ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

Darkness Circle / วงจรแห่งความมืด ตอนที่ 7

เริ่มโดย เจตภูติ, มกราคม 09, 2021, 01:26:26 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 2 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

เจตภูติ

คุยกันก่อนอ่าน เนื่องจากวันนี้เป็นวันเด็กเลยนำงานเขียนมาลงให้เป็นของขวัญ ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามผลงานของผมนะครับ สุขสันต์วันเด็กครับ

Darkness Circle / วงจรแห่งความมืด ตอนที่ 7

สายลมร้อนพัดโชยท่ามกลางหมู่แมกไม้ พุ่มสูง พุ่มเตี้ย ที่ขึ้นเป็นหย่อมๆ คละเคล้ากับต้นไม้ใหญ่เล็กดูไม่เป็นระเบียบขึ้นอยู่ห่างๆ กัน ทีพื้นทับถมด้วยใบไม้โปร่งโล่ง ไร้วี่แววผู้คน เจษฎาได้สติรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะแสงแดดที่สาดลงมาตกกระทบใบหน้า ไม่รู้ว่าเขาหมดสติหรือเหนื่อยจนหลับไป และไม้รู้ว่าเขานอนอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหนแล้ว

หนุ่มใหญ่รับรู้ถึงความบอบช้ำของร่างกายได้ทันทีที่ขยับตัว แต่ถึงจะเจ็บมากแต่ถ้าฝืนทนหน่อยก็พอจะเคลื่อนไหวได้ เจษฎารวบแรงทั้งหมดที่ยังเหลือกลั้นใจลุกขึ้นมาหาทางออกจากป่า เขาเดินผ่าอากาศร้อนและแดดแรงแบบไม่รู้ทิศทาง หลงอยู่ในป่าหลายชั่วโมงก่อนจะได้รับการช่วยเหลือจากชาวบ้านแถวสุสานชาวจีนที่อยู่ใกล้ๆ อ่างเก็บน้ำ กว่าจะกลับมาถึงบ้านปิยะพงษ์ก็เป็นเวลาพลบค่ำ และต้องนอนซมอยู่สองวันเต็มๆ เนื่องจากความอ่อนเพลียเพราะอาการขาดน้ำและอาการบาดเจ็บก่อนหน้า

"อาจารย์ไปทำอีท่าไหน ถึงโดนลูกน้องกำนันเอาไปทิ้งไว้ในป่าได้ละ" ปิยะพงษ์ ที่เฝ้าดูอาการอยู่ถามอย่างสงสัย

"........." เจษฎาได้แต่เงียบไม่กล้าตอบ กลัวว่าปิยะพงษ์จะเข้าใจผิดคิดไปว่าที่เขาโดนแบบนี้เพราะแอบปีนเข้าไปหาเมียกำนัน แล้วเรื่องราวมันจะยุ่งไปกันใหญ่

"ไม่สบายใจก็ไม่ต้องตอบก็ได้ครับ ไอ้กำนันมันก็ไม่ใช่คนดีเด่อะไรอยู่แล้ว ไปป้วนเปี้ยนแถวนั้นจะโดนเล่นงานก็ไม่แปลก"

"ขอบใจนะที่เข้าใจแล้วก็ยังช่วยดูแลอีก แต่ฉันคงต้องขอรบกวนไปอีกซักระยะจะเป็นอะไรไหม เดี๋ยวจะจ่ายค่าเช่าให้ก็ได้" เจษฎาพิจารณาแล้วว่าปิยะพงษ์นั้นเป็นคนที่พอจะไว้ได้ การหลบอยู่ที่บ้านนี้น่าาจะปลอดภัยกว่าที่อื่นพอสมควร

"ค่าเช่าอะไร ไม่ต้องหรอก ผมเองก็ไม่รู้จะอยู่บ้านนี้ได้อีกนานแค่ไหนเหมือนกัน" แววตาของฉายปิยะพงษ์ฉายแววเศร้าสร้อยปนสิ้นหวังเมื่อบทสนทนากล่าวถึงที่อยู่อาศัยของเขา

"ทำไมละ มีปัญหาอะไร"หนุ่มใหญ่ลองถามลายละเอียดเพราะเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของปิยะพงษ์

"เอิ่ม...บ้านผมอาจจะถูกยึดนะ" ชายหนุ่มหลบตาเหมือนไม่ค่อยอยากให้เจษฎามาเป็นกังวลกับปัญหาขอเขา

"อ้าว...เรื่องราวเป็นยัง พอจะบอกได้ไหม" เจษฎาลองถามอีกครั้งเพื่อเก็บข้อมูลแต่ถ้าปิยะพงษ์ไม่สะดวกใจจะเล่าเขาก็คงไม่คาดคั้น

