ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_llOUllnJllUUllSJllSJ

จ้าวโลก EP.19 (NTR/Harlem/Super Power)

เริ่มโดย llOUllnJllUUllSJllSJ, มีนาคม 31, 2021, 11:06:43 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

llOUllnJllUUllSJllSJ

สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิก xonly8 อ่านเต็มได้ที่ https://fictionlog.co/b/6053b2ece9cbb4001caf362f


ใกล้ได้เวลานัดหมายรถที่สตีฟจะส่งมารับผมกับอีฟแล้ว แต่ผมยังคงสาละวนกับการแต่งตัว แม้จะเป็นแค่เสื้อเชิ๊ต ผูกเน็คไทด์ สวมทับด้วยเสื้อสูทที่สั่งตัดมา แต่การผูกเน็คไทด์สำหรับมือใหม่อย่างผมนี่บอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องง่าย

ก๊อกๆๆ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น คงเป็นอีฟที่มาตามผมแล้ว

"เสร็จยังพี่" อีฟถามคำแรกในทันทีที่ผมเปิดประตูพร้อมๆกับที่เธอเดินสวนเข้าประตูมาอย่างที่เธอเคยทำเป็นปกติ หากเพียงแต่ว่า ในครั้งนี้ สิ่งที่ไม่เหมือนเดิม คืออีฟอยู่ในชุดราตรีเกาะอกสีแดงเลือดหมูพร้อมรองเท้าส้นสูงสีเดียวกัน ขับผิวขาวอมชมพูของเธอให้มีออร่าและเด่นจนผมได้แต่ยืนมองตาค้างด้วยความอึ้ง

"จะมองอีกนานมั้ยเนี่ย เสร็จรึยัง" อีฟหน้ามุ่ยถามผมย้ำอีกครั้ง ทำให้ผมคืนสติกลับมา

"เอ้อ อ้อ ยัง ยังผูกเน็คไทด์ไม่เสร็จเลย รอแปป" ผมพยายามฝืนสายตาตัวเองไม่ให้มองไปที่เธอมากนัก แม้จะยอมรับว่ายากจริงๆ เพราะอีฟนั้นดึงดูดสายตาผมมาก

"ไหนมานี่ซิ" อีฟวางกระเป๋าถือของเธอพลางเดินมายืนหน้าผมแล้วก็เริ่มต้นจับเน็คไทด์และผูกใหม่

ณ ขณะนี้ ผมทำได้แค่ยืนตัวแข็งทื่อ ผมไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง และถ้าทำได้ ผมก็อยากจะควบคุมให้หัวใจผมเต้นช้าลงอีกซักหน่อย เพราะตอนนี้ ใบหน้าสวยของอีฟที่อยู่ห่างจากผมไม่ถึงคืบ มันเย้ายวนใจจนผมใจเต้นอย่างรุนแรง ให้ตายสิ ผมพยายามห้ามตัวเองแล้วนะ ขืนหัวใจเต้นแรงแบบนี้ อีฟก็รู้กันพอดีสิ

"ถึงกับตื่นเต้นเลยเหรอมีสาวสวยมาผูกเน็คไทด์ให้" อีฟพูดยิ้มๆในขณะที่สองมือเธอยังคงขยับปมเน็คไทด์

"...  " ผมอยากจะตอบเธอเหลือเกิน อยากจะต่อปากต่อคำกับเธอ อยากจะกวนเธอเล่น แต่สิ่งเดียวที่ผมทำได้ตอนนี้ คือทำได้แค่ยืนนิ่งเงียบ มองใบหน้าสวยของเธอที่กำลังสะกดผมให้ยืนอยู่เฉยๆราวกับเธอคือเมดูซ่า

"เอ้า เสร็จแล้ว" อีฟขยับปมเน็คไทด์ให้แน่นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะถอยออกพร้อมส่งยิ้มให้ เห้อ ผมคิดว่ารอยยิ้มของแทนสวยที่สุดในโลกแล้วนะ มาเจอรอยยิ้มแบบนี้ของอีฟ เล่นเอาซะผมก็หวั่นไหวเหมือนกัน

"ขอบคุณนะ" ผมตอบเธอไปด้วยความประหม่า

"ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่พี่แต่งตัวแบบนี้แล้วก็ดูดีขึ้นนะเนี่ย" อีฟยืนกอดอกมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

"แล้วปกติพี่ไม่ดูดีเหรอ" ผมถามเธอกลับด้วยน้ำเสียงขำๆ

"ไม่อ่ะ" เธอรีบปฏิเสธทันควัน

"หึ ใช่สิ งั้นพี่จะแต่งตัวแบบนี้ทุกวัน" ผมหันหลังไปหยิบเสื้อสูทมาใส่พร้อมกับแค่นเสียงพูดด้วยความน้อยใจ

"ทำไมคะ อยากให้อีฟเห็นว่าพี่ดูดีแบบตอนนี้ตลอดเหรอ" อีฟถามผมด้วยน้ำเสียงขำกึ่งแซว

"หึ อย่ามาหลงเสน่ห์พี่ก็แล้วกัน" ผมแกล้งทำเสียงงอนๆบอกเธอไป

"ไม่มีวันย่ะ" อีฟตอบกลับในทันที ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจนัก เป็นนิสัยเธอที่ชอบพูดเล่นกับผมก่อนจะตัดความหวังผมตลอดแบบนี้อยู่แล้ว

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะตอบอะไร ผมกลับได้ยินอีกเสียงที่ดังลอยมาจากที่ไกล ผมไม่แน่ใจว่าเสียงนั้นดังมาจากทิศไหน แต่ผมมั่นใจแน่ๆว่า นั่นคือเสียงของอีฟ

'แค่นี้ก็หลงเสน่ห์แล้วไอ้พี่บ้า~' ผมหันควับไปที่อีฟทันที แม้ว่าเสียงจะไม่ได้มาจากทิศทางนั้น แต่เพราะในห้องนี้มีเพียงแค่ผมกับเธออยู่กันแค่สองคน แล้วเสียงนั้นจะมาจากไหนได้อีก

"อีฟว่าอะไรนะ" ผมถามเธอกลับไป

"เปล่านี่ ทำไมเหรอ" อีฟปฏิเสธพลางหรี่ตามองหน้าผม

ก่อนที่จะทันได้โต้ตอบอะไรกันนั้น สตีฟก็โทรมาบอกว่า รถที่สตีฟส่งมารับเรานั้น มาจอดรอที่ด้านล่างคอนโดแล้ว

......


รถที่มาส่งเราได้จอดหน้าบ้านแห่งหนึ่ง มีรั้วสูงและป้อมยามแน่นหนา และแม้ว่าจะไม่มีป้ายบ่งบอกว่าที่นี่คือสถานที่ใด แต่เราก็เป็นอันรู้กันว่า เรามาถึงที่หมายแล้ว

รปภ.ที่ประตูเปิดประตูให้ในทันที่คนขับรถของเราแสดงบัตร และจากป้อมยามนั้น รถก็ยังคงเคลื่อนตัวตามถนนเล็กๆที่ปูด้วยอิฐอย่างดีทอดยาวผ่านสวนหย่อมเข้าไปจอดที่เทอเรซหน้าบ้าน ก่อนจะมีคนมาเปิดประตูให้

"สวัสดีครับ คุณท่านต่อและคุณท่านเอเวอร์ลีนใช่มั้ยครับ" ชายหนุ่มในชุดบริกรโค้งตัวกล่าวทักทายอย่างสุภาพนอบน้อมในขณะที่ผมเอื้อมมือไปจับอีฟที่กำลังลงจากรถ

"ใช่ครับ" ผมหันไปตอบ

"เชิญทางนี้ครับ" บริกรคนนั้นเดินนำเราเข้ามาลงทะเบียนงาน ผมไม่แน่ใจว่างานเลี้ยงชั้นสูงที่อื่นจะมีการตรวจตราอะไรเคร่งมั้ย แต่สำหรับที่นี่แล้ว ทุกอย่างดูง่ายมาก ราวกับบริกรเหล่านั้นรู้จักผมกับอีฟอยู่แล้ว

"คนของ ZINA" อีฟกระซิบบอกผมเบาๆ เธอคงเข้าใจว่าผมสงสัย และนั่นทำให้ผมเข้าใจได้ว่าทำไมคนเหล่านั้นถึงรู้จักผม

งานเลี้ยงนั้นจัดในตัวบ้าน แขกส่วนใหญ่ยืนคุยกันอยู่ที่ห้องโถ ผมประมาณการคร่าวๆด้วยสายตาราว 20 คนไม่รวมบริกร ที่มุมห้องนั้นมีวงดนตรีทรีโอที่เป็นเครื่องดนตรีสามชิ้น คือเซลโล่ ไวโอลิน และวิโอล่า คอยบรรเลงเพลงคลาสสิค มองเลยไปด้านในห้อง ก็พบโต๊ะอาหารยาวที่จัดเตรียมที่นั่งไว้น่าจะพอดีกับแขก

