ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_saradio

กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 11

เริ่มโดย saradio, กรกฎาคม 01, 2017, 07:48:34 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

saradio

   หลังจากที่เราได้พักค้างคืนที่หมู่บ้านร้างคืนหนึ่ง ในวันรุ่งขึ้นก็เดินทางต่อ ใช้เวลาถึงสี่ห้าวันกว่าจะเห็นทางถนนที่ใช้สัญจรไปเมืองซีหลง เมื่อเริ่มมาเดินทางบนถนนแล้ว ก็เริ่มจะพบเห็นผู้คนที่ใช้ถนนสัญจรบ้างก็ควบม้าสวนทางไป บ้างก็เห็นอยู่ข้างหน้าเดินทางไปในทิศทางเดียวกัน
   ยิ่งเดินทางเข้าไปใกล้เมือง ผู้คนยิ่งขวักไขว่ ไม่นานก็เห็นกำแพงเมืองซีหลงอยู่เบื้องหน้า และที่หน้าประตูนั้น ก็มีชาวบ้านยืนออต่อแถวเพื่อรอการอนุญาตให้เข้าเมือง พวกเราก็พากันลงจากลังม้า จูงม้าเดินไปต่อแถวด้วย
   ในตอนนั้นเห็นเหตุการณ์ที่ไม่เป็นปกติ ชาวบ้านนับร้อยคนไม่สามารถเข้าเมืองได้ พากันนั่งร้องไห้อยู่รอบๆบริเวณ ผมนึกสงสัยจึงสะกิดคนข้างหน้าสอบถามว่าเป็นเรื่องราวใด คนนั้นจึงบอกว่า
   "คนพวกนี้คือคนที่อพยพมา ไม่มีเงินจ่ายค่าภาษีผ่านเข้าเมือง จึงเข้าเมืองไม่ได้ พวกนี้ไม่มีที่ไป จึงได้แต่มานั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่หน้าประตูเมืองเพื่อขอความเห็นใจ"
   ที่แท้หลังจากเปลี่ยนแปลงเจ้าเมืองเป็นตั๋งโต๊ะ มันเห็นว่าคนอพยพเข้าเมืองมามากเกินไป คนที่อพยพมาส่วนมากล้วนเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว เมื่อเข้ามาในเมืองแล้วประสบปัญหาประชากรล้นเมือง หลายคนหางานอะไรทำไม่ได้ ก็เป็นคนจรจัดอยู่ในเมืองเที่ยวก่อคดีฉกชิงวิ่งราว ลักเล็กขโมยน้อย อยู่บ่อยๆ จนสร้างปัญหาอยู่เนื่องๆ มันจึงออกนโยบาย กวาดล้างคนจรจัดขับไล่ออกจากเมือง และกีดกันพวกอพยพอย่างพวกคนจรหมอนหมิ่นที่ไม่มีเงินทองหรือสมบัติอะไรติดตัว ที่คิดจะเข้ามาทำมาหากินในเมืองเพื่อตั้งรกรากใหม่ โดยใช้กำแพงภาษีเป็นตัวคัดกรองบุคคลที่อพยพมา ว่ามีศักยภาพเพียงพอที่จะสามารถเข้ามาอยู่อาศัยในเมืองได้หรือไม่ และภาษีที่มันตั้งเอาไว้ สูงถึง 30 ตำลึงต่อหัว
   เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกผมมีกันสามคน นับแล้วต้องจ่ายถึง 90 ตำลึงซึ่งเป็นเงินที่มากพอควร ซึ่งหากจ่ายเงินจำนวนนี้ไป ถึงจะได้เข้าเมือง เราก็ไม่มีเงินเหลือพอที่จะสามารถไปลงทุนตั้งตัวทำอะไรได้ ผมจึงถอยออกมาตั้งหลักก่อน
   อาเจินถามผมว่า
   "แล้วทีนี้เราจะทำอย่างไรกันดี"
   ตูตู้หลุน ต้องพูดระบายอารมณ์อย่างหัวเสียว่า
   "เรียกเงินกันขนาดนี้ อย่างนี้มันปล้นกันชัดๆ"
   ผมตอนนั้นกำลังครุ่นคิดแก้ไขหาวิธี เห็นได้ชัดว่าหากเราต้องจ่ายเงินขนาดนี้ ต่อให้ได้เข้าเมืองไปก็เปล่าประโยชน์ สู้เอาเงินที่ต้องจ่ายเพื่อเข้าเมืองไปเป็นทุน หาที่เหมาะๆ สักที่หนึ่งในระยะทางไม่ไกลจากเมือง ตั้งรกรากอาศัยอยู่ดีกว่า ตอนนี้ภัยจากโจรผ้าเหลือง ก็ลดทอนลงไปแล้ว ก็ไม่น่าจะมีภัยอันตรายมากนัก อาเจินกับตูตู้หลุนก็ต่างเห็นด้วย
