ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

อาถรรพ์ปลัดขิก ภาค 2 ตอนที่ 1 รอดตายในป่าลึก

เริ่มโดย Kamen Rider V-3, พฤษภาคม 08, 2020, 04:09:35 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

Kamen Rider V-3

และแล้วก็ถึงเวลาที่ผมจะเริ่มสานต่อ อาถรรพ์ปลัดขิกซะที  หลังจากที่ตันอยู่ระยะหนี่ง
ประกอบกับหน้าที่การงานที่ยังยุ่งๆอยู่   ก็ตั้งใจไว้ว่าจะเอาให้จบตามพล๊อตที่ตั้งไว้ให้ได้
ขอตั้งชื่อว่า เป็น อาถรรพ์ปลัดขิกภาค 2 เลยแล้วกัน ส่วนภาคแรกใครยังไม่เคยอ่านและต้องการติดตามเชิญได้ที่ลิงค์ท้ายเรื่องครับ


--------------------


          ท้องฟ้าที่สว่างใสมาตั้งแต่รุ่งเช้าของผืนป่าดิบแล้ง เริ่มอึมครึมแล้วลาแสงลงด้วยเมฆฝนสีเทาหม่นที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาจนห่มคลุมท้องฟ้าโดยรอบของป่า จะมองเห็นสิ่งต่างๆได้ก็เพียงแค่เงาสลัว  กิ่งก้านอันแผ่กว้างของต้นไม้ใหญ่ดำทะมึนเริ่มแกว่งไกวไปมาจากลมฝนที่เริ่มตั้งเค้า  แล้วกลับกลายเป็นลู่ไปตามกระแสลมอย่างรุนแรงจนใบของมันปลิวว่อนกระจัดกระจายไปทั่ว

 
เสียงคำรามของท้องฟ้าดังครืนๆ สลับกับแสงแปลบปลาบสว่างวาบ  ต้องร่างของชายหนุ่มที่นอนสงบนิ่งอยู่ใต้โคนไม้ใหญ่  แล้วเพียงครู่ท้องฟ้าอันดำมืดก็ปลดปล่อยเม็ดฝนอันเย็นฉ่ำจากผืนฟ้าลงสู่ผืนดินอันผากแห้งจนฉ่ำชื้นเจิ่งนองเสมือนเป็นการฟื้นคืนชีวิตของป่าขึ้นมาอีกครั้ง


เม็ดฝนสาดลอดร่มไม้ลงมาพร่างพรมบนใบหน้าของป๊อด เหมือนกับจะช่วยปลุกให้เขาตื่นฟื้นจากการหลับใหล เปลือกตาของเขาเริ่มขยับแล้วค่อยๆลืมขึ้นอย่างยากลำบาก  ริมฝีปากอันแห้งผากเผยอออกรับเอาหยาดน้ำทิพย์ที่พร่างพรมลงมาจากแผ่นฟ้าล่วงเข้าสู่ลำคออย่างโหยกระหาย  สายน้ำอันเย็นฉ่ำชุ่มชื่นช่วยให้ป๊อดเริ่มกลับมามีพลังชีวิตขึ้นทีละน้อยๆ


ป๊อดพยายามยันร่างเพื่อจะลุกขึ้นนั่ง แต่แล้วก็ต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทรุดตัวกลับลงไปนอนอีกครั้ง ความบอบช้ำจากการถูกรถชนอย่างรุนแรง ทำให้ป๊อดยังมีอาการหายใจติดขัดและเสียดแน่นที่ช่องอกทั้งยังถูกซ้ำด้วยอำนาจฤทธิ์ของลูกกระสุนปืน ทั้ง 3 นัดที่ยิงมาในระยะเกือบจะเป็นเผาขน   โชคดีที่ในขณะถูกยิงยังมีปลัดขิกพญางิ้วดำคุ้มครองอยู่  จึงทำให้ลูกปืนทั้งสามนัดไม่สามารถเจาะทะลุผ่านช่องอก