แขกส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติ ผมเดาว่าเป็นชาวอเมริกันที่อยู่ในไทย ซึ่งการมางานครั้งนี้ ผมกับอีฟอยู่ในฐานะแฟนกัน โดยอีฟจะปลอมเป็นลูกสาวเศรษฐีชาวอเมริกันที่มีแฟนเป็นคนไทย ซึ่งก็คือผม เป้าหมายหลักของเราคือท่านฑูต ผมต้องโน้มน้าวจิตใจให้ท่านฑูตมีแนวคิดสนับสนุนประเทศไทยให้ได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ซึ่งนั่นคือเรื่องยากมากๆ เพราะในทางการฑูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแล้ว การตัดสินใจใดๆไม่ได้ขึ้นอยู่กับท่านฑูตคนเดียว แต่อย่างไรก็ตาม ท่านฑูตคือโอกาสที่ใกล้ที่สุดที่เราจะสามารถทำได้ นอกจากนี้ ผมก็ไม่รู้ว่า สตีฟนั้นได้เตรียมการฝั่งสหรัฐฯอะไรอย่างไรบ้าง ซึ่งผมเชื่อว่า คนแบบสตีฟ น่าจะไม่ทำอะไรโดยไม่เตรียมการมาก่อนแน่

"พี่ เราต้องเริ่มด้วยการทำความรู้จักคนในงาน แล้วทำให้พวกเขาเข้าใจว่า เขารู้จักและสนิทกับเรา เวลาคุยกับท่านฑูตเราจะได้ดูเป็นคนสำคัญ" อีฟกระซิบบอกแผนการกับผมเบาๆ ผมพยักหน้าหงึกๆ

"แล้วจะเริ่มจากใครดี พี่พูดไม่เก่งด้วยนะ" ผมถามเธอกลับไปพลางกวาดสายตามองไปทั่วห้องเพื่อหาเป้าหมายรายแรก

"อย่าลืมสิ พี่มากับอีฟนะ คู่นั้นตอนนี้กำลังเปิดใจพร้อมทำความรู้จักคนอยู่ ตอนเราเดินเข้าไปหาพวกเขา พี่โน้มน้าวจิตใจเลยนะ ให้เขาคิดว่ารู้จักเรา" อีฟยักคิ้วให้ผมพร้อมกับทำหน้าตามั่นใจ ก่อนจะจับมือผมเดินไปหาคู่สามีภรรยาต่างชาติคู่หนึ่งที่ยืนอยู่มุมห้อง

ในระหว่างที่กำลังเดินตามแรงลากดึงของอีฟนั้น ผมก็จ้องไปที่คนที่เป็นสามี พลางคิดในใจว่า 'พวกเขารู้จักเรา' ย้ำไปย้ำมา จนกระทั่งเราเดินไปถึงทั้งคู่

"ไฮ จำพวกเราได้มั้ยคะ" อีฟยิ้มกว้างทักทายเป็นภาษาอังกฤษแก่คู่สามีภรรยานั้นที่ทำหน้างงๆ

"เอ่อ.." คนที่เป็นสามีจ้องหน้าอีฟพลางทำท่านึก ตอนนี้ผมไม่แน่ใจว่าพลังของผมมันสัมฤทธิ์ผลหรือยัง อันที่จริง พอคนที่เป็นสามีออกอาการแบบนั้น ผมก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วล่ะ

"เอเวอร์ลีนไง ลูกสาวของพอล พอล แม็คคาเทียร์ เจ้าของแกรนด์ไลน์ เว็นเชอร์ กรุ๊ป จำได้มั้ยคะ" อีฟบอกชื่อจริงตัวเองย้ำไปอีกทีพร้อมกับบอกชื่อคนที่เธออ้างว่าเป็นพ่อ ผมไม่แน่ใจว่าเป็นชื่อพ่อเธอจริงๆมั้ย แต่คิดว่าไม่น่าใช่ โดยเฉพาะหลังจากที่เธอบอกว่าเป็นเจ้าของแกรนด์ไลน์อะไรนั่น

"อ๋ออ จำได้แล้ว ฮันนี่จำได้มั้ย พอลไง ที่เคยมาคุยกับเรา" คนที่เป็นสามีทำท่าทางเหมือนเพิ่งนึกออก พลางหันมาบอกภรรยาของเขา

"อ๋อ จำได้ๆ โอ้โห ไม่รู้มาก่อนเลยว่าพอลมีลูกสาวโตเป็นสาวสวยขนาดนี้" ภรรยาที่ดูมีอายุพอสมควรชมอีฟกลับ

"แหม ไม่ขนาดนั้นค่ะ แต่.. อีฟจำหน้าคุณสองคนได้ แต่จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร พอดีตอนที่อีฟเจอพวกคุณอีฟยังเด็กมากเลย..." อีฟบอก ทำให้ผมเริ่มเข้าใจว่า จริงๆแล้วทั้งเราและคู่สามีภรรยานั้นไม่ได้รู้จักกันหรอก แต่เป็นผลมาจากการใช้พลังของผมนั่นเอง

"ผมโทนี่ ส่วนนี่ภรรยาผม แคทเทอลีน" โทนี่หันมาแนะนำพลางยิ้มกว้าง

"อ๋อ ยินดีที่ได้เจออีกครั้งค่ะ ส่วนนี่ แฟนของอีฟ ชื่อต่อค่ะ เป็นคนไทย" อีฟหันมาแนะนำผมให้พวกเขารู้จัก

"ยินดีที่ได้รู้จักครับโทนี่ แคทเทอลีน" ผมพูดภาษาอังกฤษงูๆปลาๆไปพลางยื่นมือไปเชคแฮนด์

"ยินดีที่ได้รู้จักครับ" โทนี่ตอบกลับผม

"ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ"

ตัวผมเองนั้น ก็ไม่เชิงว่าจะพูดไม่เก่งซะทีเดียว บางครั้งผมก็คุยกับคนแปลกหน้าได้ แต่บางครั้งก็ไม่มีเรื่องจะคุยเหมือนกัน แต่โชคดีที่อีฟนั้นสามารถหาประเด็นมาคุยได้เรื่อยๆ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเธอเข้าใจความคิดและความรู้สึกของคู่สนทนาได้ ทำให้เธอรู้ว่าควรพูดอะไรตอนไหน

นอกจากนี้ ด้วยผลจากการใช้พลังของผม อีฟก็ยิ่งป้อนข้อมูลเท็จเข้าสมองของโทนี่และแคทเทอลีนเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ด้วยชุดข้อมูลปลอมที่บอกว่า ทั้งคู่นั้นสนิทสนมกับคุณพ่อของอีฟที่เป็นนักธุรกิจดัง ที่สำคัญคือ ทั้งคู่นั้นเคยสนิทถึงขั้นได้รับความช่วยเหลือทางด้านการเงินจากคุณพ่อของอีฟจนสามารถตั้งตัวเป็นเศรษฐีได้ แน่นอนว่า ข้อมูลทั้งหมดนั้นปลอม อีฟแค่พูดขึ้นมาสดๆ และสองคนนั้นก็เชื่อฝังใจในชุดข้อมูลนั้นเป็นตุเป็นตะ

"น่าอิจฉาพอลนะ ที่มีลูกสาวสวยและเก่งแบบนี้ แถมมีลูกเขยดีแบบต่อด้วย" แคทเทอลีนหันไปคุยกับสามีเธอ

"นั่นสิ เดี๋ยวช่วงที่เราบินกลับสหรัฐฯ เราต้องแวะไปเยี่ยมพอลซักหน่อยแล้ว เจอกันครั้งล่าสุดนี่จำไม่ได้เลยว่าเมื่อไหร่ เอ.. ว่าแต่พอลอยู่ที่รัฐไหนนะ" โทนี่หันไปตอบแคทเทอลีน ภรรยาของเขาก่อนจะหันมาถามอีฟในประโยคสุดท้าย

"ฟลอริด้าค่ะ เดี๋ยวอีฟบอกคุณพ่อให้ว่าโทนี่กับแคทเทอลีนฝากความคิดถึง" อีฟยิ้มกว้างตอบสองสามีภรรยานั้นไป โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่า สิ่งที่พูดคุยกันมาทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องปลอมๆ แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเขาหลงเชื่อในความสัมพันธ์ที่อีฟพูดขึ้นมามั่วๆ คิดๆดูแล้ว พลังของผมนี่มันก็น่ากลัวจริงๆแฮะ

หลังการสนทนากับโทนี่และแคทเทอลีนนั้น ผมกับอีฟยังคงต้องสร้างความสัมพันธ์ปลอมๆกับแขกในงานอย่างต่อเนื่อง ในตอนแรกสุด แม้ว่าเราเข้างานมาได้ด้วยการอำนวยความสะดวกจากสตีฟ แต่ก็ไม่มีแขกในงานรู้จักเราเลย จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องทำความรู้จักแขกเหล่านั้น เพื่อจะสร้างความไว้ใจในจากตัวท่านฑูตให้ได้มากที่สุดก่อนได้

เราสองคนเริ่มต้นเดินไปคุยและทำความรู้จักกับแขกคนอื่นๆ คู่ที่สองนั้นเป็นนักธุรกิจชาวสหรัฐฯที่ทำธุรกิจด้านการสื่อสารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอีกคู่เป็นเจ้าหน้าที่ฑูตพิเศษขององค์การสหประชาชาติประจำประเทศไทย

แม้ว่าผมจะรู้จักอีฟมาสักพักแล้ว แต่ผมก็ยังคงทึ่งกับความสามารถในการเข้ากับคนได้ของเธอจริงๆ จริงอยู่ว่าคงเป็นเพราะความสามารถพิเศษด้วยแหละ แต่ผมกล้าพูดเลยว่า ต่อให้ไม่มีความสามารถพิเศษใดๆ ถ้าใครได้ลองคุยกับอีฟแล้ว เป็นใครก็ต้องเปิดใจแน่นอน

