ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_Monchai-S

มลทินดอกไม้-ตอนที่38

เริ่มโดย Monchai-S, พฤศจิกายน 25, 2021, 10:22:36 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

Monchai-S




มลทินดอกไม้-ตอนที่38



กําบังขับรถออกจากบ้านเลี้ยวซ้ายออกเส้นทางไปสู่สมุทรปราการ
ถึงสมุทรปราการ เลี้ยวซ้ายก่อนเข้าตัวเมืองไปอีกครู่หนึ่งก็ หักขวาเข้าสถานตากอากาศบางปู
ซึ่งมีบังกะโลขนาดกะทัดรัดหลายหลังอยู่ในระยะห่างกันอย่างได้จังหวะ มันเป็นแผนการ
ของเขาที่ขากลับจากรับตัวลูกเนียงมาจากบ้านคุณพัดชา จะได้พาแวะเข้ามาเชือด
เขาทําทีเป็นพาลายตองเข้าไปในห้องหลัง จากบ๋อยทําหน้าที่บริการเรียบร้อย
"บังเคยมาเหรอ"
ลายตองมองไปรอบๆ ห้องซึ่งมีเนื้อที่แคบๆ พอสําหรับเตียงและโต๊ะเก้าอี้
ผ้าปูเตียงและปลอกหมอนสีขาวสะอาด มันเป็นแท่นปัจถรณ์อันสุขารมณ์
ของหญิงและชายมานับไม่ถ้วน บางครั้งมันกลายเป็นเขียงของหญิงสาวผู้เคราะห์ร้าย
เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดการสมสู่ลักลอบการเป็นชู้ ของคนที่ไม่รู้จักอิ่มในกามรส
ถ้ามันมีชีวิตวิญญาณมันคงบอกกล่าวเรื่องราวของคนสองเพศที่เข้ามาบวกกันบน
ตัวของมันหลายรูปแบบ บางคนบางคู่แทบจะถล่มทลายร่างของมันให้หักสะบั้น
"เคยแต่ผ่านมา"
กําบังพูดยิ้มๆ เมื่อเห็นลายตองเปิดประตูมอง เข้าไปในห้องน้ำซึ่งทุกอย่างเป็นสีขาวไปหมด
พอลายตองหันกลับมากําบังก็กรากเข้าประชิดเอื้อมมือคว้า แต่กลับโดนลายตอง
ปัดมือแล้วเดินเลี่ยงผละไปที่หน้าต่างมองขึ้นไปบนฟ้า ชะรอยนกน้อยๆ
จะเห็นฟ้าว่างจึงบินเริงฟ้าอยู่ตัวเดียวโดดเดี่ยว
"ทําไมล่ะ" กําบังก้าวตามเข้ามาไม่ลดละ
"เวลามีน้อย"
"ทันถมไป" กําบังจับต้นแขนของลายตองบีบหนักๆ
"ตองจะมีเวลาให้ฉันกี่นาทีละ ห้านาที สิบนาทีหรือสิบห้านาที หรือชั่วอึดใจก็ยังได้"
กําบังเจตนาให้ฟังเป็นเรื่องขําขัน แต่ลายตอง
ไม่ยอมคล้อยตาม พอกําบังทําท่าจะยื่นหน้าเข้ามาจูบ
ลายตองกลับใช้สองมือยันเอาไว้
"อย่านะ" ลายตองตวาดเสียงหนักแน่น แม้รูปร่างจะหนาใหญ่ผิดกว่ากันมาก