"คือ...มีคนมาชวนพ่อผมไปลงทุนอะไรก็ไม่รู้บอกว่าได้ผลตอบแทนดี พ่อเห็นไอ้คนมาชวนมันได้เงินจริงก็คงอยากได้เงินแบบสบายๆ บ้าง ก็เลยเอาที่ไปจำนองเอาเงินมามาลงทุน ตอนแรกไม่มีปัญหาอะไรได้เงินดีอยู่ ไม่นานไอ้เจ้าของบริษัทดันโดนจับไป ทีนี้ก็ซวยเลยเงินที่กู้มาก็สูญไปเลย ต้องมาตามใช้หนี้แต่พ่อผมก็ทำงานหนักเลยนะพยายามหาเงินมาจ่าย ผมเองก็เรียนจบแค่ ปวช. ไม่มีเงินเรียนต่อก็ออกมาทำนาช่วยพ่อแล้วก็ไปทำงานใช้หนี้อยู่ในค่ายไอ้กำนันนั้นแหละ จนสองปีก่อนพ่อป่วยทำงานไม่ไหวหางเินไม่ทันไอ้กำนันมันก็เลยยึดที่นาไป พอที่นาโดนยึดพ่อคงคิดมากก็เลยผูกคอตาย ผมเองพอไม่มีที่ดินทำกินแล้วก็ไม่อยากอยู่ในค่ายมวยไอ้กำนันแล้วก็เลยเอาบ้านไปจำนองเอาเงินมาเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวนี่แหละ ตอนแรกๆ ก็เหมือนจะดีผมหาเงินมาส่งดอกได้ แต่เมื่อไม่นานมานี้ไอ้กำนันมันเล่นไม่ซื่อ ก็อย่างที่อาจารย์เห็นมันส่งลูกน้องมากวนผมที่ร้านประจำเลย คงกะให้หาเงินไม่ได้แล้วจะได้มายึดบ้านไป นี่ผมก็ไม่ได้ส่งดอกมาหลายงวดแล้ว ไม่รู้มันจะมายึดบ้านไปเมื่อไหร่" ชายหนุ่มเล่าเรื่องราวในช่วงที่ผ่านมาเหมือนอยากระบายความอึดอัดในใจให้ใครสักคนได้ฟัง จนรู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย

"แล้วเหลือหนี้อยู่เท่าไหร่ละ" เจษฎาหน้าเสียไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องราวของพ่อของปิยะพงษ์เลยพยายามเลี่ยงประเด็นออกไป

"ห้าแสนครับ"

"หนี้แค่ห้าแสน แต่จะยึดบ้านหลังเบอเร่อ ไอ้กำนันนี่มันหน้าเลือดจริงๆ"

"อาจารย์ไม่ต้องห่วงหรอก เราคงอยู่ได้อีกสักพัก เดี๋ยวค่อยหาที่อยู่ใหม่" ปิยะพงษ์แกล้งแสดงออกเหมือนไม่ค่อยทุกข์ร้อนอะไรแต่ก็ปิดดวงตาเศร้าไว้ไม่มิด

"ทำไมไม่ไปกู้ที่อื่นไปไถ่บ้านออกมาก่อนละ แล้วค่อยเอาไปจำนองกับธนาคารจะได้ไม่ต้องโดนพวกนั้นมาก่อกวน" เจษฎาก็อดจะเห็นใจและสงสารปิยะพงษ์ไม่ได้ ที่ต้องมาเสียพ่อไปแล้วต้องมาแบกรับภาระหนี้สินเหมือนเขาเมื่อตอนวัยหนุ่ม จนเขามีใจอยากจะช่วยเหลือ

"แถวนี้ไม่มีใครให้ผมกู้หรอก เขากลัวไอ้กำนันกันทั้งนั้น ถ้ามันจะเอาไม่มีใครกล้าขัดหรอก อาจารย์ก็โดนมากับตัวน่าจะรู้ ถ้าเป็นผมโดนเอาไปทิ้งในป่าบ้างคงรอดกลับมาไม่ได้เหมือนอาจารย์หรอก"

"เอาอย่างนี้ละกัน เดี๋ยวเอาเงินนี้ไปซื้อหวยที่ถูกรางวัลแล้วเอาไปใช้หนี้ซะ จะได้ไม่มีคนสงสัย" เจษฎาขยับร่างช้าๆ เหมือนจะยังมีอาการปวดตามตัว ล้วงหยิบธนบัตรใบละหนึ่งพันบาทออกมาปึกหนึ่งยื่นใส่มือปิยะพงษ์

"จะดีเหรออาจารย์ เงินตั้งเยอะ" ชายหนุ่มทำหน้าคล้ายกับมีความสงสัยถึงหนุ่มใหญ่จะหวังดีให้การช่วยเหลือ แต่เขายังออกอาการเกรงใจและลังเล

"เชื่อฉัน จะคิดซะว่าเป็นค่าเช่าบ้านก็ได้" เจษฎาพูดให้ชายหนุ่มคลายความกังวัล

"อืม...งั้นผมไม่เกรงใจนะ" ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบตกลง พร้อมกับใบหน้าที่เผยให้เห็นรอยยิ้มแบบมีความหวังในชีวิต


เจษฎาอาศัยอยู่ที่บ้านของปิยะพงษ์เพื่อพักพื้นจนตอนนี้ร่างกายเริ่มพื้นตัว แต่ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับเพราะเสียงเอะโวยวายของคนกลุ่มหนึ่งบริเวณหน้าบ้าน  เขาที่กำลังงัวเงียอดสงสัยไม่ได้จนต้องเดินออกมาดู

"นั้นไงอาจารย์มาแล้ว" เสียงชาวหัวหงอกหัวดำเกือบยี่สิบชีวิตโวกเวกมากว่าเดิมเมื่อเห็นร่างของหนุ่มใหญ่ บางส่วนก็รีบกรูกันเข้ามาหาด้วยท่าทางที่เลื่อมใสศรัทธาราวกับเขาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ

"นี่มันเรื่องอะไรกันนะเปี๊ยก" เจษฎาตะโกนถามปิยะพงษ์ที่กำลังขวางชาวบ้านไว้ไม่ให้ขึ้นบันไดไปหาเขา