แล้วเป้าหมายสำคัญของเราก็มาถึง

ท่านฑูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย มิสเตอร์ริกกี้ เดนเวอร์ กับภริยา แอนเดรีย เดนเวอร์ เดินควงคู่กันลงมาทักทายกับแขกในงานอย่างสนิทสนม แน่นอนว่า ท่านทั้งสองต้องรู้จักแขกทุกคนในงานอยู่แล้วถึงเชิญมาได้

และแม้ว่าผมกับอีฟนั้นจะสร้างความสัมพันธ์ปลอมๆกับคนในงานไปเยอะแล้วก็ตาม แต่กับท่านฑูตและภริยานั้น เรายังไม่เคยได้คุยหรือเข้าถึงตัวเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น ตรงนี้เป็นจุดยากนิดหน่อยที่จะต้องรีบเข้าถึงตัวท่านฑูตและใช้พลังทำให้ท่านฑูตเข้าใจว่ารู้จักพวกเราก่อนที่ท่านฑูตจะพูดอะไรแปลกๆออกมา

"มาแล้วพี่ เดี๋ยวเราต้องเข้าไปคุย พี่พร้อมมั้ย" อีฟหันมาถามผมในตอนที่ท่านฑูตและภริยาเดินมาใกล้เราสองคน

"พร้อม" ผมพยักหน้าบอกเธอพลางเริ่มต้นมองไปที่ท่านฑูตริกกี้และเริ่มคิดในใจวนไปวนมาทันทีว่า 'ท่านฑูตรู้จักเรา'

แต่ยังไม่ทันที่จะได้เริ่มอะไรต่อ ท่านฑูตก็เดินมาใกล้และหันไปทักโทนี่กับแคทเทอลีนที่ยืนใกล้ๆเราสองคน

"ไฮ โทนี่ เป็นยังไงบ้าง ขอบคุณที่มานะ" ท่านฑูตริกกี้สวมกอดกับโทนี่อย่างสนิทสนมในขณะที่แอนเดรีย ภริยาของท่านฑูตจับมือทักทายกับแคทเทอลีน

"สบายดีครับ ท่านฑูตสบายดีนะครับ" โทนี่ถามกลับ

"สบายดี ธุรกิจเป็นยังไงบ้างตอนนี้" ท่านฑูตถาม

"ไปได้สวยครับ ต้องขอบคุณท่านฑูตที่ผลักดันโครงการนั้นให้" โทนี่ยิ้มกว้างบอก

"ยินดีๆ แต่ยังไงก็ตามข่าวหน่อยละกัน ช่วงนี้สถานการณ์ในเอเชียเริ่มจะระอุขึ้น" ท่านฑูตกระซิบบอกโทนี่ แน่นอนว่า ผมได้ยินที่ทั้งคู่พูด

"ได้เลย เออนี่ จำพอลได้มั้ย นี่เอฟเวอร์ลีน ลูกสาวพอล" โทนี่ทำท่านึกได้ที่ผมกับอีฟยืนใกล้ๆ จึงดึงมือท่านฑูตริกกี้ให้มาคุยกับอีฟและผม

"พอล พอลไหน" ท่านฑูตขมวดคิ้วถามพลางทำหน้าสงสัย

ตอนนี้เป็นจังหวะสำคัญ ถ้าผมไม่สามารถโน้มน้าวใจท่านฑูตได้ ก็คงต้องมีเรื่องต้องทำกันอีกยาว ผมเริ่มต้นจ้องไปที่ท่านฑูตและใช้ความคิดวนไปวนมาอีกครั้ง 'ท่านฑูตรู้จักพอล พ่อของอีฟ'

"สวัสดีค่ะท่าน อีฟค่ะ ลูกสาวของพอล แม็คคาเทียร์ค่ะ" ผมไม่รู้ว่าอีฟคิดอะไร แต่ยังไม่ทันที่อีฟจะรอสัญญาณจากผม เธอก็เข้าไปทักท่านฑูตทันที

ท่านฑูตยื่นมือมารับการเชคแฮนด์จากอีฟตามมารยาท แต่สีหน้าของท่านฑูตนั้น ผมมองออกว่ายังคงสงสัย หรือว่าครั้งนี้ผมจะใช้พลังกับท่านฑูตไม่สำเร็จเหรอ?

"พอล... พอลไหนนะ ขอโทษที่เสียมารยาท" ท่านฑูตยังคงจับมือกับอีฟพร้อมกับทำหน้าสงสัยไปด้วย

"พอล ซีอีโอ แกรนด์ไลน์ เว็นเชอร์ กรุ๊ป ไง ท่านฑูตจำไม่ได้เหรอ" โทนี่ที่ยืนใกล้ๆพูดเสริม

ถึงตรงนี้ ผมทำได้เพียงโฟกัสความคิดของผมเอง แล้วคิดวนไปเวียนมาซ้ำๆ เพื่อควบคุมความคิดท่านฑูตให้ได้

"อ๋อ.. แกรนด์ไลน์ เว็นเชอร์ จำได้แล้ว โอ้โห ไม่รู้มาก่อนเลยว่ามีลูกสาวสวยขนาดนี้ คุณพ่อสบายดีมั้ย" ท่านฑูตทำหน้านึกออกพลางพูดออกมา

"สบายดีค่ะท่าน คุณพ่อฝากความคิดถึงท่านฑูตมาด้วยค่ะ" อีฟว่า

"ขอบคุณมาก ฝากความคิดถึงคุณพ่อเช่นกันนะ" ท่านฑูตตอบกลับ


ผมโชคดีที่มากับอีฟ จริงๆควรจะพูดว่า คนที่ทำงานจริงๆนั้นคืออีฟมากกว่า เพราะเธอทำหน้าที่ในการพูดคุยกับคนโน้นคนนี้ ผมทำอย่างเดียวคือทำตัวเป็นเหมือนแฟนของอีฟ แล้วคอยเออๆออๆไปตามเรื่อง พร้อมๆกับใช้ความสามารถในการโน้มน้าวจิตใจของคู่สนทนา ให้เชื่อในสิ่งที่อีฟบอก

แน่นอนว่า เราไม่สามารถโน้มน้าวจิตใจคนที่ไม่มีความคิดแบบนั้นอยู่ใต้จิตสำนึก แต่การที่ทุกคนอยู่ในงานเลี้ยงภายในที่ทุกคนเชื่อว่า คนในงานคือคนสนิทท่านฑูต นั่นคือการทำลายกำแพงไปได้แล้วชั้นหนึ่ง ซึ่งทำให้ยิ่งไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผมเลยในการจะโน้มน้าวใจใคร

แล้วเวลาอาหารก็มาถึง

ในงานเลี้ยงที่มีการทานอาหารค่ำแบบนี้ สิ่งหนึ่ง ที่สำคัญคือตำแหน่งการนั่ง ด้วยความที่เจ้าภาพนั้นจะนั่งได้แค่จุดเดียว ดังนั้น แขกจะนั่งห่างจากเจ้าภาพของงานตามลำดับความสำคัญ คนที่สนิทหรือมีความสำคัญมาก ก็จะนั่งอยู่ใกล้เจ้าภาพ เพื่อโอกาสในการพูดคุยและแสดงถึงความสนิทสนม

และนี่คือปัญหา

แม้ว่าเราจะโน้มน้าวจิตใจใครหลายคนในงานรวมถึงท่านฑูตให้เข้าใจว่ารู้จักเราแล้ว แต่การจัดลำดับที่นั่งนั้นจะเป็นการเตรียมการก่อนงานเริ่ม ซึ่งนั่นเป็นตอนที่คนในงานยังไม่มีใครรู้จักเราเลย ดังนั้น จึงไม่แปลกใจที่ตำแหน่งที่นั่งของผมกับอีฟนั้น แทบจะอยู่ริมสุดและไกลจากท่านฑูตที่สุด

"เอาไงดีอีฟ ลองแบบนี้เราคุยเรื่องนั้นไม่ได้แน่" ผมกระซิบถามเธอเบาๆในระหว่างที่บริกรประจำตำแหน่งเริ่มต้นเสิร์ฟอาหาร

"อีฟว่าถ้าจะคุยที่โต๊ะอาหาร อาจจะยาก เพราะยังมีอีกหลายคนที่เรายังไม่ได้ 'ทำความรู้จัก'" อีฟพูดแล้วมองไปที่แขกอีกกลุ่มหนึ่งที่นั่งฝั่งตรงข้ามเยื้องๆเรา

"แล้วเราจะมีจังหวะคุยตอนไหนล่ะ" ผมถามเธอด้วยความกังวลใจ แม้จะรู้คำตอบว่า เธอก็ไม่มีคำตอบให้ผมเช่นกัน


คงเป็นโชคดีของผม ที่มีโอกาสได้ฝึกมารยาทและธรรมเนียมการทานอาหารแบบนี้มาแล้วสองวันติดกับทั้งอีฟและแทน นั่นทำให้อาหารมื้อสำคัญมื้อนี้ ผมสามารถวางตัวได้อย่างไม่เคอะเขิน และในสายตาของแขกคนอื่นๆก็เข้าใจว่าผมคือแฟนหนุ่มของอีฟ ที่เป็นลูกสาวของนักธุรกิจดังในสหรัฐฯที่จริงๆแล้วไม่ได้มีตัวตนจริงๆซะด้วยซ้ำ

อาหารมื้อนี้ผ่านไปตามที่มันควรจะเป็น แต่ละจานที่ถูกเสิร์พมานั้นรังสรรค์จากเชฟระดับหัวกะทิ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า รสชาติของอาหารในแต่ละจานนั้นจะเยี่ยมแค่ไหน

ในอีกแว๊บหนึ่งของความคิด แม้จะรู้ว่านี่คือชีวิตปลอมๆของเราสองคน แต่ผมกลับรู้สึกดีกับหัวโขนที่เราสร้างขึ้น และยิ่งไปกว่านั้น ผมรู้สึกดีมากๆเวลาแขกคนอื่นพูดชมว่าเราสองคนเหมาะสมกัน จนบางที ผมก็อยากให้เรื่องโกหกของเรานี้ กลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา..

