ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ดอนป้าไม้re-story 1

เริ่มโดย DEVIL WORLD, มีนาคม 22, 2022, 12:18:12 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

DEVIL WORLD

ดอนป้าไม้re-story » ปริศนาความลับ&เรื่องพิศวง

   (หลังจากที่หายไปนานและไม่ได้แต่งหรือลงผลงานให้ต่อเนื่อง วันนี้ก็ขอมาโพสต์ทิ้งไว้ก่อน และตัวเต็มจะตามมาแน่นอน และก็ขอขอบคุณทุกๆท่านที่ทวงถามและเฝ้าคอยติดตามอ่าน)

   



             
  เนื้อหาของEBOOKเรื่องนี้อ้างอิงสถานการณ์การเดินทางในป่า โดยสมมุติเนื้อเรื่องขึ้นมาให้อยู่ในยุคปัจจุบัน แต่!ผสมผสานเนื้อหาความเก่าของช่วงที่ป่ายังไม่ขึ้นเป็นป่าสงวนเข้ามา โดยในช่วงนั้นผู้คนสามารถเข้าไปท่องเที่ยวล่าสัตว์ได้ และเรื่องราวของเนื้อหาในเรื่องก็จะแฝงไปด้วยความเชื่อ..เก่า&ใหม่ และเรื่องลี้ลับต่างๆที่เหล่าผู้เดินป่าเคยเผชิญและนำมาเล่าเป็นเรื่องราวประสบการณ์ต่อๆกันมา!











« ดอนป่าไม้:1 มุ่งหน้าเข้าป่า_

    "จากเมืองใหญ่โตที่มีตึกราบ้านช่องสวยหรูและถนนราดยางอันทันสมัย สู่นอกเมืองไกลชนบทชิดชายแดนไทยพม่าเขตทางเหนือ ณ.เส้นทางฝุ่นทอดตัดลึกเข้าป่าซึ่งมีทั้งหลุมและบอขรุขระ สองข้างทางก็ล้วนมีแต่ต้นไม้ป่าหนาทึบปิดปกคลุมจนมืดครึ้มไร้แสงสอง เส้นทางนั้นทอดยาวลึกเข้าไปสุดสายตากว่า30กิโล ณ.ปลายทางสุดสายนั้นหมู่บ้าน "ดอนป่าไม้"

"ดอนป่าไม้...เป็นหมู่บ้านหนึ่งที่เป็นหมู่บ้านของชาวเขาชนเผ่าหนึ่งที่อยู่อาศัยมานานหลายร้อยปี ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่อยู่ในป่าลึกล้อมรอบไปด้วยภูเขาและห่างไกลจากความเจริญของยุคใหม่ อีกทั้งยังตั้งอยู่สุดเขตผืนป่ารอยต่อชายแดนไทยพม่า ผู้คนที่นี่ต่างอาศัยอยู่ตามแบบวัฒนธรรมของชาวบ้านป่า หากินกับป่าและอยู่กับป่าอย่างพึ่งพาอาศัยกัย จนวิถีชีวิตตลอดศตวรรษที่ผ่านมานั้นยังคงความล้าสมัยต่างกับโลกพายนอกที่ต่างก็เจริญรุ่งเรืองจนเกิดเป็นสังคมและเมืองใหญ่ และแม้ว่าดอนป่าไม้จะเป็นหมู่เล็กๆที่มีสมาชิกอยู่ทั้งหมู่บ้านแค่ 40-50 ชีวิต แต่ทุกคนในหมู่บ้านก็ยังเลือกที่จะใช้ชีวิตตามแบบบรรพบุรุษและรักษาวิถีชาวบ้านป่าเรื่อยไป...!


 


«  23,เมษายน,2565 // 15:33:21 am »

   ณ.ถนนที่ตัดทอดยาวผ่านเมืองและผืนป่ามุ่งหน้าสู่เขตภาคเหนือ รถ jeep วิ่งจากเมืองกรุงตามเส้นทางถนนราดยางในเมืิองสลับถนนฝุ่นดินเส้นยาวมาจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตของภาคเหนือ  ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวเขาที่อพยพออกมาตั้งหลักปักฐานอยู่ตามสันเขาตีนดอย และเป็นหมู่บ้านที่กำลังเจริญเติมโตไปกับสังคมสมัยใหม่ หมู่บ้านนี้ชื่อว่า..ศรีอุดรฯ  ณ.ที่นี้เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่หน้าเส้นทางที่ตัดลึกทอดยาวเข้าไปในป่า ซึ่งเป็นเส้นทางสายเดียวที่จะนำพาไปจนถึงหมู่บ้าน...ดอนป่าไม้  ณ.ที่บ้านหัวหน้าหมู่บ้านศรีอุดร รถ jeep ลายพรางเขียว ได้เลี้ยวเข้ามาจอดตรงที่ลานหน้าบ้าน ซึ่งในเวลานั้นก็เข้าสู่ช่วงเวลาประมาณ 15:30 เศษๆ ซึ่งเวลานั้นพอรถดังกล่าวได้เลี้ยวเข้ามาจอดก็พอดีกับที่มีชายตัวอ้วนๆไม่สูงไม่ต่ำ อยู่ระดับ160เศษๆเดินออกมาพร้อมกับยกมือสวัสดีและเอ่ยกล่าวคำทักทายอย่างยินดี..?

