ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

กังปังตะลุยยุทธภพ ตอน มังกรสะบัดหลัง

เริ่มโดย cobra, กุมภาพันธ์ 19, 2019, 01:09:06 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

ชอบตอนนี้หรือไม่

ชอบ
56 (100%)
ไม่ชอบ
0 (0%)

จำนวนสมาชิกโหวดทั้งหมด: 56

cobra



นักแสดง้ป็นเศรษฐีฮิ่มในเรื่อง
กังปังตะลุยยุทธภพ ตอน วิงวอนท่านช่วยข้าด้วย
คำชี้แจง
เรื่องที่ผู้แต่งนำนวนิยายมังกรหยกมาดัดแปลง จะมี 3 เรื่อง 3 คือ
1.พิศวาสมังกรหยก 2.เดชคัมภีร์นางฟ้า 3.กังปังตะลุยยุทธภพ
.ทั้ง 3 เรื่อง จะเป็นภาคต่อกันมา ซึ่งบางตอนผู้เขียนพยายามจะอธิบายถึงเรื่องเกิดขึ้นจึงนำสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนต้นภาคแรกมาผสมกัน เพื่อใครที่ยังไม่ได้ติดตามแต่ต้นได้เข้าใจ แต่หากไปทำให้สับสนกว่าเดิมต้องขออภัยในการนำเสนอที่ไม่ดีพอของผู้เขียน และน้อมรับคำติติงวิจารณ์เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขครับ คิดว่าผู้อ่านต้องการติเพื่อก่อเพื่อให้ดีขึ้นมากกว่าครับ
สำหรับนิยายวรรณคดีสุดสาครที่ยังค้างอยู่จะพยายามนำมาเขียนต่อในโอกาสต่อไป ขอเชิญรับความสำราญจากเรื่องนี้ต่อ

"ห้องนี้แหละ ตอนข้าโดนจับมาครั้งแรกมันพามาห้องทำงานมันที่นี้ กำลังปลอดคนไม่มีใครอยู่ เจ้ารีบๆเข้ามาช่วยกันให้เสร็จเร็วๆ"
"แต่ละห้องมันทำไมสร้างเสียใหญ่มากๆ ตัวมันน่าจะไปเปิดร้านขายของเก่ามากกว่า เพราะแต่ละห้องมันมีของมากมายแต่เห่ยมากไม่เข้ากันสักชิ้น"
   "เออน่า ช่วยกันหาพิณข้าให้เจอแล้วรีบหนีไปกันดีกว่า ก่อนพวกมันจะมา"
        ยายพั้วะลิ้มพากังปังมาที่ห้องซึ่งยายพั้วะจำได้ว่าเป็นห้องทำงานของเศรษฐีฮิ่ม ซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของบรรดามี
จะว่าไปมันก็อาจมีรสนิยมเห่ยเช่นกังปังว่า เพราะข้าวของแต่ละชิ้นแม้มีราคาแพงแต่มันไม่เข้าพวกกัน เช่นมีตั้งเสื้อเกราะทหารโรมัน โต๊ะมุก ชามสังคโลก และมีตู้เก็บของเป็นชั้นมากมาย เหมือนเข้ามาในพิพิธภัณฑ์มากกว่า ในสุดจึงมองเห็นโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ ด้านหลังมีตู้เอกสารมากมาย เรียกว่าเศรษฐีฮิ่มอยากจะขนอะไรก็ขนเข้ามา
   "ท่านยายดูทางนี้สิ"
ยายพั้วะลิ้มพอได้ยินเสียงกังปังบอกรู้สึกดีใจ คิดว่ากังปังพบพิณของนางแล้ว ด้วยเวลาอันรวดเร็ว แต่พอหันไปนางทั้งรู้สึกขบขันทั้งฉิว
"นี้เจ้าเอาหมวกเกราะมาใส่ทำไม แถมไปเอาผ้าคลุมทุเรศมาจากไหน"
"เป็นไงข้าเหมือนอัศวินที่จะมาพิทักษ์บู๊ลิ้มไหม"
"เจ้าเลิกเล่นเป็นเด็กเสียที นี้มันเป็นเวลาที่ให้เจ้ามาทำอะไรเล่นหรือ ถอดของบ้าๆนี่ออก"
กังปังจ๋อย ยอมถอดชุดอัศวินออก แก้เขินด้วยการเดินไปหยิบกล่องเล็กๆบนชั้นเปิดดู 2-3ใบ
"ไอ้โง่เอย พิณมันมีขนาดใหญ่ มันจะอยู่ในกล่องเล็กๆแบบนี้ได้ไง หาของอย่างนี้ทั้งชาติก็ไม่มีวันหาเจอ"
"อย่าเสียเวลาทำเริ่องไร้สาระ จริงจังหน่อย เห็นเจ้าแล้วมันขัดตาจริงๆ"
ยายพั้วะบริภาษกังปังยกใหญ่
"โน่นงั้นเจ้าเข้าไปหาแถวโตํะทำงานมันโน่นไป แยกกันรีบๆช่วยกันหา"
กังปังรับคำรีบเผ่นไปโดยเร็วก่อนยายพั้วะลิ้มจะมีน้ำโหมากกว่านี้
   ที่โต๊ะทำงานของเศรษฐีฮิ่มแตกต่างจากโต๊ะทั่วไปที่พบเห็นเพราะมีตู้ลิ้นชักติดไว้กับตัวโต๊ะหลายใบ(นึกภาพก็คือโต๊ะในปัจจุบันนี้) ทุกตู้ลิ้นชักล้วนมีกุญแจปิดแน่นหนา ยิ่งทำให้รู้สึกท้าทายให้กังปังอยากจะเปิดดูให้ได้ว่าในนั้นมีอะไร ซึ่งกุญแจแบบนี้มันง่ายสำหรับกังปังที่จะสะเดาะห์ออกพอเปิดดูกังปังถึงกับตาโต
"ท่าน ย.."
กังปังทีแรกคิดจะตะโกนเรียกยายพั้วะลิ้มแต่เปลี่ยนใจปิดปากเงียบ ยายพั้วะลิ้มมัวแต่สนใจหาพิณของนางอีกด้านหนึ่งเลยไม่ได้ยินเสียงกังปังที่หลุดมาเมื่อสักครู่
"โอ้ โห ข้าไม่เคยเห็นเงินทองอะไรจะเยอะขนาดนี้เลย "
"เจ้านี้มันเป็นคนแสนชั่ว ข้าควรขโมยเงินมันไปให้หมด มันจะได้หมดตูดลดอำนาจเงินที่จะไปทำร้ายใคร"
กังปังคิดแล้วจึงรวบตั๋วแลกเงินปึกใหญ่พับใส่ในกระเป๋าเสื้อจนหมด
(พฤติกรรมนี้ไม่ดี ผู้ปกครองควรแนะนำเยาวชนว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง)
"บะฟูหงส์ ตัดเสื้อตัวนี้ให้ถูกใจจริง ใส่เงินหมดแล้วยังมีที่ให้ใส่ของได้อีก เอาทองคำกับสร้อยไข่มุกไปด้วยแล้วกัน"
กังปังขโมยของเก็บของเข้ากระเป๋าเสื้อไปตามองยายพั้วะไปกลัวนางจะมาเห็นแล้วโดนต่อว่า
"เอ๊ะ ยายพั้วะตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว ช่างเถอะดีเหมือนกัน"
กังปังขโมยของใส่กระเป๋าจนเกลี้ยงลิ้นชักกลาง จึงหันมาเปิดตู้ด้านข้างใบล่างสุด
"โอโห อะไรกันวะทองเต็มลิ้นชักเลย แล้วข้าจะขนไปหมดยังไง มันทำไมโคตรรวยมหาศาลอย่างนี้"
กังปังลองเปิดดูอีกลิ้นชัก พบเห็นมีหมวกเหล็กอยู่ใบหนึ่ง ลิ้นชักอีกอันเต็มไปด้วยแก้วแหวนเพชรนิลจินดา
"ข้าเลือกของเล็กๆไปดีกว่า โลภมากเดี๋ยวลาภหายไว้วันหลังค่อยเข้ามาขโมยมันใหม่"
กังปังคิดแล้วจึงหยิบโน่นหยิบนี้ใส่กระเป๋าเสื้อตัวเองเพิ่มไปอีก ขนาดปากว่าไม่โลภกังปังยังหยิบของใส่กระเป๋าจนเต็มไปหมดจนแทบไม่มีที่ให้ใส่
"อา เพชรเม็ดนี้ใหญ่กว่าเม็ดอื่น ถ้าจะมีราคามากที่สุด เปลี่ยนเอาเม็ดเล็กออกไปเอาเม็ดนี้ใส่แทนดีกว่า อุ้ย อันนั้นก็สวย อันนี้ก็สวย เอาอันไหนดี"
"เอ๊ะ พวกนี้ป้ายอะไร เหมือนป้ายบอกตำแหน่งอะไรสักอย่างเหมือนที่ไอ้ฮิ่มมันห้อยข้างตัวเลย เอาไปหมดเลยแล้วกัน"
   "หมวกทองแดงใบนี้ก็แปลกดี ไหนเอามาลองใส่ดูสักหน่อย"
"ช่วยด้วย ช่วยพวกเราด้วย"
"เสียงร้องใคร หรือในนี้มีผี ช่างเถอะ" กังปังได้ยินเหมือนมีใครร้องให้ช่วย
"หรือข้าจะหูแว่วไปเอง เกิดจากโรคทางสมองที่ข้าเป็นทำให้ได้ยินเสียงแปลกๆเข้ามาในหัวบางครั้ง ช่างเถอะ"

