ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_llOUllnJllUUllSJllSJ

จ้าวโลก EP.20 (NTR/Harlem/Super Power)

เริ่มโดย llOUllnJllUUllSJllSJ, เมษายน 02, 2021, 04:37:00 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 2 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

llOUllnJllUUllSJllSJ

สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิก xonly8 อ่านเต็มได้ที่ https://fictionlog.co/b/6053b2ece9cbb4001caf362f


ผมเคยมาสนามบินสุวรรณภูมิหลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้ง จะเป็นการนั่งชมวิวอยู่ที่ถนนเลียบรันเวย์ และคอยมองเห็นบินที่เทคออฟและแลนดิ้งทุกๆ 4-5 นาที พลางคิดในใจว่าสักวันหนึ่งผมจะต้องขึ้นเครื่องบินให้ได้

วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมมาสนามบินสุวรรณภูมิ แต่วันนี้ เป็นครั้งแรกที่ผมมาในฐานะ 'ผู้โดยสาร' ผมไม่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อนเลยในชีวิต มันคงดูตลกถ้าผมต้องโดยสารเครื่องบินคนเดียว เพราะผมไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง แต่โชคดีที่ผมมีอีฟมาด้วย อีฟนั้นกลายเป็นเหมือนพี่เลี้ยงผมไปโดยปริยาย เธอประกบผมติดตั้งแต่ตอนเช็คอินที่เค้าเตอร์ การตรวจร่างกายของผู้โดยสารขาออก หรือแม้แต่การประทับตราขาออกที่พาสปอร์ต จนกระทั่งถึงตอนที่เรากำลังเดินผ่านงวงช้างเข้าสู่เครื่องบิน

"เป็นไง ตื่นเต้นป่าว ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก" อีฟกระซิบถามผมระหว่างที่เรากำลังเดินตามผู้โดยสารท่านอื่นในประตูงวงช้างเข้าสู่เครื่องบิน ที่คอเธอมีหมอนหนุนที่ล็อกคอไว้ เธอคงเตรียมมาพร้อมสำหรับการเดินทางไฟล์ทบินตรง 12 ชั่วโมงกว่าๆ

"ก็นิดนึง เอ่อ ถ้าเครื่องบินมันตกละ" ผมกระซิบถามเธอกลับเบาๆ แม้ในใจหนึ่งจะตื่นเต้นเพราะจะได้ขึ้นเครื่องบิน แต่อีกใจหนึ่งก็แอบกลัวเหมือนกัน เพราะถ้าเครื่องบินตกนี่แทบจะไม่มีโอกาสรอดเลยนะ

"โหยพี่ ทีต่อหน้าสาวไปช่วยพี่เดียร์ที่เก่ง ทีงี้มาทำเป็นกลัวไปได้ ใจเสาะอ่ะ" อีฟพูดแล้วมองผมด้วยหางตาอย่างเย้ยหยัน

"เห้ย ก็ไม่ได้กลัว แค่.. เอ่อ.. หลังๆมานี่ข่าวเครื่องบินตกบ่อยนะ ทั้งมาเลย์เซียแอร์ไลน์ ทั้งแอร์เอเชีย" ผมปฏิเสธเสียงแข็งบอกเธอพลางนึกย้อนไปถึงข่าวเครื่องบินตกต่างๆที่เคยได้ยินมา

"โถ่พี่ พี่รู้มั้ย วันๆหนึ่งถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นแล้ว เรามีโอกาสขับรถยนต์แล้วเกิดอุบัติเหตุตายมากกว่าจะตายเพราะนั่งเครื่องบินแล้วเครื่องบินตกอีกนะ แค่ข่าวมันน่ากลัวเฉยๆ เพราะมันตกทีคือเรื่องใหญ่ แต่มันไม่ค่อยตกหรอก" อีฟบอกผม

"แต่ถ้าแจ็คพ็อตตกมาก็ซวยเลยนะ" ผมยังคงกังวลเบาๆ หรือนี่จะเป็นอาการตื่นเครื่องบินที่เกิดกับคนที่ขึ้นเครื่องบินครั้งแรกก็ไม่รู้นะ

"ถ้าตกมาก็ควรจะดีใจนะ ได้ตายพร้อมกับสาวสวยอย่างอีฟ" อีฟหันมายิ้มแล้วยักคิ้วให้อย่างทะเล้น เห้อ น่ารักเป็นบ้า

"ใครจะดีใจที่ได้ตายกันวะ" ผมบ่นเบาๆ

เราสองคนเดินขึ้นเครื่องบิน มีพนักงานต้อนรับ หรือแอร์โฮสเตสคอยชี้ทางบอกตำแหน่งที่นั่งของเรา เราได้ขึ้นเครื่องบินเป็นโซนที่สาม มีผู้โดยสารเริ่มประจำที่นั่งกันเต็มไปหมด บางคนก็ยืนเก็บกระเป๋าในช่องเก็บกระเป๋าเหนือหัว บางคนก็นั่งรัดเข็มขัดเตรียมพร้อม ในขณะที่พนักงานต้อนรับบางคนก็เดินสำรวจความเรียบร้อยก่อนเทคออฟ

"แล้วเราต้องนั่งรัดเข็มขัดแบบนี้ไปตลอดทางเลยปะ" ผมหันไปกระซิบถามอีฟที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง  เราได้นั่งแถวริม แต่มีสามที่นั่ง โดยมีอีฟนั่งริมหน้าต่าง ผมนั่งตรงกลาง และผู้โดยสารชายไทยอีกคนนั่งริมติดทางเดิน

ผมสัมผัสได้ว่า ชายคนนั้นแอบมองอีฟเป็นระยะและมีความรู้สึกอิจฉาผมไปด้วยในตัว นอกจากนี้ แม้ว่าอีฟแต่งตัวมิดชิด กางเกงยีนส์ เสื้อกันหนาวบางๆ แต่ชายคนนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงหุ่นของอีฟที่อยู่ใต้เสื้อผ้านั้น นี่คงเป็นความรู้สึกของอีฟเวลาอ่านใจคนได้สินะ ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมอีฟถึงไม่เปิดใจมีแฟนซักที

"ใส่ถึงตอนไฟรัดเข็มขัดดับก็เอาออกได้แล้ว ปกติจะประมาณ 10-15 นาทีหลังเทคออฟอ่ะ แต่ที่จริงควรใส่ไว้ตลอดนะ เผื่อเจอเทอร์บูเลนซ์" อีฟว่าพลางชี้นิ้วไปที่ไฟสัญญาณบอกให้รัดเข็มขัดที่อยู่เหนือหัวเรา

"ห๊ะ เทอร์อะไรนะ..?" ผมงงกับภาษาของเธอ

"อ๋อ เทอร์บูเลนซ์ หลุมอากาศอ่ะ" อีฟว่า

"อ่อ..." ผมพยักหน้าหงึกๆเข้าใจ สงสัยผมคงต้องฝึกภาษาอังกฤษมากกว่านี้แล้วแหละ


ไม่นานหลังจากนั้น เครื่องบินที่เรานั่งก็เทคออฟขึ้นจากรันเวย์ มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่สำหรับผมจริงๆ แม้ว่าผมจะชอบเครื่องบินอยู่แล้ว แต่การนั่งมองเครื่องบินอยู่บนพื้นดินกับการนั่งอยู่ในเครื่องบินที่กำลังบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้านั้น มันเป็นความรู้สึกที่ต่างกันมากจริงๆ

สายการบินที่เรานั่งนั้นเป็นเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯสู่อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ใช้เวลาเดินทางราว 13 ชั่วโมง ตลอดระยะเวลาระหว่างไฟล์ท แม้ว่าผมจะอยากมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อดูวิวทิวทัศน์ แต่ก็เป็นอีฟที่ปิดหน้าต่างแล้วบอกกับผมว่า สูงขนาดนี้ไม่มีอะไรให้ดูหรอก นอกจากเมฆขาวๆ แถมคนอื่นก็ปิดหน้าต่างหมด ถ้าเราเปิดอยู่คนเดียว ได้โดนด่าแหงๆ เห้อ เธอนี่ไม่เข้าใจอารมณ์คนขึ้นเครื่องบินครั้งแรกเลย

อีฟใช้เวลาตลอดทั้งไฟล์ทไปกับการนอน แล้วก็ตื่นมากินตามรอบการเสิร์พอาหารของพนักงานต้อนรับ ในขณะที่ผม คงเป็นอาการตื่นเต้นที่ได้ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการดูหนังบนเครื่อง ดูรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะใจมัวแต่ตื่นเต้นอยากเห็นบ้านเมืองของต่างประเทศว่าเป็นยังไง

แล้วการเดินทางอันยาวนานก็สิ้นสุดลง เมื่อกัปตันประกาศเตรียมลดระดับ และให้ผู้โดยสารคาดเข็มขัด ผมมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบินที่ตอนนี้ทุกคนเปิดออก ยิ่งความสูงต่ำลงไปเท่าไหร่ ผมก็มองเห็นวิวทิวทัศน์ข้างล่างชัดขึ้นเท่านั้น

เบื้องล่างของผมคือที่ราบกว้างสุดลูกหูลูกตา ประดับประดาไปด้วยคลองบ้าง ทุ่งหญ้าบ้าง และบ้านเรือนสไตล์ยุโรปขนาดเล็ก บนถนนมีรถราที่วิ่งกันแม้จะไม่เยอะเท่ากรุงเทพฯบ้านเรา แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความเจริญ ผมมาถึงแล้ว ดินแดนแห่งกังหันลม ประเทศที่พื้นที่เมืองหลวงอย่างกรุงอัมสเตอร์ดัมนั้นต่ำกว่าระดับน้ำทะเล บอกตามตรงว่าถ้าไม่ได้มาตรวจร่างกายที่นี่ ผมคงไม่สนใจประเทศเล็กๆนี้เท่าไหร่นัก แต่พอได้มาแล้ว ผมกลับตื่นเต้นจนเก็บอาการแทบไม่อยู่

"แท่นแท๊นนนนน เวลคัมทูยุโรปค่าาาาาาาา" อีฟผายมือพรีเซ้นราวกับเธอเป็นเจ้าบ้านอย่างอารมณ์ดีหลังจากที่เราสองคนผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมาแล้ว โชคดีที่เราสามารถเข้าด่านพร้อมกันสองคนได้ ไม่งั้นผมก็คงตอบคำถามเป็นภาษาอังกฤษได้แบบเงอะๆเงิ่นๆแน่เลย