     " โอ้ววว...สวัสดีครับ...นายพนม...เป็นไงมาไงครับนาย...เอ้าๆเข้ามานั่งในบ้านก่อนนาย.." เสียงเอ่ยกล่าวจากหัวหน้าหมู่บ้านศรีอุดร ที่ได้เอ่ยกล่าวทักทายผู้ที่อยู่บนรถที่กำลังจะก้าวลงมา!
    แลผู้ที่ขับรถjeep willysเข้ามาจอดยังหน้าบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านศรีอุดรและได้รับคำกล่าวทักถามจากเจ้าตัวอย่างเป็นมิตรนั้น..คือ พนม ชายอายุ50เศษๆ อดีตนายทหารยศพันเอก ผู้ที่เคยปฏิบัติงานประจำอยู่ ณ.เขตภาคเหนือ มิตรสหายเก่าของหัวหน้าหมู่บ้านศรีอุดร พร้อมทั้งคณะที่นั่งอยู่บนรถ อันมี มานพ ชายอายุ 25 ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของพนม และ ชาตรี ชายอายุ25 เพื่อนของมานพ อีกทั้งสองสาวที่ดูจะสะดุดตาของหัวหน้าหมู่บ้านเป็นพิเศษ คือ สาวิตรี หรือ สา หญิงสาวอายุ24 หุ่นสะบึ้ม อวบอั๋น หน้าอกหน้าใจใหญ่โต แฟนสาวของชาตรี และคนสุดท้าย รัตน์จิรา หรือ บลู หญิงสาววัย24 หุ่นอวบแน่น หน้าอกใหญ่โตไม่แพ้สาวิตรี  แฟนสาวของมานพ
   


     "อืมม...สวัสดี...ผู้ใหญ่สี...สบายดีไหม..." คำเอ่ยกล่าวตอบกลับจากพนม ที่ตอบรับคำกล่าวทักของหัวหน้าหมู่บ้านศรีอุดร พร้อมกับเดินเข้าไปนั่งในบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านพร้อมคณะ


  "สบายดีครับนาย...ว่าแต่นายพนมเถอะครับ...เป็นไงมาไงครับ...ถึงได้มาถึงนี่.." คำเอ่ยถามจากหนัวหน้าหมู่บ้านศรีอุดร หรือ ผู้ใหญ่สี ในนามที่พนมนั้นรู้จักที่ได้เอ่ยถามพนม หลังจากที่พนมและคณะได้เข้ามานั่งในบ้าน..!

ซึ่งผู้ใหญ่สีนั้นก็ได้เอ่ยถามพนมอย่างสงสัยที่ในเย็นวันนี้พนมนั้นได้ขับรถมาจอด ณ.ตรงที่หน้าบ้านพร้อมคณะอีกทั้งสี่คน โดยที่ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาราว10ปีกว่าๆตั้งแต่พนมย้ายกลับไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครับที่เมืองกรุงนั้น ผู้ใหญ่สีก็ไม่ได้ติดต่อลับพนมอีกเลย แม้ว่าในอดีตที่ผ่านมาในตอนพนมยังประจำการอยู่ที่เขตภาคเหนือ พนมและผู้ใหญ่สีจะเคยเข้าท่องเที่ยวป่าล่าสัตว์กันมานับหลายครั้ง แต่ตั้งแต่ที่พนมย้ายกลับเมืองกรุง ผู้ใหญ่สีก็ขาดการติดต่อจากพนมไปเลยตลอดสิบกว่าปี จนถึงในวันนี้ที่อยู่ๆพนมก็ขับรถjeep คู่ใจมาจอดอยู่หน้าบ้าน..?

    "ก็...นี่มันก็สิบกว่าปีแล้วนะ...ฉันมันก็ไม้ใกล้ฝั่งเข้าทุกที...อยู่ๆมันก็คิดถึงช่วงเวลาเก่าๆขึ้นมา...ฉันก็เลยนึกถึงผู้ใหญ่สีนี่ละ....มันนานแล้วที่ฉันกับผู้ใหญ่ไม่ได้เข้าป่าด้วยกัน...เลยคิดว่าในตอนนี้ที่ยังมีแรงอยู่...เลยอยากจะเข้าท่องเที่ยวป่ากับผู้ใหญ่อีกสักครั้ง...เป็นครั้งสุดท้าย..." เสียงเอ่ยกล่าวอย่างผู้มีเป้าหมายและแนวแน่ของพนม ที่เอ่ยบอกกับผู้ใหญ่สีในสิ่งที่แกสงสัยและสิ่งที่พนมตั่งใจไว้

      "โอ้ววว...ไอ้สีก็นึกว่าเรื่องอะไร..ที่ทำให้นายพนมเดินทางมาถึงนี่...ที่แท้ก็คิดถึงช่วงเวลาเก่าๆที่ได้เข้าไปเดินท่องในผืนป่ากับไอ้สีนี่เอง...." ผู้ใหญ่สีเอ่ยกล่าวกับพนมอย่างเข้าใจและยินดีที่ได้ยินจุดประสงค์ของพนมที่ได้ขับรถพร้อมคณะถ่อมาจนถึงหมู่บ้านศรีอุดรแห่งนี้..!

      "อืม...ฉันก็อยากให้มันเป็นครั้งสุดท้ายของฉันน่ะผู้ใหญ่...และครั้งนี้ก็อยากจะให้พวกลูกๆของฉันมันเขี้ยวอยากจะมาๆ.....ได้มาท่องเที่ยวเปิดประสบการณ์ใหม่ๆดูบ้าง..." พนมเอ่ยบอกกับผู้ใหญ่สีอย่างอธิบาย ซึ่งนอกจากการตั่งใจกลับมาเที่ยวป่าล่าสัตว์ในครั้งนี้ของพนมที่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วนั้น ชาตรี ผู้ที่ชื่นชอบในเรื่องราวของอดีตที่ผ่านมาของพนม ยังชักชวนให้มานพเพื่อนสนิทนั้นคะยั้นคะยอให้พนมหรือพ่อนั้นพาเข้าไปท่องเที่ยวล่าสัตว์ด้วย ซึ่งนั้นจึงเป็นเหตุที่ในครั้งนี้พนมถึงได้มาพร้อมคณะลูกๆ..!!

