ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

อาถรรพ์ปลัดขิก ตอนที่ 14 พิชิตโหงพราย

เริ่มโดย Kamen Rider V-3, มีนาคม 04, 2018, 12:21:36 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

PL5037

มีหนังความยมีหุ่นโหงพรายแล้วยังมีอย่างอื่นอีกมั๊ย...ต้องติดตาม



ibaduck

บทสู้กันสนุกดีครับ นายป๊อด จอมขมังเวทย์

แมลงสาป


d0d4db4098


phithan

จัดการไปตัวนึง ดันมีอีกตัวเข้ามา เชือดซะเลย



a park

อ้างจาก: Kamen Rider V-3 เมื่อ มีนาคม 04, 2018, 12:21:36 หลังเที่ยงค่ำคืนดึกสงัดในวันนั้นชิตกำลังนอนหลับสนิทอย่างวางใจในผลของหุ่นหนังที่ตนเองเป็นผู้ปลุกเสก  แต่แล้วก็ต้อง
สะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังฝ่ากำแพงมนต์ ที่ตนเองเป็นผู้กระทำไว้รอบบ้าน ตามวิสัยของนักเลงคุณไสย 
จึงหลับตาเพ่งดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้นที่นอกบ้าน   แล้วก็ต้องตกใจเมื่อรู้ว่าสิ่งที่กำลังพยายามจะฝ่ากำแพงมนต์เข้ามาก็คือ
หุ่นหนังตัวเดียวกันกับที่ตนได้ปล่อยไปทำร้ายเสี่ยเจียงนั่นเอง 


ชิตรีบลุกลงจากเตียงเดินออกไปยังระเบียง  เพื่อต้องการดูให้เห็นกับตาตนเอง และเมื่อได้เห็นกับตาว่าเป็นหุ่นหนัง
ของตนเองจริงๆก็ยิ่งรู้สึกตกใจ  และคาดไม่ถึงว่าฝ่ายของเสี่ยเจียงจะมีคนที่มีความสามารถส่งคุณไสยได้เช่นเดียวกับตน
ทั้งยังแก่กล้าถึงขนาดใช้หุ่นหนังที่ผู้อื่นเป็นผู้ปลุกเสกส่งกลับคืนมายังเจ้าของได้ถึงเพียงนี้


ชิตยืนนิ่งมองดูหุ่นหนังนั้นล่องลอยหมุนวนไปรอบบ้านคล้ายกับกำลังหาช่องทางที่จะพุ่งเข้ามาหาตน  ก็รีบหลับตา
ร่ายมนต์หมายจะถอนคุณไสยที่กำกับหุ่นหนังออกให้สิ้นฤทธิ์ไป  แต่กลับไม่เป็นดังคาด  เพราะจู่ๆหุ่นหนังนั้น
ก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นแล้วพุ่งฝ่ากำแพงมนต์ตรงเข้ามายังร่างของชิต  ชิตรีบลนลานกระโจนหนีจนเสียหลักล้มลง
นอนหงายอย่างไม่เป็นท่า  เป็นจังหวะเดียวกันกับที่หุ่นหนังนั้นลอยวนกลับมา แล้วพุ่งตรงมายังร่างของชิตอย่างรวดเร็ว
ชิตตกใจเบิกตากว้างแหกปากส่งเสียงร้องออกมาอย่างหมดทางหนี


"อย่าาาาา........อย่า.....อย่าเข้ามา"


หุ่นหนังนั้นกลับกลายเป็นกลุ่มควันดำ พุ่งหายเข้าไปในช่องท้องของชิตจนหมด  แล้วสำแดงฤทธิ์กลับกลายเป็นหุ่นหนังใหม่
อีกครั้ง พร้อมกับขยายตัวใหญ่ขึ้นในทันที


"อ้าาาาาาา................โอยยยยยย........โอยยยยยยยยยยย..........อ้าาาาาาาาาา..........."


ชิตพยายามฝืนยืนขึ้น แต่ก็พ่ายแพ้ต่อความเจ็บปวดเอามือกุมท้องตัวงอ พร้อมกับส่งเสียงร้องครวญครางออกมาอย่างเจ็บปวด 
จนลูกน้องที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่ชั้นล่าง พากันตื่นขึ้นด้วยความตกใจ แล้ววิ่งกรูกันขึ้นมาบนระเบียงบ้านเพื่อดูอาการลูกพี่
ของตนเอง


"พี่ชิต.........พี่ชิต..เป็นอะไร......พี่ชิต......"


"กูปวดท้อง  ปวดเหลือเกิน....โอ้ยยยยยยยย..........โอยยยยย.......ทำไมมันถึงขยายตัวได้เร็วอย่างนี้.......โอยยยยย...."


"อะไรกันพี่.....อะไร....อะไรขยายตัว........ไปโรงพยาบาลกันดีกว่าพี่"


ลูกน้องเห็นชิตนอนร้องโอดโอย .....ดิ้นเร่าๆก็คิดจะหามตัวชิตไปโรงพยาบาล


"โอ้ยยยยย......ไม่ได้....กูไปโรงพยาบาลไม่ได้...กูถูกของ......ไอ้ซัน....มึงช่วยไปหยิบมีดหมอที่โต๊ะบูชามาที....โอยยยย...."