"เห้ยย เสียงดังอายเค้า" ตอนนี้ผมแอบประหม่าเล็กน้อย เพราะอาคารผู้โดยสารแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้โดยสารที่เดินกันขวักไขว่ แถมคนจำนวนไม่น้อยก็หันมามองอีฟกันโดยอัติโนมัติ เพราะเธอนั้นน่ารักจนโดดเด่นจริงๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ประเทศไทยหรือเนเธอร์แลนด์ เสน่ห์ของเธอก็ยังคงดึงดูดใจคนที่ผ่านไปผ่านมาเสมอ

"โอ้ยย อายทำไม แค่นี้เอง มาๆ มาเซลฟี่เป็นที่ระลึกกันหน่อย" อีฟดึงมือผมมายืนใกล้ๆพลางหยิบโทรศัพท์มาถ่ายเซลฟี่อย่างมีความสุข ผมเพิ่งจะนึกได้ว่า ตั้งแต่คบสาวๆมา ผมยังไม่เคยถ่ายรูปคู่กับแทนและอีฟเลยนี่นา

"แล้วเราพักที่ไหนอ่ะ" ผมถามเธอ

"โรงแรมใกล้ๆนี่แหละ ต้องนั่งรถไฟไปลงสถานี Amsterdam Centraal station แล้วก็เดินต่ออีกนิด วันนี้ไม่มีใครมารับเรา หยุดกันหมด" อีฟบอก

"งั้นไปเลยมั้ย" ผมบอกเธอ ก็อย่างที่บอก ผมมัวแต่ตื่นเต้นกับการขึ้นเครื่องบินครั้งแรก เลยไม่ได้นอนเลยตลอด 13 ชั่วโมง เราขึ้นเครื่องบินออกจากกรุงเทพฯตอน 13.30น. ตามเวลากรุงเทพฯ ใช้เวลา 13 ชั่วโมง เท่ากับว่าตอนนี้ที่กรุงเทพฯคือเวลา 02.30น. แล้ว จึงไม่แปลกที่ตอนนี้ผมจะล้าสุดๆ นี่คงเรียกว่าอาการเจ็ทแล็คสินะ


สนามบิน Schiphol Airport หรือสนามบินหลักของเนเธอร์แลนด์นั้นอยู่ห่างออกมานอกเมืองเล็กน้อย มีสถานีรถไฟอยู่ชั้นใต้ดิน ผู้โดยสารสามารถขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางไปสถานี Amsterdam Centraal station ที่อยู่ใจกลางเมือง หรือจะขึ้นรถไฟไปเมืองใหญ่อย่างกรุงเฮก (The Hague) ที่เป็นที่ตั้งของศาลโลกก็ได้

อีฟพาผมลากกระเป๋ามายืนรอรถไฟที่ชานชาลาใต้ มีคนยืนรอรถไฟอยู่บ้างประปราย อากาศตอนนี้ผมดูในโทรศัพท์บอกว่าแค่ 4 องศา แต่ผมกลับไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด ต่างจากอีฟ ที่แม้เธอจะใส่เสื้อโค้ทตัวใหญ่พร้อมผ้าพันคอ ผมก็ยังรู้สึกได้ว่าเธอตัวสั่นเบาๆ

ผมตัดสินใจถอดเสื้อโค้ทผมที่ใส่อยู่ ไปคลุมไหล่เธอ

"ตัวสั่นเป็นลูกหมาเลยนะ ไหนว่าเป็นคนยุโรปไง" ผมแซวเธอเบาๆ

"คนยุโรปผสมไทยไง แถมอีฟอยู่ไทยมาซะเกือบทั้งชีวิต แล้วพี่ไม่หนาวเหรอ" อีฟหันมาถามผม

"ไม่อ่ะ เฉยๆมาก คนมันปรับตัวเร็ว" ผมยิ้มเยาะบอกเธอ

"หนังหนาละสิไม่ว่า" อีฟเบ้ปากบ่น

"ว่าแต่เราไปตรวจร่างกายวันไหน" ผมถามเธอ

"พรุ่งนี้เลย กลับไปพี่รีบนอนเลย ตอนนี้ 2 ทุ่มกว่าของที่นี่ เป็นเวลาค่ำๆตามปกติ ถือว่าเราเข้านอนตามเวลาคนท้องถิ่นเลย เป็นการปรับเวลาไปในตัว รถไฟมาแล้ว" อีฟว่าพลางชี้ไปที่รถไฟที่กำลังเทียบชานชาลา

รถไฟที่จอดเทียบชานชาลา เป็นรถไฟทรงหัวกระสุนสีเหลือง แต่เท่าที่ผมรู้ นี่ไม่ใช่รถไฟความเร็วสูง ภายในมีสองชั้น แต่ด้วยความที่เรามีกระเป๋าเดินทาง เราจึงเลือกเดินลงชั้นล่าง เพราะสะดวกกว่าตอนแบกกระเป๋า

วิวทิวทัศน์สองข้างทางนั้นเป็นเพียงอุโมงค์มืดๆในขณะที่รถไฟเริ่มออกตัว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเมือง ผ่านคลองที่มีมากมายและเต็มไปด้วยเรือ ผมตื่นตาตื่นใจกับสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปในแบบที่ผมเคยเห็นแต่ในทีวีหรืออินเตอร์เน็ต แต่ตอนนี้ ทั้งหมดนั้นคือของจริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าผมแล้ว และมีเพียงแค่กระจกใสๆของรถไฟกั้นเท่านั้น

แค่ไม่ถึง 10 นาที รถไฟก็นำเรามาถึงสถานี Amsterdam Centraal station อีฟเล่าให้ฟังว่า อาคารสถานีรถไฟแห่งนี้ สร้างมาเป็นร้อยปีแล้ว ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก็เคยโดนทิ้งระเบิดใส่จนต้องบูรณะกันยกใหญ่ นอกจากจะทึ่งในความสวยงามแบบยุโรปแล้ว ผมยังทึ่งในความรอบรู้ของอีฟอีกด้วย คนอะไรรู้ทุกอย่างจริงๆ


จากสถานีรถไฟ อีฟพาผมลากกระเป๋าเดินข้ามฝั่งมาที่โรงแรมที่พักที่ไม่ไกลจากสถานีเท่าไหร่นัก

"เช็คอินชื่อเอฟเวอร์ลีนค่ะ" อีฟบอกพนักงานต้อนรับที่เค้าเตอร์โรงแรม

"สักครู่นะคะ" พนักงานต้อนรับตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษ

"ห้องสวีทเตียงคิงไซส์ 2 คืนนะคะ" พนักงานต้อนรับถามยืนยันหลังใช้เวลาชั่วครู่ในการดูข้อมูล

"ใช่ค่ะ แต่เอ่อ.. จองไว้ 2 ห้องไม่ใช่เหรอคะ" อีฟถามกลับไป

"ในนี้มีข้อมูลว่าจองห้องเดียวนะคะ" พนักงานคนเดิมขมวดคิ้วพลางก้มหน้าดูจอคอมพิวเตอร์เพื่อเช็คข้อมูล

"จริงป่าวเนี่ย พอดีมีคนจองให้ แต่เขาน่าจะจอง 2 ห้องนะ เช็คใหม่ได้มั้ยคะ" อีฟถามกลับไป สีหน้ากังวลเล็กๆ

"สักครู่นะคะ... มีจองแค่ห้องเดียวจริงๆค่ะคุณลูกค้า" พนักงานต้อนรับยืนยันข้อมูล

"เอาไงดี" ผมถามอีฟ

"งั้นขอห้องเพิ่มได้มั้ยคะ เปิดห้องไหนก็ได้" อีฟหันไปถามพนักงานคนเดิม

"พอดีตอนนี้เป็นฮอลิเดย์คริสมาสต์ ห้องเต็มหมดเลยค่ะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะ" พนักงานคนเดิมตอบกลับอย่างนอบน้อม

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่นอนโซฟาก็ได้" ผมรับรู้ว่าเธอกังวลว่าจะต้องนอนกับผม ซึ่งแน่นอนว่าผมก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าจะเป็นแบบนี้ แต่ตอนนี้ผมก็เหนื่อยเกินกว่าจะไปหาโรงแรมใหม่ ซึ่งในช่วงใกล้คริสมาสต์แบบนี้ก็ไม่รู้จะหาได้มั้ย ดังนั้น การทนอยู่ให้ได้ซักคืนก็คงเป็นทางออกที่ดีกว่า

"เออ แบ่งเขตกันเลย ห้ามล้ำเขต ห้ามข้ามเส้น" อีฟพูดน้ำเสียงหงุดหงิดพลางคว้ากุญแจจากเค้าเตอร์แล้วเดินลากกระเป๋าไปที่ลิฟท์ทันทีโดยไม่สนใจว่าเบลล์บอยจะมาช่วยยกกระเป๋า ผมเห็นละก็อดขำไม่ได้ในความหงุดหงิดของเธอ


...........


"ชิบหายละ..." อีฟถึงกับทรุดทันทีที่เปิดประตูห้องพัก สำหรับผมเนี่ยไม่เท่าไหร่หรอก แต่สำหรับอีฟแล้ว การที่ต้องพักห้องเดียวกัน หรือมีแค่เตียงเดียว มันยังพอแก้ปัญหาได้ด้วยการให้ผมไปนอนโซฟา ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรสำหรับผมนัก

แต่ปัญหามันหนักกว่านั้นน่ะสิ..

