ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

Darkness Circle / วงจรแห่งความมืด ตอนที่ 30

เริ่มโดย เจตภูติ, พฤษภาคม 16, 2021, 08:30:39 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

เจตภูติ

คุยกันก่อนอ่าน สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังไม่ได้เ็นเป็นสมาชิกเว็บอยากอ่านส่วนที่ซ่อนไว้ ในนั้นจะลงช้ากว่าที่เว็บนี้นะครับ https://www.tunwalai.com/v2/story/499798

Darkness Circle / วงจรแห่งความมืด ตอนที่ 30

ที่ทางเข้าบ้านร้างติดกับถนนสายรองที่ผู้คนใช้เดินทางไปทำนาทำไร่ ความเงียบที่ปราศจากผู้คน แสงจากไฟทางที่ใกล้ที่สุดก็อยู่ห่างออกไปเป็นร้อยเมตรทำให้ทั่วบริเวณถูกล้อมไปด้วยความมืด ประตูรั้วที่เป็นทางเข้าถูกปิดไว้ง่ายๆ ไม่มีการล็อคกุญแจ เจ้าของบ้านไม่ได้ห่วงเรื่องทรัพย์สินเพราะตัวบ้านที่อยู่ลึกเข้าไปไม่ได้เหลืออะไรทิ้งไว้ แม่แต่ประตูหน้าต่างของบ้าน

ชายฉกรรจ์สี่คนจอดรถห่างออกไปจากทางเข้าแล้วเดินเท้าไปที่ประตูรั้วไม้ขนาดไม่ใหญ่มาก สายลมกรูเกรียวพัดยอดไม้เอนไหว บังเกิดเสียงซู่ซ่า คนทั้งสี่เดินเบียดเกาะกลุ่มคอยระแวดระวังความปลอดภัยให้แก่กัน การเดินก้าวข้ามผ่านประตูประตูไม่ต่างจากก้าวเท้าสู่แดนสนธยา ขณะเดินอย่างช้าๆ ไม่ให้เกิดเสียงไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็สัมผัสกระไอเย็นแผ่กระจายรอบตัว ความเย็นที่เกิดจากการคายน้ำของต้นไม้ใบหญ้าและพื้นที่ทำการเกษตรรอบๆ เป็นความเย็นที่สะท้านแทรกเข้าไปทั่วร่าง สร้างความเหน็บหนาววังเวงน่าหวาดหวั่น

ชายสี่คนเข้ามาถึงต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านที่โคนต้นมีพุ่มไม้ใหญ่ที่ชายฉกรรจ์สองคนสุ่มรออยู่ก่อนแล้ว คนทั้งหกมองเข้าไปในบ้านร้างผ่านๆ แล้วคิดไปในทางเดียวกันว่า ถ้ามีคนบอกว่าที่นี้เป็นบ้านที่มีผีสิ่งอยู่ก็คงจะเชื่อได้ในทันที

"ที่นี่แน่นะ" รตนพูดเสียงเบาสายตามองลอดผ่านพุ่มไม้อาศัยแสงสว่างจากดวงจันทร์เพื่อสำรวจลึกเข้าไปในตัวบ้าน

"แน่สิ ผมแอบตามมาแบบไม่ให้คลาดสายตาเลย" ชายฉกรรจ์ร่างกำยำตอบกลับอย่างมั่นใจ ก่อนจะถามกลับด้วยน้ำเสียงสั่น ไม่รู้ว่าเพราะหนาวหรือถูกบรรยากาศของบ้านกดดันจนรู้สึกกลัว

"เอาไงดีพี่ มันเข้าไปนานแล้วนะ" ภาณุถามน้ำเสียงไม่ต่างจากคนที่พูดไปก่อนหน้า

"กูไม่ยอมทำพลาดเหมือนคราวก่อนแน่ เดี๋ยวรอให้คนมากันครบๆ ก่อนค่อยจัดการ ตอนนี้มึงสองคนอ้อมไปเฝ้าข้างหลังบ้านไหวอย่าให้มันหนีออกไปได้ ส่วนมึงกลับไปที่รถรอรับพวกพี่ถัง" รตนสั่งการรอบครอบเพราะเรื่องที่ถูกเจษฎาเล่นงานเมื่อครั้งก่อนนั้นยังหลอกหล่อนจนเขาจำฝังใจ ครั้งนี้จึงไม่แตะแอลกอฮอล์มาเลยแม้แต่น้อยเพื่อความพร้อมด้านสติ ไม่ต่างจากภาณุที่นั่งยองยองอยู่ข้างเขา ที่มีอาการหวั่นใจอย่างเห็นได้ชัด

.................................................