   "อามีกระจกอยู่โต๊ะพอดี ขอส่องดูหน่อยว่าข้าใส่แล้วหล่อแค่ไหน"
   กังปังคิดแล้วจึงหมุนกระจกที่คว่ำอยู่หงายขึ้นมาเพื่อดูหน้าตัวเอง แต่ต้องสะดุ้งหน้าชา
   เพราะภาพในกระจกไม่ใช่ภาพตัวเองแต่เป็นภาพเศรษฐีฮอ่มแก้ผ้าอยู่กับสองดรุณีง่อไบ๋ กังปังจึงปรับกระจกให้มันปรับภาพสะท้อนให้ชัดขึ้น มองสอดส่ายสายตามองดูว่ากระจกมันสะท้อนมายังไง
กังปังคำรามด้วยอารมณ์หึงและโมโห
"ไอ้เลวฮิ่มมันท่าจะข่มเหงพวกนางอยู่แน่ ข้าต้องรีบไปช่วยพวกนาง เสียงเมื่อกี้คงต้องเป็นเสียงพวกนางแน่ๆ ว่าแต่ตอนนี้พวกนางอยู่ตรงไหนกัน"
ย้อนกลับมาที่สองดรุณีง่อไบ๋กับเศรษฐีฮิ่ม
     "โอ้ย พวกเจ้าหยุดแผดเสียงร้องหนวกหูสักที ต่อให้เจ้าร้องจนคอแตกก็ไม่มีใครได้ยินหรือเข้ามาช่วยพวกเจ้าได้"
   แทนที่ทั้งคู่จะหยุดร้องกับร้องลั่นดังขึ้น
   "ช่างน่ารำคาญเห็นทีข้าต้องโหดกับพวกเจ้าจะได้หยุดทำสิ่งน่ารำคาญนี้เสียที"
   "ยัง ยังไม่เลิกร้อง งั้นหยุดและหันกลับมา แทนที่จะร้องหนวกหูข้าจะให้พวกเจ้าใช้ปากทำประโยชน์มากกว่านี้ ด้วยการให้มันมาอมดูดควยข้าจะดีกว่า"
   สองดรุณีงีอไบ๋เห็นหน้าตามันเหี้ยมโหด รู้แน่ว่ามันเอาจริง จึงหยุดไม่กล้าร้อง
   "ก็ได้พวกเราจะไม่ร้องแล้ว เพียงแต่อย่าให้พวกเราทำอะไรต่ำๆแบบนั้น" เจียวเสียวจูวิงวอนในใจรู้ว่าคงไม่ได้ผล อีกเดี๋ยวพวกนางต้องไปทำไรแบบที่มันพูดแน่
   เศรษฐีฮิ่มหัวเราะชอบใจ เตรียมสั่งการตามที่พูดต่อไป
   ระหว่างนั้นสองดรุณีงีอไบ๋ต่างเห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากช่องผนัง ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่พวกนางรู้สึกถึงประกายแห่งความหวังที่บังเกิดขึ้น เหมือนสวรรค์มาโปรดให้หลุดพ้นจากนรกที่กำลังเผชิญจึงช่วยกันร้องอีกครา
   "ช่วยด้วย ช่วยพวกเราด้วย วิงวอนท่านโปรดช่วยพวกเราด้วย เราจะไม่ลืมพระคุณเลย"
   เศรษฐีฮิ่มได้ยินสองดรุณีพูดจึงมองไปเห็นชายคนหนึ่งเดินเข้ามา มันต้องตกใจไม่น้อย
ทีมันตกใจไม่ใช่เพราะเห็นใครสามารถเข้ามาในนี้ได้ แต่เหตุที่แท้เกิดจากที่หมวกสัตตโลหะที่มันเก็บซ่อนไว้ไฉนไปอยู่บนศรีษะของคนผู้นี้ ต้องคำนึงขึ้นในใจ
   "ไอ้หมอนี้มันใครวะ มันเอาหมวกของข้ามาสวมเป็นเพราะมันรู้ความลับของหมวกหรือไม่ง่ามันสามารถสกัดกั้นพลังจิตของข้าได้
   "โอ้ สหายมายังไง มาได้เวลาเหมาะทีเดียว
   สองดรุณีง่อไบ๋เป็นฝ่ายตกใจบ้างเพราะจำได้ว่าชายผู้นั้นเป็นคนเดียวกับที่ไปก่อเรื่องบนง่อไบ๋ที่กำลังสืบหาแถมมันยังเป็นพวกเดียวกับไอ้ฮิ่มนี้อีก ความหวังที่มีพลันพังทะลายแต่ก็ใจชื่นขึ้นเมื่อได้ยินกังปังโต้ตอบกลับ