แต่เสียงของลายตองก็มีอํานาจพอจะหยุดความหื่นระห่ำของกําบังเอาไว้ได้
ทั้งที่ใจจริงอยากจะอุ่นเครื่องกับ ลายตองสักพักหนึ่งก่อน
ก่อนที่จะไปรับเอาลูกเนียง มาต่อในเซ็ทที่สอง
"โธ่ ตองก็..." กําบังเอ่ยเหมือนครางเบาๆ อยู่ในลําคอ
"บังเช่าบังกะโลเอาไว้ทําไม     เพื่อจะพาคุณ ลูกเนียงมาเชื่อดงั้นรึ ยังไม่อิ่มอีก"
"ถ้าตองไม่ต้องการให้ฉันทํากับลูกเนียงอย่างงั้น ฉันไม่ทําก็ได้ แค่ขอให้ได้ทํากับตองบ้าง
ก็แล้วกัน ไหนๆ ก็เสียเงินค่าเช่าให้เขาไปแล้ว"
"คิดอยู่แต่เรื่องพรรณนี้เองเหรอ ไม่ได้มีสติปัญญาคิดอะไรให้มันงอกเงยไปกว่านี้
บ้างเลยเรอะ"   ลายตองกล่าวเหมือนสบประมาทกลายๆ
"ก็จะให้ฉันคิดอะไรล่ะ มีอะไรที่จะต้องคิดอีกล่ะ" กําบังชักจะฉุนๆ อยู่เหมือนกัน
ใช่ว่าจะ โง่เสียจนไม่รู้ความหมายคําพูดแดกดันของลายตอง
"บังไม่นึกฉงนบ้างเลยเรอะ"
"ฉงนอะไร"
"อยู่ดีๆ ทําไมคุณพัดชาต้องเรียกให้บังไป ช่วยเปลี่ยนยางรถ
เมื่อซื้อเขามาที่เดียวสี่เส้น ก็ทําไมไม่ให้ทางร้านเขาจัดการเปลี่ยนให้
เพราะเป็นเรื่องที่เขาต้องบริการอยู่แล้ว ทําไมต้องขอให้บังไปช่วยเปลี่ยน
ยางรถให้ถึงบ้านด้วยล่ะ"
"น่านซีนะ" กําบังคล้อยตามมากกว่าจะเกิดจากความคิดของตนเอง
"อย่าพูดพล่อยๆ หรือคิดพล่อยๆ" ลายตองรู้ ใจของกําบัง
"แล้วตองจะให้ฉันทํายังไง ฉันมันก็มีความคิดอยู่แค่นี้ ถ้าฉันมีความคิดที่ดีๆ กว่านี้
มันจะดักดานเป็นขี้ข้าเขามาเป็นสิบๆ ปีเรอะ หรือว่าไม่จริง"
กําบังยอมสารภาพตามความจริง คนเราถ้าหากในระยะเวลาสิบปีไม่มีการเปลี่ยนแปลงชีวิต
ความเป็นอยู่ อยู่มาอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ก็เท่ากับประกาศตนเองให้รู้ว่ามีความคิดในระดับไหน
"มันก็จริง จริงอย่างบังว่า แต่อย่างน้อยก็น่าจะคิดให้มันไกลไปสักนิด
อย่าคิดเอาแต่จะเลื้อยลงรูท่าเดียว รู้หรือเปล่า"  ลายตองทิ้งหางเสียงสัพยอก พร้อมกับค้อนนิคๆ
มันกลายเป็นเครื่องช่วยลด ความร้อนในอารมณ์ของกําบังลงได้อย่างมาก
"บังรู้ หรือเปล่า เราจะต้องไปเผชิญกับอะไร แค่เปลี่ยนยางรถเท่านั้นเองเหรอ"