ไอ้ซันลูกน้องคนสนิท พอได้ยินลูกพี่ของมันพูดว่าถูกของ ก็เข้าใจทุกอย่างรีบวิ่งไปเอามีดหมอหลวงพ่อเดิมมาส่งให้
กับมือลูกพี่ของมันในทันที

ชิตรับมีดหมอมาไว้ในมือ แล้วพยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดยกมือขึ้นพนมสงบจิตระลึกถึงคุณหลวงพ่อเดิมแล้วจึงนำมีด
ไปนาบไว้ที่ท้องของตนเอง


มีดหมอหลวงพ่อเดิม เป็นวัตถุมงคลที่สามารถป้องกันและขับไล่คุณไสยได้ทุกชนิด เพราะได้รับการปลุกเสกจาก
พระผู้ทรงอภิญญาและฌาณสมาบัติขั้นสูง  แต่วัตถุมงคลชั้นสูงเช่นนี้กลับมาอยู่ในมือของชิตที่ได้มาจากการกระทำความชั่ว
ไปฆ่าเจ้าทรัพย์ตายและมันก็ยึดมาเป็นสมบัติของตน


พอมีดหมอหลวงพ่อเดิมถูกวางลงบนช่ิองท้องของชิต  หุ่นหนังปลุกเสกก็หมดฤทธิ์สลายตัวกลายเป็นกลุ่มควัน
ลอยออกมาจากร่างของมัน แล้วก่อตัวกลับกลายเป็นแผ่นหนังเป็นรูปคนกองนิ่งอยู่ข้างๆร่างของมันอย่างสงบ

ชิตถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พนมมือยกมีดหมอหลวงพ่อเดิมไว้เหนือหัวแล้วยันร่างตัวเองลุกขึ้น มองไปยังทิศ
ที่ตั้งบ้านของเสี่ยเจียงอย่างโกรธแค้น


"มันเป็นใครวะ....ทำไมถึงสามารถส่งของกลับมาทำร้ายกูได้......กูก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะแน่ซักแค่ไหน
ไอ้ซันมึงไปเอาหุ่นไม้โหงพรายมา  กูจะส่งโหงพรายไปฆ่ามันให้ตายทั้งบ้านเลยคราวนี้"


ซันวิ่งหายเข้าไปในห้องหยิบหุ่นไม้แกะสลัก ซึ่งพันด้วยด้ายสายสิญจน์สะกดวิญญาณร้ายเอาไว้ในนั้น
มาส่งให้กับชิต ชิตรับเอามาถือไว้ในมือแล้วปลดสายสิญจน์ออกพร้อมกับบริกรรมคาถาเป็นภาษาเขมรต่อเนื่องไม่ขาดปาก
ทั้งท่วงทำนองและน้ำหนักคำที่หนักและเบาเป็นช่วงๆ  ชวนให้เกิดความเสียวสยองต่อบรรดาลูกน้องของชิตที่ยืนรายล้อม
อยู่จนต้องถอยไปอยู่ข้างหลังของชิตอย่างหวาดๆ


เพียงครู่ความมืดอันสงบเงียบก็กลับแปรเปลี่ยนเป็นมีกระแสโลมกรรโชกแรง จนต้นไม้ที่รายล้อมบ้านของชิตทุกต้น
เอนไหวไปมาด้วยกำลังลม พร้อมกับเสียงอันแหบพร่าที่ดังกังวานชวนขนหัวลุกโดยไม่ทราบแห่งกำเนิดเสียง


"ต้องการสิ่งใด.....เรียกข้าออกมา...ต้องการสิ่งใด"


ชิตลืมตาขึ้น แล้วเขียนอักขระขอม พร้อมวันเดือนปีเกิดของเสี่ยเจียงลงในผ้าขาว แล้วจุดไฟเผาโยนออกไปข้างหน้า
แล้วส่งเสียงขึ้น


"ไอ้โหงพราย....มึงจงไปฆ่าไอ้เสี่ยเจียงและบริวารทั้งหมดของมันอย่าให้เหลือ"


สิ้นเสียงสั่งของชิต กระแสลมแรงที่โหมพัดอย่างรุนแรงประหนึ่งว่ากำลังจะเกิดพายุฝนก็หยุดลง  เปลี่ยนเป็นเงียบสงบ
ลงในทันที


"ผีมันไปแล้วเหรอ  พี่ชิต"


"เออ....มันไปแล้ว....แต่กูกยังไม่วางใจ  กูต้องการจะเห็นหน้าไอ้คนที่คิดจะลองดีกับกู  ไป...พวกมึงไปกับกู เอาปืนไปด้วย
ถ้าโหงพรายทำงานไม่สำเร็จ  พวกเราก็ปล้นบ้านมันซะเลย  ไป....ไอ้ซันไปเอารถมา"

----------


ข้างฝ่ายภูตแห่งปลัดขิกซึ่งเฝ้ารอดูความเคลื่อนไหวอยู่แล้ว ก็รู้ได้ด้วยญาณของตนในทันทีว่า กำลังถูกอีกฝ่าย
ปล่อยโหงพรายมาลองดี จึงพูดกับป๊อดขึ้นว่า


