ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

Darkness Circle / วงจรแห่งความมืด ตอนที่ 20

เริ่มโดย เจตภูติ, มีนาคม 17, 2021, 01:34:15 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

เจตภูติ

คุยกันก่อนอ่าน ก่อนอื่นขอบอก่อนเลยว่าดีใจมากที่เขียนมาได้ยี่สิบตอนแล้ว ขอบคุณนักอ่านทุกๆ ท่านจริงๆ ครับ คือตอนนี้ผมอยากได้ความเห็นเพื่อเป็นแนวทางปรับปรุงผลงาน อยากทราบว่ามาถึงตอนที่ยี่สิบแล้ว การดำเดินเรื่องของผมในสายตาทุกท่านเป็นอย่างไร ความเห็นทุกท่านสำคัญกับผมเสมอ ขอขอบคุณอีกครั้งครับ

Darkness Circle / วงจรแห่งความมืด ตอนที่ 20

เงาสลัวจากกิ่งไม้และใบไม้กลุ่มใหญ่ที่ถูกสายลมพัดโบกจนโยกไหวตัดผ่านแสงไฟจากหลอดนีออนจารั้วหน้าบ้านทอดยาวลงไปสู่พื้นถนนหินคลุก รอบบ้านเริ่มมืดสลัวลงด้วยดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปได้สักพักแล้ว แสงไฟจากบ้านเรือนที่อยู่ห่างออกไปเริ่มสว่างขึ้นมาแข่งกับแสงจันทร์ ไม่ต่างกับแสงไปที่ใต้ถุนสำนักอาคมที่ตอนนี้สว่างโร่ หญิงชายสองคนสาละวนกันอยู่ในห้องครัวกำลังจัดการแกะอาหารจากกล่องและถุงลงจาน ตามด้วยเครื่องดื่มหลากหลายชนิด เตรียมพร้อมสำหรับมื้อหารค่ำที่กำลังจะถึงในไม่ช้า หนุ่มใหญ่ผู้เป็นอาจารย์ประจำสำนักนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่ม้านั่งด้านนอก หันหน้าออกไปทางหน้าบ้าน ผ่อนลมพ่นควันออกคล้ายกับการถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

เจษฎานั่งขบคิดทบทวนถึงความรู้สึกของตัวเองที่มีต่ออริสา สำหรับเขาผุ้หญิงคนนี้แต่เดิมก็เป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้สำหรับล้างแค้นทศพล แต่เมื่อได้พบกับเธอบ่อยครั้งเข้าก็ทำให้เขารู้สึกสงสารจนเกิดเป็นความเห็นอกเห็นใจและห่วงใย อาจะเป็นเพราะเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องราวในอดีต หรือไม่ก็การที่เขาได้ใกล้ชิดกับเธอบ่อยครั้งซึ่งก็มีบ้างที่เธอไม่ได้ขัดขืน เลยเผลอคิดไปได้ว่าเธออาจจะมีใจให้เขาก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถฟันธงอะไรได้ ยิ่งเมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา

..................................................

"แกทำอย่างนี้ทำไม แค่นี้ยังทำลายชีวิตฉันไม่พออีกเหรอ หรือต้องให้ครอบครัวฉันพังย่อยยับแกถึงจะพอใจ" อริสาตัดพ้อถึงเรื่องที่เจษฎาบังคับให้เธอคุยโทรศัพท์กับสามีทั้งๆ ที่ถูกเขาทำเสียวไปด้วยอย่างหัวเสีย การกระทำสุดห่ามคล้ายกับจะอยากจะทำให้เธอจบชีวิตคู่ลงเสียให้ได้ในวันนี้

