ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_llOUllnJllUUllSJllSJ

จ้าวโลก EP.5 (NTR/Harlem/Super Power)

เริ่มโดย llOUllnJllUUllSJllSJ, กุมภาพันธ์ 26, 2021, 06:51:05 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

llOUllnJllUUllSJllSJ

สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิก xonly8 อ่านเต็มได้ที่ https://fictionlog.co/b/6053b2ece9cbb4001caf362f

"เป็นไงต่อ หลังจากวันนั้นก็เงียบไปเลยน๊าาา" เสียงเดียร์ทักมาในทันทีที่ผมเดินเข้าห้องพักพนักงานหลังร้าน

ผมเข้ามาทำงานทันทีหลังจากที่ไปเจออิงมา แม้ว่าผมจะไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากทำงานก็เถอะ แต่เมื่อวานบอสก็ให้หยุดงานไปแล้ว ถ้าหยุดอีกวันมีหวังได้โดยลาออกจริงๆ และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าพลังอะไรนั่นของผมมันจะช่วยได้มั้ย และที่สำคัญ โทรศัพท์ปริศนาจากคนที่ชื่อสตีฟอะไรนั่น ผมไม่รู้ว่าจะเจอเขาได้ยังไง ที่ไหน และเมื่อไหร่ เพราะเขาแค่บอกให้ผมมาทำงานตามปกติ เดี๋ยวก็เจอเขาเอง

"อื้อ.. หลับยาวไปเลย" ผมตอบเดียร์ไป ซึ่งเดียร์คงไม่รู้ว่า ไอ้ที่ผมหลับยาวไปหนะ คือนอนกกสาวอีกคนต่างหาก

"ดูเธอไม่เศร้าก็โอเคแล้ว" เดียร์ว่าพลางแต่งหน้าไป วันนี้เดียร์ก็แต่งตัวเหมือนเดิม ชุดเดรสสายเดี่ยวสีแดงเข้ม แม้ว่าจะยังใส่รองเท้าแตะ แต่เมื่อถึงเวลาทำงานจริงๆเธอก็จะใส่ส้นสูง ผมเคยถามเธอว่าไม่เหนื่อยเหรอ ทำงานแบบนี้ เธอมักจะบอกว่า เธอไม่ได้จะทำงานแบบนี้ไปตลอดหรอก นี่เป็นแค่ช่วงเวลาในการปูทางชีวิตของเธอต่างหาก

เดียร์ยืนโน้มตัวเข้าไปหากระจกพลางเขียนคิ้ว ทำให้กระโปรงเดรสที่สั้นอยู่แล้วของเธอร่นขึ้นไปอีก เดียร์อาจจะไม่ได้ขายาวสูงเหมือนแทน แต่ขาเธอก็เรียวสวยเซ็กซี่ไม่ต่างกัน แล้วความโค้งมนของสะโพกภายใต้ชุดเดรสนั้น ก็ทำให้ผมอดเผลอคิดถึงเหตุการณ์คืนนั้นในลานจอดรถไม่ได้ ถ้าจะเทียบอิง แทน กับเดียร์แล้ว ผมยอมรับว่าเดียร์นั้นดูเซ็กซี่ที่สุด เอ่อ.. จริงๆถ้าแทนแต่งตัวแบบนี้บ้าง แทนอาจจะเซ็กซี่กินขาดก็ได้ แต่ด้วยความที่เธอไม่ได้แต่งตัวแนวนี้ เดียร์เลยครองแชมป์ความเซ็กซี่ของผู้หญิงที่ผมรู้จักไป ณ ตอนนี้

ในตอนที่ผมคบกับอิงอยู่ ผมยอมรับว่าบางครั้ง ผมก็แอบเก็บภาพของเดียร์มาช่วยตัวเองเหมือนกัน หรือกระทั่งบางครั้งที่ผมเห็นภาพที่เดียร์นัวกับลูกค้า ผมมักจะรู้สึกหื่นจนต้องกลับไประบายกับอิงอยู่เสมอ

ครั้งนี้ก็เช่นกัน ยิ่งพอคิดว่า เธอใส่ชุดแบบนี้ขย่มใครสักคนที่ไม่ใช่แฟนเธอบนรถที่ลานจอดรถข้างๆนี้ตอนนั้น ผมก็ยิ่งอยากจะลิ้มรสชาติแบบนั้นบ้างเหมือนกัน

"จ้องทำไมยะ พอไม่มีแฟนแล้วเปลี่ยนเหรอ" เดียร์สบตาผมที่กระจกพลางพูดยิ้มๆ ผมคงจ้องเธอนานเกินไปจนเธอรู้ตัวสินะ

"เอ้อ.. เปล่า เออ แล้วเมื่อวานเห็นบอสบอกมีเด็กใหม่มาเทรนงาน เป็นไงบ้าง" ผมเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง

"ก็โอเคนะเด็กเสิร์ฟ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ารับมาเพิ่มแล้วทำไมต้องให้ต่อหยุดงานด้วย" เดียร์พูดพลางเก็บอุปกรณ์แต่งหน้าใส่กระเป๋า

"ทำไมเหรอ เราไม่ได้มาทำงานวันเดียว คิดถึงเหรอ" ผมแซวไปยิ้มๆ

"ก็เป็นห่วงเฉยๆ กลัวว่าอยู่คนเดียวแล้วจะฟุ้งซ่าน" เดียร์ตอบพลางนั่งไขว่ห้างโชว์ขาอ่อนรอเวลาทำงาน

"ถ้าเราฟุ้งซ่าน เดียร์จะมาอยู่เป็นเพื่อนเราเหรอ.." ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยพูดอะไรแบบนี้เลย แต่พอรู้ว่าตัวเองมีพลังอะไรแบบนี้ ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ก็ทำให้ผมมั่นใจในตัวเองจนกล้าพูดอะไรสองแง่สองง่ามหรือหมาหยอกไก่แบบนี้

ยังไม่ทันที่เดียร์จะตอบอะไร ก็มีเพื่อนร่วมงานคนอื่นเดินเข้ามาในห้องพักพนักงาน พร้อมกับสองคนที่น่าจะเป็นพนักงานใหม่ เพราะผมไม่คุ้นหน้า คนหนึ่งดูจากการแต่งตัว ลักษณะท่าทาง เหมือนประหม่าในตัว ไม่รู้ว่าเคยทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟมาก่อนมั้ย ในขณะที่อีกคน ลักษณะความมั่นใจและมุ่งมั่นที่ส่งออกมาทางแววตานั้น พอจะรู้ว่าเคยผ่านชีวิตการทำงานมาบ้างแล้ว

"เอ้า ต่อมาทำงานละเหรอ นี่พลกับลี เพิ่งมาทำงานใหม่ เมื่อวานมาเทสงานละบอสก็รับเลย" ไอ้นัท หนึ่งในเด็กเสิร์ฟเพื่อนร่วมงานผมเดินเข้ามาพร้อมกับแนะนำให้ผมรู้จักพลกับลี