   "ไอ้อ้วนอย่ามาทำตลก ข้ารู้จักเจ้าตั้งแต่เมื่อใด เจ้าทำอะไรกับพวกนาง"
   "โอทั้งขาว เนียน สวย อะไรอย่างนี้" กังปังรำพึงในใจกวาดตามองร่างเปลือยของสองดรุณี
   "เจ้าเป็นใคร กล้าบอกชื่อแซ่ตัวเองออกมาหรือไม่"
   กังปังเหมือนเตรียมตัวมาอย่างดีหากมีใครถามเช่นนี้ จึงเอามือชูขึ้นเหนือศรีษะ โบกสะบัดมือไปมาเหมือนเหล่าฮีโร่แปลงกายในหนังญี่ปุ่น
   "ข้านั่งไม่เคยเปลี่ยนชื่อ ยืนไม่เปลี่ยนแซ่  เหล่าร้ายต้องสยบเมื่อได้พบกับข้า กังปังผู้ผดุงความสงบขจัดคนพาลอภิบาลคนดี"
   กล่าวจบทุกคนต่างพากันเงียบไปหมด กังปังคิดว่าทุกคนคงตะลึงในความเท่ห์ของมัน
   สักพักเศรษฐีฮิ่ม ทนไม่ไหวต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
   "กร๊าก ฮ่า ๆ ๆ ขำวะ เจ้ามันตลกสิ้นดี ฮ่า ๆ ๆ"
   พลางคิดในใจว่าข้าคงมาเจอกับคนเพี้ยนเข้าแล้วขนาดหน้าสิ่วหน้าขวานมันยังทำตลกได้ ส่วนสองดรุณีง่อไบ๋ต่างคิดในใจเช่นกัน จริงๆไอ้คนที่บุกง่อไบ๋คนนี้มันเป็นคนสติไม่ดีนี้เองถึงได้กล้าบุกง่อไบ๋แล้วจะฝากความหวังไว้ได้หรือ
   เศรษฐีฮิ่มแม้เห็นกังปังเป็นคนเพี้ยน แต่ในเมื่อมันสวมหมวกที่กันพลังจิตได้ ก็ยังเกรงขามอยู่ไม่รู้กังปังจะรู้ความลับของหมวกใบที่สวมแค่ไหน จึงใช้เล่ห์เพทุบายพูดขึ้น
   "ข้ารู้สึกชอบใจเจ้ามากเลย สมัยนี้ไม่มีใครเขาทำเพื่อพอทักษ์คุณธรรมกันแล้ว มีแต่ทำเพื่อตัวเองกันทั้งนั้น เอางี้ เจ้ามาทำงานกับข้าแล้วเจ้าจะมีเงินทองมากมาย รวมทั้งได้แอ้มสาวๆหลายคน"
   เศรษฐีฮิ่มหว่านล้อมต่อ
   "ข้าเห็นเจ้าจ้องมองสองสาวตาไม่กระพริบ จนน้ำลายยืดลงมา"
กังปังรีบหุบปากดูดกลืนน้ำลายที่ไหลยืดออกมาทันที
   "ข้ายังไม่ทำอะไรพวกนาง เจ้าชอบคนไหนให้เจ้าเลือกก่อนได้เลย เอาข้าให้เจ้าเลือกก่อน ยังสดซิงค์ทั้งคู่ หากเจ้ามีรสนิยมเหมือนข้าเสร็จแล้วมาแลกเปลี่ยนกัน ได้สนุกกันทั้งคืนแน่ดีไหม"
   กังปังเมื่อก่อนก็เป็นเช่นเดียวกับเศรษฐีฮิ่มเคยย่ำยีสตรีมามากจนได้ฉายากงจื้อขยี้ดอกไม้ แต่มากลับตัวได้รู้ว่าที่ผ่านมามันได้ข่มเหงทำลายน้ำใจหญิงสาวมามาก เช่นเดียวกับที่สองดรุณีรู้สึกกับเศรษฐีฮิ่มในเวลานี่ แต่พอเศรษฐีฮิ่มเสนอมาก็กระตุ้นอารมณ์อยากของมันไม่น้อย เพราะใจก็อยากอึ้บสองดรุณีเช่นกัน
   "เออ ดีเหมือนกัน ข้าจะเลือกใครก่อนดี คนหนึ่งก็สวยหวาน อีกคนก็น่ารักอวบอูม ตัดสินใจยากแฮะ"
กังปังเดินมาพิจารณาพลางสอดส่ายสายตากวาดมองไปทั้งร่างงามขาวหมดจรดของทั้งสอง
   "ไอ้บ้า ลามก ที่แท้เจ้าก็เป็นไอ้ชาติชั่วคนหนึ่งเช่นกัน ข้าคิดผิดหลงเชื่อว่าเจ้าอาจเป็นคนดี"
   โดยปกติคำเหล่านี้จะหลุดจากเสียวเม่ยผู้น้องที่ใจร้อนกว่า แต่ครานี้เป็นเสียวจูที่ด่ากระแทกออกมาเอง
   "ล้อเล่นน่า ข้าเพียงล้อพวกเจ้าเล่นต่างหาก ข้ากำลังหาทางช่วยพวกเจ้าอยู่ว่าโดนอะไรถึงได้พากันยืนนิ่งเช่นนี้"
   "คนจะเป็นจะตายเจ้ายังมีหน้ามาล้อเล่นอะไรอีก พวกข้า.."
   ครานี้เสียวเม่ยเหลืออดเป็นผู้กระแทกใส่กังปังข้า
   ก่อนที่สองดรุณีจะบอก เศรษฐีฮิ่มรีบชิงกล่าวก่อน
   "เมื่อเจ้าปฎิเสธข้า งั้นเจ้ากล้ามาต่อสู้กับข้าตัวต่อตัวไหม"
กังปังหันขวับไปหัวเราะ
"เจ้าจะสู้กับข้าเหรอ ได้เลย"
   เศรษฐีฮิ่มคิดอย่างรวดเร็ว
   "ไม่ได้การ พวกมันอาจยังไม่ทันสังเกตุว่าพลังจิตข้ามีผลแค่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง พอนานไปก็เสื่อม ข้าต้องคอยเติมพลังจิตใส่อยู่ตลอด บังคับสองคนยังพอทำเนา เพิ่มขึ้นมาอีกคนยิ่งบังคับยากขึ้น แถมมันยังใส่หมวกกั้นพลังจิตแบบนี้ข้ายิ่งทำอะไรไม่ได้"
   "ใช่แล้ว แต่หวังว่าเจ้าจะสู้กับข้าตัวต่อตัวไม่ใช้เอาพวกมากเข้ามาชิงชัย"
   "เราชาวยุทธ ย่อมรับปากคำไหนคำนั้นเช่นกัน"
   ว่าแล้วกังปังก็หันกลับไปกล่าวกับสองดรุณีง่อไบ๋
   "ข้ารับปากมันแล้ว หวังว่าพวกเจ้าอย่าทำข้าเสียสัตย์ ยืนชมดูเฉยๆ ไว้เป็นหน้าที่ข้าจัดการมันเอง"
   "โอ  ทั้งขาวทั้งสวยทั้งสองคน ยิ่งชมดูตอนนางเปลือยกายใกล้ๆแบบนี้ ของข้าขึ้นชี้เด่เลย พวกนางจะเห็นไหมนะ"
   กัวปังคิดแล้วต้องลดมือไปกุมที่หว่างขา เจียวเสียวเม่ยอดทนไม่ไหวจะบอกความนัยให้กังปังทราบ
   "เจ้าอาจไม่รู้ พวกเราไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เพราะมี.."
   ยังไม่ทันเอยจบเสียวเม่ยก็รู้สึกร่างกายขยับได้แล้ว
   "เอ๊ะ ไฉนตอนนี้ ร่างกายข้าขยับได้แล้วละ"นางรู้สึกดีใจ เจียวเสียวจูก็เช่นกัน พวกนางจึงรับถลันไปเอาผ้าเช็ดตัวมาคลุมและรีบไปหยิบกองเสื้อผ้าเพื่อมาสวมใส่
   ที่เป็นเช่นนี้เพราะพลังจิตที่ควบคุมนางเริ่มหมดสภาพ เศรษฐีฮิ่มเห็นกังปังคงยังไม่รู้ว่ามันมีพลังอะไร จึงเก็บซ่อนไว้
   "ให้พวกนางไปใส่เสื้อผ้าก่อน ไว้จัดการเจ้านี้เสร็จ ค่อยแก้ผ้าพวกนางใหม่ เวลาคืนนี้อีกยาวไกล" เศรษฐีฮิ่มคิด
   "เจ้าระวังตัวไว้ มันมีพลังประหลาด อา.. เจ้าช่วยหลับตาและยื่นหน้ามาให้ข้าหน่อย" ทั้งสองรีบใส่เสื้อผ้าอย่างลวกๆ เพื่อปกปิดของสงวนให้มิดชิดแล้วเดินมาหากังปัง
   กังปังได้ยินเจียวเสียวจูแสดงความห่วงใย คงจะให้อะไรเป็นรางวัล
   "สงสัยนางจะจูบข้าเป็นรางวัล แต่เขินเลยให้ข้าหลับตาก่อน ได้เลย"
   กังปังกระหยิ่มใจหลับตาทำหน้าทะเล้นยื่นปากจู๋เข้าไป
   เจียวเสียวจูหันไปทางเสียวเม่ยอย่างรู้กัน ทั้ง 2 ต่างกำมือยกกำปั้นชกหน้ากังปังออย่างแรง
   "โอ้ย ไหนพวกเจ้ามาตั๋นหน้าข้าละ"
   "ข้าอยากจะตบหน้าเจ้าแต่ติดที่หมวกไม่ถนัด โทษฐานที่เจ้ามองดูพวกเราด้วยสายตาหื่นลามก"
   "โอ้ย.. จมูกข้าหักหรือเปล่าเนี้ยะ"
   เจียวเสียวจูส่งยิ้มให้ กังปังรู้สึกมันช่างเป็นยิ้มที่หวานสุดซึ้ง อยากเห็นนางมายิ้มให้มันเช่นนี้ทุกวัน
"เอาชนะมันให้ได้ช่วยพวกเรารอดออกไปแล้วพวกเราย่อมมีรางวัลตอบแทนเจ้า จะไม่ลืมพระคุณเลย"
   กังปังได้ยินรู้สึกคึกคัก
   "เดี๋ยวข้าจะจัดการไอ้หมูตอนนี้ภายในหมัดเดียวก็รู้เรื่อง"
   กังปังคุยโวต้องการอวดฝีมือให้สองดรุณีชมเป็นขวัญตา
   "เข้ามาเลยไอ้อ้วน เดี๋ยวข้าจะทำให้เจ้าสลบกลางอากาศภายในหมัดเดียว
   ตอนนี้เศรษฐีฮิ่มก็เพียงใส่กางเกงขายาวเพียงตัวเดียวส่วนท่อนบนยังเปลือยเปล่าแลเห็นพุ่งพุ้ยออกมา
   "เดี๋ยวช้าก่อน เมื่อเจ้าจะสู้กับข้าก็ควรแฟร์หน่อย อย่าเอาเปรียบกัน"
   "แล้วข้าเอาเปรียบเจ้าตรงไหน"
   "ก็เจ้าสวมหมวกเหล็กอยู่ข้าจะไปชกเจ้าได้ถนัดอย่างไร เล่นมีเครื่องป้องกันแต่ข้าไม่มี"
   "อ๋อ หมวกใบนี้เหรอได้เลย เดี๋ยวข้าถอดออกเดี๋ยวนี้ก็ได้"
 
