ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

หมอชันสูตรกับวิญญาณ(ไฮโซสาว) 2

เริ่มโดย twintower, มีนาคม 26, 2022, 10:32:18 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 2 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

twintower

ตอนนี้ไม่มีบทเสียวนะครับ

---------------------------------------------------------------------------------------------------

หลังจากจอดรถแล้ว จิตของผมบอกไปที่เธอ

"เข้ามาแล้ว ผมขอให้คุณทำตัวดีๆนะ อย่าไปซุกซนอะไร เพราะผมไม่รู้ว่าคุณตาทวดพระภูมิจะใจดีกับคุณขนาดไหน ถ้าทำผิดท่านคงลงโทษคุณแน่ อย่างเมื่อกี้ถ้าผมไม่ขอท่าน คุณก็เข้าบ้านผมไม่ได้"

เธอพยักหน้ารับคำ พอเดินเข้าไปในบ้านซึ่งแม่บ้านที่สูงวัยนั้นยืนรอผมในห้องรับแขก

"ทานอะไรมาหรือลูก"

เสียงทักทายด้วยความเป็นห่วงที่ผมได้ยินมาตั้งยังเด็กนั้นไม่เคยเปลี่ยน

"ทานมาแล้วครับ แต่ทำอะไรไว้หรือเปล่าครับ"

"มีข้าวต้มปลาจ่ะ"

"งั้นขอสักถ้วยก็ได้ครับป้าทิพย์ ให้เด็กยกมาทีนี่ก็ได้ ไม่ต้องไปที่ห้องอาหารหรอก"

แม่บ้านรับคำผมยกรีโมทขึ้นมากดเปิดทีวีแล้วนั่งลง ส่วนกิ่งที่ตามผมเข้ามาเธอมองไปรอบๆห้องรับแขก ผมจึงบอกเธอ

"นั่งก่อนสิคุณ"

"นี่คุณหมอคุณยังกินอีกหรือไงนี่"

"ก็ป้าเขาทำไว้รอ จะไม่กินก็เสียน้ำใจแย่"

"หรือว่าคุณใช้แรงไปเยอะเลยต้องกินเพิ่มพลัง"

เธอพูดแล้วนั่งลงอีกมุม แต่สายตายังมองไปรอบๆอยู่

"เรื่องของผมน่าคุณจะมายุ่งอะไรด้วย"

ดูเธอจะไม่สนใจที่ผมพูดเธอพูดต่อไปว่า

"บ้านคุณนี่สวยนะ ถึงจะดูว่าปลูกมานานแล้วแต่ยังดูดีอยู่"

"ปลูกตั้งแต่สมัยตาทวดผมนะคุณ"

"แล้วรูปพวกนั้นละ ผู้หญิงคนนั้นแม่ของคุณใช่ไหม เธอสวยมากเลยนะ"

ผมมองไปที่รูปที่ติดผนังและตั้งอยู่บนตู้ รูปที่เธอพูดคงเป็นรูปที่แม่อุ้มผมตอนผม 3 ขวบได้

"ใช่ นั่นรูปตากับยายผม ส่วนรูปวันรับปริญญาที่ถ่ายคู่กับผมคือลุงที่ดูแลผมมาตลอด"

"อืมหล่อจัง ลุงแท้ๆของคุณเลยหรือเปล่าแล้วนี่แม่ของคุณละ ท่านขึ้นนอนแล้วหรือไง"

เสียงของเธอดังในดวงจิตของผม

"แม่ผมเสียไปแล้วตั้งแต่ผมเรียน ป.5 ได้ ท่านเป็นมะเร็ง ตรงจุดนี้ละที่ผลักดันให้ผมอยากเป็นหมอ ส่วนลุงนี่ไม่ใช่ลุงแท้ๆแต่เป็นเพื่อนของแม่ ที่แม่ฝากฝังผมให้ท่านดูแลหลังจากที่ตากับยายผมเสียไป ท่านก็ดูแลผมมาตลอด"

"เสียใจด้วยนะคุณ  แต่นับว่าแม่คุณได้มหามิตรเลยนะนี่ ท่านฝากคุณไว้กับคนที่ดีจริงๆ"

"ใช่"

ผมตอบเธอขณะเดียวกันเด็กรับใช้ เดินนำข้าวต้มปลากับน้ำดื่มมาให้ ผมได้บอกกับเด็กรับใช้ไป

"นุ้ยบอกให้ป้าทิพย์ช่วยเตรียมทำของใส่บาตรด้วยพรุ่งนี้หมอจะใส่บาตร"

"คะคุณหมอ"

เด็กรับใช้รับคำ ก่อนจะเดินออกไป เธอจึงถามผมต่อ

"คุณใส่บาตรด้วยหรือ"

"ก็แล้วแต่ แต่นี่ผมใส่ให้คุณนะ อย่างน้อยคุณก็ได้ส่วนกุศลที่ผมอุทิศให้"

"แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงละ"

"เดี๋ยวคุณก็รู้เองนะ ผมบอกไม่ถูกแต่ที่ผมรู้ว่าได้เพราะมีดวงวิญญาณที่ผมเคยใส่บาตรให้มาบอก"

เธอพยักหน้า ก่อนจะถามต่อ

"คุณหมอยุทธ ฉันถามอีกทีเถอะว่าทำไมคุณถึงติดต่อกับวิญญาณอย่างฉันได้"

"ผมบอกคุณแล้วว่าผมอธิบายไม่ถูกว่า ยังไง เอาเป็นว่า ผมกับคุณใช้คลื่นสื่อสารหรือคลื่นวิทยุเคลื่นเดียวกันมันเลยติดต่อพูดคุยกันได้ เพราะไม่ใช่ทุกรายที่ผมจะคุยได้เหมือนกับคุณบางรายผมก็เห็นเขาอย่างเดียวแต่ติดต่ออะไรกันไม่ได้ก็มีมาแล้ว"

"อืม แล้วมันมีอะไรให้ที่ทำให้คุณติดต่อกับพวกวิญญาณได้ หรือคุณเห็นตั้งแต่เกิดขอร้องเถอะช่วยเล่าให้ฟังฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน"

ผมนิ่งคิดก่อนจะเล่าให้เธอฟังถึงตอนช่วงที่เรียนปี 2

"คุณไม่ตกใจหรือไง"

เธอถามหลังจากที่ผมเล่าให้ฟังจนจบ

"ตกใจสิ แทบจะบ้าเลยจะวิ่งหนีแต่ก็วิ่งไม่ได้ ต้องตั้งสติกันยกใหญ่"

"คือตั้งแต่นั้นคุณก็ติดต่อกับวิญญาณได้"

"ใช่"

"แล้วในฐานะหมอที่เรียนวิทยาศาสตร์มา ที่ต้องหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ที่มาที่ไปนี่คุณไม่ลองทำหรือไง ฉันสงสัยหรือคุณหมอปล่อยให้มันไปตามเรื่องของมัน"

ผมเองก็แปลกใจที่ทำไม่เธอถึงอยากรู้ต่างกับวิญญาณรายอื่นๆที่ไม่เคยถามผมในเรื่องนี้ ผมนิ่งคิดไปสักครู่และดวงจิตของผมสัมผัสได้ถึงเสียงของคุณตาทวดพระภูมิเจ้าที่บอกกับผม

"เล่าไปเถอะยุทธ มันจะมีประโยชน์ต่อเจ้าอย่างมากในอนาคต"

พอได้ยินคำแนะนำแบบนี้ผมจึงตัดสินใจที่จะเล่าให้เธอฟัง

"เอาละคุณกิ่งคุณลองฟังดูนะ ถึงบางอย่างมันจะดูแปลกๆ ผมดูแล้วมันเกี่ยวพันตั้งแต่ผมเกิดเลย"

ผมเล่าให้เธอฟังว่า ผมเกิดมาโดยไม่เจอพ่อและมารู้ตอนโตว่าพ่อเลิกกับแม่ตอนตั้งท้องผม แม่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวและมีตากับยายช่วยกันเลี้ยงผมจนผมเรียน ป.5 แม่ได้จากผมไปและก่อนหน้านั้นแม่ได้แนะนำให้ผมรู้จักกับคุณลุงที่เป็นเพื่อนของแม่ ซึ่งแม่ได้สั่งเสียผมไว้หลายอย่างเกี่ยวกับลุงคนนี้ จนแม่จากไป ผมเหลือแต่ตากับยายและลุงได้แนะนำตากับยายให้ผมไปอยู่โรงเรียนประจำ

"ตอนแรกผมโกรธลุงมากที่แนะนำแบบนั้น แต่ต่อมาผมรู้ว่าคุณลุงมองการณ์ไกลจริง"

"ยังไงหรือคุณหมอ"

"ตากับยายผมในตอนนั้นก็อายุมากแล้ว คุณลุงอยากฝึกให้ผมต้องเรียนรู้ในเรื่องพึ่งพาตัวเอง เพราะรู้ว่าตากับยายผมคงอยู่อีกไม่นาน"

ผมเล่าให้เธอฟังต่อไปว่า ตากับยายผมเสียตอนผมเรียนมัธยม ตานั้นจากไปก่อนและยายมาจากตอนผมเรียน ม.6 ซึ่งหลังจากนั้นคุณลุงได้เข้ามาดูแลอุปการะผมอย่างเต็มตัวตามคำของร้องแม่ รวมถึงเป็นผู้จัดการมรดกด้วย จนผมสอบติดหมอซึ่งผมเองก็มารู้ภายหลังว่าเงินที่ส่งเสียผมนั้นเป็นเงินของลุงเองไม่ใช่เงินจากมรดกจำนวนมากที่ผมได้รับ จนผมเรียนจบลุงได้มอบทรัพย์สินคืนให้ผมทั้งหมดตามที่ระบุในพินัยกรรม โดยไม่มีขาดหายแถมจำนวนดอกเบี้ยอย่างมหาศาล