ถึงตอนนี้ดูกําบังทําท่าจะคิดออก คําพูดของ ลายตองมันน่าจะมีเหตุผล
แม้จะโง่เง่ายังไงก็พอจะ มองเห็นอะไรต่ออะไรขึ้นมาบ้าง
"แล้ว...แล้วเขาเรียกไปทําไม" กําบังถามเหมือนจะให้แน่ใจ
"บังทําอะไรไว้ล่ะ"
"หมายความ...หมายความถึงคุณแววรัตน์"
"ก็คุณพัดชาน่ะเป็นพี่สาวของคุณแววรัตน์ มีหรือเขาจะไม่รู้เรื่อง เขาเป็นพี่กันน้องกัน
ถ้าคุณพัดชาไม่เรียกบังไปเปลี่ยนยางรถ ฉันก็เชื่อว่าคุณแววรัตน์ไม่ได้บอกเรื่องบัง
เข้าไปไถในตัวของเขา แต่นี่คุณพัดชาเป็นคนเรียกบังไปหา...
มันก็ต้องรู้เรื่องอะไรต่ออะไรดีจนหมดแล้ว"
"แล้ว...แล้วเขาเรียกไปทําไม"
"มันต้องมีอะไรสักอย่างเป็นแน่ เตรียมตัวเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน" ลายตองเปลี่ยนเสียงเป็นเครียด
"บังกลัวเขาหรือเปล่า" ลายตองจ้องหน้ากําบังเขม็ง
"กล้ว...กลัวใคร"
"กลัวใครต่อใครที่บังทําเอาไว้น่ะสิ"
"ฮึ "    กําบังรู้สึกเหมือนถูกสบประมาทถ้าหากแสดงความกลัวออกไป
"ไม่มีวันเสียล่ะ คนอย่างไอ้บังไม่มีกลัวใครหรอก"
"แน่เหรอ"
"จะกล้วก็มีอยู่คนเดียว"
"ลายตอง" ลายตองชิงตอบเพราะรู้ว่ากําบังจะ พูดออกมาแบบนี้เพื่อเอาใจตน
"ทําไมรู้ล่ะ"
"ขืนบอกว่าไม่กลัว ฉันจะได้ไม่ล่อเหยื่อ ไม่บอกทางให้น่ะสิ"
"งั้นช่วยบอกทางให้ใหม่สิ"
"ตอนนี้มันถึงคราวที่เราจะต้องทําเงินกันแล้ว"
"ทําเงิน...ทํายังไง"
"ทําเงินจากนายกองทุน จากคุณแววรัตน์"
กําบังสังเกตเห็นสีหน้าของลายตองเปลี่ยนไป แววตาที่เห็นไม่เหมือนแววเดิม มันออกสี
เข้มและมองดูเหมือนมีน้ำใสๆ แต่ไม่ใช่น้ำตาของความเสียใจแน่ กําบังไม่เคยอ่านลายตองออก
จับความคิดของลายตองไม่ทัน แต่ว่าทุกครั้งที่ลายตองออกความคิดมาให้ตนทําไม่ เคยผิดหวัง
ไม่มีอะไรผิดหวังสําหรับลายตอง แม้แต่เนื้อหนังของลายตองเองรู้สึกจะมันและ
กรุบเข้าไปจนถึงกระดูก ถึงจะไม่เหมือนกับ ลูกเนียง ไม่เหมือนแววรัตน์
ไม่สดเหมือนไอ้อิ่ม แต่ลายตองก็ยังอยู่ในช่วงรันอิน โดยเฉพาะ ความคิด
ลายตองกลายเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือกําบัง ไปเสียแล้ว เมื่อลายตองเอ่ยถึงเรื่องการทําเงินขึ้นมา
กําบังก็พร้อมที่จะรับฟังขึ้นมาทันที
ลายตองเดินมานั่งที่เก้าอี้ ฟ้าว่างเมฆ นกสีขาวตัวเดิมยังกรีดปีกอยู่กลางความว่างของฟ้า
มันหลงทางหรือเริงลมเล่นทายใจมันไม่ถูก
ลมเงียบ ทะเลเงียบ ลายตองกับกําบังต่าง ก็อยู่ในความเงียบ แต่ในความเงียบนั้นมันมีความคิด
มันคืบคิดไปเรื่อยๆ มันไม่เคยถูกจับให้หยุดนิ่งเป็นสมาธิก็จริง แต่ขณะนี้มันหยุดนิ่งอยู่กับที่ด้วย
สัญชาตญาณ มันไม่ฟุ้งซ่านเพราะฐานของมันปักแน่น
สําหรับลายตองฐานของมันคือความแค้น มันถูกแตกออกซอยออกมาเป็นฉากเป็นตอน
มันประสบความสําเร็จมาแล้วก็จริง แต่มันยังไม่สาแก่ใจ มันจะต้องเกิดผลต่อไปอีก
ส่วนกําบังฐานของความคิดมันอยู่ที่ความใคร่ กระเหี้ยนกระหายเหมือนสุนัขที่โดนล่าม
มันดิ้นจนโซ่ตึง หากหลุดออกมาได้เมื่อไหร่มันจะกระโจนเข้าฟัดด้วยความดุร้าย
แต่แม้ว่ามันจะเป็นสุนัขที่หื่นกระหายเหยื่อ แต่ตอนนี้มันต้องเชื่องสําหรับลายตอง
ซึ่งเปรียบเหมือนเป็นเจ้าของที่มันต้องให้ความเชื่อถือ มันพร้อมที่จะปฏิบัติตามคําสั่ง
เพราะแต่ละครั้งมันได้เหยื่อเป็นเครื่องตอบแทนอย่างสาสม
เนื้อแต่ละรายที่ลายตองเอามาป้อนให้ มันเป็นเนื้อสดๆ
หวานด้วยรสของความสาว เช่นนั้นมันจึงไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง
ทุกอย่างสุดแท้แต่ลายตองจะบงการ ความคิดของกําบังมีขีดจํากัด