ภายในบ้านเกือบมืดสนิทหลังจากที่แสงไฟจากโทรศัพท์มือถือถูกปิดลงตามคำขอร้องของอดีตนักโทษชราคนทั้งคู่ที่กำลังพูดคุยกันด้วยการกระซิบก็ต้องหยุดการสนทนาลงเมื่อมีเสียงใสๆ เล็กแหลมของเด็กสาวในชุดเสื้อกันลมสีเข้มมีฮูดที่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่จษฎาก็ไม่ทันได้สังเกตุดังแทรกขึ้นมา "ตา มีคนมา"

"น้องเขารู้ได้ไง ผมไม่ยักกะได้ยินเสียงอะไร" เจษฎาถามด้วยความประหลาดใจเพราะแสงในคืนนี้มีไม่มากยิ่งอยู่ใต้หลังคาแค่มองให้เห็นหน้ากันก็ลำบากแล้ว ถ้าจะจับสังเกตุสิ่งเกิดขึ้นรอบตัวคงไม่พ้นจะต้องเพียงโสตประสาทเท่านั้นที่จะช่วยได้

"นังหนูมันมองเห็นในความมืด" อดีตนักโทษชราพูดเสียงเรียบราวกับว่าความสามารถประหลาดแบบนี้เป็นเรื่องปกติทั่วไปสำหรับเขา

"พูดเป็นเล่น แต่เรื่องนั้นเอาไว้อธิบายทีหลังก็ได้ แล้วเราจะเอาไงดี" เจษฎาอดที่จะทึ่งกับคำตอบของอดีตนักโทษชราไม่ได้ ที่จริงเขาก็สงสัยตั้งแต่ที่เด็กสาวเดินนำทางเขามาแล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่าจะได้รับการยืนยันแบบนี้

"เอ็งออกไปจัดการมันสิ" เสียงของอดีตนักโทษชรานั้นสุขุมเหมือนกับจะไม่แปลกใจเลยสักนิดที่มีคนแอบตามมา

"แล้วลุงละ" เจษฎาถามด้วยความเป็นห่วง

"ก็หนีนะสิ" อดีตนักโทษชราตอบง่ายๆ ท่าทางสบายๆ

"อ้าว" เจษฎาอุทาน คาดเดาไม่ถูกว่าอดีตนักโทษชราพูดเล่นหรือพูดจริง

"ก็มันไม่ได้มาข้านี่หว่า แถมข้าก็ไม่อยากให้ใครเห็นด้วย"

"แล้วผมจะไปจัดการมันได้ไง เป็นใครมากันกี่คนมีปืนด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ให้ผมหนีไปด้วยสิ" เจษบ่นอย่างกังวลที่มีข้อมูลน้อยเกินไปจนคิดหาทางรับมือได้ยาก เหมือนที่ซุนวูเคยเขียนไว้ในตำราพิชัยสงคราม 'รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง' แต่นี่เราก็ยังรู้ไม่แน่ชัด เขายิ่งไม่รู้อะไรเลย จะให้ไปรบก็เหมือนรนหาที่ตาย

"ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวให้นังหนูนี่คอยแอบช่วย จะได้ไปทดสอบเรื่องที่บอกไปเมื่อกี้ด้วยไง" อดีตนักโทษชราช่วยออกความเห็น

"จะไหวเหรอผมยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่บอกเลย แล้วน้องเขาตัวนิดเดียวเอง" เจษฎายังไม่หายกังวล ถึงเขาจะเคยเห็นสิ่งที่เด็กสาวทำได้มาแล้วก็ตาม

"ไปเถอะไปลองของจริงเลยจะเข้าใจเร็วกว่า อีกอย่างนังหนูมันเก่งกว่าเอ็งเยอะ" อดีตนักโทษชราย้ำชัดเสียงหนักแน่นมั่นใจ

.................................................

ไม่ทันที่คนในบ้านจะพูดคุยตดลงกันได้ รถกระบะสี่ประตูสองคันก็แล่นเข้ามาจอดอยู่หน้าบ้านพร้อมกับแสงไฟจากหน้ารถสาดสว่าางเข้ามาในบ้าน เจษฎาขยับตัวไปหลบด้านหลังผนัง ชายชรากับเด็กสาวเองก็หลบหายไปในเงามืดตามๆ กัน

ชายฉกรรจ์แต่งกายทะมัดทะแมงสี่คนลงมาจากรถกระบะสองคันมาสมทบกับรตนและภาณุที่ออกจากหลังพุ่มไม้มารออยู่ก่อนแล้ว ท่ามกลางความเงียบ อยู่ๆ ลมก็พัดโหมกระโชกแรง คล้ายกับพัดให้อารมณ์ของกลุ่มชายฉกรรจ์ที่กำลังคุกรุ่นจากความแค้นให้ลุกโชนขึ้นมา แต่ก็ยังไม่กล้าที่จะบุ่มบ่ามบุกเข้าไป

