ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

Darkness Circle / วงจรแห่งความมืด ตอนที่ 10

เริ่มโดย เจตภูติ, มกราคม 20, 2021, 12:42:57 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

เจตภูติ

คุยกันก่อนอ่าน ไม่คิดเลยว่าจะมาได้ถึงตอนที่สิบ ขอบคุณแรงใจจากผู้อ่านทุกท่านจริงๆ ครับ ยิ่งมีคนมาคอมเม้นเยอะๆ ยิ่งมีแรงเขียน ซ่อนเนื้อหาช่วงท้ายตอนไว้เช่นเคยอ่านแล้วมาคุยกันนะครับ ขอบคุณมากๆครับ *21/01/64 มีการเพิ่มชื่อจริงตัวละครเล็กน้อย โบ้=รตน ณุ=ภาณุ พงษ์=พงษ์ศักดิ์

Darkness Circle / วงจรแห่งความมืด ตอนที่ 10

"อ้าวลูกปลากลับมาแล้วเหรอ กลับดึกเหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูกเลยนะ" ณัฐฐาที่กำลังนั่งดูบัญชีอยู่ที่ชุดรับแขกโดยมีวิศวัทยืนรอรับใช้อยู่ใกล้ๆ ร้องทักทายเกวลีที่กำลังเดินเดินผ่านหน้าเธอไป

"แกไม่ใช่แม่ฉัน อย่ามาทำเป็นสอนฉันหน่อยเลย" หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกระด่าง ชักสีหน้าอารมณ์เสีย ปกติเธอมักจะหลบหน้าแม่เลี้ยงอยู่แล้วเพียงแต่วันนี้ณัฐฐาออกมาตรวจบัญชีนอกห้องทำงาน ไม่รู้ว่าเพราะออกมารอพ่อของเธอหรือตั้งใจจะมาหาเรื่องเธอกันแน่

"แหม่ก็แม่เป็นห่วงหนูนี่จ๊ะ ไม่อยากให้หนูทำตัวเหลวไหลจนกลายเป็นพวกขี้แพ้แล้วลงเอยแบบแม่แท้ๆ ของหนูไง" ณัฐฐาพูดเตือนที่ด้วยถ้อยคำถากถางทิ่มแทงใจ มองหญิงสาวผู้ฟังกำลังกัดฟันกลั้นโทสะอย่างชอบใจ ด้วยรอยยิ้มสวยและใบหน้าหวานๆ ของเธอ

"นี่เธอจะลามปามคุณแม่มากไปแล้วนะ" เกวลีถลึงตาใส่กำหมัดแม่น

"หรือมันไม่จริงละ อย่าลืมสิ ที่พ่อเธอยังรักษาสถานภาพไว้ได้จนเธอได้ชีวิตสุขสบายมันเป็นเพราะใคร"

"...ถึงเธอจะเคยช่วยพ่อฉันไว้ แต่อย่าคิดนะว่าเขาจะยอมเธอตลอด อีกหน่อยเขาก็เขี่ยเธอทิ้ง"

"ถึงฉันจะโดนทิ้ง ก็ไม่น่าสมเพชเหมือนแม่เธอหรอก"

"อย่าคิดนะว่าทำอะไรชั่วๆ ไว้แล้วคนอื่่นเขาจะไม่รู้นะ" เสียงของหญิงสาวเริ่มดังขึ้นตามอารมณ์โกรธ การโต้เถียงของทั้งสองฝ่ายเริ่มดุเดือดน่ากลัว

"รู้แล้วทำไมไม่ลองไปฟ้องพ่อเธอละ แล้วดูสิว่าจะเป็นยังไง หรือว่าลองแล้วแต่พ่อเธอไม่เชื่อ ก็อย่างนี้แหละนะคนมันไร้ประโยชน์" สาวใหญ่ใบหน้าอ่อนกว่าวัยทำหน้าเชิดไปมาราวกับท้าทาย ไม่มีความหวาดกลัวต่อคำขู่แม้เพียงเล็กน้อย

"แก...สักวันเถอะฉันจะเปิดโปงแก" เกวลีหันหลังบ่นกับตัวเองเสียงเบาคิดจะเดินแยกออกมา ไม่อยากต่อปากต่อคำ

"แล้วฉันจะรอ แต่คงจะนานหน่อย กับคนที่บริหารรีสอร์ตทำเลดีๆ ยังเกือบไม่รอด แล้วยังจะเอาเงินไปให้เพื่อนลงทุนเปิดร้านที่รอวันเจ๋งอีก พ่อเธอยังปล่อยให้ทำมาเรื่อยๆ ก็ดีแค่ไหนแล้ว" สาวใหญ่ยังส่งเสียงเย้ยหยั่นไล่หลังมาไม่หยุด

เกวลีโกรธจนหน้าแดงความอดทนขาดผึ่ง หันกลับมาปรี่เข้าไปจะทำร้ายณัฐฐาแต่วิศวัทเอาตัวเข้ามาขว้างไว้ได้ก่อน หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มหน้าตาดีด้วยดวงตาแดงก่ำคล้ายจะร้องไห้ ก่อนตบไปที่หน้าของชายหนุ่มอย่างแรงเหมือนเป็นการระบายอารมณ์ จนฝ่ายชายหน้าสะบัดหัน

"พอเถอะครับคุณหนู เขาไปพักข้างในก่อนดีกว่า" วิศวัทยันหน้าที่มีรอยฝ่ามือแดงที่ใบหน้า มองตาหญิงสาวเหมือนจะขอร้องเธอให้อภัยกับคำพูดของเจ้านายของเขา

...ฝากไว้ก่อนเถอะอีแก่...
เกวลีจ้องมองสาวใหญ่ผ่านร่างสูงใหญ่ของลูกน้องคนสนิทของเธออย่างเคียดแค้นก่อนสะบัดร่างเดินหนีคนทั้งคู่เข้าไปในห้องนอนของตัวเองด้วยอาการหงุดหวิด

วิศวัทมองตามสาวร่างสูงเพรียวบางที่เดินจากไปด้วยแววตาที่แฝงความห่วงใย เขาเป็นเด็กกำพร้าที่รอดจากเหตุการณ์ไฟไหม้บ้านมาเพียงคนเดียวเมื่อหลายปีก่อน เขาที่ไร้ญาติขามิตรถูกณัฐฐารับมาเลี้ยงดูให้อยู่ในบ้านหลังนี้ในฐานะผู้อาศัย ส่งเสียเขาให้ได้ร่ำเรียนมีการศึกษาและให้งานทำ แม้เขาจะเห็นใจหญิงสาวที่โตมาด้วยกัน แต่เขาก็ไม่สามารถทรยศบุญคุณของนายหญิงแล้วไปปกป้องเธอได้