ดังนั้น....

ขณะที่ร่างอันทุ่ยทุ้ยเปลือยเปล่าของกําบัง กําลังประกบอยู่บนเนื้อตัวอันเปล่าเปลือย
ขาวบางของลายตองบนผ้าปูเตียงขาวสะอาด ลายตองจึง สาธยายความคิดออกมาเรื่อยๆ
ขณะเดียวกับที่ กําบังก็โขยกขยับไปโดยไม่หยุดยั้ง
สมองของกําบังเหมือนจะแบ่งออกรับได้สองข้าง ข้างหนึ่งคือราคะ อีกข้างหนึ่งคือความคิด
อันแยบคายของลายดอง ความรู้สึกส่วนหนึ่งซึมซับ ความรู้สึกอีกส่วนหนึ่งส่งออก
เรื่องราวที่ออกมาจากปากของลายตองมันช่างเป็นแผนการอันวิเศษเสียนี่กระไร
หากทุกอย่างเป็นไปตามความคิดของลายตองที่วางเอาไว้ ได้เปลี่ยนแปลงชีวิต
กันคราวนี้แหละกู กําบังยิ่งคิดยิ่งย่าม ยิ่งย่ามยิ่งขย่มโดยไม่มีการขยัก
"โอ๊ย..."
ลายตองร้องออกมาเบาๆ
"หือ...อะไร" เสียงของกําบังงึมงํา
"ค่อยๆ หน่อยสิ"
"ขอโทษ ลืมตัวไป"
"ลืมตัว...แล้วรู้หรือเปล่าที่ฉันพูดไปนะ"
"รู้... รู้หมดทุกอย่าง"
"มันยังไม่หมดแค่นั้นนะ"
"ก็พูดต่อไปสิ"
"ก็เบาๆ หน่อยสิ"

"เอาละ เล่าต่อไป" กําบังหยุดการเคลื่อนไหวของลําตัวมาเป็น
ปากและจมูกกับสองมือหนาๆแทน "พูดต่อไปสิ" กําบังกระซิบ
"อยู่เฉยๆ ได้ไหม ให้ฉันพูดจบเสียก่อนค่อยทํา"
"เอ้าตามใจ"
กําบังหยุดเคลื่อนไหวหมดทุกส่วนปล่อยให้ ลายตองพูดตามความคิดออกมาเรื่อยๆ
ครู่หนึ่งกําบังจึงตอบรับเมื่อลายตองตั้งคําถาม "ครับ..."
ลายตองสาธยายออกมาให้กําบังรู้หน้าที่ของตัว
"ครับ..." กําบังขานรับ
"เป็นอันตกลงตามนี้นะ"
"ครับ..."
"แน่นะ..."
"ครับ..."
"นี่บัง"  ลายตองพูดเหมือนเพิ่งจะรู้สึกถึงความ ผิดปกติในตัวขึ้นมาได้
"อะไรครับ..."
"ครับแต่ปากสิ"
"ทําไมครับ..."
"บ้า" ลายตองหยิกขากําบังเต็มแรงแล้ว หัวเราะ
"อะไรเล่า มาหยิกผมทําไมครับ..."
"ครับแค่ปากสิ เด็กของบังไม่ต้องพยักหน้า
พร้อมกับครับด้วยหรอก" ลายตองพยายามกลั้น หัวเราะ
"งั้นเหรอครับ...ครับ...ครับ..."
"ค่ะ...ค่ะ...ค่ะ..." ลายตองพูดและใช้เด็กของตัวขมิบปากตามจังหวะตอบไปบ้าง