       "อืออ...งั้นก็ได้เลยนาย...ถ้านี่เป็นจุดประสงค์ของความต้องการของนาย...ไอ้สีก็จะพานายไปรื้อฟื้นเรื่องราวเก่าๆอีกครั้ง..." ผู้ใหญ่สีเอ่ยกล่าวอย่างยินดีและดีใจที่จะได้พาพนมกลับเข้าป่าล่าสัตว์ด้วยกันอีกครั้ง..!!

      หลังจากคุยกับจนเข้าใจและเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาสิบกว่าปี จนเมื่อถึงช่วงที่แสงของพระอาทิตย์ตกลับขอบฟ้า  พนมและมานพ รวมถึงชาตรีและสากับบลู ก็ได้มานั่งรวมกันอยู่รอบกองไฟหน้าบ้านผู้ใหญ่สี ซึ่งในเวลานี้เองที่ทางผู้ใหญ่สีนั้นได้เดินออกมาจากในบ้านพร้อมกับปืนกระบอกใหญ่สองกระบอก นั้นคือปืนแก๊ปลำกล้องยาวครายกับปืนคาบศิลา และปืนลูกซองเดี่ยวตราเสือที่อดีตนั้นพนมเป็นคนยกให้ผู้ใหญ่สี!




   แน่นอนว่าการที่ผู้ใหญ่สีถือปืนทั้งสองกระบอกนี้ออกมานั้น มันคือการที่ผู้ใหญ่สีนั้นนำมันออกมาเพื่อเช็คทำความสะอาดตัวปืนและลำกล้อง เพื่อว่าเวลาใช้จะได้ไม่พบเจอกับปัญหาที่อาดทำให้การยิงนั้นติดขัด!

    "โอ้ว...นี่..ปืนกระบอกนี่ยังอยู่อีกหรอเนี้ย..." พนมเอ่ยกล่าวขึ้นเมื่อเห็นอดีตปืนของตัวเองที่ยกให้กับผู้ใหญ่สีเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งมันทำให้พนมนั้นนึกย้อนไปถึงเรื่องราวเก่าๆที่ผ่านในช่วงที่พนมนั้นยังใช้มันอยู่ และมันก็เป็นปืนกระบอกแรกที่พนมนั้นใช้ยิงสัตว์ในครั้งแรกที่เข้าป่าไปกับผู้ใหญ่สี!

     "ยังอยู่สินาย...นายพนมอุส่ายกให้ไอ้สี...ไอ้สีก็ต้องเก็บไว้อย่างดีสินาย...ไอ้สียังจำได้...ปืนกระบอกนี้เป็นกระบอกแรกที่นายเอาเข้าไปพน้อมกับไอ้สี....และยังเป็นปืนที่นายใช้ยิงหมู่ป่าตัวแรกอีกด้วย..." ผู้ใหญ่สีเอ่ยกล่าวลำลึกถึงความหลังของเรื่องราวในอดีตของปืนลูกซองกระบอกที่อยู่ในมือ

        "อือ...ฉันก็คิดไม่ผิดที่ยกให้ผู้ใหญ่...ว่าแต่กระสุนน่ะ...ยังมีอยู่รึป่าว..." พนมเอ่ยถามผู้ใหญ่สีอย่างยิ้มแย้มเล็กน้อย ที่เห็นว่าสภาพของปืนที่ยกให้ผู้ใหญ่สีนั้นยังคงดูใหม่ไม่ต่างจากเมื่อสิบกว่าปีก่อนมากนัก

      "ก็...พอเหลืออยู่หลายสิบนัดอยู่นาย...ไอ้สีก็นานใช้ยิงสัตว์ที...ส่วนมากจะเช็ดแล้วเก็บสะมากว่า..." ผู้ใหญ่สีเอ่ยบอกกับพนม ขนะที่มือก็กำลังลูบเช็ดทำความสอาดกระบอกปืนทั้งสองกระบอก

       "อืมม...ฉันว่าลูกมันคงเก่าแล้วละ...ทิ้งไปเถอะ...แล้วลุกไปเอาลูกใหม่ๆที่ ท้ายรถฉันสิ..." พนมเอ่ยบอกกับผู้ใหญ่สี ซึ่อพอพนมบอกอย่างนั้น ผู้ใหญ่สีก็วางปืนที่กำลังทำความสะอาดลงกับแคร่ไม้ แล้วลุกเดินไปเปิดผ้าใบที่ปิดคลุมท้ายรถjeepของพนม ก่อนที่ผู้ใหญ่สีจะตาโตและคว้าเอากล่องกระสุนปืนลูกสองพร้อมทั้งขวดเหล้าที่อดีตนั้นเคยคุ้นเคย!!

      "โอ้นายย...นายพกบรั่นดี(Brandy)มาด้วยรึนาย..." ผู้ใหญ่สีเอ่ยถามอย่างฉงนใจและรู้สึกตื่นเต้นที่ได้พบขวดเหล้าบรั่นดีที่ท้ายรถของพนม

     "อืมม...ฉันรู้น่าว่าผู้ใหญ่สีชอบ...แต่จิบเบาๆพอนะ...พรุ้งนี้เราต้องเดินทางเข้าป่ากัน..." พนมเอ่ยบอกกับผู้ใหญ่สี ก่อนจะย้ำว่าให้ผู้ใหญ่สีนั้นแค่จิบบรั่นดีเบาๆพอให้ชุ้มคอพอ เพราะด้วยรู้จักสนิทสนมในอดีตที่ผ่าน'ถ้าพนมไม่เอ่ยบอกย้ำ ผู้ใหญ่สีก็อาจจะยกดื่มจนเมาก็เป็นได่!
 