"สวัสดีครับพี่" พลกับลีทักทายผมอย่างนอบน้อม ถือว่าวางตัวในฐานะน้องใหม่ในที่ทำงานได้ดีเลยนะ

"เอ้อ สวัสดีครับ ไม่ต้องหวัดดีกันก็ได้ เพื่อนกัน" ผมตอบไปอย่างเขินๆ

"เดี๋ยวอยู่ๆไปก็ชิน ต่อมันทำพาร์ทไทม์ที่นี่มา 2 ปีละ"  ไอ้นัทยังคงแนะนำผมให้กับน้องๆเด็กใหม่

"ครับ พี่มีอะไรแนะนำผมด้วยนะครับ" เป็นลีที่พูดออกมา

"ได้เลย ว่าแต่เรียนอยู่ป่าว หรือก่อนหน้านี้ทำอะไรมา" ผมถามกลับไป เพราะส่วนมากพนักงานที่ทำงานที่นี่มักจะเรียนกันอยู่ ถ้าไม่เรียนก็ดร็อป หรือไม่ได้เรียนเลย

"ผมทำอยู่เซเว่นครับ แต่ตกงานเมื่อวันวาน พอดีเห็นทางผ่านกลับบ้านเลยลองมาสมัครงานที่นี่ดูทำไปก่อน" พลตอบผม

"ผมกำลังหางานอยู่ครับ พอดีจะหางานอยู่แล้ว เมื่อวานวานสมัครงานที่นี่แล้วเจอพล เลยเข้ามาสมัครพร้อมกันเลย ก่อนหน้านี้ผมอยู่ฮ่องกงครับพี่" ลีอธิบาย

"หือ ไปทำอะไรที่นั่น ทำงานที่นั่นเหรอ" ผมถามด้วยความสงสัย

"ป่าวครับ พ่อผมเป็นคนฮ่องกง ผมถือสองสัญชาติ เกิดที่ไทยแต่โตที่ฮ่องกง แต่พ่อเสีย เลยกลับมาอยู่ไทยครับ ระหว่างนี้ยังไม่ได้เรียนต่อ เลยมาทำงานก่อน"

"อ่อ โอเค สงสัยอะไรตรงไหนก็ถามไอ้นัทหรือผมได้เลย หรือคนอื่นๆก็ได้" ผมตอบกลับไปด้วยไมตรี แม้ว่าผมจะเริ่มเอะใจอะไรบางอย่าง ทำไมอยู่ดีๆทั้งคู่ถึงมาสมัครงานในตอนที่ผมอยากลางานเมื่อวาน? แล้วบอสดันให้ทั้งคู่ทดลองงานทันที พร้อมกับให้ผมหยุดงานเมื่อวานได้ หรือมันจะเป็นผลจากความคิดผิดกันนะ

"เดี๋ยวเดียร์เตรียมตัวแล้วนะจ้ะหนุ่มๆ" เดียร์ลุกขึ้นถอดเสื้อคลุมออก โชว์ไหล่ขาวสุดเซ็กซี่ พร้อมกับเดินมาทางผมแล้วกระซิบให้ได้ยินกันสองคนว่า

"ที่ถามว่าถ้าฟุ้งซ่านจะอยู่เป็นเพื่อนมั้ย ฟุ้งซ่านเมื่อไหร่ก็ไลน์มา ถ้าไม่ตอบคือเราอยู่กับแฟนนะจ้ะ" เดียร์พูดพลางยิ้มเบาๆอย่างมีเลศนัย ก่อนจะเดินออกจากห้องไปท่ามกลางสายตาของไอ้นัทและพลกับลี

"แน่ะๆๆ มีกระซิบกระซาบนะมึงไอ้ต่อ เดี๋ยวนี้สนิทสนมกับพีอาร์ ร้ายจริงๆ" ไอ้นัทแซวกลับด้วยความหมั่นไส้

"แหม.. ก็เพื่อนร่วมงานกันเหมือนมึงนั่นแหละ" ผมตอบปัดไป

"เป็นไงพล, ลี พีอาร์ร้านเราแจ่มมะ นั่นนะตัวท็อปของร้านเลยนะ" ไอ้นัทพูดด้วยความภูมิใจ

"แจ่มครับ โคตรเอ๊กซ์" พลตอบ แล้วทั้งสามก็พูดคุยกันตามประสาผู้ชาย

##########

คืนวันหยุดแบบนี้ ไม่แปลกที่ลูกค้าจะเต็มร้าน ผมวุ่นกับการเดินรับลูกค้าพาไปที่โต๊ะ รับออร์เดอร์ เสิร์พอาหาร สารพัดหน้าที่จนลืมเรื่องสตีฟไปเลย จนกระทั่งผมเดินผ่านโต๊ะลูกค้าโต๊ะหนึ่งที่ไอ้นัดเป็นคนรับในตอนแรก สายตาที่มองมาทำให้ผมหยุดชะงัก

ในมุมสลัวๆท่ามกลางแสงไฟวิบวับจากสปอร์ตไลท์ที่ส่องมาจากบริเวณหน้าเวทีนั้น ผมเห็นชายคนหนึ่งที่เมื่อเพ่งสายตาดูดีๆแล้วก็จำได้ว่า เป็นลูกค้าฝรั่งที่มักจะมานั่งคนเดียวในทุกๆคืนวันพฤหัสฯ แต่วันนี้กลับแปลกไป เพราะข้างๆลูกค้าหนุ่มคนนั้นที่ปกติมาคนเดียว กลับมีหญิงสาวชาวต่างชาติหน้าสวยอีกคนนั่งข้างๆ ที่โต๊ะนั้นมีอาหารเครื่องดื่มวางไว้ประมาณหนึ่งแล้ว แต่สายตาที่ทั้งคู่มองมาที่ผม มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมต้องเดินไปนั่งที่โต๊ะด้วยอย่างไม่รู้ตัว

ผมนั่งฝั่งตรงข้ามของชายหญิงคู่นั้น ผู้ชายน่าจะอายุมากกว่าผมสักหน่อย คงราวๆ 20 กว่าๆ หุ่นล่ำบึ้ก และแม้จะมีแค่ไฟสลัวๆ แต่แสงจากสปอร์ตไลท์ที่กระทบโครงหน้า ก็ทำให้เห็นว่าชายหนุ่มคนนี้มีใบหน้าที่หล่อราวเทพบุตร ไม่แปลกที่เดียร์อยากจะมานั่งดื่มโต๊ะดี เสียแต่ว่าเขาไม่เคยเรียกหรือแม้แต่สั่งแอลกอฮอลล์มาดื่มด้วยซ้ำ