แววรัตน์รู้สึกเสียววูบ พลันรู้สึกถึงเนื้ออุ่นร้อนของมันทั้งแท่งอัดเข้ามาในหับเนื้อ
...มันเป็นความรู้สึกเมื่อแอบมองผ่านม่านบังหน้าต่างออกไปที่เรือนต้นไม้ ซึ่งดารดาษ
ไปด้วยกระดังงาการเวกเลื้อยปกคลุมไม้ระแนงตีเป็นตาราง...ที่นั่น  เจ้ากําบังกําลัง
นั่งอยู่กับพี่พัดชาของเธอ มันนั่งอยู่กับพื้นข้างล่าง ส่วนพี่พัดชาของเธอนั่งอยู่บนเก้าอี้
แม้จะไกลกันแต่กลิ่นอายของเนื้อตัวมันดูจะสื่อเข้ามาโชยชายอยู่ในฆานประสาท


ร่างอ้วนหนาของมันราวกับจะข่มดอกไม้สวยๆ ในเรือนต้นไม้ให้ดูด้อยความงามไปจนหมดสิ้น
แม้กระทั่งพัดชาพี่สาวของตนก็เหมือนจะพลอยด้อยพลังอํานาจลงไปด้วย
ผิวพรรณ ลักษณะ มันตัด กันออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด   แต่ไอ้สิ่งที่ตัดกับ
ตาของตนเองนี่แหละ
มันเข้ามาตัดในเนื้อตัวของเธอจนหมดเกลี้ยง ไม่มีอะไรเหลือ
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น...แต่ความเคียดแค้นดูจะน้อยกว่าความหวาดกลัว เพราะน้ำหนักของตัวมัน
ยังวางอยู่บนหน้าท้อง หน้าอก หน้าใจไม่รู้ลืม ยิ่งได้ เห็นรูปร่างหน้าตาอันน่าเกลียดของมัน
ก็พลันนึกไปถึงเครื่องเคราระดับมหากาฬ นึกไปก็ให้แค้นใจตนเอง  ไม่รู้ปล่อยให้มัน
เข้ามาได้อย่างไร และตัวเองก็ปล่อยอะไรต่ออะไรออกไปให้กับมันจนหมด...
แววรัตน์เผลอเอามือลูบรอยเขี้ยวของมันที่ยังฝังเจ็บ
อยู่กับต้นคอเมื่อเห็นมันยิ้มจนเห็นฟันซี่ใหญ่กับพัดชา

ถ้อยที่การสนทนาของคนทั้งสองแววรัตน์ ไม่ได้ยิน เห็นแต่ริมฝีปากเหยียด
เบี้ยวบิดเล็กน้อยและสีหน้าบอกความไม่พอใจของพัดชาบางครั้ง มือของพัดชาจะยกขึ้น
ชี้หน้ากําบัง และโบกไปโยกมา ขาสองข้างยกขึ้นไขว้ยกลงสลับกันไป

กิริยาท่าทีของเจ้ากําบังดูเหมือนจะเป็นฝ่ายฟัง มากกว่าพูด นานๆ สักครั้ง
จะเห็นริมฝีปากของมันเคลื่อนไหวแสดงอาการตอบโต้ มือของมันมีการ
ยื่นออกมาตรงๆ และกลับเข้าไปแตะที่หน้าอกหนาๆ
แม้มันจะนั่งอยู่กับพื้นแต่ก็ไม่ได้แสดงกิริยาพินอบพิเทาอะไร
ท่าที่ออกจะมีโอหังนิดๆ ด้วยซ้ำแม้จะไม่ได้ยินเสียง แต่แววรัตน์ก็รู้ว่าการเจรจา
เป็นไปอย่างไม่สมใจของพี่สาวตนเท่าไรนัก สังเกตได้จากการบิดตัวส่ายหน้า
ไปมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว บางครั้งยกสองมือเท้าเอวเหมือนจะท้าทายชนิด
เอายังไงก็เอากัน

มันคงจะถือตัวว่าเป็นต่อมันจึงไม่ยอม มิเช่นนั้นก็คงจะเรียกร้อง
เอามากกว่าจํานวนเงินที่พัดชาเป็นฝ่ายเสนอ