เพราะห้องน้ำที่อยู่ตรงหน้าเรา เป็นห้องน้ำที่มีอ่างจากุชชี่ เปิดโล่ง ไม่มีประตู มีเพียงกระจกใสที่ไม่มีแม้แต่ผ้าม่านมาปิด ยังดีที่มุมส้วมนั้นอยู่ในมุมที่ปิดมิดชิด

"ฮ่าๆๆๆ เอาแล้ว แม่คนเก่ง เจอแบบนี้จะทำยังไงเนี่ย จะไม่อาบน้ำตลอดทริปเลยมั้ย" ผมขำจนอดแซวเธอไม่ได้ ผมนึกภาพไม่ออกจริงๆว่าจะทำยังไง ยกเว้นจะไล่ผมออกนอกห้องตอนเธออาบน้ำ

"ไม่ต้องมาหัวเราะเลยไอ้พี่บ้า แล้วอีฟจะอาบน้ำยังไงเนี่ย" อีฟนั่งกอดเข่ากับพื้นอย่างเซ็งๆ

"ฮ่าๆ พี่ไม่ดูอีฟอาบน้ำหรอกน่า.. ถ้าไม่ตั้งใจนะ" ผมย้อนเธอกลับไปพลางหัวเราะไปพลาง

"ไอ้พี่บ้า ไอ้ลามก" อีฟหันมาด่าผมตาเขียว

"ลามกที่ไหน พี่ไม่ได้เป็นคนเลือกห้องนี้ซักหน่อย ไหนๆ โซฟาที่นอนพี่ อันนั้นใช่มั้ย" ผมลากกระเป๋าเดินตรงไปที่โซฟา โซฟานี้ตั้งอยู่ใกล้หน้าต่าง มีฮีทเตอร์ มองออกไปก็เจอวิวคลองในอัมสเตอร์ดัมประดับประดาไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ วิวดีกว่าที่คิดแฮะ

"ไม่ต้องเลย ไอ้พี่ลามก ถ้าอีฟอาบน้ำ พี่ต้องหันหน้าออกหน้าต่าง ห้ามหันกลับมามองเด็ดขาด จนกว่าอีฟจะอาบเสร็จ" อีฟบอกผมเสียงแข็ง

"โอเคๆ ไม่หันๆ น้องนุ่งพี่ไม่สนใจหรอกน่า.." ผมบอกเธอ

"ให้มันจริงเถอะ" อีฟว่าพลางลุกขึ้นลากกระเป๋าไปวางข้างเตียง

"แต่ถ้าน้องไม่นุ่งก็ไม่แน่.." ผมพูดเบาๆ ตั้งใจว่าจะให้เธอได้ยินไม่ชัด แต่ผมลืมไปว่าเธอรับรู้ความรู้สึกผมได้

ตุ้บบบบ!!

อยู่ดีๆก็มีหมอนปลิวมาจากทางอีฟ ปะทะเข้าหัวผมอย่างจังจนผมเซ

"โอ้ยย อะไรเนี่ย" ผมร้องด้วยความตกใจอย่างไม่ทันตั้งตัว

"คิดว่าไม่ได้ยินหรือไง ไอ้ลามก ไอ้คนลามก ไอ้ลามก ไอ้บ้าเอ้ยย" เป็นอีฟนั่นเองที่ขว้างหมอนนั้นมาใส่ผมพร้อมกับก่นด่าทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดผมซักนิด แต่ผมก็ไม่โกรธเธอหรอกนะ ผมรู้ว่าเธอคงเขินและประหม่า ไม่รู้ว่าเธอเคยอยู่ในห้องกับผู้ชายสองต่อสองบ้างมั้ยถ้าไม่นับตอนเสี่ยอั๋นครั้งนั้น แต่จากท่าทีที่เธอแสดงออก ดูก็รู้ว่าไม่เคย และเอาจริงๆ ดูท่าทางโกรธๆวีนๆของเธอตอนนี้แล้วน่ารักเป็นบ้า


ผมนอนเอนที่โซฟา โชคดีที่อยู่ใกล้ฮีทเตอร์ และมีผ้าห่มผืนเล็ก อากาศในห้องก็ไม่ได้หนาวเท่าข้างนอก ผมเลยสละผ้านวมให้อีฟใช้คนเดียวบนเตียงเลย อีฟตอนนี้ทำอะไรไม่ได้ นอกจากยอมรับสภาพคืนนี้ไปก่อน เลยทำได้แค่เพียงหน้ามุ่ยนั่งจัดกระเป๋าเอาของออกมา

ผมเองก็เหนื่อยล้าเต็มที แต่ตั้งใจว่าจะอาบน้ำก่อนนอน ในระหว่างรอ ด้วยความคิดถึง ผมเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ตั้งใจจะส่งไลน์ไปบอกแทนว่าตอนนี้พวกเราถึงแล้ว ถึงแม้ว่าที่ไทยจะตีสองกว่าตีสาม แต่คิดว่าบอกไว้ก่อน อย่างน้อยแทนตื่นเช้ามาจะได้รู้

ผม : แทน ป่านนี้เธอคงหลับแล้ว เราถึงแล้วนะ อากาศที่นี่หนาวมากเลย แต่พอเข้าโรงแรมมาก็อุ่นแล้ว พรุ่งนี้เราไปตรวจร่างกาย จะถ่ายรูปให้ดูนะ แทนดูแลตัวเองด้วยนะ เดี๋ยวเราไปรับเธอที่สนามบินนะ คิดถึง จุ๊ฟฟ

ผมพิมข้อความยาวข้อความเดียวส่งไปหาเธอ เพราะกลัวว่าเธอจะเปิดแจ้งเตือนไว้ แล้วมันจะเด้งเตือนจนเธอตื่น แต่ในทันทีที่ผมกดส่ง เธอก็อ่านทันที และก็มีข้อความตอบมาจากเธอ

แทน : ถึงแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง นั่งเครื่องบินครั้งแรก เหนื่อยมั้ย ใส่เสื้อกันหนาวที่แทนซื้อให้หรือเปล่า ระวังไม่สบายนะ

ผม : อ่าว ดึกแล้วทำไมยังไม่นอนอีก เราส่งไลน์มาปลุกเธอเหรอ

แทน : เปล่า แทนรอเธออยู่ แต่ไม่ได้ส่งไลน์หา คิดว่าน่าจะยังไม่มีเน็ตจนถึงโรงแรม

ผม : นอนได้แล้ว ดึกแล้ว เดี๋ยวไม่สวยนะ

แทน : ยังไม่บอกแทนเลย หนาวมั้ย นั่งเครื่องบินครั้งแรกเหนื่อยมั้ย

ผม : นั่งเครื่องบินเพลียๆหน่อย เรามัวแต่ตื่นเต้นจนไม่ได้นอนบนเครื่องบินเลย 55

แทน : เห่อสินะ แล้วอีฟล่ะ

ผม : ยัยอีฟหลับบนเครื่องตลอดเลย ตื่นขึ้นมาเฉพาะตอนแอร์ฯมาเสิร์พอาหาร นิ่งเป็นหลับขยับเป็นกินจริงๆ

แทน : 5555

แทน : แล้วเธอหนาวมั้ย

ผม : ไม่หนาวกายอะ แต่หนาวใจ คิดถึงแทน

แทน : โอ้โห เดี๋ยวนี้ชักจะคารมณ์เยอะนะ

ผม : แล้วไม่คิดถึงเราเหรอ

แทน : คิดถึงสิ ถึงรอไลน์หาเธอนี่ไง

ผม : แล้วพรุ่งนี้เธอต้องไปไหนแต่เช้ามั้ย นอนดึกขนาดนี้

แทน : แทนมีถ่ายงานตอนบ่ายอะ สบายมาก แต่เดี๋ยวแทนจะนอนแล้วเหมือนกัน ตั้งใจว่าจะรอคุยกับเธอก่อนนอนนี่แหละ

ผม : โอเค เราก็จะนอนแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เราโทรหานะ เน็ตโรงแรมมันไม่ค่อยดี เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะซื้อซิม

แทน : โอเค ระวังโจรระวังกระชากกระเป๋านะ ยุโรปโจรก็เยอะพอๆกับไทย ดูแลน้องอีฟด้วย

ผม : โอ้ย ยัยนั่นน่ะไม่ต้องห่วงหรอก เดินยังกับอยู่ที่สวนหลังบ้าน

แทน : 5555

ผม : โอเค งั้นเราไปนอนแล้วนะ

แทน : โอเค เราก็ไปนอนเหมือนกัน ฝันดีนะคะ

ผม : ฝันดีครับ จุ๊ฟฟ

แทน : จุ๊ฟฟ


เราจบการสนทนาในไลน์ด้วยการส่งสติ๊กเกอร์หัวใจหากัน ผมแอบรู้สึกดี เพราะผู้หญิงสวยอย่างแทนถึงกับอดนอนรอคุยกับผม ทั้งๆที่ผมเป็นแค่ไอ้หน้าจืดคนหนึ่งเท่านั้นเอง ผมนี่มันน่าอิจฉาชะมัด

"พี่ต่อ อีฟจะไปอาบน้ำแล้ว พี่หันหน้าไปที่หน้าต่างเลย ห้ามหันมาจนกว่าอีฟจะออกจากห้องน้ำ" อีฟเสียงแข็งตาเขียวบอกผม

"โอเค แล้วถ้าตอนพี่อาบน้ำล่ะ ถ้าอีฟแอบดูพี่จะทำไง" ผมถามเธอกลับแบบขำๆ อันที่จริงผมไม่ซีเรียสหรอก ถ้าเธอจะแอบดูผมอาบน้ำ ดีซะอีก พ่อจะโชว์ความเป็นชายให้ตาค้างเลย ถึงมันจะไม่มีอะไรให้โชว์ก็เถอะ

"ไอ้บ้า อีฟไม่ใช่คนลามกแบบพี่ ใครจะไปอยากดู อี๋ หันไปเลย ห้ามหันกลับมา" อีฟโวยวายใส่ผมจนผมอดขำไม่ได้ แล้วผมก็นั่งหันออกไปที่หน้าต่างพลางเล่นโทรศัพท์ ส่วนอีฟก็เดินกระแทกเท้าอย่างหงุดหงิดเข้าห้องน้ำไป

เสียงน้ำจากฝักบัวที่ถูกเปิดขึ้นและตกกระทบพื้นห้องน้ำ บ่งบอกให้รู้ว่าตอนนี้อีฟคงกำลังอาบน้ำอยู่ ผมก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ เลื่อนฟีดในเฟสบุ๊คเพื่อดูอัพเดทต่างๆ เพราะตลอดระยะเวลาสิบกว่าชั่วโมงบนเครื่องบินที่ไม่มีอินเตอร์เน็ต มันทำให้ผมแทบจะขาดการติดต่อกับโลกไปเลย

กว่าผมจะไล่ดูฟีดบนเฟสบุ๊คจนไม่มีอะไรให้ดูแล้ว ก็กินเวลาไปราว 5 นาที เสียงน้ำจากฝักบัวที่ยังคงไหลอยู่บ่งบอกว่าอีฟยังคงอาบน้ำไม่เสร็จ ผมล้าเต็มที เมื่อไหร่เธอจะอาบน้ำเสร็จนะ ผมล็อกหน้าจอโทรศัพท์แล้ววางไว้ข้างตัว ตั้งใจจะดูวิวทิวทัศน์ของเมืองอัมสเตอร์ดัมยามราตรี แต่ในทันทีที่ผมเงยหน้าจากโทรศัพท์มองไปที่หน้าต่างนั้น ภาพที่ชวนอึ้งก็ปรากฏต่อหน้าผม...


.......


