ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_saradio

กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 37

เริ่มโดย saradio, เมษายน 15, 2018, 11:10:23 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

saradio

   แล้วไม่นานนักผมกับเตียวสิ้วก็กลับถึงเตียนอัน ยามนั้นกำแพงเมืองหอรบต่างๆ ของเมืองเตียนอัน ถูกจัดเตรียมพร้อมรับศึก
   ผมเมื่อเข้ามาในเมืองเตียนอันแล้ว ก็รีบไปหาลิฉุย ตอนนั้น ลิฉุย กุยกี หวนเตียวและเตียวเจ ต่างมาประชุมการศึกจัดเตรียมทัพกันอยู่ พอได้รับรายงานว่าผมขอเข้าพบ ก็ให้เชิญเข้ามา
   ผมเมื่อได้พบกับลิฉุย ก็รายงานสถานการณ์ฝ่ายตรงข้ามพร้อมเสนอแผนการ ว่า ม้าเท้งกับหันซุย รวมกันแล้วมีทหาร ประมาณ 15 หมื่น แต่มีเสบียงกินได้ไม่เกินเดือน วิธีจะเอาชนะ ก็แค่เพียงป้องกันเมืองอย่างแข็งขัน รอพวกมันเสบียงหมด ก็จะล่าถอยไปเอง ถึงตอนนั้น ค่อยส่งทหารไปตามตีเอาชัย ก็สามารถจับ ม้าเท้งกับหันซุยได้โดยง่าย
   ลิบ้องกับอ่องหอง ที่ร่วมประชุมทัพในขณะนั้นกลับคัดค้านไม่เห็นด้วย บอกว่าสมควรออกไปรบนอกเมือง เนื่องเพราะ ทหารของเตียนอันมีมากกว่า การจัดการกับม้าเท้งไม่ใช่เรื่องยาก สมควรใช้โอกาสนี้ปราบม้าเท้งให้เด็ดขาด เพื่อแสดงแสงยานุภาพ ไม่ให้หัวเมืองอื่นกล้าคิดก่อการอีก ทราบมาว่า กองทัพหน้าเป็นม้าเฉียว บุตรของม้าเท้ง ทั้งลิบ้องกับอ่องหอง จึงขันอาสา นำทหารหมื่นหนึ่งออกไปปราบ จะจับตัวม้าเฉียวมาให้ได้
   ลิบ้องกับอ่องหอง สองคนนี้แต่ก่อนเป็นลูกน้องของตั๋งโต๊ะ เช่นเดียวกับพวกลิฉุย เมื่อครั้งพวกลิฉุย บุกเตียนอันปราบอองอุ้น ก็ได้พวกมันช่วยเปิดประตูเมืองให้ จึงได้ความดีความชอบ แต่งตั้งเป็นแม่ทัพ หลังจากนั้นก็ประจบสอพลอลิฉุยจนได้เป็นแม่ทัพคนสนิท ยามนี้จึงคิดสร้างชื่อ เลยขันอาสา
   ผมดูท่าแล้ว ลิบ้องกับอ่องหองสองคนนี้ ที่คัดค้านการส่งทหารไปป้องกันด่านเองเปงก๋วน ก็คงเพราะไม่ต้องการให้ใครได้รับความดีความชอบในศึกครั้งนี้มากกว่า เลยรอจนการศึกถึงเตียนอัน จึงค่อยขันอาสา โดยหวังไว้ว่าจะได้สร้างผลงาน จนได้เป็นแม่ทัพใหญ่คุมทัพสู้รบ
   ผมนั้นย่อมไม่เห็นด้วย เพราะถึงม้าเฉียวจะเป็นเด็ก มันก็ไม่ได้กระจอกงอกง่อย มีสมองในการคุมทัพ กับมีฝีมือการรบที่เฉียบขาด ลำพังลิบ้องกับอ่องหอง ไม่สามารถต้านทานมันได้ เลยคัดค้านออกไป
   ลิบ้องกับอ่องหอง เลยไม่พอใจ พูดท้าทายว่า
   "หากข้าสองคนนำทหารออกไปรบแล้วไม่สามารถเอาหัวม้าเฉียวกลับมาได้ ก็จะยอมตัดศีรษะตนเองชดใช้ แต่หากนำมาได้แล้ว ท่านก็ต้องมอบศีรษะท่านมาให้เราด้วย"
   ผมถึงกับนึกโมโห ไอ้สองคนนี้ กวนตีนกูซะแล้ว ถึงกับท้าทายแลกศีรษะ ตอนนั้นเลยเหลือบแลดูลิฉุย ว่ามันเห็นพร้องประการใด แม้มันยังจะไม่พูดอะไร แต่ก็ดูทรงแล้วคงเข้าข้าง ไอ้สองตัวนี้    ผมเลยคิดว่า จะยังไงก็ยากจะทัดทานแล้ว พลันคิดว่ามันอยากจะไปตายก็ให้มันไปตายเถิด แต่ก็อดคิดสงสารแทนทหารที่มันนำพาไปรบด้วยไม่ได้ อาจจะพากันตายหมดเพราะความโง่อวดดีของไอ้สองคนนี้ เลยตัดสินใจพูดว่า