ในขณะที่หญิงสาวข้างๆ ดูเหมือนจะอายุรุ่นผม หรืออาจจะน้อยกว่าหน่อย ผู้หญิงฝรั่งนี่ผมประมาณอายุไม่ค่อยออกจริงๆ แต่รูปร่างเธอไม่ได้ดูเหมือนฝรั่ง ค่อนมาทางเอเชียมากกว่า สูง มีหน้าอกพอประมาณ สะโพกไม่ได้ใหญ่มาก แต่ที่มีสเน่ห์มากที่สุด คือ ใบหน้าที่น่ารักและดึงดูดสายตานี่แหละ

"สวัสดีครับ ผมสตีฟ ที่โทรหาคุณเมื่อวาน" แล้วชายหนุ่มคนนั้นก็ทำลายความเงียบของโต๊ะเราด้วยการแนะนำตัวขึ้นมาในภาษาไทยสำเนียงฝรั่ง

มันเป็นภาพที่ดูจะแปลกตาไปสักหน่อย ที่พนักงานเสิร์ฟใส่เครื่องแบบของทางร้าน กำลังนั่งโต๊ะร่วมกับลูกค้า ซึ่งแน่นอนว่า มันผิดกฏของร้าน แต่ผมกลับลืมนึกถึงข้อนั้นไปเลย อีกทั้งแทนที่จะมีเพื่อนร่วมงานคนอื่นมาเตือน กลับกลายเป็นว่าทุกคนทำเป็นไม่เห็นผมอยู่ในสายตา ไอ้นัทที่ดูแลลูกค้าอยู่โซนใกล้ๆ ก็มารับผิดชอบโต๊ะที่ผมเคยดูแลเพิ่มซะงั้น

"เอ่อ ครับ ผมต่อครับ" ผมไม่รู้จะพูดอะไร แน่นอนว่าการที่เขามาเจอผมครั้งนี้ แสดงว่าเขามีอะไรอยากจะบอก ดังนั้น ผมควรจะรอให้เขาเป็นคนเปิดเรื่องขึ้นมา โดยเฉพาะ เรื่องพลังอะไรนั่น

"ฉันเอเวอลีน เรียกว่าอีฟก็ได้ค่ะ" หญิงสาวข้างๆพูดขึ้นทำให้ผมแปลกใจ เพราะสำเนียงไทยของเธอมีความเป็นไทยมาก เรียกว่าถ้าหลับตาฟังเสียงก็นึกว่าคนไทยพูดยังไงยังงั้น

"สวัสดีครับอีฟ โห.. ทำไมพูดไทยชัดจัง" ผมทักกลับไปโดยไม่รู้จะตอบว่าอะไร

"อีฟอยู่เมืองไทยมาตั้งแต่เกิดค่ะ พี่อายุมากกว่าอีฟ อีฟขอเรียกพี่ต่อนะคะ" เธอตอบกลับมายิ้มๆ เธอรู้อายุผมด้วยเหรอ? หรือพวกเขาจะสืบเรื่องผมมาตลอด? น่ากลัวเกินไปแล้ว

"เอาละ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เรามีเรื่องต้องคุยกันเยอะ..."  สตีฟขยับตัวแล้วเริ่มต้นพูดเข้าประเด็น และสิ่งที่สตีฟกำลังจะพูดมานั้น ทำให้ผมถึงกับอ้าปากค้าง..


##################


มนุษย์นั้นเริ่มต้นวิวัฒนาการแยกจากลิงที่ไม่มีหางราว 7 ล้านปี ก่อนจะพัฒนาขึ้นมาเป็นมนุษย์วานร (ออสตราโลพิทีคัส) มาเป็นมนุษย์ในยุคแรกเริ่ม (โฮโม อีเรคตัส) ก่อนจะเป็นมนุษย์นีแอนเอซัล (โฮโมเซเปี้ยน นีแอนเดอธัล) จนมาถึงยุคนี้ มนุษย์ยุคปัจจุบัน หรือที่เราเรียกในชื่อวิทยาศาสตร์ว่า โฮโมเซเปี้ยนส์ เซเปี้ยนส์

ตลอดเส้นทางการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตบนโลก ธรรมชาติจะวิวัฒอะไรบางอย่างเพื่อให้อยู่รอดในสภาพแวดล้อมยุคนั้นเสมอ เราจะไม่พูดถึงสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่น แต่ในประวัติศาสตร์มนุษย์ ด้วยวิธีการคำนวนของฮอบ (Carl Haub) มีประชากรทั้งหมดประมาณ 1 แสน 8 พันล้านคน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่อาจจะมีบางคนที่มีวิวัฒนาการที่แตกต่างไปจากมนุษย์ทั่วไป เราเรียกสิ่งนี้ว่า 'การแตกหน่อของสายวิวัฒนาการ'

การแตกหน่อของวิวัฒนาการนั้น คือความสามารถทางร่างกายในแต่ละด้านที่มากกว่าปกติ อันเป็นผลมาจากความผิดพลาดของพัฒนาการทางสมอง แน่นอนว่า ความผิดพลาดของพัฒนาการทางสมองนั้น ส่วนมากจะออกมาในรูปของ 'ออทิสติก' แต่จะมีอีกจำนวนหนึ่งที่ออกมาในรูปของมนุษย์พิเศษ

มนุษย์พิเศษเหล่านี้ จะมีความสามารถทางสมองมากกว่าคนปกติ ที่มักจะใช้พลังงานสมองไม่ถึง 10% อย่างไรก็ตาม ในงานวิจัยลับเมื่อเร็วๆ ทำให้มนุษย์เริ่มเข้าใจสมองมากขึ้น และได้แบ่งความสามารถออกเป็นระดับๆ ดังนี้

1-5% : คนทั่วไป มีความสามารถตามปกติ
10%+ : จะคิดคำนวนเร็วขึ้นกว่าคนปกติ มีตรรกะในการแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมกว่า หลักๆคือใช้สมองได้ดีขึ้น
20%+ : ใช้สมองควบคุมการทำงานของร่างกายได้ดีขึ้น ขีดความสามารถด้านประสาทสัมผัสจะเยอะขึ้น เช่น หูได้ยินไกลขึ้น จมูกรับรู้กลิ่นและบอกที่มาได้ชัดเจน ตามองเห็นในที่มืด หรือปรับม่านตาเพื่อมองเห็นคลื่นในย่านความถี่ต่างๆได้ ผิวหนังจะขยายประสาทการรับรู้ สามารถบอกทิศทางของลม คลื่นเสียง แยกแยะความต่างของอุณหภูมิได้
30%+ : นอกจากความสามารถทางประสาทสัมผัสที่เพิ่มขึ้นแล้ว คนกลุ่มนี้ จะสามารถควบคุมประสาทเหล่านั้นได้อย่างอิสระ นี่เป็นผลจากความสามารถทางสมองที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม
40%+ : สมองสามารถควบคุมได้ในระดับเซลล์ ทำให้สามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายได้อย่างรวด