"เป็นห่วงมากเหรอ จะตามเข้าไปปลอบในห้องเลยไหมละ" สาวใหญ่มองหน้าชายหนุ่มอย่างไม่ค่อยพอใจ

"เปล่านะครับ แค่เป็นห่วงว่าเรื่องนี้จะทำให้นายหญิงทะเลาะกับนายผู้ชายนะครับ"

"นั้นไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องมาห่วง"

"ครับ..." ตอบรับแล้วเงียบไปเอาแต่ก้มหน้าหลบตายืนนิ่ง

"...เธอไปพักผ่อนได้แล้ว ฉันง่วงแล้ว" ณัฐฐาหัวเสียหมดอารมณ์ที่จะรอสามีเดินเข้าห้องไปอีกคน อย่างเบื่อๆ


เกวลีหลบเข้ามานั่งพักในห้องนอนอย่างเสียอารมณ์เธอไม่เคยชอบใจเลยเมื่อเห็นคนทั้งคู่อยู่ด้วยกัน จนเผลอนึกถึงเรื่องวันนั้นเมื่อสามปีก่อน

หลังจากที่เธอเข้าไปเรียนที่มหาลัยในเมืองหลวง เธอย้ายไปอยู่หอพักในช่วงปีที่สามของการศึกษาเธอวุ่นวายอยู่กับการเรียนอย่างหนักจนไม่ได้กลับมาที่บ้านเป็นเดือนๆ เมื่อมีโอกาศพักหลังสอบเสร็จวันนั้นเธอจึงรีบกลับไปหากำนันประเสริฐที่ห้องทํางานของผู้เป็นพ่อด้วยความคิดถึง เธอพยายามแง้มเปิดระตูทีละน้อยและเงียบที่สุดเท่าทีจะทำได้เพื่อจะทำให้ผู้เป็นพ่อประหลาดใจหลังจากไม่ได้เจอหน้ากันมาสักพักใหญ่ แต่แล้วสายตาจากดวงตาคมคู่สวยที่มองลอดเข้าไปตามช่องของบานประตูที่เปิดออก แทนที่เธอจะได้พบพ่อกลับเห็นวิศวัทชายหนุ่มที่บ้านรับมาเลี้ยง กําลังขย่มร่างเปลือยเปล่าของแม่เลี้ยงอย่างเมามันในอารมณ์อยู่บนโต๊ะทํางาน

"อา...เสียว...เสียวจริงๆ" เสียงครวญครางของณัฐฐาผสมผสานกับเสียงเนื้อกระทบกันดังไปทั่วห้องและลอดผ่านประช่องประตูมาถึงข้างนอก เสียงและภาพนั้นกระตุ้นหัวใจของหญิงสาวในวัยเริ่มบานสะพรั่งให้เต้นรัวขึ้นอย่างแปลกประหลาด

ดวงตากลมโตจ้องมองท่อนเนื้อของชายหนุ่มผลุบเข้าผลุบออกระหว่างพูเนื้ออวบหนั่นของแม่เลี้ยงอย่างตื่นตาตื่นใจ การเคลื่อนไหวของคนทั้งคู่ทําเอาหญิงสาวถึงกับเผลอหนีบขาตัวเองแน่น และบิดไปบิดมาจนกระทั่งรู้สึกเหมือนกางเกงชั้นในของตัวเองเปียกแฉะขึ้นมา

เสียงดังสนั่นของเนื้อกระทบเนื้อและรสชาติของกามราคะทำให้คนทั้งคู่หูอื้อตาลายจนไม่ทันได้สังเกตุถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับอีกฝากของประตู สาวใหญ่ที่ร่างกายแน่นกระชับสวนทางกับอายุ ใช้มือเล็กแกร่งจับเอวของชายหนุ่มหยุดการกระทำลงชั่วคราวก่อนจะดันร่างกำยำให้ถินแก่นเนื้อออกจากร่างกาย

"เอื้อก..." หญิงสาวถึงเผลอกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่แม้จะฝืดคอ ภาพท่อนเนื้อลำใหญ่มันวาวชุ่มฉ่ำที่ลากยาวออกมาจากช่องสวาททิ้งร่องรอยความเสียหายเป้นรูกลวงโบ๋จนน่ากลัว ทำให้เธอรู้สึกสยองและสยิวขึ้นที่หว่างขา คิดตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าถ้านั่นเป็นร่างของเธอจะรับเข้าไปไหวไหม

ณัฐฐาขยับร่างทิ้งกายลงจากมาแล้วหันหน้าเข้าหาโต๊ะ ค่อยๆ โน้มตัวลงใช้ข้อศอกเท้าลงไปกับพื้นที่ว่างบนโต๊ะ สองเท้ากางออกโยกบั้นท้ายสวยกลมกลึงแอ่นยื่นไปด้านหลังส่งเข้าหาร่างของชายหนุ่ม

ชายหนุ่มร่างกำยำเดินเข้ามาประกบที่ด้านท้ายตามภาษากายที่ใช่เชิญชวน มือหนากุมดุ้นใหญ่เขี่ยไปตามร่องยาวความหารูเป้าหมาย ออกแรงดันเพียงเบาๆ ส่วนหัวก็จมหายเข้าไปคาไว้ที่ปากร่อง มือใหญ่คว้าจับเข้าเองแกร่งก่อนจะดึงเข้าหาตัวแล้วเด้งร่างสวนเข้าไปอย่างแรงครั้งเดียวท่อนเนื้อส่วนที่เหลือก้แทรกหายเข้าไปหมดลำ

"อื้ออออ...ท่าลึกดีจริงๆ" สาวใหญ่กรีดร้องเสียงแหลมปลายเท้าจิกเกร็งและเขย่งเท้ายกบั้นท้ายขึ้นรับ ลำตัวแนบราบไปกับพื้นโต๊จนเต้านมบี้ปลิ้นออกมาด้านข้าง เมื่อวิศวัทกดแก่นกายรวดเดียวเข้ามาลึกจนสุดโคน

เกวลีถึงกับสะดุ้งร่างตามคนทั้งสองอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ร่องเสียวขมิบแน่นขับน้ำออกมาจนเป้ากางเกงชั้นในชุ่มเป็นดวงราวกับเป็นคนที่ถูกทะลวงเข้ามาเสียเอง