บรรยากาศนอกหน้าต่างโรงแรมนั้นมืดตามช่วงเวลากลางคืนอย่างที่ควรจะเป็น แม้ว่าจะมีแสงจากอาคารบ้านเรือนและถนน แต่ก็สู้แสงที่อยู่ภายในห้องพักของเราไม่ได้ และด้วยสภาพแสงแบบนี้ ทำให้กระจกใสที่อยู่ต่อหน้าผม แปรเปลี่ยนสภาพเป็นกระจกเงาที่สะท้อนภาพที่อยู่ด้านหลังผมในทันที และภาพที่ผมเห็น คือร่างเปลือยขาวของอีฟที่อยู่ในห้องน้ำ กำลังหันหลังให้ผมและถูสบู่ไปทั้งตัวอย่างเซ็กซี่

แม้ว่าผมจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ทันทีที่เห็นภาพนั้น มันก็เหมือนมีมนต์สะกดให้ผมไม่สามารถละสายตาจากภาพที่เห็นตรงหน้าได้ พอได้เห็นชัดๆแบบนี้ ผมคงต้องบอกตามตรงว่า หุ่นอีฟดีกว่าแทนมาก คือแทนเป็นผู้หญิงสูง ขายาว หุ่นก็ดีแล้ว แต่อีฟนั้น หุ่นเธอเป็นเหมือน.. จะเรียกว่าอะไรดี เหมือนที่เขาเรียกกันว่า หุ่นนาฬิกาทราย

ด้วยความที่เธอหันหลังให้ผมอยู่ ทำให้ผมไม่เห็นหน้าอกเธอชัดๆ แต่ผมจำได้ตอนที่เธอใส่บิกินี่นั้น จำได้ว่าหน้าอกเธอก็ไม่ได้น้อยหน้าเดียร์เท่าไหร่นัก เอวที่คอดกิ้วเล็ก รับช่วงกับสะโพกที่ผายออกมาอย่างได้รูป แค่ร่างขาวของเธอที่ยืนเฉยๆมีฟองสบู่ปกคลุม แค่นี้ก็เป็นภาพที่สวยและเซ็กซี่ที่สุดแล้ว ผมไม่สามารถบอกได้ว่า หุ่นแทนกับหุ่นอีฟนั้น ผมชอบหุ่นแบบไหนมากกว่ากัน แทนก็ขายาว ขายาว สูง ส่วนอีฟก็หุ่นรับช่วงกันได้รูป แม้จะไม่สูงเท่า บอกตรงๆว่าใครมาเป็นผม ก็เลือกไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ

ผมยอมรับว่าผมรู้สึกดีกับอีฟ รู้สึกดีมาก อีฟเป็นคนเดียวที่รู้จักผมดีก่อนที่ผมจะรู้จักเธอ เธอเป็นคนที่รับนิสัยของผมได้ก่อนที่ผมจะรู้จักเธอซะอีก แม้นั่นจะเป็นผลของงานที่ทำเธอต้องแอบสืบเรื่องของผม แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พอมีโอกาสรู้จักกัน อีฟก็ยังคงเป็นอีฟ ที่ยอมรับในตัวผมตลอด และนั่นทำให้ผมรู้สึกว่า อีฟนั้นจริงใจกับผมพอๆกับแทนเลยทีเดียว

แม้ในตอนแรกผมจะไม่ได้คิดลามกอะไร เพราะวันนี้ผมรู้สึกเหนื่อยเกินไปจากการเดินทาง แต่พอเห็นภาพแบบนี้ ผมก็ห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ผมรู้สึกว่าแก่นกายผมเริ่มแข็งตัวอย่างรวดเร็ว หุ่นของอีฟนั้น เป็นหุ่นของผู้หญิงที่มี Sex Appeal สูงมาก เธอมีแรงดึงดูดทางเพศแม้ว่าเธอจะไม่ได้ทำอะไรเลย ผมพยายามจะไม่คิดอะไร พยายามจะห้ามความรู้สึกก็แล้ว พยายามหลับตาก็แล้ว พยายามสะบัดหัวก็แล้ว ก้มหน้าก็แล้ว แต่สุดท้ายมันยังอดไม่ได้ที่เหลือบมองไปที่เงาสะท้อนที่กระจกนั้นอีกครั้ง

ภาพในหัวของผมตอนนี้ ผมอยากเดินเข้าไปในห้องน้ำนั้น ผมอยากสวมกอดอีฟจากข้างหลัง ผมอยากเอาแก่นกายผมไปดุนที่ก้นขาวของเธอ ผมอยากถูไถตัวผมกับตัวเธอที่เต็มไปด้วยฟองสบู่ มันคงจะลื่นและเซ็กซี่น่าดู ผมอยากจะสูดความหอมจากซอกคอขาวของเธอ ผมอยากจะประกบปากสวยได้รูปนั้น อยากจูบเธออีกครั้ง แต่เป็นจูบที่เต็มไปด้วยราคะ ไม่ใช่จูบเบาๆเพื่อดึงสติตอนที่ผมใช้พลังแบบตอนนั้น

ผมอยากเอื้อมมือไปบีบคลึงหน้าอกที่เต็มไปด้วยฟองสบู่นั้น อยากลูบไล้หน้าท้องแบนราบของเธอ อยากล้วงลงไปที่หว่างขาของเธอ อยากผลักหัวเธอก้มลงมาดูดแก่นกายผม อยากกระแทกเอวผมเข้าลำคอสวยนั้นให้ลึกที่สุด อยากจับเธอถ่างขาแล้วกระแทก และที่สำคัญที่สุด ผมอยากนอนกอดเธอไว้ในอ้อมอก อยากตื่นมาในตอนเช้า ในสภาพที่เธอนอนกอดซบอกผม มันคงจะเป็นความรู้สึกดีมากแน่ๆ

คิดได้แค่นั้น ผมก็ต้องสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เมื่อพบกับตาเขียวของอีฟที่มองผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ตอนนี้เธออาบน้ำเสร็จแล้ว เธอยืนหน้าห้องน้ำ มีผ้าเช็ดตัวห่มร่างขาวเธอไว้

"ไปอาบน้ำได้แล้วไอ้ลามก" อีฟบอกผมเสียงแข็งพลางเดินไปที่กระเป๋าเดินทางของเธอเพื่อแต่งตัว ดูท่าทางเธอจะโกรธจริงๆแฮะ ไอ้ผมก็ลืมไป ว่าอีฟอ่านความรู้สึกผมได้ เผลอคิดลามกซะได้

"อ่าา แหะๆ พี่ไม่ได้ตั้งใจ" ผมเกาหัวแกร่กๆ บอกเธอไป แม้ผมจะไม่ได้บอกเธอว่าไม่ได้ตั้งใจเรื่องอะไร แต่เชื่อว่าเธอก็คงรู้ว่าผมหมายถึงอะไร

"ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ พี่มันลามกเสมอต้นเสมอปลายอยู่แล้ว เหนื่อยแล้วยังจะลามกอีก ไอ้พี่โรคจิต" อีฟบ่นผม

ผมไม่เถียงอะไรเธอ แต่เดินเข้าห้องน้ำไป แต่ก่อนจะเข้าห้องน้ำ ผมชะโงกหน้าออกมาบอกเธอว่า

"อีฟจะดูพี่ก็ได้นะ ไม่ต้องแอบ พี่ไม่ว่า"

"ไอ้พี่บ้า ใครจะโรคจิตเหมือนพี่ ไปอาบน้ำเลย จะได้นอน ง่วง!!" แน่นอน ผมก็ต้องโดนอีฟด่าตามระเบียบอยู่แล้ว



หลังอาบน้ำเสร็จ ผมออกมาจากห้องน้ำ ก็พบว่าอีฟแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เธอนั่งทาครีมอะไรก็ไม่รู้อยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง และด้วยความที่ผมไม่ต้องใช้เวลาทาครีมอะไรแบบผู้หญิง ทำให้ทันทีที่ออกมาจากห้องน้ำ ผมเลือกที่จะปิดสวิทช์ตัวเองทันที วันนี้เหนื่อยทั้งวันเกินกว่าผมจะคิดอะไรอื่นได้อีกแล้ว

"พี่นอนแล้วนะ ง่วงมาก ไม่ไหวแล้ว พรุ่งนี้ปลุกพี่ด้วยนะ ฝันดีนะอีฟ" ผมบอกเธอแล้วฟุบหน้านอนตรงโซฟาริมหน้าต่างทันที

ก่อนที่สติผมจะหลุดลอยไป ผมได้ยินเสียงปิดสวิตช์ไฟ เสียงฝีเท้าเดินมาใกล้ผม และอยู่ดีๆก็มีผ้าห่มมาคลุมตัวผม ก่อนที่จะมีเสียงอีฟพูดมาเบาๆ

"นอนก็ไม่ห่มผ้า เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก ฝันดีนะคะไอ้พี่บ้าลามก"

นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินในคืนนั้น แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้ผมผ่านคืนนี้ไปพร้อมกับฝันดีๆ



################


"ทำไมต้องมาเช้าขนาดนี้เนี่ย" ผมบ่นอีฟอย่างเซ็งๆระหว่างที่อยู่บนรถรางที่กำลังเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ

"ก็มันใช้เวลานาน เลยต้องรีบมาไง อย่าขี้บ่นเป็นคนแก่น่า" อีฟที่นั่งข้างๆผมบอก

"ว่าแต่อีกไกลมั้ยเนี่ย" ผมถามเธอ ตอนนี้เรานั่งรถราง หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า 'เทร็ม' มาเกือบครึ่งชั่วโมงจากสถานีหน้าโรงแรมแล้ว

"สถานีต่อไปเนี่ย" อีฟตอบผม ยังไม่ทันไร เธอก็ลุกขึ้นเดินนำหน้าผมลงจากรถในทันทีที่รถจอด

"ไหนอ่ะ ไม่เห็นจะมีตึกอะไรที่ดูล้ำๆเลย" ผมถามเธอในขณะที่เดินตามเธออยู่บนริมถนน

รอบข้างเราตอนนี้ รายล้อมไปด้วยตึก 3-4 ชั้นสไตล์ยุโรป ผมไม่เห็นวี่แววหรือสถาปัตยกรรมใดๆที่ดูเป็นศูนย์วิจัยหรืออะไรล้ำๆให้สมกับเป็นองค์กรระดับโลกแบบที่เห็นในหนังเลย

"แล้วทำไมต้องเป็นตึกล้ำๆ มันไม่ได้อยู่ที่ตึกซักหน่อย" อีฟบอก เธอยังคงเดินนำผมเข้าซอย ผ่านสะพานข้ามคลอง 2-3 สะพาน

จนกระทั่งในที่สุด เราก็มาหยุดอยู่หน้าตึกหนึ่ง มันเป็นตึกที่สไตล์การออกแบบออกแนวโมเดิร์นนิดๆ แต่ก็ผสมผสานกับความงามในสไตล์ยุโรปได้อย่างลงตัว