"ไอ้หนู......เร็ว...มันเอาเราอีกแล้ว  คราวนี้มันปล่อยโหงพรายมา  เอ็งต้องเตรียมตัวแล้ว"

ป๊อดกำลังนั่งปล่อยความคิดอย่างเซื่องซึม หลังจากถูกหลิวต่อว่าและเข้าใจผิดหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม  เมื่อได้ยิน
ภูตแห่งปลัดขิกร้องเตือนก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเนือยๆ


"โหงพราย....โหงพราย คืออะไรเหรอ น้าขิก"


"มันก็คือวิญญาณของคนที่ถูกกระทำให้ตายก่อนอายุขัย  ซึ่งเขาเรียกกันว่า ตายโหง  ไอ้พวกหมอผีมักจะเลือก
เอาวิญญาณชนิดนี้มากักขังและสะกดให้เป็นทาสรับใช้ของพวกมัน  ยิ่งพวกที่ก่อนตายเป็นคนที่มีฝีมือในการต่อสู้  เป็นนักเลง
มีจิตใจที่เหี้ยมเกรียม ยิ่งเป็นดวงวิญาณที่มีฤทธิ์อำนาจมาก  และข้าก็คิดว่าไอ้โหงพรายตัวที่พวกมันส่งมาก็น่าจะเป็น
โหงพรายประเภทนี้"


"โห....ตายไปแล้วยังถูกเขากักขังเอามาเป็นทาสอีก น่าสงสารเหมือนกันนะน้าขิก"


"เออ...แต่เอ็งรีบเข้าเถอะ  ไม่มีเวลาแล้ว เอ็งต้องเตรียมตัวรับมือมันแล้ว"


ป๊อดสลัดความคิดฟุ้งซ่านในใจออก  แล้วเตรียมตัวรับการชี้แนะจากภูตแห่งปลัดขิกทันที


" ทำยังไงล่ะ น้าขิก บอกมาเลย"


"ข้าจะสอนให้เอ็งผูกหุ่นพยนต์ไว้รับมือมัน"


"หุ่นพยนต์........"
ป๊อดทวนคำอย่างสงสัย


"เอ  ...ข้าก็ลืมไปว่ะ......เอ็งฝึกแต่กสิณไฟนี่หว่า...วิชาผูกหุ่นพยนต์ ต้องใช้กสิณดินเข้ามาช่วย...เอายังไงดีวะ
..งั้นเอ็งไปเก็บหญ้าสดมากำหนึ่งก่อน  แล้วจับมัดรวมกันให้มีแขนมีขาเป็นรูปคน  เสร็จแล้วข้าจะลองให้เอ็ง
ฝึกกสิณดินดู  หากเอ็งเคยมีวาสนาเข้าถึงกสิณดินมาก่อนในอดีตชาติ ก็อาจจะสำเร็จได้ง่ายๆ"


ป๊อดรีบไปเก็บหญ้าที่ขึ้นยาวตามริมรั้วบ้านมาในปริมาณที่มากพอ แล้วจัดการรวบเป็นกำแล้วมัดด้วยก้านหญ้าที่ยาวกว่า
จนเป็นท่อนๆ แล้วนำมาผูกรวมกันเป็นตัว หัว แขนและขา จนในที่สุดก็ดูคล้ายเป็นรูปตัวคน แล้วก็นำมาวางลงตรงหน้า

"แล้วไงต่อ...น้าขิก"


"อื้อ....ก่อนอื่นเอ็งเข้ากสิณไฟเสียก่อน แล้วอธิษฐานให้ดวงกสิณไฟของเอ็งเป็นกำแพงรายล้อมรอบบ้านเอาไว้
ถ่วงเวลาไอ้โหงพรายตัวนี้ไว้ก่อน"


ป๊อดได้ยินอย่างนั้นก็นั่งขัดสมาธิหลับตาลง ระลึกถึงคุณแห่งฤาษีตาไฟแล้วดิ่งดวงจิตเข้าสู่ระดับฌาณ พร้อมกับอธิษฐาน
ให้เกิดเป็นเปลวไฟลุกโชนขึ้นเป็นกำแพงล้อมบ้านเอาไว้


"เอาล่ะ...ทีนี้ข้าจะสอนเอ็งให้เข้ากสิณดินโดยวิธีลัดเพื่อลองเสี่ยงดวงดู  ก่อนอื่นให้เอ็งส่งจิตระลึกถึงคุณแห่งฤาษีตาไฟ
และ ฤาษีตาวัว จนมองเห็นรูปองค์แห่งท่านทั้งสอง จากนั้นจึงค่อยตั้งจิตอธิษฐานตามคำของข้า


แล้วภูตแห่งปลัดขิกก็บอกคำอธิษฐานนั้นต่อป๊อดรอบหนึ่ง

"เอ็งจำได้ไหมไอ้หนู"

"จำได้ครับ"

"งั้นก็ลงมือเลย"


ป๊อดหลับตาลงในท่านั่งขัดสมาธิ  หลังตั้งตรง กายนิ่งไม่ไหวติง จิตของเขานิ่งสงบดิ่งลึกลงแล้วรวมศูนย์อยู่ ณ กึ่งกลางกาย
พร้อมกับรำลึกถึงฤาษีตาไฟและฤาษีตาวัว ตามคำแนะนำของภูตแห่งปลัดขิกทันที 


