ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_saradio

กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 14

เริ่มโดย saradio, กรกฎาคม 04, 2017, 07:53:51 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

saradio

   เมื่อผมเข้าเมืองแล้ว ก็ไปหาท่านผู้ตรวจการเมือง งิวฮู เพื่อรายงานตัว   งิวฮูจึงให้ผมทำงานในตำแหน่งหัวหน้าดูแลด้านการเกษตรของเมืองที่สร้างเสบียงเลี้ยงกองทัพ เพราะงิวฮูนั้นไม่เพียงเป็นผู้ตรวจการเมือง ยังมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพดูแลด้านการเสบียงในกองทัพของตั๋งโต๊ะด้วย
   และนั่นเป็นเหตุผลที่งิวฮูอยากได้ผมมาช่วยงาน เพราะเห็นแนวคิดการทำการเกษตรที่หมู่บ้านของผม ที่มีการพัฒนาบริการจัดการแหล่งน้ำได้อย่างโดดเด่น ส่งผลให้มีผลผลิตการเกษตรอุดมสมบูรณ์ งิวฮูจึงคิดให้ผมมาปรับปรุงระบบการทำเกษตรของกองทัพด้วย
   ผมความจริงก็ไม่ได้รู้เรื่องการเกษตรมาตั้งแต่ต้น เพราะไม่ได้เรียนมาทางนี้ แต่ที่รู้ได้เพราะตอนสร้างหมู่บ้าน ได้คลุกคลีกับชาวนาและศึกษาค้นคว้าหาวิธีเพิ่มผลผลิตการเกษตร โดยลองผิดลองถูก ใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมโยธาสมัยใหม่เข้าช่วย เช่น การปรับพื้นที่ดิน การสร้างเขื่อนฝายทดสำรองน้ำ การขุดคลองชลประทาน สร้างท่อส่งน้ำจากท่อดินเผา และทำเครื่องไม้เครื่องมือการเกษตรที่ทำให้ทำงานได้สะดวกไม่ต้องใช้แรงงานคนมาก
   และผลจากความสำเร็จที่หมู่บ้านนั้นเอง ทำให้ผมตอนนี้ก็ไม่แตกต่างจากผู้ชำนาญงานคนหนึ่ง เมื่อได้รับมอบหมายย่อมมั่นใจว่าทำได้ เลยขอตัวออกไปตรวจตราดูแปลงเกษตรของกองทัพ เพื่อหาข้อมูลนำไปพัฒนาเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น
   ผมใช้เวลาอยู่หนึ่งเดือนเพื่อลงพื้นที่ศึกษาหาข้อมูล จากนั้นก็เริ่มวางแผนจัดการ คิดวิธีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่กี่เดือนต่อมาการเปลี่ยนแปลงก็เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่าง และระบบชลประทานก็มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมจนสามารถเพิ่มพื้นที่การเกษตรออกไปได้อีก
   งิวฮู พอมาเห็นก็ชอบใจเป็นอันมาก กล่าวชมไม่ขาดปาก ตั้งให้ผมขึ้นเป็นเลขาและที่ปรึกษาส่วนตัว และรับผมเข้าไปอยู่ในจวนแม่ทัพของมันด้วย ผมจึงได้ย้ายที่อยู่จากที่พักนอกเมือง เข้าไปอยู่ในจวนแม่ทัพของ งิวฮู
   งิวฮูนั้นมีภรรยาอยู่สามคน และในภรรยาทั้งสามคนนั้น มีทั้งบุตรชายและบุตรสาว หนึ่งในบุตรสาวของงิวฮูนั้น เป็นสตรีผู้หนึ่ง นามว่า งิวอี้หลาง เกิดกับภรรยาคนแรกที่เป็นลูกสาวของตั๋งโต๊ะ