หลังอาหาร แขกหลายคนก็เริ่มขอตัวกลับ ในขณะที่ผมกับอีฟยังไม่สามารถหาโอกาสที่จะคุยกับท่านฑูตริกกี้เป็นการส่วนตัวได้เลย เพราะมีแขกคนสำคัญคนอื่นเข้าไปคุยด้วยตลอดเวลา

"อีฟ เราไม่มีจังหวะเลย เอาไงดี" ผมถามอีฟเสียงเบาด้วยความร้อนใจ เพราะดูจากสถานการณ์ที่แขกหลายคนเริ่มขอตัวกลับนั้น แสดงว่าเวลาของเราใกล้จะหมดแล้ว

"เอางี้ อีฟคิดออกแล้ว พี่เห็นโทนี่กับแคทเทอลีนใช่มั้ย" อีฟโบ้ยปากไปที่โทนี่กับแคทเทอลีนที่กำลังยืนคุยกับแขกท่านอื่นอยู่

"อ่าหะ เห็น แล้วไงต่อ" ผมถามเธอ

"อีฟสังเกตว่า โทนี่กับท่านฑูตค่อนข้างสนิทกัน งั้นเดี๋ยวเราไปคุยกับโทนี่ แล้วพี่โน้มน้าวจิตใจให้โทนี่พาเราไปคุยกับท่านฑูต เรื่องอะไรก็ได้ เหมือนนั่งคุยกันสนุกๆอะไรประมาณนั้น" อีฟบอกแผนการณ์กับผม

"โอเค" ผมรับคำอีฟ นาทีนี้ ต้องบอกว่าอีฟนี่แหละ คือหัวหน้าทีมมากกว่าผมซะอีก

อีฟเดินนำผมเข้าไปหาโทนี่กับภรรยา แล้วก็เอ่ยปากขึ้น

"โทนี่ เดี๋ยวเราสองคนอาจจะต้องขอตัวกลับแล้วนะคะ" อีฟว่า เล่นเอาซะผมงง แต่ทันใดนั้น ผมก็เข้าใจว่า นั่นคือวิธีการพูดของอีฟ และผมควรต้องโน้มน้าวใจโทนี่ให้ชวนอยู่คุยกันต่ออีกสักหน่อย

เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมก็เริ่มต้นตั้งสมาธิและคิดวนในใจทันที

'โทนี่ชวนเราคุยต่อกับท่านฑูต' ประโยคนี้ดังก้องในสมองผม ถ้าการทำงานของมันถูกต้อง มันคงจะส่งสัญญาณไปที่สมองของโทนี่ และทำให้โทนี่รั้งไว้ไม่ให้ผมกับอีฟรีบกลับ

"อ่าว จะกลับแล้วเหรอ เดี๋ยวก่อนสิ ยังคุยกันได้ไม่เท่าไหร่เลย ไปนั่งดื่มกาแฟกันมั้ย จะได้คุยกับท่านฑูตด้วย" โทนี่ว่า นั่นแหละ คือสิ่งที่ผมต้องการ หลังๆมานี่ ผมเริ่มใช้พลังในการโน้มน้าวจิตใจคล่องขึ้นแฮะ

"เอางั้นเหรอคะ" อีฟทำดึงเชิงเล่นตัว ก่อนที่แคทเทอลีนจะเดินมาคล้องแขนอีฟแล้วพาเดินไปทางท่านฑูต

"น่า จะได้คุยกันต่อ ตอนนี้คุณพ่อสนใจจะมาลงทุนในเอเชียมั้ย" แคทเทอลีนถามอีฟในขณะที่ทั้งคู่เดินคล้องแขนกัน

"คุณพ่อสนใจอยู่ค่ะ แต่คงไม่ได้ลงมาจัดการด้วยตัวเอง คุณพ่อให้อีฟมาศึกษาเพื่อหาช่องทางการลงทุนค่ะ" อีฟว่า

"แหม ศึกษาจนได้แฟนเป็นหนุ่มไทยเลยนะ" เสียงแคทเทอลีนกระซิบกระซาบกับอีฟ แน่นอน ผมได้ยินเหมือนเคย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแคทเทอลีนพูดเสียงดังหรือประสาทการรับรู้ของผมดีขึ้นกันแน่

แล้วเรา 4 คนก็เดินมาถึงท่านฑูตที่กำลังนั่งจิบกาแฟหลังอาหารคุยกับแขกอีก 2 คนอยู่ ให้ตายสิ กินกาแฟตอนนี้ แล้วจะหลับตอนไหนเนี่ย

ตอนนี้กลายเป็นว่า ในวงสนทนานั้นมี 7 คน คือท่านฑูต แขกที่ผมไม่รู้จักอีก 2 คน โทนี่กับแคทเทอลีน ผมกับอีฟ

บทสนทนานั้นก็เป็นเรื่องทั่วๆไป ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์การเมืองในสหรัฐฯ การเลือกตั้งประธานาธิบดี หรือนโยบายการเมืองระหว่างประเทศต่างๆ ถึงตรงนี้ อีฟได้ที จึงเอ่ยปากพูดขึ้น

"ท่านริกกี้คะ ตอนนี้นโยบายด้านความสัมพันธ์ของสหรัฐฯกับไทยนี่ดีขึ้นบ้างมั้ยคะ" อีฟถามพลางเอาเท้ามาสะกิดผม ผมเข้าใจได้ว่า เธอส่งสัญญาณให้ผมเริ่มโน้มน้าวจิตใจท่านฑูต

ผมจึงเริ่มต้นมองไปที่ท่านฑูตและคิดในใจซ้ำไปเวียนมาทันทีว่า 'ท่านฑูตจะสนับสนุนประเทศไทยในทุกๆสถานการณ์ และจะผลักดันนโบายนี้ให้เป็นนโบายที่มาจากทำเนียบขาวให้ได้'

"ก็ดีขึ้นเยอะนะ แต่เราก็ไม่ได้ออกตัวอะไรมากหรอก เพราะในเวทีโลก เราไม่สามารถสนับสนุนประเทศที่อยู่ในสถานะนี้ได้อย่างออกนอกหน้า" ท่านฑูตตอบกลับ

"แต่ผมก็ว่าดีนะ แบบนี้ทำให้ทำธุรกิจง่ายด้วย" โทนี่ว่าพลางยกแก้วกาแฟซด

"เรื่องธุรกิจก็อย่างหนึ่ง แต่ที่สำคัญคือนโบายด้านการทหารและเศรษฐกิจนะสิ" ท่านฑูตริกกี้หันไปบอกโทนี่

"สำคัญยังไงเหรอคะ" อีฟถาม

"พวกเราก็รู้ ว่าตอนนี้จีนพยายามก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของโลก ที่สำคัญตอนนี้ ถ้าเป็นในภูมิภาคนี้แล้ว ประเทศไทยคือพันธมิตรที่สำคัญของพวกเราทั้งในด้านยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจนะ ตอนนี้จีนล้อมเอเชียไปเกือบหมดแล้ว อย่างประเทศรอบๆไทยถ้าไม่รวมทิศใต้นี่ ก็อยู่ในมือจีนไปหมดแล้ว ทีนี้ถ้าเราปล่อยไทยไป จะกลายเป็นว่า ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ จะมีแค่สิงคโปร์ที่เดียวที่เป็นพันธมิตรสำคัญ ที่สำคัญคือ สภาพภูมิศาสตร์มันไม่เอื้อถ้าเกิดมีสงครามหรือความขัดแย้งใดๆเกิดขึ้น" ท่านฑูตริกกี้อธิบายมายาว

"แต่สิ่งที่จีนทำ ก็เหมือนกับสิ่งที่เคยทำมาตอนวิกฤติคิวบาปี 62 นะครับ ถึงตรงนี้นี่คือเราก็แทบจะจ่อหน้าบ้านจีนเหมือนกัน" แขกที่ผมไม่รู้จักชื่อพูดขึ้น

"ฮ่ะๆ ก็จริง คุณนี่สมกับเป็นอัจฉริยะด้านเศรษฐกิจจริงๆ" ท่านฑูตริกกี้หัวเราะแล้วไปชมแขกคนนั้น

"แน่นอน สำหรับผม ผมไม่เห็นด้วยกับท่าทีที่แข็งกร้าวของเราเท่าไหร่ มันจะกลายเป็นการเผชิญกันซะเปล่าๆ สู้มาร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ ทุกอย่างน่าจะไปได้ดี" แขกคนนั้นพูด

"แต่คุณก็รู้ จีนไม่ได้พอใจแค่นี้น่ะสิ ถ้าพวกเขาต้องการอะไร พวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา ดูอย่างทะเลจีนใต้ตอนนี้สิ" โทนี่พูดขัดกับแขกคนนั้น

"มันก็ใช่นะ แต่ผมว่านี่คืองานของคนอย่างท่านฑูตริกกี้นี่แหละ ที่จะต้องคอยประสานรอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆเข้าด้วยกัน ผมชื่นชมคนอย่างท่านมาก" แขกคนเดิมพูด