เพียงครู่ก็ปรากฎร่างขององค์ฤาษีทั้งสองยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้่าของเขาในมโนทวาร  ป๊อดเห็นดังนั้นก็ยกมือขึ้นพนม
แล้วอธิษฐานตามคำสอนของภูตแห่งปลัดขิกทันที


"...ข้าแต่องค์ ฤาษีตาวัว ฤาษีตาไฟ แม้นว่าลูกเคยมีอำนาจบารมี  เข้าถึงปัฐวีกสิณสำเร็จในภพภูมิที่ผ่านมา
ขออำนาจบารมีแห่งองค์ฤาษีทั้งสองช่วยดลบันดาลให้ลูกจงระลึกรู้ และได้ดวงกสิณนั้นโดยเร็วพลันด้วยเทอญ... "


เมื่อสิ้นคำอธิษฐาน มโนภาพในจิตของป๊อดก็มองเห็นองค์ฤาษีทั้งสองยกมือขึ้นข้างหนึ่งในท่าประทานพรเหมือนๆกัน 
แล้วค่อยๆเลือนหายวับไป


ป๊อดลืมตาขึ้นอย่างสดชื่นพร้อมกับมีความมั่นใจอย่างที่สุด  ว่าเขาจะสามารถทรงกสิณดินในสำเร็จภายในคืนนี้ 
แต่ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรออกมา  ภูตแห่งปลัดขิกก็พูดขึ้นเหมือนกับได้ติดตามความเคลื่อนไหวดวงจิตของเขาอยู่ทุกขณะ


"ไอ้หนู จากนี้ไปเอ็งต้องรีบฝึกกสิณดินแล้ว  เอ็งจงกอบดินที่อยู่ตรงหน้าของเอ็งมากำไว้ในมือ  แล้วอธิษฐานกำกับลงไป
เหมือนตอนที่เอ็งฝึกกสิณไฟ  แต่คำภาวนา ให้เปลี่ยนจากคำว่า เตโช  เป็น  ปัฐวี  จนเอ็งสามารถทำให้เกิดเกิดอุคหนิมิตร
เป็นก้อนดินขึ้นในมโนทวาร  แล้วแปรเปลี่ยนเป็นฌาณ  เอ็งเข้าใจที่ข้าพูดไหม"



ป๊อดยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ  เพราะขั้นตอนไม่ได้ต่างจากตอนที่เขาได้ฝึกกสิณไฟเลย   ป๊อดปิดตาลงนิ่ง  กายตั้งตรงไม่ไหวติง
พร้อมกับภาวนาถึงองค์กสิณกำกับตามลมหายใจเข้าออกอยู่ตลอดเวลา


"ปัฐวี.....ปัฐวี.....ปัฐวี......ปัฐวี.........ปัฐวี...............ปัฐวี................ปัฐวี....................."



ดวงจิตของป๊อดค่อยๆดิ่งลึกลงสู่ความสงบนิ่ง จนไม่รับรู้สัมผัสต่างๆจากภายนอก  แต่กลับมีความสว่างนิ่งอยู่ภายในอย่างแจ่มชัด
คำภาวนาที่คอยกำกับอยู่ค่อยๆ  ห่างและเบาออกไปเรื่อยๆ  จนในที่สุดก็เหลือเพียงการระลึกรู้อย่างแจ้งชัดแทนคำภาวนา


ในตอนที่ป๊อดฝึกกสิณไฟก็ใช้วิธีเดียวกันนี้จนภาพของเปลวไฟติดตรึงอยู่ในมโนทวาร และสามารถบังคับมโนภาพนั้นให้ใหญ่และเล็ก
ได้ตามใจปรารถนา  อันเป็นพื้นฐานเดียวกันกับกสิณดิน ซึ่งในเวลานี้ป๊อดใช้จิตอันความสงบนิ่งจากฌาณ ทั้งยังใช้ประสาทสัมผัสกำดิน
ไว้ในมือเป็นตัวช่วยให้ระลึกถึงธาตุดิน  และประกอบกับที่เขามีอดีตชาติที่เคยสำเร็จกสิณดินมาแล้ว  จึงทำให้ในที่สุดป๊อดก็บังเกิดนิมิต
ของก้อนดินขึ้นในมโนทวารอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเห็นมันแปรรูปลักษณ์เป็นสิ่งต่างๆที่เขาเคยพบเห็นจนชินตา ตั้งแต่ คน สิ่งของ
และสัตว์ประเภทต่างๆ จากนั้นสิ่งเหล่านั้นก็พลันแปรสภาพสลายตัวลงกลับกลายเป็นธาตุดินเหมือนเดิม  จนเขาเกิดความเข้าใจ
อย่างลึกซึ้งว่า ทุกสรรพสิ่งบนโลกล้วนมีส่วนประกอบมาจากธาตุดินด้วยกันทั้งสิ้น


ภูตแห่งปลัดขิดส่งจิตติดตามความก้าวหน้าของป๊อดโดยตลอด จนเมื่อเห็นว่าเขาได้ประสบกับความสำเร็จในการฝึกกสิณดินแล้ว
ก็พอใจส่งเสียงหัวเราะออกมา