   งิวอี้หลางนั้นเป็นเด็กสาววัย 12 ปี มีหน้าตาน่ารักและสวยหมดจรดงดงาม อีกทั้งยังมีสติปัญญาเฉียบแหลม ช่างพูดช่างเจรจา และชอบศึกษาหาความรู้ นางจึงเป็นบุตรสาวอันเป็นที่รักของงิวฮู และยังเป็นหลานสาวที่โปรดปรานของตั๋งโต๊ะควบคู่ไปกับหลานสาวอีกคนหนึ่ง ที่ชื่อ ตั๋งไป่
   เมื่อผมย้ายเข้ามาอยู่ในจวน  งิวฮูเห็นผมเป็นคนมีความรู้กว้างขวาง จึงให้ผมเป็นอาจารย์สอน งิวอี้หลาง ในยามว่างด้วย
   งิวอี้หลางนั้นนอกจากหนังสือในตำราแล้ว นางยังชอบเรื่องความรู้รอบตัว จึงมักมีเรื่องมาสักถามผมบ่อยๆ แน่นอนสิ่งที่ผมบอก บางเรื่องไปขัดแย้งกับที่นางเคยเรียนรู้มา เช่นนางคิดว่าโลกนี่มีแผ่นดินใหญ่แค่แผ่นดินเดียว นอกนั้นเป็นเกาะเล็กเกาะน้อยและพื้นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ โลกมีลักษณะเหมือนชามข้าวคว่ำบนจาน เบื้องบนเป็นท้องฟ้า เบื้องล่างคือพื้นแผ่นดินและมหาสมุทร พระอาทิตย์และดวงจันทร์ หมุนรอบโลก
   ดังนั้นเราจึงมีเรื่องโต้แย้งพูดคุยกันมาก เพราะต้องอธิบายให้นางเข้าใจ ภายหลังผมรู้สึกว่าผมพูดมากไป เพราะผมบอกนางว่า คนสามารถขึ้นไปเหยียบบนดวงจันทร์ ยานพาหนะสามารถบินได้บนท้องฟ้า และเรือสามารถดำลงไปในน้ำ พอคิดได้ว่า คนสมัยนี้ได้ยินเรื่องแบบนี้ คงคิดว่าผมบ้าแน่ๆ เลยต้องบอกกำชับ งิวอี้หลางว่า สิ่งที่พูดสอนไปนั้นอย่านำไปบอกใคร หากไม่ทำตามที่บอก จะไม่เล่าอะไรในนางฟังอีก
   งิวอี้หลาง ฟังเรื่องที่ผมสอนเล่า รู้สึกสนุกเหมือนฟังนิทาน ดังนั้นย่อมอยากฟังอีก จึงไม่นำไปเล่าให้ใครฟัง
   แต่ภายหลังกลับพาเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันอีกผู้หนึ่งมาเรียนด้วย เด็กสาวคนนั้นก็คือ ตั๋งไป่
   ตั๋งไป่นั้นเป็นหลายสาวคนโปรดของตั๋งโต๊ะอีกคนหนึ่ง นางมีนิสัยเหย่อหยิ่ง อวดดี และเอาแต่ใจ เพราะถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจ เนื่องจากอยู่กับตั๋งโต๊ะ วันนี้นางตั้งใจมาเล่นกับ งิวอี้หลาง แต่ผมก็ว่างงานพอดีไม่มีอะไรทำ ก็เลยเรียก งิวอี้หลางมาเรียน งิวอี้หลางเป็นเด็กมีความรับผิดชอบ เมื่อถึงเวลาผมเรียกให้เรียน นางก็ย่อมมาเรียน
   ตั๋งไป่ ถึงนางจะร้ายกาจปานใด แต่กับ งิวอี้หลางแล้ว นางจะยอมให้หลายส่วน เมื่องิวอี้หลางต้องการเรียน ตั๋งไป่ก็ขัดไม่ได้ จำต้องตามมาเรียนด้วย
   เด็กสาวทั้งสองคนจึงมาอยู่ในห้องหนังสือในเวลานี้  แต่ตั๋งไป่เมื่อเข้ามาเรียนแล้ว กลับไม่ได้คิดจะเรียน มักหาเรื่องก่อกวนมากกว่า เพื่อให้ผมเลิกสอน งิวอี้หลางจะได้ไปเล่นกับนาง ผมรู้สึกชักรำคาญโมโหจึงตวาดไล่ ตั๋งไป่ ออกจากห้อง