"แห่มาทำอะไรกันซะเยอะเชียว มีธุระอะไรเหรอ" เจษฎาตะโกนถามเป็นการยั่งเชิงและดึงความสนใจ พร้อมกับลอบมองสำรวจไปรอบๆ ด้วยแสงจากไฟหน้ารถที่ส่องเข้ามา ช่วยให้เขาทำตรวจสอบว่าผู้ที่มานั้นเป็นใคร มากันกี่คนและอยู่ตรงไหนบ้าง เพื่อหาทางเอาตัวรอด

รตนได้ยินเสียงของคนที่ฝากอาการบาดเจ็บไว้ให้เขาจนต้องนอนซมอยู่หลายวันก็เลือดขึ้นหน้า มือข้างถนัดคว้าหมัยเข้าที่เอวกุมอาวุธร้ายที่เตรียมไว้จะใช้คิดบัญชีกับไอ้หมอผีจอมอาคม ขณะที่กำลังจะชักออกมาก็ต้องหยุดมือไว้เพราะพงษ์ศักดิ์เข้ามาจับข้อมือห้ามเอาไว้ก่อรฃน

"กูจัดการเอง ไม่ต้องช่วยนะ" พงษ์ศักดิ์ออกปากหน้านิ่ง

"เฮ้ย ได้ไงพี่พงษ์อุตสาห์มากันตั้งเยอะ" รตนท้วง น้ำเสียงไม่พอใจ

"มึงไม่อายบ้างเหรอ กูจะตัวต่อตัวกับมัน" พงษ์จ้องหน้าด้วยตาดุ

"อ้าวมัวแต่ทำอะไรกันอยู่ ถ้าไม่มีอะไรฉันไปแล้วนะ" เจษฎาเห็นฝั่งนั้นเงียบไปก็ถามซ้ำไปอีก แต่จะให้หลบออกไปก็คงไม่ง่ายเพราะหลังจากร้องท้าไปรอบแรกก็เห็นเงาคนที่ดงไม้หลังบ้าน คิดว่าทางหนีคงจะโดนดักไว้แล้ว

"เดี๋ยวก่อน มึงออกมาคุยกันก่อน" พงษ์ศักดิ์ตะโกนเข้าไปในบ้านเสียงของเขาสุขุมและเตรียมพร้อม ที่เขาตัดสินใจมาด้วยในครั้งนี้ก็เพราะอยากจะรู้ว่าหมอผีนี่มีอะไรดีถึงจัดการลูกน้องเขาได้อย่างง่ายดาย แต่จะให้บุกเข้าไปในบ้านก็กลัวจะลงเอยแบบลูกน้อง

"จะให้กูออกไปให้พวกมึงจัดการรึไง พูดอะไรโง่ๆ" เจษฎาเห็นหน้าก็จำได้ทันทีว่าเป็นลูกน้องกำนันซึ่งบางคนก็มีบัญชีให้ได้ชำระสะสางกันอยู่ไม่น้อยทีเดียว

"ถ้ามึงออกมากูสัญญาว่าจบเรื่องนี้แค่มึงกับกู" พงษ์ศักดิ์ออกปากรับรองเสียงหนักแน่น

"มึงก็พูดง่ายสิ ก่อนอื่นมึงบอกให้ไอ้คนที่อยู่หลังบ้านให้ออกมาก่อนเลยดีกว่า" เจษฎาสวนกลับ แล้วก็ยื่นข้อเสนอเพื่อจะเปิดช่องให้อดีตนักโทษชราหลบหนี

พงษ์ศักดิ์หันไปมองหน้ารตน โดยไม่ต้องพูดอะไรชายตัวใหญ่หัวเกรียนก็ตะโกนเรียกสองคนที่ซุ่มอยู่หลังบ้านให้แสดงตัวออกมาแล้วเดินย้อนกลับมารวมกลุ่มอยู่กับพวกกเขา

"พอใจรึยัง" ชายหน้านิ่งถามเสียงเรียบ

"ก็ได้ๆ" เจษฎายอมเดินออกมาเพราะจะได้ทดสอบเรื่องบางอย่างตามที่อดีตนักโทษชราบอก ระหว่างที่ออกจากที่ซ่อนเขาก็ยังคงระมัดระวังตัวไม่ประมาท สายตายังคงมองหาเผื่อยังมีคนหลบซ่อนอยู่อีก เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพงษ์ศักดิ์แล้วมองหน้าของชายที่นิ่งสงบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา "แล้วจะเอายังไงต่อ"

"ถ้ามึงจัดการกูได้กูก็จะกลับ แต่ถ้ามึงทำไมได้ก็ให้ออกไปจากพื้นที่ซะ แล้วอย่ากลับมากอีก" ชายหน้านิ่งตอบน้ำเสียงจริงจัง