"ฮ่าๆๆๆๆๆ   ไอ้หนู.....ในที่สุดเอ็งก็เคยเป็นผู้ทรงฌาณในอดีตชาติจริงๆ  จึงสามารถสำเร็จกสิณดินได้ในเวลาอันรวดเร็วถึงเพียงนี้
เอาล่ะ....เอาไว้เอ็งค่อยไปฝึกให้ชำนาญในวันหลัง   แต่ตอนนี้เอ็งต้องปลุกเสกหุ่นพยนต์ไว้รับมือกับโหงพรายแล้ว"


"ครับ....ผมจะลองดูน้าขิก....ต้องทำอย่างไรบ้าง"


"เอ็งจงเข้าฌาณด้วยกสิณดิน แล้วเพ่งจิตไปยังหุ่นหญ้า พร้อมกับ ภาวนาตามนี้ จำไว้ให้ดี


โอม...โสสะอะนิ  สะอะนิโส  อะนิโสสะ  นิโสสะอะ
ปลุกมหาปลุก กูจะปลุกพ่อหุ่นพยนต์ ด้วยอะหังทุกัง นะมะพะทะ   

เป็นไงจำได้ไหม"


ป๊อดหลับตาทวนคาถาที่พึ่งได้รับฟังอยู่ สองสามเที่ยว จนมั่นใจแล้วก็สงบจิตนิ่ง ภาวนาจิตเข้าสู่ฌาณแห่งกสิณดินอีกครั้ง

"ปัฐวี.....ปัฐวี..........ปัฐวี..........ปัฐวี...................ปัฐวี....................ปัฐวี....................ปัฐวี...."


เมื่อจิตดิ่งลงสู่ระดับฌาณแล้วป๊อดก็ลืมตาขึ้นเพ่งมองไปยังหุ่นหญ้าที่ตนเองผูกไว้  แล้วร่ายมนต์ปลุกหุ่นพยนต์
ตามที่ภูตแห่งปลัดขิกได้สอนไว้


"โอม...โสสะอะนิ  สะอะนิโส  อะนิโสสะ  นิโสสะอะ
ปลุกมหาปลุก กูจะปลุกพ่อหุ่นพยนต์ ด้วยอะหังทุกัง นะมะพะทะ......"


ทันใดนั้นเอง หุ่นหญ้าก็เริ่มเคลื่อนไหวประดุจเป็นสิ่งมีชีวิต พร้อมกับค่อยๆแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์จนมีลักษณะคล้ายคลึงมนุษย์
ผิวกายแปรเปลี่ยนเป็นสีคล้ายดินหม้อ  ยันตัวขึ้นตั้งตรงกับพื้น




อีกด้านหนึ่งบนชั้นสองของตึกใหญ่อันเป็นที่ตั้งของห้องเถ้าแก่เจียง  ทุกคนยังคงเฝ้าดูอาการของเถ้าแก่เจียงที่ค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ
แต่แล้วทุกคนในห้องก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆ ก็เกิดเสียงคล้ายกระแสลมแรงพัดกรรโชกจนต้นไม้ใหญ่ที่มองออกไปนอกหน้าต่าง
โอนเอนไปมา  ทั้งยังพัดบานหน้าต่างที่สับขอไว้จนหลุดออกตีเข้ากับกรอบหน้าต่าง เกิดเสียงดัง ปัง....ปัง....สลับกันไปมา
อย่างน่ากลัว  เสียงหวีดหวิวของลม ฟังคล้ายกับเสียงอันแหบพร่า ของใครบางคนจนทุกคนที่ได้ฟังพากันหันมามองหน้ากันอย่างตื่นกลัว


"พวกมึงต้องตาย.............พวกมึงต้องตาย.......ฮ่าๆๆๆๆๆๆ.............ต้องตายทั้งหมด......."


หลิวทั้งรู้สึกกลัวและสงสัย จนอดไม่ได้ที่จะต้องรู้อย่างกระจ่างว่าเสียงที่กำลังได้ยินนั้นเป็นเสียงของอะไร
จึงเดินไปรูดม่านที่บังบานหน้าต่างออกดู  แต่แล้วเธอก็ต้องถึงกับนิ่งอ้าปากค้างอย่างตกใจ  แล้วถอยออกมาจากบานหน้าต่างนั้นทันที


ทุกคนมองเห็นอาการของหลิวเป็นเช่นนั้นก็เพ่งมองตามไปยังบานหน้าต่างกระจกใส  แล้วเสียงหวีดร้องอย่างตกใจก็ดังขึ้น
เมื่อมองเห็นร่างอสุรกายตัวสูงใหญ่หยุดยืนอยูนอกกำแพงบ้าน  ดวงตาอันพองโตของมันกำลังเพ่งมองดูคนในบ้านอย่างถมึงทึง


มันพยายามจะก้าวข้ามเข้ามาในอาณาเขตของบ้าน แต่ทุกครั้งที่มันย่างเท้าเข้ามา ก็เกิดเปลวไฟลุกโชนขึ้นจนมันต้องถอยเท้า
กลับไปตั้งหลักใหม่ ก่อนที่จะพยายามก้าวเข้ามาใหม่ครั้งแล้วคร้งเล่า


หลิวโผตัวเข้าไปหาเนี้ยซิมลั้งอย่างหาที่พึ่ง  เธอรู้สึกตื่นกลัวจนพูดอะไรไม่ออก 

"ม้า....มันคือตัวอะไรอ่ะ....หลิวกลัว......."