    ตั๋งไป่ จึงโมโหตวาดว่า
   "เจ้าเป็นเพียงขุนนางชั้นต่ำ กลับกล้าตวาดใส่เรา วันนี้เราไม่สั่งสอนเจ้า เราก็ไม่แซ่ตั๋ง"
   พลันวิ่งออกไปจากห้องหนังสือ พอกลับมาอีกที ในมือถือกระบี่ ปรี่เข้ามาในห้อง ผมเห็นนางเป็นเด็กสาวอายุแค่ 12-13 แม้ในมือถือกระบี่ก็ไม่นึกกลัว เข้าใจว่านางเอามาแค่ข่มขู่ จึงยืนประจันหน้าไม่หลบหนี ตั๋งไป่ ตั้งใจเอามาข่มขู่จริงๆ เมื่อเข้ามาแล้ว เห็นผมไม่กลัว ไม่หลบหนี ก็เอากระยี่ชี้หน้า พูดว่า
   "เหอะ หากเจ้าไม่คุกเข่าขอขมา วันนี้เราจะฟันเจ้าสักแผล หากเจ้าสำนึกผิดขอขมา เราจะยกโทษให้"
   ผมฟังแล้ว แสยะยิ้มพูดว่า
   "เจ้าเป็นเด็กผู้หญิงอายุแค่นี้ พอไม่ได้ดังใจก็ใช้อารมณ์ เที่ยวถือกระบี่ข่มขู่ผู้คน ทำตัวเหมือนคนขาดการอบรมสั่งสอน โตไปจะไม่ร้ายกาจกว่านี้อีกรึ"
   ตั๋งไป่ ได้ยินก็โกรธจัด เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีผู้ใด กล้ายืนกล่าววาจาด่านางอย่างนี้มาก่อน พลันสะบัดกระบี่ฟันโดยไม่ทันคิด ปลายกระบี่ฟาดฟันเข้าหน้า ผมตกใจดึงตัวหลบแต่กลับไม่พ้น โดนปลายกระบี่กรีดหน้าเลือดอาบเป็นทางยาว งิวอี้หลางเห็นดังนั้นก็กรีดร้อง ตั๋งไป่ก็ตกใจไม่น้อย ไม่คิดว่าจะโดด อันความจริงตั้งใจฟาดฟันข่มขู่ไปเท่านั้น ยามกะทันหันกลับยืนนิ่งไม่ได้พูดอะไร
   เสียงกรีดร้องของ งิวอี้หลาง เรียกงิวฮูรีบมายังห้องหนังสือ พอเห็นเหตุการณ์ก็ตกใจ รีบบอกให้คนเรียกหมอมาดูผม พร้อมกับเอากระบี่ในมือของตั๋งไป่ออก แล้วกล่าวตำหนิว่า
   "ตั๋งไป่ ไฉนเจ้าถึงลงมือทำร้ายคนรุนแรงเยี่ยงนี้"
    ตั๋งไป่กลับร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนมีโมโห พูดแก้ตัวว่า
   "ก็มันดุด่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงสั่งสอนมัน น้าเขย ข้าพเจ้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ข้าพเจ้าจะกลับไปหาท่านปู่"
     นางพูดจบก็วิ่งออกไป เหมือนต้องการหลบเลี่ยงความผิด โดยที่งิวฮูก็ห้ามไม่ทัน หลังจากนั้นหมอประจำจวนแม่ทัพก็มาถึงพาผมไปรักษา โชคยังดีที่แผลไม่ลึกนัก แต่ก็เกิดเป็นรอยแผลเป็นจางๆให้เห็นเป็นทางยาว
   ตั้งแต่วันนั้น ตั๋งไป่ก็ไม่มาที่จวนนี้อีก หากนางคิดจะมาเล่นกับ งิวอี้หลาง ก็มักจะส่งคนมานัดแนะไปเจอกันข้างนอก
   เรื่องนี้จึงสอนให้ผมรู้ว่า ในยุคสมัยนี้อย่าปากดีกับลูกหลานคนมีอำนาจ ไม่อย่างนั้นจะคอขาดไม่รู้ตัว เพราะพวกเขาสามารถฆ่าผมได้โดยที่เอาผิดอะไรไม่ได้

