ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_llOUllnJllUUllSJllSJ

จ้าวโลก EP.6 (NTR/Harlem/Super Power)

เริ่มโดย llOUllnJllUUllSJllSJ, กุมภาพันธ์ 27, 2021, 05:41:52 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

llOUllnJllUUllSJllSJ

สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิก xonly8 อ่านเต็มได้ที่ https://fictionlog.co/b/6053b2ece9cbb4001caf362f

เมื่อหลายร้อยหลายพันปีก่อน มนุษย์เคยบูชาไฟ เพราะเราไม่รู้ว่าไฟคืออะไร และเกิดขึ้นได้ยังไง มนุษย์เคยบูชาดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เพราะไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร มนุษย์เคยนับถือและหวั่นเกรงฟ้าผ่า เพราะเข้าใจว่า มันคือความพิโรธจากเทพเจ้า ฯลฯ ถ้าสังเกตุดีๆ ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินั้น สิ่งเดียวที่เรากลัวมาตลอด คือ 'ความไม่รู้' นั่นเอง และเมื่อไหร่ที่เรารู้และสามารถอธิบายกลไกของมันได้ สิ่งนั้นจะไม่น่ากลัว และจะกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือของมนุษย์เสมอ เช่นเดียวกับที่มนุษย์ใช้ไฟมาทำอาหาร ใช้แสงจากดวงอาทิตย์ให้ความร้อน ใช้การเคลื่อนตัวของดวงจันทร์เพื่อคำนวนทางดาราศาสตร์ ใช้หลักการของฟ้าผ่าเพื่อสร้างไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งใช้ลมเพื่อสร้างเครื่องบิน ฯลฯ

พลังพิเศษของผมก็เช่นกัน ก่อนนั้นมนุษย์ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของมัน ได้แต่สงสัยว่า ทำไมมนุษย์บางคนนั้นเกิดมาแข็งแกร่งกว่าคนอื่น คิดเร็วกว่าคนอื่น ฉลาดกว่าคนอื่น เก่งกว่าคนอื่น วันนี้ ผมก็ได้รู้แล้วว่า ทั้งหมดนั้นมาจากการทำงานของสมองที่ไม่เท่ากันของแต่ละคนเท่านั้นเอง

ก๊อกกกๆๆๆ~ เสียงเคาะประตูห้องผมดังเป็นจังหวะ ผมที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จหลังวางสายโทรศัพท์จากอิง ก็เดินไปที่ประตูด้วยสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว คงเป็นนิติฯของคอนโดนี้มาติดต่ออะไรมั้ง ปกติมักจะมาติดต่อที่คอนโดในวันเสาร์อาทิตย์ที่ลูกบ้านอยู่

พอมองลอดเข้าไปในตาแมวที่ประตู กลับกลายเป็นอีฟ ที่จ้องกลับมาผ่านตาแมวราวกับจะรู้ว่าผมกำลังมองเธออยู่เช่นกัน

"เอ้อ อีฟ ว่าไงครับ" ผมเปิดประตูครึ่งนึงพลางชะเง้อหน้าไปถาม

"ใจคอจะไม่เชิญเข้าห้องหน่อยเหรอ" อีฟไม่รอให้ผมตอบ แต่ผลักประตูแล้วเดินเข้ามาในห้องอย่างถือวิสาสะ

"อื้อหือ แฟนทิ้งไม่กี่วัน ห้องรกเชียวนะ" อีฟเข้ามายืนอยู่ในห้องพลางหยุดยืนกวาดสายตาไปรอบๆ ดูท่าทางเธอจะรู้ทุกเรื่องของผมจริงๆ คงไม่มีประโยชน์ที่ผมจะปิดบังอะไร

"ห้องชายโสดก็แบบนี้แหละ ถ้ามันดูสกปรกมากนักละก็ มาเก็บห้องให้สิ" ผมปิดประตูพลางพูดประชดกึ่งหยอกเล็กๆ ก็แหม เจอกันครั้งที่สอง แถมยังไม่ได้สนิทกันอะไรขนาดนั้น อยู่ดีๆมาวิจารณ์ห้องคนอื่นเฉยเลย แถมผมก็ไม่ได้เชิญเข้าห้องด้วยนะ

"แน่ใจเหรอคะพี่ต่อ ที่ว่าชายโสดหนะ ได้ข่าวว่าวันนี้มีนัดตอนค่ำๆไม่ใช่เหรอ" อีฟพลิกตัวหันมาพูดกับผมยิ้มๆ แบบหมั่นไส้ พร้อมเน้นคำว่าชายโสด

"เอ้อ ว่าแต่ มานี่มีธุระอะไร แล้วทำไมรู้ว่าห้องผมอยู่ไหน" ผมเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง

"ใจคอไม่คิดจะไม่แต่งตัวก่อนเหรอ จะยืนใส่ผ้าขนหนูผืนเดียวคุยกับผู้หญิงสวยที่เพิ่งเจอไม่กี่ครั้งสองต่อสองในห้องเนี่ยนะ" สารภาพตามตรงว่า ผมเริ่มจะหมั่นไส้ยัยฝรั่งนี่แล้ว

ในตอนแรกที่เจอกันเมื่อคืนนั้น คงเป็นเพราะแสงไฟสลัวๆ และความมึนงงกับข้อมูลใหม่ที่ผมได้รับ ทำให้ผมไม่ได้เพ่งพินิจอีฟอย่างถี่ถ้วน เลยเข้าใจว่าเป็นฝรั่งสาว แต่วันนี้ผมเพิ่งเห็นชัดๆว่า จริงๆแล้วเธอก็ไม่ได้ออกไปทางฝรั่งซะทีเดียว ดูเหมือนจะเป็นลูกครึ่งไทยกับประเทศทางตะวันตกซะมากกว่า

"ใช่ค่ะ อีฟลูกครึ่งไทยสวิสฯ" อีฟตอบสิ่งที่ผมคิดขึ้นมา

เชี่ยยยยย~ น่ากลัวสัสๆ ผู้หญิงที่อ่านใจเราได้เนี่ย

"มาอ่านใจคนอื่นมั่วซั่วแบบนี้ได้ไง" ผมโวยวายตอบกลับไป

"เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า พลังวิเศษอ่านใจคนมันไม่มีในโลกหรอกนะคะ นี่โลกแห่งความจริง ไม่ใช่ดิสนีย์ อีฟแค่อ่านจากแววตา สีหน้า ลักษณะท่าทางที่พี่แสดงออก แล้ววิเคราะห์ความน่าจะเป็นเท่านั้นเอง และท่าทางพี่มันแสดงออกชัดเจนว่าไม่เคยเห็นผู้หญิงสวยแบบอีฟ ดูง่ายจะตายไป" อีฟลอยหน้าลอยตาอธิบายแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำที่ยังไม่เปิดมาดื่มโดยไม่ถามเจ้าของห้องซักคำ