"ม้าก็ไม่รู้เหมือนกัน.....เกิดมาก็พึ่งเคยพบเคยเห็น......เราจะทำไงดีหลิว"


หลิวมองไปยังกลุ่มคนรับใช้ในบ้าน ที่กำลังซุกตัวรวมกันอย่างหมดที่พึ่ง  แล้วเหลียวซ้ายแลขวามองหาร่างของป๊อด
แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา


"ใครก็ได้ไปตามป๊อดมาที"


หลิวพูดออกไปทั้งๆที่รู้ว่า คงไม่มีใครกล้าออกจากห้องไปในเวลานี้แน่

แล้วก็เป็นจริงอย่างที่เธอคาดไว้  ไม่มีเลยซักคนที่จะกล้าเดินลงไปตามหาป๊อด เธอจึงตัดสินใจเดินไปที่หน้าต่าง
เพื่อมองหาเขา  แต่ในขณะนั้นเอง โหงพรายก็ฝ่ากำแพงกสิณไฟของป๊อดเข้ามาได้ และย่างสามขุมตรงเข้ามา
เหมือนกับรู้ว่าเธอกำลังมองมันอยู่บนตึกนี้  หลิวกลัวอย่างสุดขีดและขาดที่พึ่ง จึงส่งเสียงร้องเรียกหาป๊อดออกมา


"ป๊อด.......ช่วยด้วย.......ป๊อด....ป๊อดอยู่ไหน.....ช่วยด้วยยยย........"


เป็นเวลาเดียวกันกับที่ป๊อดถือหุ่นพยนต์เดินเข้ามาที่ชั้นล่างใต้ตึกนั้นพอดี  เขาแหงนหน้าขึ้นมองไปยังบานหน้าต่าง
แล้วส่งเสียงตอบรับ

"ผมอยู่ที่นี่ครับ...คุณหลิว......"


หลิวได้ยินเสียงของป๊อดก็รู้สึกดีใจ ก้มลงมองดูตามเสียงก็เห็นร่างของป๊อดกำลังยืนพนมมือหลับตานิ่ง
เพียงครู่  เขาก็ขว้างของสิ่งหนึ่งตรงไปยังร่างของอสุรกายที่กำลังย่างเท้าใกล้เข้ามา


พลันก็บังเกิดเป็นร่างๆหนึ่ง มีลักษณะคล้ายหุ่นดินปั้น ผุดขึ้นมาจากพื้นดินและขยายขนาดใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเทียบเท่า
อสุรกายตนนั้นและยืนขวางหน้ามันเอาไว้  อสุรกายตนนั้นเมื่อเห็นหุ่นพยนต์มายืนขวางหน้าก็แสดงความดุร้าย ตรงรี่
เข้าจู่โจมใส่หุ่นพยนต์ทันที


"ไอ้หนู....หุ่นพยนต์จะมีความเข้มแข็ง และสามารถเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับจิตของผู้ที่ปลุกเสกมันขึ้นมา  ถึงเวลาแล้ว
ที่เอ็งจะต้องแสดงความสามารถเอาชนะโหงพรายตนนี้ให้ได้"


ป๊อดได้ยินดังนั้นก็เกิดมานะคิดจะเอาชนะให้ได้  จึงเพ่งตามองดูหุ่นพยนต์ของตนที่กำลังถูกโหงพรายใช้สองมือบีบกำในส่วนลำคอ
แล้วยกจนลอยสูงขึ้นจากพื้น ก่อนที่เหวี่ยงออกไปให้พ้นทางของมัน  แล้วย่างเท้าเดินตรงมายังเขาอย่างดุร้าย  ป๊อดจึงปิดตา
ลงส่งอำนาจจิตไปยังหุ่นพยนต์ของตนให้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง  แล้วตรงเข้าฉุดรั้งร่างของโหงพรายเอาไว้


โหงพรายถูกหุ่นพยนต์ฉุดรั้งเอาไว้อีกครั้ง ก็แผดเสียงคำรามหันกลับมาด้วยแววตาอันดุร้าย  ตรงเข้าจับกระชากแขนข้างหนึ่ง
ของหุ่นพยนต์จนหลุดออกมาจากร่างแล้วเหวี่ยงทิ้งไป  พร้อมกับยกเท้าถีบจนร่างของหุ่นพยนต์กระเด็นลอยออกไป
กองรวมกับแขนข้างที่ขาดไปก่อนหน้านี้

ป๊อดยังคงส่งกระแสจิตควบคุมหุ่นพยนต์อย่างต่อเนื่อง  โดยดิ่งจิตเข้าสู่ฌาณแห่งกสินดินควบคุมให้หุ่นพยนต์จับแขนที่ขาด
มาต่อคืนเข้าไปดังเก่า  แล้วตรงเข้ากระโจนรวบร่างของโหงพรายเอาไว้จากด้านหลัง 