   หลังจากนั้นไม่นาน ก็เกิดข่าวร้าย เมื่อฮ่องเต้ได้เสด็จสวรรคตแล้ว แม่ทัพโฮจิ๋นผู้เป็นพี่ชายของอัครมเหสีโฮฮองเฮา จึงรีบชิง สถาปนาโอรสองค์โต หองจูเปียน ผู้เป็นหลาน ขึ้นฮ่องเต้สืบต่อ ด้วยฮ่องเต้ หองจูเปียนอายุยังน้อย แม่ทัพโฮจิ๋นผู้ศักดิ์เป็นพระอัยยิกา จึงตั้งตัวเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ทำให้แม่ทัพโฮจิ๋น มีอำนาจทั้งทางทหารและทางราชสำนัก เมื่อโฮจิ๋นมีอำนาจแล้ว จึงคิดจะปราบขันทีทั้งสิบ เพราะเห็นเป็นเภทภัยราชสำนักและบ้านเมือง จึงนำเหล่าขุนนางและแม่ทัพในวัง พร้อมทหารส่วนหนึ่งบุกไปจับตัวสิบขันที โดยอ้างว่า ขันทีทั้งสิบเป็นพวกฉ้อฉนเกาะกินราชสำนัก เรียกสินบาดขาดสินบน ทำให้ราชสำนักเสื่อมโทรม จำต้องฆ่าทิ้ง
   แต่ขันทีทั้งสิบพร้อมสมัครพรรคพวกไหวตัวทันก่อน รีบพาหองจูเปียนฮ่องเต้กับ หองจูเหียบพระอนุชา หนีไปยังวังพระนางโฮฮองเฮา ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนสถานะเป็นโฮไทเฮาแล้วเพราะเป็นมารดาฮ่องเต้ เมื่อไปถึงก็วางกำลังป้องกันตำหนัก พร้อมกับเข้าไปอ้อนวอนขอร้องพระนางโฮไทเฮาให้เจรจากับโฮจิ๋นเพื่อขอชีวิต โดยปั้นเรื่องโกหกว่า เหตุทั้งหมดนั้น ไม่ได้เกิดจากพวกตน แต่เป็นเพราะหัวหน้าขันทีแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งตอนนี้พวกมันได้จับฆ่าเสียแล้วป้ายความผิดให้ พระนางโฮไทเฮาโดนหว่านล้อมจนเชื่อ จึงออกหน้าเจรจากับโฮจิ๋น แต่ก็ตกลงกันไม่ได้ ทั้งที่เป็นพี่น้องกัน
   เมื่อพระนางโฮไทเฮาไม่ยอม โฮจิ๋นนั้นก็ไม่กล้าบุกตำหนัก เพราะกลัวผิดใจกับน้องสาว และหากเกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกผันก็กลัวจะโดนอาญา
   เมื่อเป็นเช่นนี้ กำลังสองฝ่ายจึงยันกันอยู่ ข้างหนึ่งล้อมอยู่นอกตำหนัก อีกข้างหนึ่งอยู่ในตำหนัก อ้วนเสี้ยว เห็นดังนั้นก็เสนอให้โฮจิ๋นออกราชโองการ เรียกเจ้าเมืองหัวเมืองมาช่วยปราบสิบขันที โดยที่โฮจิ๋นจะได้ไม่ต้องออกหน้า และพระนางโฮไทเฮา เมื่อเห็นเจ้าเมืองหัวเมืองนำกำลังเข้ามาบีบครั้น ก็จะต้องยอมส่งตัวสิบขันทีออกมาเอง โฮจิ๋นฟังก็นึกเห็นด้วย แต่โจโฉรีบห้ามไว้ บอกว่า การเรียกหัวเมืองเข้าวังหลวงเป็นเรื่องไม่สมควร มันจะกลายเป็นทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ตอนนี้โฮจิ๋นก็เป็นผู้สำเร็จราชการ สามารถมีคำสั่งเข้าไปจับตัวสิบขันทีได้เลย โฮจิ๋นไม่อยากเสี่ยง คิดยืมมือเจ้าเมืองหัวเมืองมาเล่นงานสิบขันทีจะดีกว่า หากเกิดการผิดพลาดอันใด ก็โยนความผิดให้เจ้าเมืองหัวเมืองนั่นไป
   จึงออกราชโองการ เรียกเจ้าเมืองหัวเมืองต่างๆเข้าเมืองมาช่วยปราบสิบขันที
   โจโฉถึงกับบ่นในใจว่า แผ่นดินจะ ฉิบหาย เพราะไอ้โง่นี่ แท้ๆ
    ------------------------------------------------------
   ราชโองการของโฮจิ๋นถูกส่งไปตามหัวเมืองต่างๆ แต่กลับกลายเป็นว่า หัวเมืองต่างๆอ่านแผนการของโฮจิ๋นออกที่คิดจะยืมมือฆ่าคน จะให้ยกกองทัพไปสิ้นเปลืองเสบียงกับเรื่องเล็กเพียงเท่านี้ มันเป็นเรื่องน่าหัวร่อ ก็เลยทำเป็นเพิกเฉยมิได้สนใจ ซึ่งความจริงการปฏิเสธราชโองการมีโทษถึงประหาร แต่ราชโองการฉบับนี้ ไม่ได้ประทับตราแผ่นดิน เพราะตราแผ่นดินอยู่ในมือขันทีทั้งสิบ เจ้าเมืองหัวเมืองต่างๆ ก็อาศัยเรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการไม่ปฏิบัติตาม