   "รบกวนแม่นางเสี่ยวจูถือหมวกเหล็กให้ข้าก่อน คอยยืนชมอยู่ตรงนี้ ข้าใช่เวลาไม่นานแค่หมัดเดียวรู้เรื่อง"
   "มันทำไมหลอกง่ายดี ทีแรกข้าคิดว่าพอมันถอดหมวกออกก็จะจัดการมันทันที แต่มันอยากขี้คุยนักแถมยังอยากอวดสาวๆ เล่นกับมันหน่อยเป็นไร ข้าจะทำให้เจ้าขายหน้า และเป็นผู้โชว์ฝีมือให้พวกนางเห็นเอง"
   เจ้าเศรษฐีฮิ่มคิดพร้อมกับกระโดดเต้นสลับขาไปมา(ฟุตเวิร์ค) รัวหมัดชกลมทำเป็นส่ายหัวล่อหลอกกังปังอย่างกวนตีนที่สุด
   "ฮ่า ๆ ๆ เจ้าทำอะไรของเจ้าวะ เอาแต่กระโดดโลดเต้น แบบนี้จะออกหมัดมีพลังได้อย่างไร(ตามหลักกังฟู ต้องบืนให้มั่นคงถึงปล่อยหมัดได้มีพลัง) นี้เรามาต่อสู้กันนะโว้ย ไม่ใช่มาชวนกันเต้นรำ"
กังปังไม่เคยเห็นมวยของตะวันตก(มวยฝรั่ง) จึงรู้สึกประหลาดปนขบขัน
   "เจ้ามันอ่อนวะ ไม่รู้จักมวยของข้า เคยได้ยินไหม เท้าเบาดุจผีเสื้อ หมัดหนักราวภูผา
   (ตอนนี้อยากให้ผู้อ่านไปนำเพลง back superman มาเปิดจะได้เข้าบรรยายกาศ ไตเติ้ลเพลง
     ตึง ตึ่ง ตึ้ง ตึ่ง  ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง
   Muhammad,
   the black superman
   Who calls to the other guy
   "I'm Ali,
catch me if you can"
https://m.youtube.com/watch?v=KW5qF9fheXw    
   "เจ้าระวังให้ดี เท้าเบาดุจผีเสื้อ หมัดหนักเหมือนภูผา ชื่อของข้าคิอฮิ่มตงกวง"
   เศรษฐีฮิ่มประกาศพร้อมขยับเท้าไปมาล่อหลวง ใส่หมัดชุด(แย้ปติดๆกัน)
   "ผั้วะ ๆๆๆ "
   "เข้าเป้าทุกหมัดจนกังปังหน้าหงาย"
   "ตามด้วยชกเข้าที่ลำตัว ปิดฉากด้วย(อัปเปอร์คัท) หมัดสอยดาวเสยเข้าที่ปลายคาง เฮ.. ได้ผลครับท่านผู้ชมกังปังลงไปนอนหงายสิ้นท่ากับพื้นแล้ว
   เจ้าเศรษฐีเล่นชกไปพากย์ตามไปไม่หยุด
   ทั้งกังปังและสองดรุณีต่างตกใจ ไม่ใช่เพราะความเก่งของเศรษฐีฮิ่ม แต่กลับเป็นรู้สึกว่าทำไมกังปังถึงได้กระจอกอย่างนี้
   กังปังรีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
   เจ้าเศรษฐีจึงพากย์ต่อ
   "กังปังกลับลุกขึ้นมาได้อย่างมึนงงครับท่าน แต่กลับโดนเศรษฐีตามเข้าไปอัดซ้ำอีกครั้ง คราวนี้กังปังถึงกับร่วงลงไปกองกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า
   "ฮ่า ฮ่า ฮ่า เห็นพิษสงของข้าหรือยัง คราวนี้ยังลุกไหวไหม"
   สองดรุณีต่างรู้สึกผิดหวังว่าทำไมผลออกมาเป็นเช่นนี้ ขยับกายจะไปจัดการเอง
   "อะ อะ พวกเจ้าสัญญาว่าจะชมดูเฉยๆไง ทั้งสองคนก็ต้องยืนนิ่งๆอยู่ตรงนั้น "
   พอเศรษฐีฮิ่มพูด ร่างกายของทั้งสองเหมือนขยับไม่ได้อีกครา
   เสียวเม่ยอดทนไม่ไหวเลยร้องออกไป
   "กระจอกจริงๆ ไม่เห็นเจ้าจะเก่งเหมือนตอนอยู่ง่อไบ๋ แค่เจ้าเก่งเพียงครึ่งของตอนนั้นก็พิชิตมันได้แล้ว แค่หมัดเด็กๆ แบบนี้เจ้ายังหลบไม่ได้ แถมล้มลงไปกองอย่างนั้น จะมาช่วยพวกเราได้อย่างไร"
   กังปังฟังเสียงเจียวเสียวเม่ยตัดพ้อเช่นนั้น รู้สึกเสื่อมเสียหน้าเป็นอย่างมาก
   "นั้นซิหมัดมันไม่มีพิษสงอะไร ข้าก็ดูออกทุกหมัด ไม่ใช่ว่าหลบไม่ได้ แต่เหมือนข้าไม่ยอมหลบมันมากกว่า"
   กังปังคำนึงขึ้น
   "กังปังแม้เจ้าจะเก่งแต่ก็อาจสู้มันไม่ได้ เพราะมันมีพลังจิตคุมกาย" เสียงของยายพั้วะลิ้มผุดเข้ามาในสมอง
   "พลังจิตคุมกายเป็นอย่างนี้หรือ ขนาดมันต่อสู้อยู่ยังใช้พลังควบคุมข้าได้ไม่ให้หลบหมัดมันได้"
   "กังปังฟังให้ดี"
   เอ๊ะ เสียงอาจารย์อึ้งย้งเหรอที่ดังในหัวข้า
   "กังปังหากข้านับหนึ่งถึงสิบเจ้ายังไม่ยอมลุกขึ้นถือว่าเจ้ายอมแพ้ข้าแล้วนะ"
   ครานี้เป็นเสียงเศรษฐีฮิ่มที่พูดถากถาง
   "โธ่เว้ย เจ้าลุกขึ้น แล้วใช้วิชาอะไรก็ได้เหมือนตอนอยู่ง่อไบ๋ซิ"
   เจียวเสียวเม่ยร้อนใจรู้สึกอึดอัดยิ่ง
   "กังปังนี้ไม่ใช่การสะกดจิตทั่วไป มันร้ายกาจกว่ามาก ในคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งที่เจ้าได้ถ่ายทอดมา ก็มีวิธีสะกัดใจ"
   "หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ข้าจะทำได้หรือ"
   "เจ้าอย่าเพิ่งเถียงหรือท้อแท้ ตั้งสมาธิไปแค่ที่ใดที่หนึ่งของร้างกาย แค่เจ้าควบคุมแค่ส่วนหนึ่งของร่างกายตัวเองได้ก็พอไม่จำเป็นต้องทำได้ทั้งหมด"
"7 ละนะ  8 "
   "กังปังเจ้ารีบลุกขึ้นมา ไม่อยากได้รางวัลจากเราแล้วหรือ"
   เสียงเจียวเสียวจูกระตุ้น ทั้งสองดรุณีต่างฝากความหวังสุดท้ายที่กังปัง
" ใช่เจ้าลุกขึ้นให้ข้าอัดอีกที ข้ายังลงมือไม่เต็มที่ ชนะง่ายๆไม่สนุก  9  เฮ้  ชัยชนะกำลังเป็นของเศรษฐีฮิ่มแล้วครับ สะ..อ้าวลุกได้แฮะ"
   เศรษฐีฮิ่มกำลังจะนับ 10 ต้องหยุดชะงัก
   "หมัดเจ้ามันเหมือนปุยนุ่นมากกว่า ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก"
   กังปังลุกขึ้นมาคราวนี้ กลับส่งประกายตาที่แข็งดุดันไม่มีท่าทีขี้เล่นเหมือนเก่า เศรษฐีฮิ่มเห็นแววตากังปังที่เปลี่ยนไปชักรู้สึกไม่ดี
   ........................................
   กังปังตะลุยยุทธภพ ตอน มังกรสะบัดหลัง
   "ดูท่ามันจะเอาจริงแล้ว มันคงรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มันไร้ประโยชน์ไม่มีใครต่อต้านพลังจิตของข้าได้ด้วยตนเองหากปราศจากของป้องกัน"
   เศรษฐีฮิ่มคิด คราวนี้ข้าก็จะไม่เล่นกับเจ้าแล้ว
   "กังปังอย่าได้คิดขยับหลบหนี ยื่นหน้ามาให้ข้าชกให้ตายในบัดนี้"
   เศรษฐีฮิ่มส่งกระแสจิตเต็มที่ ปรี่เข้าไปเตรียมปล่อยหมัดพิฆาตแล้ว
   กังปังคล้ายยืนนิ่งเหมือนหุ่นแข็งทื่อแถมยิ่นหน้าออกไปรอให้เศรษฐีฮิ่มชก สองดรุณีง่อไบ๋มองดูแล้วหวาดเสียวยิ่ง
อย่างนี้เจ้ากังปังตายแน่ ความหวังเราจบแล้ว
   สองดรุณีง่อไบ๋ต่างก้มหน้าไม่กล้ามอง
   แต่เมื่อหมัดของเศรษฐีฮิ่มจะสัมผัสกับหน้ากังปัง
   ปรากฎว่ากังปังที่ยืนนิ่งกลับยกแขนขวาขึ้นป้องกันได้และผลักเศรษฐีฮิ่มกระเด็นออกไป
   "ไม่จริงมันขยับแขนขวาได้อย่างไร"
   เศรษฐีฮิ่มถึงกับตระหนก
   "มันแม้หยุดนิ่งแต่กลับเคลือนไหวมือข้างหนึ่งได้ นั่นมันจะทำอะไรอีก"
   เศรษฐีฮิ่มที่นั่งก้นกระแทกพื้นเห็นกังปังเอามือล้วงไปอกเสื้อหยิบวัตถุอะไรออกมาอันหนึ่งพร้อมกับขว้างสิ่งนั้นออกมา
   "ปัง...โครม"
   เศรษฐีฮิ่มสดุ้งโหย่งหันไปดูเห็นรูปปั้นตัวหนึ่งถึงกับแตกแหลกละเอียด
   "รูปปั้นตัวใหญ่นี้ข้าอุตส่าห์นำมาจากนาซิโดเนียอย่างยากลำบาก นั้นมันก้อนทองคำในห้องข้านี้ มันไปขโมยมาด้วยหรือมันขโมยของอะไรข้ามาบ้าง เอาไว้ไม่ได้แล้ว "
   "อย่าขยับแม้แต่ส่วนใดส่วนหนึ่ง ดูซิเจ้าจะต้านทานพลังข้าได้แค่ไหน"
   ช่วงจังหวะทั่ไอ้ฮิ่มมันเสียสมรธิไปแม้เพียงชั่ววูบเดียว แต่ก็ทำให้อำนาจจิตมันคลายลงโดยไม่รู้ตัว
   ยอดฝีมือแม้ผิดพลาดเพียงชั่ววูบเดียวก็อาจเกิดผลเปลี่ยนแปลงได้  กังปังรีบทะยานเข้ามาจวนถึงตัวทำให้ไอ้ฮิ่มต้องรีบใช้พลังจิตบังคับสั่งการให้ทันท่วงนี้
   "จึงหยุดนิ่ง ห้ามเคลื่อนไหวแม้แต่ส่วนใดของร่างกาย"
   กังปังถึงกับชะงักค้าง
   "โครม เพล้ง"
   ทั้งกังปังและเศรษฐีฮิ่มต้องสะดุังอีกคราเห็นเจียวเสียวจูทุ่มแจกันลายครามใบใหญ่ลงกับพื้นแตกละเอียด
   "เฮ้ย แจกันใบนี้หายาก "
   "ตุบ ๆ ๆ อุ๊กส์ "
   ไอ้ฮิ่มเสียสมาธิอีกคราทำให้กังปังคลายจากอำนาจจิตบังคับเอามือต่อยไปที่พุงมันจนจุก
   (ครั้งแรกตอนที่กังปังใช้ทองคำขว้างไปทำลายรูปปั้นเศรษฐีฮิ่มชะงักไปเพราะห่วงของทำให้นอกจากกังปังที่คลายจากอำนาจจิต ยังทำให้สองดรุณีง่อไบ๋คลายจากอำนาจจิที่ควบคุมกายไปด้วย พอนางเห็นว่าอำนาจจิตที่หมดไปเกิดจากการที่เศรษฐีฮิ่มห่วงของที่ถูกทำลาย ทั้งเศรษฐีฮิ่มก็มัวต่อสู้ติดพันกับกังปัง จึงไม่ได้คิดถึงสองดรุณีง่อไบ๋ นางจึงทุ่มแจกันมีค่าลงเพื่อช่วยกังปังรบกวนสมาธิของมัน)
   "แม่นางจูหัวไวมาก พวกเจ้าช่วยกันทำลายของในห้องให้หมด ข้าจะจัดการมันเอง"
   สองดรุณีง่อไบ๋เข้าใจในบัดดล กำลังอยากระบายความแค้นในใจอยู่แล้ว ต่างช่วยกันปฏิบัติการทุบทำลายสิ่งของในห้องทันที
   "เฮ้ย พวกเจ้าทำอย่างนี้ไม่ได้ ขี้โกง"
   "ขีี้โกงยังไง ข้าก็ต่อสู้กับเจ้าเพียงคนเดียว"
   "ถึงตาข้าบ้างนะ เจอหมัดทะลวงไส้ของเขาทรายบ้าง"
   "อุกส์ "
   ไอ้ฮิ่มโดนกังปังอัดไปที่ลิ้นปี่เสียจุก ตอนนี้มันไม่ใช่แค่ขาดสมาธิเท่านั้น แต่แทบประสาทแดก ได้ยินเสียง โครม คราม เปรี้ยง เพล้ง ดังไม่หยุด
   ส่วนกังปังได้ทีจึงต่อยเอาๆ ไม่หยุด แถมโน้มคอมันลงมาตีเข่าเขย่าศอก อัดซะจนหน้าตามันบวมปูด ปากเจ่อ หัวหูโนไปหมด
   การทำลายข้าวของมันงานถนัดของสตรีอยู่แล้ว สองดรุณีง่อไบ๋ก็เช่นกัน ข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้นแม้แต่ภาพวาดตามฝาผนังก็ถูกสองดรุณีช่วยกันฉีกทำลายจนหมดไม่เหลืออะไรให้ทำลายอีกแล้ว
   "ข้ายังมันส์มือไม่หายเลย ตรงนี้มีทางไปไหนเนี้ยะ"
   เป็นเจียวเสียวเม่ยพูดขึ้น ขี้มือไปตรงทางที่กังปังออกมา"
   "เราไปดูกัน มันยังมีอะไรให้เราทำลายอีกไหม พังของมันให้หมดบ้านเลย ปล่อยให้กังปังอักมันให้เละแล้วค่อยกลับมาคิดบัญชีมันทีหลัง"
   "ที่เจ๊เจ๊พูดมามันตรงใจข้าจริงๆ"
   สองดรุณีง่อไบ๋กำลงัจะเดินไปในช่องทางนั้น แต่ต่างต้องถอยหลังกลับ
   ส่งเสียงอึกอัก ออกมา
   "อุ๊ กังปังช่วยเราด้วย ช่วยด้วย"
   กังปังอัดเจ้าเศรษฐีฮิ่มลงไปนอนหมดสภาพบนพื้นได้ยินเสียงทั้งสองร้องจึงหันไปดูต้องตกใจ
   ที่สองดรุณีต้องร้องขอความช่วยเหลือและก้าวถอยหลังออกมา เพราะมีมือดำเมื่อมอันแข็งแรงบีบอยู่ที่ลำคอของทั้งสองพร้อมดันสองดรุณีกลับมาในห้อง ตามติดด้วยยายพั้วะลิ้ม ซึ่งดูเหมือนจะภูกควบคุมตัวโดยคนข้างหลัง
   สองดรุณีพยายามใช้กระบี่ฟันแทงไปที่คนที่กำลังบีบคอนาง แต่ดูเหมือนร่างกายมันจะคงกระพันฟันแทงไม่เข้า
กังปังผละจากเศรษฐีฮิ่มพยายามคิดว่าจะช่วยพวกนางยังไงดี"
   "พวกเจ้าทำไมเพิ่งโผล่มาตอนนี้วะ"
   นางรูมีปานพร้อมกับข้าทาสกรูเยซมานเพิ่งเสร็จจากธุระ จึงเข้าไปในห้องทำงานเศรษฐีฮิ่มเพื่อรายงาน จึงพบเจอยายพั้วะลิ้มจึงควบคุมตัวไว้ เห็นทางลับเปิดอยู่ สองดรุณีง่อไบ๋กำลังจะก้าวเดินเข้ามา ไอ้กรูเยซมานจึงตรงเข้าบีบคอทั้งสองตามสภาพที่เห็น
   นางรูมีปานสกัดจุดให้ยายพั้วะลิ้มหยุดนิ่ง แล้วตรงเข้าช่วยเหลือเศรษฐีฮิ่มล้วงเอายาสมานแผล แก้ฟกช้ำ ทั้งให้กินและทาเพื่อให้บรรเทาขึ้น
   กังปังตอนนี้ห่วงแต่สองดรุณีง่อไบ๋มากกว่าจึงไม่ได้สนใจทางด้านเศรษฐีฮิ่ม เห็นหมวกสัตตโลหะที่วางอยู่ใกล้ๆจึงหยิบขึ้นมาขว้างไปสุดแรงเป้าหมายที่หัวของเจ้ากรูเยซมานส์ โดยกังปังขว้างไปได้อย่างแม่นยำ กะว่าต้องโดนหัวมันแน่นอน แต่ผิดคาดเจ้ากรู กลับปล่อยมือที่ลำคอสองดรุณี รับได้อย่างแม่นยำเช่นกัน
   สองดรุณีง่อไบ๋พอได้อิสรภาพรีบถอยกรูดมาหากังปัง
   "เดก เด็ก อย่างนี้ข้ารับได้"
   เจ้ากรูทาสผิวดำ ยิ้มยิงฟันขาว ท่าทางโง่งม
   "ตาข้าบ้างนะ "
   ไอ้กรูไม่พูดเปล่า
   ขว้างหมวกสัตตโลหะกลับด้วยความแรงและเร็ว กังปังโชว์ความสามารถยกมือรับหมวกด้วยมือข้างเดียว
   "ทีข้าบ้างนะ ดูว่าเจ้าจะรับได้ไหม"
   เมื่อได้รับการปฐมพยาบาลเศรษฐึฮิ่มค่อยฟื้นตัวดีขึ้น เห็นกังปังกับกรูเยซมานต่างผลัดกันขว้างหมวกสัตตโลหะเข้าหากันทั้งเร็วทั้งแรงขึ้นเรื่อยๆ กลัวว่าหมวกอาจเกิดความเสียหายได้จึงร้องบอกไป
   "เจ้าอย่าไปปาหมวกแบบนั้น ไอ้กรูส่งมาให้ข้า"
   "โป้ก อูยส์ ขลุก ๆๆๆ "
   "โอ้ยไอ้เย็ดแม่เอย ข้าบอกให้ส่งมาไม่ใช่ให้ปาใส่หัวข้า"
   "ข้าชื่อเย็ดมันส์ ไม่ใช่เย็ดแม่"
   เศรษฐีระอาใจที่มีลูกน้องโง่เช่นนี้
   ภายหลังที่เศรษฐีฮิ่มบอกให้กรูเบซมานได้ยินเสียงเศรษฐีฮิ่มบอกให้ส่งหมวกไปให้ กรูเยซมานที่ถือหมวกในมือกำลังเตรียมปาใส่กังปัง พอได้ยินบอกเลยหันไปปาหมวกไปทางเศรษฐีฮิ่มจนโดนหัวโน แภมหมวกยังกลิ้ง ขลุก ขลุก กลับไปหากังปัง
   ยายพั้วะลิ้มที่ยืนอยู่อดร้อนใจไม่ได้
   "กังปังเจ้ายังเอาแต่เล่นอะไรอยู่ ตอนนี้มันมากันครบ 3 คนแล้ว เจ้าสู้มันไม่ได้หรอก ต้องรีบหนีไปตอนนี้เลย"
   กังปังได้ยินเสียงยายพั้วะลิ้มร้องเตือนสติ จึงตอบกลับแบบไม่ต้องเสีบเวลาคิดเลย
   "ข้าจะพานางสองคนหนีไปเดี๋ยวนี้ ไว้ข้าค่อยคิดหาทางช่วยท่านใหม่"
   ยายพั้วะลิ้มได้ยินกังปังตอบ ต้องคำนึงขึ้นในใจ
   "ข้าไม่น่าลองใจมันเลย ไม่มีอิดออดทัดทานเลย ว่ายังไงต้องช่วยข้าก่อน ตอบรับทันที เข้าตำรา เห็นหญิงแล้วทิ้ง ไอ้แก่อย่างข้าเลย"
   "พวกเจ้าคิดจะมา คิดจะไปก็ไปได้เหรอ"
   เสียงเศรษฐีฮิ่มกล่าว กังปังไม่สนใจเอาหมวกสัตตโลหะขึ้นมาสวมอีกคราไล่ให้สองดรุณีง่อไบ๋วิ่งนำให้ออกจากห้องไปก่อน
   เศรษฐีฮิ่มถึงกับตาเหลือก หันไปบอกกับนางรูมีปาน
   "อย่าปล่อยให้พวกมันหนึไปได้ ขื่อเสียงข้าบรรลัยคราวนี้แน่"
   นางรูมีปานคล้ายล้วงอะไรในอกเสื้อออกมาแล้วซัดสื่งนั้นไปที่กังปัง
   "กังปัง เจ้าระวังข้างหลัง อันตราย"
   กังปังมีปฎิกริยาว่องไว ดังมีตาหลังงอกเงยหันขวัญกลับมาใช้ดรรชนี คีบจับวัตถุที่นางรูมีปานซัดมาได้
มองดูวัตถุในมือกลับเป็นเข็มเล่มหนึ่ง ขนาดยาวราวหนึ่งฝ่ามือ แต่มีความละเอียดราวดับเส้นขนวัว เข็มชนิดนี้ทั้งเบาบางต้องเป็นผู่มีกำลังภายในดีจึงสามารถขว้างมันออกมาได้ กังปังรีบเก็บเข็มไว้กับตัว
   "โอ้ย โอ้ย"
   สองดรุณีง่อไบ๋ที่วิ่งนำไปเกือบพ้นประตู ส่งเสียงร้องด้วยต่างถูกเข็มที่นางรูมีปายซัดมาเข้าที่ต้นแขนทั้งสองคน
   สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดรวดเร็วมากเพียงชั่วพริบตา
   "เฮ้ย ไอ้กรูเจ้ามัวยืนเฉย เกะกะทำไม ไปจับมันมาซิ ต้องให้สั่งทุกครั้งเลยเหรอ"
   สิ้นเสียงเจ้ากรูเยซมานส์ จึงเตรียมวิ่งจะไปจับกังปังที่ให้สองดรุณีง่อไบ๋ออกพ้นประตูแล้ว กังปังที่กำลังจะวิ่งตามออกไปจู่ๆเกิดชะงักเท้า  เอี้ยวตัวหันขวับมานัยน์ตาดุดัน พลอยทำให้เจ้ากรูเยซมานส์ถึงกับหยุดตามไปด้วย
   เหมือนทุกคนได้รับรังสีลางร้ายออกมาจากกังปังด้วยสัญชาติ
   "นั่นมันคิดจะทำบ้าอะไรอีกวะ"
   เศรษฐีฮิ่มรู้สึกร้อนๆหนาวขึ้นกะทันหัน
............................................