"ก็หวยที่อาจารย์ให้ไปซื้อ ออกสองตัวตรงเผง คนซื้อตามถูกกันเพียบเลย เขาเลยจะมาขอบคุณอาจารย์กัน" ปิยะพงษ์หันมาตอบเสียงกระท่อนกระแท่นจากแรงเบียดของชาวบ้าน

"ใช่จ๊ะอาจารย์ อาจารย์นี่มาโปรดพวกเราแท้ๆ" ชาวบ้านสูงอายุคนหนึ่งที่เหมือนจะเป็นผู้นำของกลุ่มส่งเสียงขึ้นมาพร้อมกับยกมือไหว้

เจษฎาทำตัวไม่ถูกปวดหัวตุบๆ ถึงกับต้องเอามือมาจับหน้าผาก

"เปี๊ยกให้ชาวบ้านกลับไปก่อน ขอคุยอะไรด้วยหน่อย"

ปิยะพงษ์ทำตามคำสั่งของเจษฎาอย่างว่าง่ายหลังจากเขาไปเจรจากับชาวบ้านให้กลับไปได้ด้วยดี ก่อนจะเดินกลับมานั่งคุยเจษฎาที่ใต้ถุนบ้าน

"มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง" หนุ่มใหญ่มีอาการไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ เขาอยากแฝงตัวอยู่ในหมู่บ้านนี้เงียบๆ เพื่อหลบคนที่กำลังตามล่าเขาและหาทางจัดการกับณัฐฐาโดยที่ไม่ให้เธอรู้ตัว

"ผมก็เอาเงินไปซื้อหวยแบบที่อาจารย์บอกไง คนที่ตลาดเขาเห็นฉันเล่นเยอะเขาก็สงสัย เลยมาถามว่าได้เลขเด็ดมาจากไหน ฉันก็บอกเขาไปว่าอาจารย์สั่งให้มาซื้อ เขาถามอีกว่าอาจารย์ไหน ฉันก็บอกคนที่โดนยิงเมื่อวันนั้นไง คนเขาเห็นอาจารย์โดนยิงแล้วไม่เป็นอะไรกันทั้งตลาดเขาเกิดเลื่อมใสศรัทธา ก็แห่กันเล่นตามฉันก็หมด แล้วก็ถูกกันถ้วนหน้า อาจารย์จะดังใหญ่แล้วนะครับ" ปิยะพงษ์สาธยายให้ฟังอย่างตื่นเต้น

"โธ่เปี๊ยก ฉันไม่ได้ให้ไปซื้อหวยแบบนี้" เจษฎาใช้น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายรู้สึกผิดหวังกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

"อ้าวแบบแล้วซื้อแบบไหนละครับ ก็อาจารย์บอกว่าให้เอาเงินไปซื้อหวยแล้วจะถูกรางวัล" ปิยะพงษ์ยังพาซื่อ ไม่รู้ตัวว่าเข้าใจไม่ตรงกันสิ่งที่เจษฎาบอก

"หมายถึงลอตเตอรี่ที่ถูกรางวัลแล้วนะ"

"อ้าวเหรอ หมายความว่าให้ซื้อลอตเตอรี่แล้วจะถูกรางวัลมากว่านี้ใช่ไหม แต่งวดนี้ไม่ทันแล้วเอาไว้งวดหน้าละกันนะ แค่นี้ก็มีเงินไปจ่ายดอกแล้ว งวดหน้าคงได้ปลดหนี้ซะที เงินที่อาจารย์ให้มายังเหลืออีกเยอะเลย"

...เวรกรรมเข้าใจแล้วทำไมมันใช่หนี้ไม่หมดซะที...
"พอแล้วไม่ต้องซื้อแล้ว เดี๋ยวฉันจัดการเองดีกว่า" เจษฎาเหนื่อยใจกับชายหนุ่มคนซื่อ แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของเขาเองที่ไม่อธิบายให้เขาใจแต่แรก จึงขอตัวไปอยู่เงียบสักพัก

"อ๊อดมาช่วยพี่หน่อย"หนุ่มใหญ่รีบยกหูติดต่อหารุ่นน้องคู่ใจทันที

"เกิดอะไรขึ้นพี่ มีเรื่องร้ายแรงรึเปล่า" อ๊อดรู้สึกผิดปกติเพราะเจษฎาติดต่อมาเร็วเกินไปผิดวิสัยคนหนีไปกับดาน

"ตอนนี้พี่เจอคนที่ตามหาละ แต่มันไปหลบอยู่กับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ งานนี้น่าจะยาว พี่ทำคนเดียวไม่ไหว ต้องของแรงอ๊อดหน่อย"

"โธ่นึกว่าเกมไปซะแล้ว เล่นซะตกอกตกใจหมด ได้พี่เดี๋ยวผมจะรีบไป ส่งที่อยู่มาเลย ผมอยู่ทางนี้ก็เบื่อจะแย่แล้ว บ้านก็กลับไม่ได้"

"พี่ขอโทษนะอ๊อด" เจษฎายังคงโทษตัวเองเสมอที่นำเรื่องเดือดร้อนมาให้

"ไม่ต้องขอโทษหรอกพี่เราคนกันเอง"

"อ้อ...ก่อนมาไปรับซื้อลอตเตอรี่ที่ถูกรางวัลแล้วมาให้พี่หน่อย รางวัลอะไรก็ได้ซักห้าแสน"