"ขอบคุณครับ ผมก็หวังว่าจะทำให้ดีที่สุด เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของประเทศเรานี่แหละ" ท่านฑูตริกกี้ตอบ

"ท่านคะ แล้วแบบนี้ แสดงว่า สหรัฐฯจะอยู่เบื้องหลังและสนับสนุนไทยในทุกเรื่องเหรอคะ" อีฟถามเข้าประเด็น

"ตามนโยบายที่ผมได้รับมาจากท่านประธานาธิบดี ก็ต้องตอบว่าใช่นะ ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อประโยชน์สำหรับนักธุรกิจอย่างพวกคุณด้วยนี่แหละ" ท่านฑูตริกกี้ตอบ

ถึงตรงนี้ ผมเริ่มคิดวนซ้ำ ให้ท่านฑูตเอ่ยปากว่าจะสนับสนุนประเทศไทย เพราะถ้าท่านฑูตเอ่ยปากแล้ว เราถึงจะมั่นใจได้ว่า หลังจากนี้ท่านฑูตคงจะเอาเรื่องที่เราคุยกันวันนี้ไปคุยกับทำเนียบขาวต่อ

"หนูอีฟนี่ยังเด็กอยู่เลย แต่สนใจเรื่องการเมืองระหว่างประเทศด้วยเหรอ เก่งจัง" แคทเทอลีนที่นั่งฟังเงียบๆมานานเอ่ยปากขึ้น

"หนูชอบเรื่องพวกนี้อยู่แล้วค่ะ แต่เรียนไม่เก่ง แถมคุณพ่ออยากให้เรียนด้านบริหารธุรกิจเพื่อจะทำธุรกิจต่อจากคุณพ่อ หนูเลยไม่ได้เรียนสายนี้มา" อีฟว่าเป็นตุเป็นตะ

"ฮ่ะๆ ดีแล้ว เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศน่ะสนุก คิดดูสิ ทุกสิ่งในโลกนี้เกิดขึ้นเพราะผลประโยชน์กันทั้งนั้น เราก็หาใครก็เพื่อผลประโยชน์กันทั้งนั้นแหละ" แขกคนเดิมหัวเราะพลางพูดขึ้นมา

"แบบนี้ ท่านฑูตว่าสหรัฐฯจะสนับสนุนไทยตลอดมั้ยคะ" อีฟถามขึ้น

ท่านฑูตมองหน้าผมแว๊บหนึ่ง คงเพราะผมเป็นคนไทยคนเดียวในวงสนทนานี้ การตอบอะไรด้วยความตรงไปตรงมาก็อาจจะลำบากใจ

"ถ้า ณ ตอนนี้ ก็คงต้องตอบว่าใช่ แต่อย่างที่ผมบอก สถานการณ์มันเปลี่ยนกันได้" ท่านฑูตริกกี้ตอบ

การสนทนาของเรายังคงดำเนินต่อไปอีกสักระยะ เนื้อหาการสนทนายังคงวนเวียนกับเรื่องธุรกิจ ท่าทีของสหรัฐฯ และนโยบายระหว่างประเทศ ซึ่งก็บอกตามตรงว่านี่คือเรื่องที่หนักเกินไปสำหรับผม ผมยังคงเป็นแค่เด็กมหาลัยเท่านั้นเอง ในขณะที่อีฟนั้นต่างกับผมโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าท่านฑูตหรือแขกจะคุยเรื่องอะไร เธอก็สามารถเกาะการสนทนาและคุยด้วยราวกับเธอรู้เรื่องนั้นเป็นอย่างดี ผมทึ่งในความฉลาดของเธอจริงๆ

เราออกจากบ้านหลังนั้นด้วยรถคันเดิมที่มาส่งเรา สตีฟส่งรถมารับตามเวลาที่นัดหมาย ผมนั่งเงียบๆมองวิวทิวทัศน์ยามราตรีสองข้างทางที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปตามความเร็วในการเคลื่อนตัวของรถ

ผมไม่รู้ว่าภารกิจรอบนี้สำเร็จหรือไม่ ก็อย่างที่บอก มันไม่มีอะไรเป็นตัวชี้วัดเลยว่าเราสามารถโน้มน้าวจิตใจท่านฑูตได้สำเร็จ และกว่าทุกอย่างเฉลยออกมา ก็คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก

"พี่คะ เดี๋ยวพี่จอดเซเว่นข้างหน้านี่ก็พอค่ะ เดี๋ยวหนูกับพี่ต่อเดินกลับกันเอง ว่าจะแวะเซเว่นก่อน" เสียงอีฟบอกคนขับรถพลางชี้ไปที่เซเว่นแถวคอนโด ได้ปลุกผมขึ้นจากภวังค์

รถตู้ที่เรานั่งค่อยๆจอดเทียบฟุตบาท ส่งเราสองคนลงมาก่อนจะขับออกไป แต่แทนที่อีฟจะเข้าเซเว่นอย่างที่เธอบอก เธอกลับมายืนตรงหน้าผม

"พี่ คิดอะไรอยู่ใช่มั้ย" อีฟถามผม

"อื้อ มันแปลกๆอ่ะ พี่ไม่เข้าใจว่าภารกิจนี้มันจะเห็นผลยังไง" ผมบอกอีฟไป

"ที่จริงอีฟไม่ได้จะเข้าเซเว่นหรอก แต่อีฟไม่อยากคุยบนรถ" อีฟว่าพลางออกเดินกลับไปที่คอนโดช้าๆ

"อื้อ ว่าแต่จะคุยอะไร" ผมถามอีฟพร้อมกับเดินคู่ไปกับเธอ

"อีฟพอจะเข้าใจแล้วว่าสตีฟต้องการอะไร" อีฟเริ่มต้นพูด

"หมายถึงแผนการของ ZINA เหรอ"

"ใช่ พี่จำโฉนดที่ดินที่ระนอง ที่เราได้จากบ้านเสี่ยอั๋นได้มั้ย" อีฟถามผม

"จำได้"

"และเมื่อเช้าสตีฟบอกว่า ต้องการให้เราโน้มน้าวจิตใจท่านฑูตเพื่อให้สหรัฐฯสนับสนุนไทยในทุกกรณี แม้ว่าเราอาจจะมีปัญหากับชาติพันธมิตรสำคัญอย่างสิงคโปร์ก็ตาม" อีฟบอก

"อ่าหะ ใช่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกันยังไง" ผมยังจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก

"สิงคโปร์เป็นเมืองท่าสำคัญของภูมิภาคนี้ จริงๆต้องบอกว่าสิงคโปร์เกิดขึ้นมาได้จากระบบโลจิสติคทางทะเลเลย แล้วถ้าเราจะมีปัญหากับสิงคโปร์ นั่นอาจจะหมายถึงว่าเราต้องไปทำอะไรแข่งกับสิงคโปร์ และก็อย่างที่บอก สิงคโปร์เป็นเมืองท่า อีฟกำลังคิดว่า.. เราอาจจะกำลังมีโครงการขุดคลองเชื่อมอันดามันกับอ่าวไทย เหมือนคลองสุเอช" อีฟร่ายยาว

"อ่า.. พอนึกออก แล้วไงอ่ะ สมมติเราทำโครงการนี้จริงๆ แล้วเราจะมีปัญหากับสิงคโปร์ยังไง"

"โถ่พี่ แค่นี้ยังคิดไม่ออก มันก็เรื่องง่ายๆไง เส้นทางเรือเดินสมุทรจะไม่ต้องอ้อมช่องแคบมะละกาแล้ว แต่สามารถผ่านคลองที่ระนองเข้าอ่าวไทยได้เลย ย่นเวลาไปได้เลย เพียงแต่ว่า.." อีฟลากเสียงยาวเหมือนทำท่าคิดอะไรบางอย่าง

"แต่อะไร..?" ผมถามเธอ

"ขุดคลองตอนนี้ มันไม่น่าคุ้มแล้วนะพี่ ย่นระยะเวลาไปได้แค่วันสองวัน ในทางธุรกิจแล้ว ถ้าต้องแลกกับการวางระบบที่เมืองท่าแห่งใหม่ มันไม่คุ้มนะ มันไม่ได้ประหยัดเวลาได้หลายสัปดาห์เหมือนคลองสุเอช ที่สำคัญ สตีฟไม่ใช่คน เขาจะทำไปเพื่อประโยชน์ของประเทศไทยทำไม" อีฟขมวดคิ้วพูด

"ก็.. อาจจะเพื่อเงินไง" ผมบอก ซึ่งแน่นอน ใครๆก็ต้องอยากได้เงินอยู่แล้ว บางทีสตีฟอาจจะทำเพื่อเงินล้วนๆก็ได้

"อันนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ พี่รู้มั้ยว่า สตีฟเขารวยแค่ไหน รู้มั้ยว่า ZINA ถือบิทคอยน์เป็นกี่เปอร์เซ็นของวอลลุ่มทั้งหมดในโลก ถ้าเป็นเรื่องเงิน อีฟมั่นใจมากแน่ๆว่าไม่ใช่เรื่องนี้"

"งั้นเขาต้องการอะไรกันแน่ ที่แน่ๆคือสตีฟได้โฉนดแถวระนองไปแล้ว และสมมติว่าภารกิจนี้สำเร็จ ท่านฑูตสหรัฐฯไปเสนอแนะและสุดท้ายทางสหรัฐฯมาแบคอัพไทยเข้าจริงๆ สตีฟจะได้อะไรจากตรงนี้" ผมแหงนหน้ามองฟ้าพลางพูดไปเรื่อย