ชายหนุ่มกระแทกกระทั้นเข้าใส่เธออย่างไม่หยุดจนโต๊ะสั่นไปมา และยิ่งรัวแรงขึ้นเมื่อเธอหลั่งน้ำสวาทออกมาช่วยหล่อลื่น ส่วนณัฐฐาเองก็ไม่ยอมแพ้ เธอทั้งเด้งทั้งส่ายสะโพกสู้กับท่อนลำแกร่งอย่างไม่เกรงกลัว ทั้งคู่รุกรับใส่กันสักพักจยกระทั่งรู้สึกเริ่มเหมื่อยขาเพราะออกแรงเกร็งมากเกินไปจากรสเสียว

ภาพและเสียงของชายหนุ่มอดีตรุ่นพี่สมัยเรียนมัธยมตอนปลายที่เธอเคยแอบชอบกระตุ้นให้เกวลีจ้องมองอย่างไม่ละลายตาสองมือลูบไล้ตัวเองหนักขึ้น สองขาเบียดกันแน่นมากกว่าเดิม ความสยิวมากว่าการดุคลิปโปีแล้วสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองเล่นงานจนสองขาสั่นไม่อาจทรงตัวยืนอยู่ได้ จำเป็นต้องทิ้งกายทรุดลงนั่งกับพื้น มือน้อยล้วงลงไปถูไถ่ที่หว่างขาผ่านผ้ากระโปรง การทำงานของระบบหายใจเป็นไปอย่างติดขัดเพราะพยายามกลั้นเสียงไม่ให้เล็ดลอดออกไปจนคนที่กำลังบรรเลงเพลงสวาทและท่วงทำนองแห่งราคะได้ยิน

ภายในห้องทำงานที่ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวกามและกลิ่นเหงื่อ ทั้งสองร่างปรับเปลี่ยนท่าทางเป็นท่านอนหงายร่วมเพศแบบมาตรฐานนอนราบไปกับพื้นห้อง เอวหนาสานต่อหน้าที่อย่างต่อเหนื่องเมื่อการจัดระเบียบร่างกายผ่านไปแบบไม่ติดขัด เสียงครวญครางทั้งชายหญิงต่างวัยประสานกันราวกับวงนักร้องประสานเสียงเลื่องชื่อ

"อูยยยย...มะ...ไม่ไหวแล้ว จะเสร็จแล้ว" เสียงแม่เลี้ยงครวญครางกระตุ้นให้ชายหนุ่มเร่งกระแทกกระทั้นดุ้นเอ็นอวบใหญ่เข้าใส่อย่างรุนแรงและลึกขึ้น จนกระทั่งท่อนเนื้อของเขาจมมิดเข้าไปในร่างของสาวสวยได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

"อ๊าก..." ในที่สุดวิศวัทก็แอ่นร่างดันท่อนเอ็นของตัวเองอัดเข้าไปจนสุดโคนพร้อมๆ กับร่างของแม่เลี้ยงที่โย้ไปและสั่นระริกด้วยความสุขสมอย่างถึงที่สุด ร่างใหญ่โน้มตัวเข้าหาณัฐฐา ก่อนจะจูบกันนัวเนียและพัวพันกันด้วยลิ้นชุ่มแฉะ

ด้วยความตื่นเต้นที่ได้เห็นคนร่วมเสพสังวาสกันอย่างผิดสิลธรรมเป็นครั้งแรก เกวลีที่กำลังใช้นิ้วมือนุ่มถูไถเนินเนื้ออยู่นอกกระโปรงนักศึกษาอย่างลืมตัวเสียงร้องบอกอาการเสร็จสามของคนทั้งคู่ทำให้เธอได้สติและรู้สึกทั้งโกรธทั้งละอายจนหน้าแดงที่คนทั้งคู่มาทำเรื่องชั่วช้าบนบ้านของเธอ จึงรีบผละออกมาจากตรงนั้น แล้ววิ่งกลับไปที่ห้องอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ล็อกประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา ทิ้งกายลงนอนบนเตียงนุ่ม คิดหาวิธีจะบอกเรื่องราวบัดซบเหล่านี้กับพ่อของเธออย่างไรดี

ในระหว่างที่กำลังคิดหาวิธีภาพร่างเปลือยเปล่าของชายหญิงคู่นั้นก็วนเวียนอยู่ในห้วงความคิดด้วยเช่นเดียวกัน ภาพท่อนเนื้ออันเขื่องมันวาวไปด้วยน้ำหวานหล่อลื่นกำลังวิ่งเข้าวิ่งออกผ่านรูเนื้อจนกลีบปลิ้นไปมา ทำให้เธอต้องนอนบิดไปมา รู้สึกอึดอัดหายใจลำบาก คอแห้งผากยากแก้การกลืนน้ำลาย ที่ปลายยอดปทุมถันแข็งตัวจนเป็นไต ที่ร่องหลืบกลางหว่างขาคันยุบยิบ เม็ดปุ่มเสียวยื่นออกมาเสียดสีกับเนื้อผ้ากางเกงชั้นในจนตัวสั่น

เกวลียังติดอยู่ในมโนภาพชุดเดิมแต่แตกต่างด้วยร่างของผู้หญิงที่กำลังทำกิจกรรมนั้นไม่ใช่แม่เลี้ยงของเธอแต่เป็นตัวเธอเอง สีแดงของเลือดฝาดเริ่มปรากฏจางๆ บนผิวแก้มขาวเนียน ลิ้นบางเริ่มเลียริมฝีปากเบาๆ ก่อนที่มือนุ่มจะเผลอเลื่อนขึ้นมาขยำบีบเนินอกผ่านชุดนักศึกษาขนาดพอดีตัว

"อือ..." ลำคอเรียวระหงเปล่งเสียงออกมาเบาๆ ด้วยควํามรู้สึกเสียวที่แล่นปราดจากบริเวณหน้าอกวิ่งเข้าหาสมองจจนร่างกายตอบสนองด้วยการเกร็งตัวขึ้นจนหลังไม่ติดเตียง แอ่นอกอวบใหญ่รับสัมผัสจากอุ้งมือของตัวเองที่กำลังบีบเคล้นมันอยู่ช้าๆ และซ้ำๆ จนกระทั่งขาทั้งสองเริ่มหนีบเสียดสีกันมากขึ้น พร้อมกับร่องสวาทที่บีบรัดและขมิบขับเอาน้ำเหนี่ยวใส่ๆ ออกมาจนเป้ากางเกงชั้นในค่อยๆ เปียกชื้น