อริสาหยิบผ้าเช็ดตัวที่เจษฎาเตรียมไว้ให้ขึ้นมาเช็ดตัวและซับเหงื่อทั้งเม็ดเล็กและเม็ดใหญ่ที่พุดขึ้นมาทั่วร่าง ก่อนจะเช็ดทำความสะอาดคราบน้ำกามต่างๆ ที่หว่างขาอย่างหัวเสีย เธอหันหลังให้เจษฎาเตรียมตัวที่จะใส่เสื้อผ้าหลังจากเสร็จกามกิจ ที่เริ่มมาตั้งแต่ช่วงสายจนบัดนี้ก็ล่วงเลยจนเกือบจะถึงเวลาบ่ายคล้อย เธอถูกเขาตักตวงหาความสนุกจากร่างกายสวยงามที่ดูแลอย่างดีหลายต่อหลายครั้ง จนเธอรู้สึกเหนื่อยและปวดเหมือ่นยไปทั้งตัว อยากจะออกไปจากสถานที่นี้ให้เร็วที่สุดเพราะไม่รู้ว่าถ้าเธอยังมัวพักเอาแรงในสภาพเปลือยกายจะต้องโดนเขาเอาเปรียบเธอไปอีกกี่ครั้ง

"...ผมขอโทษ" เจษฎาเอ่ยออกมาเสียงเบาดวงตาละห้อย ใบหน้าของเขาตอนนี้ไม่มีแล้วซึ่งความเข้มขรึมก่อนหน้า เหลือเพียงแค่ใบหน้าง่อยๆ ราวกับสุนัขป่วย มือที่เอื้อมออกไปจะสัมผัสร่างของเธอก็เก็บลงมาไว้ข้างลำตัว

"ไม่ต้องมาขอโทษถ้าแกไม่ได้สำนึกผิดถึงสิ่งที่ทำลงไป ฉันผิดเองแหละที่คิดว่าแกทำตัวร้ายกาจเพราะโดนคนอื่นทำให้เจอแต่เรื่องแย่ๆ แต่ที่จริงแกมันก็เลวมาจากสันดานไม่ต่างจากคนที่ทำกับแกหรอก" อริสาหันกลับมามองตาขวางระเบิดอารมณ์เข้าใส่เจษฎา คำขอโทษของเขาในตอนนี้ไม่มีน้ำหนักอะไรอีกต่อไป

"........." เจษฎายืนเงียบไม่กล้าโต้ตอบ กลัวเรื่องจะลุกลามปานปลาย

"จากนี้ไปฉันไม่มาที่นีอีกแล้ว แล้วแกก็ห้ามไปที่บ้านอาเจ็กอีก ไม่งั้นฉันบอกอาเจ็กเรื่องแกทำกับฉันทุกอย่างเลย" อริสาคาดโทษพร้อมกับดึงชุดจั๊มสูทสีเทาอมฟ้าขึ้นมาสวม

"แต่ว่า..."

"ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฉันไม่อยากฟัง"

อริสาสวมเสื้อผ้าจนเรียบร้อยก่อนจะเดินออกไปจากห้องโดยมีเจษฎาเดินตามไปติดๆ แล้วคว้าข้อมือเธอไว้พร้อมกับออกแรงดึงรั้งให้ร่างเล็กหยุดการเคลื่อนไหว เธอชะงักทันทีตามแรงดึงสะบัดหน้ากลับมาจ้องมองเขาด้วยดวงตาแดงกร่ำฉ่ำวาวด้วยน้ำใสที่เหมือนว่าพร้อมจะไหลออกจากดวงตาได้ทุกเมื่อ สายตาแข็งกร้าวแฝงด้วยความเศร้าเสียใจกรีดลึกลงไปในอารมณ์ความรู้สึกของเขาอย่างประหลาด โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้มีบางอย่างในจิตใจเริ่มเปลี่ยนไปบ้างแล้ว

อริสาสับสนวุ่นวายใจ ความรักที่เธอมีให้ทศพลนั้นแม้จะลดน้อยลงไปบ้างหลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวและการกระทำแย่ๆ ในอดีตของสามี แต่เธอก็คิดว่าตัวเธอนั้นยังรักเขามากพอที่จะกลับไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยได้ ขอเพียงแค่เขากลับไปทำตัวแบบเดิมเหมือนที่เคยเป็นมาก่อนหน้าที่จะมีเหตุการณ์แย่ๆ จากฝีมือเจษฎาก็น่าจะพอแล้ว แสำหรับเรื่องราวร้ายๆ ทั้งหลายที่ผ่านมาในช่วงนี้ก็ให้ถือเสียว่าชดใช้กรรมกันไป ถ้าจะมีอะไรติดขัดก็คงจะมีอยู่เพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือเรื่องความรู้สึกลึกๆ ของร่างกายที่เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม

"เผี๊ยะ" สารพัดอารมณ์ที่รุมเร้าอยู่ในใจของอริสาจนเธอไม่รู้ละบายมันออกมาอย่างไร ฝ่ามือเล็กๆ ขาวๆ จึงฝาดเข้าใส่ใบหน้าของเจษฎาอย่างจังโดยไม่ได้ผ่านการคิดไตร่ตรองแต่อย่างใด ความรุนแรงของฝ่ามือไม่ได้สร้างความเจ็บปวดทางร่าางกายให้กับเป้าหมายมากนัก แต่ก็ส่งผลกระทบกับจิตใจอยู่ไม่น้อย

เจษฎายืนนิ่ง สมควรแล้วที่เขาโดนตบ จะว่าไปเพียงแค่ตบมันยังน้อยไปด้วยซ้ำถ้าเทียบกับสิ่งที่เขาทำ สุดที่จะหาคำอะไรออกมาพูดเพื่อให้อริสารู้สึกดีได้ เขาทำได้แค่ยืนมองเธอออกจากบ้านไป

..................................................

ท่ามกลางเมฆหมอกของความอลเวงในห้วงความคิดของเจษฎาที่ตัดขาดจากการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบกาย บุหรี่ที่ลุกไหม้เกือบจะถึงก้นกลอง จนนิ้วชี้และนิ้วกลางเริ่มรู้สึกร้อน ความปวดแสบปวดร้อนดึงเขาออกมาจาห้วงความคิด เขาโยนบุหรี่ทิ้งออกไปให้ไกลห่างออกจากตัว สะบัดมือแรงๆ ไล่ความร้อนออกจากผิวสัมผัสจนมือสะบัดไปฟาดถูกขอบโต๊ะดังลั่นจนคนในครัวต้องหันออกมามองเป็นตาเดียวกัน เขาใช้มืออีกข้างมากุมจับมือข้างที่เจ็บเพื่อสำรวจดู โชคดีที่ไร้บาดแผลจนเขาฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เขาเคยได้รับบาดแผลจนถึงกับเสียเลือดมากี่ครั้งกัน คิดไปก็สังเกตุได้ถึงความผิดปกติของร่างกาย

"อาจารย์เป็นอะไรรึเปล่าครับ เห็นนั่งเหม่ออยู่สักพักแล้วนะครับ" ปิยะพงษ์รีบรุดออกมาดูอาการด้วยความเป็นห่วง ในมือยังถือจานใส่กับข้าวติดมือมาด้วยอย่างลืมตัว

"เอ่อ...ไม่มีอะไร คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นะ ไหนดูสิมีอะไรกินมั้ง"

"พวกผมซื้อของน่ากินมาเยอะเลย"

ไม่นานนักบนโต๊ะม้าหินอ่อนที่ใต้ถุนบ้านก็เต็มไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายเมนู ก่อนที่คู่หญิงสาวกับชายหนุ่มจะนั่งลงที่ม้าหินตัวเดียวกันข้างๆ เจษฎา หัวค่ำนี้ปิยะพงษ์พากันธิชามาทาานอาหารที่บ้าน เพื่อที่จะได้ถือโอกาสแนะนำเพื่อนหญิงคนสนิทของเขาให้คนที่เหมือนเป็นคนในครอบครัวของเขาตอนนี้ทั้งสองคนได้รู้จัก แต่น่าเสียดายนิดหน่อยที่ตอนนี้อ๊อดยังไม่กลับจากการไปทำธุระในเมืองหลวง

"ทานเยอะๆ นะคะ ธิช่าซื้อมาจากร้านดังทั้งนั้นเลย" สาวผิวแทนยิ้มกว้างตักกับข้าวให้เจษฎาและปิยะพงษ์อย่างน่ารัก

"ขอบคุณครับคุณหนู หน้าตาก็ดี มารยาทก็งามอีก ไม่เหมาะกับเจ้าเปี๊ยกเลยจริงๆ ฮาๆ" เจษฎาหัวเราะร่วนพร้อมกับเย้าแหย่ในความโชคดีของปิยะพงษ์