     ซึ่งพอผู้ใหญ่สีได้กล่องกระสุนลูกซองมาอยู่ในมือพร้อมกับเหล้าสีส้มทองบรั่นดี ผู้ใหญ่ก็ทำการเปิดฝารินเหล้าบรั่นดีนั้นใส่แก้วเล็กๆที่ผู้ใหญ่สีนั้นใช้ดื่มเหล้าต้มเป็นประจำ!

     "อือออ...อ้าาา....รสชาติของมันยังสุดยอดจริงๆเลยนาย....อูวววว...ไอ้สีชุ้มมมมคอจริงๆ..." ผู้ใหญ่สีเอ่ยกล่าวบอกอธิบายถึงความรู้สึก หลังยกแก้วเป๊กหรือแก้วซ็อตกระดกบรั่นดีลงคอ..!

    พอได้กระกดกบรั่นดีลงคอไปชักช๊อต ผู้ใหญ่สีก็ต้องยกรินบรั่นดีลงแก้วดื่มอีก2ถึง3ช็อต เพื่อดับความกระหายอยากที่ไม่ได้ลิ้มรสของมันมานาน ซึ่งหลังจากนี้เองที่ทางมานพและกลุ่มเพื่อนก็จ่างนั่งมองดูกิริยาอิริยาบทที่พนมผู้เป็นพ่อและผู้ใหญ่สีอดีตคู่ขาท่องเที่ยวป่าของพนม  ซึ่งมันก็ทำให้พวกของมานพนั้้นได้เห็นถึงอัธยาศัยที่ดีต่อกันระหว่างพนมกับผู้ใหญ่สี ที่ในอดีตนั้นคงผ่านร้อนผ่านหนาวในป่ามาด้วยกัน!

    "อือ...นาย...เข้าป่าครั้งนี้นายอยากจะไปทางไหนดีครับ...." ผู้ใหญ่สีเอ่ยถามพนม ถึงเส้นทางที่พนมนั้นจะพาลูกๆเข้าไปท่องป่าล่าสัตว์!

     "อืออ...เรื่องนั้นน่ะ...ถามเจ้าพวกนั้นดูสิว่าอยากจะไปไหน.." พนมหันมาบอกกับผู้ใหญ่ พร้อมกับส่งสายตาบอกให้ไปถามทางมานพและกลุ่มเพื่อน

       "อือออ...งั้นนายน้อยมานพ...นายกับพวกเพื่อนๆอยากจะไปที่ไหนกันครับ...นาย.." ผู้ใหญ่สีหันมาถามมานพที่นั่งมองนั่งฟังพนมและผู้ใหญ่สีอยู่

        "อืม..ลุงสี..เรียก...นพก็พอครับ....เออ...คือ...พวกเราอยากเดินรอยตามคุณพ่อน่ะครับลุงสี...อยากไปตามเรื่องราวเก่าๆที่พ่อเขียนไว้ในสมุดโน๊ต....ทั้งช่องหินดินดำ...เนินภูผาเขียว....และน้ำตกชมจันทร์...ที่ๆพ่อและลุงสีเคยไปมาด้วยกันน่ะครับ..." มานพเอ่ยบอกกับผู้ใหญ่สี ซึ่งมันก็เป็นจุดประสงค์ที่ชาตรีและมานพนั้นได้ตกลงกันไว้ ว่า...เข้าป่าในครั้งนี้แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกของทั้งสองที่เข้าท่องเที่ยวป่า และเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่จะติดตามพนมเข้าป่าเช่นกัน นั้นจึงทำให้จุดหมายที่ทั้งสองนั้นอยากไป คือสถานที่พนมนั้นได้บันทึกลงไว้ในสมุดโน๊ต อีกทั้งด้วยความที่อีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะถึงวันคล้ายวันเกิดของพนม นั้นจึงเป็นเหตุที่มานพนั้นเลือกที่จะอยากให้พ่อกลับเข้าป่า ได้สัมผัสกับบรรยากาศเก่าๆในอดีตเป็นครั้งสุดท้าย..!
     
     "ออ..ครับ...นายนพ...ว่าแต่นายกับเพื่อนๆอยากไปทางไหนกันครับ....เพราะถ้าจะไปเนินภูผาเขียว...เราร่องแพไปได้....ส่วนลานหินดินดำกับผาชมจันทร์ต้องเดินเข้าป่าเท่านั้น.." ผู้ใหญ่สีกล่าวบอกกับมานพและบรรยายถึงเส้นทางที่จะไปยังแต่ละสถานที่!

       "พวกเราต้องลงกันว่าจะเดินตามรอยคุณพ่อครับ...เลือกเส้นทางเดินผ่านเข้าป่าดีกว่าครับ...จะได้สัมผัสกับบรรยากาศของธรรมชาติ.." มานพเอ่ยบอกกับผู้ใหญ่สี ซึ่งก็เป็นอันตกลงว่าทั้งคณะของพนมเลือกที่จะเดินเท้าท่องเที่ยวเข้าไปในป่า แทนที่การใช่ทางลัดโดยร่องแพไปตามแม่น้ำ!

    "เอา....นพ...พาเพื่อนๆไปผักผ่อนได้แล้ว...พรุ้งนี้เราจะเข้าป่ากัน..." พนมเอ่ยบอกกับมานพผู้เป็นลูกชาย ก่อนที่มานพและชาตรีกับสองสาว สา&บลู จะพากันลุกไปยังที่พักผ่อน ภายในบ้านของผู้ใหญ่สี.!!