   พวกเราจึงขี่ม้าไปสำรวจหาพื้นที่ และได้พบกับพื้นที่หนึ่งที่มั่นเหมาะ มันอยู่ใกล้ลำธารแหล่งน้ำ และมีพื้นที่ราบพอทำการเกษตร และเลี้ยงวัวเลี้ยงแกะได้ เราจึงคิดจะตั้งรกรากกันที่นี่
   พวกเราเริ่มสร้างที่พักกันง่ายๆ ก่อนเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราว จากนั้นผมก็เริ่มออกแบบบ้าน ตามหลักวิศวกร ก่อสร้างบ้านดินที่แข็งแรง บ้านดินนั้นสร้างง่ายหากมีวัตถุดิบเพียบพร้อม เป็นพื้นฐานการสร้างบ้านตั้งแต่สมัยโบราญนับหลายพันปี จนมาถึงปัจจุบันก็ยังมีการสร้างกันอยู่ และถูกพัฒนาให้ดีขึ้น และก่อสร้างได้ง่ายขึ้น แม้จะมีคนน้อย
   ผมเองก็ใช้หลักวิศวกรรมสมัยใหม่ ในการสร้างบ้านดินนี้ เริ่มจากการออกแบบให้ทำได้ง่ายแต่แข็งแรง และการวัดการคำนวณที่ลงตัว และการใช้การทุนแรงตามหลักกลศาสตร์ งานจึงเดินไปอย่างราบลื่น ผ่านไปแค่สองอาทิตย์บ้านก็เสร็จเป็นรูปเป็นร่าง สามารถเข้าไปอาศัยอยู่ได้ และผมก็ยังทำกำแพงดินสูงล้อมเป็นรั่ว เพื่อป้องกันภัยจากสัตว์ร้ายหรือโจรอีกด้วย เมื่อเราได้ที่อยู่สบายแล้ว ผมอดคิดถึงคนที่อพยพเข้าเมืองไม่ได้พวกนั้น ดังนั้นคิดไปชักชวนให้มาอยู่เป็นชุมชน ตอนนี้ภัยแล้งหมดไปแล้ว พวกนั้นสามารถมาทำนาปลูกข้าว ทำสวนทำไร่ได้ที่นี่ จึงกลับไปที่หน้าประตูเมืองชักชวนคนเหล่านั้นให้มาอยู่ด้วย
   คนพวกนั้นไร้ที่พึงพิง ไม่มีที่ไปก็พากันตามผมมา แล้วเราก็ช่วยกันจัดสร้างชุมชนขึ้น ผมใช้เงินที่มีไปซื้อเมล็ดพันธ์พืช ซื้อไก่ ซื้อแกะ มาเลี้ยง
   แรกๆ ความเป็นอยู่ยังอัตคัด ผลผลิตยังไม่มี ต้องใช้วิธีหากินจากการล่าสัตว์ หาอาการตามป่ามาแบ่งกันกิน แต่พอผลผลิตเริ่มออกดอกออกผล ความเป็นอยู่ก็เริ่มสุขสบาย ทุกคนมีอาการการกินอุดมสมบูรณ์ และผมก็ยังวางแผนให้ที่นี่เป็นชุมชนยั่งยืน โดยชวนชาวบ้านทำอ่างเก็บน้ำไว้ตอนหน้าแล้ง และทำระหัดวิดน้ำ ส่งน้ำเข้าพื้นที่เกษตร และทำโรงโม่แป้งใช้แรงกลจากน้ำที่หมุนระหัด
   ผ่านไปหนึ่งปี ทุกคนเห็นผมพัฒนาที่นี่ด้วยหลักความคิดแยบยล จัดสรรสร้างชุมชนได้ด้วยหลักแนวคิดแปลกใหม่ จนหมู่บ้านเจริญงอกงาม จึงยกย่องให้ผมเป็นนักปราชญ์ ให้เป็นผู้นำชุมชน ให้ความเคารพนับถือผมอย่างยิ่ง
   อาเจินเห็นดังนั้นจึงบอกผมว่า
   "พี่เจ๋ง เมื่อชาวบ้านยกย่องท่านเป็นนักปราชญ์แล้ว ก็ไม่ควรใช้ชื่อเล่นให้เรียกหา สมควรใช้ชื่อจริง เพื่อสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูล"
   ผมนึกแปลกใจ ถามว่า
   "เอ๋... เหวินเหอ นี่เป็นชื่อเล่นหรอกรึ แล้วชื่อจริงของข้าคืออะไร"
    "ท่านมีชื่อจริงเป็นคำพยางค์เดียวเรียกเหมาะสมกับแซ่ ชื่อของท่านคือ เซี่ยง ผู้คนควรเรียกท่าน ว่า กาเซี่ยง"
   ผมฟังแล้ว ก็เพราะเรียกง่ายดี จึงพยักหน้ารับ และเริ่มใช่ชื่อนี้ ตั้งแต่นั้นมา ชาวบ้านจึงเรียกผมว่า กาเซี่ยง