"โธ่ อาจารย์ อย่าพูดอย่างนั้นสิ" ปิยะพงษ์เขินอายจนร้องท้วง

"แหม่ไม่หรอกค่ะ เปี๊ยกเขาเป็นคนจิตใจดี หนูต่างหากที่อาจจะไม่เหมาะกับเขา" กันธิชายิ้มหวานเอ่ยชมเพื่อนชายคนสนิทอย่างไม่ทีท่ากระดากอาย และเป็นธรรมชาติ

"คุณหนู นี่ใจดีจริงๆ" เจษฎายิ้มอย่างใจดีส่งให้หญิงสาว

"ไม่ต้องเรียกคุณหรอกค่ะ เรียกธิช่าเฉยๆ ก็ได้"

"นั้นสิอาจารย์"

"ไม่เป็นไร ฉันถนัดแบบนี้แหละ" เจษฎายังคงสวมบทบาทผู้ใหญ่ใจดีอบอุ่นต่อไป สายตาเข้มขลังจับนิ่งไปที่ใบหน้าสวยเก๋ราวนางแบบ เพื่อจับพิรุธ

"คุณหนูมาทำอะไรที่นี่เหรอครับ มาทำงานหรือมาเที่ยว"

"ทั้งสองอย่างแหละค่ะ"

"หมายความว่ายังไงครับ"

"คือพ่อของธิช่า เขาเล่นพวกเครื่องรางของขลังวัตถุมงคลนะคะ ธิช่าก็เลยชช่วยคุณพ่อหาของพวกนั้น แล้วก้ถือโอกาสเที่ยวไปด้วยในตัว"

"อืมม...อย่างนี้นี่เอง"

"ใช่ครับอาจารย์หลายวันมานี้ที่ผมหายไปก้พาธิช่าไปตามวัดตามสำนักดังนี่แหละครับ ที่จริงกะว่าจะพามาหาอาจารย์ตั้งนานแล้ว แต่กว่าอาจารย์จะว่าง"

"แต่เสียดายที่ฉันไม่ได้มีของขลังของดีอะไร ไม่งั้นคงจะหาอะไรให้ติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของฝากได้บ้างแล้ว"

"อาจารย์อย่าถ่อมตัวไปเลยค่ะ คนแถวนี้เขารู้กันทั่วว่าวิชาของอาจารย์เข้มขลังขนาดไหน อีกหน่อยชื่อเสียงคงดังไกลไปทั่วทั้งจังหวัด แล้วก็ระดับประเทศ ถ้าไม่มีของขลังก็ปลุกเสกขึ้นมาใหม่สักรุ่น เดี๋ยวธิช่ากับคุณพ่อช่วยทำตลาดให้ก็ได้นะคะ"

"ฟังแล้วน่าสนใจนะครับอาจารย์" ปิยะพงษ์เสริม เห็นดีเห็นงามกับความคิดของกันธิชา

"แต่ฉันคงต้องขอคิดดูก่อน ที่ฉันเปิดสำนักก็หวังข่วยเหลือชาวบ้าน ไม่ได้หวังเงินทองหรือชื่อเสียงอะไร" เจษฎาตอบกลับอย่างวางท่า แต่ที่จริงกลัวว่าชื่อเสียงที่มีมากเกินไปจะนำปัญหามาให้ตัวเขาเสียมากกว่า

"อาจารยืนี่หน้าเลื่อมใสศรัทธาจริงๆ เรื่องพวกนี้เอาไว้คุยกันวันหลังก็ได้ ตอนนี้ทานอาาหารกันก่อนดีกว่านะคะ" หญิงสาวยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกายดูเป็นคนจริงใจอยู่ไม่น้อย

"จริงด้วย" ปิยะพงษ์รับลูกด้วยการยื่นแก้วเครื่องดื่มที่มีน้ำสีอำพันส่งให้เจษฎา

คนทั้งสามตั้งวงกินดื่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่พักใหญ่ ด้วยฤทธิ์สุราที่ดื่มไปจนเหลือค่อนขวดในเวลาไม่ถึงชั่วโมงส่งพลให้เจษฎาและปิยะพงษ์ที่ดื่มเข้าไปอย่างต่อเนื่องเริ่มมีอาการหน้าแดงโยกตัวไปมาเหมือนกับว่ากระดูกในร่างกายอ่อนนิ่มไปหมดทุกท่อน