ยังไม่เคยมีบันทึกมนุษย์ที่มีความสามารถทางสมองมากกว่า 50%

และด้วยผลของการใช้ประสิทธิภาพของสมองได้เต็มที่มากกว่าคนปกติ ทำให้คนเหล่านี้สามารถแปรเปลี่ยนความสามารถทางสมองเหล่านั้น ออกมาในรูปของการกระทำที่เหนือมนุษย์ได้ เช่น

- บางคนมีความสามารถในการมองเห็นและคิดสิ่งต่างๆอย่างรวดเร็ว ซึ่งเร็วในระดับนาโนวินาที ทำให้เมื่อคนใช้ความสามารถนี้ ความเร็ว Relative ของเขาจะทำให้ทุกสิ่งรอบตัวเขาช้าลงจนแทบจะหยุดนิ่ง จนเหมือนจะหยุดเวลาได้ แต่จริงๆคือไม่ได้หยุดเวลา แค่เขาเร็วมากๆจนเห็นทุกอย่างช้าลง
- บางคนมีความสามารถในการประเมินลักษณะท่าทางของคนอื่น ใช้ประสาทสัมผัสในการรับรู้อัตราการเต้นของหัวใจและความดันเลือด และวิเคราะห์ถึงสภาพจิตใจในขณะนั้นแบบสดๆ (คนกลุ่มนี้มักจะดูเหมือนอ่านใจคนอื่นได้)
- บางคนมีความสามารถในการชี้นำความคิดคนอื่น สมองของคนเรานั้นสื่อสารภายในกันด้วยระบบไฟฟ้า แต่คนที่มีความสามารถนี้ จะสามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนในระดับอะตอมภายในสมองและส่งต่อไปยังสมองของคนอื่น ทำให้สมองของคนรับนั้นรับรู้แรงสั่นสะเทือนและแปรเปลี่ยนไปเป็นคลื่นไฟฟ้า เป็นการส่งสาห์นจากสมองหนึ่งไปสู่สมองหนึ่ง (คนกลุ่มนี้ ถ้าแบบเบาๆจะเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อคนอื่นทางความคิด หรือถ้าแบบเยอะๆคือสามารถสะกดจิตได้)
- บางคนมีความสามารถในการถ่ายทอดพลังงานของกล้ามเนื้อ ให้เร็วขึ้น แข็งแกร่งขึ้น รวมไปถึงซ่อมแซมส่วนสึกหรอของร่างกายได้ในระดับเซลล์

มนุษย์พิเศษเหล่านี้มีหลายคนในประวัติศาสตร์ เช่น เจงกีส ข่าน, อเล็กซานเดอร์มหาราช, จูเลียส ซีซาร์, อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ หรือแม้กระทั่งยอดนักฟุตบอลแห่งยุคอย่างลีโอเนล เมสซี่และคริสเตียนโน โรนัลโด้

มีมนุษย์พิเศษแค่ไม่กี่คน ที่มีความสามารถพิเศษมากกว่า 1 อย่าง โดยความสามารถทางสมอง และความสามารถพิเศษเหล่านี้ ไม่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ทำให้ลูกของคนกลุ่มนี้จะไม่มีความสามารถเหล่านี้ ทั้งหมดเกิดขึ้นแบบสุ่มเท่านั้น และยังมีความสามารถพิเศษอีกมากมายที่อาจจะยังไม่ถูกค้นพบ..

#############

ผมไม่รู้จะพูดตอบสตีฟไปว่าอะไรดี เพราะสิ่งที่เขาร่ายยาวมาทั้งหมดนั้นมันน่าเหลือเชื่อมาก มากซะจนไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง อย่างไรก็ตาม พอมาลองคิดดูถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในไม่กี่วันนี้ มันก็ดูเข้าเค้า หรือผมจะเป็นหนึ่งในมนุษย์พิเศษเหล่านั้น?

"คุณอาจจะคิดว่าไม่ใช่เรื่องจริง แต่เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับคุณไม่กี่วันมานี้น่าจะทำให้คุณตอบคำถามตัวเองได้ดีที่สุด" สตีฟพูดเสริมขึ้นมาราวกับรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ หรือสตีฟจะมีพลังที่ว่านี้เหมือนกัน?

"แล้ว.. ทำไมคุณถึงมาบอกผม.. คุณต้องการอะไรกับผมเหรอ" ผมถามสตีฟไป แต่กลับเป็นอีฟที่นั่งเงียบมานานพูดขึ้นมาว่า

"ลองจินตนาการถึงความเป็นไปในโลกนี้สิพี่ต่อ คนอย่างฮิตเลอร์ หรือวิกฤติคิวบา ที่เกือบจะล้างโลก หรือแม้กระทั่งวิกฤติเศรษฐกิจต่างๆ มันสุ่มเสี่ยงและเปราะบางแค่ไหนกับการไว้ใจให้มนุษย์ปกติพวกควบคุมความเป็นไป.."

"หมายความว่ายังไง..?" ผมขมวดคิ้วถามกลับ

"พูดง่ายๆว่า เรามีองค์กรลับที่รวบรวมมนุษย์พิเศษอย่างเราๆ และใช้ชีวิตอยู่ในทุกวงการทั่วโลก เพื่อควบคุมความเป็นไปของโลกไม่ให้มันเละไปเพราะความบ้าบอของมนุษย์ไม่กี่คน เข้าใจหรือยัง คุณลองจินตนาการถึงโลกที่ฮิตเลอร์ไม่มีใครหยุดยั้ง หรือโลกที่ทุกประเทศไม่มีกฏเกณฑ์ร่วมกันสิ อะไรจะเกิดขึ้น เผ่าพันธุ์มนุษย์จะเหลือมาถึงทุกวันนี้มั้ย" สตีฟพูดเสริม

บ้าไปแล้ว นี่มันหนักเกินไปแล้ว สองคนนี้เป็นใครกัน ทำไมมาพูดเรื่องอะไรเพ้อเจ้อขนาดนี้ องค์กรลับเหรอ? นี่มันชีวิตจริงนะ ไม่ใช่หนังสายลับหรือนิยายอะไร มันจะมีอะไรแบบนี้ได้ไง

"คุณกำลังรู้สึกว่าทุกอย่างมันบ้า และไม่เชื่อที่พวกเราพูด นี่คือความสามารถของผม ความสามารถที่ทำให้อ่านความรู้สึก และวิเคราะห์ความน่าจะเป็นของสภาพจิตใจคู่สนทนาได้" สตีฟพูดภาพรวมของสิ่งที่ผมคิดขึ้นมาในใจได้ตรงจนผมขนลุก