โหงพรายแผดเสียงคำรามอย่างน่ากลัว แล้วพยายามดิ้นรนให้หลุดจากวงแขนของหุ่นพยนต์อย่างสุดความสามารถ 
ป๊อดเพ่งตามองดูทั้งหุ่นพยนต์และโหงพรายที่กำลังยื้อยุดกันอยู่ ก็คิดว่าควรใช้โอกาสนี้ใช้กสิณไฟเผาผลาญร่างของโหงพราย
ให้มอดไหม้ไป

เมื่อคิดได้ดังนั้นป๊อดก็ภาวนาจิตเข้าสู่กสิณไฟอย่างรวดเร็ว  แล้วเพ่งตาจ้องมองไปยังโหงพรายที่กำลังถูกรวบตัวอยู่ด้วย
พลังอำนาจจิตแห่งกสิณไปอันแรงกล้า


"จงมอดไหม้ไปด้วยไฟแห่งกสิณของข้าซะ"


สิ้นคำร่างของโหงพรายก็เกิดเปลวไฟลุกขึ้นอย่างโชติช่วง  มันส่งเสียงกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานจนดังก้องไปทั้งอาณาบริเวณ


"โอยยย......ร้อน...ร้อนเหลือเกิน..........โอยยย.....ไม่ไหวแล้ว.....ข้าร้อนเหลือเกิน.......โอยยยย........"



ป๊อดยืนมองดูร่างของโหงพรายที่ล้มลงเกือกกลิ้งอยู่กับพื้นอย่างทุกข์ทรมาน  แล้วก็บังเกิดเกิดจิตคิดเมตตาว่ามันเอง
ก็ถูกบังคับควบคุมมา    จึงตะโกนถามออกไปเพื่อหยั่งดูท่าทีของโหงพรายตนนั้น


"เจ้าโหงพราย.....แกกับฉันก็ไม่เคยมีเวรกรรมใดๆต่อกันมาก่อน  แล้วทำไมจึงต้องมาทำร้ายคนในบ้านของฉัน"


โหงพรายกำลังรู้สึกเร่าร้อนอย่างทุกข์ทรมาน พอได้ยินเสียงของป๊อดถามขึ้น ก็ยกมือพนมขึ้นท่วมหัว แล้วเอ่ยขึ้น


"อภัยให้ข้าเถิดนาย....ข้าถูกเขาสะกดควบคุมมา....ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว....โปรดอภัยข้าด้วย....ข้าร้อนเหลือเกิน   เปลวไฟของท่าน
กำลังจะเผาผลาญวิญญาณของข้าให้มอดไหม้ไปด้วยความทุกข์ทรมานแล้ว  ได้โปรดหยุดความร้อนนี้ลงด้วยเถิด....โอยยยย....."


ในใจของป๊อดก็คิดมีเมตตาต่อมันอยู่แล้ว  พอได้ยินโหงพรายอ้อนวอนร้องขอเช่นนั้น ก็ใจอ่อนยอมคิดจะถอนไฟแห่งกสิณ
ออกจากร่างของโหงพราย จนภูตแห่งปลัดขิกร้องขัดขึ้น


"ไอ้หนู....เอ็งคิดดีแล้วเหรอวะ  ที่จะปล่อยมัน....ข้าว่าไม่ดีมั้ง"


"เอาเถอะน่า....น้าขิก  ให้โอกาสมันหน่อย  มันเองก็ถูกเขาบังคับมา"


"ก็ตามใจเอ็ง....เอ็งเป็นคนปราบมันได้นี่หว่า"


แล้วป๊อดก็หลับตาอธิษฐานจิตให้เปลวไฟแห่งกสิณมอดดับลง   โหงพรายที่กำลังเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้นในร่างของอสุรกาย
ก็คลายจากอาการทุรยทุราย คืนร่างกลับมามีขนาดคล้ายกับคนปกติแล้วยันร่างลุกขึ้นนั่งพนมมือ


"ข้าขอขอบใจนาย ที่มีเมตตาต่อข้า.....ต่อแต่นี้...ข้าขอสัญญาว่าข้าจะไม่คิดร้ายต่อท่านอีกต่อไป"

แล้วร่างของโหงพรายก็ค่อยๆลางเลือนหายลับไป







อีกด้านหนึ่งบนตึกที่วิไลและหนิงอาศัยอยู่ ในขณะที่ป๊อดและภูตแห่งปลัดขิกกำลังเพ่งความสนใจไปกับการต่อสู้กับโหงพราย   
วิไลกำลังนอนหลับอยู่อย่างสนิท โดยไม่รู้ตัวเลยว่าที่บริเวณภายนอกกำลังเกิดภัยเข้าคุกคามคนในบ้านอยู่ และภัยนั้นก็กำลัง
จะเข้ามาถึงตนเองด้วย  เพราะที่หน้าประตูห้องของวิไลได้ปรากฎร่างของเชิดเข้ามายืนอยู่อย่างเงียบเชียบ ท่ามกลางความมืดมิด
มันเหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจว่า  อาณาบริเวณโดยรอบอันสงบเงียบไม่มีใครมาเห็นมันแล้ว  ก็ล้วงมือลงไปในย่ามที่สะพายมา
หยิบหุ่นคุณไสยที่ชิตทำไว้ให้ออกมา แล้วร่ายคาถาตามที่ชิตสอนไว้ทันที

