คุยกันก่อนอ่าน ขอบคุณผู้อ่านที่ยังติดตามรออ่านงานของผมมากๆ ครับ จะพยายามทำให้ดีและเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยครับ
Darkness Circle / วงจรแห่งความมืด ตอนที่ 23
ในขณะที่ฝ่ายสุธิภากลับมาถึงบ้านได้อย่างปลอดภัย กว่าเจษฎาจะออกจากป่ามาเจอกับคนของเสี่ยพิพัทธ์ก็เป็นเวลาที่ท้องฟ้าฉาบไปด้วยสีดำแล้ว ก่อนที่เขาจะร่วมโดยสารรถของลูกน้องเสี่ยพพิพัทธ์กลับมาที่คฤหาสน์ ทันทีที่มีเสียงรถแล่นเข้ามาจอดที่อาคารจอดของช้าน รถหญิงสาวที่เฝ้ารอข่าวของเจษฎาจนไม่เป็นอันทำอะไรรีบวิ่งออกมาดูที่หน้าประตูด้วยความร้อนใจ
“อาจารย์…ฮือ..ฮือ...” สุธิภาที่เดินวนไปวนมาอย่างคนกระวนกระวาย ก่อนจะปรี่เข้าไปกอดเอวเจษฎาทันทีที่เห็นเขาก้าวลงมาจากรถ แล้วปล่อยโฮออกมาโดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง
ทั้งเสี่ยพิพัทธ์และอริสาที่เดินตามออกมาทีหลังต้องหยุดยืนนิ่งมองภาพอากัปกิริยาของสุธิภาที่แสดงออกด้วยความประหลาดใจ พร้อมๆ กับที่เหล่าลูกน้องต่างก็ทำตัวไม่ถูก บ้างก็หันหน้าไปทางอื่น บ้างก็หลบสายตาลงมองพื้น
“เอ่อคุณหนู ปล่อยก่อนเถอะครับ” เจษฎามีสีหน้าลำบากใจเมื่อมองหน้าเสี่ยพิพัทธ์ที่ดูไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ประกอบกับสีหน้าอริสาที่ดูไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ ก่อนที่เขาจะพยายามจะแกะแขนของสุธิภาออกจากตัว แต่หญิงสาวตอนนี้กลับมีแรงเยอะเหลือเกินและเขาก็ไม่กล้าออกแรงมากนักเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อของเธอ
“ทำไรนะนุ่น เป็นสาวเป็นนางทำแบบี้มันไม่งามนะ” อริสามองหน้าเจษฎาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ พร้อมกับเข้าไปคว้าแขนของสุธิภาแล้วพยายามดึงตัวเธอออกมา
“ถ้าจะให้งามต้องทำมากกว่านี้รึไงคะ” สุธิภาหันขวับกลับมามองค้อนใส่อริสาด้วยดวงตาที่มีสีแดงจางๆ กับคราบน้ำตา
“พอเลยมานี่เลย” อริสาดึงร่างของสุธิภาออกมาจากเจษฎาได้สำเร็จ แต่ยิ่งมองดูน้องสาวก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจมากขึ้นไปอีก แต่ก็ยังคิดไปว่าอาจจะเป็นเพราะน้องสาวของเธอเพิ่งผ่านเหตุการณ์อันตรายมามาดๆ เลยเกิดอาการขวัญหนีดีฝ่อจนสติแตก เลยแสดงอากัปกิริยาผิดแผกไปจากปกติ
“อั๊วดีใจจริงๆ ที่อาจารย์ปลอดภัย” เสี่ยพิพัทธ์เดินหน้าขึ้นมาใกล้เจษฎาแทนที่ลูกสาว ใช้มือขวาจับที่หัวไหล่แล้วบีบเบาๆ เหมือนอยากจะเช็คดูว่าหนุ่มใหญ่มีอาการบาดเจ็บติดตัวมาหรือไม่
“ขอบคุณมากครับเสี่ยที่เป็นห่วง” เจษฎาก้มศรีษะลงตีสีหน้าสลดคล้ายกับคนทำความผิด ก่อนจะพูดจาเหมือนกับเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเขาแต่เพียงผู้ดียว “ผมขอโทษด้วยนะครับที่ดูแลคุณหนูได้ไม่ดี”