"พี่จะฝอกเงินเหรอ ได้พี่ผมมีคนรู้จักทำเรื่องแนวๆ นี้อยู่เดี๋ยวจัดการให้"

"ฝากด้วยนะ พี่ก็มีแต่อ๊อดนี่แหละที่พึ่งได้"


บรรยากาศแสงสีเสียงคึกคักยามค่ำคืนของย่านสถานบันเทิงในเมืองหลวงที่เชิญชวนให้ผู้คนมากน้าหลายเข้ามาใช่บบริการ อาคารแห่งหนึ่งที่ตกแต่งสำหรับนักเที่ยวกระเป่าหนักยามราตรี มีห้องรับรองส่วนตัวที่ถูกจับจองโดยลูกค้าผู้มีอันจะกิน ด้านในเปิดแอร์เย็นฉ่ำไฟสลัวแสงสีเปลี่ยนสลับไปมาตามจังหวะเพลง กว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่ในห้องถูกจัดไว้เป็นสัดส่วนสำหรับการร้องเพลง ส่วนอีกครึ่งถูกจัดไว้สำหรับโซฟาแบบยาวเป็นเมตรหุ้มเบาะด้วยหนังสีแดงอย่างดีล้อมรอบโต๊ะกระจกที่วางตรงกลางทั้งสามด้าน บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มทั้งแบบมีแอลกอฮอร์และไม่มีแอลกอฮอร์ บนโซฟามีชายสามคนนั่งอยู่กันคนละฝั่ง ข้างกายรายล้อมไปด้วยหญิงงสาวหน้าตาสะสวยและหุ่นดี

"เสี่ยไว้ใจมันเหรอครับ" ชายหัวโล้นร่างสันทัดผิวดำแดง คนสนิทของเสี่ยวีรชัยยังมีความเคลือบแคลงสงสัยในพฤติกรรมของเหยื่อที่เพิ่งไปรีดข้อมูลมา ถามค้วยความเป็นห่วง

"คนอย่างนั้นมันเชื่อได้ซะที่ไหน อั๊วะไม่ได้โง่นะ แต่ลองไปเช็คข้อมูลมันดูก่อน ยังไงมันก็เหมือนลูกไก่ในกำมือ" เสี่ยร่างท่วมไม่พูดเปล่าแขนใหญ่ที่โอบไหล่สาวสวยอย่างกันธิชาอยู่ก็เลื่อนลงไปส่งมืออวบใหญ่ไปคว้าเอาเต้านมเต่งตึงแล้วบีบขยำอย่างสนุกมือ

"ใช่ครับเสี่ย" ชายตัวใหญ่หัวเกรียนหน้าตาดุดันที่ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามออกความเห็นแบบคล้อยตามเห็นดีเห็นงามไปเจ้านาย

"ทั้งหมดนี่ก็ต้องขอบใจหนูธิช่า ล่อมันออกมาได้ง่ายๆเลย" เสี่ยหนุ่มใหญ่มองหน้าสาวสวยอย่างชอบใจในผลงานก่อนจะซุกจมูกลงไปที่พวงแก้มสูดดมกลิ่นหอมของความสาว

"ขอบคุณค่ะเสี่ย" กันธิชายกมือไหว้แล้วยกแก้วเครื่องดื่มป้อนน้ำเมาให้เสี่ยวีรชัยดื่มดับกระหายอย่างรู้ใจ

ระหว่างที่ในห้องกำลังสนุกสนานไปกับเสียงเพลงจากสาวสวยของร้านและอาหารเครื่องดื่ม ประกอบกับแผนการเป็นไปอย่างที่คาดหวัง ชายร่างท้วมยังมีอารมณ์เอามือถือมาเปิดดูดบทสวาทของหญิงที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างไม่เกรงใจสาวสวยที่ต้องรับบทดาราจำเป็น "ว่าแต่ลีลาของหนูนี่ร้ายกาาจมากเลยนะ เสี่ยชักลองมั้งแล้วสิ"

"ไม่เอาน่าเสี่ยมาเปิดดูอะไรตรงนี้คนเยอะแยะ" หญิงสาวทำเป็นโกรธอย่างพองาม ใบหน้าสวยเก๋กลับทำท่าทีเขินอายน่ารัก ผิดกับภาพเคลื่อนไหวที่เผ็ดร้อนทำเอาความเป็นชายของเสี่ยวีรชัยถึงกับตื่นตัว พร้อมกับเสียงหัวเราะร่าทั้งของนายและบ่าว จนกระทั่งมีเสียงเปิดประตูดังแทรกเข้ามา ทำให้เสียงภายในห้องนั้นเบาลง

"สวัสดีครับคุณวีรชัย" หนุ่มใหญ่วัยสามสิบเก้าปี ร่างโปร่งสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ไหล่กว้าง ใบหน้ารูปสามเหลี่ยม ตัดผมสั้นหวีแสกข้างเซ็ตผมเป็นทรงเรียบร้อย ผิวกายขาวซีด จมูกโด่ง ดวงตาเรียวเล็ก ริมฝีปากบาง สวมสูทสีเข้มพอดีตัวที่เปิดประตูเข้ามากล่าวทักทายอย่างสุภาพ ใบหน้ามีรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะเป็นมิตร