แน่ล่ะสิ..แววรัตน์รู้สึกขยับตัวค่อนข้างยากเย็น เหมือนเลือดสีขาวของมัน
เข้ามาฉาบแช่แข็งแน่นอยู่ในช่องท้องบังคับไว้ เมื่อแรกมันออกมาเป็นเลือดเละเข้าไปเขละขละ
อยู่ในหน้าท้อง เวลาผ่านมาไม่เท่าไร มันแห้งและแข็งเหมือนปูนผสมทรายเกาะติดแน่น
ไม่มีวันที่จะเอามันหลุดออกไปได้เพราะมันลึกเข้ามา อยู่ในความทรงจํา นึกขึ้นมาครั้งไร
มันก็ฉายชัดขึ้นมาทุกครั้งถึงบทบาท ความเคลื่อนไหวขณะที่มันกําลังลุ้นอยู่กับเนื้อล้วนๆ
ทั้งของมันและของตน บทบาทท่าทีของมันที่เปลี่ยนแปลง ความรุนแรงของมันที่เปรอปรน
เนื้อคลุกเนื้อเหงื่อกาฬโชกชุ่ม น้ำลายกระฉอกออกจากปาก
ลมหายใจร้อน ทุกแรงเสียดสี และการสนองตอบ ตอบนั้น ชั้นวรรณะไม่มีเหลือ
ราวกับเป็นกําแพงดิน โดนน้ำเซาะจนยุ่ย พังทลายกลายเป็นโคลนเละๆ
กลับมาอยู่ตามสัญชาติเดิมของดิน มันเป็นใคร ตนคือใคร ไม่มีความหมาย
ต่างฝ่ายเหมือนอยู่ริมทะเลกว้าง ต่างมีสิทธิ์สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด
โดยทัดเทียมกัน เนื้อตัวและ ความรู้สึกของเธอกับมันกลมกลืนละลายม้วนตัว
เป็นระลอกคลื่น เหมือนนาวางามสง่าราคาเรือนล้าน กับเรือหาปลาลําน้อยราคา
เรือนร้อยต่างลอยไปบนพื้นผิวสมุทร เริงลมทวนคลื่นชื่นมื่นไปด้วยกัน
ความเป็นอัตตามีตัวตนไม่มีอยู่ในความรู้สึก ไม่รู้มันหนีหน้าหลบซ่อนไปหนไหน

ครั้นเหตุการณ์เหล่านั้นผ่านไป อัตตาความมีตัวมีตนเริ่มปรากฎ เนื้อตัวถูกตีออกมา
เป็นความมีค่ามีราคา ความแบ่งแยกเบ่งตัวออกมาอย่างรุนแรง มันถ่างออก
ให้เห็นความเป็นไพร่ความเป็นผู้ดีให้เห็นได้ชัด กลายเป็นความเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ
ที่ปล่อยให้มันเข้ามาทะลุทะลวง เกียรติ ศักดิ์ศรี เลือดเนื้อ สกุลต่างๆ
ที่เคยตีกรอบกั้นเอาไว้โดนพังทลายออกไป อย่างไม่มีชิ้นดีเสียแล้ว

แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ เหมือนโดนหลอกให้เข้าไปเล่นการพนัน
ระหว่างนั้นมีความโลภเป็นเจ้าเรือน ไม่ได้คิดคํานึงถึงอะไร
ต่อเมื่อหมดเนื้อหมดตัวไปแล้วจึงคิดได้ถึงความสูญเสีย

เสียไปแล้วทั้งตัว เสียไปแล้วทั้งใจ ยังจะต้องมา
เสียเงินให้กับมันอีกเป็นค่าปิดปาก และดูเหมือนจะ
ค่อนข้างยากเพราะท่าทีของพัดชาแสดงออกถึงอาการ ฉุนเฉียว

มันจะเรียกร้องเอาเท่าไรของมัน...หรือ มันจะเรียกร้องเอาตัวของเราอีก...โอ
ถ้าหากเป็นเช่นนั้น...แววรัตน์ใจคอสั่นไปหมด... แต่ก็ค่อยคลี่คลายลงเมื่อเห็นพัดชา
หยิบสมุดเช็คออกจากกระเป๋าถือที่วางไว้ข้างตัวออกมาเขียน

สังเกตดูสีหน้าของเจ้ากําบังมันคงจะพอใจไม่ใช่น้อย

มันเป็นการยอมจํานนของพัดชาแน่ แววรัตน์เห็นพัดชาพูดกับเจ้ากําบังอีกสองสามประโยค
ก่อนจะโยนเช็คให้แล้วเดินกระฟัดกระเฟียดออกมาจากเรือนต้นไม้กลับขึ้นมาบนตึก
แววรัตน์เห็นเจ้ากําบังเดินออกไปหาลายตองซึ่งยืนรออยู่เป็นเวลานานที่รถ
เจ้ากําบังพูดกับลายตองสองสามคําแล้วก็หันมามองที่ตัวตึก...