อีฟพาผมเดินเข้าประตูหน้าไป มีเค้าเตอร์พร้อมพนักงานต้อนรับอยู่สองคน ดูเผินๆก็เหมือนออฟฟิศสำนักงานทั่วไป อีฟพาผมเดินเข้าประตูหลักแล้วแตะบัตรผ่านประตู โดยไม่ได้คุยกับพนักงานต้อนรับแต่อย่างใด

เส้นทางในตึกนั้นเลี้ยวไปมา จนกระทั่งถึงลิฟท์เล็กๆ ที่ผมรู้สึกว่าอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ค่อยอยากให้คนอื่นเห็นสักเท่าไหร่นัก อีฟพาผมเข้าลิฟท์ แล้วกดชั้นลิฟท์ แต่การกดของเธอนั้นแปลก ปกติแล้ว เราจะกดชั้นลิฟท์เป็นชั้นที่ต้องการเลย แต่อีฟกลับกดตัวเลขชั้น 5 ตัวราวกับว่ามันคือรหัส แล้วทันทีที่อีฟกดเสร็จ ลิฟท์นั้นก็ขยับ เลขที่จอยังคงนิ่งไม่ขยับ แต่ผมกลับรู้สึกว่า เรากำลังลงสู่ข้างล่าง

ไม่กี่ชั่วอึดใจ ลิฟท์ก็หยุด และประตูลิฟท์ก็เปิดออก

ตอนนี้เบื้องหน้าผมคือห้องโถงใต้ดินขนาดใหญ่ มีพนักงานอยู่ที่เค้าเตอร์ในชุดกราวด์สีขาว มีคนที่เหมือนกับทำงานที่นี่เดินผ่านเข้าออกระหว่างทางเดินและห้องอื่นๆ ทำให้ผมรู้ว่า นี่คือชั้นใต้ดินที่ใหญ่พอสมควร

"สวัสดีค่ะ เอฟเวอร์ลีนค่ะ แจ้งขอใช้เครื่อง Brain Scan วันนี้ค่ะ" อีฟเดินนำผมเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ที่เค้าเตอร์เป็นอังกฤษ

"จองไว้แล้วใช่มั้ย อ่ะ เจอแล้ว รบกวนกรอกแบบฟอร์มผู้รับการตรวจด้วยค่ะ" เจ้าหน้าที่คนเดิมยื่นแท็บเล็ตมาให้อีฟ แล้วอีฟก็ส่งต่อให้ผม

"อ่ะพี่ กรอกข้อมูลตามนี้ให้หมดเลย" อีฟบอกผมที่เริ่มต้นกรอกข้อมูลในแท็บเล็ตนั้น

ข้อมูลก็ไม่มีอะไรมาก แค่ชื่อ นามสกุล กรุ๊ปเลือด น้ำหนัก ส่วนสูง กรุ๊ปเลือด ข้อมูลทางกายภาพทั่วไป ผมใช้เวลาไม่นานก็กรอกข้อมูลจนครบ แล้วก็มีเจ้าหน้าที่อีกคนเดินมารับพวกเรา

"อีฟ โอ้โหไม่เจอกันตั้งนาน" หญิงสาวผิวดำเดินมาสวมกอดอีฟราวกับทั้งคู่รู้จักกันมานาน

"แชร์ล็อต โอ้ยย คิดถึงงง" อีฟกอดกลับพลางพูดอย่างดีใจ

"ไพลินส่งอีเมล์มาแจ้งแล้ว เดี๋ยวแชร์ล็อตดูเคสนี้ให้" แชร์ล็อตบอกอีฟพลางหันมามองผม

"โอเค ฝากด้วยนะ พี่ต่อ นี่แชร์ล็อต เพื่อนรุ่นพี่อีฟ ทำงานที่นี่นานมากแล้ว รู้จักน้าไพลิน แชร์ล็อต นี่พี่ต่อ" อีฟหันมาแนะนำผมกับแชร์ล็อต

"สวัสดีครับ" ผมทักทายแชร์ล็อตเป็นภาษาอังกฤษ แน่นอน แม้ว่าผมจะพอฟังออกบ้างนิดๆหน่อยๆ แต่ภาษาอังกฤษผมก็ยังไม่ได้แข็งแรงพอจะพูดได้ปร๋อขนาดนั้น

"ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ มาๆ เริ่มกันเลยดีกว่า" แชร์ล็อตยิ้มโชว์ฟันสวยตอบผมพลางผายมือแล้วเดินนำหน้าผมกับอีฟ

เราสามคนเดินมาถึงห้องๆหนึ่ง ห้องนี้แบ่งซอยอีกเป็นสองห้อง มีกระจกใสแผ่นใหญ่กั้น ภายในห้องที่มีกระจกนั้น มีเครื่องคล้ายๆเครื่องสแกนตามโรงพยาบาล มีลักษณะเป็นเหมือนอุโมงขนาดใหญ่ มีเตียงนอนในนั้น ส่วนอีกห้องที่เราอยู่ตอนนี้ มีแผงควบคุมเยอะแยะมากมาย พร้อมกับหน้าจอ 7-8 จอ ผมเดาว่า ผมคงต้องเข้าไปในเครื่องอุโมงนั่นคนเดียวแน่ๆ

"เดี๋ยวพี่เปลี่ยนชุดใส่ชุดนี้ แล้วตามพี่ผู้ชายคนนั้นเข้าไปเลย" อีฟหันมาบอกผมเป็นภาษาไทย หลังแชร์ล็อตบอกอีฟเป็นภาษาอังกฤษ

ผมรับชุดในมืออีฟมา พอเปลี่ยนแล้ว ก็เป็นเหมือนชุดคลุมคนไข้ทั่วไป แล้วเจ้าหน้าที่ชายอีกคนที่อยู่ในห้องนั้นก็เดินนำผมเข้าไปในห้องกระจก ซึ่งในทันทีที่ผมเข้ามาในห้องนี้ ผมกลับพบว่า กระจกนั้นเป็นกระจกด้านเดียว คือผมที่อยู่ในห้องนี้จะมองไม่เห็นคนที่อยู่ในห้องแรก แต่คนจากห้องแรกนั้นจะมองเห็นผมตลอด

เจ้าหน้าที่ชายคนนั้นทำสัญญาณเหมือนให้ผมนอนราบไปกับเตียง ซึ่งในตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอผมเอนตัวนอนลง เจ้าหน้าที่ก็เข้ามารัดข้อมือข้อเท้าผมติดกับเตียง ถึงตรงนี้ผมเริ่มจะกลัวนิดๆแล้ว ว่าทำไมต้องมัดติดเตียงขนาดนี้

แต่ผมก็ไม่สามารถจะถามอะไรเจ้าหน้าที่ชายคนนั้นได้ เพราะผมก็พูดอังกฤษไม่เก่ง เมื่อเจ้าหน้าที่คนนั้นตรวจสอบว่ามัดผมแน่นหนาดีแล้ว ก็เดินออกไป ทิ้งผมไว้ให้นอนหงายอยู่บนเตียงในห้องสีขาว ที่มีไฟส่องมาที่ผมจากทุกทิศทุกทาง เหมือนผมกำลังจะถูกทดลองหรือผ่าตัด หรือทำอะไรสักอย่าง

สิ่งเดียวที่ผมได้ยินตอนนี้ คือลมหายใจของผมเอง ผมไม่รู้ว่าอีฟจะยังดูผมอยู่มั้ย ผมไม่รู้ว่ามีคนพูดอะไรหรือเปล่า เพราะในห้องนี้เงียบมาก เงียบจนผมเริ่มจะกลัวความเงียบนั้น มันเป็นความเงียบในแบบที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน ราวกับว่า กระจกและผนังจากห้องนี้ มันจะกั้นผมออกมาจากอีกมิติหนึ่ง

แล้วเตียงผมก็ขยับ มันค่อยๆเลื่อนเข้าไปในอุโมงที่อยู่เหนือหัวผมอย่างช้าๆ ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกเชือดยังไงยังงั้น และพอส่วนหัวผมเริ่มเข้าไปในอุโมง ผมก็เห็นแสงไฟสีฟ้าส่องออกมาจากอุโมงนั้น และนั่นคือภาพสุดท้ายที่ผมจำได้...



############



"เห็นมั้ยลูก นั่นเครื่องบินไง ที่หนูชอบดูในทีวี เห็นมั้ยมันกำลังค่อยๆลงจอดแล้ว" เสียงชายคนหนึ่งหันไปพูดกับเด็กชายตัวเล็กที่กำลังนั่งที่ตักของหญิงอีกคน ที่คาดว่าน่าจะเป็นแม่

"ทำไมเครื่องบินมันบินได้ล่ะพ่อ" เด็กคนนั้นหันมาถามพ่ออย่างตื่นเต้น

"เครื่องบินมีปีกไง พอเครื่องยนต์มีความเร็วไปข้างหน้า อากาศก็จะไหลผ่านปีก ทำให้เกิดแรงยก.." คนเป็นพ่อเริ่มต้นอธิบาย

"พอๆเลยคุณ ลูกเราอายุแค่นี้ มาอธิบายซะจริงจังจะรู้เรื่องมั้ย" หญิงคนดังกล่าวหันมาปรามคนเป็นพ่อที่คงลืมไปว่า ลูกชายตัวเล็กของเขาคงจะยังไม่โตพอจะเข้าใจเรื่องทางวิศวกรรมพลศาสตร์อะไรขนาดนั้น

"แหะๆ พ่อลืม ว่าแต่ลูกต่อโตขึ้นอยากเป็นอะไรครับ" คนเป็นพ่อหันมาถามหนูน้อยคนเดิม

"ต่ออยากเป็นนักบิน หนูจะพาพ่อแม่ไปเที่ยวรอบโลก ไปเที่ยวอวกาศด้วย" เด็กน้อยพูดอย่างมีความสุข

"โอ้โห ไปอวกาศเลยเหรอ แม่รออยู่ที่บ้านได้มั้ย หนูไปกับพ่อนะ เดี๋ยวแม่ทำกับข้าวไว้รอ" คนเป็นแม่พูดอย่างอารมณ์ดี

"ไม่เอา หนูอยากให้แม่ไปด้วย หนูจะพาพ่อแม่ไปเที่ยวทุกที่เลย" เด็กน้อยคนเดิมพูดอย่างไร้เดียงสา

"เอ้า แล้วถ้าลูกต่อโตขึ้นแล้วจะไม่แต่งงาน พาเมียพาลูกไปเที่ยวเหรอ" คนเป็นพ่อถาม

"ไม่ครับ หนูจะอยู่กับพ่อแม่ตลอดไป" เด็กน้อยพูดอย่างมีความสุขพลางมองดูเครื่องบินอีกลำที่กำลังค่อยๆร่อนแลนดิ้งลงมา

"คุณก็ ลูกอายุแค่นี้ ริสอนให้มีเมียซะแล้ว จริงๆเลย" คนเป็นแม่หันมากระทุ้งเข้าที่ท้องของพ่ออย่างหมั่นไส้


......