“อะไรกันครับอาจารย์ ผมสิต้องขอโทษ ที่เรื่องของอั๊วทำให้อาจารย์โดนลูกหลงตั้งสองครั้งแล้ว” เสี่ยพิพัทธ์รีบปลอบทันทีกลัวว่าเจษฎาจะคิดมาก
เหมือนว่าการแสดงละครของเจษฎาจะได้ผลดีการชิงเป็นฝ่ายรับผิดเองเสียก่อน ทำให้เรียกคะแนนสงสารและความเห็นใจได้มากพอดู ร่วมทั้งทำให้เสี่ยพิพัทธ์ไม่ระแวงสงสัยว่าเขามีส่วนรู้เห็นอะไรในเรื่องนี้อีกด้วย ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันไปนั่งพักในบ้าน ตามด้วยสองสาวที่เดินตามเข้าไปติดๆ ทั้งหมดเข้าไปนั่งคุยกันที่รับแขกบรรยากาศตึงเครียด
“ดีจริงๆ ที่คุณหนูไม่เป็นอะไร ไม่อย่างนั้นผมคงต้องรู้สึกผิดไปจนตาย”
“นุ่นต่างหากที่ต้องรู้สึกผิด นุ่นรอดมาได้เพราะอาจรย์เลยนะค่ะ” สุธิภาเชื่อสนิทใจว่าเป็นเพราะอำนาจจิตฤทธิอาคมของเจษฎาที่ช่วยบังตาไม่ให้เธอถูกจับได้และรอดชีวิตกลับมาพบครอบครัว”
“ว่าแต่ใครมันกล้าทำแบบนี้ เจ็กพอจะรู้ไหมคะ” อริสา
“ก็พอจะเดาได้แหละ ถึงจะไม่มีหลักฐานก็เถอะ” เสี่ยพิพัทธ์ตอบทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดแม้แต่น้อย เขาเดือดดาลจนกัดฟันแน่นในหัวนึกถึงคนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าลงมือกับครอบครัวของเขา
“แล้วเสี่ยจะเอายังไงต่อไปครับ” เจษฎาถามต่อพร้อมกับสังเกตุสีหน้าดุดันของเสี่ยร่างเล็กว่าระแคะระคายเรื่องของเขาบ้างหรือไม่
“คงต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ เดี๋ยวคงต้องจัดคนคุ้มกันให้มากขึ้น” เสี่ยพิพัทธ์ตอบหน้าเครียด
“ผมเห็นด้วยครับ ดูจากที่มันรู้การเคลื่อนไหวของคุณหนูเป็นอย่างดี แล้วยังเตรียมที่จะหนีเหมือนรู้ว่าคนของเสี่ยกำลังจะมา ผมว่างานนี้มีเกลือเป็นหนอนครับ” เจษฎาอธิบายสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกผิดสังเกตุให้เสี่ยพิพัทธ์ฟังแบบจริงบ้างเท็จบ้าง เป็นการเบี่ยงเบนความสนใจ
“อืม...ก็เป็นไปได้ อั๊วคงต้องจัดการเรื่องภายในโดยเร็วแล้วละ ถ้าอาจารย์เห็นแกอั๊ว อั๊วขอฝากลูกสาวให้อาจารย์ช่วยดูแลความปลอดภัยให้สักหน่อย อาจารย์เห็นว่าเป็นยังไง” เสี่ยพิพัทธ์เสนอความเห็นที่ไม่มีใครคาดถึง
“ไม่ดีมั้งคะเจ็ก นุ่นจะเสียหายได้นะคะ” อริสาประท้วงก่อนจะหันไปมองตาเขียวใส่เจษฎาเป็นการขู่ไม่ให้รับคำขอ
“แต่หนูว่าดีนะ คนของเราก็ยังไม่เคลียร์เลยว่ามีศัตรูของป๊าแฝงอยู่รึเปล่า” สุธิภาเห็นดีเห็นงามกับความคิดของพ่อเธอ