"จ้ะ ลืมบอกไป ทำตัวตามสบายให้เหมือนบ้านตัวเองเลยนะ ผมขออนุญาตไปแต่งตัวก่อนละ" ผมพูดประชดอย่างหมั่นไส้ แล้วเดินไปแต่งตัวที่ห้องนอน โชคดีที่คอนโดผมมีมุมวางโซฟากับทีวีเล็กๆแยกจากห้องนอน เลยพอมีพื้นที่ส่วนตัวให้ผมได้แต่งตัวบ้าง

"ตกลงยังไม่บอกเลย มาหาผมที่นี่มีธุระอะไร" ผมแต่งตัวเสร็จก็เดินออกมาจากห้องพร้อมกับถามอีฟ

"เลิกเรียกตัวเองว่าผมซักที ฟังดูเป็นทางการยังไงก็ไม่รู้" อีฟบอกพลางมองหน้าผม

"เอ้า งั้นเอาใหม่ มาหาพี่ที่นี่มีธุระอะไร" ผมกอดอกยืนพิงกำแพงถามอีฟกลับไปใหม่

"ค่อยฟังรื่นหูหน่อย วันนี้อีฟจะมาแนะนำเรื่องความสามารถของพี่ แล้วก็จะช่วยเริ่มต้นฝึกเล็กๆน้อยๆ ว่าแต่ใจคอจะใส่กางเกงเตะบอลขาสั้นเสื้อยืดตัวนี้ไปข้างนอกจริงๆเหรอ?" อีฟอธิบายจุดประสงค์ของการมาของเธอพลาง

"อ่าว.. แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก แล้วจะไปไหน ทำไมต้องให้แต่งตัวดีด้วย พี่ก็แต่งตัวแบบนี้อยู่บ้านทุกวัน" ผมตอบพลางเริ่มจะหมั่นไส้ยัยอีฟขึ้นจริงๆจังๆละ

"พี่ต่อนี่นะ ไม่มีเซ้นส์เลย เห็นอีฟแต่งตัวสวยซะขนาดนี้ อีฟคงไม่มาอยู่ในห้องกับพี่สองต่อสองทั้งวันหรอก มีไหวพริบหน่อยสิ ตกลงมีความสามารถทางสมองจริงๆมั้ยเนี่ย?" อีฟเอียงคอพูดด้วยน้ำเสียงกวนประสาท




ผมก็ลืมสังเกตุการแต่งตัวของอีฟจริงๆนั่นแหละ ว่าตอนนี้อีฟใส่กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ เสื้อยืดที่แม้จะดูเรียบง่ายแต่ก็ดูดีไม่น่าเชื่อ ซึ่งแม้ว่าอีฟจะไม่ได้สูงเท่าแทน แต่ความเป็นหน้าฝรั่งปนไทย ทำให้เธอดูสวยสง่าไปอีกแบบ และแน่นอน ด้วยการแต่งตัวแบบนี้ เธอคงไม่ได้ตั้งใจมาสอนอะไรผมที่ห้องแน่ๆ

เดี๋ยวนะ พอคิดว่าสอนที่ห้องแล้ว ผมชักจะอยากกดยัยอีฟซะแล้วสิ ไหนๆก็มีความสามารถในการชี้นำคนแล้ว ถ้าผมป้อนอารมณ์เปลี่ยวเข้าไปในสมองอีฟ แทนที่เราจะไปฝึกอะไรข้างนอกนั่น อาจจะกลายเป็นฝึกที่ห้องนอนผมแทนก็ได้

"ลืมไปแล้วใช่มั้ย ที่เมื่อคืนอีฟบอกว่า ส่วนมากคนที่มีความสามารถพิเศษอย่างเราๆมักจะควบคุมการทำงานของสมองได้ดี มันทำให้ความสามารถที่มีผลต่อจิตใจ/ความคิด มันทำอะไรพวกเราไม่ได้ แต่ถ้ามันยังยากเกินที่สมองพี่จะเข้าใจ อีฟจะแปลง่ายๆสั้นๆว่า ไอ้ความคิดอุบาทว์ของพี่ที่เพิ่งคิดกับอีฟเมื่อกี๊หนะ มันใช้ไม่ได้ผลกับอีฟหรอกนะ"

"นี่จะอ่านความคิดพี่อีกนานมั้ยเนี่ย" ผมส่ายหัวอย่างเซ็งๆแล้วเดินกลับเข้าไปเปลี่ยนชุดพร้อมกับเสียงอีฟที่ดังไล่หลังมา

"บอกแล้วไงว่าการอ่านความคิดมันไม่มีจริง พี่มาจากดิสนีย์แลนด์จริงๆรึไงเนี่ย"  ครับ นั่นแหละอีฟ สาวลูกครึ่งที่กวนตีนที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอแล้ว

ผมใช้เวลาไม่นานจนกระทั่งแต่งตัวใหม่เรียบร้อย เสื้อยืดกางเกงยีนส์ง่ายๆนั่นแหละ ตั้งใจว่าอาจจะเลยไปเจอแทนด้วยเลย และเมื่อทุกอย่างพร้อม ผมกับอีฟก็เดินออกมาจากห้องและตรงไปที่ลิฟท์คอนโด แต่ยังไม่ทันจะเดินผ่านประตูคอนโดห้องข้างๆ อีฟก็หยิบกุญแจไขประตูห้องแล้วหันมาพูดกับผม

"รออีฟแปปนะคะ อีฟเอาของก่อน"

"ห๊ะ? อีฟอยู่ห้องข้างๆพี่เหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่?" ผมถามด้วยความงง

"สตีฟเขาบอกตั้งแต่เมื่อคืนแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าพวกเราจับตาดูพี่มาตั้งแต่เด็ก" เธอหันมายิ้มเล็กๆพลางเดินเข้าไปหยิบถุงที่วางอยู่ใกล้ๆประตู

ผมไม่ทันจะได้กวาดสายตาสำรวจอะไรของเธอมาก เลเอ้าท์เฟอร์นิเจอร์ก็คล้ายๆห้องผม ทุกอย่างก็ดูปกติ ไม่ได้มีเครื่องไม้เครื่องมือดักฟัง คอมพิวเตอร์หรือวิทยุเยอะๆแบบในหนังสายลับที่ทำให้รู้สึกเหมือนว่าเธอมาสอดแนมประกบผมตลอด 24 ชั่วโมงอะไรประมาณนั้น

"อ่ะ พี่ อันนี้เป็นของที่สตีฟฝากให้ มีมือถือ พี่ไม่ต้องทำอะไร แค่เปิดเครื่องชาร์จแบตทุกวันก็พอ สตีฟจะติดต่อพี่ทางนั้น แล้วเร้าเตอร์ไวไฟ เปลี่ยนมาใช้อันนี้ แล้วก็สมุดคู่มือระเบียบปฏิบัติและอธิบายอะไรต่างๆนาๆเบื้องต้นเท่าที่พี่ควรจะรู้" อีฟยื่นถุงขนาดกลางให้ผมพร้อมกับปิดประตู