"แปลกแฮะ ทำไมอยู่ดีๆโรงเรียนหยุดอีกแล้ว หยุดโดยไม่มีเหตุผลเนี่ยนะ" คนเป็นพ่อถามแม่ในขณะที่กำลังขับรถกลับบ้าน โดยมีเด็กชายตัวเล็กในชุดนักเรียนนั่งอยู่ในรถด้วย

"นั่นสิ คุณครูบอกว่ายังไงลูก" คนแม่หันไปมาถามหนูน้อย

"ครูบอกว่าวันนี้ให้หยุดเป็นกรณีพิเศษอีกวันครับ" หนูน้อยตอบเสียงเจื้อยแจ้ว

"แปลก เมื่อเช้าลูกเราบอกไม่อยากไปโรงเรียน อาทิตย์ก่อนโน้นก็แบบนี้ ลูกบ่นไม่อยากไปโรงเรียน อยู่ดีๆโรงเรียนก็หยุดเป็นกรณีพิเศษ ต้องโทรให้ผู้ปกครองไปรับนักเรียนกลับบ้าน อาทิตย์ที่แล้วก็เหมือนกัน" พ่อขมวดคิ้วหันมาคุยกับแม่ด้วยสีหน้ากังวลเล็กๆ

"นั่นสิ คิดเหมือนที่แม่คิดมั้ย" คนเป็นแม่ถาม

"ลองปรึกษาไพลินดูดีมั้ย" คนพ่อถามแม่กลับ

"ดีเหมือนกัน"


.........


"เราจะทำยังไงกันดีคะคุณ" คนที่ดูเหมือนแม่นั่งร้องไห้อยู่บนโซฟาห้องโถง ถามคนที่เป็นพ่อที่นั่งอยู่ตรงข้าม ในขณะที่หนูน้อยนั่งแอบอยู่ตรงบันได โดยที่พ่อแม่ไม่รู้เลยว่า เจ้าตัวเล็กกำลังแอบฟังอยู่

"ผมอยากให้ลูกเรามีชีวิตที่ปกติ ผมไม่อยากให้ลูกเรายุ่งเกี่ยวกับอะไรแบบนี้เลย" คนเป็นพ่อนั่งกุมขมับ

"ไหนตอนแรกคุณบอกว่ามันจะไม่เป็นอะไรไง ไหนคุณบอกว่าลูกเราจะไม่ได้รับความสามารถไปด้วย ฮืออ" แม่ยังคงร้องไห้ฟูมฟาย

"ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ถ้าจริง แสดงว่าลูกเราเป็นเคสแรกๆของโลกเลยนะ ผมเป็นห่วงลูกเหลือเกิน"

"ฮืออ เราจะทำยังไงกันดี" แม่ยังคงร้องไห้ฟูมฟายไม่เป็นภาษา

"สักวันหนึ่งลูกต้องรู้ความจริงอยู่ดี แต่ถ้าลูกรู้เองโดยที่เราไม่แนะแนวทาง ลูกอาจจะโตไปในทางที่ผิดได้ หรือเราควรทำตามที่ไพลินแนะนำเราดี" คนเป็นพ่อพยายามเค้นความคิดอย่างหนัก พลางถามแม่

"แต่.. ลูกเราจะปลอดภัยเหรอ" แม่ยังคงกังวลความปลอดภัยของหนูน้อย

"ต้องปลอดภัยสิ ถ้าด้วยวิธีนี้ เราก็สามารถอยู่แนะนำแนวทางให้ลูกได้อยู่แล้ว ผมจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลูกและคุณเอง" คนเป็นพ่อพูดอย่างหนักแน่น

"แต่นั่นแปลว่าเราต้องกลับเข้าไปยุ่งเรื่องบ้าๆนี้อีกนะ ทั้งๆที่เราหลุดพ้นมาใช้ชีวิตเป็นปกติได้แล้ว" คนเป็นแม่ถาม

"เรามีทางเลือกด้วยเหรอ ถ้ามันถึงเวลาต้องเลือก สิ่งที่เราทำได้ ก็คงแค่เพียงเลือกทางที่ดีที่สุดเท่าที่มี​ ณ ตอนนี้เท่านั้นแหละ" คนพ่อบอก

..........

"วันนี้หนูมีการบ้านมั้ยลูก" คนเป็นแม่หันมาถามหนูน้อยที่นั่งอยู่เบาะหลัง

"มีครับ วันนี้คุณครูสอนเรื่องหารเศษส่วนแล้ว วันนี้คุณพ่อสอนต่อหน่อยได้มั้ยครับ" หนูน้อยตอบแม่ แล้วหันไปถามพ่อที่กำลังขับรถอยู่

"ได้สิลูก เรื่องหารนี่ง่ายมากเลยนะ ถ้าหนูทำได้แล้ว คณิตศาสตร์ก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว" คนเป็นพ่อบอกพร้อมๆกับชะลอรถในจังหวะที่รถติดไฟแดง

"คุณก็พูดแบบนี้ตั้งแต่บวกแล้ว เรื่องคณิตศาสตร์นี่ง่ายแค่กับคุณเท่านั้นแหละ" คนเป็นแม่แซวอย่างขำๆ

"ก็จริงนี่นา ใช่มั้ยลูก ไหนบอกแม่เค้าซิ ว่าหนูชอบเรียนวิชาอะไรมากที่สุด" คนเป็นพ่อตอบแม่แล้วหันไปถามหนูน้อย

"ชอบคณิตศาสตร์ครับ" หนูน้อยยิ้มกว้างตอบพ่อ

"เห็นมั้ย" พ่อบอก

"ทำไมหนูชอบคณิตศาสตร์ล่ะลูก ทำไมไม่ชอบวาดรูปหรืออะไรง่ายๆแบบเพื่อนๆเขา" คนเป็นแม่ถาม เธอไม่ได้จะบีบบังคับลูกให้ชอบอะไร แต่เธอแค่สงสัยว่า ทำไมลูกชายคนเก่งของเธอนั้น ชอบอะไรที่มันดูยากกว่าปกติ

"ก็ถ้าหนูเรียนสายวิทย์เก่งๆ โตขึ้นหนูจะได้เป็นนักบิน ขับเครื่องบินพาพ่อแม่เที่ยวทั่วโลกเลย" หนูน้อยพูดถึงความฝันอย่างมีความสุข

"โอ้โห นี่เอาจริงเหรอ พ่อต้องเตรียมจัดกระเป๋าได้แล้วมั้งเนี่ย" พ่อหันมาหัวเราะกับหนูน้อย

"นั่นน่ะสิ งั้นเดี๋ยวแม่จะต้องซื้อเสบียงตุนไว้ เอาไว้ทำกับข้าวเวลาเราขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวกัน ดีมั้ยลูก" แม่ยิ้มถามกลับ

"ดีครับ หนูจะพาพ่อแม่เที่ยว..."

โครมมมมมมม!!!! หนูน้อยพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงดังกึกก้อง พร้อมกับการพลิกหมุนอย่างรุนแรงของตัวรถ ภาพที่หนูน้อยเห็นนั้น มีเพียงอาการหมุนคว้างของวิวทิศทัศน์ด้านนอกจนหนูน้อยไม่รู้ว่า อันไหนคือท้องฟ้า อันไหนคือแผ่นดินกันแน่

เสียงกรีดร้องดังลั่นของพ่อและแม่ดังขึ้น พร้อมๆกับเสียงบดขยี้ของโลหะที่กระทบกันอย่างรุนแรง จนกระทั่งทุกอย่างค่อยๆเงียบหายไปและหยุดนิ่ง

สภาพตอนนี้ที่หนูน้อยเห็น หลังคารถที่ยับยู่ยี่กลับกลายเป็นพื้นดิน ในขณะที่พื้นข้างล่างกลับเป็นสีฟ้าสดใสของท้องฟ้า พ่อนั้นฟุบลงไปกับพวงมาลัยที่มีแอร์แบ็คสีขาวฉาบไปด้วยสีแดงฉาน หนูน้อยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อเงียบไปแล้ว

"ต่อ.. ละ.. ลูก เป็นอะไร.. มั้ย" เสียงแม่พยายามฝืนพูด เรียกสติให้หนูน้อยหันกลับมามองแม่

ตอนนี้แม่ของหนูน้อยอยู่ในสภาพแขนผิดรูป เลือดสีแดงฉานเปรอะไปทั่วหน้า เศษกระจกติดเต็มใบหน้าของเธอ แต่แม่ก็ยังฝืนกลับมาดูความปลอดภัยของหนูน้อย

"แม่.. ฮืออ แม่เป็นอะไร หนูไม่เป็นไร พ่อ พ่อๆๆๆ" หนูน้อยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แม้ว่าความเป็นเด็กน้อย ก็ไม่อาจทำให้เขาไม่รู้ว่า เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นแล้ว

"หนูต้องปลอดภัยนะลูก ไปหาน้าไพลินนะลูก จำคำแม่ไว้ นะ.. หา.. น้า.. พะ.. ไพลิ.. น" นั่นคือเสียงสุดท้ายของแม่ ก่อนที่เธอจะหลับตาและทิ้งศีรษะลงราวกับไม่มีแรงอีกต่อไป

"แม่!! แม่!! แม่เป็นอะไร ฮืออออ แม่!! พ่อ!!" หนูน้อยร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บ เขาแค่รู้ว่าต้องเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นกับพ่อแม่เข้าสักอย่างแล้ว และนั่น.. คือภาพสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะดับไป


......