“เอิ่ม...ที่บ้านผมก็มีแต่ผู้ชาย คงจะไม่สะดวกมั้งครับ” เจษฎาทำตัวไม่ถูกรีบบอกปัด เพราะเขาคงเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวกหากสุธิภาต้องย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังเดียวกับเขา และน่าจะยิ่งแย่กว่าที่เขาคิดเมื่อเหลือบสายตาไปเห็นอริสาที่ปั้นหน้าเหมือนยักษ์ที่กำลังจ้องจะกินเลือดกินเนื้อของเขาอยู่
“งั้นลื้อก็มาอยู่บ้านอั๊ว” ความเห็นที่คาดไม่ถึงยิ่งกว่าหนแรกของเสี่ยพิพัทธ์ ทำเอาเจษฎาและอริสานิ่งเงียบทำสีหน้าไม่ถูกไปครู่หนึ่ง มีเพียงสุธิภาที่อมยิ้มเล็กๆ พร้อมกับมีท่าทีชอบใจกับความคิดของพ่อเธอ
“ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ ผมยังต้องช่วยเหลือชาวบ้านอยู่ เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมจะลดเวลาเปิดสำนักลง แล้วจะแวะมาคุ้มครองคุณหนูเป็นครั้งคราาว ช่วงนี้ก็ให้คุณหนูอยู่บ้านให้มากหน่อยจะดีกว่าไหมครับ” เจษฎาพยายามต่อรอง
“อืม...ก็ถือว่ามาเจอกันคนละครึ่งทาง เอาอย่างนั้นก็ได้” เสี่ยร่างเล็กไม่อยากกดดันจอมอาคมต่อ ถึงจะยังอยากได้ตัวเขามารับใช้ใกล้ชิดอยู่ก็ตาม
“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” สุธิภาเสียงอ่อยใบหน้าฉายความผิดหวังออกมาอย่างปิดไม่มิด
“แต่ว่า…” อริสาเหมือนจะยังไม่เห็นด้วย เธอไม่อยากให้ครอบครัวของเธอไปยุ่งเกี่ยวกับเจษฎาไปมากกว่านี้ แต่ยังไม่ทันได้พูดต่อเพราะเสี่ยพิพัทธ์ก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ไม่ต้องแต่แล้ว อาดิวก็เหมือนกัน กลับไปอยู่กับผัวลื้อก่อนไม่ดีกว่าเหรอ มันอุตสาห์มาตาม หรือไปก็ไปอยู่บ้านเฮียก่อนก็ได้ เอาไว้เจ็กจัดการหนอนบ่อยไส้ได้ซะก่อน ลือค่อยแวะมาใหม่”
เจษฎาหันไปมองอริสาทันทีที่เสี่ยพิพัทธ์พูดถึงทศพล พร้อมกลับรู้สึกใจหายวูบอย่างประหลาด
“เจ็กอะ... เรื่องนี้เอาไว้คุยกันทีหลังก็ได้ จะเอามาพูดตอนนี้ทำไม” ใบหน้าอริสาร้อนวูบวาบ เมื่อผู้เป็นอาหยิบยกเรื่องส่วนตัวออกมาพูดต่อหน้าคนนอก โดยเฉพาะกับเจษฎาที่เธอไม่อยากให้เขารู้เรื่องมากที่สุด
“ลื้อจะอายอะไรอาจารย์ ไม่ใช่ว่าเล่าให้ฟังหมดแล้วเหรอ” เสี่ยพิพัทธ์มองหน้าหลานสาวที่ทำท่าทางแปลกๆ แต่ไม่ได้ติดใจอะไร
“ค่ะๆ เดี๋ยวเรื่องนี้หนูขอเวลาตัดสินใจหน่อยละกัน...” อริสาสะบัดร่างแสดงความไม่พอใจพอให้สังเกตุเห็นได้เบาๆ ก่อนจะเงียบไป
“เอาอย่างนั้นก็ได้ วันนี้ก็เหนื่อยกันมามากแล้ว อาจารย์ก็กลับไปก่อนแล้วกัน เฮ้ยเดี๋ยวให้คนไปคุ้มกันอาจารย์เขากลับบ้านด้วยนะ” เสี่ยพิพัทธ์พูดออกมาอย่างโล่งใจ ก่อนจะหันสั่งกับพ่อบ้านให้ไปจัดเตรียมรถไปส่งเจษฎา
“เดี๋ยวผมขอคุยอะไรกับคุณดิวเป็นการส่วนตัวสักหน่อยจะได้ไหมครับ”