"ไอ้พวกข้างนอกมันทำอะไรอยู่วะ ปล่อยมันเข้ามาได้ไง เฮ้ย! มึงเป็นใครวะ" ชายร่างใหญ่ลูกน้องของเสี่ยวีรชัยเดินออกหน้ามาขว้างไว้เตรียมพร้อมจะทำการรักษาความปลอดภัยให้กับเจ้านาย มือใหญ่กำยำล้วงเข้าไปในชายเสื้อด้านหลังคว้าจับเอาอาวุธปืนพกสั้นกึ่งอัตโนมัติขนาดกระสุนเก้ามิลเมตรออกมาเตรียมจะชี้ไปที่เป้าหมาย

"เฮ้ยอย่า..." ไม่ทันที่เสี่ยร่างท้วมจะได้ห้ามปรามจนจบประโยค มือแกร่งของชายสวมสูทก็กระแทกเข้าใส่ลูกกระเดือกของลูกน้องเขาอย่าแรงจนร่างใหญ่ต้องเอามือข้างที่ว่างอยู่ขึ้นมากุมไว้ที่คอ การหายใจเป็นไปอย่างติดขัด ปืนที่จะนำมาใช่ขู่ก็ถูกแย่งออกจากมืออย่างง่ายดายด้วยความเร็วที่แทบจะมองไม่ทัน ชายสวมสูทปลดแม็กกาซีนและสไลด์เอาลูกกระสุนที่อยู่ในรังเพลิงออกอย่างรวดเร็วและชำนาญ ก่อนจะพลิกกลับด้านจับเอาส่วนที่เป็นกระบอกปืนแน่นแล้วฟาดส่วนด้ามจับเข้าใส่ศรีษะลูกน้องเสี่ยอย่างแรง จนร่างใหญ่ล้มทั้งยืนลงไปนอนกองอยู่กับพื้นท่ามกลางเสียงร้องแตกตื่นตกใจของเหล่าหญิงสาวที่อยู่ในห้อง

ชายหัวโล้นลูกน้องอีกคนของเสี่ยวีรชัยเห็นท่าไม่ดีก็ทำท่าจะชักอาวุธออกมาคุ้มกันเจ้านายเหมือนกันแต่ถูกชายร่างท้วมยกมือขึ้นห้ามเอาไว้ก่อน

"สวัสดีครับ 'รองผู้จัดการ' ต้องขอโทษแทนลูกน้องผมด้วยนะครับ" เสี่ยวีรชัยเหงื่อแตกจนเสื้อเปียกแม้ในห้องจะอากศเย็นเฉียบเพราะเจอกับคนที่ไม่คาดคิด รีบยกมือขึ้นทักทายและออกตัวพูดแก้ไขเรื่องเข้าใจผิด

"ตอนนี้ผมเป็นเป็น 'ผู้จัดการ' แล้วครับ ต้องขอบคุณคุณนั้นแหละที่ทำให้เรื่องมันล่าช้าไปตั้งหลายปี" ชายสวมสูทพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มแต่เหมือนมีรังสีประหลาดน่าขนลุกบางอย่างที่มองไม่เห็นแต่รู้สึกได้

"ผมขอโทษจริงๆ ครับ เพราะผมทำงานได้ไม่ดีเลยเดือดร้อนไปถึงคุณ" เสี่ยวีรชัยนั้นรู้สึกเสียหน้าอย่างมากที่ต้องพูดจาด้วยท่าทีที่น้อมนอมกับคนอายุุอ่อนกว่าต่อหน้าลูกน้องและคนในห้อง แต่ก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้เพราะเขาจำเป็นต้องทำ

"ผมไม่ได้มาคุยเรื่องนั้นหรอกครับ ไม่ต้องคิดมาก" ชายสวมสูทพูดไปพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบห้องแล้วหันกลับมามองหน้าชายร่างท้วม

"เฮ้ยพวกมึงออกไปก่อน ลากไอ้เวรนั้นออกไปด้วย หนูธิชากลับไปก่อนนะ วันนี้ท่าจะไม่ดีแล้ว" ชายร่างท้วมเข้าใจในภาษากายของชายสวมสูท จัดแจงให้ผู้คนภายในห้องออกไปจนเหลือตัวเขากับชายสวมสูทอยู่กันเพียงลำพัง

ชายสวมสูทเดินตัวตรงท่าทีสุขุมเข้าไปนั่งที่โซฟาด้านหนึ่ง ตาเรียวเล็กมองจนมองแถบจะไม่เห็นดวงตาด้านใน จ้องไปที่ร่างท้วมที่กำลังตื่นตะหนก

"คุณกลับเข้าประเทศมาโดยไม่ได้แจ้งให้ทางบริษัทรับทราบ ผมหวังว่าคุณจะมีเหตุผลที่ดีพอมาอธิบายนะครับ" ชายสวมสูทโยนปืนที่ตอนนี้มีสภาพเป็นเพียงแท่งเหล็กลงกับพื้น หันกลับมาคุยกับเสี่ยวีรชัยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนตอนที่เข้ามา

"นะ...นะ...แน่นอนครับ เรื่องนี้ผมอธิบายได้นะครับ ผู้จัดการ" เสี่ยร่างท้วมลนลานจนปากสั่น

"ใจเย็นๆ ครับ ไม่ต้องตื่นเต้น เรื่องที่คุณกลับมานี่เกี่ยวกับลูกน้องคุณสองคนที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตรึเปล่าครับ" ชายสวมสูทนั่งไขว่ห้างด้วยท่าทีสบายๆ