"นั่นน่ะสิ แต่อีฟแปลกใจว่า ทำไมต้องเป็นภารกิจแบบนี้ เพราะมันวัดผลอะไรไม่ได้เลยว่าสำเร็จหรือเปล่า" อีฟว่า

"นั่นแหละที่พี่ก็สงสัย" ผมพยักหน้าหงึกอย่างเห็นด้วย

"หรือว่า..." อยู่ดีๆอีฟก็หยุดกึกพร้อมกับทำท่านึกอะไรออก

"หรือว่าอะไร?" ผมหยุดตามเธอแล้วหันไปถาม

"ถ้าสตีฟไม่ได้ต้องการให้เราทำภารกิจสำเร็จแต่แรกล่ะ?" อีฟหันมามองหน้าผม

"หมายความว่ายังไง?" ผมถามอีฟกลับไปด้วยความงง ตอนนี้ผมตามความคิดเธอไม่ทันแล้ว

"อีฟก็ยังไม่เข้าใจซะทีเดียว แต่อีฟเริ่มรู้สึกว่ามันแปลกๆ อย่างที่บอก เราวัดผลยากมากในภารกิจนี้ แถมกว่านโยบายจะออก อาจจะกินเวลานานหลายเดือน แล้วแค่ท่านฑูตคนเดียว จะมีอิทธิพลที่จะเปลี่ยนความคิดคนในรัฐบาลสหรัฐฯได้หมดเหรอ น่าจะไม่ ฉะนั้น อีฟเลยแอบคิดว่า สตีฟกำลังมีจุดประสงค์อื่นหรือเปล่า ที่ให้เราเข้าไปสถานฑูต บางที.. จุดประสงค์ของสตีฟ อาจจะไม่ใช่อย่างที่สตีฟบอกเราก็ได้" อีฟร่ายยาว สีหน้าเธอแสดงออกถึงความกังวล

"แล้วตอนนี้เราควรทำยังไงต่อ" ผมถามเธอในขณะที่เราเดินมาถึงคอนโด

"ตอนนี้อีฟมองเห็นภาพชัดขึ้นแหละ แต่มันยังมีจิ๊กซอว์อีกหลายชิ้นที่ขาดหายไป ยังไงเดี๋ยวเราไปตรวจร่างกายพี่ หลังจากนั้นเราอาจจะรู้อะไรมากขึ้นก็ได้" อีฟบอกพร้อมๆกับที่กดลิฟท์

"เห้ออ เรื่องชักจะซับซ้อนขึ้นทุกทีแล้ว" ผมถอนหายใจบ่นออกมา ก็อย่างที่บอกแหละครับ จากเด็กมหาลัยอกหักเมื่ออาทิตย์ก่อนโน้น ตอนนี้มาพัวพันอะไรก็ไม่รู้ ถึงมันจะทำให้ผมได้เจออีฟ ได้แทนเข้ามาในชีวิต แต่มันก็ชักจะน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆนะ

"เอาน่า เดี๋ยวพี่ก็ชินเอง อีกอย่าง เราไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้ตลอดหรอก" อีฟหันมายิ้มให้ผม

เราสองคนไม่ได้คุยอะไรกันอีกในลิฟท์และตลอดทางเดินมาที่หน้าห้องของเราสองคนที่อยู่ติดกัน แม้ว่าจะไม่มีใครพูดอะไร แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความหนักอึ้งในอกของอีฟที่คงกังวลถึงการไขปริศนาในสิ่งที่สตีฟกำลังทำ และผมก็รู้ว่า อีฟก็สัมผัสความรู้สึกแบบเดียวกันจากผม

"ฝันดีนะอีฟ" ผมหันไปบอกอีฟก่อนที่เธอจะหันมายิ้มพยักหน้าให้ผมเบาๆแล้วปิดประตูแยกย้ายกันเข้าห้องของตัวเอง เป็นอันจบวันอันหนักหน่วงไปอีกวัน


##########


เช้าวันต่อมา ด้วยความที่มหาลัยที่ผมเรียนอยู่นั้น เป็นหลักสูตรอินเตอร์ฯ ทำให้เริ่มหยุดในอาทิตย์คริสมาสต์กันแล้ว ผมตื่นมายังคงขลุกตัวอยู่บนที่นอนอย่างขี้เกียจ ส่วนอีฟนั้นส่งข้อความมาหาผมแต่เช้า บอกว่าเธอจะไปจัดการเรื่องวีซ่า พาสปอร์ต และตั๋วเดินทางให้วันนี้ ซึ่งกำหนดการเดินทางเราค่อนข้างกระชั้น คือวันที่ 23 ธันวาคม หรือวันพรุ่งนี้เลย ถ้าเป็นคนธรรมดา คงเป็นไปไม่ได้ที่จัดการเรื่องพาสปอร์ต วีซ่า และตั๋วเดินทางได้ทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพาสปอร์ตกับวีซ่าของผมนั้น ที่ไม่เคยมีเลย ตามปกติถ้าเป็นคนทั่วไป กว่าจะทำพาสปอร์ตก็เสียเวลา 1-2 สัปดาห์ ไหนจะขอวีซ่าอีก เสียเวลาเป็นเดือน แถมผมก็ยังไม่ได้ทำงานประจำ รายได้น้อย การจะขอวีซ่าเชงเก้นเข้ายุโรป ก็ยิ่งเป็นอะไรที่ยากขึ้นไปอีก

แต่อีฟก็ทำได้ ด้วยความช่วยเหลือจากองค์กร ZINA ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น นั่นทำให้ผมรู้ว่า สตีฟนั้นมีคนแทรกซึมอยู่ในทุกวงการ ทุกกระทรวงสำคัญๆของไทย

เย็นวันนั้น เสียงเคาะประตูรัวๆดังขึ้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร

ก๊อกๆๆๆๆๆ

ผมเดินไปเปิดประตูเพื่อพบว่า เป็นอีฟที่กำลังยืนอยู่กับกระเป๋าเดินทางใบโต และแน่นอน เธอไม่รอให้ผมได้พูดอะไร แต่กลับลากกระเป๋าเดินสวนเข้ามาในห้องผมพร้อมกับเดียร์ที่เดินมาตามหลัง

เท่านั้นยังไม่พอ แทนเป็นคนสุดท้ายที่เดินถือถุงขนาดใหญ่มาจำนวนมาก

"อะไรกันเหรอ" ผมถามอีฟอย่างงงๆ

"อีฟรู้ว่าพี่ยังไม่เคยไปต่างประเทศ เลยเดาว่ายังไม่มีกระเป๋า เสื้อผ้าเมืองหนาว แล้ววันนี้อีฟไม่มีเวลากลับมารับพี่ เลยวานพี่แทนไปซื้อเสื้อผ้าให้ เดาว่าพี่แทนน่าจะรู้ขนาดตัวพี่" อีฟว่าพลางวางกระเป๋าไว้ที่พื้นแล้วเดินไปนั่งโซฟา

"นี่ไง แทนซื้อมาแล้ว เต็มเลยเห็นมั้ย แทนว่าเธอน่าจะใส่เข้านะ" แทนยกถุงที่คาดว่าน่าจะเป็นถุงใส่เสื้อผ้าชูให้ผมดูพร้อมกับเดินมานั่งข้างๆอีฟ

"ส่วนเรา แค่มาช่วยออกความเห็น อิอิ" เดียร์พูดขึ้นบ้าง

"พี่เดียร์ไม่ไปด้วยกันจริงๆเหรอคะ" อีฟหันไปถามเดียร์พลางทำหน้าเว้าวอน

"เอาไว้รอบหน้านะ รอบนี้พี่ว่าจะกลับบ้าน คราวหน้าไม่พลาดแน่นอน" เดียร์ตอบอีฟ

"อ่ะไหนเธอ ลองใส่ให้ดูหน่อย" แทนที่หยิบเสื้อโค้ทสีน้ำตาลเข้มตัวหนึ่งออกมาจากถุงยื่นมาให้ผม

"โห ต้องใส่หรูแบบนี้เลยเหรอ" ผมโวยวาย เพราะเสื้อโค้ทแบบนี้ มันยาวถึงเข่าแน่ะ ผมเห็นแต่พวกนายแบบเขาใส่กัน ไม่เคยจะเห็นใครใส่เดินกันจริงๆเลย

"คุณพี่ขา เราไปอัมสเตอร์ดัมนะคะ ยุโรปค่ะ ฮัลโหลวววว ไม่ได้ไปโคกอีแร้ง จะได้ใส่กางเกงขาสั้นเตะบอลเสื้อยืดแบบพี่ตอนนี้ได้" อีฟว่าพลางมองค้อนเบาๆ

"เออน่า ลองใส่ให้ดูหน่อย ใส่ทับเลย" แทนคะยั้นคะยอให้ผมใส่

แม้ว่าผมเคยใส่เสื้อเชิ๊ต ผูกเน็คไทด์แต่งตัวดีๆมาแล้ว แต่พอต้องใส่เสื้อโค้ชหล่อๆแบบนี้ต่อหน้าสามสาว มันก็เป็นอะไรที่ดูเขินๆเหมือนกัน

แต่ก็นั่นแหละ จะขัดอะไรแม่ๆเขาได้เล่า ทันทีที่ผมสวมเสื้อโค้ทนั้น สามสาวถึงกับเป่าปากกรี๊ดกร๊าด

"โหหหหห ไม่น่าเชื่อว่าเสื้อตัวนี้จะทำให้คนหล่อขึ้นได้ขนาดนี้ พี่แทนตาถึงมากกกก" อีฟทำหน้าอึ้งๆพลางพูดชมผม เอ๊ะ.. เดี๋ยวนะ ยัยนี่มันชมผมจริงๆเหรอ?