“จะคุยอะไรกันคะ” นุ่นแทรกขึ้นมาพร้อมกับจ้องเขม็งทำแก้มป๋องใส่เจษฎาเหมือนไม่อยากให้คนทั้งคู่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง
“คุณหนู ขึ้นไปพักก่อนเถอะครับ” เจษฎาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงและรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากจากใบหน้าเข้ม
“ก็ได้ค่ะ…” สุธิภาทำหน้าผิดหวังรับคำเสียงอ่อย แต่ก็ยอมทำตามเพราะไม่อยากขัดใจเจษฎา แต่ก็ยังไม่สิ้นความสงสัยแอบเหลือบมองมาที่เจษฎาเป็นระยะ ก่อนจะหายขึ้นชั้นสองของบ้านไป
“นังลูกคนนี้นี่ ถ้าเชื่อฟังพ่อมันอย่างนี้บ้างก็คงจะดี งั้นอั๊วไปก่อนนะมีเรื่องต้องจัดการ อาดิวก็จัดการเรื่องไปส่งอาจารย์เขาด้วยเลยละกัน” เสี่ยพิพัทธ์บ่นเสียงเบาถึงลูกสาวที่ไม่ค่อยจะเชื่อฟังเขา แต่กลับทำตามที่เจษฎาขออย่างง่ายดาย ก่อนจะหันมาคุยกับอริสา แล้วเดินขึ้นไปบนบ้านพร้อมกับลูกน้องคนสนิท
“แกมีอะไรจะคุยกับฉัน” อริสาหน้าบึ้งพร้อมทั้งทำเสียงเขียวใส่เจษฎา
เจษฎาเงียบไปลังเลที่จะถามคำถามที่เขาอยากรู้ เขาพยายามคิดว่าจะพูดมันออกมาอย่างไรดี แต่เหมือนมันจะยากลำบากสำหรับเขาในการที่จะพูดมันออกมา
“ถ้าไม่พูดอะไรก็กลับไปซะ” อริสามองเจษฎาอย่างไม่สบอารมณ์ เธอไม่อยากอยู่กับเจษฎาตามลำพังถึงจะเป็นในบ้านของอาเธอก็ตาม
“...คุณ จะกลับไปหาไอ้ทศเหรอ” เจษฎาถามเสียงเบา เขารู้ทั้งรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรยุ่งแต่ก็อดไม่ได้ที่อยากจะรู้ว่าหญิงสาวคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้
“มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของแก” หญิงสาวสวนกลับด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง ไม่คิดว่าเขาจะอยากคุยกับเธอเรื่องนี้เวลานี้
“ผมแค่เป็นห่วง”
“ทำไม ถ้าฉันจะกลับไปมันจะมีปัญหาอะไรรึยังไง”
“ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก เพียงแต่ว่า...” เจษฎาอยากจะบอกเล่าเรื่องบางเรื่องที่เกี่ยวกับทศพลให้เธอรับรู้เพื่อให้เธอใช้ประกอบการตัดสินใจแต่ก็ยั้งไว้ เพราะเหมือนว่าเวลานี้อริสาไม่มีทีท่าว่าจะรับฟังเขาสักเท่าไหร่
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฉันไม่อยากได้ความเห็นเรื่องนี้จากคนที่จ้องจะทำลายมัน” อริสาตัดบท
“อืม...ก็จริงของคุณ งั้นผมกลับเลยละกัน” เจษฎาก้มหน้าหลบสายตา ไม่ต่อปากต่อคำอะไรเพิ่มเติม
“ไม่ส่งนะ” หญิงสาวหันหน้าหนีแบบไร้เหยื่อใย
เจษฎาลุกขึ้นหันหลังให้พร้อมกับโบกมือคล้ายจะบอกว่าไม่เป็นไร แล้วเดินออกจากห้องรับแขกไป อริสาแอบหันมามองตามแผ่นหลังของเจษฎาที่ดูแล้วรู้สึกได้ถึงความผิดหวัง ทำให้เธอรู้สึกแน่นที่หน้าอกอย่างบอกไม่ถูก
……….……….……….……….……….