"อีฟก็เหมือนกันค่ะ แต่ความสามารถยังไม่ถึงขั้นสตีฟ" อีฟบอก

"แล้ว.. ความสามารถของผมคืออะไร..?" ผมถามกลับไปแบบระแวดระวัง ผมกลัวว่า เมื่อผมปักใจเชื่ออย่างจริงจัง แล้วทั้งหมดจะกลายเป็นเรื่องโกหกที่ใครสักคนกำลังเล่นตลกกับผม

แต่สีหน้าจริงจังที่สตีฟตอบกลับมา เริ่มทำให้ผมรู้สึกว่า นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

"พูดตรงๆนะ เรายังวิเคราะห์ความสามารถของคุณได้ไม่หมด แต่จากที่เราจับตาดูคุณมานาน ความสามารถคุณค่อนข้างน่าทึ่ง โดยเฉพาะในช่วงนี้ ที่คุณสามารถชี้นำจิตใจคนรอบข้างคุณได้ ทั้งๆที่คุณยังมีความสามารถอื่นที่ยังไม่ตื่นอยู่อีก" ทันทีที่สตีฟพูด ผมก็เข้าใจทันทีว่า ทำไมเหตุการณ์หลายๆอย่างถึงเกิดขึ้นในช่วงสามสี่วันก่อน

"อะไรนะ.. พวกคุณแอบสืบชีวิตผมด้วยเหรอ" ผมถามอย่างตกใจ

"ก็อย่างที่บอก เรารู้ว่าคุณมีความสามารถที่โดดเด่นมาก เราอยู่รอบตัวคุณมาตั้งแต่คุณเสียคุณพ่อคุณแม่แล้ว แล้วองค์กรเราก็ไม่ใช่เล็กๆ กล้องวงจรปิดที่คุณเห็น พนักงานกวาดถนน หรือแม้กระทั่งบางคนรอบตัวคุณ อาจจะเป็นคนของเราก็ได้" สตีฟบอกเรื่องที่ทำให้ผมทึ่งและขนลุกไปอีก

"แล้ว.. พวกคุณต้องการอะไรกับผม ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเอาเรื่องนี้มาบอกผมทำไม" ผมถามกลับไปด้วยความสับสน นั่นสิ คนกลุ่มนี้ต้องการอะไรกับผมกันแน่

"ลองคิดสิ ว่าความสามารถของคุณจะทำประโยชน์อะไรให้โลกนี้ได้บ้าง ในวันที่คนอย่างฮิตเลอร์เกิดขึ้นในโลกนี้อีกครั้ง เราจำเป็นต้องใช้คนเป็นล้านๆคนเพื่อหยุดเขาเหมือนตอนสงครามโลกครั้งที่สอง หรือเราจะใช้ความสามารถของคนแค่ไม่กี่คนในการหยุดเขาดี.." สตีฟทิ้งปมให้ผมคิด

"ผมเข้าใจดีว่าเรื่องนี้มันเรื่องใหญ่ ที่จริงเราไม่ได้อยากจะบอกคุณทันทีแบบนี้ แต่อย่างที่บอก ความสามารถคุณโดดเด่นและมาเร็วกว่าคนปกติมาก เราจำเป็นต้องคุยกับคุณก่อน... เอ่อ เราจำเป็นต้องคุยกับคุณให้เร็วที่สุด"

"ผมไม่เข้าใจ แล้วผมควรต้องทำอะไรต่อเหรอ" ผมถามกลับไป ตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคนพวกนี้ต้องการอะไรจากผมกันแน่

"ผมอยากให้คุณเข้าใจก่อนว่า เราพิเศษกว่าผู้หญิงที่เต้นกลางฟลอร์นั่น เราพิเศษกว่าเด็กเสิร์ฟเพื่อนของคุณ เราพิเศษกว่าเจ้านายของคุณ เราพิเศษกว่าคนอีกหลายพันล้านบนโลกนี้ ความพิเศษพวกนี้แหละ ที่เราควรจะใช้มันเพื่อทำประโยชน์ให้โลก ไม่ใช่ปล่อยให้มนุษย์ธรรมดาๆมาควบคุมความเป็นไปในโลกนี้...

"พูดตรงๆคือ เราชวนคุณมาเข้าองค์กรของเรา นี่เป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับคุณ ลองนึกภาพถ้าโลกรู้ความของความสามารถคุณสิ อะไรจะเกิดขึ้น ไม่มีมนุษย์คนไหนไม่อยากได้ความสามารถนี้หรอก และมันจะวุ่นวายกับชีวิตคุณแค่ไหน โดยเฉพาะเมื่อบรรดาประเทศมหาอำนาจต้องการนำคุณไปวิจัยเพื่อประโยชน์ทางการทหารของประเทศตัวเอง"

เออหวะ พอสตีฟพูดประเด็นนี้ผมก็คิดได้ จริงๆมันน่ากลัวนะความสามารถนี้ ลองนึกภาพคนที่มีความสามารถนี้ซัก 100 คน ประเทศไหนที่มีนี่อาจจะครองโลกได้เลยก็ได้

"โอเค เรื่องความสามารถพิเศษนี่ผมเชื่อ เพราะผมก็สังเกตุแล้วเหมือนกันว่ามันมีอะไรแปลกๆกับตัวผมในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา แต่ช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจหน่อยได้มั้ย ความสามารถพิเศษของผมคืออะไร ทุกครั้งที่ผมคิดอะไรมันจะเป็นจริงแบบนั้น ถึงจะไม่ทั้งหมด แต่ก็ส่วนมากเลยนะ"  ผมถามกลับไป เพราะยังไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องความสามารถของผมเท่าไหร่นัก

"'หนึ่งในความสามารถ' พิเศษของพี่ต่อ คือการสร้างเรื่องสั่นสะเทือนระดับอะตอมในสมอง และส่งผ่านออกไปในรูปคลื่นความถี่สูงที่ไม่มีเครื่องมือปกติของมนุษย์ที่สามารถวัดได้ คลื่นที่ถูกส่งออกไปนั้น เป็นความคิดของพี่ต่อเอง ซึ่งพอคลื่นนั้นไปถึงคนรับ แรงสั่นจะแปรเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้าในสมอง ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นความคิดของคนๆนั้นเอง ซึ่งความพิเศษของพี่ต่อที่เหนือชั้นกว่านั้น คือมันไม่ได้มีผลต่อสมองของคนรับอย่างเดียว แต่มันทำให้สมองของคนรับส่งผ่านข้อความ หรือความต้องการนั้นไปที่ร่างกายตนเอง" อีฟตอบคำถามผม