"ทำไมต้องให้พี่เปลี่ยนมาใช้เร้าเตอร์ไวไฟอันนี้ จะดักแพ็คเกจการใช้อินเตอร์เน็ตพี่เหรอ?" โชคดีที่ผมเรียนมาด้านนี้โดยตรง เลยเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร

"ก็รู้นี่ ดี จะได้ไม่ต้องอธิบาย" อีฟตอบพลางเดินนำหน้าไปที่ลิฟท์

"เอ้อ อีฟ พี่ถามอะไรหน่อยสิ" ผมถามอีฟในระหว่างที่เรารอลิฟท์

"ว่าไงคะ"

"เรื่องอิง คือ.. พี่อยากรู้ว่าใครทำให้อิงเป็นแบบนี้ แล้วพี่ต้องทำยังไงให้อิงกลับมาเป็นคนเดิม ตอนนี้พี่สงสารอิงมาก ก่อนหน้านี้อิงเขาไม่ใช่คนแบบนี้" ผมถามอีฟไปด้วยความเป็นห่วงอิง โดยเฉพาะเมื่อระแวงว่าผมอาจจะเผลอไปทำให้อิงกลายเป็นคนแบบนี้หรือเปล่า ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเป็นห่วงอิงขึ้นมาจริงๆ แม้ว่าตอนนี้ผมจะรู้สึกดีกับแทนมากเหมือนกันก็ตาม แต่มันคงเร็วไปที่จะทำเป็นลืมความทรงจำดีๆระหว่างผมกับอิง 3 ปีที่ผ่านมา

"รายละเอียดเรื่องนั้นอีฟไม่ได้อยู่ในระดับที่จะรับรู้ได้ค่ะ ต้องถามสตีฟเอง แต่พี่ต่อคะ ถ้าอิงเค้าบอกให้พี่กระโดดจากคอนโดชั้นนี้ ชั้น 15 ลงไปหาอิงข้างล่าง พี่จะกระโดดมั้ยคะ? ตอบตามหลักความเป็นจริงนะคะ ไม่เอาหลักมโนแบบพระเอกนิยายน้ำเน่าพิสูจน์รัก" อีฟหันมาถามผม

"เอ่อ.. คงไม่กระโดด" ผมตอบกลับไป

"แล้วถ้าอิงบอกให้พี่ลงลิฟท์ไปหาอิงข้างล่าง พี่จะลงมั้ยคะ?" อีฟย้อนถามกลับมา

"แน่นอนสิ" ผมตอบทันทีแทบไม่ต้องคิด

"นั่นแหละค่ะ สมองคนเราก็ทำงานแบบนั้น คนเราจะไม่ถูกชักจูงอะไรง่ายๆหรอกนะ ถ้าในจิตใต้สำนึกหรือส่วนลึกของจิตใจไม่ได้มีความคิดอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว เราไปเดินห้างเจอเซลล์ขายแอร์ ไม่ว่าเซลล์คนนั้นจะชักจูงเราให้ซื้อยังไง ถ้าลึกๆในใจเราไม่ได้อยากได้แอร์ใหม่อยู่แล้ว ยังไงเราก็ไม่ซื้อหรอกค่ะ คนเราเลือกจะเชื่อในสิ่งที่เขาต้องการจะเชื่อ แม้ว่าเขาจะคิดว่านั่นไม่ใช่ความเชื่อเขา ไม่ใช่ตัวตนเขา แต่เขาหนีจิตใต้สำนึกเขาเองไม่ได้หรอกค่ะ" อีฟอธิบายมา

"หมายความว่า.. ต่อให้ไม่มีใครมาโน้มน้าวจิตใจอิง แต่จิตใต้สำนึกอิงก็เป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว และวันนึงเขาอาจจะแสดงออกด้านนี้ออกมาได้เองโดยไม่ต้องมีใครกระตุ้นเลยเหรอ" ผมถามด้วยความตะลึง เพราะผมไม่คิดว่าอิงจะเป็นคนแบบนั้น อิงที่ผมรู้จักนั้นน่ารัก อ่อนหวาน เรียบร้อย อยู่ในครอบครัวคนจีนที่เต็มไปด้วยกฏระเบียบข้อบังคับ

"จิตใต้สำนึกเรามักจะมีอะไรซ่อนไว้ลึกๆกันทุกคนแหละ แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะแสดงมันออกมา สำหรับบางคน.. อาจจะไม่เคยแสดงออกมาทั้งชีวิตเลยก็ได้" อีฟพูดยิ้มๆแล้วก็เดินเข้าลิฟท์ที่เปิดออกนำหน้าผมไป


##############


อีฟขับรถพาผมมางานแสดงสินค้าแห่งหนึ่งย่านบางนา ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นักว่าที่นี่จะเป็นที่ๆผมใช้ฝึกความสามารถของผมได้ยังไง แต่ครั้นจะถามอีฟไปก็คงได้รับคำตอบกวนๆกลับมา ผมเลยเลือกที่จะเงียบและรอให้อีฟเป็นคนอธิบายเองดีกว่า ซึ่งก็ไม่นาน เพราะในระหว่างมื้อเที่ยงที่เรานั่งกินกันในฟู้ดคอร์ทง่ายๆนั้น อีฟก็เริ่มต้นอธิบายให้ผมฟัง

"ตอนนี้เรารู้ว่าพี่มีความสามารถในการโน้มน้าวจิตใจแล้ว ที่จริง ไม่ใช่ระดับเริ่มต้น มันคือระดับสูงซะด้วยซ้ำ สังเกตุจากที่พี่ทำให้เพื่อนร่วมงานพี่ออกไปกับลูกค้าที่ลานจอดรถ อันนั้นเพราะสมองของพี่ป้อนความคิดไปให้เพื่อนร่วมงานพี่ จนรู้สึกใจอ่อนและยอมออกไปกับลูกค้า..

"หรือตอนที่พี่โน้มน้าวจิตใจเพื่อนพี่ที่มหาลัยให้ชวนพี่ไปค้างที่คอนโด หรือตอนที่พี่คิดให้อิงเขาไป.. เอ่อ.. ทำตัวแบบนั้น.." อีฟร่ายพฤติกรรมแต่ละอย่างของผมขึ้นมาจนผมเริ่มละอายใจจนรีบขัดจังหวะ

"พอๆๆๆๆ รู้แล้วน่า ไม่ต้องยกตัวอย่างเยอะก็ได้" ผมโบกไม้โบกมือให้เธอข้ามการสาธยายวีรกรรมของผม

"ใช้พลังแต่ละอย่างนี่ ลามกจริงๆ" อีฟมองผมด้วยสายตาเย็นชาพลางส่ายหน้าเบาๆ

"ใครจะห้ามจิตใต้สำนึกได้ละเนอะ แหะๆ" ผมเกาหัวแล้วพยายามแก้ตัวด้วยการย้อนคำกลับไป โดยลืมไปว่า มันเหมือนด่าตัวเองเลยนี่หว่า

"แสดงว่าจิตใต้สำนึกพี่มีแต่เรื่องพวกนี้สิท่า.." อีฟเบะปากมองผมด้วยความรังเกียจ นั่นไง ไม่น่าเลย เข้าตัวเฉย

