งก่อเกิดกำหนัด
แก่มันมากขึ้น มันคำนึงอยู่แต่ภายในว่า

"อาจารย์ป้า คงมีความรักต่อ เล็กเต็งง้วน ผู้นี้เป็นอย่างมาก แม้ตกอยู่ในห้วงภวังค์ก็ยังคงคิดถึงคนผู้นี้  จำเราจะช่วยให้นางได้สมหวัง
ในความรักสักครา"





เอี้ยก้วยคิดได้ดังนั้น ก็เคลื่อนกายเข้ายังหว่างขาของนาง แล้วจับเรียวขาทั้งสองของนางอ้าออก จนมองเห็นเนินสวาทของนาง
แย้มเปิดออกอย่างเต็มตา แล้วมันก็ซุกใบหน้าลงดอมดม ลิ้มรสเนินสวาทของลี้มกโช้วตามอารมณ์กำหนัดอันคุกรุ่นของมัน
ปลายลิ้นของเอี้ยก้วยตวัดโลมเลียไปมา สลับกับสอดลึกลงไปในโพรงสวาทของนาง จนลี้มกโช้วบังเกิดปฏิกิริยาตอบโต้ออกมาอย่างชัดเจน
สะโพกของนางถูกยกขึ้นมา จนล่องลอยขึ้นจากพื้นแอ่นเข้าหาปากของมัน พร้อมเปล่งเสียงคร่ำครวญออกมาด้วยความซ่านเสียวอย่างที่สุด

"ฮ๊ายยยยยย........อ๊ายยยยยยยยย...........ซี๊ดดดดดดดดดด...........อ๊ายยยยยยย.........เต็งง้วน....ข้าจะขาดใจแล้ว..........
โอ้ววววววว.......เต็งง้วน......ซี๊ดดดดดดด.......ข้าเสียว...........ซี๊ดดดดดดด................."



เสียงของนางทั้งกระเส่า  ทั้งแหบพร่าและสั่นเครือ คล้ายกับว่าจะขาดใจลงไปจริงๆ  เอี้ยก้วยยิ่งมองเห็นอาการของนางเป็นเช่นนั้น
ความอดทนของมันก็ขาดสะบั้นลง มันคร่อมกายขึ้นทาบทับร่างของนาง และคิดที่จะสอดแก่นกายของมันลงไปในเนินสวาทของลี้มกโช้ว
ขณะที่ส่วนหัวแก่นกายของมันกำลังจะผลุบหายเข้าไปในร่องสวาทของนางอยู่นั้น พลันลีมกโช้วก็ลืมตาขึ้นใช้ฝ่ามือทั้งสองยันทรวงอกของเอี้ยก้วยไว้
แล้วร้องขึ้นอย่างตระหนกสุดขีดว่า

"เอี้ยก้วย.....เจ้าคิดจะทำสิ่งใด"


แล้วนางก็เกร็งพลังฝ่ามือฟาดใส่ทรวงอกของเอี้ยก้วยในทันที  เอี้ยก้วยมีปฏิกริยาว่องไวนักพลิกร่างเบี่ยงหลบออกข้าง ครั้นพอคิดขึ้นได้ว่าที่เบื้องหลัง
มีก๊วยเซียงอยู่ ก็ยันร่างตนเองลุกขึ้นยืน  ลี้มกโช้วครั้นพ้นจากการทาบทับของเอี้ยก้วยก็ดีดร่างขึ้นยืนแล้วจู่โจมใส่เอี้ยก้วยด้วยความคลั่งแค้น

"เอี้ยก้วย ..เจ้าชั่วช้ายิ่งนัก...วันนี้เจ้าต้องตายด้วยน้ำมือข้า"


"อาจารย์ป้า โปรดฟังข้าก่อน........"