"ออม สันธึก ปะกัวเกรือม ระเติว เติม ชนำ ปะกัว เลือน กะกรึง กรูอัญ น็ว เวียล สระงัด สระน็อส เปียก พลุม เยียส ยุม
กน็อง ปรีย อัญ เฮา เนียง แสร็ย สันธึก ปะกัว ปอูก เนียง แอ๊ย สันทุก เนียงอุกสันไท เนื้ยงเปิว สะแน ปะกัวนอง ประไว
สะแน ปเรียย ออมเตินโรย เติน เปือน เติน กรูประ เวือน "


เชิดร่ายมนต์เป็นภาษาเขมรแล้วเป่าพรวดลงไปที่หุ่นคุณไสยที่ถือไว้ในมือ  ทันใดนั้นเองวิไลที่กำลังหลับอยู่อย่างสนิทบนเตียง
ก็บังเกิดมโนภาพในความฝัน ว่าเธอกำลังถูกชายหนุ่มผู้หนึ่งซุกไซ้ใบหน้าลงไปที่หว่างขาของเธอ  ชายหนุ่มคนนั้นพรมจูบโลมเลีย
ไล่ไปตามเรียวขาสูงขึ้นมาเรื่อยๆ จนสูงขึ้นมาถึงบริเวณเนินเสียวของเธอ แล้วบรรจงประทับจูบลงไปอย่างแผ่วเบา  จนเธอรู้สึก
ขนลุกซู่ไปทั้งร่าง

จากนั้นชายหนุ่มคนนั้นก็ใช้ลิ้นโลมเลียคลึงวนเข้ามาที่ร่องหลืบกลางเนินเสียวอย่างแผ่วเบา  ลิ้นอันอ่อนนุ่มของเขาเคลื่อนไหวชอนไช
ลากเลื้อยอย่างเชื่องช้า แล้วค่อยๆล่วงล้ำลึกเข้ามาเรื่อยๆ  จนเธอถึงกับต้องเกร็งหน้าท้อง ปลายเท้าหงิกงอไปด้วยความเสียว
ที่ก่อตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


ชายหนุ่มในความฝันของเธอคนนั้นหาใช่ใครอื่นไกล เขาก็คือป๊อดเด็กหนุ่มที่เธอติดใจในรสสวาทของเขา จนถึงแม้ว่าในเวลานี้
เธอได้ถูกคุณไสยของเชิด ทำให้มีอารมณ์เคลิบเคลิ้มและเกิดมโนภาพลวงขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นภาพลวงที่บังเกิดก็ยังเป็นใบหน้าของป๊อด 


ป๊อดในความฝันของวิไลใช้สองมือแบะกลีบสวาทของเธอ แล้วจดจ่อริมฝีปากของเขาเข้าไปขบเม้มติ่งเสียว จนเธอถึงกับอ้าขา
แอ่นสะโพกจนตัวลอยร้องครางออกมาด้วยความกระสันต์จนต้องลืมตาโพลงตื่นขึ้น  เธอยังคงหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย
คล้ายกับพึ่งถูกเร่งเร้าให้เกิดความเสียวอย่างสุขล้นขึ้นมาจริงๆ  แต่เมื่อเธอเห็นว่าเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านพ้นไปเป็นเพียงแค่ความฝัน 
ก็รู้สึกร้อนรนจนทนนิ่งอยู่บนเตียงไม่ได้ เธอกำลังบังเกิดความต้องการจนยากที่จะระงับ และต้องการให้ใครสักคนมาปลดปล่อย
ให้พ้นจากความรุ่มร้อนที่เกิดขึ้นในเวลานี้  และคนที่เธอนึกถึงก็เป็นป๊อด


วิไลลุกลงจากเตียงสวมใส่เสื้อคลุมเดินไปที่ประตูโดยตั้งใจจะไปหาป๊อดที่ห้อง  แต่เมื่อเปิดประตูออกก็พบร่างของเชิดดยืนแสยะยิ้ม
คอยอยู่แล้ว   แต่แทนที่วิไลจะตกใจกับภาพที่เห็น กลับยิ้มอย่างอ่อนหวานนัยน์ตาเบิกกว้างขึ้นอย่างดีใจ


"ป๊อด.....แหม..เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันกำลังคิดถึง..รึว่าเธอก็คิดถึงฉันเหมือนกัน...มา...เข้ามาในห้องเร็ว..."


แล้ววิไลก็จูงมือของเชิดให้เดินเข้ามาในห้องของเธอ  ท่ามกลางความมึนงงของเชิดที่ถูกเธอเรียกตนเองว่าเป็นป๊อด 
พลางนึกอยู่ภายในใจว่า

"นังนี่มันเป็นอะไรของมันวะ.....ทำไมเรียกชื่อเราเป็นไอ้เด็กนั่น.....แต่ช่างมันเถอะ..มันจะเรียกว่าอะไรก็ต้องถูกเย็ดอยู่ดีละคืนนี้"











mashall




shotti