   "ไหนกังปังเจ้าว่าเพลงกระบี่ชุดนี้มีเพียง 3 กระบวนแต่ข้าว่ามันแยกได้เป็น 4 มากกว่า"
   ย้อนกลับไปก่อนที่กังปังจะออกเดินทางได้อนุญาตบิดาปรับปรุงเพลงกระบี่ประจำตระกูลเสียใหม่จะเป็นการลบหลู่บรรพชนหรือไม่
   ฟูเซิ่ง ผู้เป็นบิดากลับหัวเราะกล่าวว่า
   "คนเราไยต้องไปคร่ำครึกับกฎระเบียบเดิม หากของเก่าไม่ดีหรือไม่ถูกต้องก็ควรจะแก้ไขใหม่ อย่างนี้ถึงเรียกว่ามีการพัฒนา ดังคำว่าคลื่นลูกใหม่ไล่แซงคลื่นลูกเก่า หมายถึงคนรุ่นใหม่ต้องเก่งกว่าคนเก่าอย่างนี้โลกถึงเจริญก้าวหน้า
   เด็กหรือลูกหลานทำผิดผู้เป็นผู้ใหญ่หรือพ่อแม่ต้องเป็นผู้ที่ชี้ทางที่ถูก ในทำนองเดียวกันหากแม้พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่หลงผิด ผู้ที่เป็นลูกหรือผู้เป็นเด็กกว่าก็ต้องมีหน้าที่ให้คำเตือนสติทักทัวงแก่พ่อแม่เพื่อให้มีสติกลับมาเช่นกัน ไม่ใช่นิ่งเฉยหรือไปเออออตาม ซึ่งมันยิ่งเป็นการทำร้ายบิดาและตัวเองมากกว่า
   กังปังจึงรู้สึกชื่นชมต่อบอดาบุญธรรมยิ่งนักที่ท่านมีจิตใจกว้างและความคิดกว้างไกล
   หลังจากที่กังปังได้ปรับปรุงเพลงกระบี่ประจำตระกูลเสร็จจึงได้ถ่ายทอดให้แก่เจียงปิงและฟู่หลิงโดยฟู่เซิ่งได้ชมดูพร้อมผงกศรีษะคล้ายชื่นชมเช่นกัน เจียงปิงจึงเข้าไปกล่าวกับกังปังเพิ่มเติม
   "โดยเฉพาะเพลงกระบี่ท่าสุดท้าย เหมือนเจ้าเอาท่าเพลงที่สังหารหม่าหยงเข้ามาเพิ่มด้วย เจ้าเรียกกระบวนท่านี้ว่าอย่างไร"
   "ข้าคิดว่าจะตั้งชื่อว่า ท่าเพลงกระบี่สะบัดหลัง ท่านพี่มีความเห็นว่าไร"
   "เจ้าก็ตั้งชื่อได้เหมาะ ท่าเพลงนี้ใช้โต้กลับในขณะที่ศัตรูคิดว่าถอย แถมตวัดกลับออกมาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ศัตรูระวังตัว แต่ก็ไม่แน่ว่าจะหลบพ้นเพราะไม่รู้ว่ากระบี่ท่านี้จะออกมาจากทิศทางใด"
   "รู้ตัวก็ไม่แน่ว่าจะหลบพ้นหรือ"
   "ยิ่งออกมาจากฝีมือเจ้าที่ทั้งรวดเร็วและมีพลังด้วยแล้วยิ่งยาก ข้าคงฝึกอีกนานจึงจะใช้ได้คล่องและแนบเนียนเช่นเจ้าได้"
   กังปังฟังศิษย์พี่เจียงปิงพูดแล้วทำให้หวนคิดไปถึงตอนที่ตนสังหารหม่าหยง โดยสำคัญผิดคิดว่าหากหม่าหยงไม่คิดสังหารตนจะเห็นกระบี่ท่านี้แล้วหลบได้ แต่เมื่อฟังเจียงปิงจึงรู้ว่าแท้จริงกังปังมีฝีมือสูงเกินไปจึงตวัดกระบี่นั้นออกมาอย่างรวดเร็ว ต่อให้หม่าหยงไม่คิดจะสังหารกังปัง แต่มาเจอกับท่ากระบี่ที่ทั้งเร็วและออกมาโดยไม่รู้มาจากทิศทางใดก็ยากจะหลบพ้นอยู่
   "โอ..นี้ข้าได้เผลิพลาดไปสังหารพี่หม่าหยงโดยไม่ได้คาดคิดไปแล้วหรือนี้"
   แต่จากคำพูดของเจียงปิงทำให้จุดประกายบางอย่างขึ้นแก่กังปัง จึงประสานมือคาราวะเจียงปิง
   "ข้าต้องขอขอบคุณในคำชี้แนะของท่านพี่เช่นกัน"
   "เอ  ขอบคุณข้าเริ่องอะไร" เจียงปิงงง
   "ท่านทำให้ข้าเกิดความคิดที่จะไปปรับปรุงเพลงฝ่ามือที่ข้ามีเช่นกัน"
   ....................................
   เมื่อกังปังที่กำลังหนีออกไปแล้วชะงักเท้า ซึ่งทำให้ทุกคนเกิดลางสังหรณ์บางอย่างขึ้น แม้แต่ไอ้กูเยซมันส์ก็พลอยรู้สึกและชะงักเท้าตามไปด้วย เป็นเวลาเดียวกับที่กังปังเอี้ยวตัวกลับมาโดยเก็งกำลังภายในใส่ฝ่ามือทั้งสองข้างอย่างเต็มพิกัด พร้อมกับพูดว่า
   "ฝ่ามือสยบมังกร กระบวนท่าที่ 19 ฝ่ามือมังกรสะบัดหลัง"
   ฝ่ามือสยบมังกรที่ประมุขพรรคกระยาจกคิดขึ้นมีเพียง 18 ท่า จึงเรียก 18 ฝ่ามือสยบมังกร แต่ที่กังปังใช้คือกระบวนท่าที่คิดเพิ่มเติมเข้าไป
   ได้ยินเสียงดังครืนออกจากฝ้ามือทั้ง 2 ข้างของกังปังดังราวมังกรคำรามก็ไม่ผิด มีพลังคลื่นมหาศาลออกมา
เจ้ากูเยซมันส์รีบถลันตัวหลบตามสัญชาติญาณแทบไม่ทันแม้กระนั้นยังโดนปลายพลังกระแทกจนกระเด็นไปทางหนึ่ง ที่ประหลาดคือเจ้าพลังนี้กลับตีโค้งดังราวมังกรที่สะบัดหลังฟาดหางออกไม่ปาน เลี้ยวไปยังเศรษฐีฮิ่ม รวมทั้งนางรูมีปานพร้อมกับยายพั้วะลอ้มที่ยืนอยู่ด้วยกัน
   ทั้งหมดถึงกับตาเหลือกขนาดยายพั้วะลิ้มที่เป็นชาวยุทธรุ่นเก๋าก็เพิ่งเคยเจอกับพลังฝ่ามือพิสดารเช่นนี้
   "เวรแล้ว ไอ้คนทำอะไรไม่รู้จักคิดไอ้เวรเอยไม่คำนึงถึงเลยว่าข้าก็ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย ยิงพลังฝ่ามือที่รุนแรงออกมาอย่างนี้ ข้ามีหวังตายห่าไปพร้อมพวกมัน คราวนี้แน่"
   ยายพั้วะรำพึง ทุกคนไม่รู้ว่าจะหลบพลังฝ่ามือนี้อย่างไรเพราะคาดไม่ถึงว่ามันจะโค้งมาทางนี้ได้
   "ตูม" "กึก กึก กึก"
   พลังฝ่ามือกลับโค้งผ่านทุกคนไปกระแทกกับผนังกำแพงกั้นน้ำเสียงสั่น ทั้งห้องสั่นสะเทือนราวเกิดแผ่นดินไหวอยู่พักหนึ่งค่อยสงบ
   "เล่นเอาใจหายใจคว่ำหมด โชคดีที่มันพลาด ผ่านตัวไปโดนกำแพงกั้นน้ำนั้น"
   