"เหมือนผมควบคุมร่างกายคนอื่นได้ด้วยเหรอ" ผมถามไปอย่างตื่นเต้น

"ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ การควบคุมร่างกายและจิตใจ ยังเป็นของคนๆนั้นอยู่เหมือนเดิม พี่ต่อแค่โน้มน้าวจิตใจ โน้นน้าวสมองของคนๆนั้น และในบางกรณี สมองของคนนั้นก็จะสื่อสารไปที่ร่างกายหรืออวัยวะต่างๆภายในร่างกายอีกที คนนั้นๆจะทำสิ่งนั้นๆ เพราะคิดว่านั่นคือความต้องการของเขาเอง"

"แต่ทำไมหลายครั้งที่ผมคิดอะไรแล้วมันไม่ได้" ผมถามพลางนึกย้อนกลับไป เพราะมีหลายครั้ง เหตุการณ์ก็ไม่ได้เกิดขึ้นตามที่ผมคิด

"นั่นเพราะ หนึ่ง พี่ต่อยังไม่ได้ฝึกการควบคุมสมอง และ สอง ส่วนมากแล้ว การโน้นน้าวจิตใจคนอื่นให้คิด หรือ รู้สึก นั้น มันจะต้องให้คนอื่นลดกำแพงในจิตใจลงก่อน เช่น ถ้าพี่ต่อคิดว่าให้ผู้หญิงที่กำลังเต้นอยู่กลางฟลอร์นั้นอยากจูบกับพี่ต่อ แล้วพี่ต่อเดินไปจูบ พี่ต่อก็อาจจะโดนแฟนเค้าต่อยได้ เพราะผู้หญิงคนนั้นไม่รู้จักพี่ต่อ ทันทีที่พี่ต่อเดินเข้าไปจูบ มันจะมีสิ่งที่เรียกว่า กำแพงคนแปลกหน้ากั้นอยู่ ไม่ว่าพี่ต่อจะพูดอะไร หรือทำอะไร มันจะมีกำแพงบางๆกั้นอยู่ ลองนึกถึงคนธรรมดาที่ไม่มีพลังนี้ก็ได้ ถ้ามีคนแปลกหน้าบอกว่าหิวข้าว ขอเงิน 10 บาทแล้วไปกินข้าว กับมีเพื่อนสนิทพี่ต่อบอกว่าหิวข้าว ขอเงิน 10 บาทไปกินข้าว พี่ต่อมีแนวโน้มจะให้เงินคนไหนมากกว่ากัน?" อีฟร่ายยาวพร้อมกับถามผมส่งท้าย

"ก็น่าจะเป็นให้เงินเพื่อนผมมากกว่า" ผมตอบพลางคิดไปด้วย

"ใช่ค่ะ สมองคนเราก็ทำงานแบบนั้นแหละ ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้จัก อยู่ดีๆมาใช้ความสามารถนี้ใส่ มันค่อนข้างจะได้ผลยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ผลเลยนะ ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่สภาพจิตใจและความแข็งแกร่งของคนรับด้วย"

ถึงตรงนี้ ผมเริ่มถึงบางอ้อแล้ว สาเหตุที่เดียร์ออกไปกับลูกค้าเมื่อคืนก่อน สาเหตุที่แทนชวนผมไปคอนโดและนอนกับผม เดี๋ยวนะ.. นี่แสดงว่าที่อิงเปลี่ยนไป เป็นเพราะผมเหรอ

"แล้วอิงหละ เกิดอะไรขึ้นกับอิง เป็นเพราะผมหรือเปล่า" ผมถามด้วยความร้อนใจ พร้อมกับภาวนาในใจไม่ให้คำตอบออกมาเป็นสิ่งที่ผมกลัว เพราะถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นกับอิงนั้นเป็นเพราะผม ผมจะรู้สึกผิดมาก

อีฟกับสตีฟหันมาหน้ากันแว๊บหนึ่ง ก่อนที่จะเป็นสตีฟที่พูดขึ้นมา

"อย่าห่วงเลย พลังของคุณเพิ่งมาเริ่มมีในคืนวันนั้นแหละ เหมือนความเสียใจของคุณมันถึงขีดสุด มันเลยเหมือนปลดล็อคความสามารถทางสมองมาเร็วกว่าปกติ โดยปกติแล้ว มนุษย์พิเศษอย่างเราๆ จะปลดล็อกความสามารถนี่อย่างเต็มที่ตอนอายุ 25 อย่างอีฟตอนนี้อายุ 19 ก็ยังมีความสามารถไม่เต็มที่เหมือนกัน"

ผมได้ยินแล้วก็โล่งใจหน่อย แต่จะโล่งใจทำไมก็ไม่รู้ เพราะนั่นหมายความว่า อิงหมดรักผมแล้วจริงๆ และอิงนิสัยเปลี่ยนไปใจจริงๆ แต่ก่อนที่จะทันได้โล่งใจอะไรต่อนั้น สตีฟก็พูดมาอีกว่า

"แต่สิ่งที่ทำให้คุณอิงเปลี่ยนไป เพราะมีคนทำให้คุณอิงเป็นแบบนั้น.." สตีฟพูดสิ่งที่ทำให้ผมตกใจแล้วเว้นช่วงเหมือนรอให้ผมถาม

"หาา จริงเหรอ ใครเป็นคนทำ แล้วทำไมต้องทำแบบนี้ แล้วอิงจะเป็นไรมั้ย" ตอนนี้ผมเริ่มจะเป็นห่วงอิงขึ้นมาแล้วสิ

"อย่างที่ผมบอกไป ความสามารถพิเศษของมนุษย์อย่างเราๆมันมีค่ามากกว่าระเบิดนิวเคลียร์ทุกลูกในโลกรวมกันซะอีก ไม่แปลกที่จะมีคนพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความสามารถนี้ แต่ไม่ต้องห่วง เราจับตาดูเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และกำลังหาทางทำให้คุณอิงกลับมาเป็นเหมือนเดิมให้ได้"

ถึงตรงนี้ผมเริ่มน้ำตาคลอ ถ้าสิ่งที่สตีฟพูดเป็นจริง แสดงว่าอิงได้รับผลประทบโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสิ หรือนี่เป็นสิ่งที่เธอพยายามจะอธิบายผมในตอนที่นัดเจอวันนี้ กลับเป็นผมเสียอีก ที่ไม่ยอมรับฟังอะไร แถมดันโมโหและพูดจาทำร้ายจิตใจเธอ

"แล้วผมต้องทำยังไงเพื่อให้อิงกลับมาเป็นคนเดิม" ผมเริ่มน้ำตาคลอ ถามสตีฟไปอย่างมีความหวัง

"ตรงนี้สำคัญมาก นี่คือสาเหตุที่เรามาพบคุณวันนี้ เราอยากให้คุณเข้าร่วมองค์กรเรา ในระหว่างที่เรากำลังหาทางช่วยคุณอิง ระหว่างนี้ ไม่ว่าคุณอิงจะเปลี่ยนไปยังไง คุณควรจะทำตัวให้เป็นปกติที่สุด อย่าแสดงออกว่าคุณรู้เรื่องนี้ เพราะเราไม่รู้ว่ามีใครคนนอกองค์กรที่มีความสามารถนี้แฝงตัวอยู่อีกมั้ย ผมรู้ว่าคุณต้องเจ็บปวดกับการที่คุณอิงเปลี่ยนไป แต่ขอให้คุณจำไว้ ว่านั่นคือสิ่งที่คนพวกนั้นทำกับคุณ ทำกับคุณอิง พวกนั้นใช้คุณอิงเป็นเครื่องมือเพื่อทำให้คุณอ่อนแอ คุณต้องเข้มแข็งและทำเฉยไว้ให้ได้ ชะตากรรมของคุณอิงอยู่ในมือคุณแล้ว"

"แปลว่าผมไม่ควรติดต่ออิงเหรอ" ผมถามกลับไปด้วยอารมณ์ผิดหวัง เศร้า และโกรธตัวเองที่ไม่สามารถดูแลอิงให้ดีได้

"เปล่า คุณควรพยายามติดต่อคุณอิง พยายามง้อคุณอิงให้ได้ โดยห้ามใช้ความสามารถพิเศษของคุณ เพราะนั่นจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่า คุณรู้ตัวว่ามีความสามารถแล้ว และที่สำคัญ พวกนั้นจะรู้ว่าเราได้ติดต่อคุณมาแล้ว ซึ่งพวกเราอยากจะเปิดเผยตัวคนพวกนั้นให้ได้ก่อน ฉะนั้น คุณต้องแสดงละคร เป็นอย่างที่เป็นอยู่ พยายามง้อคุณอิงตามปกติ ทำทุกอย่างให้ปกติอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งควรจะเป็น"

ถึงตอนนี้ผมไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาพูด ผมสงสารอิง ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนสร้างเหตุการณ์นี้ ใครเป็นคนทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น แต่ผมโกรธและเกลียดใครก็ตาม ที่มันทำให้อิงเป็นแบบนี้ และผมสัญญากับตัวเองว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่มีโอกาสและจับตัวได้ ผมจะแก้แค้นคนเหล่านั้นให้ถึงที่สุด แม้ว่าจะไม่รู้ว่าจะแก้แค้นยังไงก็เถอะ

"ถ้าคุณตกลง หลังจากนี้ อีฟจะเป็นพาร์ทเนอร์ในองค์กรกับคุณ เธอจะคอยช่วยเหลือคุณฝึกความสามารถ จนกว่าคุณจะพร้อม เรามีงานใหญ่ที่จะต้องร่วมมือกันทำ" สตีฟบอก

"หมายความว่าครับ เป็นพาร์ทเนอร์กับผม?" ผมถามไปอย่างงงๆ

"เอาเป็นว่า ทำความรู้จักกันไว้ คุณกับอีฟจะต้องเจอกันอีกบ่อยๆ อ้อ ที่สำคัญที่สุด องค์กรเรามีแค่เราสองคนเท่านั้นที่จะติดต่อคุณ ถ้ามีคนอื่นติดต่อมา แล้วอ้างว่ามีความสามารถแบบนี้ หรือคนอื่นติดต่อมาแล้วรู้เรื่องนี้ คุณควรติดต่อผมให้เร็วที่สุด"

"แล้วหลังจากนี้ผมต้องทำอะไรบ้าง หมายถึงต้องทำอะไรต่อจากนี้" ผมถามเพื่อย้ำอีกครั้ง เพราะตอนนี้ผมยังไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก ว่าควรจะทำอะไรก่อนหลัง

"คุณใช้ชีวิตไปตามปกติ ใช้พลังอะไรของคุณยังไงก็ได้ อย่าลืมว่าคุณมีความพิเศษกว่าคนอื่น คุณควรจะมีความสุขกับพลังนั้น แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมติดต่อไป คุณต้องพร้อมที่จะทำงานช่วยเหลือองค์กร และอย่าลืมว่า เรากำลังหาทางช่วยคุณอิงอยู่" สตีฟพูดจบก็ลุกขึ้น พร้อมกับหันไปทางอีฟ

"เดี๋ยวอีฟช่วยดูแล แนะนำ และฝึกต่อด้วย แล้วผมจะติดต่อมา" สตีฟบอกแล้วเดินจากไปทันที

"เอ้อ.. ผมลืมถามอีกอย่าง แล้วความสามารถแบบผมนี้ มันสามารถโน้มน้าวจิตใจคนที่มีความสามารถพิเศษแบบนี้ได้มั้ย?" ผมหันไปถามอีฟ

"มันก็ขึ้นอยู่กับว่าสภาวะสมองและสภาพจิตใจของคนที่รับนั้นจะแข็งแกร่งพอหรือเปล่า แต่ส่วนมากแล้ว อย่าลืมนะว่าคนอย่างพวกเรามีสมองที่พัฒนาแล้ว ดังนั้น การจะโน้มน้าวจิตใจพวกเรามันยากยิ่งกว่าอะไรดี" อีฟตอบ

เออ ก็จริงแฮะ มันคงเป็นอารมณ์เหมือนเราจะไปพูดโน้มน้าวให้คนที่จิตใจแข็งแกร่งทำอะไรสักอย่างก็คงยาก แต่กลับกัน ถ้าเป็นคนที่สภาพจิตใจอ่อนแอ ก็จะถูกชักจูงและโน้มน้าวได้ง่ายนั่นเอง

########################

ผมตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา วันนี้วันอาทิตย์ เมื่อคืนหลังจากที่ผมคุยกับสตีฟเสร็จ ผมก็กลับมาทำงานต่อ ผมไม่รู้ว่าคุยกันนานเท่าไหร่ โชคดีที่ไม่มีเพื่อนร่วมงานหรือแม้แต่บอสสังเกตุที่ผมหายไป และเมื่อผมเดินผ่านโต๊ะนั้นอีกที อีฟก็ไม่อยู่แล้ว

ปิ๊งงงงงง~ เสียงไลน์ดังขึ้นจากโทรศัพท์ผมในขณะที่ผมกำลังนอนเกลือกกลิ้งบนเตียง.. ครับ เตียงที่อิงโดนอาร์ทกดมานั่นแหละ