"ใช่ๆ หล่อขึ้นเยอะมาก ต่อใส่แบบนี้แล้วดูดีนะเนี่ย น่าจะแต่งแบบนี้ทุกวัน" เดียร์บอกยิ้มๆ

"ใส่แบบนี้ทุกวันก็ร้อนตายสิ" ผมตอบเดียร์ไป

"เห็นมั้ย แทนบอกแล้ว ว่าต่อใส่แบบนี้แล้วดูดี เดี๋ยวเซ็ตผมด้วยนะ หรูหราแน่ๆ" แทนยิ้มกว้างบอก ดูเธอภูมิใจกับผลงานของเธอที่จับผมแต่งตัวมาก

"เออ อีฟลืมเลย ตกลงได้ตั๋วแล้วนะ อีฟกับพี่ต่อบินพรุ่งนี้บ่ายโมงครึ่งนะ ต้องไปถึงสนามบินสัก 10 โมง ส่วนของพี่แทนตามไปวันที่ 28 นะคะ บ่ายโมงครึ่งเหมือนกัน ส่วนขากลับ เรากลับพร้อมกันวันที่ 2 มกราคม" อีฟว่าพลางยื่นตั๋วให้แทน

"โอ้โห อีฟ ชั้นธุรกิจเลยเหรอ เท่าไหร่เนี่ย" แทนรับตั๋วไปถึงกับตาโตทันทีที่เห็นว่าอีฟจองตั๋วชั้นธุรกิจให้เธอ

"ไม่รู้อ่ะพี่แทน ทีมเขาจัดการให้ แต่ของอีฟกับพี่ต่อชั้นประหยัด เขาบอกว่าหาได้ดีสุดแค่นี้ มันกระชั้นมาก" อีฟบอก

"พี่จะกลับบ้านวันที่ 28 อ่ะ กลับมาอีกทีก็วันที่ 3 มกราเลย" เดียร์หันไปบอกอีฟ

"ได้ค่ะพี่ อีฟฝากล็อกห้องกับปิดปลั๊กไฟให้ด้วยนะ" อีฟบอกเดียร์ที่พยักหน้ารับ

ผมยังคงทำหน้าที่เป็นนายแบบให้แทน อีฟ เดียร์ สามสาวที่สนุกสนานกับการจับผมแต่งตัว ผมไม่รู้ว่าแทนหมดค่าเสื้อผ้าของผมไปเท่าไหร่ เพราะเธอซื้อชุดมาให้ผมเยอะมาก อันที่จริง น่าจะซื้อมาเยอะกว่าจำนวนวันที่ต้องอยู่ซะด้วยซ้ำ

ผมเห็นเดียร์แล้วก็แอบรู้สึกสงสารเธอนิดหน่อย ใจอยากให้เธอไปด้วย เผื่อจะได้เที่ยว จะได้ลืมเรื่องเหตุการณ์ที่ผ่านมา แต่เพราะเธอเป็นคนแกร่ง และเธอคงมีธุระกลับบ้าน ผมจึงไม่เซ้าซี้อะไรเธอมาก ที่สำคัญ นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุ ผมก็ไม่เคยเห็นแง่มุมที่อ่อนแอของเธออีกเลย ดูเธอเหมือนเป็นคนเดิมก่อนจะเจอเหตุการณ์ร้ายๆอะไรมาซะด้วยซ้ำ

"พี่แทน แล้วเดี๋ยววันที่พี่บินไปถึง อีฟกับพี่ต่อจะไปรับที่สนามบินนะ อีฟจัดการที่พักกับแพลนเที่ยวไว้หมดแล้ว พี่แทนนอนกับอีฟนะ" อีฟบอกแทน

"ได้เลย เออ พี่อยากไปหลายที่เลย เราไปแค่เนเธอร์แลนด์ใช่มั้ย มีเวลาไปประเทศอื่นมั้ย วีซ่าเชงเก้นมันไปได้หลายประเทศใช่มั้ย" แทนพยักหน้ารับคำพลางถามกลับ

"ไปได้หลายประเทศค่ะ แต่รอบนี้เราคงต้องอยู่แต่ที่เนเธอร์แลนด์ เพราะเราต้องรอผลตรวจด้วย ถ้าไปประเทศอื่นมันต้องย้อนไปมา อีกอย่าง เราต้องสแตนบายด์รอเผื่อมีอะไรเพิ่มเติมด่วนด้วยค่ะ" อีฟว่า

"โอเคไม่เป็นไร เนเธอร์แลนด์พี่อยากไปหลายที่เหมือนกัน น่าสนุก" แทนบอก

"เออๆ มันมีทุ่งดอกทิวลิปด้วยใช่มั้ย แทนไปถ่ายรูปด้วยสิ จะได้เอารูปลงไอจีได้" ผมนึกขึ้นได้ว่า เนเธอร์แลนด์ขึ้นชื่อเรื่องดอกทิวลิป และจะมีทุ่งดอกทิวลิปที่มีดอกทิวลิปบานอยู่เต็มไปหมด

"เธอ ทุ่งดอกทิวลิปมันหน้าร้อน เราไปหน้าหนาว ไม่มีให้ดูหรอก" แทนบอก

"ฮิๆๆ ขนาดพี่แทนยังรู้เลย พี่ต่อนี่รู้อะไรบ้างเนี่ย" อีฟหัวเราะเยาะผม ก็แหม ใครจะไปรู้ฟะ

"เออ ฝากไปลองกัญชาด้วยสิ อยากรู้ว่าเป็นยังไง มาเล่าให้ฟังด้วยนะ" เดียร์พูดขึ้นหลังนึกขึ้นได้ว่าที่เนเธอร์แลนด์นั้น กัญชาไม่ผิดกฏหมาย

"ได้พี่ เดี๋ยวพวกเราวิดิโอคอลล์หา" อีฟบอก

"เออ พี่แทน อีฟจะไปเอาของที่รถ พี่แทนไปกับอีฟหน่อยได้มั้ยคะ อีฟมีอะไรจะคุยกับพี่ด้วย" อีฟว่า

"หือ ไปสิ" แทนรับคำพลางลุกขึ้น

"เดี๋ยวมานะเธอ เดี๋ยวมานะคะเดียร์" แทนบอกผมพลางหันไปบอกเดียร์ก่อนจะเดินไปกับอีฟ ทิ้งผมกับเดียร์อยู่ในห้องกันสองคน


...............


ที่ลานจอดรถของคอนโด

"มีอะไรเหรอคะอีฟ" แทนถามอีฟในตอนที่ทั้งคู่เดินมาถึงรถของอีฟที่จอดอยู่

"พี่แทนเพิ่งคบกับพี่ต่อ อีฟไม่แน่ใจว่าพี่แทนรู้ยัง แต่.. วันที่ 1 มกราคม คือวันเกิดพี่ต่อค่ะ" อีฟหันมาบอกแทน

"หาา จริงเหรอ ต่อยังไม่เคยบอกแทนเลย เกิดวันปีใหม่เลยเหรอ" แทนตาโตพูด

"ใช่ค่ะ พี่ต่อก็ไม่ได้บอกอีฟ แต่อีฟรู้ประวัติพี่ต่อหมดไง ที่อีฟจะคุยคือ วันที่เราอยู่เนเธอร์แลนด์ เรามาเซอร์ไพรซ์วันเกิดพี่ต่อกันดีกว่า" อีฟว่า

"เอาสิๆ โอ้ย ดีนะที่อีฟบอกพี่ เดี๋ยวพี่ต้องหาซื้อของขวัญวันเกิดก่อนแล้ว อีฟซื้อยัง" แทนว่า

"เอ้อ อีฟต้องให้พี่ต่อด้วยเหรอ" อีฟถามแทนอย่างเกรงใจ

"ให้สิ ทำงานกันมาขนาดนี้ พี่ไม่หึงหรอกน่า อิอิ" แทนกระเซ้าอีฟเบาๆ

"ว่าแต่ ไหนเราจะเซอร์ไพรซ์ต่อยังไงดี" แทนถาม และอีฟก็เริ่มต้นอธิบายแผนการณ์เซอร์ไพรซ์วันเกิดให้แทนที่ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ



################




พิเศษ



"ฮัลโหลๆๆๆ เฮลโหลวววว ได้ยินมั้ยค้าาาาา" แทนชะโงกหน้ามองขึ้นมาบนท้องฟ้าพลางโบกมือเหยงๆอย่างน่ารัก

"อีฟว่าน่าจะเห็นมั้ง ฮัลโหลววว เห็นมั้ยค้าาา" อีฟเอาบ้าง เธอชูสองมือซ้ายขวาโบกไปมา

"เอาจริงเหรอ จะมีคนเห็นเราจริงๆเหรอ" ต่อยืนเท้าสะเอว มองท้องฟ้าพลางขมวดคิ้วอย่างงงๆ

"ต้องเห็นสิ เนี่ย มีคนเห็นพวกเราตั้งเยอะแยะ ใช่มั้ยอิง" เดียร์หันไปบอกต่อก่อนจะหันมาบอกอิง