      ในเช้าของวันที่24รถjeepของพนมก็เต็มไปด้วยข้าวของที่ถูกจัดเตรียมขึ้นไว้ที่ท้ายรถ และในช่วงเวลาสายพนมพร้อมผู้ใหญ่บ้านและคณะก็ได้นั่งรถลุยทางดินโคลนเข้าไปยังหมู่บ้าน ดอนป่าไม้ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการท่องป่าครั้งนี้!..


   


     "โห...นี้ใช่ทางไหมเนีย..ทำไมมันมีแต่หลุม..โอ้..โอ้ยย..." เสียงบ่นพึมพำของสาที่เอ่ยบ่นหลังรถวิ่งลุยตามทางเข้ามาในป่า

   
       "ก็นี่มันทางในป่านะคะ...น้องสา...พี่ก็บอกแล้วให้รออยู่ที่กรุงเทพ...ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมาลำบากกับพี่.." ชาตรีเอ่ยบอกกับแฟนสาว ซึ่งในระหว่างนี้ทุกคนที่นั่งอยู่บนรถก็ต่างพากันเกาะรถแน่น ด้วยความที่หนทางวิ่งนั้นมีแต่หลุ่มบ่อโคลน

        "อืออ...แต่ในป่านี่ก็น่ากลัวพอควรเลยนะคะ..มันมืดๆลกๆยังไงไม่รู้..." เสียงใสๆของบลูแฟนสาวของมานพ ที่เอ่ยกล่าวบอกบรรยายหลังขากที่สาและชาตรีเอ่ยคุยกัน

    "ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะบลู...บรรยากาศของป่ามันก็แบบนี้...ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก...อีกไม่นานเราคงได้สัมผัสและได้เห็นอะไรที่มันสวยงานเหมือนที่คุณพ่อเคยเห็นแหละ..." มานพเอ่ยบอกกับแฟนสาย พรางสายตาก็มองตรงไปข้างหน้า มองเส้นทางดินโคลนที่มีร่องรอยของการเดินทางเข้าออก..!

      ในช่วงเวลาเที่ยงตรง รถคณะเดินทางของพนมก็ได้เดินทางเข้ามาถึง ณ.หมู่บ้านดอนป่าไม้  และพนมก็ได้ขับรถไปจอดที่ลานกว้างกลางหมู่บ้าน ก่อนที่ในนาทีต่อมาจะมีชาวบ้านและผู้เฒ่าที่เป็นที่นำถือของชาวบ้านดอนป่าไม้จะเดินมาทักทายพนม ซึ่งพนมก็ก้มหัวยกมือไหว้อย่างอ้อนน้อมด้วยความนับถือ เพราะพนมนั้นรู้ดีว่าผู้ที่เดินมาทักทายตนนั้นคือพ่อเฒ่าหมอผีประจำหมู่บ้านดอนป่าไม้!


   "สวัสดีครับ...พ่อเฒ่า..." พนมเอ่ยกล่าวสวัสดีพ่อเฒ่าหมอผีอย่างอ่อนน้อมและนำถือ

  "อืออ...วัสดี..วัสดี...คุณพนม...ผมก็นึกว่าไคร...โอ๊อออ...ไม่เจอกันตั้งนาน...มีเรื่ออะไรกันเลอะ...ถึงได้เข้ามาถึงนี่..." เสียงกล่าวอย่างแหบแห่งของเฒ่าหมอผีที่เอ่ยกล่าวกัยพนม

   "คิดถึงกลิ่นอายของป่าครับผู้เฒ่า...เลยอยากกับเข้ามาท่องเที่ยวป่าอีกสักครั้งน่ะครับ..." พนมเอ่ยตอบพ่อเฒ่าบอกอธิบายถึงสาเหตุที่นั่งรถเข้ามายังดอนป่าไม้

     "โอ้...งั้นเลอะๆ...งั้นไปบ้านหัวหน้าหมู่บ้านกันดีกว่าไป...." ผู้เฒ่าเอ่ยบอกกับพนมพร้อมกับเดินนำพนมและคณะไปยังกระท่อมของหัวหน้าหมู่บ้าน!

    พอได้รับการต้อนรับจากผู้เฒ่าและชานบ้านดอนป่าไม้ พนมและคณะก็ได้เดินตามผู้เฒ่าไปยังกระท่อมบ้านหัวหน้าหมู่บ้าน และเมื่อมาถึงทางหัวหน้าหมู่บ้านก็ได้ลงมาต้อนรับพนมอย่างมิตรสหาย ก่อนจะชวนพนมและคณะไปนั่งคุยกันที่แครไม้!

   
    "เป็นไงมาไงครับนายพนม...หายหน้าหายตาไปนานเลย..." เสียงเอ่ยถามจากหัวหน้าหมู่บ้านดอนไป้ไม้ ที่เอ่ยถามพนมพร้อมกับมองดูคณะของพนมที่มีทั้งหนุ่มและสาว

     "ก็อยากกลับมาหาป่าน่ะ...มอแล....อยากพาลูกมาเที่ยวชมความอัศจรรย์ความร่มรื่นของผืนป่า" พนมเอ่ยบอกกับหัวหน้าหมู่บ้านดอนป่าหรือมอแลที่พนมรู้จักและคุ้นเคย

      "อ่อ..ครับ...แล้วนายพนมอยากได้อะไรรึต้องการอะไรมั้ยครับ...ผมจะได้ให้คนจัดหามาให้...ก่อนที่นายพนมจะเข้าป่าไป..."  มอแลเอ่ยถามพนมอย่างยินดีที่จะช่วยเหลือหาของที่พนมต้องการต้องใช้ก่อนเดินทางเข้าป่ามาให้

      "อือ...คือ...ฉันต้องการพรานป่า..และก็ลูกหาบน่ะ...มอแล..." พนมเอ่ยบอกความต้องการแก่มอแล ซึ่งพอพนมพูดถึงพรานป่า มอแลก็มีท่าทีคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบกลับพนมไป!