"ชะ...ชะ...ใช่ครับ ผมใช้พวกนั้นไปนตามเรื่องสินค้าทดลองที่หายไปตอนนั้น แต่ดันเกิดเรื่องซะก่อนผมเลยต้องกลับมาจัดการเอง" เสี่ยร่างท้วมหน้าถอดสีเมื่อรู้ว่าการเคลื่อนไหวของเขาอยู่ในสายตาของชายคนนี้ทั้งหมด

"เรื่องนั้นเรามีฝ่ายเรียกคืนผลิตภัณฑ์คอยจัดการอยู่แล้วครับ คงไม่ต้องรบกวนคุณ"

"แต่ผมอยากจะแก้ตัว ที่ของหายไปมันก็อยู่ในความรับผิดชอบของผม ผมอยากกลับเข้ามาคุมงานในประเทศ"

"เรื่องนี้คุณตัดสินใจเองไม่ได้หรอกครับ" เสียงเยือกเย็นและเด็ดขาดของชายสวมสูททำให้ชายร่างท้วมรู้สึกจนมุม เมื่อเห็นว่าจะไม่ได้ตามที่หวังก็ชักอาวุธปืนขึ้นมาจ่อใส่ชายสูงโปร่งด้วยมือที่สั่นเทา

"คุณแน่ใจแล้วเหรอครับ ว่าจะทำอย่างนี้" ชายสวมสูทมองหน้าชายร่างท้วมอย่างใจเย็นไม่มีอาการหวั่นไหวต่อสื่อมรณะที่กำลังจ้องเล็งมาที่ร่างของเขา

"ผมก็ไม่แน่ใจหรอก แต่คุณไม่เหลือทางเลือกให้ผมแล้วนี่" เสี่ยวีรชัยแสดงออกอย่างกล้าๆ กลัวๆ ด้วยรู้จักกับชายคนนี้ดีว่าแม้ฝ่ายตัวเองจะถือครองอาวุธปืนอยู่ก็ไม่อาจจะมั่นใจในความปลอดภัยได้

เสี่ยวีรชัยมองชายสวมสูทที่นั่งนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าที่นิ่งราวกับหุ่นโชว์เสื้อผ้าจะดูน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ชายร่างท้วมถึงกับหน้าซีดเหงื่อแตกเดาทางไม่ถูกว่าชายสวมสูทจะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไร ดีร้ายจะเป็นเขาซะเองที่เอาชีวิตมาทิ้งก่อนจะได้ทำตามที่ตั้งใจหวัง

"ก็ได้ครับ...เห็นแก่ความตั้งใจของของคุณ ผมจะรายงานเรื่องนี้กับบริษัทให้เป็นกรณีพิเศษ"

"ขอบคุณมากครับที่ให้โอกาส ผมจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน" ชายท้วมถอนหายใจแรง เป่าปากโล่งอกคลายความกังวลและความตึงเคลียดออกไปจนหมดรีบเก็บปืนขอตัวเองเข้าไปทันที

"อย่าเพิ่งรีบขอบคุณจะดีกว่านะครับ ถ้าทำไม่ได้อย่างที่รับปากเรื่องจะจบลงแบบครั้งที่แล้วหรอกนะครับ" ด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบทำเอาผู้ฟังที่ได้รับคำตอบที่ถูกใจไม่อาจแสดงอาการดีใจได้อย่างออกหน้าออกตา

"ถ้าอย่างนั้นคุณผู้จัดการจะอยู่ดื่มด้วยกันซักหน่อยได้ไหมครับ ให้ผมได้เลี้ยงตอบแทนหน่อยนะ" ชายร่างท้วมรีบแสดงความต้องการที่จะเอาอกเอาใจชายมาดนิ่งคนนี้ทันทีที่การเจรจาผ่านไปได้อย่างลงตัว

"คงทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ คุณก็น่าจะรู้ระเบียบของบริษัทดี ผมคงต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ" ชายสวมสูทยังคงอยู่กิริยาสุภาพแม้จะเพิ่งโดนปืนจ่อมาที่ตัวเมื่อไม่นานมานี้

...แม่งหยิ่งชิบหาย รอกูได้ของกลับมาก่อนเถอะ กูจะเล่นงานมึงคนแรกเลย.. เสี่ยวีรชัยปั้นหน้ายิ้มแย้มเดินออกไปส่งชายสวมสูทที่ด้านนอกของห้องราวเป็นบริกรผู้กำลังรับใช้ลูกค้าวีไอพี ในใจซ่อนความอาฆาตแค้นไว้ได้อย่างมิดชิด


ชายสวมสูทเดินมาที่ลานจอดรถด้านหลังอาคาร กดรีโมทปลดล็อคประตูรถเก๋งยุโรปคันงาม ทันทีที่เปิดประตูขึ้นประจำที่นั่งคนขับ ประตูฝั่งคนนั่งก็เปิดออกทันที ร่างสาวสวยผิวสีน้ำผึ้งในชุดราตรีสั้นสีดำแบบแขนยาวด้านหน้าเปิดเป็นช่องเผยเนินอกด้านหลังเปิดโล่งโชว์แผ่นหลังผิวเนียน เนื้อผ้าละเอียดบางรัดเข้ารูปกับเรือนร่างแบบนางแบบขับเน้นหน้าอกและสะโพก รองเท้าส้นสูงที่ส้นเล็กเรียวสีเข้ากันกับชุดถูกส่งนำร่องเข้ามาในรถก่อนที่ส่วนอื่นของร่างจะตามขึ้นไปนั่งบนรถ