"ใช่ๆ อิงก็ว่าน่าจะเห็นนะ" อิงที่ยืนเอามือถือถ่ายรูปท้องฟ้าหันไปตอบเดียร์

"เอาล่ะๆ ทุกคนๆ ได้เวลาแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันเอานะ" สตีฟเดินมาข้างหน้าแล้วหันกลับมาบอกทุกคน

"เดี๋ยวๆๆๆๆ มึงไอ้ต่อ รอกูด้วยยยย" เสียงอ้นร้องมาแต่ไกลพลางวิ่งควบมาด้วยความรวดเร็ว

"โอ้ยยย ช้าตลอดเลยพี่อ้น เค้าจะไม่รอกันแล้วเนี่ย" อีฟหันมาบ่นอ้น

"เออ มึงเนี่ยตลอด" ต่อบ่นอ้นซ้ำ พร้อมกับทำหน้ามุ่ยใส่

"น่า ช้านิดเดียวเอง ยังไงกูก็ต้องมาอวยพรทันสิ เผื่อไร้ท์จะใจดี ให้บทดีๆฟันหญิงทั้งเรื่องให้กูบ้าง" อ้นหันไปบอกต่อ

"อี๋ น่าเกลียดอ่ะอ้น ฮิฮิ" แทนปิดปากหัวเราะอ้นอย่างอดขำไม่ได้

"เอ้าๆๆๆ มาๆทุกคน พร้อมนะ" สตีฟโบกมือให้ทุกคนเงียบ พร้อมกับพูดเสียงดัง

"หนึ่ง.. สอง.. สาม...!" ทันทีที่สิ้นเสียงนับจากสตีฟ ทั้งหมดก็ประสานเสียงร้องเพลงในทำนองที่คุ้นหูออกมาพร้อมกัน

"แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยูว์ แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูวยูว์ แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูไร้ทเตอร์ แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยูว์" ทั้งหมดร้องเพลงอวยพรวันเกิดอย่างพร้อมเพรียง

"สุขสันต์วันเกิดนะคะไร้ท์ มีความสุขมากๆน้าาาา" แทนป้องปากตะโกนขึ้นท้องฟ้าพลางฉีกยิ้มกว้าง

"Happy birthday to you. Wish you luck and happy นะค้าาา" อีฟร้องตะโกนพลางโบกมือขึ้นฟ้าบ้าง

"สุขสันต์วันเกิดนะคร้าบไร้ท์ อย่าใจร้ายกับสาวๆของผมมากน้าาา" ต่อตะโกนบ้าง

"สุขสันต์วันเกิดค่าาาาา อย่าลืมอิงน้าาาาา" อิงที่ทำหน้าที่เอามือถือถ่ายวิดิโอทุกคน ตะโกนบอกบ้าง

"มีความสุขมากๆนะคะไร้ท์ อย่าทำร้ายเดียร์อีกแล้วน้าาาา ขอเดียร์มีความสุขบ้าง อิอิ" เดียร์โบกมือขึ้นท้องฟ้าบ้าง

"มีความสุขนะครับไร้ท์ เอาล่ะๆ อวยพรหมดทุกคนแล้ว แยกย้ายๆ" สตีฟพูดเสียงดังมองมาบนท้องฟ้า ก่อนจะหันไปบอกทุกคน

"เห้ยเดี๋ยว ไอ้สตีฟ อย่าลืมกูสิ ไร้ท์ วันเกิดไร้ท์ ผมขอให้ไร้ท์ใจดี ให้ผมได้เย็ดสาวๆทั้งเรื่องบ้างน้าาาาาา" เสียงอ้นตะโกนก้องก่อนจะค่อยๆเบาลงหายไปจากการถูกหิ้วปีกลากไปโดยสตีฟและต่อ

เส้นทางของพวกเขาจะเป็นยังไงต่อไป อาจจะมีแค่ไม่กี่คนที่เดาถูก อาจจะมีแค่ไร้ท์เท่านั้นที่รู้ ณ ตอนนี้ แต่หวังว่า เรื่องราวของพวกเขา จะสร้างความสุข ความสนุก และเป็นที่จดจำแก่ผู้อ่านทุกคน

สุขสันต์วันเกิดแก่ผมเอง และทุกคนที่เกิดเดือนเมษายนนี้ครับ - ไร้ท์




สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกคน

ก่อนอื่นเลย ต้องขอโทษทุกคนที่ EP นี้มาช้าครับ ตอนนี้ผมมีปัญหาทางสายตา ไม่แน่ใจเกิดจากอะไร คือหลังจากไปเที่ยวกลับมารอบที่แล้ว ตอนนี้ตาผมจะเห็นเป็นเหมือน 3 มิติ ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี คือเวลาผมจ้องตัวหนังสือที่ติดๆกันหลายบรรทัด ผมจะเห็นแต่ละบรรทัดมีระยะตื้นลึกไม่เท่ากัน อารมณ์เหมือนภาพสามมิติที่มันลายๆ ไม่รู้ใครเคยดูมั้ย ที่เราต้องจ้องประมาณนึงถึงจะเห็นเป็นมิติ ประมาณนั้นเลย

ผมไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร ไม่ใช่สายตาสั้น เพราะอ่านระยะใกล้ได้ปกติ อ่านระยะยาวก็ปกติ แต่มันจะเป็นแบบที่บอก ทำให้อ่านอะไรแล้วมันจับระยะตื้นลึกได้ไม่เท่ากัน

ปกติผมทำงานกับคอมพิวเตอร์ตลอดด้วย เลยหนักเลย ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาเลยไม่ค่อยได้เขียน แต่ยังไงก็ไม่ทิ้งเรื่องนี้แน่นอนครับ ไม่ต้องห่วง

เดี๋ยวอาทิตย์หน้าว่าจะไปตรวจละ ถ้าใครเคยเป็น หรือมีประสบการณ์แบบนี้ บอกผมด้วยนะว่ามันคืออะไรและควรทำยังไง

และซีนสุดท้าย เผื่อคนอ่านแล้วงง วันนี้.. จริงคือพรุ่งนี้ คือวันเกิดผมครับ ก็เลยถือโอกาสที่เขียนนิยายเรื่องแรกในชีวิต และตัวละครบางตัว ก็เป็นตัวละครที่ผมรักและผูกพันธ์ เลยจับมาอวยพรวันเกิดด้วยซะเลย ถือเป็นสีสันเล็กๆน้อยๆละกัน

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะครับ EP ต่อไปไปเที่ยวกันแล้ว รับรองงงงงงงง... (อะไรไม่บอก 555)

เหมือนเดิม คอมเม้นท์เพื่ออ่านซีนเหตุการณ์ในห้องระหว่างต่อกับเดียร์ครับ



 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

wittayacc

#1
สุขสันต์วันเกิดครับ ขอบคุณที่กรุณาแบ่งปันความคิดออกมาเป็นตัวอักษร จนตอนนี้ถึงตอนที่ 19 แล้ว รู้สึกได้ว่าตัวละครแต่ละตัวมีชีวิตของตัวเอง สัมพันธ์กับสถานการณ์จริงบ้าง มันทำให้ดูสมจริงมากเลย สุดท้ายขอให้มีความสุขมากๆครับ สุขภาพร่างกายแข็งแรงครับ

n_neng

มีเสียว  อีฟหาทางดึงแทนออกไปแล้ว  เปิดโอกาสให้เต็มที่เลยนะ

ballzard

HBD นะครับ ขอบคุณที่เขียนนิยายสนุกๆมาให้อ่านนะครับ ไรท์อย่าลืมรักษาสุขภาพด้วยนะครับ มีความสุขมากๆครับ

Townster Rizel

ผมยังผมยังคงรอคอยฉากสวิ่งอิงอยู่

Flare cnx


llOUllnJllUUllSJllSJ

อ้างจาก: Townster Rizel เมื่อ มีนาคม 31, 2021, 11:43:07 หลังเที่ยง
ผมยังผมยังคงรอคอยฉากสวิ่งอิงอยู่

ไม่ต้องห่วงครับ มีแน่ๆ อิอิ

jeditay

อิงหายไปเลยอ่ะจะเป็นยังไงบ้างน้า อนาคตมีโอกาสสวิ้ง3คนเลยไหมอ่ะคับ

namogt

อยากให้สามคนสวิงเลยครับครอบครัวใหญ่เมียสามสามีหนึ่งมันแน่ๆ

××Mon××

อิงห่างหายไปเลย ส่วนต่อกับเดียร์มีเรื่องอะไรคุยกันใหมน้อ ได้อยู่กันตามลำพัง

จักรภพ อุดมสิน

HBD นะครับ ตอนใหม่ก็ยังสนุกมากอยู่ดี ถึงจะไม่มีฉากอย่างว่าก็ตาม ยัไงก็แต่งเรื่อยๆนะครับ รอติดตามครับ

633sqd

อีฟไม่ต้องซื้อของขวัญ เอาตัวผูกโบว์มาก็พอ ต่อดีใจตายแน่ๆ เคลียร์กับแทนดีๆล่ะ

iammek

สุขสันต์วันเกิดนะครับไร้ท์ สุขภาพดี มีความสุขนะครับ

ต่ออ่านความคิดอีฟได้แล้ว น่าจะมีเรื่องสนุกเพิ่มขึ้นแล้ว

Helmqwerty

สสวก.ครับผม ปล.ชื่นชมในสตอรี่ความสัมพันระหว่างประเทศมาก

ryg123456

นายต่อชักเก่งขึ้นแล้วนะ
อยากร่วมลุ้นของขวัญวันเกิดพี่ต่อจังเลย ว่าจะมีสวิงไหม