   ตั๋งโต๊ะเองก็ได้รับราชโองการเหมือนกัน ถึงกับเดือดดาล ด่าว่า
   "ไอ้โฮจิ๋น คนสิ้นคิดมันคิดได้อย่างไร ราชโองการเร่เก๊เช่นนี้ก็ออกมาได้ จะมีหัวเมืองใดยอมทำเรื่องโง่ๆเช่นนี้ให้กับมัน"
   พลางส่งราชโองการให้ทุกคนดูไปเป็นทอดๆ ลิยูบุตรเขยและเป็นที่ปรึกษาดูแล้วก็หัวร่อ พูดว่า
   "นี่มันคิดยืมมือผู้อื่นฆ่าคนชัดๆ มีผู้ใดบ้างดูไม่ออก"
   แล้วลิยูก็ส่งต่อให้ลิซกผู้เป็นที่ปรึกษาเหมือนกัน ลิซกดูแล้วก็หัวร่อเห็นพร้องกัน แล้วก็ส่งต่อไปให้ผู้อื่น จนมาถึงมือ งิวฮู งิวฮูก็ไม่มีความเห็นแตกต่างไป แล้วงิวฮูก็ส่งมาให้ผม ผมตอนนั้นเป็นเพียงผู้ติดตามงิวฮู เป็นเพียงตำแหน่งเล็กๆ ไม่มีที่ให้ออกความเห็นใดๆ แต่งิวฮูก็ยังส่งมาให้อ่าน ผมพออ่านแล้ว ก็เห็นตามคนอื่น แต่พอส่งต่อไปให้คนอื่นแล้ว กลับมีความคิดขึ้นมาอีกอย่าง พูดเปรยเบาๆว่า
   "นี่ถ้ามีหัวเมืองใด คิดอยากจะยึดอำนาจในเมืองหลวง เพียงอาศัยราชโองการฉบับนี้ ก็สามารถยึดอำนาจได้แล้ว"
   ตอนนั้นบรรยากาศเงียบ แม้ผมจะพูดเบาเหมือนพูดกับตัวเอง แต่หลายคนใกล้ๆ ก็ได้ยิน งิวฮูจึงสงสัยถามว่า
   "เมื่อครู่ เจ้าว่าอะไร ไฉนราชโองการที่ไม่สมบูรณ์ฉบับนี้ ถึงช่วยให้ยึดอำนาจในเมืองหลวงได้"
   คำพูดของงิวฮูทำให้ทุกคนหันมามองผมเป็นตาเดียว และรอผมพูดเหมือนต้องการให้ผมอธิบาย ผมเห็นทุกคนมองมาแบบนั้น แม้กระทั้งเจ้าเมืองตั๋งโต๊ะ ถูกกดดัน จนต้องอธิบายว่า
   "ราชโองการฉบับนี้ มันไม่สมบูรณ์ก็จริง แต่โฮจิ๋นก็เป็นคนออกเอง ถึงแม้ตามหัวเมืองราชโองการนี้จะไม่ศักดิ์สิทธิ์เพราะขาดตราประทับแผ่นดิน แต่ในเมืองหลวงที่อยู่ในอำนาจของโฮจิ๋น ราชโองการนี้ก็ย่อมใช้ได้ หากมีหัวเมืองใดคิดอยากจะยึดอำนาจในเมืองหลวงขึ้นมา เพียงนำราชโองการนี้ เปิดทางนำทหารเข้าเมืองก็สามารถทำได้แล้ว"
   ตั๋งโต๊ะเพ่งมองผมอย่างพินิจ ครุ่นคิดแล้วเค้นหัวร่อ ถามว่า
   "จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร โฮจิ๋นมีกำลังทหารตั้งสองแสน ตั้งค่ายอยู่นอกเมือง หากมีคนคิดจะทำการยึดอำนาจ โฮจิ๋นย่อมต้องสั่งทหารบุกเข้าเมืองมาฆ่าสิ้น"
   ผมจึงตอบว่า
   "สมมุติว่า ข้าพเจ้าคิดจะยึดอำนาจในเมืองหลวง ข้าพเจ้ามีเพียงทหารแค่ห้าหมื่นก็ยึดได้แล้ว โดยก่อนอื่น ก่อนกองทัพถึงเมือง จะนำราชโองการฉบับนี้ ไปอ้างต่อทหารโฮจิ๋น ขอเข้าตั้งค่าย บริเวณรอบเมือง เพื่อปราบสิบขันที แต่แท้จริงแล้วข้าพเจ้าจะตั้งค่ายยันทัพโฮจิ๋นไว้เพื่อถ่วงเวลาหรือป้องกันหากเกิดการผิดพลาด จากนั้นก็นำกำลังส่วนหนึ่งเข้าไปปราบสิบขันทีตามราชโองการ แต่จริงๆแล้วเข้าไปจับตัวฮ่องเต้ เมื่อได้ตัวฮ่องเต้แล้ว โฮจิ๋นจะทำอย่างไรได้ ต่อให้มีทหารมากกว่านั้นก็ไม่กล้าบุก"
   ทุกคนในห้องฟังจนเงียบสงัด บางคนถึงกับกลืนน้ำลาย แต่แล้วตั๋งโต๊ะก็หัวเราะเสียงดังเหมือนดีใจหนักหนาสาหัส แล้วก็สั่งเลิกประชุม แล้วก็หัวเราะเดินออกจากห้องที่ประชุมไป
   ผมรู้สึกงงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าพูดอะไรผิด หรือตั๋งโต๊ะคิดว่าที่ผมพูดนั้นทำไม่ได้จึงหัวเราะ แต่สำหรับผมคิดว่า ถ้าทำตามนี้สำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์
-----------------------------------------------------------------------------------------------------