เสียงชาวบ้านจับกลุ่มพูดคุยกันเซ็งแซ่ทั่วบริเวณสำนักไม่ว่าจะเป็นที่ลานจอดรถ ที่ใต้ถุนบ้าน หรือที่ซุ้มกล้วยไม้ ทั้งหมดต่างสนใจเกี่ยวกับข่าวลือของเหตุการณ์ประหลาดที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน ซึงเป็นประเด็นที่นอกเหนือจากเรื่องหวยที่เป็นหัวข้อหลักของการสนทนาที่ทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว โดยเฉพาะงวดที่ผ่านมานี้มีคนถูกน้อยลงทำให้ความคึกคักของสำนักลดน้อยลงไปด้วย แต่ก็ยังมีสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ถูกรางวัลหลายใบให้ปิยะพงษ์ไว้รับสมอ้าง จากการที่อ๊อดไปเหมามาเสียเงินเป็นหลักแสนแต่ถูกแค่หลักพัน นั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้ยังพอเรียกศรัทธาจากชาวบ้านที่มีต่ออาจารย์เจ้าสำนักได้อยู่
“บ้าบอจริงๆ พี่โดนไล่ยิงเกือบตายเรื่องกลับเงียบกริบ ทีเรื่องวัวตายตัวสองตัวกลายเป็นข่าวดังซะอย่างนั้น” อ๊อดบ่นแบบติดตลก ขณะกำลังนั่งอ่านข่าวที่มีสัตว์ป่าบุกเข้ามากินสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านที่หมู่บ้านข้างๆ
“ก็ไม่ได้อยากให้เป็นข่าวอยู่แล้ว แล้วก็ไม่ได้แจ้งความไว้ด้วย ไม่อยากคุยกับตำรวจ” เจษฎาตอบกลับไม่ได้จริงจังมากนัก พร้อมกับจัดเตรียมพร็อพประกอบฉากให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยพร้อมที่ต้อนรับเหล่าคนที่เรียกตัวเองว่าลูกศิษย์ของเขา โดยเฉพาะวันนี้ที่จะพิเศษกว่าวันอื่นๆ หน่อยตรงที่มีพวกลูกน้องของเสี่ยกวงที่แห่กันมาหลายคน
“วันนี้ไอ้พวกหน้าเหี้ยมๆ มากันเต็มเลยนะพี่” อ๊อดพูดขึ้นมาในขณะที่กำลังหันไปตรวจสอบภาพในกล้องวงจรปิด พร้อมกับหาข้อมูลของคนที่มาสำนักผ่านเบอร์มือถือที่เขาทำการส่งโปรแกรมสอดแนมไปฝังไว้
“ก็เป็นเพราะเสี่ยกวงจะกำลังหาทางเอาคืนไอ้กำนันอยู่ละมั้ง พวกลูกน้องมันก็คงกลัวจะโดนลูกปืนก็เลยมาหาของดีไว้คุ้มกะลาหัวตัวเองนั่นแหละ” เจษฎาลองคาดการณ์จากข้อมูลที่มี
“แล้วพี่จะทำยังไง ไม่มีวิชาไม่เหรอ เดี๋ยวพวกมันไม่ได้อย่างที่หวังเดี๋ยวก็จะมาลงเอากับพี่นะ”
“ก็คงอ้างนู่นอ้างนี่เอาตัวรอดไปก่อนแหละ” เจษฎาหันไปยิ้มแห้งให้อ๊อด
“พี่นี่ทำผมพูดไม่ออกไม่เเลย” อ๊อดส่ายหัวเบาๆ กับการรับมือเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่มีความเสี่ยงสูง แต่ในใจก็ยังเชื่อมั่นในตัวเจษฎา
“เอาน่าไปเตรียมตัวได้แล้ว ตอนบ่ายเรายังต้องออกไปทำธุระอีก”