"นี่ก็เริ่มจะดึกแล้ว หนูขอตัวกลับก่อนนะคะ" กันธิชาที่มีอาการเป็นปกติเพราะไม่ได้ดื่มสุราเข้าไปเลยสักนิดโดยอ้างว่าต้องขับรถ ก่อนจะบอกลาคนทั้งคู่

"อ้าว จะกลับแล้วเหรอ แหม่เสียดายจัง เอ้าเปี๊ยกไปส่งคุณหนูเขาหน่อยสิ..." เจษฎาสั่งเสียงยานคางบ่งบอกถึงอาการมึนเมาได้อย่างชัดเจน นอกจากเมาแล้วเขาก็ง่วงมากจนรู้สึกว่าหนังตามันหนักเหลือเกิน อาจจะเพราะว่าวันนี้เขาลงแรงกับอริสามาไปหน่อยรึเปล่าเขาเองก็ไม่แน่ใจ

"คร้าบ อาจารย์..." ปิยะพงษ์รับคำสภาพไม่ต่างจากเจษฎามากนัก เขาพยายามลุกขึ้นแต่ทรงตัวไม่ไหว ต้องทิ้งร่างลงกลับไปนั่งที่เดิมแถมยังเอาหัวไปซบที่ไหล่ของกันธิชาอีกต่างหาก

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูดื่มไปไม่เยอะ น่าจะขับรถกลับเองได้ เปี๊ยกเมาแล้วก็พาอาจารย์ขึ้นพักเถอะนะ" หญิงสาวยิ้มมน่ารักก่อนจะประครองศรีษะของปิยะพงษ์ให้ตั้งตรงเป็นปกติ

"คราาา..." ปิยะพงษ์พูดไม่ทันจบคำก็ฟุบร่างลงกับโตีะแล้วหลับไปทั้งอย่างนั้น

"คุณหนูขับรถกลับดีๆ นะครับ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง"

"งั้นหนูกลับเลยนะคะ"

"จ้าาา..." เจษฎาที่สภาพก็แทบจะเอาตัวเองไม่รอดยื่นมือไปเขย่าร่างปิยะพงษ์ก่อนจะหันไปยิ้มส่งกันธิชาที่กำลังเดินไปที่รถ

..................................................

กันธิชาขับรถออกไปได้ราวห้านาทีก็หักพวงมาลัยเข้าข้างทางแล้วจอดรถนิ่งสนิท ทำการปลี่ยนชุดให้ทะมัดทะแมงด้วยกางเกงยีนส์สีเข้มเสื้อยืดสีดำพอดีตัวกับรองเท้าผ้าใบพร้อมกับกระเป๋าคาดเอวบรรจุอุปกรณ์ แล้วรวบเก็บผมให้คล่องตัว เมื่อเตรียมตัวเสร็จเมื่อเตรียมตัวเสร็จก็ออกมายืนรอที่นอกรถ

"พร้อมแล้วครับคุณธิช่า" เสียงชายฉกรรจ์ที่ขับรถตู้สีดำเข้ามาจอดเทียบข้างๆ ลดกระจกลงมาพูดผ่านผ้าปิดปาก
กันธิชาพยักหน้ารับแล้วขึ้นไปนั่งบนรถ เมื่อรถตู้สีดำแล่นออกตัวไปทางบ้านของปิยะพงษ์ เธอก็กดรีโหมดสัญญาณให้อุปกรณ์ทำให้ไฟฟ้าลัดวงจรที่เธอแอบติดตั้งไว้ตอนอยู่ในครัวให้ทำงานส่งผลให้ชุดตัดไฟในตัวบ้านทำการตัดไฟจนบ้านมืดไปทั้งหลัง