สติของป๊อดเริ่มคืนกลับมาจนเกือบเป็นปกติเมื่อได้รับความฉ่ำเย็นของสายฝน  เขาเริ่มทบทวนคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้  ป๊อดจำได้ว่าเขาถูกรถยนต์คันหนึ่งพุ่งชนจนร่างของเขาลอยกระเด็นไป และถูกคนขับรถคันนั้นเดินตามมายิงซ้ำมาที่ร่างของเขาในระยะใกล้   เมื่อระลึกได้ถึงตรงนี้อาการเจ็บแน่นที่หน้าอกก็แล่นแปลบเข้ามาจนเขาต้องหลับตาลงสะกดความเจ็บปวดเอาไว้


เขาไม่เคยมีศัตรู ไม่เคยสร้างความอาฆาตแค้นให้กับใคร  คนที่ต้องการให้เขาตายจนกระทั่งสามารถทำได้ถึงเพียงนี้มีเพียง เสี่ยวิชัย คนเดียวเท่านั้น  พอคิดมาถึงตรงนี้ป๊อดก็เริ่มวิตกกังวลเป็นห่วงคนที่บ้านเกรงว่าเสี่ยวิชัยอาจจะส่งคนไปทำร้าย  เขาจึงพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงและกำลังทั้งหมดที่มี  ดันร่างตัวเองให้ลุกขึ้นเอาชนะความเจ็บปวดที่บริเวณชายโครง จนสามารถนั่งได้ในที่สุด


ป๊อดหายใจอย่างเหนื่อยหอบหันมองสำรวจสภาพของสถานที่โดยรอบ  แล้วก็เห็นว่า ณ จุดที่ตนเองอยู่เป็นป่าทึบอันหนาแน่นไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่  ทั้งยังเป็นเวลาที่ใกล้จะค่ำแล้ว  ป๊อดรู้ดีว่ากลางป่าในยามค่ำมืดทั้งยังมีพายุฝนเช่นนี้ไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยหากปล่อยให้เนิ่นนานไปกว่านี้สถานะการณ์ของตนเองก็จะยิ่งเลวร้ายยิ่งขึ้น


ทุกครั้งในยามที่ได้รับความทุกข์หรือเข้าตาจน ป๊อดจะคิดถึงน้าขิกรวมถึงในครั้งนี้ด้วย  ป๊อดรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาในทันทีจึงรีบล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อ  แต่แล้วก็ต้องใจหายวาบเมื่อพบแต่ความว่างเปล่า  และไม่ว่าจะควานหาลงไปซักกี่ครั้งก็ไม่พบปลัดขิกพญางิ้วดำที่ตนเองเป็นผู้ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ


ป๊อดไม่ละความพยายาม ไล่มือลงไปสำรวจกระเป๋ากางเกงและสอดส่ายสายตาไปทั่วอาณาบริเวณใกล้เคียงอย่างร้อนรน ด้วยความหวังว่าอาจจะทำตกหล่นไปไม่ไกลนัก

"น้าขิก....น้าขิกไปไหน.......น้าขิกอยู่ที่ไหน............น้าขิก.....โธ่.....น้าขิก.."



ป๊อดร่ำร้องออกมาอย่างอ่อนใจ  จนในที่สุดก็ทิ้งมือทั้งสองลงข้างลำตัวตัวอย่างท้อแท้สิ้นเรี่ยวแรง นั่งมองดูสายฝนที่สาดกระทบลงบนพื้นดินอย่างหมดหวัง 


ฝนเริ่มซาลงจนหยุดลงในที่สุด บรรยากาศรายรอบก็มืดมิดลงจนแทบจะมองไม่เห็นอะไรที่อยู่เบื้องหน้า เสียงจักจั่นเริ่มดังขึ้นจนดังก้องเซ็งแซ่ไปทั้งป่า  มันยิ่งสร้างความเหงาและวังเวงให้กับป๊อดมากยิ่งขึ้นไปอีก

สัตว์น้อยใหญ่ที่หากินในเวลากลางคืนเริ่มส่งเสียงสอดแทรกเสียงเข้ามาเป็นบางขณะ  มันเป็นเสียงที่แปลกประหลาดและน่ากลัวจนอดคิดไม่ได้ว่ามันอาจจะเป็นเสียงของภูตผีปีศาจ    และพอคิดถึงตรงนี้ป๊อดก็นึกออกว่าเขายังมีโหงพรายอยู่  โหงพรายที่ป๊อดใช้ให้ไปเฝ้าดูอาการของนิสา แล้วกลับมาเล่าเรื่องราวของเธอ  ให้ฟังในตอนเย็นๆ  ป่านนี้มันเองก็คงจะหาเขาอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อเขามาอยู่ในป่าลึกอันห่างไกลเช่นนี้ เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถติดต่อกับโหงพรายได้หรือไม่  แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกนอกจากจะต้องทดลองดู  แล้วป๊อดก็หลับตาลงพยายามสำรวมจิตให้สงบนิ่งเพื่อสื่อกระแสจิตถึงโหงพราย   