แผ่นหินที่คนทั้งสองยืนอยู่ เป็นหินปูนที่มีขนาดคับแคบแต่พอที่จะรับน้ำหนักคนทั้งสองได้  แต่ในยามนี้คนทั้งสองกลับต่อยตีกัน จนหินปูนนั้นเริ่มแตกแยก
เป็นรอยร้าวเกิดขึ้น จนในที่สุดขอบของแผ่นหินนั้นก็หลุดร่วงลงสู่เบื้องล่าง คงเหลืออยู่แต่ส่วนในที่ลี้มกโช้วยืนอยู่  เอี้ยก้วยซึ่งยืนอยู่บริเวณขอบนอกของแผ่นหิน
รีบเคลื่อนกายหลบเข้ามายั่งส่วนใน  ลี้มกโช้วเห็นดังนั้นก็ยกเท้าขึ้นหมายจะยันร่างมิให้เอี้ยก้วยเคลื่อนกายเข้ามา แต่เอี้ยก้วยกลับคว้าจับเท้าของนางไว้ได้ทัน
แล้วยกสูงขึ้นพร้อมกับดันร่างของตนเข้ามาแล้วสวมกอดร่างของลี้มกโช้วเอาไว้

ลี้มกโช้วรู้สึกอับอายยิ่งนัก เนื่องด้วยในยามนี้เอี้ยก้วยรั้งขาของนางไว้ข้างหนึ่ง แล้วแนบชิดร่างของมันเข้ามาจนแก่นกายของมัน ได้ทิ่มแทงมาถึงเนินสวาทของนาง
ที่กำลังเปิดอ้าออก  ทั้งพื้นที่ที่ยืนอยู่ก็คับแคบและเสี่ยงต่ออันตรายนัก อีกทั้งด้วยท่วงท่าเช่นนี้นางก็มิอาจหลบหนีไปไหนได้ จึงได้แต่ร่ำร้องด่าเอี้ยก้วยออกมาด้วยความโกรธ
และความอับอายว่า

"เจ้าเด็กชั่วช้า จงอย่าได้แตะต้องร่างกายของข้าเป็นอันขาด  ข้ามิใช่เซียวเล่งนึ้ง หญิงแพศยาที่เจ้าจะมากระทำเช่นนี้ได้"


เอี้ยก้วยได้ยินเช่นนั้น ก็บังเกิดความโกรธอย่างที่สุด แผดเสียงตอบโต้ลี้มกโช้วออกไปทันทีว่า

"อาจารย์ป้า....ข้าเคยบอกท่านแล้วใช่หรือไม่ ว่าอย่าได้ด่าทอท่านอาของข้าเป็นอันขาด แต่ท่านก็หาได้รับฟังคำขอของข้าไม่
เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะทำให้ท่านเป็นหญิงแพศยา เช่นดังที่ด่าทอท่านอาของข้า ดูซิว่าท่านจะกล้าว่ากล่าวท่านอาของข้าอีกหรือไม่"


สิ้นคำ เอี้ยก้วยก็รั้งเรียวข้างหนึ่งของนางให้สูงขึ้นอีก พร้อมกับเบียดแทรกช่วงล่างของมันเข้ามาจนแนบชิดกับนาง แก่นกายของเอี้ยก้วย
ถูกผลักดันเข้ามาจนส่วนหัวจมหายไปในร่องสวาทของลี้มกโช้ว   

"อย่านะ....เอี้ยก้วย....เจ้าอย่าดันเข้ามาเป็นอันขาด....อย่าาาาาาาาา.......อย่าาาาาาาาาาาาาาาา.."


 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

Seraphia13

จะว่าไปพี่เอี้ยเราก็ทำตัวน่าสงสัยตลอดเลยเรื่อง ญ


................................................