"อาาาา...อาาาา..." ริมฝีปากอิ่มอ้ากว้างและจมูกโด่งได้รูปขยับหุบเข้าและบานออก เริ่มขับลมหายใจอุ่นออกมารุนแรงพร้อมเสียงหอบ ขาทั้งสองกางออกอย่างอัตโนมัติกระโปรงพลีทถูกดึงขึ้นไปไว้เหนือเอวบาง นิ้วมือเรียวเกี่ยวเบ้ากางเกงชั้นในที่กำลังเปียกแฉะออกไปข้างๆ ปลดปล่อยร่องกลีบสีเนื้อที่สีเข้มกว่าผิวกายเล็กน้อยและมีน้ำใส่เกาะอยู่ตามร่องออกมาให้เห็น

"อืมมมม..." ไม่ต้องรอสัญญาณเริ่มชกจากระฆัง สาวสวยแลบลิ้นเลียปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางจนชุ่ม ก่อนส่งลงไปถูผ่าไปกลางร่องตามแนวแยก เริ่มจากน้ำหนักเพียงแผ่วเบา แล้วจึงค่อยๆเน้นแรงกดส่งน้ำหนักมากขึ้น มากขึ้นตามความแรงของการกระแทกเอวของฝ่ายชายในจินตนาการ

สองขาที่อ้ากว้างอยู่แล้วก็ยังอ้าออกไปอีก โนนเนื้ออุ่นร้อนจากการเสียดสีถูกยกลอยขึ้นมาพร้อมกับสะโพกผาย และเด้งเด้าร่อนเข้าหานิ้วที่ตอนนี้จมหายเข้าไปร่องสวาทแล้วสองนิ้วราวกับกำลังถูกทำรักโดยชายร่างกำยำถี่ยิบ แต่แค่นิ้วสองนิ้วนั้นเหมือนจะยังเติมความต้องการของเธอได้ไม่พอ

"อืมมม" เกวลีครางต่ำในลำคอพยายามเก็บงำเสียงแห่งความเสียว แต่ไม่อาจสะกดความงุนง่านในจิตใจ สายตาฉ่ำวาวไปด้วยกามราคะสอดสายมองหาตัวช่วยไปทั่วห้อง ก่อนจะกันไปเห็นขวดโรลออนระงับกลิ่นกายขนาดเหมาะมือถึงขนาดจะเทียบไม่ได้กับดุ้นเนื้ออันนั้นแต่ก้น่าจะเพียงพอสำหรับร่องหลืบที่ไม่เคยมีใครล่วงล้ำนอกจากนิ้วขอตัวเอง เพียงชั่วพริบตาขวดโรลออนก็ย้ายมาอยู่ที่มือของเธอก่อนจะถูกชโลมไปด้วยน้ำใสที่เอ่อล้นออกมาจากช่องสวาทจนมันวาว แล้วขวดโรลออนขนาดกลางก็ถูกยัดเข้าร่องสวาทครูดโพรงเนื้อสีแดงสดด้านในอย่างรวดเร็ว

เสียงความฉ่ำแฉะดังระงมไปทั่วห้องเเพราะจังหวะซอยมือของหญิงสาวนั้นว่องไวไม่ต่างจากเอวของชายหนุ่มหน้าตาเหล่าที่เธอแอบดูมาก่อนหน้านี้

"อราาาา...ซี้ด! ซี้ดสสส...อรืออออ..." ความรู้สึกของผนังโพร่งสวาทที่ได้รับการเสียดสีจากขวดโรลออนขนาดพอเหมาะสร้างความสยิวไปทั่วจนปากสวยไม่อาจจะเก้บเสียงไว้ได้อีกต่อไป

...ใกล้แล้ว...ใกล้แล้ว...
"ซี้ด...อะ อึก... อื้มมมม..." แล้วทั่วทั้งร่างของสาวสวยก็เกร็งแน่น ดวงตาหลับพริ้ม ริมฝีปํากเม้มสนิทเพื่อเก็บเสียงที่ดังลั่นอยู่ในลำคอ เมื่อเธอส่งตัวเองมาสู่จุดมุ่งหมาย

"อ่า...อ่าาาา..." หญิงสาวค่อยๆ ปล่อยอากาศอุ่นๆ ผ่านริมฝีปากเฮือกใหญ่ พยายามจะจัดการให้จังหวะการทำงานของหัวใจที่เต้นรัวในตอนนี้ ก่อนจะค่อย ๆ ดึงขวดโรลออนออกทีละนิด น้ำเหนี่ยวหนืดใสยืดยาวเยิ้มเป็นเส้นติดตามขวดจนไหลย้อยลงมาจนเลอะง่ามนิ้วมือน้อยๆ ของเธอ

หญิงสาวจ้องมองขวดที่เปียกเหนี่ยวในมืออย่างรังเกียจเมื่อสติกลับคืนมาสมบูรณ์ วิศวัทชายหนุ่มรุ่นพี่ที่เธอแอบหลงรักเมื่อสมัยเรียนม.ปลายทำไมถึงได้ตอบแทนการให้ความช่วยเหลือของครอบครัวเธอด้วยการทำเช่นนี้หรือจะมีเรื่องราวอย่างอื่นที่ไม่รู้อยู่อีกกันแน่
...นังผู้หญิงชั่วนั้นต้องบังคับพี่เอิร์ธแน่ๆ คนดีๆ อย่างพี่เขาไม่มีทางทำเรื่องผิดศิลธรรมอย่างเต็มใจแน่นอน...


เกวลีที่ตอนนี้ออกจากห้วงของความทรงจำสุดสยิวในอดีตที่ไม่ค่อยอยากนึกถึงเท่าไหร่ แต่ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นเมื่อนึกขึ้นมาได้คราวใดก็เป็นตัวกระตุ้นอารมณ์ให้เธอได้เมื่อนั้น ร่างสวยยันกายลุกขึ้นนั่งสำรวจสภาพตัวเองที่เพิ่งเสร็จจากการช่วยตัวเองเมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมา มือเล็กเอื้อมหยิบทิชชู่มาเช็ดมือและน้ำใสจากช่องเสียว ก่อนปาดเหงื่อซึ่งผุดตามใบหน้า แล้วลุกไปนั่งมองกระจกที่โต๊ะเครื่องแป้ง เตรียมตัวไปชำระร่างกายก่อนจะเข้านอน


เสียงบทสวดท่องมนต์ผ่านเครื่องกระจายเสียงดังอื้ออึงไปทั่วบริเวณวัด ผู้คนมากมายนั่งอยู่ในศาลาการเปรียญขนาดใหญ่ บ้างนั่งขัดสมาธิบ้างนั่งพับเพียบ แล้วแต่รูปร่างและความสะดวกของแต่ละคน สองมือประหนมยกไว้ที่หน้าอกเรียงรายราวกับฝักถั่ว ที่รอบศรีษะถูกพันไว้ด้วยสายสิญจน์ที่โยงต่อกัน ด้านบนมีมียันต์สีแดงถูกแขวนไว้กับสายสิญจน์ที่ขึงไว้เป็นแถวๆ ทั่วบริเวณ ด้านหน้าของแต่ละคนมีกระทงใส่เครื่องเซ่นไหว้วางไว้ตรงหน้า