ลูกเนียงเองก็แปลกใจที่เห็นเจ้ากําบังนั่งคุยกับ พัดชาในเรือนต้นไม้กันสองต่อสอง
เป็นเวลาค่อนข้างนาน เด็กสาวไม่รู้ความหมายเหมือนแววรัตน์ถึงเรื่องการเจรจา
เพื่อตกลงระหว่างพัดชากับกําบัง แต่ความรู้สึกภายในของลูกเนียงก็ไม่ผิดอะไรกับ
แววรัตน์นัก เพราะโดนคว้านโดนเฟ้นฟอนจนหมดเนื้อหมดตัว ด้วยมือของ
เจ้าผู้ชายกักขฬะคนนี้มาพอๆ กัน ครั้นเมื่อภาพของเจ้ากําบังเข้ามากระทบ
ทางตามันก็เกิดกระแสเข้าไปในหัวใจ ความคิด เกิดเป็นความรู้สึกที่ตนได้รับ
มันมีกระแสเสียวและปน ด้วยความเจ็บสยอง...

มันเป็นผู้ชายคนแรกที่เรียกเลือดของตัวออกมา มันกรีตออกมาด้วยเนื้อ
ซึ่งแทบไม่น่าเชื่อว่ามันคือเนื้อ เพราะมันแข็งราวกับยางที่อัดลมจนแน่น

ในช่วงเวลาที่มันบ่มจนเนื้อตัวของตนตื่นได้ที่ เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด
แม้จะเจ็บแต่ก็ยังเจียดความเสียว ความแปลกและมีจุดเร้าให้ตื่นตัว...มาสุดจะทน
เอาก็ตอนที่มันลืมตัว ใกล้จะถึงจุดจ่าย มันรุนแรง เสียจนอวัยวะภายนอกอวัยวะภายใน
แทบจะกระจุยกระจายไม่มีชิ้นดี เคยอยู่เป็นที่ก็เหมือนจะเคลื่อนย้ายไม่เป็นระเบียบ
เหมือนแมกไม้โดนพายุกระชาก ถอนรากถอนโคน เคลื่อนย้ายไม่อยู่เป็นที่เป็นทาง
แก้มเนื้อสะโพกเคยรวมตัวเบียดกระชับก็ดูจะโดนจับขยายออก สองขาเคยหนึบแน่น
ก็เหมือนโดนง้าง กระเปาะเนื้อหน้าอกเคยเต่งเต้าก็ดูจะอ่อนคล้อย ลาดไหล่เหมือนลู่ลง
มาด้วยแรงกระชาก มันเสียสูญ ไปหมด ไม่มีอะไรอยู่คงที่ อาศัยที่มีความสมบูรณ์เป็นทุนเดิม
และอยู่ในวัยที่เริ่มเบ่งสีสันความสาว มีความต้านทานได้สูง มีแรงรับได้มาก
จึงไม่เป็นที่น่าสงสัยสําหรับผู้อื่นที่ได้พบเห็น มีแต่ตนเองเท่านั้น ที่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง
เปลี่ยนไป ขาดความมั่นใจ...และเกิดการเรียกร้องโหยหาต้องการอยู่ลึกๆ