 
      "พราน?...สงสัยว่าพรานที่นายพนมต้องการจะไม่อยู่สะแล้ว..." มอแลเอ่ยตอบพนมด้วยท่าทางที่ครุ่นคิด คล้ายกับว่าจะไม่สามารถหาพรานที่พนมต้องการได้

       "อ่าว..ทำไมละมอแล...พรานมอแจไปไหนละ.." พนมเอ่ยถามมอแลอย่างสงสัย เมื่อพรานที่ชื่อมอแจที่อดีดเคยนำทางตนเข้าป่านั้น เหมือนจะไม่อยู่ตามที่มอแลบอก

      "เจ้ามอแจน้องผมมันตายแล้ว..นายพนม..เมื่อไม่กี่สิบวันก่อน..." มอแลตอบอย่างโศกเศร้าที่พรานมอแจผู้เป็นน้องนั้นได้จากไป


      "หืออ...มอแจเป็นอะไรหรอ..มอแล..ทำไมถึงเสีย.." พนมเอ่ยถามอย่างเห็นใจและนึกสงสัยว่าทำพรานที่ชำนาญการเดินป่าและเก่งกาจด้านการล่าสัตว์ถึงได้จากไปก่อนพี่ชายอย่างมอแลที่อายุอย่างเข้า50เศษๆเหมือนกับพนม

 
     "ไม่มีอะไรหรอกครับ...มันหมดอายุขัยของมันน่ะ..." มอแลเอ่ยกล่าวอย่างครุ่นคิด และยังเอายกล่าวเหมือนกับไม่อยากบอกอะไรสักอย่างแลละปิดบังมันเอาไว้


     "อ่ออ...งั้น...ที่หมู่บ้าน...มีพรานคนอื่นอีกไหมมอแล..." พนมเอ่ยถามมอแลต่อ เพราะถึงแม้จะไม่ได้พรานมอแจสหายเก่านำทาง แต่พนมก็ยังต้องการพรานคนอื่นมานำทางแทน

      "อือ...มีครับนายพนม...เดี๋ยวจะให้ไปตามมาให้..." มอแลเอ่ยกล่าวบอกพนม ก่อนที่มอแลและพนมจะเอ่ยคุยทักถามกันถึงช่วงเวลาที่พนมนั้นหายไป!


    ในเวลานั้นเอง ทางมานพและบลู...รวมถึงชาตรีและสาก็ได้ขอตัวแยกออกมาเดินเที่ยวชมหมู่บ้านของชาวดอนป้าไม้ ซึ่งกลุ่มของมานพก็เดินเที่ยวถ่ายภาพเก็บภาพความงานของอารยธรรมสมัยเก่าของชาวบ้านที่ยังคงเหลืออยู่ให้เห็นเก็บไว้ จนเมื่อผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆผู้ใหญ่สีก็ได้มาเอ่ยเรียกให้มานพและกลุ่มเพื่อนไปรวมตัวกันที่บ้านมอแล และเมื่อมานพกลับมาถึงที่กระท่อมของมอแล เขาก็พบกับชายคนหนึ่งที่หิ้วปืนยาวสพายหลัง หน้าตาเข้มขึมดุดันหน้ากลัว!


    "อ่า...นี่ชอลือ...พรานนำทางของพวกเรา..." เสียงเอ่ยบอกของพนมที่เอ่ยบอกกับมานพและกลุ่มเพื่อน ซึ่งพรานที่ว่านั้นก็ดูเป็นเป็นหนุ่มแต่ทว่ารูปร่างและบุคลิกกลับเป็นคนที่ดูน่ากลังอึมครึมไปด้วยเส้นผมยาวลุงลัง!



ทางพนมแนะนำว่าชอลือคือพรานที่จะมานำทางเข้าป่า ด้านมานพและคณะก้มหัวพยักหน้าทักทายอย่างเป็นมิตร แต่ทว่าชอลือนั้นกลับมีท่าทีที่เงียบขึมเหมือนกับว่าไม่ชอบใจหรือไม่สบอารมณ์อะไรสักอย่างกับกลุ่มของมานพและเพื่อน แต่ถึงกระนั้นชอลือก็ไม่ได้ว่าอะไรหากแต่หันไปพูดกับมอแลและเดินจากไป โดยทิ้งท้ายว่าให้กลุ่มของพนมรอเขาที่ท้ายหมู่บ้านพรุ่งนี้เช้า!
   
    "เจ้าชือลือมันก็เป็นแบบนี้แหละ...อย่าคิดมากกันนะนายพนม...เข้าชอลือมันเป็นคนบ้าๆเงียบๆแบบนี้มาตั่งแต่ไหนแต่ไรแล้ว...." เสียงเอ่ยบอกของมอแล ที่เอ่ยบอกกับคณะของพนมหลังมองเห็นว่าพวกลูกๆหลานๆพนมนั้นมีท่าทีแปลกใจกับพรานชอลือ

    "อือ...ฉันเข้าใจมอแล..." พนมเอ่ยกล่าวตอบมอแล ซึ่งตัวพนมนั้นรู้ดีว่าชอลือนั้นคือไครเป็นคนยังไง และในอดีตนั้นพนมก็เคยได้เห็นชอลือเมื่อหลายสิบปีก่อนว่าเป็นคนเงียบยังไงก็ยั่งงั้น!