“อือ แล้วแต่พี่เลย ข้อมูลเรียบร้อยแล้วจะเริ่มกันเลยไหม”
“ได้เลย พี่ก็พร้อมแล้ว”
“อาจารย์ คนมากันเยอะแล้วนะ” เสียงของปิยะพงษ์ดังขึ้นมาจากอีกฝากของประตูพร้อมๆ กับเสียงเคาะหลายครั้ง
“อืม เตรียมตัวเสร็จแล้ว จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” เจษฎาร้องบอกเสียงดังก่อนจะเปิดประตูห้องออกมาพร้อมกับข้าวของเครื่องมือที่เตรียมไว้ แต่เจอปิยะพงษ์ที่ยืนอมพะนำขวางทางอยู่หน้าห้อง “เป็นอะไรไปทำไมทำหน้าอย่างนั้น”
“.......” ปิยะพงษ์ทำท่าเหมือนจะพูดออกมาแต่ก็นิ่งไปไม่ยอมพูด
“เอ้า...ถ้าไม่พูด ก็ไม่รู้เรื่องกันพอดี” หนุ่มใหญ่ใช้เสียงสูงกดดัน
“ก็อาจารย์ออกไปลุยกับพวกกำนันไม่พาผมไปอีกแล้วนะ”
“ไปลุยอะไรกัน พวกมันมาดักยิงฉันนะ”
“ก็นั้นแหละ อาจารย์ก็น่าจะโทรหาผมบ้างสิ”
“ไม่เอาน่า มันอันตรายจะตาย ฉันไม่อยากให้เปี๊ยกไปเสี่ยงหรอกนะ”
“อันตรายอะไร เนี้ยดูอย่างเรื่องคราวนี้ ไอ้พวกลูกน้องเสี่ยข้างล่างนั้น มันเล่าให้ผมฟังว่าตอนไปถึงที่นั้นไอ้พวกนั้นวิ่งหนีออกมาจากป่าหน้าตาตื่น บางคนก็เลือดท่วมมาเลย บางคนก็ทำหน้าเหมือนหนีภูติผีปีศาจ มีคนหนึ่งกลัวจนฉี่แตกเลยด้วย อาจารย์ใช้วิชาคาอะไรบอกผมหน่อยสิ คนเดียวจัดการพวกมันได้ตั้งหลายคนแถมมีปืนด้วย ผมก็อยากไปเห็นด้วยตาตัวเองบ้างแค่นั้นเอง” ปิยะพงษ์ยิ้มหน้าบานแล้วร่ายยาวตามสไตล์ ความรู้สึกน้อยใจหายไปหมดเมื่อได้ยินคนที่เคารพแสถงความเป็นห่วงเป็นใย
“เอิ่มมมม…” เจษฎาอ้ำอึ้ง ตกใจเล็กน้อยกับข่าวลือที่เล่ากันไปเกินความจริงจนน่าตลก แล้วก็ท่าทีของปิยะพงษ์ที่ทำเอาเขาปรับอารมณ์แทบไม่ทัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังสร้างความหนักใจให้เขาได้ไม่เปลี่ยน คือความกระตือรือล้นอยากเรียนวิชาไสยศาสตร์ของชายหนุ่มที่เหมือนจะมากขึ้นทุกครั้งที่ได้ยินวีรกรรมของเขา เจษฎาถอนหายใจเบาๆ ก็จะส่งข้าวของที่ถือมาให้กับลูกศิษย์หนุ่ม “บอกไม่ได้หรอกว่าวิชาอะไร เอาเป็นว่าถ้ามีคราวหน้าจะพาไปด้วยละกัน”
“โธ่ว อาจารย์ คราวหน้าอีกแล้วเหรอ” ปิยะพงษ์เริ่มทำตัวงอแงเหมือนเด็ก
“ไม่ต้องเป็นห่วงไป ตั้งแต่ที่ฉันออกมาจาก...ที่ที่ฉันไปฝึกวิชา ก็มีเปี๊ยกเป็นลูกศิษ์คนแรก ยังไงฉันก็พาไปอยู่แล้ว” เจษฎาคุยเพลินจนเกือบหลุดปากเรื่องติดคุกออกมา แต่ก็ยังสรรหาเหตุผลมาให้ปิยะพงษ์ยอมรับได้
“ครับ งั้นผมเอาของไปจัดก่อนนะ”
“อืม...ดีมาก”
……….……….……….……….……….