ขณะที่พระสงฆ์ที่มากพรรษานับสิบรูปกำลังสวดคาถาด้วยท่วงทำนองขึ้นลงกะแทกกระทั่น บางคนที่นั่งฟังก้มีอาการตัวสั่นราวกับลูกนกที่ตกลงไปในบ่อน้ำเย็นจัด บางคนก็แสดงออกลีลาท่าทางคล้ายกับสัตว์ บ้างก็ทำท่าคล้ายอสูรกาย รวมถึงบางคนที่ยืนมุงดูอยู่ด้านนอกก็มีอาการคล้ายๆ กัน ส่วนใหญ่คนที่มีอาการจะมีรอยสักอักขระเลขยันต์อยู่ตามตัวไม่มากก็น้อย

เจษฎาเดินแหวกผู้คนที่กำลังยืนอยู่เนื่องแน่นรอบสถานที่รวมไปถึงพ่อค้าแม่ค้าที่ต่างพากันมาตั้งร้านคอยให้บริการผู้เข้าร่วมพิธี เข้าไปด้านในหวังจะไขปริศนาลวดลายที่อยู่บนร่างกายของเขา พร้อมกับมองกวาดสายตาไปทั่วบริเวณตามหาเป้าหมายที่เขาสืบทราบว่าจะมาร่วมงานที่นี่เหมือนกัน

"นี่อาจารย์ ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอครับ" ปิยะพงษ์หันมามองร่างของเจษฎาที่ยังคงสวมเสื้อเชิตแขนยาวสีเข้มติดกระดุมหมดทุกเม็ดเช่นเคย แล้วหันไปมองคนที่กำลังเข้าพิธีบางคนที่กำลังดิ้นไปมาจนบางคนต้องมีผู้ชายตัวใหญ่สองถึงสามคนไปคอยจับไว้ แสดงให้เห็นถึงความเข้มขลังของบทสวด

"ก็ไม่นะ" เจษฎาส่ายหน้า สายตายังคงมองหาคนกำลังตามหา ส่วนบทสวดที่ดังกึงก้องไปทั่วนั้นเขากลับฟังไม่รู้เรื่อง

"ก็ของอาจารย์แรงซะขนาดนั้น..." ชายหนุ่มยังคงติดใจสงสัย เพราะวิชาของหนุ่มใหญ่แกร่งกล้าขนาดยิงไม่เข้าแสดงว่าน่าจะมีศรัทธาในครูบาอาจารย์สูง แต่กลับไม่มีอาการ

"อืม...ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกนิดๆ นะ รู้สึกว่าอากาศมันร้อน ไปหาน้ำกินกันก่อนดีกว่า" เจษฎาถอยออกมาก่อนเพราะคนเยอะจนเริ่มอึดอัดระว่างที่เขากำลังซื้อน้ำดื่มก็กวาดสายตามองไปทั่วบริเวณจนในที่สุดก็พบคนที่อยากเจอนั่งอยู่ใกล้ๆ โต๊ะประธานในงาน แต่เขาคงจะยังไม่เข้าไปทักระหว่างพิธี


"อาจารย์เสี่ยกวงเดินออกมาแล้ว" ปิยะพงษ์เข้าไปสะกิดหนุ่มใหญ่และกระซิบบอก เมื่อเสียงสวดในพิธีสงบลงและเป้าหมายกำลังลำลาคนในงานก่อนจะเดินออกมาจากศาลาการเปรียญ

"ตามไปเลย" เจษฎาลุกขึ้นจากรั้วไม้ที่ล้อมต้นไม้ใหย่ที่เขาใช้อาสัยร่มเงาในการหลบแดดระหว่างรอ แล้วเดินตามหลังปิยะพงษ์ไปหาเป้าหมาย

"สวัสดีครับเสี่ย" เจษฎาร้องทักทายด้วยความสุภาพเมื่อเดินเข้าบรรจบกับกลุ่มคนที่ทางด้านข้างของศาลา แต่ก่อนที่เข้าจะเข้าถึงตัวคนที่อยากพบลูกน้องร่างยักษ์ของเสี่ยกวงรีบพาร่างใหญ่เข้าไปขวางระหว่างคนทั้งคู่ทันที แล้วยกมือขึ้นมาเป็นสัญญาณว่าไม่ให้เข้าใกล้ไปมากว่านี้พร้อมกับกุมอาวุธคู่มือเตรียมการคุ้มครองให้ผู้เป็นนาย

"ลื้อเป็นใครวะ" เสี่ยกวงร้องถามมาจากชายร่างใหญ่ทั้งคู่ที่กำลังยืนบังเขาจนมิด ไม่อาจมองเห็นได้ว่าใครเข้ามาทัก

"ผมชื่อเจษฎาครับ" เจษฎาเองเมื่อเห็นท่าทางเอาเรื่องของผู้ติดตามทั้งสองก้ได้แต่หยุดเท้าไม่กล้าเดินต่อ แล้วเจรจากับเสี่ยผ่านกำแพงมนุษย์

"เจษฎาไหนวะ"

"คนแถวนี้เรียกผมอาจารย์เจษครับ"

"อาจาร์ยเจษเหรอ...อืม...อ้ออั๊วนึกออกแล้ว พวกลื้อหลบไปดิ เกะกะวะ" เสี่ยกวงแหวกคนคุ้มกันร่างยักษ์ราวกับเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปหาหนุ่มใหญ่แปลกหน้า

"ลื้อเองเรอะ อาจารย์เจษที่ให้หวยถูกจนไอ้เสริฐมันขาดทุนนะ ฮาฮา" เสียร่างเล็กหัวเราะชอบใจเสียงดังลั่น จนคนรอบข้างหันมามอง

"ไม่ได้ให้หวยอะไรหรอกครับ ชาวบ้านเขาวาสนาถึงพอดี แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยว่าแถวนี้ใครเป็นเจ้ามือหวย" เจษฎาโค้งตัวให้คนร่างเล็กแต่ดูแล้วจะมีอำนาจใหญ่โตกว่าร่างกายมากนักอย่างนอบน้อม

"ลื้อไม่ต้องถ่อมตัว อั๊วขอบใจมาก ตอนเห็นหน้าไอ้เสริฐมันโมโหจนเส้นเลือดจะแตกอั๊วสะใจจริงๆ ว่าแต่มาหาอั๊วทำไม"

"คือผมมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเสี่ยนะครับ แต่คุยแถวนี้ไม่สะดวก ไปคุยกันที่รถได้ไหมครับ" เจษฎากวาดสายตาไปรอบเหมือนจะบอกเป็นนัยๆ ว่าไม่ต้องการให้มีคนรู้เรื่องมากจนเกินไป

"สำคัญแน่นะ..." เสี่ยร่างเล็กเงยหน้าจ้องมองเข้าไปในดวงตาราวกับจะค้นหาความจริง

"ครับ" เจษฎาตอบนับเสียงหนักแน่นจ้องตากลับอย่างไม่มีพิรุธให้จับสังเกตุได้

"ก็ได้งั้นไปคุยที่รถอั๊ว" เสี่ยกวงพิจารณาจากภาษากายต่างๆ ที่คู่สนทนาแสดงออกมา ก็ตัดสินใจตกลงจะรับฟัง แล้วเดินนำศิษย์อาจารย์คู่นี้เดินอ้อมไปที่ลานกว้างด้านหลังอุโบสถ


"เห้ย! นั้นมันไอ้คนที่ปีนเข้าบ้านกำนันนี่หว่า มันรอดมาได้ไงวะไม่ใช่ว่ามึงเอาศพมันไปทั้งทิ้งแล้วเหรอไอ้ณุ" รตนที่มาเข้าร่วมพอธีที่วัดด้วยตามประสาคนเล่นเครื่องรางของขลังหันไปถามคนตัวเล็กกว่าที่มาด้วยกัน อย่างฉุนเฉียวเหมือนจะไม่ค่อยพอใจที่เห็นคนที่ไม่น่าจะมีชีวิตอยู่มาเดินอยู่ตรงหน้า

"พี่โบ้ไม่ต้องมาโวยเลย พี่เล่นหนีไปนอนก่อน ปล่อยผมกับพี่พงษ์เอามันทิ้งกันสองคนจะมาบ่นอะไรอีก" ชายตัวเล็กกว่าบนอุบไม่พอใจในน้ำเสียงของรตนที่เหมือนจะโยนความผิดมาให้เขา

"มึงนี่มันทำอะไรไม่รอบครอบเลย กูก็บอกให้จัดการให้เรียบร้อยไง" ชายร่างสูงกำยำยังไม่หยุดต่อว่า แถมน้ำเสียงฟังแล้วน่าหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม

"...นายหญิงไม่ได้สั่งให้ฆ่ามัน" พงษ์ศักดิ์ที่ยืนเงียบๆ พูดแทรกขึ้นมาเพื่อให้ทั้งคู่ได้หยุดคิดก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มโต้เถียงกันจริงจัง

"พี่พงษ์นี่ก็ซื่อเกิน ถึงนายหญิงไม่บอกตรงๆ ก็น่าจะรู้ว่านายหญิงไม่อยากเห็นหน้ามันอีก ทำไมไม่ฆ่ามันละ" รตนรู้สึกขัดใจนิดหน่อยที่พี่ใหญ่ของกลุ่มเหมือนจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดขอเขาก็หันไปต่อว่าแต่ก้พยายามเลี่ยงคำหยาบ

พงษ์ศักดิ์นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วหันไปจ้องหน้ารตนตาขวาง "...มึงไม่ต้องไปคิดแทนนายหญิงทำตามที่สั่งก็พอ"

"โอเคๆ ผมขอโทษ ไม่ต้องขึงขังใส่ผมก็ได้ ผมผิดเองแหละที่ไม่ทำเอง" ชายร่างกำยำถึงกับเสียวสันหลังวาบเมื่อเห็นสายตาจนต้องรีบแก้ตัว

"หึ สมน้ำหน้า" ภาณุหันหน้าไปทางอื่นพูดเยาะเย้ยด้วยเสียงเอาก่อนจะแอบยิ้ม

"มึงว่าไงนะ" รตนหันไปมองทางภาณุอย่างรวดเร็วคล้ายจะไม่พอใจแม้จะได้ยินไม่ค่อยชักก็ตาม

"เปล่า ว่าแต่มันจะไปไหนกับไอ้เสี่ยกวง เราตามไปดูดีกว่าไหม"

"ก็ดีนะ มันไปหาเสี่ยกวงแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีกับกำนันแล้วก็นายหญิงแน่"

"........." พงษ์ศักดิ์พยักหน้า


ในลานกว้างส่วนหนึ่งของวัดที่จัดไว้สำหรับใช้จอดรถของผุ้เข้ามาร่วมพิธี กลุ่มคนที่เดินมาด้วยกันก็หยุดที่บริเวณใกล้ๆ กับรถยนต์ของเสี่ยกวง

"คุยกันตรงนี้ก็ได้ครับเสี่ย" เจษฎามองสำรวจไปรอบบริเวณก่อนจะเหลือบไปมองนาฬิกาเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าปลอดดีคนแล้วเจษฎาก็เริ่มเปิดประเด็นพูดคุย

"ลื้อมีเรื่องอะไรจะพูดกับอั๊วก็ว่ามา" เสี่ยกวงหันมามองหน้าของหนุ่มใหญ่ที่เขาเคยได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างจากผู้คนในอำเภอว่าเป็นจอมขมังเวทย์ผู้มีวิชาเข้มขลังอย่างสนอกสนใจ

"คือว่าเมื่อคืนนี้ ผมนั่งสมาธิเข้าฌานแล้วมองเห็นนิมิตลางบอกเหตุสำคัญเกี่ยวกับความปลอดภัยของเสี่ย" เจษฎาแต่งเรื่องไปมั่วๆ แต่ก็ใช้น้ำเสียงจริงจังและหนักแน่น ราวกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง

"หืม...แต่เราไม่เคยรู้จักกันนา ลื้อจะมาจานิมิตอะไรถึงอั๊ว" ชายร่างเล็กหยีตาที่เล็กอยู่แล้วให้เล็กลงไปอีกเพราะแสงแดด จ้องมองเจษฎาตั้งแต่หัวจรดเท้า

"ความจริงผมไม่ต้อมาบอกเสี่ยก็ได้ แต่มันคงชะตาลิขิตนะเสี่ย ผมก็เลยต้องมา"

"แล้ว...ลื้อเห็นอะไรบ้างละ ถึงกับต้องมาดักรออั๊วะ"

"เสี่ยกำลังจะมีเคราะห์หนัก"

"แล้วไอ้เคราะห์หนักของลื้อนี่มันหนักขนาดไหนวะ"

"ถึงชีวิต..."