"อ่ะต่อๆ แล้วยังไงต่อ" ผมพยายามเปลี่ยนเรื่อง

"ส่วนที่พี่ทำให้คนอ้วกข้างถนน หรือเพื่อนพี่ท้องเสียได้ นั่นเพราะคำสั่งจากสมองพี่ที่ส่งไปหาคนอื่น มันทำให้สมองของคนๆนั้นสั่งการไปที่ร่างกายของเขาได้ เช่นผู้หญิงที่อ้วก สมองของเธอรับคำสั่งจากสมองพี่ แล้วแปลงชุดข้อมูลนั้นสั่งให้อวัยวะในร่างกายเช่น กระเพาะอาหาร คอ อะไรก็ไม่รู้แหละที่ทำให้อ้วกหนะ หรือเพื่อนพี่ที่ท้องเสียง ก็หลักการเดียวกัน"

"โอเค เข้าใจแล้ว แล้ววันนี้เราจะฝึกอะไร และมันจะช่วยอะไรได้" ผมเริ่มเข้าใจรูปแบบการทำงานของความสามารถผมแล้ว เลยถามกลับ

"อีฟไม่มีความสามารถอย่างพี่ แต่อีฟมีประสาทการรับรู้และวิเคราะห์ที่ดีมาก อีฟจะสามารถจับความรู้สึก ท่าทาง แววตา และเอาข้อมูลทั้งหมดมาประมวลผลความน่าจะเป็นของสภาพจิตใจคนได้ ดังนั้น วันนี้อีฟจะมาช่วยให้พี่ลองฝึกการควบคุมจิตใจคน โดยเริ่มต้นจากการโน้มน้าวจิตใจคนที่มีแนวโน้มก่อน เราถึงมางานนี้ เพราะคนส่วนมากที่มางานนี้ มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าอยู่แล้ว แบบนี้จะง่ายกับเด็กเพิ่งอย่างพี่หน่อย" ประโยคสุดท้ายของอีฟนี่เหมือนแอบเยาะเย้ยผมเบาๆ

"จ้ะ แม่คนเก่ง แสดงว่าด้วยการวิเคราะห์สภาพจิตใจจากอีฟ และการโน้มน้าวจิตใจของพี่ เราน่าจะสามารถทำให้คนทำตามที่เราต้องการได้ ในที่นี้คือ ปิดการขายอะไรงี้เหรอ" ผมเริ่มเข้าใจวิธีการฝึกแล้ว

"ถูกต้องค่ะ"

"งั้นเราเริ่มกันเลยมั้ย" ผมลุกขึ้นพลางชวนอีฟเดินในงานเพื่อฝึกการโน้มน้าวจิตใจของผม

##############

งานนี้เป็นงานแสดงสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าลดราคา แน่นอนว่าคนก็เยอะเป็นปกติ สินค้ามีตั้งแต่ทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า มือถือ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ เรียกว่าอะไรเสียบปลั๊กใช้ในบ้านก็ได้ก็มีขายที่นี่หมด

เราใช้เวลาไม่นานในการเลือกเป้าหมายรายแรก โดยอีฟสะกดผมเบาๆแล้วโบ้ยปากไปทางสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ดูเหมือนกำลังชั่งใจเลือกแอร์สองรุ่นอยู่

อีฟหันมาจูงมือผมเพื่อจะพาเดินไปหน้าบูธนั้น และทันทีที่มือเราจับกัน ความรู้สึกแรกของผมคือ ความนุ่มของมือที่เรียวสวย แต่ยังไม่ทันจะคิดอะไรต่อจากนั้น อีฟก็หันมามองตาเขียวแล้วสะบัดมือหนีไปทั้งๆที่เป็นคนเอามือมาจับผมเอง เออ.. ผมลืมไปว่าอีฟเขาสัมผัสได้ว่าผมรู้สึกยังไง คงจะจับอาการตื่นเต้นของผมตอนจับมือได้สินะ

แล้วอีฟก็เดินไปยืนข้างๆสองสามีภรรยาคู่นั้นแล้วทำเป็นสนใจแอร์รุ่นอื่นๆอยู่ แล้วหันมากระซิบผม

"ไหนลองโน้มน้าวให้สามีเขาซื้อแอร์รุ่นแพงที่สุดของร้านสิ"

แน่นอน แอร์รุ่นที่แพงที่สุดไม่ใช่สองรุ่นนั้นที่ทั้งคู่กำลังดูอยู่ ผมเริ่มต้นเหล่ไปทางคนเป็นสามีแล้วเริ่มคิดในใจว่า 'ไหนๆจะซื้อทั้งที ซื้อให้คุ้มแล้วใช้ได้นานๆดีกว่ามั้ย เอาอันที่แพงที่สุด แต่ใช้ได้ยาว 10 ปี ก็คุ้มอยู่นะ'

ผมคิดเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล สองสามีภรรยายังคงยืนคุยกันว่าจะเอาหนึ่งในสองรุ่นนั้นอันไหนดี แล้วอีฟก็เอียงคอมากระซิบผมอีกว่า

"ที่ตอนนี้ไม่มีปฏิกิริยาอะไร เพราะสภาพจิตใจของคนเป็นสามีก็กำลังโดนภรรยาเขาป้อนข้อมูลทางคำพูดเหมือนกัน แสดงว่าแบบนี้ ภรรยาเขามีอิทธิพลทางความคิดมากกว่าสัญญาณสมองจากพี่ พี่ต้องตั้งใจมากกว่านี้ ให้เอาชนะคำพูดของภรรยาเขาให้ได้"

หลังจากอีฟร่ายยาวเสร็จ ผมก็พยักหน้าโดยไม่พูดอะไร แล้วก็มองไปทางสามีใหม่ รอบนี้ผมเพ่งสมาธิและโฟกัสที่สามีคนเดียว แล้วคิดในใจว่า

'เอาอันที่แพงที่สุดดีกว่า ได้รุ่นล่าสุดที่ลดราคา คุ้มที่สุดแล้ว' ผมคิดในใจซ้ำไปซ้ำมา จนกระทั่งในที่สุด คนเป็นสามีก็พูดขึ้นว่า

"ขอดูรุ่นที่แพงที่สุดหน่อยครับ"

อีฟหันมายิ้มกับผมแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แล้วเราทั้งคู่ก็หันออกจากร้านนั้น

"เราไม่อยู่รอดูเหรอ ว่าเขาเลือกรุ่นที่แพงที่สุดแล้ว" ผมถามอีฟไปอย่างงงๆเพราะแค่คนเป็นสามีขอดูแอร์รุ่นที่แพงที่สุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะซื้อนี่