ทันทีที่รถแล่นมาถึงหน้าบ้าน กันธิชากับชายฉกรรจ์อีกสองคนก็เดินมุ่งตรงเข้าไปที่ใต้ถุุนบ้าน ก็พบร่างศิษย์อาจารย์ฟุบหลับอยู่ด้วยฤทธิ์ยานอนหลับที่ผสมไว้ในอาหารและเครื่องดื่มก่อนหน้านี้

"เอาตัวมันไป" กันธิชาสั่งเสียงเรียเธอเดินผ่านร่างทั้งคู่เข้าไปในครัวแล้วเก็บอุปกรณ์ที่ใช้ตัดไฟใส่กระเป๋าคาดเอวเพื่อไม่ให้เหลือหลักฐาน ระหว่างนั้นชายฉกรรจ์ร่างกำยำสองคนในชุดสีเข้มก็เดินเข้าไปหาตัวเจษฎาที่ฟุบอยู่

"อั๊ก!...อั๊ก!..." เสียงชายฉกรรจ์ทั้งสองร้องออกมาตามดัวยเสียงคล้ายมีของหนักๆ ตกกระแทกพื้นเสียงจากทางด้านนอกทำให้กันธิชาต้องรีบออกมาดูเหตุการณ์ เธอมองฝ่าความมืดสลัวอาศัยแสงจากดวงจันทร์ที่สว่างไม่เต็มดวงก็พบร่างชายฉกรรจ์สองคนนอนตัวงอใช้มือกุมท้องบิดกายไปมาด้วยความเจ็บปวด

"เกิดอะไรขึ้น" กันธิชาวิ่งออกมาสอบถามหาที่มาที่ไปของอาการบาดเจ็บ หนึ่งในชายฉกรรจ์ขยับปากพูดแต่ไม่มีเสียงออกมาเพราะอาการจุกแน่นที่ท้องก่อนจะชี้นิ้วขึ้นไปที่ระเบียงหน้าบ้าน

"ระวัง" ชายฉกรรจ์อีกคนร้องทักเมื่อเห็นร่างเงารูปร่างคล้ายมนุษย์กำลังกระโดดพุ่งลงมาจากชั้นสองบ้านตรงมาที่ร่างของกันธิชา ก่อนที่ร่างเงาดำจะมาถึงตัวก็ได้ผลักร่างของเธอออกไปให้พ้นทาง

"อ๊ากกกก..." เสียงของชายฉกรรจ์ที่ผลักกันธิชาร้องดังลั่นแล้วเงียบไปเมื่อร่างเงาสีดำนั่นถีบเข้าใส่ลำตัวของเขาด้วยเท้าสองข้างแล้วอาศัยร่างของชายฉกรรจ์เป็นแท่นเพื่อกระโดดตีลังกากลับไปอยู่ที่ราวระเบียงเหมือนเดิม ส่วนร่างของชายฉกรรจ์นั้นกระเด็นกลิ้งออกไปตามแรงถีบไกลกว่าห้าเมตรแล้วนอนนิ่งไป

"นั่นใครนะ..." กันธิชาร้องถามหยั่งเชิงดูท่าที พร้อมกับมองไปที่ดวงตาเรืองแสงได้ในความมืดของเงาที่อยู่บนชั้นสองของบ้าน ดวงตาคู่นั้นไม่ต่างจากดวงตาของแมว ราวกับร่างเงานั้นเป็นแมวยักษ์ที่มีขนาดร่างกายพอๆ กับตัวคน แต่ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมา เธอยืนนิ่งรอดูเหตุการณ์ไม่อาจผลีผลามเคลื่อนไหวโดยไม่ผ่านการไตร่ตรอง 
กันธิชาเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ สายตายังคงจ้องไปที่ดวงตาเรืองแสงคู่นั่นก่อนจะล้วงหยิบเอาเครื่องช๊อตไฟฟ้าขนาดพอดีมือออกมาจากกระเป๋าคาดเอวกุมไว้แน่นในในมือขวา นิ้วหัวแม่มือประทับไว้ที่ปุ่มกดเตรียมพร้อมที่จะเปิดใช้งาน

"พามันออกไปก่อน เดี๋ยวฉันถ่วงเวลาให้" กันธิชาบอกกับชายฉกรรจ์ที่ยังมีสติให้พาเพื่อนหนี เธอจำใจต้องล้มเลิกแผนการไปก่อนเพราะเหตุการณ์คาดไม่ถึงตรงหน้า