"เธอขึ้นมาทำไม" ชายสวมสูทไม่ได้แสดงทีท่าประหลาดประหลาดใจแม้จะมีคนขึ้นรถมาโดยสารรถของเขาทั้งที่ยังไม่ได้อนุญาติ เพียงแค่หันไปถามราวกับเป็นเรื่องธรรมดา

"ออกรถไปก่อน เดี๋ยวมีคนเห็น" สาวสวยตอบกลับด้วยอาการเร่งรีบราวกับคนกำลังหนีการตามล่า

ชายสวมสูทสตาร์ทเครื่องรถยุโรปคันหรูขับแล่นออกจากสถานบันเทิงไปอย่างรวดเร็วตามที่หญิงสาวบอกโดยไม่ถามอะไรต่อ ระหว่างที่รถกำลังเคลื่อนตัวผ่านไปตามท้องถนนในยามราตรีอย่างสะดวกไม่ติดคัด หญิงสาวผู้ขึ้นรถมาโดยไม่ได้รับเชิญนั่งตะแคงตัวอยู่บนเบาะนั่งฝั่งผู้โดยสารเอียงคอจ้องหน้า ชายหน้าเรียวผิวขาวซีดอย่างไม่ละสายตานัยตาหวานฉ่ำใบหน้าแดงเพราะเลือดสูบฉีดแรง

"ธิช่า คุณทำแบบนี้มันเสี่ยงรู้ไหมครับ" ชายสวมสูททำลายความเงียบภายในรถด้วยการว่ากล่าวหญิงสาวเล็กน้อย

"ไอ้เสี่ยนั่นมันโง่จะตาย มันไม่รู้เรื่องหรอก" หญิงสาวไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของคู่สนทนาสักเท่าไหร่ เธอยังคงจดจ่ออยู่กับการมองหน้าของเขา

"แล้วมีเรื่องอะไรสำคัญรึเปล่าครับ"

"ไม่มีเรื่องก็มาหาไม่ได้เหรอ" หญิงสาวค้อนขวับใบหน้าสวยเก๋จ้องชายหน้านิ่งตาดุแก้มป่องนิดๆ

"คุณมีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบอยู่นะครับ อย่าทำตัวเหลวไหล" น้ำเสียงชายสวมสูทยังคงจริงจังไม่ได้สนใจท่าทีไม่พอใจของผู้โดยสารสาวที่ไม่ได้รับเชิญ

"ก็ผู้จัดการให้หนูไปตามประกบเสี่ยตั้งนาน เบื่อจะตายอยู่แล้ว" หญิงสาวทำเป็นกระฟัดกระเฟียดหันหน้าไปทางอื่น แต่ก็แอบชำเลืองตามองคนขับ

หญิงสาวแสนสวยทำเป็นงอนได้ไม่นานก็หมดความอดทน ชายสวมสูทคนนี้ช่างเย็นชากับเธอเสียเหลือเกิน ถ้าจะให้เขามาง้ออาจจะต้องรอไปจนแก่ ร่างงามขยับตัวอีกครั้งเขยิบเข้าไปใกล้ฝั่งคนขับ มือเรียวสวยเอื้อมข้ามที่พักแขนเข้าหาช่วงล่างของบุรุษมี่ไม่ชอบแสดงอารมณ์ทางสีหน้านอกเสียจากรอยยิ้มเวลาพูดคุย

"จะทำอะไรครับ" ชายสวมสูทมองหน้าของสาวสวยที่ทำทะเล้น ใช้นิ้วแกร่งและนิ้วมือยาวปัดมือเล็กออกไปให้พ้นจากจุดสงวน

หญิงสาวไม่สนใจเสียงร้องทักและมือใหญ่ที่พยายามปัดป้อง เธอยังคงใช้มือทำสิ่งที่อยากจ่อไปเป็นกาตอบโต้การที่เขาทำเป็นไม่สนใจอารมณ์ของเธอ มือนิ่มวางลงตรงกลางความเป็นชายอย่างพอเหมาะ

"หยุดเถอะครับ ทำแบบนี้มันอันตราย" ชายสวมสูทยกเหตุผลด้านความปลอดภัยขึ้นมาเพื่อเป้นการปฏิเสธแบบถนอมน้ำใจ

ไม่มีเสียงตอบรับจากฝั่งผู้โดยสาร มือนุ่มจากหนึ่งเพิ่มเป็นสองข้าง กำลังช่วยกันจัดการกับกางเกงของชายคนขับที่ไม่สามารถขยับตัวหนีไปไหนได้จนสามารถล้วงดึงเอาแท่งเนื้อความเป็นชายสีขาวซีดเหมือนผิวกายออกมาอยู่ด้านนอกได้ มือน้อยไม่ปล่อยให้การลงแรงเสียเปล่า จัดการรูดสิ่งที่เธอต้องการไปมาจนมันตื่นตัว

"นี่เมารึเปล่าครับ"

"ดื่มแค่นั้นไม่เมาหรอกก็มีคนฝึกมาให้อย่างดีนี่นา แต่ว่าหิวมากกว่า" กันธิชาแหงนหน้ามองสบตาชายเจ้าของแท่งเนื้อ ลิ้นนิ่มแลบออกมาเลียริมฝีปากน่าดึงดูด