    "อืออ...งั้นคืนนี้ก็พักที่หมู่บ้านกันก่อน...พรุ่งนี้ค่อยเดินทางกัน....เดี๋ยวผมจะให้คนจัดเตรียมที่พักให้นะ..นายพนม...ส่วนข้าวของที่ต้องใช้ในป่ากับลูกหาบ...ผมจะจัดเตรียมไว้ให้พร้อมทันพรุ่งนี้เช้า.." มอแลเอ่ยบอกกับพนมและคณะเดินทาง พร้อมกับบอกใช้ชาวบ้านจำนวลหนึ่งไปจัดเตรียมกระท่อมและข้าวของที่ใช้ในระหว่างเดินทางให้คณะของพนมพัก!

   
     "อืออ...งั้น...นพ..ชาตรี...แล้วก็สองสาว...เอาของไปเก็บบนกระท่อมที่พักได้เลยนะ...ส่วนถ้าจะเข้าห้องน้ำก็ธรรมชาติในป่าเลยนะ...แล้วก็ที่อาบน้ำก็โน้นเลย...น้ำตกลำธารท้ายหมู่บ้าน..." เสียงเอ่ยกล่าวของพนมที่หันมาเอ่ยบอกกับมานพลูกชายและกลุ่มเพื่อน ซึ่งพนมนั้นก็ได้ชี้แจงถึงสถานที่ปลดทุกและสถานที่ๆจะใช้อาบน้ำที่เป็นชั้นหินน้ำตกเล็กไม่สูงและไม่ใหญ่มาก แต่น้ำก็ใสสะอาดพอที่จะใช้ดื่มและใช้อาบ!

    พอได้ที่พักที่มอแลสั่งชาวบ้านให้จัดเตรียมให้ ทางคณะของพนมก็ถือกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นไปเก็บเป็นการชั่วคราวโดยฝั่งของพนม...มานพและชาตรีนั้นได้กระท่อมหลังใหญ่ ส่วนสองสาวบลู..สาก็ต้องแยกไปนอนอีกกระท่อมข้างๆกับกระท่อมของพนม ซึ่งมันก็เป็นผลมาจากความเชื่อเรื่องผีๆของชาวบ้านดอนป่า จึงจำเป็นต้องให้บลูและสานั้นนอนแยกกับพวกผู้ชาย เพื่อกันอาเพศที่อาจทำให้ผีบรรพบุรุษของหมู่บ้านหรือผีที่ชาวบ้านนับถือไม่พอใจ!

ตกเย็นของวันทางมอแลก็ได้จัดการก่อกองไฟและทำการฉลองต้อนรับพนมและคณะ ซึ่งมันก็ทำให้หมู่บ้านดอนป่านั้นครึกครื้นไปด้วยการละเล่นของชาวบ้านและในระหว่างงานเลี้ยงนั้นเอง ทางสาและบลูสองสาวที่นั่งคู่กันอยู่บนท่อนไม้มุมนึงของกองไฟก็ได้เอ่ยคุยกัน!


   "บลู...เมื่อกลางวันแกเห็นหน้าพรานที่จะนำเราเข้าป่าป่าวว่ะ..." สาเอ่ยถามบลูเพื่อนสาวอย่างสงสัยและครุ่นคิด

   "อืออ..ก็เห็นนะ..." บลูเอ่ยตอบกลับสาเพื่อนสาว

    "แล้ว..แกสังเกตุป่าวว่ะ..ว่าพรานบ้านั้นน่ะ..จ้องมาที่เราสองคน..." สาเอ่ยบอกกับบลูและครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตนนั้นสังเกตุเห็น

    "อือ...เขาอาจจะเป็นคนอย่างนั้นก็มั่งสา...ฉันคิดว่ามันคงเป็นบุคลิคของพรานคนนั้นอยู่แล้ว...เงียบๆ..ขึมๆ...น่ากลัว.." บลูเอ่ยบอกกับสาอย่างไม่คิดมาก เพราะเธอคิดว่าพรานชอลือคงเป็นคนไม่ชอบคุยและน่าจะเป็นคนรักสันโดษกินง่ายอยู่ง่ายตามประสาพรานป่า

      "อือ..แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะแก...ฉันว่าสายตาพรานนั้นมันดูหื่นๆยังไงไม่รู้ว่ะแก..." สาเอ่ยกล่าวบอกกับบลูต่อ

      "คิดมากน๊ะสา...ไม่มีอะไรหรอก...แกก็เห็นคนที่นี่เป็นมิตรจะตาย..." บลูพยายามกล่าวให้สานั้นลดความคิดมากนั้นลง

      "ก็อาจจะใช่สำหรับคนอื่นๆ...แต่กับพรานบ้าเนี้ย...มันดูน่ากลัวว่ะแก.." สาบอกบลูต่อ แม้ว่าบลูพยายามเอ่ยบอกไม่ให้เธอคิดมาก

       "อย่าไปคิดมากเลยแก...นี่ก็ดึกแล้ว..เราไปพักผ่อนกันดีกว่า...พรุ้งนี้ต้องเดินทางกัน..." บลูเอ่ยบอกกับสา ก่อนที่จะวางแก้วไม้ไผ่ลงที่พื้นและลุกเดินไปยังกระท่อมที่ถูกจัดไว้เป็นที่พักให้กับสาและบลู ซึ่งอยู่ติดกับกระท่อมของมานพและชาตรี!