ชายฉกรรจ์อึกอักเหมือนไม่ค่อยมั่นใจว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ จะไปสู้อะไรกับตัวประหลาดแบบนั้นได้ แต่ก็จำใจทำตามคำสั่ง รีบเข้าไปประครองตัวคนที่นอนแน่นิ่งอยู่แล้วพากันเดินหลบออกไปปจากตัวบ้าน

ขณะที่ชายสองคนกำลังเดินหนีออกจากตัวบ้าน ร่างเงานั้นกระพุ่งทยานลงมาจากชั้นสองแล้วปรี่เข้าหาคนทั้งคู่ กันธิชาเห็นดังนั้นก็สูดลมหายใจลึกก่อนจะถีบเท้าลงพื้นเป็นแรงส่งให้ร่างเพรียวพุ่งเข้าหาเงาดำอย่างรวดเร็วแล้วใช้เครื่องช๊อตไฟฟ้าจี้เข้าหาร่างเงาปริศนา แต่ร่างปริศนากลับหายไปจากายตาของเธอราวกับใช้เวทมนต์

กันธิชากวาดสายตามองหาร่างเงาก็เห็นดวงตาเรืองแสงคู่นั่นกำลังยืนเอียงคอมองเธออยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักเหมือนกับกำลังเยาะเย้ยเธอ เธอเห็นท่าไม่ดีถ้าจะต่อสู้ต่อไปในความมืดสลัวที่อีกฝ่ายสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเหมือนกับมองเห็นในความมืด ความรู้สึกเสียวที่สันหลังบอกเธอได้เลยว่าอะไรก็ตามที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นมีความสามารถผิดมนุษย์ และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเธอสักเท่าไหร่ เธอบอกกับตัวเองว่าต้องรีบทำอะไรบางอย่างเพื่อจะหนีออกไปจากสถานการณ์ไม่สู้ดีนี้

เมื่อตัดสินใจได้กันธิชาก็ออกตัวพุ่งเข้าไปหาร่างเงาปริศนาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้เธอพยายามเคลื่อไหวโยกลำตัวไปมาเพื่อหลอกตาของอีกฝ่าย ก่อนที่เธอจะปล่อยหมัดขวาเข้าใส่ดวงตาเรืองแสงคู่นั้นที่คิดว่าน่าจะเป็นเป็นส่วนของศรีษะ ร่างเงาสีดำโยกตัวท่อนบนเป็นการหลบหลีกอย่างง่าย

ร่างเงาดำใช้จังหวะที่กันธิชาถลำเข้ามาฟาดฝ่ามือลงมาเข้าใส่ร่างของเธอ ทว่าหญิงสาวก็ใช้มือซ้ายที่สลับมาถือเครื่องช๊อตไฟฟ้าแอบไว้ก่อนหน้าทิ่มเข้าใส่มือนั้นเป็นการตอบโต้แสงไฟจากเครื่องช๊อตไฟฟ้ากระพริบสว่างตัดกับความมืด

แต่กระแสไฟฟ้าก็ส่งไปไม่ถึงร่างเงา เพราะมันเคลื่อนไหวตอบโต้ได้อย่าฉับพลัน หยุดมือไว้กลางอากาศได้อย่างทันท่วงที แต่ก็เปิดช่องว่างให้กันธิชาได้วิ่งหลบออกมา

ร่างเงายืนดูหญิงสาววิ่งทิ้งระยะออกไปจนเกือบจะถึงประตูหน้าบ้านแล้วจึงวิ่งตามไป เพียงพริบตาเดียวร่างเงาก็เข้ามาประชิดติดตัวกันธิชาด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ ก่อนจะใช่ฝ่ามือผลักไปที่แผ่นหลังของหญิงสาวเบาๆ แรงกระแทกส่งให้ร่างเพรียวของเธอล้มกลิ้งไถลไปไกลกว่าสองเมตร สร้างความเจ็บปวดและความจุกเสียดให้แก่เธอเป็นอย่างมาก