may_290607908

ตอนนี้ยังนึกไม่ออกว่าพระเอกเป็นใครอิอิ

br007

ขอบคุณนะครับ

พี่กาเซี่ยง สุดยอดเลยคร้าบ

n2610

ยิ่งอ่านยิ่งน่าติดตาม งานเขียนที่ผสมผสานได้สุดยอด

nsrichantamit


kaithai


nonane

กาเซียง กุนซือ มากนายหรอกเหรอ
พระเอกเรามาจากอนาคตทั้งที เปลี่ยนอดีตหน่อยสิ 555

navy868

ต่อไปพระเอกจะมีความสำคัญกับประวัติยังไง   ยังนึกไม่ออกเลย... ::Hmmm::

crazylex

กาเซี่ยง หนึ่งในกุนซือของโจโฉ ฉลาดไม่เป็นรองขงเบ้ง เป็นคนแนะนำเตียวสิ้วสวามิภักดิ์กับโจโฉ น่าจะใช่คนนี้นะ

oddsk


tanee

สั้นไปนิดนะครับ แต่ก็จะรอดูตั้งโต๊ะว่าจะมาทำอย่างไร

therasak

น่าสนใจคุณชายกาคงได้มีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ จะไปทางบุ๋นกับอีสตรีหรือบู๊กับบุรุษคงได้ลุ้นกัน

tetete

การพัฒนาที่ดีต้องพัฒนาอย่างยั่งยืน สุดยอดมากครับ

cd13579

ถือว่าตัวพีคอยู่ รอดูค่อว่าเส้นทางสู่อำนาจจะเป็นเช่นไร ตั้งโต๊ะยังไม่แผลงฤทธิ์เลย
ใครหื้อใครซ่า ข้าแบนเรียบ

Seraphia13

พี่เล่นตั้งชุมชนกลางดงความวุ่นวายเลยเรอะ  ::Sweat::