    ตกดึกคืนนั้นในช่วงที่ทุกคนกำลังหลับสนิทและเป็นช่วงที่ความสงัดเงียบเข้ามาปกคลุมผืนป่าและไร้เสียงของผู้คน จะมีก็แต่เสียงของสัตว์ป่าจิ้งหรีดเรไรที่ส่งเสียงร้องกังวานราวกับเพลงกล่อมนอน ในเงามืดที่หน้ากระท่อมของบลูและสาก็ได้ปรากฎร่างดำทะมึนร่างหนึ่งยืนจังกล้าอยู่ตรงหน้ากระท่อม และร่างดำทะมึนนั้นก็ได้เดินย่างกรายขึ้นมาบนกระท่อม ก่อนที่ประตูของกระท่อมจะเปิดออกอย่าแผ่วเบาโดยที่ร่างดำทะมึนนั้นไม่ได้ดึงเปิด หากแต่ประตูกระท่อมมันเปิดออกเองอัตโนมัติราวกับว่ามันเปิดเพื่อให้ร่างดำทะมึนนั้นเข้ามาในกระท่อม และก็แน่นอนว่าพอประตูกระท่อมมันเปิดออก ร่างดำทะมึนก็ได้เดินย่างกรายเข้ามาข้างในและหยุดยืนตรงปลายเท้าของสากับบลู และถึงแม้ว่าความมืดของคืนดึกสงัดจะกลืนกินไปทั่วผืนป่าและหมู่บ้าน แต่ทว่าในความมืดนั้นสายตาของร่างดำทะมึนกับส่องประกายแดงฉานสว่างราวกับแสงไฟ และสายตานั้นก็จ้องมองมาที่ตัวของสาและบลูนอนหลับไร้สติอย่างน่ากลัว

แล้วในวินาทีต่อมาร่างดำทะมึนนั้นก็ได้ย่างกรายไปนั่งลงระหว่างกลางของบลูและสาที่นอนอยู่ใกล้กัน ก่อนที่ร่างดำทะมึนนั้นจะยื่นมือไปวางประทับนิ้วลงที่หน้าผากของทั้งสองสาว พร้อมกับเอ่ยพึมพำอย่างแผ่วเบา แล้วในเวลาถัดมาหลังจากที่ร่างดำทะมึนนั้นเอ่ยพึมพำบางอย่าง ร่างของสาและบลูก็ได้ลืมตาตื่นพร้อมกันและลุกขึ้นมานั่งโดยที่ไม่ได้มีท่าที่ตื่นตกใจร่างดำทะมึนนั้นแต่อย่าง หากแต่ว่าเป็นการลุกนั่งด้วยท่าทีที่คล้ายกับว่าทั้งบลูและสานั้นโดนสะกดให้ตกอยู่ในภวังของความเหม่อลอย และในวินาทีต่อมาทั้งบลูและสาก็ได้ยกมือขึ้นมาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ใส่อยู่ออกทีละเม็ดๆอย่างไร้สติเหม่อลอย แล้วเวลาไม่กี่วินาทีก็เผยให้เห็นหน้าอกสองคู่งานอวบใหญ่ที่โอบอุ้มไว้ด้วยชุดชั้นในของทั้งสองสาว ก่อนที่ในวินาทีต่อมาทั้งบลูและสาจะดึงถอดเสื้อของตัวเองออกไป และเมื่อเสื้อหลุดพ้นร่างกายทั้งบลูและสาก็ได้เอื่อมมือไปปลดสายของชุดชั้นในของตนเองลงช้าๆด้วยท่าทีไร้สติดวงตาเหม่อลอย จนถึงวินาทีที่สายชุดชั้นในหลุดจากหัวไหล่และขอบบราที่โอบอุ้มก้อนเนื้อหน้าอกทั้งสองคู่กำลังกำลังจะหลุดเปิดออกให้เห็นก้อนเนื้อและหัวจุกของทั้งสองสาว พร้อมๆกับประกายตาแดงฉานของร่างดำทะมึนนั้นลุกโซน!!!!











 

เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน
เจ็บกว่าตัวสำรอง ก็คือตัวสำรองของตัวสำรอง

N_O_N_G_K


kungfu789

เนื้อเรื่องแนวผจญภัยในป่า ไม่เจอมานานแล้ว ตอนแรกมาก็โดนเลยนะสองสาว

SilentKnight

โดนจัดหนักตั้งแต่คืนแรกเลยเหรอครับ ท่าทางจะได้เบิ้ลซะด้วย  ::WooWoo::

Nick24

ครั้งนี้ มีสองสาว สงสัยจะสนุกกว่าก่อนหน้านี้

karoon

บลูเวอร์ชั่นนี้จะโดนใครล่อบ้าง  มาปูเสื่อรออ่านเลยครับ

sunnie06


1819

#7
   แนวเรื่องแบบนี้ นานๆมีที  น่าติดตาม ว่าจะมารีอัพเวอร์ชั่นใหม่ออกมาแบบไหน  หวังว่าจะลงจนจบนะครับ
กรุงเทพเป็นเมืองที่มีคนเหงา มากกว่าเสาไฟฟ้า

mighty

ดอนป่าไม้เวอรผ์ชั่นre.หรอครับน่าจะสนุกดีนะเปิดเรื่องมากับความลี้ลับที่สองสาวได้เจอทันที..

BROCCOLI

 ::Ajark::แล้วเรื่องบ้านป่าดอนในธัญวลัยล่ะครับ ไม่แต่งต่อแล้วเหรอ น้องบลูกำลังร่านได้ที่เลย

gigantic

หายไปนานเลย เนื้อเรื่องใหม่เพิ่มตัวละครมาให้ลุ้นอีก

aumaun

สงสัยจะโดนตั้งแต่คืนแรกเลยครับ

Satira Potikanon


thelegendary29

สงสัยคงจะเป็นพรานแน่เลย

Nobita Nobituta

เริ่มสนุกแบบนี้คงเดาเรื่องยากน่าติดตามเลย