"มึงๆ น้องคนนั้นน่ารักว่ะ" เสียงของอ้นสะกิดบอกต่อในระหว่างที่กำลังคุมฐานรับน้องรวม

"ก็พอได้ว่ะ แต่กูว่าแทนกูน่ารักกว่าเยอะ" ต่อตอบอ้น

"โอ้ยยย แทนอ่ะขึ้นหิ้งไปแล้ว ดอกฟ้าอย่างนั้น เค้าไม่มองคนรุ่นเดียวกันอย่างพวกเราหรอกโว้ยย อย่างเรามันต้องหารุ่นน้องน่ารักๆแบบนี้แหละ" อ้นยังคงพยักเพยิดให้มองไปที่รุ่นน้องสองคนที่กำลังเข้าฐานที่พวกเขาดูอยู่

"เออ ก็น่ารักดีว่ะ คนที่ชื่ออิงอ่ะ" ต่อบอกในทันทีที่เขาพิจารณาใบหน้าสวยของรุ่นน้องคนนั้น

"เออ น้องเบสท์ก็น่ารัก แต่ท่าทางจะหยิ่งว่ะ" อ้นบอกพลางสะกิดให้มองไปที่เพื่อนของรุ่นน้องที่ชื่ออิง

"พี่คะๆ หนูขอไปเข้าห้องน้ำกันก่อนได้มั้ยคะ พอดีไม่ไหวแล้ว หนูปวดฉี่มาก" เสียงรุ่นน้องที่ชื่ออิงจูงมือเพื่อนเธอที่ชื่อเบสท์มาขออนุญาตต่อ

"เอ้อ ได้สิครับ" ต่อบอก

"เห้ย! ไม่ได้ ได้ไง เพื่อนคนอื่นยังทนได้เลย แล้วเราเป็นใครจะทนไม่ได้" อยู่ดีๆอ้นก็ทำเสียงขึงขังขึ้นมาซะอย่างงั้น ผมรู้ว่ามันแกล้งวางฟอร์มโชว์ไปงั้นแหละ

"แต่พวกหนูปวดฉี่จะไม่ไหวแล้ว ขอไปฉี่หน่อยไม่ได้รึไง" เบสท์ เพื่อนของอิงที่ยืนด้วยกันพูดสวนกลับมา

"เห้ยมึง ไม่เป็นไรหรอก น้องรีบไปรีบมานะครับ" ต่อหันไปปรามอ้นที่กำลังวางฟอร์มขึงขังพร้อมกับหันไปบอกอิงด้วยสายตาเป็นมิตร ในใจเขาอยากจะทำให้อิงประทับใจ อยากจะสานต่อความสัมพันธ์ ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากจะให้อิงนั้นชอบเขา

"ขอบคุณนะคะพี่.. ต่อใช่มั้ยคะ" อิงหันมาขอบคุณต่อพลางมองป้ายชื่อ

"ครับ" ต่อตอบยิ้มๆให้กับอิงทีส่งสายตาขอบคุณกลับมา แล้วสองสาวก็จูงมือกันวิ่งไปทางห้องน้ำทันที

"แหม มึง เห็นน่ารักหน่อยไม่ได้เลยนะ กูอุตส่าห์วางฟอร์มขรึมซักหน่อย" เสียงอ้นบ่นงุบงิบหลังจากสองสาววิ่งหายลับตาไป แต่ต่อก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก เพราะตอนนี้ต่อเริ่มจะสนใจอิงขึ้นมาแล้วล่ะ


.......


"ต่อ.. เรา.. เลิกกันนะ" อิงก้มหน้าพูดเสียงเศร้าที่ร้านกาแฟ ร้านเดียวกับที่เธอเจอกับต่อ แฟนหนุ่มของเธอครั้งแรก

"ทำไม.. อิงเป็นอะไร" ต่อถามอิงกลับอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

"........." ไม่มีคำตอบรับใดๆออกมาจากปากเธอ

"อิงเป็นอะไรบอกเราสิ อิงอยากได้อะไร ใครว่าอะไรมาหรือเปล่า" ต่อถามอิงกลับรัวๆ

"ป่าว..." อิงยังคงก้มหน้านิ่งตอบ น้ำใสๆเริ่มไหลรินออกจากดวงตาของเธอ

"อิงอย่าทำแบบนี้สิ มีอะไรก็บอกเราดีๆสิ ไม่เอาแบบนี้นะ" ต่อเริ่มหน้าเสียเมื่อเห็นว่าอิงจริงจังกับคำพูด ความเสียใจเริ่มจู่โจมเข้ามา

"เราแค่.." อิงพยายามกลั้นสะอื้น

"แค่อะไร แค่ล้อเล่นเหรอ" ต่อถามกลับอย่างมีความหวัง

"เราแค่.. เรามีแฟนใหม่แล้ว เราคบกันต่อไม่ได้แล้ว เราขอโทษนะ แต่เราอย่าเจอกันอีกเลย" อิงเงยหน้าพูดทั้งน้ำตา แล้วก็ลุกขึ้นเดินจากไป ทิ้งต่อให้นั่งนิ่งอึ้งไว้เพียงลำพัง

อิงจากไปแล้ว ต่อไม่มีแรงแม้แต่จะลุกวิ่งตามเธอไป ไม่มีแรงแม้แต่จะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเธอ เพื่ออ้อนวอนอีกครั้ง เขาทำได้เพียงนั่งนิ่งๆอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม


และแม้ว่าจะต้องไปทำงานในเย็นวันนั้น แต่ก็เป็นการทำงานในสภาพที่ไม่ต่างจากซอมบี้ ในหัวของเขายังคงคิดวนไปเวียนมาแต่เรื่องอิง เขาพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้น้ำตามันไหลออกมากลางที่ทำงาน และแม้ว่าจะยากแค่ไหน แต่เขาก็ยังอดทนจนได้ อดทนฝืนทำงานตามหน้าที่รับผิดชอบ จนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน ในทันทีที่สองเท้าของเขาก้าวพ้นออกมาจากที่ทำงาน น้ำตาที่ถูกอั้นไว้ ก็ร่วงพรูออกมาราวกับสายน้ำ

ต่อเดินกลับบ้านทั้งน้ำตา เขาไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว เมื่อวานกับวันนี้ไม่เหมือนกันอีกต่อไปแล้ว เมื่อวานเขายังมีอิง แต่พรุ่งนี้ไม่มีอีกแล้ว เมื่อวานยังมีความฝันจะใช้ชีวิตร่วมกัน แต่พรุ่งนี้เขาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เมื่อวานมีอิงที่คอยกอดเขาในยามที่เขาเหงาและท้อ แต่พรุ่งนี้ เขาต้องกลับไปใช้ชีวิตคนเดียวอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกสูญเสียที่หนักหน่วง ไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกสูญเสียที่เขาเคยเจอตอนเด็ก

และภาพสุดท้ายที่เกิดขึ้นต่อหน้าเขา คือภาพที่เขาไขกุญแจห้องเดินเข้ามา แล้วทิ้งตัวลงบนเตียงนอน เตียงที่เคยมีอิงนอนกอดกับเขาทุกคืน...



###########



ผมลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงงในห้องที่ไฟสลัวๆ ผมต้องใช้เวลานึกอยู่พอสมควรว่าผมอยู่ที่ไหน แล้วผมก็จำได้ ผมมาตรวจร่างกายที่อัมสเตอร์ดัม ผมต้องโดนล็อกแขนขาไว้บนเตียงอยู่ในห้องที่แสงไฟเจิดจ้า และถูกส่งเข้าเครื่องอะไรบางอย่างที่มีลักษณะเหมือนอุโมงค์ แล้วภาพก็ตัดไป

ผมมองไปรอบๆ แขนขาผมถูกปลดพันธนาการแล้ว เครื่องที่มีลักษณะเป็นอุโมงค์ตั้งอยู่ที่กลางห้อง อีกฝั่งเป็นกระจก ทำให้ผมรู้ว่า นี่คือห้องเดิม ต่างกันตรงที่แสงไฟที่เคยเจิดจ้าส่องสว่าง ตอนนี้ถูกดับหมดแล้ว มีแค่ไฟสลัวๆเท่านั้น ราวกับเพื่อให้ผมพักผ่อนอย่างเต็มที่

ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ไม่รู้ว่ายังมีคนอยู่ข้างนอกนั่นมั้ย ผมค่อยๆลุกขึ้นนั่งบนเตียง สำรวจร่างกายตัวเอง ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ ไม่ปวดหัว ไม่ปวดตัว ไม่มีร่องรอยการถูกฉีดยาหรืออะไรเลย

แล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออก พร้อมกับคนสองคนที่เดินเข้ามา

"ตื่นแล้วเหรออออ เป็นยังไงบ้าง" เสียงอีฟดังลั่น ทั้งๆที่ห้องไม่ได้ใหญ่มาก ผมก็ไม่เข้าใจว่าเธอจะตะโกนทำไม

"จะตะโกนทำไมเนี่ย พี่ปกติดี นี่พี่หลับไปนานมั้ย" ผมบ่นเธอ พลางถามกลับ

"พี่หลับไปเกือบ 7 ชั่วโมงเลย ตอนนี้ตรวจอะไรเสร็จหมดแล้ว" อีฟบอก

"แล้ว สรุปว่ายังไง" ผมถามอีฟ อยากรู้ผลตรวจ

"ผลออกพรุ่งนี้ เดี๋ยวแชร์ล็อตจะส่งอีเมล์รีพอร์ตไปให้ ถ้าจำเป็น อาจจะนัดเข้ามาคุย ระหว่างนี้ก็อยู่แถวเมืองนี้ไปก่อนนะ" แชร์ล็อตที่ยืนข้างๆอีฟพูดขึ้น และอีฟก็แปลให้ผมฟัง

"งั้นเราไปได้ยัง หิวมาก" ผมถามอีฟ ก็แน่ล่ะสิ ตอนเช้าเรารีบมาจนไม่มีเวลาทานอาหารเช้า แถมผมหลับยาวอีก ยังไม่พอ ถ้าเทียบกับเวลาที่ไทยแล้ว ต้องบวกไปอีก 6 ชั่วโมง กลายเป็นว่าผมอดข้าวมาเป็นวันแล้ว ไม่แปลกที่ผมจะหิวมาก

"ปะ พี่ไปแต่งตัว แล้วเดี๋ยวเราไปกินข้าวกัน" อีฟประคองผมลงจากเตียง แล้วเจ้าหน้าที่ชายอีกคนก็เดินเอาเสื้อผ้ามาให้ผม แล้วพาผมไปเปลี่ยนชุด




เย็นวันนั้น แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันที่สองของการเหยียบแผ่นดินยุโรปของผม แต่ผมก็ถือว่าเป็นวันแรก เพราะเมื่อวานคือวันที่เพิ่งเดินทางมาถึง หลังเติมพลังด้วยการกินข้าวอย่างง่ายๆด้วยอาหารขยะอย่างแมคโดนัลล์แล้ว ผมกับอีฟก็เริ่มเดินเที่ยวกันแถวนั้น