"ได้...ตกลง" เจษฎารับคำท้าเสียงเข้ม อย่างน้อยสู้กับคนเดียวๆ ก็คงจะดีกว่าการถูกรุม ถึงจะไม่ค่อยไว้ใจไอ้พวกที่เหลือที่ดูเหมือนจะเป็นพวกอันธพาลเต็มขั้นและอาจจะมีสันดานโจรที่ไร้สัจจะรวมอยู่ด้วย

ทันทีที่เจษฎาตอบตกลง สายตาของชายหน้านิ่งก็ฉายให้เห็นความเยือกเย็น แม้ร่างกายกำยำสูงใหญ่จะดูว่าตัวเล็กกว่าไอ้ยักษ์ที่เขาต้องออกแรงสู้อย่างยากลำบาก แต่ก็ได้เปรียบเขาพอสมควร หนำซ้ำการตั้งท่าต่อสู้กับเคลื่อนไหวที่รัดกุมนั้นดูจะมีเชิงมวยสูงกว่าไอ้ยักษ์ ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งบ่งบอกว่าชายผู้นี้มีประสบการณ์ในการมีเรื่องชกต่อยเหนือกว่าทุกคนที่เจษฎาเคยเจอมา

ทั้งคู่ยืนจดจ้องดูเชิงและตั้งท่าเตรียมจะเข้าห่ำหั่นกัน โดยไม่ต้องรอให้มีเสียงระฆัง หรือกรรมการเข้ามาสับมือให้เริ่มออกอาวุธ พงษ์ศักดิ์ก็เปิดฉากสืบเท้าเข้าหาเจษฎา เตะตวัดใส่ต้นขาของชายร่างผอม ด้วยลำแข้งขวาที่เคลื่อนไหวรวดเร็วสบัดพลิ้วเหมือนกับแส้ แต่สร้างสัมผัสเหมือนกับการฟาดด้วยท่อนเหล็ก

ด้วยวิธีเตะที่แบบลงแข้งของมวยไทยที่ถูกยกให้เป็นรูปแบบการเตะที่รุนแรงที่สุดในโลกทำเอาเจษฎาร่างทรุดลงไปเข่าแตะพื้น ก่อนจะโดนลูกเตะแบบเดิมซัดเข้ามาอีก แขนแกร่งยกขึ้นมาตามสัญชาตญาณช่วยป้องกันไว้ได้ทันเวลา ไม่อย่างหน้าแข้งที่แข็งเหมือนเหล็กคงหวดเข้าที่ก้านคอของเขาพอดี ชายหน้าเข้มปลิวไปตามความแรงของท่อนขาจนล้มไถลไปกับพื้น

"สมกับเคยเป็นแชมป์กีฬาเยาวชนแห่งชาติจริงๆ" ภาณุพูดออกมาอย่างสะใจ ที่ได้เห็นร่างของเจษฎานอนอยู่กับพื้นเหมือนได้ระบายแค้นออกไปบ้างส่วนหนึ่ง

"ลุกขึ้นมา" พงษ์ศักดิ์ไม่ได้ฉวยโอกาสเข้าไปซ้ำ เขายืนมองพร้อมกับกวักมือเรียก

เจษฎาลุกขึ้นพร้อมกับปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้า เมื่อยืนขึ้นทรงตัวได้ก็ปรี่เข้าไปคลุกวงใน หวังจะสกัดไม่ให้พงษ์ได้ใช้ขายาวๆ เล่นงานเขาได้ถนัด ร่างผอมเข้าไปยังไม่ทันถึงตัวเป้าหมาย ก็ถูกฝ่าเท้ายันเข้าลิ้นปี่จนเสียหลักเซถอยหลังจนเกือบล้ม

เจษฎายืนหายใจลำบากอยู่ครู่หนึ่ง เขาพยามตั้งสมาธิจัดการลมหายใจให้เป็นปกติที่สุดตามที่อดีตนักโทษชราบอกกับเขา ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาพงษ์ศักดิ์อีกครั้ง โดยที่เกร็งกล้ามเนื้อทั่วร่างเตรียมรับการโจมตีด้วยมือเท้าของพงษ์ศักดิ์ที่เหมือนกับอาวุธร้าย

เท้าข้างเดิมของพงษ์ศักดิ์ยันเข้าไปที่จุดเดิมอีกครั้งแต่ครางนี้กลับไม่ได้ผล เจษฎาโดนเข้าไปเต็มๆ ใบหน้าแสดงออกถึงความเจ็บจุกแต่ร่างผอมต้านไว้ไม่เสียหลัก และยังดันกลับจนเจ้าของเท้าต้องถอยร่างออกไปเพื่อรักษาสมดุลไว้ไม่ให้ล้ม

เจษฎาได้จังหวะเข้าประชิดได้สำเร็จ ออกหมัดหนึ่งสองเน้นเข้าใส่ช่วงลำตัวของพงษ์ศักดิ์ แต่ชายร่างสูงใหญ่ป้องกันไว้ได้แถมยังใช้มือคล้องคอเจษฎาโน้มลงมาตีเข่าเข้าลำตัว แล้วตามด้วยสอกสั้นเข้ากกหู