"หา...เมื่อตะกี้นี้อั๊วเพิ่งจะเข้าพิธีปัดรังควาน เสริมดวง สะเดาะเคราะห์ มามาดๆ เลยนา เดินออกมายังไม่พ้นวัดเลย ลื้อก็มาแช่งอั๊วแล้วเรอะ เลอะเทอะ ลื้อพาไอ้สองตัวนี้ไปห่างๆ อั๊วเลย" เสี่ยกวงไม่สบอารมณ์ที่โดนทักเรื่องอัปมงคล จนเผลอขึ้นเสียงใส่

ขณะที่คนทั้งคู่กำลังสนทนากันก็เสียงเครื่องยนต์ของรถมอเตอร์ไซค์ขนาดสองร้อยห้าสิบซีซี ขับเข้ามาตามทางเทคอนกรีตของวัดเข้ามาจอดเทียบห่างจากจุดจอดรถของเสี่ยกวงประมาณสิบเมตรแม้จะเหมือนคนมาวัดทั่วไป แต่ด้วยเสียงรบกวนที่ไม่ยอมหยุดลงแม้รถจะหยุดนิ่งแล้วนั้นทำให้เจษฎาติดใจสงสัยจนต้องหันไปมอง

"เสี่ย ระวัง!..." เจษฎาร้องเตือนภัยด้วยเสียงอันดังจนคนคุ้มกันร่างใหญ่ทั้งหันมองไปทางเดียวกับเจษฎา

ปัง! ปัง! ปัง! เสียงอาวุธปืนไม่ทราบขนาดจากชายปริศนาที่นั่งค่อมรถมอเตอร์ไซค์ล้วงออกมากชี้ไปทางกลุ่มคนของเจษฎาแล้วเหนี่ยวไกดังสนั่นไปทั่วลานวัด เจษฎาที่มองเห้นคนร้ายแต่แรกจึงสามารถเคลื่อนไหวตัวได้ก่อนใคร พาร่างผอมของตัวเองกระโจนเข้ามาขวางบังคมกระสุนให้เสี่ยกวงจนร่างร่วงหล่นลงไปทับร่างของเสี่ยกวงพากันล้มลงไปกองกับพื้นทั้งคู่ ก่อนที่คนคุ้มกันสองคนเสี่ยจะขยับร่างเข้ามาคุ้มกันคนทั้งสองแล้วชักปืนออกมายินสวนออกไป แต่ก็ไม่ทันการณ์ มือปืนปริศนาหลังจากลั่นไกเสร็จก็บิดคันเร่งบึ่งรถมอเตอร์ไซค์หายออกไปจากวัด

"เสี่ยเป็นอะไรรึเปล่าครับ" ชายร่างยักษ์รีบเข้าไปดูอาการของเจ้านายหลังจากสำรวจดูรอบๆ จนเห็นว่าปลอดภัยดีแล้ว

"อั๊วไม่เป็นไร ลื้อไปดูไอ้อาจารย์นั้นก่อนเหมือนมันจะโดนยิงแทนอั๊ว" เสี่ยกวงชี้ไปที่ร่างสูงที่กำลังนอนนิ่งทับร่างของเขาอยู่อย่างเป็นห่วง

ปิยะพงษ์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็รีบลงไปตรวจดูอาการของเจษฎาพร้อมลูกน้องเสี่ยกวง หลังจากสำรวจไปจนทั่วร่างวูงก็พบรอยกระสุนเจาะทะลุเสื้อที่บริเวณกลางหลังถึงสามรู และมีหัวกระสุนตกอยู่ด้านในของเสื้ออีกสามนัด แต่กลับไม่มีเลือดหรือรอยแผลใดๆ ระหว่างนั้นเหล่าชาวบ้านที่มาเข้าร่วมพิธีได้ยินเสียงปืนก็ค่อยๆ เข้ามามุงดูเหตุการณ์อย่างระมัดระวังกลัวจะโดนลูกหลง

"โอ้โห สามนัดเน้นๆ เลย ถ้าไม่ได้อาจารย์มาบังไว้เสี่ยไม่รอดแหงๆ" ชายร่างยักษ์หนึ่งในสองคนหันไปพูกับเสี่ยร่างเล็ก

"ลื้อไม่ต้องมาพูดมากเลย ทำงานกันภาษาอะไร ทำอั๊วเกือบตาย แล้วอาจารย์เขาเป็นอะไรรึเปล่าวะ" ร่างเล็กค่อยๆ กระเถิบตัวออกร่างของชายที่ทับตัวอยู่ออกมาชี้หน้าลูกน้องทั้งสอง ก่อนจะมองดูร่างของเจษฎาอย่างเป็นกังวล

"อูยยยย..." เจษฎาเริ่มขยับร่างกายพร้อมกับส่งเสียงคลายความเจ็บปวดที่กลางหลังก่อนจะยันร่างขึ้นมานั่งคุกเข่า สร้างความประหลาดใจให้กับเสี่ยและลูกน้องร่วมถึงคนอื่นที่มามุงดูอยู่ห่างๆ

"อาจารย์! ลื้อไม่เป็นอะไรเลยเรอะ" เสี่ยร่างเล็กจ้องมองร่างผอมที่ตอนนี้ลุกขึ้นมานั่งได้แล้วอย่างตื่นตาตื่นใจกับเหตุการณ์น่าเหลือเชื่อตรงหน้า

"สบายมากเสี่ย ผมเคยเห็นอาจารย์โดนยิงจ่อๆ ยังไม่เป็นไรเลย" ปิยะพงษ์ยืดอกอวดศักดาแทนเจษฎาอย่างภูมิใจ มองเสี่ยกวงที่ตอนนี้แสดงสีหน้าแบบเดียวกับเขาเมื่อครั้งแรกที่เห็นอิทธิฤทธิ์ไม่มีผิด

"แค่กๆ... เสี่ยรีบไปก่อนดีกว่า คนเริ่มมาเยอะแล้วมันจะวุ่นวาย" เจษฎาไอหนัก สีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวด เอื้อมมือยื่นให้ปิยะพงษ์ช่วยพยุงเขาขึ้นยืน

"จริงครับเสี่ย" ลูกน้องร่างใหญ่ที่เข้าไปประคองเสี่ยกวงพนักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของหนุ่มใหญ่

"งั้น...อั๊วไปก่อนนะ แล้วจะติดต่อไป"