อัมสเตอร์ดัมนั้นเป็นเมืองที่ก่อตั้งมานานกว่า 800 ปีแล้ว แรกเริ่มเดิมที มันเป็นหมู่บ้านชาวประมง จนกระทั่งเริ่มพัฒนาความเจริญจนกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญของยุโรปเหนือ และด้วยความที่เป็นเมืองที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ทำให้มีคลองอยู่ทั่วเมืองเต็มไปหมด ซึ่งคลองเหล่านั้น เป็นส่วนหนึ่งของระบบชลประทานที่เชื่อมต่อพื้นที่รับน้ำและเขื่อนกั้นน้ำเข้าไว้ด้วยกัน และด้วยเหตุผลนี้ ทำให้อัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองที่ต่ำกว่าน้ำทะเล แต่ไม่เคยโดนน้ำท่วมเลย

ผมเดินเที่ยวเล่นกับอีฟอย่างตื่นตาตื่นใจ พื้นที่ตั้งแต่หน้าสถานีรถไฟ Amsterdam Centraal ยาวต่อเนื่องไปจนถึงจตุรัส Dam Square นั้นเป็นย่านท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยร้านค้าช้อปปิ้งต่างๆมากมาย และแน่นอน เรื่องช้อปปิ้งกับผู้หญิงเป็นของคู่กัน ทำให้ผมต้องรับหน้าที่ถือของในระหว่างที่คุณนายอีฟเดินเข้าออกร้านนู้นร้านนี่

"โอ้ยย เหนื่อยแล้วว จะซื้ออะไรเยอะเนี่ย" ผมบ่นอีฟ ในมือผมเต็มไปด้วยถุงเสื้อผ้า เครื่องสำอางค์ต่างๆนาๆเต็มสองข้าง และแน่นอน ทั้งหมดคือของอีฟ

"อะไรแค่นี้บ่น นี่อีฟเพิ่งช้อปได้นิดเดียวเอง" อีฟลอยหน้าลอยตาพูด

"นี่ใจคอจะซื้อหมดเมืองเลยรึไง อีกอย่าง ของบางอย่างซื้อที่ไทยก็ได้ปะ" ผมยังคงบ่นไม่เลิก

"พี่นี่ไม่เข้าใจผู้หญิงเลยอ่ะ ของอย่างเดียวกัน แต่ซื้อคนละที่ ความหมายมันก็ต่างกันนะ แถมซื้อเป็นเงินยูโร คิดเป็นเงินไทยแล้วถูกกว่าด้วย ไหนจะทำ Tax Refund ขอคืนภาษีที่สนามบินได้อีก ยิ่งถูกเข้าไปใหญ่" อีฟบอก สองขาเธอยังคงเดินนำหน้าผมเบียดฝูงชนที่ Dam Square เพื่อจะเดินหน้าช้อปปิ้งต่อ

"พอก่อนได้มั้ย ขอเวลานอกพักก่อน ไม่ไหวแล้ววว" ตอนนี้ผมยอมแพ้จริงๆ ผมบอกเธอขอยอมแพ้ อย่างน้อยก็ขอให้ได้พักสักนิดก็ยังดี

"โถ่ อ่อนแอชะมัด เออ เดี๋ยวอีฟรอพี่แทนมา อีฟมาช้อปกับพี่แทนกันสองคนก็ได้ เชอะ" อีฟสะบัดหน้าใส่ผม

"ว่าแต่เราหาร้านกาแฟนั่งกันมั้ย เดินจนปวดขาแล้วเนี่ย ขอพักหน่อย" ผมบอกเธอ

"พี่นี่น้าาาา อ่ะๆ พักหน่อยก็ได้" อีฟบอก

"นั่นๆ ร้านกาแฟ เราไปสั่งกาแฟกินนั่งพักกันซักแปปเถอะ ไม่ไหวแล้ว" ผมเหลือบไปเห็นป้าย Coffee Shop อยู่หน้าร้านในซอยหนึ่ง ผมตัดสินใจจูงมือเธอเดินไปทันที ผมไม่สนหรอกว่าเธอจะหาว่าผมแต๊ะอั๋งเธอหรือเปล่า ตอนนี้ผมเหนื่อยมากแล้ว

"เห้ย! เดี๋ยว พี่ๆๆ เดี๋ยวๆๆๆ" อีฟพยายามดึงมือสู้ผม แต่เธอก็ทนแรงลากดึงผมไม่ได้หรอก ผมเหนื่อยก็จริง แต่ถ้าเธอจะปฏิเสธผมด้วยการเดินไปช้อปปิ้งต่อจริงๆละก็ ต่อให้อุ้มแล้วโดนตบ ผมก็จะอุ้มเธอไปนั่งพักในร้านกาแฟนั้นจริงๆ คือแบบมันปวดขาไม่ไหวแล้ว


แต่...


เราสองคนนั่งมองหน้ากันในร้านกาแฟนั้น อีฟยิ้มมุมปากเล็กๆมองผมอย่างสะใจในทันทีที่ผมเห็นเมนูที่พนักงานเอามาวางไว้ให้

"หึหึ เข้ามาแล้วต้องลองนะ อีฟจะบอกแล้วก็ไม่ฟังเอง" อีฟพูดยิ้มเยาะใส่ผม

อันที่จริงแล้ว นี่ไม่ใช่ร้านกาแฟ แต่มันคือร้านขายกัญชาแบบถูกกฏหมาย ร้านแบบนี้จะติดป้ายหน้าร้านว่า Coffee Shop ซึ่งถ้าคนไม่รู้แบบผม ก็คงเข้าใจไปว่ามันคือร้านกาแฟ แล้วผมก็พลาดเองที่ลืมสังเกตุว่า ร้านนี้มันดูตกแต่งร้านไม่เหมือนร้านกาแฟ แต่ผมเข้าใจไปว่า มันคงเป็นวัฒนธรรมของคนที่นี่ ที่นั่งกินกาแฟชิวๆในบรรยากาศแบบนี้ ที่ไหนได้ พอเข้าร้านมา เมนูทั้งหมดดันเป็นกัญชาซะงั้น

แม้ว่าที่เนเธอร์แลนด์นั้นจะเปิดเสรีกัญชา แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะปลูกกัญชาหรือสูบกัญชาได้อย่างเสรี เพราะคนที่จะซื้อกัญชาสูบ หรือกินนั้น จะต้องทำในร้านที่กำหนดไว้เท่านั้น เช่นร้านแห่งนี้ เราไม่สามารถเดินสูบกัญชาบนถนนทั่วไปได้ (แม้ว่าจะมีบางคนแอบทำก็เถอะ)

ธุรกิจประเภทร้าน Coffee Shop ที่เนื้อในขายกัญชาจึงเกิดขึ้น มีเมนูเครื่องดื่มกัญชาทุกรูปแบบ รวมไปถึงขายเป็นแบบสูบเป็นบ้อง หรือแม้กระทั่งเป็นมวนๆแบบบุหรี่ ซึ่งสามารถสูบในร้านได้เลย และด้วยความเสรีแบบนี้อีก จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก ที่ร้าน Coffee Shop ใน Amsterdam จะเป็นหนึ่งในสถานที่ที่นักท่องเที่ยวสายเขียวใฝ่ฝันจะมาลองสักครั้ง

"เอาไง จะเดินออกจากร้านอย่างไก่อ่อนหรือจะลองสักตั้งจ้ะพ่อคนเก่ง" อีฟถามผมด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยตอนที่เห็นผมอ่านเมนูไปมาอย่างลังเล

ผมไม่เคยสูบบุหรี่ และไม่รู้ด้วยว่าถ้าสูบกัญชามันจะเป็นยังไง อันที่จริงผมไม่เคยสนใจเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะความที่ผมอยากนั่งพัก และคงเป็นเพราะคำเยาะเย้ยที่อีฟยั่วผมดีนัก เลยทำให้ผมตัดสินใจเด็ดขาด ให้มันรู้ซะมั่ง ว่าคนชื่อต่อไม่ถอยง่ายๆ

"มา! เอาก็เอาวะ" ผมบอกอีฟเสียงเข้ม...


(โปรดติดตามตอนต่อไป)



##################


สวัสดีครับคุณผู้อ่าน

EP.20 มาแล้ว น่าจะเป็นตอนที่หลากอารมณ์นิดนึง ตอนนี้เป็นตอนที่ยาวที่สุดในบรรดาทุกตอนเลย จริงๆมันจะมีอีก 2-3 ซีน แต่ผมขอตัดไป EP หน้าเลยละกัน มันยาวเกินไปแล้ว 555

สำหรับ EP นี้ ขอถามคุณผู้อ่านครับ ถ้าไม่นับเรื่องนิสัย ชอบหุ่นผู้หญิงสูง ดูดี แบบแทน หรือชอบผู้หญิงหุ่นดี มีหน้าอก(ไม่ได้ใหญ่ล้นเวอร์แต่ก็ใหญ่พอดี) เอวเล็ก สะโพกผาย ดูมี Sex Appeal แบบอีฟ ถ้าเป็นคุณชอบแบบไหนครับ ย้ำนะ ไม่เอานิสัย เอาหุ่นล้วนๆ

สุดท้าย คอมเม้นท์เพื่ออ่านความลับในห้องน้ำของอีฟครับ


 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

ananchai2002

ได้เม้นทแรกเลยครับ สุดยอดเลย

zero009


865162

อีฟเริ่มมีใจแล้วเดี๋ยวก็เสร็จต่อแน่นอน

nongfriend

ลุ้นๆต่อ กับ อีฟ เมื่อไหร่จะ ....กันซะทีนะ เดี่ยวแทนก้อมาแล้วเร็วๆๆเลย

จักรภพ อุดมสิน

ลองแล้วก็ ลาละลอยไง 555555+ ย้อนอดีตนิดๆแต่ยังไม่เฉลยเท่าไหร่ ลุ้นต่อไป ขอบคุณครับ


thongdaeng_skk

 ลองกัญชาแล้วจะเกิดอะไรขึ้นนะ

Am1112mA

ดูดกัญชาแล้วจะมีอารมณ์ป่าว

ผู้เฒ่าเซราะกราว


chatjane4234

สงสัยจะหวังมอมกัญชาอีฟแน่ๆ เคลิ้มๆ เยิ้มๆ น่าลองนะ

warpzone

พลังของต่อน่าจะได้รับมาจากพ่อและแม่แน่ คงโดนจับตาดูมานานแล้วด้วย

donki

ถ้าถามเรื่องหุ่น ผมชอบแบบแทน ถ้าถามนิสัย ก็ขอแบบแทน สรุปชอบแทนทุกอย่างครับ

Paragraph<BB>

ขอให้โดนคนเมากัญชาปล้ำเถอะ ต่อจัดซะทีซิอยากเห็น

Thanee_samsung

เห็นบ่นๆ ก็แอบมีใจให้ต่อนะ เราน่ะ อิอิ