แต่ไม่ใช่กับกําบังอย่างแน่นอน เพราะไม่รู้มันยักษ์มารที่ไหนมาเกิด
ขนาดเตียงไม่มีชีวิตจิตใจยังส่งเสียงร้องเอี๊ยดอ๊าดๆ กระทั่งดังโครมครามๆ
มันเป็นเสียงที่ก้องอยู่ในหูไม่รู้หาย...
ทําไมหนอรองพลจึงไม่ทํากับตนอย่างกําบังบ้าง แม้ตนจะพยายามสื่อให้เขารู้
เท่าที่มารยาของตนจะมีในวัยนี้ แต่เขาก็ยังอ่านไม่ออกอยู่ดี ความบริสุทธิ์ใจ
ที่เขามีต่อลูกเนียงเป็นม่านปิดกั้น เขาหมายมั่นจะเปิดมันออกในวันวิวาห์
มันควรจะเป็นวันสําคัญอันมีความหมายซึ้งตรึงตราไปจนตลอดชีวิต
วันที่ได้เปิดเผยความเป็นสาวบริสุทธิ์ของลูกเนียงบนเตียงวิวาห์...
รองพลจึงอ่านสื่อของเด็กสาวไม่ออก ด้วยธรรมชาติ เมื่อมีหนึ่งแล้วก็ต้องมีสอง
ของมันรู้รสกันแล้วก็อยากจะลองอีก แต่ต้องไม่ใช่กําบังแน่ ร่างใหญ่หนาของมัน
ที่ผ่านสายตาเข้ามาดูน่ากลัว แม้จะเห็นแต่ไกล
แต่เคยแก้ผ้าอยู่กับมันมาแล้วสองต่อสอง
เนื้อในมันทะลุปรุโปร่งเข้ามาจนหมดไม่มีลืม

มันช่างน่ากลัวจริงๆ รองพลจะเป็นเหมือน ของมัน.. ไหมหนอ...

ลูกเนียงผละหน้าหลบจากหน้าต่างแม้จะมีผ้าบังตาอยู่ก็ตาม แต่สายตาของกําบัง
กับลายตองที่มองขึ้นมาเหมือนกับจะเห็นว่าตนแอบดูอยู่

ครู่หนึ่งประตูห้องของลูกเนียงก็เปิดออก เด็กสาวหันไปก็เห็นพัดชายืนมองด้วยใบหน้า
ที่ผิดกับตอนอยู่กับเจ้ากําบังอย่างตรงกันข้าม เป็นใบหน้าที่บอกความปรานี
ทําให้เกิดความอบอุ่น วางใจเมื่อได้อยู่ใกล้ชิด เพราะพัดชารักและถนอมเด็กสาว
เช่นเดียวกับรองพลลูกชายของตัว
เด็กสาวส่งยิ้มให้พัดชา....เพียงแวบเดียวพลัน รู้สึกร้อนวูบขึ้นมาทั้งตัว
เมื่อได้ยินเสียงพัดชาเอ่ยขึ้น มาว่า
"คุณพ่อให้ลายตองเอารถมารับกลับ บ้านแน่ะ"

พัดชาเอ่ยชื่อของลายตองคนเดียวก็จริง แต่มัน หมายถึงว่าต้องไปกับกําบังด้วย

เด็กสาวเบิกตากว้างมือกําแน่นโดยไม่รู้สึกตัว...

peddo

ไม่น่าเชื่อว่าพัดชาจะนึกไม่ถึงว่ากำบังฟาดลูกเนียงไปแล้ว ถึงยังไม่ได้ฟาดก็อาจโดนตอนขากลับ คงคิดว่าลายตองมาด้วย คงไม่เป็นไร เดี๋ยวได้ไปตากอากาศกินหอย ปู ปลาที่บางปูแน่

swss2511


1819

 ลายตองนี่ ฉลาดล้ำ เกิน  แก้เหลี่ยมปัญหาได้ตลอด   เพื่อ ผลประโยชน์ของตัวเอง แม้ จะต้องทำทุกอย่าง  ครอบครัวกองทุน นี่ หารู้ว่าเลี้ยง งูพิษไว้ใกล้ตัวจริง  ลูกเนียง ก็คงแก้เกมไม่ได้แน่     ใครจะช่วยเนียงให้รอดได้ ล่ะ  ส่วนแวว  ถึงจะรังเกลียด บัง แต่ ก็คิดถึงบทseXอันถึงใจอยู่ตลอด     มิแคล้วจะ  ติดใจมันจริงๆ      น่าเสียดาย เป็นมีการศึกษาสูง ใช้ ประโยชน์ ในการแก้ ปมปัญหานี้ไม่ได้เลย ต้องมาพ่าย ให้คน การศึกษาต่ำกว่า อย่างลายตอง  กับ กำบัง
กรุงเทพเป็นเมืองที่มีคนเหงา มากกว่าเสาไฟฟ้า