อาจจะเป็นเพราะเขากำลังอยู่สถานที่อันคับขันและอยู่ในสภาวะที่วิตกกังวล  แม้จะพยายามเท่าไหร่ป๊อดก็ไม่สามารถสำรวมจิตให้นิ่งได้  จนป๊อดคิดตัดสินใจที่จะแก้ปัญหาด้วยตนเอง  โดยพยายามยันตัวเองลุกขึ้นยืนและออกก้าวเดินอย่างโผเผ เพื่อจะหาทางออกจากป่าแห่งนี้

ป๊อดฝืนเท้าก้าวเดินโผจากโคนต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งด้วยอาการกระปกกระเปลี้ย ท่ามกลางความดำมืดของป่า  ผืนดินหลังฝนตกอย่างหนัก มันทั้งเปียกทั้งลื่นและดำสนิทจนป๊อดเองก็มองไม่เห็นว่ากำลังก้าวเท้าไปเหยียบอะไร แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้าวเดินต่อไปเพื่อหาทางออกจากป่าแห่งนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด   และแล้วเท้าของป๊อดข้างหนึ่งก็ก้าวสวบหายลงไปในที่อันเวิ้งว้าง 


"เฮ้ยย !..........อ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา..............."



ป๊อดรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวพร้อมกับส่งเสียงร้องดังยาวออกมา  ขณะที่ร่างของเขาล่องลอยอยู่อย่างเวิ้งว้าง  กระแสลมวิ่งผ่านหูของป๊อดทั้งเร็วแและแรงจนรู้สึกอื้ออึงไปหมด  ร่างของเขาลอยเคว้งคว้างจนป๊อดรู้สึกว่าวาระสุดท้ายของชีวิตทำไมมันช่างยาวนานนัก  แล้วในที่สุดสติสัมปชัญญะของป๊อดก็ดับวูบลง


-------------

          เสียงไก่ป่าตีปีกดังผั่บๆๆ แล้วขันดังก้องเป็นช่วงๆ  สลับกับเสียงของนกตัวน้อยที่ส่งเสียงเจี้อยแจ้วอย่างไม่ยอมแพ้  แว่วเข้ามากระทบโสตประสาทของป๊อดจนเริ่มรู้สึกตัวลืมตาขึ้น  แต่แล้วก็ต้องหรี่ตาลงอีกครั้งเมื่อแสงสว่างของเช้าวันใหม่สาดส่องทะแยงม่านตาเข้ามา
ป๊อดสอดส่ายสายตาหันมองไปโดยรอบอย่างมึนงง  ก่อนหน้านี้เขาจำได้ว่า ตนเองได้พลัดตกลงจากที่สูงจนคิดว่าคงไม่มีโอกาสมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว  แต่แล้วก็กลับพบว่าตนเองได้มาอยู่ในที่แห่งนี้