   "กำแพงนั้นมันหนาอย่างกับผนังเขื่อนมันไม่มีทางที่จะพังลงมาง่ายๆหรอก"
   เศรษฐีฮิ่มพูดยังไม่ทันขาดคำ ปรากฎทั้งห้องกลับสั่นสะเทือนขึ้นมาอีกครา และครั้งนี้เหมือนจะรุนแรงกว่าครั้งเก่าหลายเท่า
   "อะไรกันอีกวะ"
   "นั่นกำแพงจะถล่มลงมา"
   เสียงนางรูมีปานร้องบอกไม่ทันขาดคำ ก็มองเห็นกำแพงกั้นน้ำเริ่มร้าวแตกออก ชั่วพักเดียวก็ถล่มลงมา ครานี้น้ำจำนวนมหาศาลก็ทะลักเข้ามาเกินกว่าที่ทุกคนจะตั้งตัวก็โดนน้ำท่วมกันหมด
   ส่วนกังปังเพ่นแน่บออกไปแล้ว
   ทั่วทั้งป้อมเศรษฐีฮิ่มเกิดอลหม่านวิ่งกันวุ่นไปหมด กังปังวิ่งตามสองดรุณีง่อไบ๋ที่ออกมาอยู่หน้าตัวตึกกำลังจะออกไปถนนหน้าทางออกป้อมอยู่แล้วสองดรุณีง่อไบ๋ทำท่าร่อแร่เต็มทน
   "แม่นางทั้งสองเป็นไงบ้าง"
   "ข้าเจ็บเหลือเกิน จะทนไม่ไหว"
   "แข็งใจอีกสักหน่อย นั่นยามรักษาการกำลังมา เจ้าทั้งคู่แสร้งทำเป็นปกติให้ผ่านยามไปได้ก่อน"
   "แม่นางทั้งสองหยุดก่อน เกิดอะไรขึ้น เอ๊ะ .. ท่านเป็นใครจะไปไหนกัน"
   หัวหน้ายามทั่เฝ้าประตูถาม จำได้เพียงแต่สองดรุณีง่อไบ๋ตอนมาถึง แต่กังปังเหมิอนมันไม่เคยเห็น
   กังปังจึงล้วงป้ายทองคำออกมาอันกนึ่งแสดงให้หัวหน้ายามเฝ้าประตูดู
   "อ๋อ ที่แท้คือ ท่านจงกวง(พ่อบ้าน) คนใหม่ที่ท่านเศรษฐีว่ารับเข้ามานี้เอง"
   อา..ได้ผลไม่เสียทีที่หยิบเอาป้ายนี้มาด้วย
   "เสียงเอะอะข้างใน เกิดอะไรขึ้น"
   "เกิดอุทกภัยเขื่อนแตก น้ำท่วมไปทั่วตึก ท่านเศรษฐีจึงให้ข้าพานางไปพักที่อื่นก่อนชั่วคราว"
   ขณะนั้นมีผู้คนต่างส่งเสียงกันว่าน้ำท่วม ๆ กันดังไปหมด สอดคล้องกับที่กังปังบอก กังปังจึงล้วงเอาทองคำก้อนใหญ่มาอันหนึ่ง