เจษฎาเจ็บปวดสาหัสแต่แข็งใจทนรับไว้จนการโจมตีไม่ทำให้เขาล้ม เขาตั้งสมาธิแน่วแน่สัมผัสถึงบางอย่างที่อยู่ในผิวกายของเขา จนเริ่มรู้ได้ถึงอณหภูมิที่สูงขึ้นของผิวหนังบริเวณรอยสัก เหมือนกับกำลังมีกระแสน้ำอุ่นที่ระบุไม่ได้ว่าเป็นอะไรกำลังไหลผ่านไปทั่วร่างกาย

พงษ์ศักดิ์ขยับเดินเข้าใกล้ตั้งใจจะจัดการให้จบในครั้งต่อไป ขาขวาเตะสูงเข้าใส่ศรีษะเจษฎา แต่ร่างผอมสูงหลบทันก่อนจะพุ่งเข้าไปกอดร่างสูงกำยำแน่น แต่ก็โดนทั้งหมัดทั้งสอกเล่นงานจนเกือบจะเผลอปล่อยมือ

เจษฎากำลังจะเหวี่ยงร่างของทศพลออกเพื่อจะตั้งหลัก ตอนนั้นเองเขาก็รู้สึกได้ใถึงกระแสความอุ่นตามร่างกายไหลไปรวมกันอยู่ที่แขนทั้งสองข้างจนแขนสองข้างนั้นร้อนกว่าจุดอื่นในร่างกาย แล้วร่างสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรหนักเจ็ดสิบกว่ากิโลกรมเก็ถูกหวี่ยงลอยละลิ่วเหมือนว่าร่างนั้นเบาเสียเหลือเกิน

ร่างของพงษ์ศักดิ์ลอยไปตามแรงแขนของเจษฎา ร่างสูงใหญ่ปลิวไปกระแทกกับรถกระบะร้องเสียงหลง กันชนหน้ารถหงิกงอเหมือนถูกชนอย่างแรง ขายร่างสูงใหญ่นอนเจ็บแล้วฟุบสลบไปทั้งอย่างนั้นเลย

เจษฎาตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนยืนนิ่งมองดูแขนทั้งสองข้างอย่างไม่เข้าใจ แต่คนที่ตกใจมากยิ่งกว่าเขาก็คือเหล่าลูกนองกำนันที่ยืนดูอยู่รอบๆ

คนที่เหลือมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สุดท้ายสายตาทุกคู่ก็มองไปที่เดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย นั้นก็คือไอ้รถถังที่ติดรถมาด้วยเพราะอยากจะมาดูและเก็บข้อมูลไปให้กำนันเฉยๆ

เมื่อเห็นสายตาที่มองมาไอ้รถถังก็รู้ได้ทันทีอย่างพวกมันต้องการอะไร อดีตนักมวยไทยระดับแชมป์เวทีหลักของประเทศเดินขึ้นหน้าออกมาประจันหน้ากับเจษฎา ก่อนจะใช้มือกุมตะกรุดที่สร้อยคอขึ้นมายกมือไหว้ ปากก็ขมุบขมิบเหมือนกำลังสวดท่องคาถา เมื่อท่องจบก็ปล่อยสองมือออกจากตะกรุด แล้วเอามาลูบศรีศะสามครั้ง แขนสองข้างยกขึ้นมาในระดับเดียวกับศรีษะตั้งท่าทะมัดทะแมง สองตาจับจ้องดูเชิงฝ่ายตรงข้ามเขม็ง

"อ้าวไหนบอกว่าถ้าจัดการไอ้หมอนั่นได้จะกลับกันไง" เจษฎามองชายหน้าเหลี่ยมร่างเตี้ยตัน แต่ส่งแรงกดดันออกมามหาศาล ทั่วทั้งร่างดูไร้ช่องโหว่ ชนิดที่ถ้าเขาจะเข้าไปทำร้ายคงโดนสวนกลับมาแน่นอน

"นั่นมึงตกลงกับไอ้พงษ์กันแค่สองคน พวกกูไม่เกี่ยว" ไอ้รถถังแถหน้าด้านๆ ไร้ความละอาย

...นั่นไง ซื้อหวยไม่ถูกอย่างงี้วะ แล้วไอ้นี้ดูจะแข็งกว่าไอ้คนเมื่อกี้อีก...