แทน : ตื่นยัง
ต่อ : ตื่นแล้ว
แทน :  อ่าว แทนส่งไลน์หาเล่นๆ นึกว่ายังไม่ตื่น ตั้งใจว่าให้ตื่นมาอ่าน
แทน : เอ๊ะ แทนส่งไลน์มาปลุกหรือเปล่าเนี่ย
ต่อ : เปล่าจ้ะ ต่อตื่นก่อนแทนจะส่งมาอีก แต่ยังนอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงอยู่เลย
แทน : เหรอ เมื่อคืนเลิกงานกี่โมงคะ
ต่อ : น่าจะถึงบ้านตี 3 กว่านะ
แทน : โห... แล้วนี่ 8 โมงเช้า นอนต่อไปเลย ตื่นแล้วทักแทนมานะ
ต่อ : เอ้อ แล้ววันนี้เอาไง
แทน : เอาอะไรจ้ะ? >.<
ต่อ : เอาแทนอะ 555+
แทน : ไอ้บ้าา 555
ต่อ : ล้อเล่น หมายถึงที่จะไปดูหนังกันอะ ยังไปอยู่มั้ย
แทน : อื้ม จะไปกี่โมง แทนว่างทั้งวัน
ต่อ : วันนี้เราหยุด งั้นไปดูค่ำๆหน่อยมั้ย คนน้อยดี
แทน : ทำไมต้องคนน้อยยะ????
ต่อ : ไม่รู้สิ ต้องไปดูแล้วจะรู้ อิอิ
แทน : ไอ้บ้า ยังไม่ได้คิดบัญชีเลยนะ เจอกันแล้วเล่าให้ฟังด้วยว่าไปเจออิงมาเป็นยังไง
ต่อ : โอเค งั้นเดี๋ยวบ่ายๆเราโทรหานะ
แทน : โอเคจ้ะ

แล้วแทนก็ส่งสติ๊กเกอร์กลับมา

ผมไลน์คุยกับแทนไปยิ้มไป ตอนนี้ยอมรับว่า แทนทำให้ผมมีความสุขจนลืมความเจ็บปวดจากอิงไปได้บ้าง แต่ที่จริง ถ้าจะเทียบกันแล้ว ผมก็ยังรักอิงอยู่นะ ยังคิดถึงสถานที่ๆเราเคยไปกัน ยังคิดถึงร้านอาหารที่ไปกินด้วยกัน ยังคิดถึงอะไรต่างๆนาๆที่เราทำด้วยกัน ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากให้อิงกลับมาเป็นคนเดิม มาเป็นแฟนผมเหมือนเดิม แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่จะจัดการเรื่องแทนยังไงดี เพราะกับแทนแล้ว ผมก็รู้สึกดีด้วยมากๆเหมือนกัน

เอ๊ะ.. แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่า จริงๆแล้วก็อาจจะไม่ต้องเลือกใครก็ได้นี่ ผมมีความสามารถในการโน้มน้าวจิตใจนี่นา ถ้าผมโน้มน้าวใจทั้งสองคน ก็อาจจะอยู่ร่วมกันได้ ฟังดูเห็นแก่ตัว แต่ถามจริงเถอะ ผู้ชายคนไหนบ้างที่มีความสามารถนี้แล้วจะไม่ทำแบบนี้

กริ๊งงงงงงง~

โอ้ย~!! เสียงโทรศัพท์ดังลั่นจนผมที่กำลังเหม่ออยู่นั้นสะดุ้งตกใจและโทรศัพท์ตกใจหน้า  มีคนโทรเข้ามา พอดูเบอร์ที่โทรเข้า พบว่าเป็นอิง

"ฮัลโหล อิง" ผมกรอกเสียงไปในโทรศัพท์

"..... " ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา

"ฮัลโหล อิง ได้ยินมั้ย" ผมพูดกลับไปใหม่ พลางพยายามเงี่ยหูฟังเผื่อเสียงอิงจะเบา

"แอ๊ดด~ ปึ้ง!" เสียงเหมือนประตูปิดดังขึ้นมาจากโทรศัพท์

"อิง ได้ยินมั้ย อิงๆๆ" ผมพยายามเรียกซ้ำ

"อืมมมม" เสียงอิงดังมาจากโทรศัพท์

"อิงๆ ได้ยินมั้ย เราได้ยินอิงไม่ชัดเลย"

"ซี๊ดดด.. " เสียงอิงเริ่มชัดขึ้น พอเริ่มได้ยินชัด ผมเริ่มจะเอะใจอะไรบางอย่าง

............................

สวัสดีครับ คิดว่าอ่านถึงตรงนี้ หลายคนคงจะเริ่มเก็ตที่มาที่ไปแล้ว รายละเอียดเรื่องความสามารถของพระเอกผมยังใส่ไม่หมดนะครับ ใจเย็นๆ ยังมีอีกหลายเต็ป 55+

อ้อ ตอนนี้ยังไม่มีใครตอบได้เลยว่า ข้อความที่ต่อได้รับใน EP4 คืออะไร มีคนตอบถูกนิดนึง คือเลขข้างหน้าคือวันเดือนปี มีใครเดาออกมั้ยครับว่ามันคืออะไร ข้อความคือ

Don't trust anyone. 15122020/2000/1366952-10075884

ลองทายกันเล่นๆนะครับ

ปล.คอมเม้นท์เพื่ออ่านเสียงจากโทรศัพท์ ตอนจบของ EP5 นี้นะครับ




 










เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

rollingstar

อ้อออ เริ่มซับซ้อนขึ้นละนะ สนุกมากครับย อยากให้มาต่อเรื่อย ๆ เลย เป็นกำลังใจให้นะครับ

gadget world

อยากให้มาต่อเรื่อย ๆ เลย เป็นกำลังใจให้นะครับ


lame konjing


knightmoon

สงสัยอิงจะเอาคืนสินะ แบบนี้ จัดกับแฟนใหม่หรือคนใหม่กันนะ
แต่พระเอกคิดถูกแล้ว ไม่เห็นต้องเลือกเลย จัดให้หมดไปเลยดีกว่า

surasek


olemantu

เดาไปบ้างแต่ไม่ถุูกทางเลย ยิ่งมาเจอกับตัวเลขทั้งหมดด้วยต้งอยอมแพ้ รอเฉลยอย่างเดียวเลยครับผม

chon101

เริ่มสนุกแล้วละต่อมีพลังวิเศษด้วย

Taizen

อิงโดยอะไรน่ะ ต่อความสามารถยังไม่ตื่นดีจะช่วยยังไงล่ะเนี่ย

JabaWoCK

สาวเรื่องนี้หลายคนเลย พระเอกฟ้าเหลืองแน่ๆ
เพื่อนของอิงน่าจะเป็นฝ่ายตรงข้ามรึเปล่าครับ

tatong2222

ลึกลับ​ซับซ้อน​ รหัส​ลับก็แปลไม่ออก แต่ลุ้นไปกับเนื้อเรื่อง​ที่ผูกเงื่อน​ไว้ให้น่าค้นหา​ และ​มากับความเสียวของอิง

sommchai

อิงโทรมาตอนโดนเอาหรือนี่ หรือใครแอบใช้โทร

Oceankings1234

น้องอิงโทรมาให้ฟังเสียงระหว่างโดนจัดหนัก

Pj akkan

อิงโดนใครจัดอีกล่ะทีนี้ ส่วนอีฟก็น่าสนใจอยู่น่ะแต่คงยากหน่อย