"เจ้าจงเป็นธุระหารถม้ามาให้สักคัน"
   หัวหน้ายามเห็นทองที่กังปังยื่นให้ถึงกับตาลุกวาวดีใจ นึกในใจจงกวงผู้นี้ช่างใจป้ำรู้จักใช้คน มันรีบเสนอตัว
   "ไม่ต้องอื่นไกลเลย เอารถม้าคันนี้ไปได้เลย"
   มันรีบชี้ไปยังรถม้าคันหนึ่งที่จอดอยู่
   "ท่านต้องการคนขับด้วยหรือไม่"
   "ไม่ต้อง ทางที่ดีเจ้าควรบอกเลิกยามในวันนี้ได้ แล้วบอกให้ลูกน้องกลับไปดูที่พักว่าโดนน้ำท่วมมีอันใดเสียหายหรือไม่ ทางนี้ไม่น่ามีอะไรไปช่วยกันดูแลที่พักจะสำคัญกว่า
"ท่านจงกวงกล่าวถูกต้อง ข้าจะทำตามคำสั่งิขอให้จงกวงโชคดี หวังว่าข้าคงได้มีโอกาสรับใช้ท่านอีก
   กังปังจึงให้สองดรุณีง่อไบ๋ขึ้นรถม้าขับหนีออกไปอย่างง่ายดาย
   ..............
   หลังจากทั้งหมดได้รอดพ้นจากน้ท่วมอย่างทุลักทุเลแล้ว
   โดยเฉพาะเศรษฐีฮิ่มดูจะหมดสภาพมากกว่าเพราะทั้งหน้าตาบวมปูดจนจำแทบไม่ได้ และหวุดหวิดจะสำลักน้ำตาย
   "แคร่ก  ๆ ไอ้กังปัง ไอ้เวรที่มันแสบจริงๆ ทำข้าเกือบจมน้ำตาย  แคร่ก   ๆ "
   "มันทั้งทำร้ายข้าจนหน้าบวมปูดไปหมด อูยส์ "
   เศรษฐีฮิ่มอดร้องออกมาไม่ได้เมื่อเอามือไปสัมผัสใบหน้าตนเอง
   "มันยังมาทำลายข้าวของในบ้านข้า พังบ้านค่า ขโมยเงินและมีค่าในบ้านข้าไป แถมยังคาบเอาหญิงข้าไปอีก ข้ายังไม่ได้ลิ้มรสพวกนางเลย มันช่างแสบครบเครื่องจริงๆ"
   เศรษฐีฮิ่มพูดกับกัดฟันด้วยความเจ็บทั้งกายและใจ
   "แต่น่าเสียดายที่สองดรุณีต้องตายทั้งๆที่ยังสาวแท้ๆ ยังไม่ได้รู้รสชาดของความสุขเลยต้องจบชีวิตแล้ว เสียดายยิ่ง"
   "เรื่องนี้อาจยังไม่แน่"
   "เอ๊ะ ไม่แน่อันใด ไหนเจ้าเคยบอกไม่ใช่หรือ ว่าในโลกนี้ไม่มียาขจัดพิษจากเข็มพิษของเจ้าได้"
   "มันไม่มียาขจัดพิษจริง หากแต่ว่า.."
   "หากแต่ว่า มันยังมีหากแต่ว่าอันใดอีกหรือ"
........
   สองดรุณีง่อไบ๋ถูกทำร้ายด้วยเข็มสัตตโลหะอันมีพิษร้ายกาจ ไม่มีตัวยาขจัดพิผษชนิดนี้ในโลก หากแต่ว่า....คืออะไร
   กังปังจะรักษาช่วยชีวิตสองดรุณีง่อไบ๋ได้หรือไม่
   โปรดติดตามตอนต่อไป ในตอน
   ถ่ายทอดกำลังภายในช่วยสองดรุณี




peddo

#1
วางพลอตได้ล้ำลึกมาก ยิงมุกตลอดไม่มีแป้ก นางเฒ่าพลอยเจ็บไปด้วย โชคดีที่ไม่ได้ไปกับกังปัง เดี๋ยวถูกลูกหลงเพลงสวาทหัวใจวายตาย เดาว่า ถ้าได้ลิ้มรสสวาทของกังปัง ทั้งสองนางอาจมีโอกาสรอด อิอิ ทำไมเราช่างคิดได้โฉดจริงๆ ท่านผู้เขียนคงมีมุกอื่นที่ดีกว่านี้ 555
ขอบคุณ​ครับ​

cobra

navy868

#2
เสียเงินเสียทอง ข้าวของถูกทำลาย ซ้ำร้ายสองสาวก็ไม่ได้แอ้ม ซวยจริงๆท่านเศรษฐี 555 ::HoHo::

cobra

Sawat Songprasop

#3
   กังปังคงใช้วิชาฝังเข็มส่วนตัวช่วยสองดรุณีแน่ๆ สองนางง่อไบ๋นี่นอกจากไม่ตายแล้ว คงได้เพิ่มพลังจากการถ่ายทอดผ่านเข็มส่วนตัวของกังปังจากยอดวิชาดูดดาวด้วย

cobra

buark

#4
ข้าน้อยขอคารวะผู้แต่ง มันส์ได้ใจ แต่ตอนต่อไปถ้าให้กังปังจิ้มดรุณีง้อไบ๊ช่วยถอนพิษ มันจะธรรมดาไป น่าจะให้สองดรุณีต้องดูดกลืนน้ำรักของยายเฒ่าพั๊วลิ้ม โดยคนพายายเฒ่าขึ้นสวรรค์ได้ต้องมีกำลังภายในลึกล้ำระดับกังปัง อิอิ กังปังจะต้องกลับไปช่วยยายเฒ่า พามากด เพื่อช่วยสองดรุณี 555 น่าจะมันส์ขึ้นนะครับ

cobra

leexiaopai1

#5
ตอนนี้ทำลายความคาดหวังมากเลยขอบอก นึกว่าจะได้อ่านฉากเด็ดซะอีก ขอใหม่ตอนหน้านะครับ

ขอน้อมรับครับcobra

samsung014

#6
ท่าทางกังปังจะได้พิชิตสองหญิงเพราะรักษาพิษแน่ๆเลย อิอิ

ได้ทราบในตอนต่อไปครับcobra

ppyyaa

#7
แหมทิ้งทายวิธีนักษานี่ต้องมีฉากมันๆใก้ลุ้นแน่นอน ชอบโครงเรื่องครับ

ขอบคุณครับcobra

somc217

#8
อ่านถึงตอนนี้แม้ว่าจะยังงงๆอยู่บ้างแต่ก็สนุก น่าติดตามมากๆ
ขอบคุณมากครับ

ผู้อ่านอ่านแล้วงง ต้องถือเป็นความผิดของผู้เขียนครับ จะแก้ไขให้รายละเอียดมากขึ้นต่อไปครับcobra

phaii

#9
วิธีรักษาพิษต้องพิสดารล้ำลึกแน่นอน ฟันธง

cobra

therasak

#10
อัจริยะกังฟูดันมาลามกแถมยังบ้า ๆ บ็องๆ อีก แต่สนุกมากครับ

cobra

songsak

#11
อ่านแล้วสนุกปนฮา กังปังมากครับยิ่งตอนเปิดตัวด้วยทำได้เฉียบมาก อดใจรอตอนต่อไปครับว่ากังปังจะช่วยสองดรุณีได้หรือป่าว

cobra

Peter Taowating

#12
แต่งได้รวดเร็ว ไหลลื่น ทั้งสนุกทั้งฮาเลยครับ  เห็นหน้าเศรษฐีแล้วเลือกตัวละครได้ตรงมากเลยครับ ::Glad::

cobra

Nikubou

#13
ตอนนี้ฮามากครับ ดันมีหมวกของแม็กนีโตมาด้วยเนี่ย คิดว่าตอนต่อไปกังปังต้องเอาพิษของตัวเองไปถอนพิษให้สองดรุณีแน่ๆเลย

cobra

abaratei

#14
หนามยอกก็ต้องเอาหนามบ่ง  กะทันหันแบบนั้นหาไม่ได้ ต้องใช้ของที่ติดตัวใช้ไปพลาง

cobra