สาวสวยผิวสีน้ำผึ้งอ้าปากครอบอมแท่งเนื้อยาวขาดเพียงนิดหน่อยก็จะแปดนิ้วขนาดอวบคับเต็มปากแทนอาหารว่าง ขยับหัวส่งท่อนเนื้อเข้าออกอุ้งปาก บ้างก็ดันไปกระทุ้งกระพุ้งแก้มและเพดานปากอย่างพลิดเพลิน

ชายสวมสูทหายใจหนักๆ หลายครั้งบรรเทาความรู้สึกที่ส่วนแกนกลาง ดึงสมาธิมาที่ด้านหน้า สองมือประครองพวงมาลัยให้รถยุโรปคันใหญ่วิ่งตรงไปตามเส้นทาง ขาทั้งสองข้างพยามผ่อนคลายไม่ให้เกร็งเกินไปจนเสียการควบคุมความเร็วรถที่เหมาะสม

ลิ้นและปากของหญิงสาวร้อนแรงผิดกับอุณหภูมิของแท่งเนื้อแข็งเกร็งเต็มภายในช่องปากของเธอที่ต่ำกว่าเล็กน้อย เธอใช้ท่วงท่าและลีลาที่ร้ายกาจทั้งถูไถลำยาวไปที่แก้มเนียน กลืนลึกลงไปในคอ โลมเลียที่รอบส่วนหัว แหย่ลิ้นเข้าไปที่รูของส่วนยอด เธอใช้ทักษะการทำเสียวด้วยปากอยู่ครู่หนึ่ง

"หนูทำไมเสียวเหรอ" กันธิชาถอนศรีษะออกมาจากแท่งเนื้อ สงสัยในปฏิกริยาตอบสนองของชายคนขับรถที่มีน้อยกว่าชายคนอื่นที่เธอเคยเจอมา แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ

สาวสวยระดับนางแบบไม่ยอมแพ้ ขยับปากเข้ากระทำใส่ท่อนเอ็นของเขาอย่างไม่หยุด ครั้งนี้รุนแรงและแพรวพราวกว่าครั้งแรกอยู่มาก

"อื้ออออ...อืออออ...อืออออ" เสียงครางหวานใสดังออกมาจากลำคอของหญิงสาวอย่างต่อเนื่อง สภาพท่อนเนื้อในตอนนี้เปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายและน้ำหล่อลื่นไปทั่วลำ โดยเฉพาะส่วนหัวที่มีน้ำเยิ้มไหวออกมาจนฉ่ำ ทำให้หญิงสาวยิ้มหวานออกมาอย่างพึงพอใจ

"ไม่จอดแวะข้างทางหน่อยเหรอ...อยากกินจานหลักแล้ว" กันธิชาขยับร่างกลับมานั่งที่เบาะข้างคนขับ มองหน้าชายสวมสูทใบหน้าแดงระเรื่อ ริมฝีปากมันวาว มีคราบน้ำเหนียวเปรอะมุมมากดูยั่วยวน มือน้อยล้วงเข้าไปที่หว่างขา อีกมือหนึ่งก็กุมเต้านมทรงสวย

"เอาไว้ทานที่บ้านครับ" ชายสวมสูทยิ้มที่มุมปากจัดการเก็บอาวุธร้ายกาจกลับเข้าที่เดิม

"สัญญาแล้วนะ" สาวสวยยิ้มสดใส ดวงตาเป็นประกาย พอใจกับคำตอบ

ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากใบหน้ายิ้มแบบไร้อารมณ์ แต่ก็มีการเคลื่อนไหวของศรีษะที่แสดงออกมาให้รู้ว่าข้อตกลงได้รับการยอมรับแล้ว

ชายสวมสูทขับรถวนไปมาเพื่อตรวจสอบว่ามีคนสะกดรอยตามรึเปล่า จนแน่ใจว่าปลอดภัยดีแล้วจึงค่อยขับรถพาหญิงสาวกลับไปที่พักของเขา

 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

chipchip


Matsudaira777

หลับไปแป๊บเดียว ตื่นมากลายเป็นอาจารย์ใบ้หวยซะงั้น555

surfaced


dawdom



Rrrrop


panax

ของนั้นคือกุญแจของทุกๆอย่างสินะ  อาจรย์ลุยต่อเลยครับ   ลุ้นๆๆๆๆ

overspirit

 ::WowWow::ลึกกว่าที่คิด​  อย่าบอกว่าหมึกที่สักเป็นสินค้าลึกลับนั้น

jaojom

เรื่องราวซับซ้อนนะครับ มีบริษัท มีสินค้า มีตัวละครเพิ่ม

Satira Potikanon

เรื่องชักสนุกขึ้นแล้วสิ น่าสนใจอยากติดตามตอนต่อไปเนื้อเรื่องเข้มข้นมีตัวละครมาเพิ่มใหม่ทุกตอน

arsbos


××Mon××

ให้ไปซื้อหวยดันแม่นซะงั้น เจษเลยกลายเป็นอาจารย์ให้หวยซะล่ะ
ตอนนี้มีตัวละครใหม่เพิ่มมาอีกคนล่ะ ชื่อยังไม่เฉลย สงสัยจะใหญ่พอดู

แมวหง่าว

เรื่องราวดูซับซ้อนซ่อนเงื่อนดี
แต่ยังไงก็ขอให้มีตอน xx เยอะๆนะครับ

mario

มีตัวละครใหม่เพิ่มมาอีกแล้ว
เดาไม่ถูกเลยว่าใครจะเป็น last boss