"ลืมไปแล้วเหรอ ว่าอีฟสัมผัสเขาได้ อีฟรู้ว่าเขาตัดสินใจแล้ว เขาเอาอันที่แพงที่สุดนั่นแหะ" เธอบอกพลางเดินนำผมไปโดยไม่หันกลับไปดู กลับเป็นผมเองที่กลับไปเหลียวดูที่บูธนั้น ซึ่งก็จริง ดูเหมือนคนเป็นสามีจะไม่ได้ใช้เวลาในการตัดสินใจอะไรมาก เพราะท่าทางของพนักงานและสามารถภรรยาคู่นั้นที่จ่ายเงิน ทำให้ผมรู้ว่า ทั้งคู่เพิ่งตกลงใจซื้อแอร์ที่แพงที่สุดของร้านไป

เราทั้งคู่ใช้เวลาอีกพักใหญ่ในงานนั้น และฝึกใช้พลังโน้มน้าวจิตใจให้ลูกค้าหลายคนตัดสินใจซื้อของ หรือไม่ก็โน้มน้าวจิตใจให้ร้านราคาพิเศษเพิ่มให้กับลูกค้าบางคน แล้วอีฟก็หันมาพูดกับผมว่า

"จากเท่าที่ลองทดลองมา เรื่องการโน้มน้าวจิตใจ พี่แทบจะไม่ต้องฝึกอะไรแล้วแหละ ที่เหลือพี่แค่ไปฝึกกับตัวเอง เพื่อดูว่าใครที่มีสภาพจิตใจที่อยู่สภาวะที่พี่จะโน้มน้าวได้ อย่าลืมนะ ว่าไม่ใช่ทุกคนที่พี่จะเปลี่ยนความคิดได้ ต้องเป็นคนที่สภาพจิตใจเปิดรับด้วย ตอนนี้มันอาจจะดูง่าย เพราะอีฟใช้ความสามารถของอีฟเลือกเป้าให้พี่ก่อนแล้ว แต่ในโลกของความเป็นจริง พี่น่าจะไม่รู้หรอกว่าคนไหนสภาพจิตใจเปิดมากน้อยแค่ไหน"

ผมพยักหน้าหงึกๆด้วยความเข้าใจ ที่จริงมันก็ไม่ได้ยากนะ อาจจะเป็นเพราะอีฟเลือกคนที่มีแนวโน้มจะตัดสินใจมาให้ผมตั้งแต่แรกแล้วจริงๆนั่นแหละ อะไรๆเลยดูเหมือนง่าย

"ขั้นต่อไป เราจะลองฝึกรูปแบบการใช้พลังจากสมองพี่ ส่งไปที่สมองเป้าหมาย เพื่อให้สมองของเป้าหมายสั่งการคนๆนั้นทางกายภาพอีกที เหมือนที่ทำให้ผู้หญิงคนนั้นอ้วก หรือเพื่อนที่ท้องเสียนั่นแหละ" อีฟบอกแล้วเดินนำหน้าผมไปอีกฟากของงาน

"แล้วพี่ต้องทำยังไงบ้าง" ผมถามกลับ

"ก็ทำเหมือนเดิม แต่คราวนี้ให้คิดไปเชิงกายภาพมากขึ้น อีฟไม่แน่ใจหรอกว่าทำยังไง เพราะอีฟไม่ได้มีความสามารถนี้ แต่พี่ทำเหมือนกับตอนที่ทำกับผู้หญิงคนนั้นหรือเพื่อนพี่ก็พอ" อีฟบอกพลางหยุดไม่ไกลจากประตูทางเข้าเท่าไหร่นัก และตรงนั้นมีพนักงานเก็บตั๋ว 3-4 คนยืนอยู่

"พี่ลองทำให้น้องพนักงานคนนั้นขาอ่อนจนล้มซิ เอาแค่ขาอ่อนและเสียหลักล้มนะ อย่าทำร้ายเขา" อีฟโบ้ยไปทางพนักงานที่ยืนอยู่

ผมเริ่มต้นเพ่งสมาธิไปที่เด็กหนุ่มพนักงานเก็บตั๋วคนหนึ่งที่ผมเลือกเป็นเป้าหมาย พยายามคิดในใจว่า ขาอ่อนแรงๆ หรือไม่ก็ขาหมดแรงๆ ซ้ำไปซ้ำมา แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่เห็นผลใดๆ จนกระทั่งมีเสียงดังมาจากข้างหลังผม

"อ่าวต่อ มาซื้อของเหรอ" เสียงเดียร์ดังมาจากข้างหลังผม ข้างๆเธอคือชายร่างผอมสักที่แขน คอห้อยสร้อยทอง ลักษณะการแต่งตัวเหมือนพวกทรงเอ(เย่นต์ค้ายา) หน่อยๆ ผมเดาว่าน่าจะเป็นแฟนเธอ

"อ้อ ใช่ มาเดินดูของหน่อยอะ แล้วเดียร์มาทำอะไร" ผมถามกลับ

"ว่าจะมาซื้อของเหมือนกัน เอ้อ นี่แบงค์ แฟนเดียร์เอง แบงค์ นี่ต่อ เพื่อนที่ร้าน" เดียร์หันไปแนะนำแบงค์ให้ผมรู้จัก

"หวัดดีครับ" ผมทักทายไป แต่เป็นแบงค์ที่มองผมนิ่งๆเหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่าง ไม่ตอบอะไรกลับ เล่นเอาซะผมประหม่าไปเลย และดูเหมือนเดียร์จะสังเกตุถึงความอึมครึมได้ เลยเปลี่ยนเรื่อง

"แล้วต่อมากับใครเหรอ" เดียร์ถามพลางมองไปที่อีฟ

"อ๋อ อีฟ เพื่อน เอ้ย! น้องสาว เอ้ย! น้องที่รู้จักเราเอง อีฟ นี่เดียร์ เพื่อนพี่ที่ทำงาน" ผมไม่รู้จะตอบว่าไง จะบอกว่า อ๋อ นี่คนจากองค์กรลับงี้เหรอ เลยเฉไฉไปว่าเป็นน้องที่รู้จัก ซึ่งนั่นก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะคิดได้ ณ เวลานั้นแล้ว

"สวัสดีค่ะพี่เดียร์ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ" อีฟยิ้มพลางสวัสดีเดียร์

"เอ้ยย ไม่ต้องสวัสดี อายุห่างกันไม่เยอะ แหม.. น่ารักนะเนี่ย ร้ายนะต่อ" เดียร์รีบไม่รับไหว้อีฟ และประโยคสุดท้ายก็หันมาแซวผม

"เอ้ย ไม่ใช่ๆ นี่น้องจริงๆ" ผมรีบปฏิเสธกลับไปพัลวัน

"จ้าๆๆ เดียร์ไปละ พรุ่งนี้เจอกันที่ร้านนะต่อ" เดียร์ยิ้มอย่างมีเลศนัยพลางโบกมือเราสองคนแล้วจับมือแบงค์เดินไป แต่เหมือนแบงค์จะแสดงออกอย่างเต็มที่ถึงความไม่ชอบใจผม เพราะแบงค์ยังคงมองผมอย่างนักเลง เหมือนพยายามจะแสดงให้รู้ว่า เดียร์เป็นแฟนเขา และด้วยความหมั่นไส้ของผม เลยเผลอคิดในใจไปว่า 'เก๊กดีนัก ฟอร์มเยอะนะมึง ขอให้แม่งขาหมดแรงหน้าคว่ำต่ำหน้าคน'