ซึ่งก็ไม่ต่างจาการต่อสู้กับพงษ์ศักดิ์ก่อนหน้า ไอ้รถถังเป็นฝ่ายไล่ต้อนรุกเข้าใส่อยู่ข้างเดียว ทั้งหมัดเท้าเข่าสอกครบเครื่อง สมกับที่เป็นอดีตนักมวยไทยระดับประเทศ เจษฎาโดนไล่ถลุงจนเกือบหมดสภาพ แต่ก็ไม่ยอมล้มลงสักที จนคู่ต่อสู้ก้ยังยอมรับว่าความอึดของชายคนนี้นั้นไม่ธรรมดาจริงๆ

ไอ้รถถังยัดหมัดอัปเปอร์คัตซ้ายที่เป็นไม้เด็ดใช้จัดการคู่ชกมาแล้วนับไม่ถ้วนจนพามันไปถึงจุดสูงสุดของอาชีพมวยไทยมาแล้ว กำปั้นที่มีความรุนแรงเทียบได้กับการทุบด้วยค้อนปอนด์ขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่หน้าท้องของเจษฎา ความแรงของหมัดส่งผลให้ร่างผอมลอยตัวเท้าไม่ติดพื้น ถ้าเป็นบนเวทีมวยหมัดนี้คงส่งให้เจษฎาลงไปนอนให้กรรมการนับหนึ่งถึงสิบได้หลายรอบ

ร่างผอมสูงถูกหมัดหนักกระแทกใส่เจ็บปวดเกินบรรยาย แต่ก็ฝืนกายไว้ไม่ยอมล้ม เจษฎาพยายามนึกถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนเหวี่ยงพงษ์ศักดิ์ แต่กลับจับความรู้สึกแบบนั้นไม่ได้ก็เลยขว้างหมัดไปทั้งอย่างนั้น อดีตนักมวยฝีฉกาจสายตายังว่องไวกว่าคนทั่วไป ดึงศรีษะถอยหลังหลลบหมัดได้สบาย แล้วออกหมัดขวาตรงใส่เจษฎาจนหน้าหงาย
เจษฎาหงายหลังเกือบล้มไปตามแรงหมัด อาศัยแรงใจยืดหยัดไว้ได้ ถึงแม้จะระบมไปทั่วร่างในหัวก็ทั้งมึนทั้งงง แต่ก็พอจะขยับร่างกายได้เกือบเป็นปกติ

ชายร่างเตี้ยตันประหลาดใจที่หมัดหนักๆ ทั้งสองหมัดของเขาไม่สามารถส่งคู่ต่อสู้ให้ลงไปนอนได้ แต่ก็ไม่หยุดจะหาช่องจัดการเรื่องให้เสร็จๆ ไปเสียที ไอ่รถถังส่งหมัดฮุคซ้ายออกไปแีกครั้ง หมัดนั้นพุ่งเข้าหาปลายค้างของเจษฎาทั้งรุนแรงทั้งแม่นยำ

ชายร่างผอมสูงโดนหมัดเข้าเต็มๆ รู้สึกเหมือนถูกปิดสวิตความคิดหายไปวูบหนึ่ง แต่ร่างกายที่กำลังจะร่วงลงพื้นแบบไร้ทิศทางกลับกัดฟันยืนหยัดอยู่ได้อย่างประหลาด สติที่เหลืออยู่น้อยนิดของเจษฎานำทางเอากระแสความร้อนทั่วร่างให้ไหลไปรวมอยู่ที่หมัดขวาแล้วชกออกไป

หมัดขวาพุ่งออกไปไม่เร็วนัก แต่ด้วยความที่เป็นหมัดสวนที่ไอ้รถถังไม่ทันระวังจึงโดนเข้าไปที่หน้าอกเต็มๆ ความแรงของหมัดทำให้ร่างเตี้ยตันพุ่งลอยไปกลางอากาศห่างออกไปหลายเมตร ก่อนร่างนั้นจะตกลงกับพื้นแล้วกลิ้งไปอีกหลายตลบ ส่งผลให้ไอ้รรถถังลงไปนอนกองไร้สติสัมปชัญญะทันที

เจษฎายืนโงนเงน ความประหลาดใจต่อสิ่งที่เขาทำลงไปมีน้อยลง เขาเริ่มที่จะเข้าใจหลักการทำงานของรอยสักบนตัวขึ้นมาบ้างแล้ว แต่การจะใช้ออกมาให้ได้ตามต้องการก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายเลย
พวกที่เหลือเมื่อเห็นสองยอดมวยระดับแชมป์สองคนถูกจัดการ ก็ยืนงงทำตัวไม่ถูก พากันมองหน้ารตนที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดที่ยังเหลืออยู่

"เอาไงดีพี่โบ้" ภาณุถามเสียงสั่นหน้าเสียความกลัวเริ่มเกาะกุมจิตใจ สำนึกเสียใจที่ทำทำเรื่องเกินตัวไปเสียแล้ว
รตนที่ความเก่งกาจไม่สามารถสู้ทั้งสองคนนั้นได้ก็ได้แต่ยืนหน้าเครียดคิดหนัก เมื่อดูจากเหตุการณ์ที่เกิดที่เกิดขึ้นแล้วไม่น่าจะเกี่ยวกับฝีมือในเชิงมวย แต่น่าจะเกี่ยวกับอำนาจลี้ลับเหนือธรรมชาติที่ทำให้อริของเขาสามารถทนการโจมตีและจัดการล้มรุ่นพี่ทั้งสองคนของเขาได้ เขาจึงตัดสินใจเลือกที่จะใช้เครื่องทุ่นแรงในการแก้ปัญหา