ป๊อดยันกายลุกขึ้นนั่งแล้วสำรวจดูตนเอง  ก็พบว่าความเจ็บปวดจุกแน่นที่เกิดขึ้นเมื่อคืน  หายไปราวกับปลิดทิ้งจนเขาอดคิดไม่ได้ว่าตัวเขาเองอาจตายไปแล้วจึงได้ละทิ้งความเจ็บปวดเหล่านั้นไป  แต่เมื่อหันมาสำรวจสถานที่ที่ตนนั่งอยู่ก็พบว่ามันเป็นลานดินกว้างเตียนที่รายรอบไปด้วยต้นไม้เหมือนมีคนมาถากถางไว้  ไก่ป่าสีสันสวยงามสี่ห้าตัวเกาะตามกิ่งก้านห่างออกไปไม่ไกลนัก ลักษณะที่มันเดินใกล้เข้ามาเหมือนมันไม่เกรงกลัวมนุษย์แต่อย่างใด
ที่ห่างออกไปมีกวางแม่ลูกอ่อนพร้อมกับลูกของมันกำลังเล็มหญ้าอยู่อย่างสบายใจและไม่มีท่าทีที่จะระแวงหรือเกรงกลัวในตัวเขาอย่างผิดธรรมชาติของสัตว์ป่า  บริเวณจุดกึ่งกลางของลานดินมีต้นไทรใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านปกคลุมจนผืนดินที่อยู่ใต้กิ่งก้านของมันดูร่มครึ้มน่าเข้าไปนั่งพักผ่อน 
และแล้วสายตาของป๊อดก็มาสะดุดลงที่บริเวณแท่นหินใต้โคนของต้นไทรใหญ่  มันดูคล้ายร่างของมนุษย์แต่ก็เห็นไม่ถนัดชัดนักเพราะถูกรากของต้นไทรห้อยย้อยปิดบังเอาไว้  ป๊อดไม่แน่ใจในสายตาของตัวเองจึงตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เขาจ้องมองสิ่งที่อยู่บนแท่นหินใต้โคนต้นไทรอย่างพินิจพิจารณา  จนชัดกับสายของตนเองแล้วว่าสิ่งนั้นคือ 


ร่างอันผอมแห้งของพระภิกษุชรารูปหนึ่ง  พระรูปนั้นกำลังนั่งหลับตานิ่งคล้ายกำลังดิ่งลึกอยู่ในสมาธิ  จีวรของท่านเก่าคร่ำคร่าและฉีกขาดจนไม่น่าจะให้ความอบอุ่นใดๆต่อร่างกายได้  ด้วยความที่ป๊อดเป็นเด็กวัดและมีความคุ้นเคยกับพระเป็นอย่างดี เขาจึงคุกเข่าลงแล้วก้มกราบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้ง ต่อร่างของพระภิกษุที่อยู่ตรงหน้า  แล้วพนมมือนิ่งจ้องมองไปที่ใบหน้าอันตอบแห้งจนมองเห็นสันกระดูกของโหนกแก้มพร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม

"ขอกราบนมัสการ หลวงปู่ครับ"


ร่างของภิกษุชรายังคงนั่งนิ่ง  ดวงตาปิดสนิท ริมฝีปากก็ไม่ได้ขยับแต่อย่างใด แต่กลับบังเกิดเสียงก้องกังวานตอบออกมา

"เกือบตายแล้วใช่ไหมล่ะ  เจ้าน่ะ"


ป๊อดจ้องมองร่างของพระภิกษุที่อยู่ตรงหน้าอย่างตกใจ แล้วหันไปมองโดยรอบเพื่อให้แน่ใจว่า เสียงที่ตนได้ยินเมื่อสักครู่เป็นเสียงของพระภิกษุชราที่อยู่ตรงหน้าจริงๆ 

"นั่นเสียงของหลวงปู่ใช่ไหมครับ"


"ใช่ ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่"


ป๊อดยิ้มออกมาอย่างดีใจ  เมื่อแน่ใจแล้วว่า พระภิกษุชราเป็นผู้พูดกับเขาจริงๆ

"นี่ผมยังไม่ตายใช่ไหมครับ  หลวงปู่"


"ก็คงจะตายไปแล้ว ถ้าข้าไม่ช่วยไว้"

พอป๊อดได้ยินอย่างนั้น ก็เข้าใจสถานะตัวเองในปัจจุบันทันที  ก้มกราบหลวงปู่อย่างสำนึกในพระคุณ


"เจ้าน่ะถึงแม้จะยังไม่ถึงที่ตาย  แต่ต่อไปก็จะต้องพบกับชะตากรรมที่ยากลำบากแบบนี้อีกหลายครั้ง เพราะผลกรรมจากอดีตชาติแม้ตัวเจ้าเองจะเคยสร้างกุศลอันยิ่งใหญ่เอาไว้ แต่ก็สร้างบาปกรรมเอาไว้มากเช่นกันจึงยังต้องเผชิญกับคู่เวรคู่กรรมของเจ้าที่ยังมีอีกมากมายนัก"


ป๊อดมีสีหน้าสลดลง และรู้สึกไม่สบายใจที่ได้ยินอย่างนั้น

"ผมไปทำกรรมอะไรเอาไว้หรือครับ หลวงปู่ พวกเขาถึงได้อาฆาตแค้นผมถึงขนาดนี้"


"เจ้าอยากเห็นไหมล่ะว่าอดีตชาติของเจ้าทำอะไรเอาไว้บ้าง"


ป๊อดตาเบิกกว้าง  อย่างสนใจ

"ผมอยากเห็นครับหลวงปู่  หลวงปู่ช่วยให้ผมเห็นได้เหรอครับ"

"ได้สิ  เจ้าน่ะ  ฝึกสมาธิจนได้ฌาณแล้วไม่ใช่รึ  ถึงแม้กำลังของฌาณจะยังอ่อนอยู่ แต่ก็พอที่จะระลึกย้อนไปยังชาติก่อนหน้านี้ได้อยู่"


"ขอหลวงปู่เมตตาสอนให้ผมด้วยเถอะครับ"


"เอ้า....ถ้าอย่างนั้น  เจ้าลองเข้าฌาณให้ข้าดูหน่อยซิ"


สิ้นคำของหลวงปู่ ป๊อดก็นั่งขัดสมาธิวางฝ่ามือทั้งสองทับกันไว้ที่หน้าตักแล้วปิดตาลง ภาวนาจิตเข้าสู่กสิณไฟตามที่น้าขิกเคยสอนเขาไว้  เพียงครู่จิตของป๊อดก็นิ่งสงบเห็นเป็นนิมิตรของดวงไฟขึ้นที่หน้าผากอย่างเด่นชัด  ที่ผ่านมาหากจิตของเขาดิ่งลึกเข้าสู่ขั้นนี้แล้วเพ่งจิตไปตามความปราถนาของตน ก็จะสามารถทำให้เกิดปาฏิหาริย์ต่างๆได้ตามต้องการแล้ว  แต่หากต้องการดูอดีตชาติของตัวเองเขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปเหมือนกัน  จึงรั้งรอจิตอยู่แต่เพียงในขั้นนี้

"ไอ้มหาภูตตนนั้น มันสอนเจ้าแค่เพียงเท่านี้รึ"

เสียงของหลวงปู่ดังก้องเข้ามาในสมาธิจิตของเขาอย่างแจ่มชัด  ป๊อดจึงตอบกลับไปด้วยอำนาจแห่งสมาธิจิตเช่นเดียวกัน


"มหาภูตอะไรหรือครับหลวงปู่  ผมไม่รู้จัก"


"ก็ไอ้ตัวที่มันสิงสถิตย์อยู่ในปลัดขิกนั่นไง"


"อ๋อ.....นั่นคือน้าขิก ไม่ใช่มหาภูตอะไรหรอกครับ หลวงปู่"


"หึ....นั่นหล่ะมหาภูตล่ะ  โดยปกติคนที่ฝึกจิตจนบรรลุถึงขั้นฌาณฝ่ายกุศล เมื่อตายแตกดับไปก็จะถือกำเนิดในชั้นพรหมระดับต่างๆไปตามระดับของฌาณที่ตนเองบรรลุ  แต่ในทางกลับกันหากว่าเป็นผู้ฝึกไสยเวทมืดโดยการเพ่งเอากิเลสของตนเองเป็นที่ยึดเหนี่ยวจนได้ฌาณ  บุคคลนั้นเมื่อแตกดับไปจะกลายเป็นภูติที่มีพลังอำนาตจิตที่สูงเกินกว่าภูตผีปีศาจทั่วไป  จนแม้แต่เทวดาบางพวกก็ยังไม่สามารถต่อต้านกับพลังอำนาจของภูตประเภทนี้ได้  ข้าถึงเรียกมันว่า  มหาภูต" ยังไงล่ะ"



ป๊อดออกจาก สมาธิจิตลืมตาขึ้นด้วยความร้อนใจ

"แต่เท่าที่ผมอยู่กับน้าขิกมา  ก็ไม่เคยเห็นน้าขิกแสดงความร้ายกาจใดๆออกมาเลยนะครับหลวงปู่"

"นั่นเป็นเพราะตอนนี้มันเหลือเพียงดวงจิต ไร้ภพภูมิ  ไร้สังขารยึดครอง จึงทำให้ขาดความทรงจำและความนึกคิดที่สืบเนื่องมาแต่ชาติปางก่อน  แต่เมื่อใดที่มันสามารถคืนสู่ร่างของตนเองได้ก็จะกลับกลายเป็น มหาภูตที่มีพลังอำนาจอย่างเต็มที่ ถึงเวลานั้น หากมันเป็นมหาภูตที่มีจิตอันชั่วร้ายก็ยากนักที่จะสยบหยุดยั้งมัน"

ป๊อดนิ่งฟังอย่างสงบแล้วคิดตาม  เขายังคงเชื่อว่าถึงแม้น้าขิกจะเป็นมหาภูตแต่ก็คงไม่ใช่มหาภูตที่มีจิตอันชั่วร้ายเป็นแน่  ความคิดของเขาถูกพระภิกษุชราล่วงรู้  จึงกล่าวออกมาว่า

"ทุกสิ่งจะดำเนินไปตามกรรมที่แต่ละคนได้ก่อไว้  เจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแต่เจ้า  แต่ในวันนี้ที่ข้าต้องการให้เจ้าย้อนไปยังอดีตชาติก็เพื่อที่จะให้เจ้าฟื้นคืนความสามารถเก่าๆจากชาติที่แล้วมาไว้คุ้มครองตัว เพราะตอนนี้มหาภูตตนนั้นไม่ได้อยู่กับเจ้าแล้วใช่ไหมล่ะ"



พอป๊อดได้ฟังที่หลวงปู่พูดก็รู้สึกตื่นเต้น ที่หลวงปู่รู้เรื่องน้าขิก รีบระล่ำระลักถามขึ้นทันที

"หลวงปู่พอจะทราบใช่ไหมครับว่าน้าขิกอยู่ที่ไหน "


"ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก ถึงเวลามันก็จะกลับมาหาเจ้าเอง  มหาภูตตนนี้มีความผูกพันธ์เป็นทั้งมิตรและศัตรูที่สำคัญในอดีตชาติของเจ้า  ตัวมันเองก็ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าให้ได้ไปผุดไปเกิดในภพภูมิที่ดี  แต่หากว่าเจ้าปล่อยให้จิตหลงไปตามตัญหาราคะมากเท่าไหร่ จิตของเจ้าก็จะถูกมันครอบงำมากขึ้นไปทีละน้อยๆ จนในที่สุดตัวเจ้าเองจะสูญเสียสำนึกอันดีงามไป"


ป๊อดฟังมาถึงตรงนี้ก็ก้มหน้าละอายความประพฤติที่ผ่านมาของตน  ตัญหาราคะเป็นอุปสรรคต่อความดีงามในจิตของเขาจริงๆ เขาเองก็รู้สึกตัวเช่นกันว่า ยิ่งนานวันเขาก็ยิ่งสูญเสียความยับยั้งชั่งใจมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ

"หลวงปู่สอนให้ผมละตัญหาราคะในจิตได้ไหมครับ"


"เจ้ามีราคะจริตเป็นสันดานติดตัวมาหลายชาติแล้ว  ทางแก้ไขมีอยู่หนทางเดียวคือการเพ่ง อสุภกรรมฐาน"


"อสุภะกรรมฐานคืออะไรครับ"


"คือการทำกรรมฐานด้วยการเพ่งซากศพเป็นอารมณ์ ให้เห็นความจริงของสังขารทั้งปวงเพื่อละเลิกการยึดมั่นถือมั่น"

ป๊อดหน้าเสียลงทันที  ซากศพทั้งน่ากลัว น่าขยะแขยง ทั้งมีกลิ่นเน่าเหม็น เป็นเรื่องยากอย่างที่สุดสำหรับเขาหากจะต้องภาวนากรรมฐานชนิดนี้



"ข้ารู้ดีว่าตอนนี้เจ้ายังไม่พร้อม แต่เมื่อเจ้าถาม  ข้าจึงอธิบายให้ฟัง  เอาล่ะข้าจะสอนให้เจ้าย้อนไปดูอดีตชาติ  คราวนี้ให้เจ้าเข้ากสิณไฟอีกครั้ง พอนิมิตของดวงกสิณปรากฏ  เจ้าจงรวมกระแสจิตทั้งหมดเพ่งรวมจุดไปที่จุดกึ่งกลางของดวงนิมิต แล้วเริ่มคิดย้อนไปถึงเมื่อวานนี้  เมื่อเดือนที่แล้ว  เมื่อปีแล้ว  หากจิตของเจ้ามีกำลังพอภาพแห่งอดีตจะปรากฏต่อเจ้าย้อนกลับไปเรื่อยๆ"