ยังไม่ทันชั่วอึดใจ อยู่ดีๆแบงค์ก็ทรุดลงหน้าคว่ำลงไปกับพื้น ท่ามกลางความตกอกตกใจของเดียร์

"เห้ยย แบงค์ เป็นอะไรหรือเปล่า" โชคดีที่เดียร์จูงมือแบงค์ไว้พอดี ทำให้แบงค์ไม่ถึงกับล้มหน้ากระแทกพื้น แต่อย่างน้อยก็เสียฟอร์มไปเลยแหละ

"ไม่เป็นไรๆๆ" เป็นคำแรกที่ผมได้ยินจากปากแบงค์ที่พยายามรีบลุกขึ้นทำตัวปกติเหมือนอายๆ แล้วรีบจูงมือเดียร์เดินออกจากตรงนั้นทันทีพร้อมกับที่เดียร์หันมาโบกมือบ๊ายบายเราสองคน

ผมกับอีฟมองหน้ากัน แล้วอีฟก็ยิ้มมุมปากแล้วพูดว่า

"นั่นแหละ ทำแบบนั้นแหละ"

การฝึกของเราเป็นไปต่อเนื่อง ผมเริ่มเคยชินกับการควบคุมความคิด จนสามารถควบคุมได้แล้ว ว่าจะใช้พลังสมองของตัวเองตอนไหน และตอนไหนที่ไม่ใช้ นี่คือความปลอดภัยขั้นพื้นฐานที่สุด ก่อนที่จะไปสู่ขั้นอื่นๆของการใช้ความสามารถสมอง

"โอเค วันนี้พอแค่นี้ นี่ถือว่าพี่เรียนรู้เร็วมากๆนะ ตอนนี้พี่สามารถควบคุมจิตใจคนที่มีแนวโน้มจะเปิดรับคำสั่งพี่แล้ว ซึ่งบางคนพี่จะป้อนคำสั่งได้แค่จิตใจ ในขณะที่บางคน คำสั่งที่พี่ป้อนอาจจะมีผลต่อร่างกายของเขาด้วย อันนี้เป็นหน้าที่พี่จะต้องไปฝึกให้ชินเอง" อีฟบอกในระหว่างที่ขับรถพาผมมาส่งที่ห้างที่ผมเพิ่งนัดเจอกับแทน

"แล้วพี่จะไปฝึกที่ไหน ความสามารถแบบนี้ ใช้มากๆไปคนอื่นก็เดือดร้อนสิ" ผมหันไปบอกอีฟ

"อย่าลืมหลักนิยมขององค์กรสิคะ พวกเราเหนือกว่ามนุษย์ปกตินะ ถ้าเปรียบเทียบคือเรานี่แหละอยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร เราเป็นนักล่า ไม่ใช่ผู้ถูกล่า ถ้ากวางจะโดนสิงโตกิน คิดว่ากวางจะปฏิเสธอะไรได้เหรอ พี่จะใช้พลังพี่ไปทำอะไรก็ทำ จะเรื่องหื่นๆอะไรยังไงก็ตามใจ แต่อย่าประเจิดประเจ้อ อย่าสุดโต่ง และเตรียมพร้อมเอาไว้ด้วย" ในแว๊บหนึ่งที่อีฟร่ายยาวมานั้น ผมรู้สึกขนลุกกับสิ่งที่อีฟพูด

"เตรียมพร้อมสำหรับอะไรเหรอ..?" ผมหันไปถามอีฟที่จอดรถข้างทางหน้าห้างที่จะส่งผมลงพอดี

"เดี๋ยวถึงเวลาพี่จะรู้เอง แล้วเจอกันค่ะพี่" อีฟบอกพลางปลดล็อกประตูรถ เป็นสัญญาณให้ผมรู้ว่าต้องลงจากรถแล้ว..


###################


อีกครึ่งชั่วโมงแทนจะมาเจอผมที่ห้างแห่งนี้ นั่นทำให้ผมมีเวลาเตร็ดเตร่เดินเล่นไปมารอ แม้ว่าผมจะไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากเรื่องเงิน เพราะมีทุนเรียนจนจบพร้อมๆกับค่าเช่าคอนโดและค่าน้ำไฟ แต่ค่ากินอยู่ผมต้องหาเองจากการทำงานพิเศษ ซึ่งแน่นอนว่า มันก็ไม่ได้มากมายอะไร อย่างไรก็ตาม คำพูดของอีฟยังคงวนเวียนอยู่ในหัวผม ก็ในเมื่อเรามีความสามารถแบบนี้ เราจะทำเรื่องอะไรก็ได้นี่ และในเสี้ยวหนึ่งของความคิด ผมก็อยากลองใช้ในด้านหื่นๆแบบที่อีฟพูดเหมือนกันนะ เออ อีฟนี่พูดเหมือนรู้ใจผมเลย เอ๊ะ... จริงๆเธอก็รู้ใจผมนี่หว่า

แล้วผมก็เกิดไอเดียบางอย่าง ผมเดินไปโซนธนาคารแล้วนั่งเก้าอี้บริเวณนั้น สายตาเตร็ดเตร่มองไปมาเพื่อหาคนที่ดูน่าจะเป็นเป้าหมายให้ผมทดลองอะไรบางอย่าง แน่นอน ผมขอลองอะไรเกี่ยวกับเงินๆทองๆหน่อย แต่ถึงแม้ว่าผมจะทำได้และไม่มีใครรู้ แต่ผมก็ไม่อยากจะใช้พลังนี้ไปทำให้คนที่ยากลำบากอยู่แล้วเขาเดือดร้อน ครับ ผมอยากจะลองเอาเงินจากใครสักคนที่มาธนาคารนี่แหละ แต่เป้าหมายผมจะไม่ใช่คนที่ดูธรรมดาๆ เป้าหมายผมคือคนมีเงินต่างหาก ขอเงินคนรวยซักแสนมาใช้ คงไม่เดือดร้อนอะไรมั้ง

และในวันอาทิตย์แบบนี้ ห้างก็มักจะคราค่ำไปด้วยผู้คนเสมอ จึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่ผมจะเห็นป้าหมายรายแรก

ชายร่างท้วมแต่งตัวดูเป็นคนมีเงิน มีชายฉกรรจ์ใส่ชุดซาฟารีเดินตามหลังมาติดๆ ดูก็รู้ว่าถ้าไม่ใช่ลูกน้องก็คงเป็นคนขับรถ ซึ่งคนแบบนี้ก็ต้องเป็นคนมีเงินอยู่แล้ว ผมเริ่มต้นมองที่ชายร่างท้วมคนนั้น และเริ่มต้นคิดป้อนคำสั่งเข้าไปในระหว่างที่เขากำลังเดินผ่านเก้าอี้ที่ผมนั่ง และในทันใดนั้น เหมือนความพยายามผมจะประสบความสำเร็จ เพราะชายร่างท้วมมาหยุดและนั่งข้างผมท่ามกลางความงงงวยของชายในชุดซาฟารี แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากยืนหันหน้าออกไปอีกทางเหมือนเฝ้าระวังคุมเชิงให้เจ้านาย