xxxboyz

#1
เนื้อเรื่องสนุกขึ้นเรื่อยๆ  รอติดตามอยู่นะครับ

cd13579

เจอตัวละ บอกใครไม่บอกบอกลุงโต๊ะ บรรเทิงแน่มึงงานนี้
ใครหื้อใครซ่า ข้าแบนเรียบ

2000HP

อ่านเพลินจนนึกว่านิยายเลยครับ555 ขอบคุณครับ

holovelove

เหงาๆ

navy868


tanee


kaithai

"กาเซี่ยง" จากปราชญ์เกษตร 
ฉายแววเป็นกุนซือแล้ว

633sqd

เริ่มฉายแววกุนซือแล้ว รอแต่ตั๋งโต๊ะจะเอาด้วยมั๊ย

akira

ครั้งแรกเข้ามาอ่านเฉยๆ ครับ เพราะคิดว่าแนวเรื่องจะคล้ายกับ เจาะเวลาหาจิ๋นซี และจะมีเรื่องอย่างว่า...ได้อารมณ์แค่ไหน... แต่ไปๆมาๆ ตามถึงตอนที่ 14 แล้วว่ะ และเริ่มโดนใจสุดๆ ก็ช่วงท้ายของตอนนี้เองแหละ สุดยอดผู้ประพันธ์ครับ ขออนุญาตติดตามต่อครับ

meowmeng

เจอตัวแล้วคนที่ทำให้คนตายเป็นล้าน

555ล้อเล่นนะ

cobra888

ไม่นึกเลยว่า วิศวกรจะกลายเป็นเสนาธิการการสงครามที่ยิ่งใหญ่

อีกา


segasa

อ่านมาถึงตอน14 สนุกมากครับ บรรยากาศได้ตามวรรณกรรมมากๆเลย ที่สำคัญไรต์ฟิตออกตอนใหม่บ่อยมากๆ ::JubuJubu::