ร่างเงาดำมันเดินวนไปมาใกล้ๆ ตัวกันธิชา ใช้ดวงตาที่เรืองแสงในความมืดจับจ้องมองเธอที่นอนอยู่กับพื้นและกำลังพยายามจะลุกขึ้นยืน โดยไม่ได้เข้าไปทำร้ายเธอซ้ำแต่อย่างใด  สายตาที่มองมาและกริยาที่แสดงออกไม่ต่างจากแมวที่กำลังหยอกหนู

ในขณะที่กันธิชากำลังตะเกียกตะกายออกจากจุดที่ล้ม รถตู้สีดำของลูกน้องเธอก็ขับเข้ามาจอดใกล้กับร่างของเธอ จากนั้นคนขับก็ยื่นปืนออกมาจากหน้าต่างเล็งออกไป แต่ยังไม่ทันได้ยิงร่างเงาปริศนาก็หายไปก่อนแล้ว ทำให้ชายฉกรรจ์ที่เหลือบนรถสามารถลงมาช่วยเหลือพาร่างของเธอขึ้นรถตู้แล้วหลบหนีออกไปได้

บนรถตู้ที่กำลังแล่นออกไปจากตัวบ้าน กันธิชาที่กำลังปวดหลังและหายใจไม่สะดวกจากอาการบาดเจ็บนั่งคิดทบทวนแต่ก็ไม่อาจจะสรุปได้ว่าเธอเห็นอะไรหรือเกิดอะไรขึ้นที่บ้านหลังนั้นกันแน่ แต่ที่แน่นอนที่สุดคือทุกอย่างเป็นเรื่องจริงที่สามารถยืนยันได้จากความรู้สึกที่แผ่นหลังของเธอ แต่ก็นับว่าประหลาดที่ร่างเงานั้นปล่อยให้พวกเธอหลบหนีออกมาได้ง่ายๆ

 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

TUMMYS


ชายชรา

ลุ้นทุกตอนแล้วตอนนี้อาจารย์เจษจะเป็นยังไงรอติดตามครับ

samanlo ba



mario

พล็อตเตื่อง ok นะครับ
แต่คำผืดเยอะไปหน่อย
หลังพิมพ์เสร็จน่าจะอ่านตรวจทานอีกนิดนะครับ

wood007

เจอของจริงแล้วหนู คิดว่ายาจะได้ผลหรือไง

err

ไม่ได้ยอนะ  มัน โอเคมากครับ สนุกไหลลื่น อาจะมีคำผิดอยู่บ้าง ก็คิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย

Nattanan Tst

เจอของจริงแล้วอีหนู มาลองดีกับอาจารย์เจษ อย่างนี้ต้องเจอเสกเด็กเข้าท้อง ::Evil::

jongjo

นอกจากอาจารย์เจษ จะหนังเหนียวแล้วยังยังจะมีของอีกด้วย อย่างนี้ค่อยจะมีอะไรไปสู้กับพวกกำนันกน่อยเริ่มมันล่ะ

peddo

ช่วงหลังนี่อาจารย์เจษการ์ดตกมากเลยนะครับ มีตัวละครซึ่งไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไรเข้ามาใหม่อีก เรื่องเลยซับซ้อนขึ้นไปอีก ซึ่งก็น่าสนใจมาก ไม่ชอบให้มันดาร์กมากจนหมดหวัง หรือสะดวกมากจนไม่ต้องลุ้น ขนาดนี้กำลังดีครับ สุดแต่ผู่แต่งเลยครับ ได้ติดตามอ่าน งงงวยกับเหตุการณ์ที่พลิกผันก็สนุกแล้วครับ


Pong Sak


zero009

ตัวละครลึกลับโผล่มาอีกแล้วหรือพระเอกหลายร่าง

psm_mach

บ้านนี้มีของจริงๆ แต่เป็นของของใคร เจษฎาไม่ค่อยได้พูดดีๆกับอริสาทั้งๆที่ดูสงสารและเห็นใจ ยังไงก็ทำให้ดูว่าเจษฎายังมีมโนธรรมอยู่ ไม่ใช่จะแก้แค้นอย่างเดียวไม่คำนึงถึงคนไม่เกี่ยวข้อง