"ไอ้หนุ่ม อั๊วถูกชะตา อั๊วไม่อยากเอาเงินนี้เข้าธนาคาร เพราะมันเป็นเงินไม่สะอาดเท่าไหร่ อั๊วให้ลื้อก็แล้วกัน" ชายร่างท้วมยื่นซองสีน้ำตาลให้ผมและลุกขึ้นเดินจากไปพร้อมลูกน้องโดยไม่รอให้ผมได้ถามอะไรกลับ

และเมื่อผมเปิดดู มีปึกเงินอยู่ในซองสีน้ำตาล ซึ่งผมประมาณคร่าวๆว่าน่าจะซักสองแสนบาท อื้อหือ พลังนี้มันเยี่ยมจริงๆหวะ ผมเริ่มจะหลงรักการใช้พลังนี้ซะแล้ว โดยไม่ทันได้คิดว่ามันอาจจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน

ปิ๊งงงงง ~ เสียงไลน์ผมดังขึ้น เป็นแทนนั่นเอง เธอส่งมาบอกว่า มาถึงและจอดรถเรียบร้อยแล้ว ผมเก็บซองน้ำตาลที่มีเงินสองแสนนั้นไว้ในกระเป๋าเป้ และเดินไปหาแทนทันที


#######################

วันนี้แทนแต่งตัวสบายๆ กางเกงขาสั้นเสื้อยืดขาวรองเท้าแตะ พร้อมกับสะพายเป้น่ารักๆ ดูเป็นลุคอยู่บ้านสบายๆที่ใส่ออกมาข้างนอกก็ไม่แปลก แต่ด้วยความที่เธอเป็นคนขายาวอยู่แล้ว การใส่กางเกงขาสั้นแบบนี้ มันทำให้เธอดูสูงโปร่งและมีออร่ายิ่งขึ้นไปอีก ทำให้ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่นักที่จะมีผู้ชายที่เดินผ่านไปมามองแทนเสมอในตอนที่เราเดินด้วยกัน นอกจากนี้ ผมยังเดินจับมือเธอท่ามกลางสายตาของผู้ชายหลายคนที่ผมตีความได้ว่า มันคงเสียดายที่คนอย่างแทนมาควงผู้ชายหน้าเห่ยอย่างผม ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมแอบภูมิใจเล็กๆว่าได้ควงผู้หญิงสวยแบบนี้ และคิดย้อนไปว่า พวกนั้นไม่รู้หรอกว่า เวลาอยู่บนเตียงนั้น แทนร้อนแรงซักแค่ไหน

"วันนี้ไปไหนมา" แทนถามผมในระหว่างที่กำลังทานอาหารด้วยกัน แน่นอน ต้องเป็นชาบูร้านโปรดเธออยู่แล้ว

"ไม่ได้ไปไหนอะ เพิ่งออกมาจากคอนโดเนี่ย" ผมขอโทษแทนในใจ เพราะผมไม่กล้าบอกเธอว่าเพิ่งไปงานแสดงสินค้ามากับสาวคนอืน เดี๋ยวได้อธิบายกันยาวอีก เรื่องอิงตอนนี้ยังไม่เคลียร์เลย

"เออ แล้วที่ไปหาอิงมาวันนั้น เป็นยังไงบ้าง" นั่นไง สงสัยว่าผมจะยังควบคลุมพลังความคิดได้ไม่ดีเท่าไหร่ ท่าทางผมจะไปกระตุ้นต่อมสงสัยในตัวแทนเมื่อกี๊ เอ.. หรือเธอจะอยากรู้อยู่แล้วนะ

"ก็ เอ่อ.. ไม่มีอะไร อิงแค่มาขอโทษ นู่นนี่นั่น แต่ก็ไม่ได้อะไร แล้วก็แยกย้าย เราก็ไปทำงานต่อ" ผมพูดพลางหยิบหมูชิ้นหนึ่งวางใส่จานให้แทน เพราะจำได้ว่าแทนเคยบอกว่าชอบคนคีบหมูให้

"หึ.. มีพิรุจ พูดเสร็จก็คีบหมูให้เอาใจเลยนะ" แทนพูดพลางหรี่ตายิ้มสยองมองมาที่ผม

"ป๊าววว คีบให้เพราะชิ้นนี้มันใหญ่ อยากให้แทนกินเยอะๆ" ผมพยายามแก้ตัว ใบหน้าผมเหมือนจะมีเหงื่อ ไม่รู้ว่ามาจากไอร้อนของหม้อชาบูหรือเพราะผมร้อนตัวกันแน่

"แล้ว.. แทนไปไหนมามั้ยวันนี้" ผมถามพลางเปลี่ยนเรื่องกลบเกลื่อน

"ไม่ได้ไปไหน วันนี้เก็บห้องทั้งวัน กับลองชุด พรุ่งนี้แทนมีนัดช่างภาพถ่ายรูปอะ" แทนตอบกลับมา ก็เป็นธรรมดาของสาวๆ โดยเฉพาะพวกเน็ตไอดอลที่มีคนตามอินสตาแกรมเป็นแสนๆ ที่ต้องมีรูปมีคอนเท้นท์ลงไม่ให้ขาดนั่นแหละครับ ทำให้เธอต้องมีไปถ่ายรูปบ้างอะไรบ้าง

"ใช้โทรศัพท์ถ่ายไม่ได้เหรอ ทำไมต้องมีช่างภาพ" ผมถาม

"มันเหมือนกันซะที่ไหนยะ"

"แล้วถ้าเราซื้อกล้อง แล้วเราขอถ่ายให้แทนคนเดียวได้มะ" ผมถามกลับไป เพราะใจนึงลึกๆก็เริ่มหวงแทนขึ้นมานิดนึงแล้ว แม้ว่าเธอจะไปถ่ายรูปอะไรเป็นเรื่องปกติก็เถอะ

"ทำไมคะ ต่อหึงแทนเหรอคะ" แทนยิ้มเสียงหวานแซวผม

"ป๊าววววว" ผมเฉไฉพลางคีบหมูให้แทนจนพูนจาน

"แหม.. เขินจนคีบหมูให้แทนจนล้นจานแล้วเนี่ย อยากให้แทนอ้วนหรือไง" แทนพูดพลางคีบหมูกลับมาใส่จานผมบ้าง

"เออ อ้วนก็ดี จะได้ไม่ต้องมีใครมาสนใจ" ผมพูดน้ำเสียงประชดเล็กๆ ซึ่งก็ไม่เข้าใจตัวเองว่า จะประชดทำไมวะ

"น่ารักนะเนี่ย หึงจริงๆด้วย แหม.. ทีวันนั้นยังพูดเลยไม่ใช่เหรอ ถ้าแฟนคลับแทนรู้ว่า... จะเป็นยังไง" แทนพูดแล้วเว้นช่วง ผมจำได้ทันทีว่าหมายถึงตอนที่ผมถามเธอว่า ถ้าแฟนคลับหนุ่มๆเธอรู้ว่าผมได้เอาเธอ คนพวกนั้นจะรู้สึกยังไง