"ครับเสี่ย" เจษฎารับคำเสี่ยกวงพร้อมกับแอ่นตัวเหมือนจะพยายามลดอาการบาดเจ็บที่หลังจนใบหน้าเหย่เก
แล้วชายร่างใหญ่ก็คุ้มกันเสี่ยกววงขึ้นรถแล้วขับออกไป ส่วนเจษฎาก็ถูกคนที่มามุงดูเหตุการณ์เข้ามาสอบถามอาการพร้อมกับชื่นชมในความเข้มขลังของวิชาอาคมจนเกิดเสียงดังเซ็งแซ่รอบตัวเขา เจษฎาถูกกลุ่มคนผู้ฝักใฝ่ในศาสตร์ลี้ลับ รุมเข้ามาพูดคุยอยู่ครู่ใหญ่กว่าเขาจะแหวกกลุ่มคนเหล่านั้นออกมาได้ แล้วขึ้นซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ที่ปิยะพงษ์ขับมารับแล้วออกไปจากวัด


"มันเกิดอะไรขึ้นน้า" ภาณุเดินยิ้มๆ เข้าไปสอบถามผู้ชายสูงอายุคนหนึ่งที่เดินออกมาจากการมุงดูสถานที่เกิดเหตุผ่านทางกลุ่มของเขาที่ลอบสังเกตุการณ์อยู่ห่างๆ

"มีคนเขามาดักยิงกันนะไอ้หนุ่ม" ชาวบ้านชราตอบคำถามกลับอย่างเป็นมิตรด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

"แล้วมีใครเป็นอะไรไหม" ภาณุถามต่อพร้อมกับชะโงกหน้าไปทางที่เกิดเหตุที่คนเริ่มบางตาลงแล้ว

"มีคนถูกยิงคนหนึ่ง"

"แล้วคนโดนยิงป็นอะไรมากไหม" ภาณุยังคงถามต่อเพื่อรวบรวมข้อมูล

"ไม่เป็นอะไรเลย หนังเขาดีจริง ไม่ระคายผิวเลย"

"ยิงไม่โดนมั้ง" รตนแทรกขึ้นมาแแบไม่ค่อยอยากจะเชื่อในคำบอกเหล่าของชายแก่

"ไม่โดนอะไรละ เข้าจังๆ ตั้งสามนัด แต่มีแค่เสื้อที่เป็นรู คนโดนยิงไม่เป็นอะไรเลย จริงๆ นะไอ้หนุ่ม" ชายสูงวัยเน้นย้ำเพราะเขาเองก็เป้นคนหนึ่งที่เข้าไปดูจนใกล้พอจะเห็นรายละเอียด

"ขอบคุณมาน้า" ภาณุผายมือเหมือนจะบอกกับชายชราว่าหมดข้อสงสัยแล้ว และก็กลัวว่ารตนจะเถียงกับคนแก่จนเกิดเรื่อง

"ชิบหายแล้ว ไอ้แก่นั่นมันยิงไม่เข้าเลยเหรอ เอาไงดีพี่" หลังจากชายชราเดินออกไป ภาณุก็หันไปคุยกับพงษ์ศักดิ์ด้วยสีหน้าตื่นกลัว เขาเห็นร่างของชายที่เขาเคยทำร้ายล้มลงหลังเสียงปืนประกอบกับคำบอกเล่าของคนที่เข้าไปดูสภาพหลังเกิดเหตุนั้นก็ยืนยันได้ระดับหนึ่งว่าหนุ่มใหญ่คนนั้นน่าจะมีของดี และเขาก็ค่อนข้างจะเชื่อในเรื่องลี้ลับอยู่พอสมควร

"ถ้ามันมีของดีจริง คงไม่โดนเรากะทืบเกือบตายหรอกมั้ง" รตนเองแม้จะศรัทธาในเครื่องรางของขลังแต่ก็ไม่เชื่อว่าคนที่กระทืบเล่นจนสนุกนั้นจะมีของ

"มันก็ไม่แน่นะพี่ มันอาจจะแกล้งทำก็ได้ ถ้ามันทำของใส่เราจะทำไงดีละพี่" ภาณุหันไปเตือนรตนไม่อยากให้เขาประมาท เพราะเรื่องพวกนี้มันลึกลับเกินจะพิสูจน์ก็จริง แต่หนนี้กลับมีประจักษ์พยานหลายสิบชีวิต ระวังตัวไว้หน่อยคงจะไม่เสียหาย

"...รีบออกไปจากที่นี้ก่อนดีกว่า" พงษ์ศักดิ์พูดด้วยท่าทีเคร่งขรึมน้ำเสียงนักแน่นจริงจัง

"ทำไมละพี่" รตนหันมาถาม

"นั้นสิ ทำไม" ภาณุเองก็ไม่เข้าใจความหมาย

"...คิดว่าแถวนี้มีใครกล้าพอจะยิงไอ้เสี่ยนั้นบ้าง" พงษ์ศักดิ์ขยายความให้ทั้งคู่คิดตาม

"จริงด้วย พี่พงษ์พูดถูก เรารีบไปเถอะเดี๋ยวคนจะคิดว่าเรามาชี้เป้าให้มือปืน" ภาณุนึกขึ้นได้และเห็นด้วยอย่าางมาก ว่าผู้คนในแถบย่านบ้านนี้ถ้าจะมีใครลุกขึ้นมาหักกับเสี่ยกวงก็คงจะมีแต่กำนันเจ้านายของพวกเขาเท่านั้น ทั้งสามคนจึงรีบหลบออกจากวัดไป

 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

kupong

พระเอกดวงดีจริง ทักนิมิตมั่ว ๆ แล้วมือปืนมายิงเองเลย

wood007


Naratt


sakdi Ontong

พระเอกของเราอาจจะมีวิชาก็ได้นะครับ ทำให้เรื่องนี้ซับซ้อนมากกว่าเดิม คิดถึงเมียเพื่อนพระเอกครับ เมื่อไหร่จะได้มาแสดงบทรักกันอีกครับ


lucipher666a

กำลังเข้มข้นตัวละครมีเพิ่มมาเรื่อยๆสงสัยว่าทำไมกำนันถึงได้เมียสวยแบบนี้ได้

n_neng

ใครกัน จ้างมือปืนมาส่อง เสี่ย ในวัดเลย  เข้าทางอ.เจษ พอดี

แมวหง่าว

ป่านนี้ลูกปลาโดนคนสนิทแม่เลี้ยงถลุงไปหลายดอกแล้ว

elelle


Sak2563


sawatcat

ต้องใช้ลูกเล่นกันนิดหน่อย​เพื่อ​แผนการ​จะใด้ราบรื่น​


แมว69

แผนการเริ่มเดิน แนวทางรอบคอบลดความผิดพลาด

chapter11

อ๊อดใช้เทคนิคทำให้เจษดูขลังหรือเปล่าครับเนี่ย เนียนเลยเชียว
ได้ใจเสี่ยกวงไปละ 555