มัจจุราสสีดำขนาดกระสุนเก้ามิลเมตรถูกเอาออกมาจากที่เก็บแล้วเล็งไปที่ร่างของเจษฎาที่ไม่ทันได้ระวังตัว ก่อนลั่นไกยิงใส่ไปสามนัด คมกระสุนพุ่งเข้าใส่ลำตัวของเจษฎาทุกนัด

เจษฎาร่างสะบัดไปสามครั้งเซไปตามแรงกระสุนแต่ก็ไม่ได้ล้มลง ความเจ็บปวดเล่นงานเขาจนร่างชาเกือบจะหมดสติ เขาใช้มือกุมไปที่หน้าอกตรงจุดที่โดนยิงพร้อมกับบ่นพึมพำเสียงเบา "แม่งก็ยิงไม่เข้าอย่างที่ลุงบอกจริงๆ แต่เจ็บชิบหายเลย"

เจษฎายื่นมือข้างกุมอกออกไปข้างหน้าแล้วแบมืออกเป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือ ทันทีที่ทำท่าทั้น เด็กสาวในชุดกันลมสวมฮูดสีเข้มก็กระโดลงมาจากต้นไม้สูงเข้าไปกลางวงของพวกลูกน้องกำนัน สร้างแตกตื่นตกใจให้กับคนเหล่านั้น

ชายหน้าเข้มเมื่อเห็นทุกคนกำลังชะงักตกใจกับสิ่งที่เห็นก็ใช้จังหวะนั้นส่วนกลับ เมื่อเขารู้สึกได้ถึงความร้อนที่ไหลผ่านทั่วร่างกาย ก็ใช้ความคิดเป็นสิ่งนำทางรวบร่วมความร้อนนั้นไปที่ขาแล้วสืบเท้าครั้งเดียวย่นระยะระหว่างเขารตนที่ยืนห่างกันเกือบสามเมตรเข้าประชิดได้ในก้าวเดียว แล้วใช้เท้าข้างถนัดยันด้วยความแรงระดับเดียวกับช้างถีบ ร่างใหญ่กำยำของรตนกระเด็นลอยขึ้นเหนือพื้นไปใส่ร่างของภาณุที่ยืนห่างออกไปจนทั้งคู่ล้มกลิ้งไปไกลหลายเมตร
หลังจากจัดการกับรตนเสร็จเจษฎาก็จะเข้าไปช่วยเด็กสาวสู้กับพวกที่เหลือแต่ปรากฎว่าเด็กสาวได้เดินหายเข้าไปความมืดก่อนแล้ว ทิ้งเอาไว้แต่ร่างของเหล่าชายฉกรรจ์หกคนที่นอนกลิ้งบิดไปมาอยู่กับพื้นระเกะระกะ

"พวกมึงกลับไปซะ กูไม่อยากสร้างกรรมไปมากกว่านี้" เจษฎากัดฟันพูดเสียงสั่นจากอาการหายใจแรง ไม่ใช่ว่าเขาอยากปล่อยให้พวกมันลอยนวลสักเท่าไหร่ แต่ก็จนใจที่พวกมันมีกันเป็นสิบจะจัดการให้พวกมันหายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยด้วยตัวคนเดียวก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ก็ได้แต่หวังว่าพวกมันจะเข็ดหลาบไม่กล้ากลับมาหาเรื่องเขาอีก และที่สำคัญเขาเริ่มจะจัดการความเจ็บปวดที่ได้รับมาแถบจะไม่ไหวแล้ว

เมื่อได้ยินดังนั้นพวกที่ยังพอมีสติเคลื่อนไหวได้อย่างภาณุและลูกน้องอีกสองสามคนก็ช่วยกันพาร่างไร้สติและคนที่ลุกไม่ไหวขึ้นรถแล้วพากันหนีกลับไปอย่างทุลักทุเล

.................................................

แสงไฟที่คอกวัวยังสว่างอยู่และเหมือนว่าจะสว่างมากขึ้นกว่าตอนที่ชาวบ้านมาสุ่มจับเสือสมิงเสียอีก ที่ข้างๆ คอกวัวก็มีกลุ่มชาวบ้านนั่งล้อมวงพูดคุยกันอย่างออกรสถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ และเสียงเปรี้ยงปร้างที่ดังขึ้นห่างออกไปเมื่อไม่นานมานี้ โดยมีปิยะพงษ์ที่ต้องทำหน้าที่เป็นประธานคอยตอบคำถามแทนอาจารย์ของเขา

เจษฎาเดินส่องแสงไฟจากโทรศัพท์มือถือเดินลัดทุ่งนาออกมาจากความมืดตรงไปหาแสงไฟจากคอกวัว ร่างผอมเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนเดินโซเซแสดงออกถึงความเหนื่อยล้าเข้าไปหากลุ่มคนที่จับกลุ่มกันอยู่

"อาจารย์มาแล้ว อูยยย..." ปิยะพงษ์ลุกพวดพราดขึ้นมาจนรู้สึกปวดจากอาการบาดเจ็บ แต่ด้วยความที่เป็นห่วงอาจารย์มากกว่าเขาก็รีบเข้าไปประคองร่างของเจษฎาให้เดินแหวกชาวบ้านเข้ามานั่งพักใต้แสงไฟ

"อาจารย์หาไปไหนมาครับ" ปิยะพงษ์ตาโตถามด้วยความตื่นเต้น

"ก็ไล่ตามเสือสมิงที่มันหนีไปไง" หลังจากนั้นเจษฎาก็เล่าเรื่องการต่อสู้กับเสือไสยเวทย์ร้ายที่แต่งขึ้นมาคร่าวๆ ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ชาวบ้านอยากจะได้ยิน

ทันทีที่เจษฎาเล่าจบก็มีฮือฮาดังขึ้นเซงแซ่แล้วตามด้วยเสียของกลุ่มชาวบ้านรุมถามคำถามสาระพัดมีทั้งเป็นห่วง ทั้งอยากรู้อยากเห็น ทั้งสรรเสิญเยินยอ ก่อนที่เสียงของเจ้าของวัวดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางเสียงพูดคุย "เป็นยังไงบ้างอาจารย์ จัดการได้ไหม"

"เรียบร้อย ต่อไปก็ไม่ต้องกลัวแล้วนะ เรื่องแบบนี้จะไม่เกดิดขึ้นอีกแล้ว"

"ขอบคุณมากเลยครับอาจารย์" ชาวบ้านหลายคนยกมือขึ้นไหว้ สาธุให้กับการกระทำอันเสียสละของเจษฎา ที่มาช่วยจัดการภัยร้ายให้ชาวบ้านจนกลับมาในสภาพที่เหนื่อยอ่อนไร้เรี่ยวแรงเสื้อผ้าสกปรกมอมแมม

"แล้วเมื่อกี้เสียงอะไรนะครับ อย่างกับเสียงปืนเลย" ปิยะพงษ์ถาม

"อ้อ...นั้นเสียงดวงวิญญาณเสือมันแตกดับนะ" เจษฎาอ้างไปมั่วๆ กลบเกลื่อน แต่กลับเรียกเสียงชื่นชมด้วยความศรัทธาของชาวบ้านได้มากมาย

.................................................
 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

catoon

หนุ่มอ๊อดของเราเนี่ยก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะเนี่ย

hunterkung


dawdom


Nong5670

รอบนี้ศรัธทราชาวบ้านมาเต็มๆเลยนะอาจารย์

ชาย ชุดแดง

 ::HeyHey::วันนี้อาจารย์ไม่ได้ใช้กระเจี้ยวเลย

pimmy121

โดนจนเจ็บหนักขนาดนี้ น้องดิวต้องมาใส่ยาวิเศษให้พี่เจษอาการดีขึ้นหน่อยแล้วหล่ะ

tatong2222

รอยสักที่ได้มาจากลุงนี่ของดี​ คุ้มครอง​เจษฎา​ในคราวคับขัน​ได้ตลอด​ ดูท่าว่าลุงจะตามมาช่วยเจษฎา​อีก ::Orz::


soidao

เนื้อเรื่องเริ่มลึกลับขึ้นเรื่อยๆ ชอบครับแนวนี้ เป็นกำลังใจให้แต่งออกมาเยอะๆนะครับ

bangsan

อ้าวเจษได้ของดีมาตั้งนานคราวนี้รู้แล้วสงสัยลุยเต็มเหนี่ยวแน่ๆ

shadow5

ตาน่าจะให้ของดีเจษไว้แน่ๆๆ แค่ไม่บอกความจริง

ขอบคุณผลงานดีๆๆครับ


วีรการณ์ นาคชุ่มนุม

#13
ใจดีไปรึป่าวเจษดาา คนอื่นปล่อยได้แต่คนที่ยิงน่าจะกระทืบให้หนักๆๆหน่อย ความจริงปลาน่าจะรู้นิสัยพ่อตัวเองดีกว่าคนอื่นนะว่าเปนคนยังงัย น่าจะเหนใจเพื่อนมมากกว่านะ แต่นี่กลับโทดเจนิสฝ่ายเดียวซะงั้น

sammyadong