"เออ ยอมรับว่าหึงนิดนึงแหละ ตอนนั้นที่พูดก็เพราะมีอารมณ์ไง" ผมพูดเสียงเบาตอบกลับไป โชคดีที่โต๊ะรอบๆเราไม่มีคนนั่ง เลยพอจะพูดเรื่องนี้ได้

"เหรอคะ แล้วตอนนี้หละ มีอารมณ์มั้ย..?" แทนไม่พูดเปล่า แต่ถอดรองเท้าแตะแล้วเหยียดขาเอาปลายเท้ามาเขี่ยต้นขาผม โต๊ะที่เรานั่งนั้นอยู่ในสุดของร้าน และมีกำแพงเตี้ยๆกั้นระหว่างโต๊ะ นั่นทำให้ถ้าไม่มายืนตรงโต๊ะเราตรงๆ จะไม่เห็นเลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นอยู่ใต้โต๊ะนี้

ผมไม่ตอบอะไรแทนแต่พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดในระหว่างที่แทนเขี่ยปลายเท้าไปมาจนเลื่อนมาถึงน้องชายผม ผมยอมรับว่าตอนนี้แทนดูเซ็กซี่ทั้งๆที่เธอไม่ได้แต่งตัวเซ็กซี่อะไรมากมาย แต่เพราะการกระทำ คำพูด ท่วงท่าและอิริยาบทของเธอ มันทำให้เธอดูมี Sex Appeal โดยไม่รู้ตัว

"แทน พะ.. พอแล้ว" ผมทนไม่ไหวเลยบอกแทนไป

"ทำไมเหรอคะ ไม่ชอบเหรอ..?" แทนเอียงคอมองหน้าผม แต่ปลายเท้าเธอยังคงไม่หยุดเขี่ย

"ชอบ.. แต่.. เอ่อ เรากลับคอนโดกันมั้ย" เอาจริงๆตอนนี้คือผมไม่ไหวแล้วแหละ อยากกลับไปกดแทนให้จมเตียงละ แต่อยู่ๆแทนก็หยุดแล้วเอาขาหดกลับไปนั่งท่าเดิม

"ไม่ แทนอยากดูหนัง อิอิ" แทนพูดทำเสียงทะเล้น พลางก้มหน้าก้มตากินต่อราวกับเมื่อกี๊ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แน่นอนว่าผมรู้ดีว่าแทนต้องการยั่วผม และบอกเลยว่า ผมไม่ปล่อยให้แทนได้ยั่วอยู่ฝ่ายเดียวแน่ๆ


สวัสดีอีกครั้งครับทุกคน จะบอกว่าก่อนหน้านี้ผมก็สายอ่านอย่างเดียว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมนักเขียนท่านอื่นต้องชอบให้คนคอมเม้นท์กัน ตอนนี้เข้าใจแล้ว มันเป็นแรงใจกระตุ้นให้เขียนจริงๆนะ มันรู้สึกว่า คนอ่านก็รู้สึกรักและผูกพันธ์ตัวละครของเราจริงๆ

ขอบคุณทุกคนที่คอมเม้นท์นะครับ อยากให้คอมเม้นท์แนะนำติชมผมด้วยนะครับ ชอบอ่านจริงๆ

สารภาพว่าตอนแรกตั้งใจจะเขียนอาทิตย์ละตอน แต่เห็นคอมเม้นท์คนอ่านล้นหลามแล้วมันมีไฟเขียนทุกวันจริงๆ

ตอนนี้เรื่องพลัง น่าจะเข้าใจที่มาและวิธีใช้กันบางส่วนแล้ว น่าจะพอเห็นภาพได้มากขึ้น ความตั้งใจของผม นายต่อคือคนธรรมดานะครับ เป็นคนที่มีกิเลสมีตัณหาเหมือนเราๆนี่แหละ ดังนั้น หลายท่านอาจจะขัดใจกับเหตุการณ์บางอย่างบ้างอะไรบ้าง แต่อยากให้มองว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ครับ

เรื่องข้อความ ตอนนี้มีคนตอบถูกแล้ว มันคือวันที่/เวลา/พิกัด lat,long ส่วนมันจะเกี่ยวอะไรกับนายต่อ เดี๋ยวรอติดตามต่อครับ

ปล.ผมพยายามยัด Sex Scene มาเซอร์วิสให้แล้ว EP นี้ แต่ยัดไม่ไหวจริงๆ

ปล.2 ตอนนี้คาแร็คเตอร์ผู้หญิงมีเด่นชัด 4 คน คือ อิง , แทน , เดียร์ , อีฟ อยากฟังความเห็นครับว่าอ่านแล้วชอบคาแร็คเตอร์ของใครมากที่สุด แต่ทั้งนี้จะไม่มีผลต่อเนื้อเรื่องนะครับ ผมแค่อยากรู้ว่าคนอ่านชอบใครมากกว่ากัน

ขอบคุณที่ติดตามครับ


คอมเม้นท์เพื่ออ่านเหตุการณ์ในโรงหนังในตอนจบ EP นี้นะครับ


 



เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

wutlwezt

แง่ม แง่ม นึกว่าจะทดลองพลังกะยัยอีฟ ได้ซะอีก  

Worakorn Pongrat


dwarf

ขอบคุณ​ครับ.. อีฟเป็นคนที่น่าสนใจ.. น่าจะเป็นคนที่ตามต่อทัน.. ในอนาคตคงจะเป็นคนที่คอยช่วยห้ามและแนะนำอะไรต่อได้อีกเยอะเลยมั้ง

LMnade

กับอีฟตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้ แต่ในอนาคตนี่ไม่แน่น่าจะได้จัดแน่ๆ

lucipher666a

จะทำให้ติดงอมแงมซะแล้วเนื้อเรื่องดีครับชอบมาก

morekung

ตอนใหม่มาแล้ว ชอบมากครับ อ่านเพลินเลย ตอนนี้ให้แทนเป็นที่ 1

darkerside69

ชอบแทนสุดครับช่วงนี้ ดูน่ารักขี้เล่นดี แต่ก็รอลุ้นว่าอิงโดนอะไรมา

JabaWoCK

แทนดูใสๆแต่แอบแซบนะเนี่ย
ชอบแทนกับเดียร์ครับ

tossapoln

แทนก็นิสัยดีนะคบเป็นแฟนเลยก็คงดี

Tonpera

แทยร้ายตริงๆ แต่ชอบแทนแบบนี้นะ

boyza55

เริ่มเก่งขึ้นเเล้วเดียวรอลุ้นอีฟจะโดนไหม

xonly-301


pakykit

ปกติชอบคนหัวอ่อนเรียบร้อยเลยชอบอิงครับ แต่สูงสวยก็ชอบนะขอแทนด้วยอีกหนื่งคน

Mylove1234

ชอบแทนนะใครก็อยากได้เน็ตไอดอล