ใครจะอ่านผลงานทุกโพสต์ในห้องนี้ ถ้าทำตามกติกา-เงื่อนไขนี้ไม่ได้ แล้วรีพลายมักง่ายผ่านไปที หรือ รีพลาย ขอบคุณครับ,ขอบคุณ,
ขอบคุณค่ะ,ติดตามครับ,สนุกมากครับ,ติดตามต่อ.
อะไรประมาณนี้ จะแบนเลยนะ ขอบคุณมากๆครับ ก็ไม่ต้อง thank,
thank you,thx
ขี้หมาหลายแหล เหล่านี้ก็อย่าให้เห็น จัดรูดแบนไปยาวๆถ้าเจอ นี่เป็นข้อตกลงไว่ก่อนอ่านระหว่างเจ้าของงาน กับสมาชิก ::Angry::
ถ้า รีพลายผิดเงื่อนไขมาหรือ โชว์พาล์วอยู่มานาน โชว์เก๋า โชว์สด โชว์เกรียน ทำมึนลองมาจะแบนเลย เพื่อสมาชิกอีกส่วนที่พร้อมทำตามกติกา
::Cheeky:: เพราะไม่เช่นนั้น รีพลายคุณอาจทำให้ สมาชิกที่ปฏิบัติตามพลอยอดอ่านไปด้วย ฉะนั้นไม่แน่ใจ อย่าพิมพ์เอามักง่ายมั่วๆ..
ถ้าคิดว่า กฏนี้มันยากก็ไปหาที่อื่นเสพนะ อย่าเข้ามาใช้มาอ่านงานที่ห้องนี้ อ๋อ ใครโดน pm เตือนถ้ายังมึนจะแบนจาก 6 เดือนเป็น 1 ปี. .


กฎที่วางนี่ไม่ได้เขียนเอา ฮา เนอะ แบนจริงใครอยู่นานแล้วคงรู้จัก แว่น ดี..คิดว่า ฉัน
แบนจริงหรือเตือนเอาสนุกเล่นๆ..อย่าๆลอง เดี๋ยวจะเสียความรู้สึกด้วยรีพลายคุณเอง
ทำตามเงื่อนไข ยากอะไร หรือ จะโชว์เกรียน..เตือน,ขอร้อง,ขอความร่วมมือ
แล้วเมื่อไม่รักษาสิทธิ์-ประโยชน์คุณเอง ก็แบนไปใช้เวปอื่น.
.


................................................................................................................


huangdi

พูดถึงลี้มกโช้ว น่าจะจัดได้ว่าเป็นตัวละครอาภัพตัวนึงเลย ไม่สมหวังในรัก แถมคนไม่ค่อยพูดถึงด้วย

ได้มามีบทบาทแบบนี้จัดได้เยี่ยมเลย เพราะในหนังสือก็บรรยายความงาม แถมในหนังแต่ละเรื่องก็จัดว่าเด็ดทั้งนั้น

senyugi


sakurako

เเต่งได้ดีมากครับ เรื่องที่พี่เเต่งผมอ่านทุกเรื่องเลยครับ สนุกมาก อยากให้เเต่งเเนวกำลังภายในอีกนะครับ

ijuinrei

แต่งได้ดีมากเลยครับ เอี้ยก้วย สมเป็นพระยาเทครัว จริงๆ โดยเฉพาะภาพอาจารย์ป้า แหล่มมากเลย

naitoom

เห็นด้วยจริงๆ ซีรีย์นี้ แคสนักแสดงลีมกโช้ว มาเพื่อฆ่าบทเซียวเล่งนึงจริงๆ

Ureal


ปิยะพงษ์.


azerothx

คิดเหมือนกันเลยครับ เป็นเอี้ยก้วย จะจับทำเมียซะให้หมด มีหลายคนด้วยสิ ::DookDig::

pong pong

 ::Glad::เรื่องนี้ก็มัน พอๆกับยอดยุทธสะท้านบู้ลิ้ม แต่ยอดยุทธมันกว่า

Farewell

เอี้ยก๊วยร้ายจริงๆ ผมเคยดูเวอร์ชั่นนี้แล้วชื่นชอบ ลี้มกโชวมาก ทั้งสวยทั้งน่ารัก ขอบคุณที่เอามาดัดแปลงครับ

ROCKY_BOY

เอี้ยก้วย ฟาดอาจารย์ป้า เลยหรือเนี่ย อิจฉา อิจฉา

number0

 เอี้ยก้วยสอนเคล็ดวิชาจนอาจารย์ป้า สำเร็จสุดยอดวิชา เลื่อมใสๆ

cosmos789

ลีม้กโช้วเวอร์ชันนี้ จะโดนกว่าเซียวเหล่งนึ่งอึกครับ