ป๊อดน้อมจิตรับเอาคำของพระภิกษุชรามาปฏิบัติตามทันที  โดยย้อนไปภาวนากสิณไฟจนนิมิตรแห่งดวงกสิณปรากฏขึ้นอีกครั้ง  และครั้งนี้เขาก็รวมกระแสจิตทั้งหมดเพ่งตรงไปยังกึ่งกลางแห่งดวงกสิณทันที พร้อมกับรำลึกย้อนไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
ดวงนิมิตรที่ปรากฏขึ้นที่หน้าผากก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นแสงสีขาวสว่างวาบแล้วกลับกลายเป็นใสคล้ายดังกระจกเงาทีละน้อยๆ แต่ยังเต็มไปด้วยหมอกควันที่ปกคลุมจนมองเห็นไม่ชัดนัก  ป๊อดจึงเพ่งกระแสจิตไปยังดวงกสิณนั้นให้เข้มข้นขึ้นไปอีก จนหมอกควันเหล่านั้นค่อยๆจางหายไปเหลือเพียงภาพเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อวานอย่างกระจ่างชัด


"จงระลึกย้อนถอยหลังไปอีก อย่าพึ่งเพลิดเพลินไปกับภาพในอดีตที่เจ้าได้เห็น  กำลังฌาณของเจ้ายังไม่เข้มแข็งนักเจ้าจึงยังมีเวลาไม่มากนัก จงอธิษฐานจิตให้ภาพเหตุการณ์ที่เห็นย้อนถอยหลังกลับไปเรื่อยๆจนถึงชาติที่แล้วของเจ้า"

เสียงของหลวงปู่ดังก้องกังวานอยู่ในภวังคจิตอย่างชัดเจน  ป๊อดน้อมรับเอาคำแนะนำมาปฏิบัติ โดยการกำหนดจิตและภาวนาความต้องการของตนเองกำกับลงไปในทันที

"ไปยังชาติที่แล้ว.....ไปยังชาติที่แล้ว..............ไปยังชาติที่แล้ว.....................ไปยังชาติที่แล้ว"



 

เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน
งานเก่าๆของผมเชิญได้ที่ ลิงค์ด้านล่าง

https://xonly8.com/index.php?topic=164918.msg651695#msg651695

ขอบคุณท่าน Kaithai ที่กรุณาจัดทำลิงค์นะครับ

wutiwong

รอป็อดนานมากเลยครับ เริ่มภาค 2 ติดตามต่อครับ

Pm Nuttakan

ป๊อดกลับมาอีกครั้ง เดี๋ยวขอไปย้อนอ่านตอนเก่าๆก่อน ขอบคุณมากครับ


633sqd

เรื่องโปรดกลับมาแล้ว ท่าทางป็อดจะอัพเลเวลขึ้นอีกสินะ

waralek

รอมานานในที่สุดป๊อดกับน้าขิก ก็กลับมาให้เราได้อ่านอีกครั้ง ขอบคุณมากครับ

พานิชย์ กะรัมย์

ขอขอบพระคุณมากๆๆเลยขอรับ
รออ่านมานานมากๆๆๆๆๆๆแล้วขอรับ คงต้องกลับไปอ่านมาตั้งแต่ภาคแรกแล้วหละขอรับ

mawin101


thelegendary29

รอนานมาก5555  อยากรู้เหมือนกันว่าชาติที่แล้วป๊อดเป็นยังไง

Ideology

เย่ ในที่สุดเรื่องนี้ก็กลับมาแต่ง เป็นเรื่องที่ชอบมากๆครับ วางเนื้อเรื่องได้ดีสุดๆ

เดาว่าภาคนี้น่าจะเข้มข้นกว่าเดิมแน่ๆ

ขอบคุณมากๆเลยครับ ขอกลับไปทบทวนภาค 1 ก่อน

Kritsana


thana7

เรื่องสนุกมากครับภาคแรก มีต่อภาคสองเยี่ยมมากครับ

nmiint

อย่าไปเพ่งอสุภะเลย เดี๋ยวเรื่องมันจะสั้นลง 55

spr566


poster007

มาแล้วหายไปนานเลยกว่าจะกลับมาเขียนต่อสนุกมากคับ