สาวสวยผิวสีแทนหุ่นนางแบบที่กำลังนอนแช่น้ำอย่างสบายใจอยู่ในอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยฝองสบู่ แต่ความสงบของเธอกลับต้องมาถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือ เธอขยับร่างเปลื่อยเปล่าที่มีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามด้วยส่วนเว้าส่วนโค้งที่ชวนมอง ลุกขึ้นมาชำระล้างเอาฝองสบู่เหล่านั้นออกจากร่างกายด้วยสายน้ำที่ฉีดออกมาเป็นเส้นเล็กๆ จากฝักบัว ก่อนจะเช็ดตัวด้วยผ้าขนหนูผืนใหญ่หนานุ่มแบบรีบร้อน แล้วหยิบชุดคลุมอาบน้ำผ้าวาฟเฟฟิลสีขาวจากที่แขวนมาสวมใส่ สาวสวยเดินแบบขัดๆ เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่หลังออกมาจากห้องน้ำตรงไปที่โต๊ะหัวเตียง
หญิงสาวดึงที่มัดผมออกปล่อยผมให้สยายก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายแล้วหันกล้องด้านหน้าของโทรศัพท์เข้าหาตัวสำหรับการวิดีโอคอล ภาพชายวัยกลางคนก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอด้วยใบหน้าประหลาดใจ ที่หญิงสาวรับสายด้วยสภาพที่กระตุ้นอารมณ์ความเป็นชาย
“ทางนั้นเป็นยังไงบ้างค่ะ” ใบหน้าสวยเก๋ของกันธิชายิ้มหวานหว่านเสน่ห์ให้คู่สนทนา
“อืมใกล้จะเรียบร้อยแล้ว ว่าแต่หนูเป็นยังไงบ้างเสี่ยเด็กๆ บอกว่าหนูได้รับบาดเจ็บ อาการเป็นยังไงบ้าง” เสี่ยวีรชัยถามรัวด้วยความเป็นห่วง
“อาการบาดเจ็บไม่ได้เป็นอะไรมากแค่ปวดที่หลังนิดหน่อยค่ะ” กันธิชาตอบคำถามด้วยทีท่าสบายๆ พร้อมกับปลดเสื้อคลุมลงทางหัวไหล่ แล้วเอาโทรศัพท์มืออ้อมไปถ่ายทอดภาพแผ่นหลังผิวเนียนที่มีรอยฉ้ำให้เสี่ยวีรชัยดู
เสี่ยวีรชัยมองภาพที่ส่งมาจนน้ำลายเกือบจะหกออกมา ก่อนจะเห็นร่องรอยความเสียหายก็เกิดอารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นมาทันที “แล้วไอ้ยักษ์มันไปไหนถึงปล่อยให้หนูเจ็บเนื้อเจ็บตัวได้”
“ไอ้ยักษ์หนูใช้ไปทำงานอื่นอยู่ค่ะ”
“เหลวไหลจริงๆ กลับไปเสี่ยจะลงโทษมันเอง”
“อย่าไปโทษคนอื่นเลยค่ะ หนูผิดเองที่ประมาท ขอโทษนะคะที่ทำงานพลาด” กันธิชาทำเสียงเศร้าพร้อมกับตีหน้าสลดให้เสี่ยวีรชัยสงสาร
“ไม่ต้องคิดมาก เสี่ยไม่ว่าหนูธิช่าหรอก ว่าแต่มันยังไม่รู้ตัวใช่ไหม” เสี่ยร่างท้วมปลอบหญิงสาวกลัวเธอจะน้อยใจ
“ค่ะ ยังคุยกันได้ปกติ ไม่มีทีท่าว่าจะสงสัยอะไรค่ะ”
“อืม ค่อยยังชั่วหน่อย รักษาตัวดีๆ ละ แล้วเสี่ยจะไปจัดการมันเอง”
“ได้ค่ะเสี่ย”
หญิงสาววางสายแล้วแล้วรับติดต่อไปหาย ‘ผู้จักการ’ เพื่อรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนั้นต่อทันที
……….……….……….……….……….
 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน