ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

Darkness Circle / วงจรแห่งความมืด ตอนที่ 33

เริ่มโดย เจตภูติ, พฤษภาคม 31, 2021, 09:31:44 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

เจตภูติ

สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิกเว็บอยากอ่านส่วนที่ซ่อนไว้ ในนั้นจะลงช้ากว่าที่เว็บนี้หนึ่งตอนนะครับ
https://www.tunwalai.com/v2/story/499798

Darkness Circle / วงจรแห่งความมืด ตอนที่ 33

ยามเช้าที่บ้านเช่าหลังเล็กมีอาณาบริเวณรอบๆ อยู่พอสมควร รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย ตัวบ้านแยกออกมาห่างจากชุมชนพอสมควร เป็นบ้านที่อ๊อดช่วยจัดการเป็นธุระจัดหาให้เจษฎามาหลบซ่อนตัวขณะทำตามแผนการ ซึ่งเขามาก็อยู่ที่นี้ได้สองวันแล้ว ที่หลังบ้านมีใต้ต้นไม้ใหญ่ ชายร่างผอมสูงยืนมองค้อนในมือด้วยสายตาและใบหน้าที่เจ็บปวดขณะกำลังทดลองทำอะไรบางอย่าง และเขาก็เริ่มทำอย่างนี้มาตั้งแต่วันแรกที่มาอยู่แล้ว
เจษฎาเอามือซ้ายวางทาบไปบนต้นไม้ใหญ่แล้วใช้ค้อนทุบใส่มือตัวเองนับสิบครั้งสร้างเจ็บปวดแสนสาหัสชนิดว่าถ้าเป็นคนอื่นกระดูกมือคงจะแหลกเละเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและคงไม่สามารถกลับมาใช้มือได้เป็นปกติอีก แต่ชายหน้าเข้มกลับสามารถยกมือขึ้นมาแล้วขยับนิ้วกำมือแบมือได้อย่างไม่น่าเชื่อ ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะเหยเกเพราะรู้สึกเจ็บปวดก็ตาม ที่เขากำลังทำอยู่คือเรียนรู้วิธีการจัดการความคิด เพื่อไม่ให้สมองของเขาเตลิดไปกับความเจ็บปวดที่ได้รับ

จากนั้นเจษฎาก็ใช้ความคิดและสมาธินำทางให้ความร้อนที่รู้สึกได้ตามผิวหนังทั่วร่างหลังจากที่ถูกทุบด้วยค้อนให้ไหลมารวมกันที่มือขวา เขาโยนค้อนทิ้งลงกับพื้นแล้วกำหมัดขวาแน่น รู้สึกถึงความร้อนที่สะสมอยู่แล้วชกเข้าใส่ที่ต้นไม้ใหญ่หนึ่งครั้ง กำปั้นประทะเข้ากับต้นไม้ใหญ่เกิดเสียงดังสนั่นความแรงของหมัดส่งผลให้ลำต้นโยกโงนเงน กิ่งไม้ใบไม้ร่วงหล่นเต็มพื้น และทิ้งรอยหมัดฝังลึกลงไปในเนื้อไม้ขนาดใหญ่กว่ากำปั้นของเขาเล็กน้อยกับรอยแตกร้าวที่พื้นผิวของต้นไม้ใหญ่บริเวณรอบๆ รอยหมัด

เจษฎาทึ่งกับสิ่งสามารถที่เขาทำได้ แต่นี่ก็เป็นความสำเร็จเพียงไม่กี่ครั้งจากการลองทำก่อนหน้านี้หลายต่อหลายครั้ง ยังไงซะความสามารถที่ได้มานี้ก็มีประโยชน์กับเขามาก แม้ว่าเวลาที่จะใช้ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดก็ตาม ระหว่างที่รอให้ความเจ็บจางลง เขาก็นึกถึงข้อมูลที่อดีตนักโทษชราอธิบายถึงสิ่งนี่ให้เขาฟังไปพลางๆ

..................................................

"ตกลงลุงสักยันต์อะไรให้ผมกันแน่เนี้ย บอกตามตรงนะผมเริ่มจะกลัวแล้วนะมันมีอาถรรพ์ลี้ลับอะไรรึเปล่า" เจษฎามีสีหน้าวิตกกังวลแม้คนที่คุยด้วยจะเห็นได้ไม่ชัดในความสลัวก็ตาม แต่น้ำเสียงของเขาก็ช่วยยืนได้ดี

"จะไปมีอาถรรพ์อะไรได้ยังไง ข้าก็บอกเอ็งแล้วว่าข้าไม่ใช่คนมีของไม่ใช่คนมีวิชา ข้าก็แค่ช่างสักธรรมดา" อดีตนักโทษชราอธิบายเรียบๆ ยืนยันแบเดิมกับเมื่อสิบปีก่อน

"แล้วทำไมผมถึงยิงไม่เข้าละ โดนทำร้าย รถชน ก็ไม่เป็นอะไร ไม่มีรอยแผลรอยช้ำด้วยซ้ำ" เจษฎายิ่งคิดตามก็ยิ่งไม่เข้าใจทวีความสงสัยเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันสวนทางกับคำตอบที่ได้รับ

"อืม...จะอธิบายยังไงดี เอาเป็นว่าไม่ใช่ว่าข้าสักยันต์อะไรให้ แต่เป็นข้าเอาอะไรมาสักให้เอ็งต่างหาก" อดีตนักโทษชราปั้นหน้าเครียดอยู่ในความมืด พยายามเรียยบเรียงข้อมูลที่เขามีเพื่อที่จะอธิบายให้เจษฎาเข้าใจ

"ขยายความหน่อยสิลุง"

"ของเหลวสีดำที่ข้าใช้สักให้เอ็ง ไม่ใช่น้ำหมึกธรรมดาทั่วไป"

"แล้วมันคืออะไรละลุง"

"ข้าก็ไม่รู้" นักโทษชราตอบแบบขอไปที

"อ้าวทำไม่อย่างงั้นละ" น้ำเสียงของเจษฎาออกอาการผิหวัง

"ก็ไม่รู้จริงๆ นี่หว่า รู้แค่ว่ามันทำอะไรได้เพราะคนที่ใช้มันก่อนหน้าเอ็งเขาเอาฝากไว้ให้ข้าช่วยเก็บรักษาแล้วก็ให้ข้อมูลมาบ้างแต่ไม่ได้รู้ทั้งหมด"

"แล้วคนที่ใช่ก่อนหน้าผมละ เขาไปไหนแล้วละ" เจษฎาพยายามสืบสาวหาความจริง เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในผิวหนังของเขามันจะส่งผลดีผลร้ายมากน้อยแค่ไหน แต่ก็สบายใจได้อยู่บ้างที่ผ่านมาสิบปีแล้วยังไม่ส่งผลเสียอะไรให้เห็นได้ชัด ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากได้ข้อมูลเชิงลึกอยู่ดี

"ตายแล้ว" อดีตนักโทษชราตอบเสียงเรียบ

"อ้าว...งั้นก็ช่วยบอกหน่อยละกันว่ามันทำอะไรได้บ้าง"

"คนใช้ก่อนหน้าเอ็งเขาบอกกับข้าว่า ของเหลวนั่นจะฝังตัวอยู่ในชั้นผิวหนังของผู้ใช้ทำให้ผิวหนังของผู้ใช้มีความทนทานและมีคุณสมบัติดูดซับและจัดเก็บพลังงานจลน์ ทำให้พลังงานไม่สามารถเข้าไปสร้างความเสียหายให้กับอวัยวะด้านในได้"

"อย่ามาหลอกกันดีกว่าลุง ไม่ใช่หนังซุปเปอร์ฮีโร่สักหน่อย แล้วถ้าเป็นอย่างที่ลุงว่าจริงทำไมมันยังเจ็บยังล้มยังกระเด็นอยู่เลยละ" ถึงอดีตนักโทษชราจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่นไม่เหมือนกำลังโกหก เจษฎากลับรู้สึกว่าสิ่งที่อดีตนักโทษชราบอกนั้นขัดกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา

"มันเป็นความเจ็บเทียมที่ของเหลวนั่นจำลองความรู้สึกขึ้นมาแล้วส่งไปที่สมอง ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะร่างกายได้รับบาดเจ็บจริงๆ แต่ไอ้ความเจ็บเทียมที่ส่งไปที่สมองทำให้สมองสั่งการให้ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองสอดคล้องกับแรงกระทำเลยทำให้เกิดการเสียงหลักล้มหรือกระเด็น ถ้าเอ็งสามารถควบคุมสมองให้ปล่อยผ่านความรู้สึกพวกนั้นได้ ก็จะไม่มีปัญหากับการทรงตัวหรือการเคลื่อนไหว"

"แหม่...พูดอย่างกับเป็นนักวิชาการ" ลึกๆ เจษฎาก็เห็นด้วยอยู่ไม่น้อย ถ้าผิวหนังเขาไร้ความรู้สึกเพราะดูดซับพลังงานจากแรงกระทำไปหมดก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ โดยเฉพาะเรื่องบนเตียง เพียงแต่เขาก็อดสงสัยสัยไม่ได้กับคำพูดที่ไม่ใกล้เคียงกับภาพลักษ์ของอคีตนักโทษชราที่เหมาะจะพูดคุยเรื่องไสยศาสตร์มากกว่าวิทยาศาสตร์แบบนี้ ก่อนจะถามเรื่องที่เขาติดใจอยู่อีกอย่างออกไป "แล้วทำได้แค่ดูดซับเองเหรอ"

"ข้าแค่จำมาบอกให้เอ็งฟังอีกที แต่ก็ไม่ใช่ว่าดูดซับอย่างเดียวหรอกนะ เพราะพลังงานที่ดูดซับมามันไม่ได้หายไปไหนไหลเวียนอยู่ตามผิวหนังนั่นแหละ คนใช้ก่อนหน้าเอ็งบอกข้าว่าถ้าควบคุมได้ก็จะเอาพลังงานนั้นมาใช้ได้ แต่จะเอามาใช้ยังไงก็มีแต่คนที่ครอบครองเท่านั้นที่จะรู้ได้"

เจษฎาเข้าใจความหมายได้บางส่วนเพราะเขาเหมือนจะเคยใช้ออกมาได้โดยไม่ได้รู้ตัวเมื่อก่อนหน้านี้ จากที่เขาฟังมาทั้งหมดของสิ่งนี้น่าจะมีค่ามากในหลายๆ ความหมาย การที่อดีตนักโทษเลือกส่งมันให้กับเขาตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นนักโทษมันดูไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย มันจะต้องมีอะไรแอบแฝงแน่นอน

"...ทำไมลุงถึงใช้มันกับผมละ" เจษฎาลองหยั่งเชิงดูโดยไม่หวังจะได้คำตอบ แค่อยากดูทีท่าของอดีตนักโทษชราเท่านั้น

"ถึงเวลาเอ็งก็จะรู้เอง..." อดีตนักโทษชราตอบกลับมาเสียงเรียบ หน้านิ่งจนเจษฎาดูไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

..................................................

เจษฎาหยุดคิดถึงเรื่องคืนนั้นแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่มองดูร่องรอยความเสียหายที่เขาทำไว้กับต้นไม้ สุดท้ายก็ไม่ได้รู้แน่ชัดว่าอะไรที่อยู่ในตัวของเขา รู้ได้อยู่อย่างเดียวว่าสิ่งนั้นทำให้ลูกปืน หมัด เท้า มีด ไม้ ทำอะไรร่างกายเขาไม่ได้แน่ๆ ที่เขาต้องทำอย่างเร่งด่วนตอนนี้ก็คือหาวีธีรับมือกับความเจ็บเทียม เรียนรู้ถึงขีดจำกัดของแรงกระทำที่ของสิ่งนั้นจะรับได้ และฝึกการใช้พลังงานที่ดูดซับไว้ให้เชี่ยวชาญ

ระหว่างที่เจษฎาก้มลงไปหยิบค้อนและกำลังจะทำการฝึกอีกครั้งเขาก็ต้องหยุดการกระทำนั้นเอาไว้ก่อน เมื่อได้ยินเสียงแตรของรถยนต์ดังมาทางประตูรั้ว เขาหยิบหมวกแก็บขึ้นมาสวมแล้วเดินไปหลบที่ข้างบ้าน เมื่อตรวจสอบดูจนแน่ใจแล้วว่าเป็นรถของคนรู้จักจึงเดินออกไปเปิดประตูให้รถกระบะคันนั้นได้ขับเข้ามาจอดในบ้าน

"โห อาจารย์ทำอะไรอยู่ตั้งนานกว่าจะมาเปิด" ไอ้ร่างล่ำหรือฟิลด์ที่เจษฎาเพิ่งจะมารู้ชื่อเอาทีหลัง ชายหนุ่มอายุยี่สิบสามปีที่เพิ่งจะเข้าสังกัดกำนันประเสิร์ฐมาได้ไม่นานแต่ก็ก้าวหน้าในเส้นทางสายคนนอกกฏหมายได้รวดเร็วเพราะเป็นคนจับตัวเจษฎามาให้กำนันประเสริฐได้ เขาเดินลงมาจากรถท่าทางรีบร้อนเหมือนมีเรื่องสำคัญอยากจะพูด

"มันก็ต้องรอบคอบหน่อยสิ ไม่มีใครตามมาใช่ไหม" เจษฎาพูดไปก็มองออกไปทางถนนสำรวจหาสิ่งผิดปกติและคนแปลกหน้า

"ไม่มีหรอกครับ" ฟิลด์ยืนยันท่าทางเซ็งๆ ที่อีกฝ่ายไม่ยอมเชื่อใจ

"แน่ใจนะ" เจษฎาย้ำ

"แน่สิ ผมขับวนตั้งหลายรอบก่อนจะเข้ามา" ฟิลเริ่มหงุดหงิดให้กับความรอบครอบของเจษฎา เขาแสดงออกได้ไม่มากเพราะเกรงใจยาสั่งในตัว

"ดีมาก แล้วได้เรื่องไหม" เจษฎาถามเสียงเรียบ

"ถ้าไม่ได้เรื่องผมจะมาหาอาจารย์ทำไมละ" ฟิลด์ได้ทียั่วโมโหใส่บ้าง

"หน่อย...ทำเป็นย้อน เดี๋ยวก็เสกตะปูใส่ซะดีไหม" เจษฎาทำเป็นขู่ทีเล่นทีจริง ทำเอาไอ้ร่างล่ำหน้าเสียไปทันที

"ไม่เอาดิอาจารย์ ในตัวผมยังมียาสั่งอยู่เลย แล้วถ้าผมเป็นอะไรไปใครจะคอยรับใช้อาจารย์ละครับ" ฟิลด์ตัดพ้อเสียงอ่อน

"ล้อเล่นน่า มาๆ เล่าให้ฟังหน่อย" เจษฎากวักมือเรียกให้ฟิลด์เข้ามานั่งคุยกันต่อที่ชุดม้านั้งหน้าบ้าน โดยไอ้ร่างล่ำได้หยิบเอาโทรศัพท์มือมือถือออกมาเปิดภาพถ่ายสถานที่แห่งหนึ่งให้เจษฎาดู

"ที่นี่แน่นะ" เจษฎาหันไปจ้องตาของฟิลด์ ตรวจสอบว่ามันมีลูกไม้อะไรซ่อนอยู่รึเปล่า

"แน่สิ ผมเสี่ยงมากเลยนะกว่าจะรู้ว่าพวกนั้นพักยาไว้ที่นี่" ฟิลด์จ้องตากลับไม่มีพิรุธอะไรออกมาให้เห็น

"พวกมันซ่อนยาไว้ตรงไหน" เจษฎาถามเสียงเข้ม

"ไม่รู้ครับ" ฟิลด์ส่ายหน้า

"ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องรอให้พวกมันมาเอายาก่อนสินะ ถึงจะลงมือได้" เจษฎาลูบคางใช้ความคิด ความจริงเขาอยากลอบเข้าไปขโมยของออกมากว่า แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็มีแต่ต้องบุกเข้าไปเพชิญหน้ากับแก็งค์ค้ายาตรงๆ เท่านั้น

"ก็คงต้องทำอย่างนั้นแหละครับ" ฟิลด์พยักหน้าเห็นด้วย

"แล้วคนที่รับผิดชอบเรื่องพวกนี้ละ มีข้อมูลไหม"

"หามาเรียบร้อยแล้วครับ บ้านมันก็อยู่ไใกล้ๆ ฟาร์มนั่นนะแหละ อาจารย์ต้องระวังหน่อยนะ ไอ้นี่มันคุมพวกวัยรุ่นแก็งค์รถซิ่งด้วย ถึงจะกระจอกแต่มันมีกันหลายคนเลย"

"แค่พวกขี้ยาทำอะไรฉันไม่ได้หรอก" ความจริงเจษฎารู้ข้อมูลในส่วนนี้จากเสี่ยพิพัทธ์มาก่อนแล้วเพียงแต่ต้องการยืนยันความถูกต้องของมูลจึงให้ฟิลด์ไปสืบมาให้ ซึ่งข้อมูลทั้งสองแหล่งก็ตรงกัน ทำให้เจษฎามั่นใจทที่จะทำการวางแผนต่อไป ทว่าก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เขาต้องยืนยัน "ว่าแต่กำนันไม่ระแคะระคายอะไรเลยใช่ไหม"

"กำนันไม่รู้เรื่องหรอก ล้มหัวฟาดพื้นเข้าโรงพยาบาลไปให้หมอดูอาการยังไม่ออกมาเลย วันนี้ก็ยังให้คุณจ๋านิมนต์พระมาทำบุญรดน้ำมนต์ปัดรังควานที่บ้านอีก ช่วงนี้คงไม่มีกะจิตกะใจไปสนเรื่องอื่นหรอก"

"มันจะไปเอาของเมื่อไหร่" เจษฎาถามต่อ

"คืนนี้ครับ"

...ไอ้เวร... นี่เป็นคำแรกที่วิ่งเข้ามาในสมองของเจษฎา คำตอบของไอ้ร่างล่ำเล่นเอาเจษฎาไม่มีเวลาที่จะได้เตรียมตัวเตรียมใจอะไรเลย เขาคงต้องลงมือทันทีเพราะไม่รู้ว่าพลาดโอกาสนี่ไป ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอไปอีกนานแค่ไหน

..................................................

เช้านี้ณัฐฐาตื่นขึ้นมาด้งยความรู้สึกที่ดีกว่าเมื่อสองวันก่อนเล็กน้อยเพราะสองคืนที่ผ่านมาเธอนอนหลับได้ปกติดี ไม่มีวิญญาณเจษฎามารังควานตามหลอกหลอนให้ได้สยิวกายสยองใจ วันนี้สาวใหญ่ไม่ได้ออกกำลังกายอย่างทุกทีเพราะมีงานทำบุญบ้านที่สามีเธอขอให้ช่วยจัดการ หลังจากเธออาบน้ำชำระล้างร่างกายจนสดชื่น เธอก็นึกถึงเรื่องคืนนั้นว่าเป็นความจริงที่เหมือนฝันหรือความฝันที่เหมือนจริง สิ่งเป็นหลักฐานยืนยันก็มีแค่อาการปวดเมื่อยตามตัวและผ้าปูเตียงที่เปียกชื้นที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเปียกหรืออะไรอย่างอื่น มันทำให้เธอสงสัยว่าที่เจษฎามาหาเป็นเพราะความแค้น หรือยังมีห่วงเพราะต้องการของที่เธอเอาคืนกันแน่

ณัฐฐาในชุดคลุมอาบน้ำเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วเปิดช่องลับของตู้ที่ด้านในบรรจุกล่องนิรภัยขนาดสามสิบเซนติเมตรปลดล็อคด้วยระบบสแกนนิ้ว เธอทำการเปิดและหยิบของที่อยู่ภายในออกมาดู

ด้วยของชิ้นนี้ที่ซื้ออิสรภาพมาให้เธอได้ถึงสิบปี ซึ่งมันต้องแลกมาด้วยการทำร้ายคนที่รักเธออย่างบริสุทธิ์ใจ และตอนนี้มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขาคนนั้นต้องมาจบชีวิตลงและถูกฝังโดยไม่ได้ทำพิธีทางศาสนาอย่างถูกต้อง เธอมองมันด้วยสายตาเศร้าสร้อยและหัวใจที่เหมือนมีรูขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง น้ำใสอุ่นๆ ก็ค่อยๆซึมออกมาที่หัวตาและไหลลงมาที่แก้มเนียนแบบบห้ามไม่ได้

"แม่ค่ะ พระที่นิมนต์ไว้ใกล้จะมาแล้ว แต่งตัวเสร็จรึยังคะ" เสียงลูกสาวคนเล็กของบ้านดังขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นมาพอดิบพอดี ดึงสาวใหญ่ให้ออกจากห้วงของความคิด

มือเรียวปาดน้ำใสออกจากตาแล้ววางของสิ่งนั้นไว้ที่เดิม ก่อนจะลงปิดประตูตู้อย่างรีบร้อนแล้วร้องตอบออกไป "ใกล้เสร็จแล้ว เดี๋ยวแม่ออกไป"

หลังจากตอบออกไปณัฐฐาก็เดินไปที่หัวเตียงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นดูหมายเลขที่โทรเข้ามา ซึ่งก็ไม่ใช่หมายเลขที่เธอรู้จัก สาวใหญ่ใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดรับสาย

"สวัสดีค่ะ นั่นใครคะ"

"ผมเองพี่จ๋า" ปลายสายรีบตอบน้ำเสียงประหม่า

"โทรมาทำไมอีก" ณัฐฐาส่ายหัวทันทีที่ได้ยินเสียงทศพล

"คือผมมีเรื่องจะขอให้ช่วยหน่อยนะครับ" ทศพลพูดเสียงอ้อน

"ไม่ ฉันบอกแล้วไงว่าจะช่วยแค่ครั้งเดียว" สาวใหญ่ตัดบทไร้เยื้อใย

"นะครับพี่ผมไม่มีทางเลือกจริงๆ ไม่งั้นคงไม่เสี่ยงโทรมากหรอก" ทศพลอ้อนวอนน่าสงสารตามนิสัยที่ชอบใช้ประโยชน์จากความใจอ่อนของผู้หญิง

"แล้วมีเรื่องอะไร" สาวใหญ่ถามเสียงห้วน

"ผมขอเจอพี่ได้ไหมครับ คุยทางโทรศัพท์ไม่สะดวก"

"ได้คืบจะเอาศอก"

"นะครับ" ทศพลอ้อนต่อ

"ก็ได้ นัดเวลากับสถานที่มา" ณัฐฐานึกสงสัยว่าทศพลจะมาไม้ไหนแต่ก็ลองไปฟังดูก่อนคงจะไม่เสียหายเพราะจะได้ถือโอกาสจัดการเรื่องให้มันจบๆ ไปเสียที

..................................................

ค่ำคืนนั้นเจษฎานั่งรถไปกับฟิลด์ไปตามถนนสายรองก่อนฟิลด์จะลดความเร็วลงแล้วเลี้ยวเข้าไปในซอย และเลี้ยวอีกหลายครั้ง ทางที่ผ่านมามีบ้านเรือนชาวบ้านอยู่สามสี่หลังปลูกห่างๆ กัน ตามถนนก็มีไฟเพียงเล็กน้อย ก่อนที่จะเข้าไปจอดแอบอยู่ในซอยห่างจากทางเข้าฟาร์มไก่เก่าที่มีอาคารโรงเรือนสำหรับเลี้ยงไก่ความยาวประมาณสองร้อยเมตรสามอาคารถูกปล่อยให้ร้างมาหลายปีจนดูทรุดโทรม

"มากันนู่นแล้ว" หลังจากที่พวกเขารออยู่ไม่นาน ฟิลด์ก็ชี้ให้ดูรถกระบะที่เพิ่งแล่นผ่านไป เป็นเป้าหมายของเจษฎามาเกือบตรงตามเวลาที่มันสืบมาได้ รถกระบะคันนั้นแล่นเข้าไปจอดที่ลานกว้างภายในฟาร์มไก่ร้าง จากนั้นชายฉกรรจ์ที่โดยสารมากับรถกระบะลงมาสี่คน ท่าทางบ่งบอกได้ว่ากำลังแอบมาทำเรื่องที่ไม่อยากให้มีคนรู้เห็น
เจษฎาเห็นดังนั้นก็เปิดประตูรถเตรียมตัวจะเข้าไปทำตามแผน ยังไม่ทันที่จะได้ลงจากรถก็ถูกฟิลด์ทักเอาไว้ก่อน"อาจารย์แน่ใจเหรอจะไปคนเดียว"

"ก็แน่สิ อยากไปด้วยรึไงละ"

"แฮะๆ ไม่เอาดีกว่า"

เจษฎาส่ายหน้าสังสัยว่าจะเอายังไงกับไอ้ร่างล่ำนี่ดี ถึงมันจะมีประโยชน์แต่ก็ดูไม่ค่อยฉลาดเอาซะเลย สักวันอาจจะสร้างปัญหาให้เขาได้ เขาพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อนเพราะตอนนี้ต้องลงมือรวดเร็วเขาเดินฝ่าความมืดเข้าไปในพงหญ้าแล้วหยิบเอาแว่นมองกลางคืนของอ๊อดขึ้นมาสวมจากนั้นก็ลัดเลาะไปตามทางเดินแคบๆ ที่เป็นเส้นทางที่จะพาเขาไปที่ด้านหลังฟาร์มไก่ร้าง

ชายหน้าเข้มเดินหลบอยู่ในเงามืดของอาคารเลี้ยงใก่ใช้แสงจากหลอดไฟแอลอีดีแบบพกพาจากอาคารหลังหนึ่งที่พวกมันหายเข้าไปเป็นเครื่องนำทาง เขาเคลื่อนที่อย่างระมัดระวังจนไปถึงอาคารที่เหล่าชายฉกรรจ์กำลังขนห่อบางอย่างออกมาจากหลุมแล้วเก็บใส่กระเป๋าใบใหญ่กันอย่างขะมักขะเม้น เขาสุ่มดูอยู่จนแน่ใจว่าพวกมันไม่ได้รับรู้ถึงการมาของเขา ก็ลอบย่องเข้าไปใกล้ๆ พวกมัน

"เสียงอะไรวะ" หนึ่งในพวกมันพูดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากด้านหลัง

เจษฎาปราดเข้าไปทำร้ายไอ้คนที่อยู่ใกล้ตัวเขาที่สุดด้วยดิ้วเหล็ก ฟาดเข้าไปตรงกลางกระโหลกจนฟุบลงไปกับพื้น แล้วทุบซ้ำไปอีกหลายครั้ง เสียงแท่งเหล็กกระทบเนื้อเสียงดังชวนสยอง ไอ้สามคนที่เหลือก็เอาแต่งมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระทันหันด้วยความกลัวและตกตะลึงจนทำตัวไม่ถูก

จนเจษฎาหยุดมือพวกมันถึงจะมีอาการเหมือนได้สติคืนมาแต่ก็ไม่ได้เตรียมตัวรับมือ เจษฎากระโดดถีบเข้าใส่ไอ้คนทางขวามือจนเสียหลักล้มลงไปในหลุมที่พวกมันใช้ซ่อนห่อพลาสติก ก่อนจะหวดดิ้วเหล็กใส่ก้านคอไอ้คนทางซ้ายทีเดียวส่งร่างมันลงไปนอนกับพื้น แล้วตามไปกระทืบใส่ไอ้คนในหลุมต่อแบบไม่ต้องนับจำนวนครั้งจนมันนิ่งไป
เจษฎาทีออกแรงต่อเนื่องมีอาการหอบให้เห็นเล็กน้อย แล้วหันมาแสยะยิ้มที่มุมปากให้ไอ้คนที่เหลือ ที่กำลังยืนตัวสั่นงันงกเหมือนไม่มีกำลังใจที่จะทำการต่อสู้และกำลังหวาดกลัวว่าจะเหยื่อรายต่อไป

"เฮ้ยขอโทษทีกูมาช้าไปหน่อย..." เสียงชายฉกรรจ์ดังขึ้นมาก่อนจะทิ้งให้เสียงหายไปเมื่อเห็นภาพชายสามคนถูกเล่นง่นจนหมอบอยู่กับพื้น ก่อนที่มันคนนั้นจะโพล่งออกมาเสียงดังลั่น "มึงเป็นใครวะ"

เจษฎาหันกลับไปมองตามเสียงก็พบชายร่างท้วมที่มีใบหน้าเหมือนกับคนคุมงานปล่อยยาเสพติดของกำนันประเสิรฐที่เสี่ยพิพัทธ์ให้ข้อมูลมากำลังยืนทำหน้าเดือดดาล ก่อนจะมีกลุ่มวัยรุ่นเกือบสิบคนทยอยเดินเข้ามาในโรงเรือน หลังจากได้ยินเสียงโวบวายของหัวหน้า พวกมันแต่ละคนแต่งตัวแบบมองปราดเดียวก็รู้ได้ทันที่ว่าเป็นพวกที่ชอบขับรถมอเตอร์ไซค์ซิ่งสร้างความเดือดร้อนให้สังคม ซึ่งบางคนอายุน่าจะยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ

"พวกมึงกลับไปซะ แล้วกูจะไม่ทำอะไรพวกมึง" เจษฎาทำหน้าปั้นยากใช้คำพูดและน้ำเสียงที่เหมือนมีอำนาจต่อรองเหนือกว่าเข้าข่ม ทั้งที่ไม่มั่นใจว่าจะสู้ไหวรึเปล่า

...ไอ้พวกชิบหายมาจากไหนกันเยอะแยะว่า หรือว่าไอ้ฟิลด์มันหลอกกูมาติดกับ แต่ไม่น่าเป็นไปได้ก็มันกลัวยาสั่งซะขนาดนั้น...

"ไอ้นี่มันท่าจะบ้าวะ เล่นแม่งเลย" สิ้นเสียงสั่งการของบุคคลระดับหัวหน้าพวกวัยรุ่นเลือดร้อยก็ล้วงหยิบเอามีดเอาดาบยาวเป็นศอกออกมาจากกางเกงราวกับเล่นกล

เจษฎาเห็นพวกมันเป็นสิบคนมีอาวุธครับมือก็หวั่นใจอยู่ไม่น้อยไม่ใช่เพราะกลัวอาวุธของพวกมัน แค่รู้สึกว่าคงต้องเจ็บตัวอีกแล้วทั้งที่อุตสาห์ลอบเข้ามาเงียบๆ และอยากจะออกไปแบบเงียบๆ เช่นกัน

พวกมันไม่ปล่อยให้เจษฎาได้ตั้งตัววิ่งกรูเข้าไปพร้อมๆ กันตรงเข้ารุมทำร้ายเขา ซึ่งเขาก็วิ่งเข้าใส่พวกมันเหมือนกัน สองฝ่ายที่จำนวนต่างกันลิบลับเข้าตะลุมบอลกัน

เจษฎาต่อสู้แบบไม่กลัวพวกหมาหมู่ คมมีดคมดาบนับสิบกวัดแกว่งฟันแทงอยู่รอบตัวเขจา ที่หลบได้ก็หลบ ที่หลบไม่ทันก็ปล่อยให้โดนไป จนเสื้อเชิ้ตแขนยาวแบบที่ใส่ประจำถูกฟันถูกแทงนับครั้งไม่ถ้วนจนขาดเป็นริ้วๆ เผยให้เห็นรอยสักน่ากลัวและผิวหนังที่ไร้รอยขีดข่วน

เจษฎาอาศัยจังหวะที่ตัวเองถูกโจมตีแล้วอีกฝ่ายเปิดช่องว่างให้สวนกลับด้วยอาวุธในมือจนล้มพวกมันไปได้ทีละคนสองคน แล้วการโจมตีรอบๆ ตัวเขาก็เริ่มเบาบางลง เมื่อพวกวัยรุ่นเริ่มกลัวไม่กล้าเข้าไปปะทะ ได้แต่หลบไปพลางถอยไปพลางจนไปอยู่หลังหัวหน้ามันกันหมด

เจษฎาหยุดออกอาวุธแล้วยืนดูเชิงว่าพวกมันจะทำอย่างไรต่อ ในใจเขาอยากจะให้พวกมันกลัวแล้วหนีกันไปซะที จะได้จบเรื่องแล้วทำตามเป้าหมายต่อเพราะเริ่มระบมไปทั้งตัวแล้ว

"ไอ้พวกเหี้ย มึงจะกลัวอะไรกันวะ" ชายร่างท้วมตวาดใส่พวกลูกน้อง ทั้งที่มันเองก็กลัวจนขาสั่น

"ไม่ให้กลัวได้ไงละพี่ โดนฟันยับขนาดนั้น ไม่มีสักแผล ถ้าไม่ใช่คนมีของก็ผีแล้วละ" พวกลูกน้องเริ่มขวัญเสีย แทบไม่อยากจะคิดว่ากำลังสู้กับอะไรอยู่

"หลบไป ดูสิเจอนี้มึงจะรอดไหม" มือใหญ่ชักอาวุธปืนออกจาเอวแล้วรัวใส่ร่างของเจษฎาแบบไม่นับนัดและไม่สนว่าจะโดนพวกลูกน้องที่นอนกลิ้งเกลือกอยู่ใกล้ๆ ไปด้วยหรือไม่

เจษฎาใช้ท่อนแขนสองข้างยกขึ้นเป็นแนวขวางป้องกันใบหน้าโดยเว้นช่องให้มองลอดได้ แล้ววิ่งสวนลูกกระสุนปืนเข้าหาร่างคนยิง หัวกระสุนวิ่งเข้าปะทะร่างของเจษฎาหลายต่อหลายนัดแต่ก็หยุดดเขาไม่ได้ ร่างผอมสูงเข้าประชิดชายร่างท้วมได้อย่างง่ายดาย พวกลูกน้องที่หลบอยู่ด้านหลังก็แตกฮือไปหลบไปคนละทิศละทาง

เจษฎาใช้กำปั้นที่เขารู้สึกว่ามันกำลังร้อนได้ที่ชกใส่ชายร่างท้วมเข้าที่หน้าท้อง ร่างอวบกระเด็นออกไปก่อนจะกลิ้งเป็นลูกขนุน ชายร่างท้วมฝืนลุงขึ้นมายืนได้ครู่หนึ่ง ก่อนจะทรุดกายลงนั่งคุกเข่าปล่อยของเสียออกทางช่องทางด้านบนและด้านล่าง ส่งกลิ่นเหม็นชวนอ้วกลอยกระจายไปทั่วบริเวณ กลุ่มวัยรุ่นที่เหลือก็หน้าซีดราวกับเจอภูติผีปิศาจ ต่างวิ่งโวยวายออกจากโรงเรือนไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์แล้วขับหนีออกแบบไม่คิดชีวิต

..................................................
 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน


Taizen

อ.เจษฐ์เหมือนไปชุบตัวใหม่มาเลย เก่งสุด

teerapong2534m


kyouma


วีรการณ์ นาคชุ่มนุม

จารย์เจษขาบู๊รอบนี้ แบบนี้ที่หลอกว่าตายจะไม่เปิดเผยเหรออ

myzzr


♤judas♤

อ.เจษพอมีของฟันแทงไม่เข้า เริ่มจะเดินแผนที่วางไว้ล่ะ

pakykit


ชายชรา

วันนี้อาจารเจษมาแนวโหดมากติดตามครับอาจารย์เจษจะได้ของที่ต้องการเมื่อไร

artherox

ยังกับมาร์เวล ต้องใช้คำนี้เลยคับผม อย่างมัน  ::DookDig::

thana7


outsider

มันไมใช่เวทมนต์ มันคือวิทยาศาสตร์ ลุงได้หมึกมาจากวาคานาด้า เอ่อวาคานด้าใช่มั้ย แล้วลุงเอาน้ำหมึกเข้าไปในคุกยังไง ติดสินบนใช่มั้ย ไม่น่าใช่ ประเทศไทยไม่มีเรื่องทุจริตมาเจ็ดปีแล้วนะ

จรัญ บุญชู

อิทธิฤทธิ์ในตัวเมื่อใช้บ่อยเข้า...อาจารย์ก็เก่งกล้าขึ้นมากเลย...

bangsan

อ้าวเจษได้ของดีสักไว้ในร่างกายซะแล้วยังรู้ลุยสบายเลย