   "หากพวกท่าน จะออกไปรบกันเสียให้ได้ ข้าพเจ้าก็จนใจทัดทาน แต่ควรให้ ท่านหวนเตียวกับท่านเตียวเจ นำทหารไปซุ่มซ่อนที่เขาเจียวจิด หากพวกท่านพลาดท่าเสียที่กันอย่างไร ก็ยังสามารถช่วยแก้ไขรักษาชีวิตทหารไว้ได้"
   ลิบ้องกับอ่องหอง ฟังแล้วต้องเค้นเสียงดัง เหอะ เพราะหากกล่าวว่าพวกมันจะพลาดท่าเสียที ไยไม่ใช่เป็นการดูถูก พลันลิฉุยกล่าวแทรกมาว่า
   "เรื่องที่จะให้หวนเตียวกับเตียวเจนำทหารออกไปนอกเมืองเสียแต่ตอนนี้นั้น ข้าไม่เห็นด้วย เอาเถิด ข้าตัดสินใจแล้ว จะให้ ลิบ้องกับอ่องหอง ออกไปรบ"
   พลันออกคำสั่งมอบทหารให้ลิบ้องกับอ่องหองคุมไป หมื่นห้า เดินทางออกไปสกัดตีทัพหน้าของม้าเท้ง นั่นก็คือม้าเฉียว แล้วเอาหัวม้าเฉียวมาให้ได้
   ลิบ้องกับอ่องหอง พลันยินดีจนกระหยิ่มยิ้ม รีบรับคำ แล้วขอตัวออกไปจัดเตรียมทหาร โดยก่อนออกไปทั้งคู่ยังแอบยิ้มแขวะมองผม
   แล้วลิบ้องกับอ่องหอง ก็คุมทหารหมื่นห้า เดินทัพออกจากเตียนอัน ออกไปรบสกัดทัพม้าเฉียว พลันเดินทางไปได้สองพันเส้น เลยช่องหุบเขาเจียวจิดออกไป ก็เจอกับกองทัพม้าเฉียวกำลังเดินทัพมาพอดี ทั้งสองฝ่ายต่างจึงเร่งแปลขบวนทัพ ประจันหน้าเพื่อทำสงคราม
   ยามนั้นเสียงกลองศึกดังลั่นปลุกเร้าอย่างฮึกเหิม ทหารทั้งสองฝ่ายต่างส่งเสียงโห่ร้องข่มขวัญฝ่ายตรงข้าม อ่องหองเห็นม้าเฉียวเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุไม่มาก ประสบการณ์น่าจะมีน้อย ฝีมือไม่น่าจะมีมากอันใด จึงคิดเอาชัย โดยการสู้ตัวต่อตัวกำจัดแม่ทัพฝ่ายตรงข้าม เลยขับม้าออกนอกแนวทหาร ไปกึ่งกลางสนามรบ ร้องท้าทายให้มาสู้ตัวต่อตัว
   "กูคืออ่องหอง แม่ทัพหน้า ของเตียนอัน ไอ้ม้าเฉียวหากเก่งกล้าสามารถ ก็ออกมาสู้กับกูตัวต่อตัว อย่าให้ต้องเดือดร้อนเสียไพร่พลทหาร มาตัดสินกันอย่างลูกผู้ชายชาตินักรบเถิด"
   ม้าเฉียวถูกร้องท้าก็โกรธ ขับควบม้าวิ่งตะบึงเข้าหา ร้องตะโกนว่า
   "กูคือม้าเฉียว แม่ทัพหน้าเสเหลียง มึงร้องท้าทายกู ก็เตรียมตัวตายเถิด"
   พลันขับม้าเข้าประชิด ทิ่มแทงทวนเข้าหา อ่องหองต้านรับสองกระบนเพลง ก็แอบตกใจ ครุ่นคิดว่าผืดท่าแล้ว ม้าเฉียวฝีมือร้ายกาจนัก พอถูกรุกไล่อีกสามกระบวนเพลงก็รู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ จึงชักม้าจะหนีกลับเข้าแนวทหาร แต่ม้าเฉียวก็ขับม้าตามประชิดไม่ปล่อยให้มันหนีรอดได้ พลันร่ายรำทวนแทงติดต่อกัน อ่องหองก็เสียท่า ถูกทวงของม้าเฉียวแทงตกหลังม้า ลงไปนอนตาย
   ทหารของม้าเฉียวเห็นดังนั้น ก็โฮ่ร้องเฮกันอึงอน ทุบเกราะตีอาวุธส่งเสียงกันเกรียวกราว ลิบ้องเห็นอ่องหองถูกแทงตกม้าตายก็โกรธ ตอนนั้นม้าเฉียวขับม้าไล่ฆ่าอ่องหองจนมาใกล้แนวทหารฝ่ายตน พอเห็นม้าเฉียวชักม้ากลับนึกได้โอกาสลอบทำร้ายมันข้างหลัง จึงรีบขับม้าวิ่งกวดตามหลัง มือก็ถือง้างง้าวหมายฟันหัวมาเฉียวให้ขาดลง
   ลิบ้องเข้าใจว่าเสียงเฮของทหารจะกลบเสียงฝีเท้าม้า ทำให้ม้าเฉียวไม่ทันรู้ตัวว่า มันขี่ม้าลอบควบตามมาข้างหลัง ไม่คาดว่า ม้าเฉียวกับรู้สึกตัว เพียงแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ พอลิบ้องใกล้ถึงตัวฟันง้าวใส่ ม้าเฉียวก็ก้มหลบ แล้วพลิกตัวสะบัดทวนกลับหลังตีถูกลิบ้องจนเสียหลักตกจากหลังม้า
   กองทัพม้าเฉียวเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งเฮดังขึ้นไปอีก ส่วนกองทัพของลิบ้องอ่องหองนั้นกลับอกสั่นขวัญแขวง เพราะนายทัพสองคน คนหนึ่งตาย แต่อีกคนก็ตกอยู่ในมือศัตรู ยามนั้นขาดคนนำทัพ นายกองทั้งหลายก็พากันสับสน ม้าเฉียวเห็นดังนั้นจึงให้สัญญาณเข้าเปิดฉากตะลุมบอน ทหารม้าเฉียวเห็นดังนั้นก็กรูกันบุกวิ่งเดินหน้าใส่แนวทหารของฝ่ายเตียนอันจนระส่ำแนวทหารแตกกันหมด
   เพียงพริบตา กองทัพของลิบ้องกับอ่องหองก็ถูกบดขยี้จนแตกผ่าย ต่างคนต่างหนีตายกันอลหม่าน ที่หนีรอดก็รอดที่หนีไม่รอดก็ตาย ซากศพทหารจากเตียนอันนอนตายกันเกลื่อนกลาด ลิบ้องที่ถูกม้าเฉียวควบคุมตัวอยู่เห็นเช่นนั้นถึงกับหลั่งน้ำตา คิดว่าหากเชื่อคำกาเซี่ยงผลก็คงไม่ลงเอยเช่นนี้ แต่สำนึกตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว แล้วลิบ้องก็ถูกม้าเฉียวตัดหัวเสียบประจานเพื่อข่มขวัญฝ่ายเตียนอันไปในที่สุด
   ลิฉุยพอได้ข่าวศึก ว่าลิบ้องกับอ่องหองแตกผ่ายแล้ว ทั้งลิบ้องกับอ่องหองล้วนตายในสนามรบ ทหารหมื่นห้าแทบไม่เหลือรอดกลับมา พลันนึกโมโหเดือดดาล แต่ไม่คิดส่งใครออกไปรบอีก คราวนี้ทำตามที่ผมบอก โดยให้คุ้มกันเมืองให้หนาแน่น โดยสั่งให้ทหารประจำการบนเชิงเทินอย่างแข็งขัน เตรียมรับมือกับการบุกประชิดตีกำแพงเมือง
   ม้าเฉียวพอทำลายทัพลิบ้องกับอ่องหองแล้ว ก็เร่งรุดเดินหน้า จนมาถึงเตียนอัน พลันเห็นทหารเตียนอันจัดการป้องกันกำแพงประตูเมืองแน่นหนายากต่อการบุกเข้าตี อีกทั้งมันยังมีประสบการณ์ที่เสียทีต่อการเข้าตีกำแพงด่านเองเปงก๋วน คราวนี้จึงไม่ผลีผลามสั่งทหารบุกเข้าตีประตูเมือง แต่ตั้งค่ายรอกองทัพใหญ่มาสมทบก่อน
   และอีกวันถัดมา ทัพใหญ่ของท้าเท้งและหันซุยก็ตามมาถึง พวกมันไม่อาจรอช้าเพราะเสบียงมีจำกัด จึงสั่งให้ทหารทั้งหมดบุกประชิดตีกำแพงเมืองหมายเผด็จศึกโดยเร็ววัน แต่ฝ่ายลิฉุย กุยกี่ หวนเตียวและเตียวเจ ก็ป้องกันกำแพงเมืองอย่างแข็งขัน จนยากจะตีให้แตกได้ ม้าเท้งกลับต้องเสียไพล่พลล้มตายไปจำนวนมาก
   ยามนั้นเห็นยากจะตีหักเข้าไป จึงสั่งให้ถอยทัพ มาล้อมเตียนอันไว้ทั้งสี่ด้าน หาช่องทางจุดอ่อนจะตีฝ่ากำแพงเมืองใหม่ แต่จนแล้วจนรอดไม่อาจหาช่องทางตีหักเข้าไปได้ พอรบชิดติดกำแพงเมืองก็ถูกต่อต้านอย่างหนัก ไม่อาจหักตีประตูเมืองให้แตก ต้องถอยร่นกลับมาทุกครั้ง
   ยามนั้นม้าเท้งกับหันซุย ทำการใดไม่ได้ ได้แต่ตั้งค่ายโอบล้อมเตียนอันไว้เช่นนั้น จนเสบียงเริ่มร่อยหลอ ทหารเริ่มอ่อนล้า เสียขวัญกำลังใจ แต่ก็ยังอดทนยืนหยัดกันอยู่
   ผมยืนคำนวณเหตุการณ์ คาดการณ์บนเชิงเทิน คิดว่าเวลานี้เสบียงม้าเท้งกับหันซุยคงใกล้จะหมดแล้ว และมันก็ยากที่จะเข้าตีเตียนอันให้แตก สมควรที่พวกมันจะยอมแพ้ถอยทัพกลับได้แล้ว แต่ไฉนยังกล้ายืนหยัดอยู่ หากคิดจะสู้จนเสบียงหมด ก็รั้งจะมีแต่ย่อยยับอำปรางไปทั้งกองทัพ    ยามนั้นครุ่นคิดไม่ออก ว่าอะไรที่ทำให้ม้าเท้งยังยืนหยัดจะเข้าตีเตียนอันอยู่ ในสถานการณ์สภาพที่เริ่มย่ำแย่ของมันในตอนนี้ จะว่าม้าเท้งเป็นคนโง่ที่ไม่รู้สถานการณ์ก็ไม่ใช่ เพราะการที่มันยืนหยัดจะสู้ตายถวายหัวเช่นนี้ มันย่อมต้องมีความมั่นใจอะไรอยู่ แล้วอะไรที่ทำให้มันมั่นใจว่าจะตีเตียนอัน
   พลันครุ่นคิดไปร้อยแปดวิธี ที่จะสามารถโจมตีเตียนอันให้แตกได้ ในสภาพของม้าเท้งในตอนนี้ ครุ่นคิดแล้วแทบไม่มีวิธีใด นอกเสียจากว่า มีไส้ศึก
   คำนี้พอผุดขึ้นมา ก็พลันได้คิด อาจมีใครในเตียนอันลอบติดต่อม้าเท้งเพื่อจะทำการอย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นได้ ม้าเท้งมันถึงได้อดทนรออยู่ เรื่องนี้ก็นับว่าเป็นไปได้ เพราะขุนนางที่ไม่ชอบพวกลิฉุยก็มีมาก แม้ต่อหน้าไม่แสดงออก แต่ลับหลัง ก็คิดหาทางโค่นล้มอยู่เป็นเนืองนิด ดังนั้นผมจึงรีบสั่งให้ทหารกองหนึ่งรีบนำข่าวไปปล่อยให้ทั่วเมือง ว่าม้าเท้งเสบียงจะหมด จะแพ้จนถอยทัพแล้ว และลิฉุยรู้ว่ามีไส้ศึกในเมืองแอบสมคบกับม้าเท้ง เตรียมจะทำการสอบสวน หากพบผู้ใดมีความผิด จะฆ่าล้างตระกูล บ่าวทาสก็ไม่ละเว้น หากผู้ใดรู้เห็นไม่เกี่ยวข้องด้วย ก็ให้นำข่าวไปแจ้งต่อกรมเมือง จากนั้นก็บอกต่อลิฉุย ให้มีคำสั่งคุมเข้มประตูเมืองทั้งสี่ด้าน หากไม่มีคำสั่งโยกย้ายจากลิฉุยก็ห้ามผู้ใดละทิ้งหน้าที่ เพื่อป้องกันพวกไส้ศึกก่อการลักลอบเปิดประตูเมือง
   สิ่งที่ผมคาดการณ์หากเป็นจริง จะอย่างไร ต้องมีพิรุธของไส้ศึกออกมาให้เห็นบ้าง แต่ถึงมันไม่แสดงพิรุธ พวกมันก็ยากจะก่อการ เพราะประตูเมืองถูกคุมเข้มแล้ว แต่หากไม่มีไส้ศึกจริง ก็ไม่เสียหายอันใด ถือว่าป้องกันไว้ก็ไม่เสียหลาย
   แต่มันก็จริงดังคาด ข่าวพอแพร่ออกไป คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ดีใจ ที่รู้ว่าม้าเท้งเสบียงหมดกำลังจะปราชัย แต่คนที่ลอบติดต่อเป็นไส้ศึกให้ม้าเท้งนั้นกลับเริ่มอกสั่นขวัญแขวง เพราะประตูเมืองตอนนี้ถูกคุมเข้มจนพวกมันก่อการไม่ได้แล้ว อีกทั้งม้าเท้งกำลังจะถอนทัพ นับว่าแผนกำลังจะล้มเหลว จึงเริ่มหวั่นวิตกกลัวว่าเรื่องจะสืบสาวมาถึงตน ดังนั้นก็เริ่มอยู่ไม่ติด
   จนกระทั้งมีบ่าวคนสนิทของ ม้าฮู แอบลอบนำความมาบอกต่อลิฉุย ว่าเจ้านายมัน รวมสมคบคิดกับตงเชียว กับเล่าเฉีย แอบติดต่อกับม้าเท้ง รับเป็นไส้ศึกภายในจะก่อการเปิดประตูเมืองให้
   อัน ม้าฮู ตงเชียว เล่าเฉีย ทั้งสามคนเป็นขุนนางข้าราชบริพารในพระเจ้าเหี้ยนเต้ มีความไม่ชอบพอพวกลิฉุยอยู่แล้ว เพราะนับวันลิฉุยกับกุยกี่จะยิ่งมีอำนาจมากขึ้นในราชสำนัก จึงกลัวว่าวันหนึ่งพวกลิฉุยคิดจะโค่นล้มพระเจ้าเหี้ยนเต้ จึงคิดหาทางกำจัดเสีย เพียงแต่ยังไม่มีโอกาส ครั้งพอทราบว่าม้าเท้งนำกำลังบุกประชิดกำแพงเมืองเตียนอัน จึงเห็นเป็นโอกาสเลยแอบลักลอบติดต่อกับม้าเท้งคิดยืมมือม้าเท้งกำจัดพวกลิฉุย แต่การนี้ไม่สำเร็จความแตกเสียก่อน เพราะบ่าวคนสนิทกลัวตายจากข่าวลือที่ได้รับ จึงนำความไปแจ้งต่อลิฉุยเพื่อแลกกับชีวิตตัวเองและครอบครัว 
   ลิฉุยพอทราบ ก็สั่งทหารให้ไปจับ คนทั้งสามรวมถึงครอบครัวพวกมันมาทั้งหมด จากนั้นก็สั่งประหารตัดหัวเอาไปเสียบประจานบนกำแพงเมือง ม้าเท้งพอเห็นก็สิ้นหวัง เพราะความหวังหนึ่งเดียวพังทลายลงเสียแล้ว ดังนั้นไม่อาจยืนหยัดล้อมเตียนอันไว้ได้อีก เพราะเสบียงนั้นร่อยหลอลงเต็มที ตอนนี้ต่อให้ไม่ต้องทำศึก เอาแค่พอให้มีเลี้ยงกองทัพเดินทางกลับเสเหลียงก็ยังไม่พอ
   ม้าเท้งจึงตกลงกับหันซุยที่แยกย้ายกันถอนทัพกลับกันโดยเร็ว ทั้งคู่จึงเร่งดำเนินการแยกย้ายกันถอนทัพ ลิฉุยพอได้รับรายงานว่า ม้าเท้งกับหันซุยกำลังถอนทัพ จึงรีบทำตามที่ผมเคยให้คำแนะนำไว้ โดยจะส่งกำลังไปตามตีบดขยี้ จึงให้หวนเตียวนำกำลังกองหนึ่ง เตียวเจนำกำลังอีกกองหนึ่ง ไปตามตีเด็ดหัว ม้าเท้งกับหันซุย มา
   หวนเตียวนั้นนำทหารตามหันซุย ส่วนเตียวเจก็นำทหารไล่ตามม้าเท้ง ทั้งม้าเท้งและหันซุยต่างมีกองระวังหลังเพื่อป้องกันการถูกตามตีขณะถอยทัพ เพียงแต่ทหารของทั้งคู่ ระยะหลังแทบไม่ได้กินอิ่ม เพราะกองทัพขาดเสบียงร่างกายอ่อนเพลียและเสียขวัญ พอถูกหวนเตียวกับเตียวเจบุกตามตี ก็ไม่อาจต้านทานไว้ได้ ถูกตีแตกพ่ายยับเยิน
    ม้าเท้งนั้นต้องยอมรับว่ากองทัพมันเป็นคนมีฝีมือ ขนาดกองทัพของมันตกอยู่ในสภาพล่อแล่ขนาดนี้ มันฮึดสู้หนีพ้นมือเตียวเจไปได้ แต่กระนั้นกองทัพของมัน ก็เสียหายสาหัส
   ในขณะที่หันซุย ถูกหวนเตียวตามตีไม่ลดละ เสียทหารไปเป็นอันมาก ดูท่าจะหนีไม่รอด พลันไม่ถอยหนี ตั้งทัพประจันกับหวนเตียว เพียงแต่ไม่คิดจะรบ หากแต่พูดจาขอร้องว่า
   "ท่านแม่ทัพหวนเตียว ตอนนี้ข้าไร้ทางสู้แล้ว ได้โปรดเห็นแก่มิตรภาพเก่าก่อน ท่านกับข้าล้วนเป็นคนบ้านเดียวกัน เติบโตเล่นมาด้วยกัน ถือว่าเคยเป็นสหาย ถ้าหากท่านมีน้ำใจเมตตา ก็ขอความกรุณาปล่อยข้าไปสักครั้ง"
   หวนเตียวจึงว่า
   "แม้เราจะเคยเป็นสหาย แต่ตอนนี้ข้ารับราชการอยู่กับลิฉุย หน้าที่จึงมี หากปล่อยท่านไป ข้าก็ผิดอาญาทัพ"
   หันซุยขอร้องอีกว่า
   "ข้าทำการนี้ มิใช่เพราะมีความแค้นส่วนตัวกับท่าน หากแต่ทำไปเพราะต้องการช่วยพระเจ้าเหี้ยนเต้ ท่านเองแม้จะรับราชการอยู่กับลิฉุย แต่ก็ข้ารับใช้ในพระเจ้าเหี้ยนเต้เช่นเดียวกัน โปรดเห็นแก่ความภักดีของข้าที่มีต่อแผ่นดิน โปรดละเว้นข้าสักครั้งเถอะ"
   หวนเตียว ไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด คิดแล้วน่าเห็นใจอยู่บ้าง จึงโบกมือให้หันซุยหนีไปอย่างเสียมิได้ หันซุยดีใจยิ่งรีบพาทหารของมันหนีไปโดยเร็ว หวนเตียวก็ไม่ได้ติดตามไปโจมตีอีก
   ยามนั้น ลิเบียดผู้เป็นหลานลิฉุย ติดตามทัพมากับหวนเตียวด้วย เห็นหวนเตียวทำเช่นนั้นก็ไม่พอใจ หากแต่หวนเตียวเป็นแม่ทัพ ตนเองเป็นผู้น้อยไม่สามารถพูดมากได้ จึงได้นำความแอบให้ม้าเร็วส่งสารถึงลิฉุย
   ลิฉุยพอได้อ่านสารก็โกรธ จะสั่งให้ไปจับหวนเตียวมา ผมอยู่กับลิฉุยใน ณ ขณะนั้น เห็นมันสั่งการแบบนั้นก็ตกใจ จึงขออ่านสารนั้นด้วย ในสารนั้นแจ้งมาว่า หวนเตียวคิดเอาใจออกห่าง เอาใจเข้าข้างศัตรู ยอมปล่อยหันซุยไป
   ผมจึงรีบทัดทานลิฉุยไว้ก่อนว่า
   "หากท่าน จะให้ไปจับหวนเตียวตอนนี้ เกรงว่าเราจะต้องรบกันเอง มีแต่จะวุ่นวายแตกแยก อีกทั้งเรื่องยังไม่กระจ่างชัด จะสรุปด้วยข้อความเพียงเท่านี้ไม่ได้ ทางที่ดีควรรอหวนเตียวกลับมาก่อน แล้วจัดเลี้ยงโต๊ะต้อนรับ สอบถามความเสียแต่ตรงนั้น หากผิดจริงก็สั่งลงอาญา หากไม่ผิดก็จะไม่กินแหนงแคลงใจ อีกทั้งไม่ต้องรบกันให้เสียทหาร"
   ลิฉุยเค้นเสียงดัง เฮอะ อย่างไม่ใคร่จะเห็นด้วย เพราะคิดว่าผู้ทำผิดไหนเลยจะยอมรับ ย่อมต้องมีข้ออ้างแก้ตัวอยู่แล้ว แต่คิดอีกที ก็เห็นด้วยที่ไม่ต้องรบกันให้เสียทหาร จึงสั่งให้จัดเลี้ยงโต๊ะต้อนรับ รอ หวนเตียวและเตียวเจกลับมา
   เมื่อหวนเตียวกับเตียวเจกลับมาถึง ก็ถูกเรียกไปพบ และเชิญให้นั่ง ทั้งหมดในห้องโถงรับรองนั้น มีเพียงแค่ 5 คน คือ ลิฉุย กุยกี หวนเตียว เตียวเจ รวมทั้งผมด้วย
   เมื่อทั้งหมดนั่งกันเป็นที่เรียบร้อย ลิฉุยก็เชิญทุกคนดื่ม พอดื่มเสร็จไปสองสามจอก ลิฉุยก็ถามหวนเตียวตรงๆ ว่า
   "ท่านหวนเตียว เราให้ท่าน นำทหารไปไล่ตามจับหันซุย นำหัวมันมาให้กับเรา แล้วไฉนท่านไม่ทำตามคำเรา กลับเอาน้ำใจเผื่อแผ่ศัตรู จงใจปล่อยให้มันหนีไป ทำเช่นนี้เจตนาเอาใจออกห่างเราหรือไม่"
   หวนเตียวตกใจในทีแรกที่ลิฉุยรู้เรื่องนี้ แต่ก็พอคาดเดาได้ว่าในกองทัพมันต้องมีคนแอบส่งข่าวให้มันรู้ จึงยืดอกยอมรับว่า
   "ถูกต้องข้าปล่อยให้ หันซุย หนีไป แต่คนอย่างข้าหวนเตียว ไม่เคยคิดคดต่อเพื่อนฝูง หากคิดว่าข้าเอาใจออกห่างนั้น หาจริงไม่"
   ลิฉุยพลันเค้นเสียง ดัง เฮอะ พูดว่า
   "ท่านไม่ทำตามคำสั่ง เจตนาปล่อยศัตรูที่คิดหมายล้มล้างเรา ทำเช่นนี้ยังไม่เรียกว่าเอาใจออกห่างอีกหรือ..เพชรฆาต นำตัวออกไปประหาร"
   ผมกับเตียวเจ พอได้ยินพากันตกใจ ผมรีบทัดทานว่า
   "ช้าก่อน ท่านลิฉุย ถึงแม้หวนเตียวจะมีความผิด แต่ควรให้อธิบายเหตุผลก่อน หากเป็นที่รับฟังได้ โทษนั้นอาจไม่ถึงตาย ยิ่งเวลานี้ เราต้องการบุคลากร การประหารท่านหวนเตียว เท่ากับเป็นการตัดแขนขาตนเอง จะอย่างไรควรพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อน"
   เตียวเจรีบเสริมว่า
   "ท่านลิฉุย หากจะว่าหวนเตียวเอาใจออกห่างนั้น ข้าพเจ้าไม่เชื่อ พวกเราล้วนเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมามากขนาดไหน ครั้งนี้ถึงหวนเตียวมีความผิดตามอาญาทัพ แต่ความดีที่หวนเตียวเคยสร้างไว้ก็มีไม่น้อย จะอย่างไรให้ท่านพิจารณาลดหย่อนผ่อนโทษด้วย"
   กุยกี่ จึงว่า
   "กฎหากไม่เป็นกฎ แล้วจะมีความศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร ต่อไปจะควบคุมกองทัพอย่างไรได้"
   ผมจึงแย้งว่า
   "จริงอยู่ กฎอาญาทัพสมควรมีความศักดิ์สิทธิ์ แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ หากทำตามกฎแล้ว เสียมากกว่าได้ ก็สมควรผ่อนปรนบ้าง....."
   ผมยังพูดไม่ทันจบ ลิฉุยก็ตวาดแทรกมาว่า
   "พอเถอะ กาเซี่ยง เจ้าคัดค้านขนาดนี้ มิใช่รู้เห็นเป็นใจกับหวนเตียวด้วยรึ"
   ผมถึงกับสะอึกพูดอะไรไม่ออก หวนเตียวพลันหัวร่ออย่างข่มขืน พูดว่า
   "ข้าหวนเตียวเป็นคนเช่นไร พวกเจ้าย่อมรู้อยู่แก่ใจ จะคิดคดหักหลังสหายนั้นข้าไม่เคยกระทำ หากแต่สหายเวลานี้ มิรู้ว่ายังคิดเห็นข้าเป็นสหายอยู่หรือไม่ เมื่อระแวงสงสัยกันแล้ว ข้าหวนเตียวไม่ตายวันนี้ก็ต้องตายพรุ่งนี้ เอาเถิด ลิฉุย เจ้าจะกระทำการใดก็กระทำ"
   ลิฉุยพลันโกรธจัด ที่หวนเตียวพูดจาเหน็บแหนม อีกทั้งไม่ให้ความเคารพ แถมยังท้าทาย จึงสั่งให้ลากตัวไปประหารในบัดดล ผมกับเตียวเจได้แต่ยืนก้มหน้าสะทกสะท้อนใจ ที่ช่วยเหลืออันใดไม่ได้
   เมื่อลิฉุยกับกุยกี่ไปแล้ว เตียวเจ จึงลอบมาบอกผมว่า อันลิฉุยกับกุยกี่ ยามนี้ผิดไปจากเดิม ดูเจ้ายศเจ้าอย่าง และหลงมัวเมาในอำนาจไม่ต่างจากครั้งตั๋งโต๊ะ ทั้งคู่ยามนี้เชื่อแต่คนใกล้ชิด ประจบสอพลอ งานราชกิจต่างๆ ไม่ได้สนใจ คนดีคนเก่งไม่ใช้งาน ใช้แต่พวกลิ่วล้อประจบสอพลอของฝ่ายมัน แถมยังเริ่มหวาดระแวงสงสัยผู้อื่นจะทำการโค่นล้ม หวนเตียวนั้นถูกระแวงมานานแล้ว เพราะมันชอบไปคลุกคลีกินเหล้ากับเหล่าขุนนางในราชสำนัก ทำให้ลิฉุย กุยกี่ เกิดความคลางแคลงใจ คิดว่ามันอาจคิดไม่ซื่อได้ เราเคยตักเตือนหวนเตียวมันไปหลายครั้งแล้ว แต่มันก็มิได้นำพา หาว่าเรามีจิตคิดระแวงต่อสหายกันไปเอง
   ครั้งนี้เป็นที่ประจักแล้ว ว่าการที่ลิฉุยสั่งประหารหวนเตียวโดยไม่ลังเล ย่อมเกิดจากความหวาดระแวงจริง เตียวเจจึงคิดว่า ครั้งนี้เป็นที่หวนเตียว ครั้งหน้าอาจเป็นตัวมันเอง ดังนั้นจึงแอบมาปรึกษาหาทางออกในเรื่องนี้
   ผมเองก็สังเกตเห็นตั้งแต่ครั้งลิบ้องกับอ่องหองแล้ว เพราะตอนนั้นดูมันไม่ใคร่ใส่ใจคำพูดผมเท่าไหร่ ผิดกับกาลก่อนที่มักจะตั้งใจรับฟัง พอลิบ้องอ่องหองตาย ลิฉุยจึงต้องทำตามแผนผมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดูไปผมเองก็น่าจะลำบากอยู่ในอนาคต แต่ตอนนั้นต้องหาทางคลี่คลายให้เตียวเจก่อน จึงแนะนำให้เตียวเจ ว่า พรุ่งนี้ ให้ไปเสนอลิฉุยว่า เมืองฮองหลง เมืองหน้าด่านเตียนอันทางตะวันออก ไม่มีทหารประจำการ ท่านก็อาสาลิฉุยไปอยู่เถิด โดยอ้างว่า หากเกิดเหตุกบฏหัวเมืองเช่นม้าเท้ง ในทางฝั่งตะวันออก ก็จะได้เป็นด่านป้องกันด่านแรก ป้องกันเตียนอันไว้ เท่านี้ท่านก็จะพ้นมือของลิฉุย
   เตียวเจฟังแล้วเห็นดีด้วย วันรุ่งขึ้น จึงไปเสนอลิฉุยตามที่บอก ลิฉุยกับกุยกี่ ก็เห็นด้วยพร้องกัน เพราะตอนนี้ นับอำนาจในเมืองหลวงแล้ว เตียวเจก็เป็นรองแค่พวกมัน หากให้เตียวพ้นไปจากเมืองหลวงเสียได้ก็เป็นการดี จะได้ไม่ต้องมาคอยหวาดระแวงเป็นการภายใน
   เตียวเจจึงยกทหารของตนเองพร้อมกับเตียวสิ้ว เดินทางออกไปเมืองฮองหลง ตอนนั้นการศึกภายนอกแม้สงบแล้ว แต่การเมืองภายในกลับเริ่มคลุกกรุ่น พอเตียวเจพ้นไปจากเมืองหลวง ลิฉุยก็ตั้งตัวเองเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดฝ่ายขวาดูแลฝ่ายข้าราชการ แล้วก็ตั้งกุยกี่เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดฝ่ายซ้ายดูแลฝ่ายพลเรือน ทั้งคู่จึงมีอำนาจสูงสุดในเมืองหลวงใน ณ ขณะนั้น

cd13579

#1
ม้าเฉียวก็ยังคงเป็นม้าเฉียว ถึงจะหนักหนาแต่ก็ยังอึด ส่วนเรื่องภายในยังไงก็ไม่พ้นกาเซี่ยงต้องซวยอยู่ดี




ขอฝากคำเตือน  ก่อนคอมเม้นต์ จากเจ้แว่น
................................................
ใครจะอ่านผลงานทุกตอนในห้องนี้ ถ้าทำตามกติกา-เงื่อนไขนี้ไม่ได้ แล้วรีพลายมักง่ายผ่านไปที หรือ รีพลาย ขอบคุณครับ,ขอบคุณ,ขอบคุณค่ะ,ติดตามครับ,สนุกมากครับ,ติดตามต่อ. อะไรประมาณนี้ จะแบนเลยนะ ขอบคุณมากๆครับ ก็ไม่ต้อง thank,thank you,thx ขี้หมาหลายแหล เหล่านี้ก็อย่าให้เห็น จัดรูดแบนไปยาวๆถ้าเจอ นี่เป็นข้อตกลงไว่ก่อนอ่านระหว่างเจ้าของงาน กับสมาชิก ::Angry:: ถ้า รีพลายผิดเงื่อนไขมาหรือ โชว์พาล์วอยู่มานาน โชว์เก๋า โชว์สด โชว์เกรียน ทำมึนลองมาจะแบนเลย เพื่อสมาชิกอีกส่วนที่พร้อมทำตามกติกา ::Cheeky:: เพราะไม่เช่นนั้น รีพลายคุณอาจทำให้ สมาชิกที่ปฏิบัติตามพลอยอดอ่านไปด้วย ฉะนั้นไม่แน่ใจ อย่าพิมพ์เอามักง่ายมั่วๆ..ถ้าคิดว่า กฏนี้มันยากก็ไปหาที่อื่นเสพนะ อย่าเข้ามาใช้มาอ่านงานที่ห้องนี้ อ๋อ ใครโดน pm เตือนถ้ายังมึนจะแบนจาก 6 เดือนเป็น 1ปี. .

กฎที่วางนี่ไม่ได้เขียนเอา ฮา เนอะ แบนจริงใครอยู่นานแล้วคงรู้จัก แว่น ดี..คิดว่า ฉันแบนจริงหรือเตือนเอาสนุกเล่นๆ..อย่าๆลอง เดี๋ยวจะเสียความรู้สึกด้วยรีพลายคุณเอง ทำตามเงื่อนไข ยากอะไร หรือ จะโชว์เกรียน..เตือน,ขอร้อง,ขอความร่วมมือ แล้วเมื่อไม่รักษาสิทธิ์-ประโยชน์คุณเอง ก็แบนไปใช้เวปอื่น. .
................................................................................................................
ใครหื้อใครซ่า ข้าแบนเรียบ

navy868

งานจะเข้ากาเซี่ยงอีกหรือเปล่า ลิฉุยเริ่มจะบ้าพลังขึ้นทุกที... ::Angry::

ัuffa555

เมื่อหลงใหลในอำนาจ ย่อมทำให้ขาดสติ 
จับมันไปประหารให้หมด  ::Angry::

Phoowadol

#4
การศึกครั้งนี้ไม่ง่ายเสีย แล้ว เมื่อแม่ทัพ ไม่เชื่อ กุณซือ ดื้อแต่งทัพหมาย เข้าบดขยี้ มัาเฉียว ผลสุดท้าย พ่ายเกมส์ยุทธ กลับมา แถมกำลังพลก็ ขาดหายไปเกือบหมื่น เพราะความทนงตัวแท้ๆ
ไม่พอ ยังมี ศึกในให้ระแวงกันเองอีก แบบนี้ ท่านกาเชียง ลำบากแน่ ที่ชิงหนีเกมส์หลงอำนาจ ไปรอด แล้วหนึ่ง คือเตียวเจ แล้วแบบนี้ ท่านกาเชียง จะ หาวิธีไหน ในการที่จะชนะการศึกนี้ ทั้งใน นอก ต้องดูกัน ยาวๆ แล้วหละ ลับ ลวง พราง จริงๆ


.............+2 money ::Confident::
รีพลายโดดนๆ มีน้ำใจสละเวลา
ตอบอย่างไม่ชุ่ยหรือผ่านๆ เยี่ยมมาก

meowmeng

ท่านกา ไม่น่ากลับมาช่วยลิช่ยเลยเสียวหัวเปล่าๆ

กำพล

งานนี้ท่านกาคงต้องเหนื่อยแน่นอนเพื่อที่จะรักษาชีวิตของตัวเอง  และบรรดาเมียๆทั้งหลายของมัน

sthanya

ทำไปทำมา เรื่องจะเข้าตัวซะแล้ว ทั้ง ๆ ทีช่วยคนอื่นให้ได้ดีทั้งนั้น

นัทโตะ

ไปอยุ่กับเตียวสิ้วเเล้ว จะมีแอบไปเล่นนางเจ๋าซือด้วยไหมเนี่ย 55555

shevchenko55

คนเราพอมีอำนาจแล้วส่วนใหญ่จะหลงระเริงไปกับอำนาจที่ตนเองมี ลักษณะแบบนี้มีให้เห็นทั่วไปจนมาถึงปัจจุบันเรานี่เอง ดูการเมืองบ้านเราเป็นตัวอย่าง "ค่าของคน อยู่ที่คนของใคร" ฮาๆ

cobra888

เข้าใกล้ขั้วอำนาจมากเกินไปก็มอดไหม้
ห่างเกินไป ก็ไม่อบอุ่น เสมือนมีใจออกห่าง
  การบริหารเจ้านาย โบราณว่ามันศิลปะขั้นสูงที่ฝากให้ท่านกาเซี่ยง พึงระลึกและยึดถือต่อไป ::Confident::

tritrate

ถ้าท่านกาเซี่ยงแสดงความสามารถมากเข้าอีกก็อาจจะโดนหมายหัว แล้วจะรักษาชีวิตตัวเองกับเมียๆทั้งหลายยังไง อยากรู้ตอนต่อไปคับ

koboy

ตามลุ้นวิถีท่านกาเซี่ยงต่อครับ จะมีศิลปะการครองตนเยี่ยงใดในยุคเถื่อน

peat


pornpat tammalangka

พอมีอำนาจก็ไม่สนใจคนที่เคยร่วมสู้กันมา