"บ้านหลังนี้ก็เหมือนกันหลังจากที่ยายผมเสียลุงก็เข้ามาดูแลให้ คอยซ่อมแซมปรับปรุงตลอดและมีป้าทิพย์ที่เป็นแม่บ้านก็ช่วยดูแลอีกคน "

"อืมอย่างที่ฉันบอกคุณโชคดีจริงๆ แล้วยังไงต่อละมันเกี่ยวข้องกันยังไง"

ผมจึงเล่าให้เธอฟังต่อไปว่า หลังจากที่ผมติดต่อกับบรรดาวิญญาณได้แล้วตอนแรกๆผมก็กังวลใจเพราะไม่รู้จะไปปรึกษาใครได้ แต่มีอะไรบางอย่างที่ผมนึกได้ตอนสมัยเด็กๆจากคำบอกเล่า ผมจึงไปปรึกษาคุณลุง พอถึงตรงนี้วิญญาณสาวดูจะแปลกใจอย่างมาก

"เพราะอะไรนี่ ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น เอากันตรงๆคนที่เจอแบบนี้จะไปปรึกษาพวกพระที่เป็นเกจิ ไม่ก็พวกหมอผี"

"ผมยังเล่าไม่จบนะคุณ แล้วคุณจะเข้าใจว่าเพราะอะไร"

ผมจึงไปปรึกษาคุณลุงตอนนั้นท่านยังพักอยู่ในคอนโดที่กรุงเทพ ตอนแรกผมก็ลำบากใจมากที่ไม่รู้จะเล่าให้ลุงฟังยังไง เพราะตัวลุงเองก็ไม่ใช่พวกหัวโบราณ

"มีอะไรลำบากใจหรือยุทธ เรื่องเรียนหรือเปล่า"

ลุงถามผมเพราะคงเดาออกจากทีท่าของผม

"ยุทธเองไม่รู้เริ่มยังไงครับลุง มันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก แต่ยุทธก็ไม่รู้จะไปปรึกษาใครดี กลัวใครๆหาว่ายุทธบ้าครับ"

"เอาละทำใจให้สบายๆ แล้วเล่ามา ลุงรับฟัง"

ผมจึงตัดสินใจเล่าเรื่องที่ผมเจอให้ลุงฟัง ซึ่งลุงนั่งฟังอย่างเงียบๆไม่มีทีท่าแปลกใจอะไร ผมเล่าให้ลุงฟังจนจบ

"ลุงอัสไม่หาว่ายุทธบ้านะครับ"

ลุงอสนีหัวเราะออกมาแล้วตอบผม

"ลุงเข้าใจ เอาละเรื่องแบบนี้ลุงมีแต่ข้อสันนิษฐานนะยุทธ แต่มันก็อาจเป็นไปได้ เรื่องพวกนี้มันเกิดจากการคาดเดาของลุง"

ผมประหลาดใจมากที่ลุงอัสดูจะไม่แปลกใจอะไร และยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินเรื่องที่ลุงอัสบอกผม ลุงอัสบอกว่ามันอาจจะมาต้นตระกูลผมและผมที่เป็นสายเลือดโดยตรงอาจได้รับมาโดยไม่ตั้งใจ ผมพยายามสะกดใจไม่ถามอะไร นั่งฟังลุงอัสเล่าให้ฟังจนจบ ลุงอัสบอกว่าต้นตระกูลของผมนั้นมีคัมภีร์โบราณและคงจะมีวิชาที่ติดต่อสื่อสารกับพวกวิญญาณได้ซึ่งแม่ของผมอาจจะได้เรียนรู้มาทำให้ตัวผมอาจจะได้รับมาโดยไม่รู้ตัว พอมีบางอย่างมากระตุ้นทำให้ผมนั้นรับรู้และติดต่อกับวิญญาณเหล่านี้ได้

"อะไรนะลุงอัส แม่นะหรือครับที่เรียนวิชาพวกนี้ ไม่น่าเชื่อ"

"แต่มันมีทางที่จะเป็นไปได้ตามคิดลุงเดา ถ้ายุทธไม่เชื่อแล้วยุทธจะพูดคุยกับวิญญาณคุณตาคนนั้นได้ยังไงละ"

"แล้วลุงไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไงครับ"

ลุงอัสถอนหายใจเบาๆก่อนจะถามผมกลับ

"ยุทธจำหลวงตาได้ใช่ไหม

"ใช่ครับ หลวงตาพระที่แม่นับถือมาก เพราะอย่างนี้ละครับยุทธถึงเอาเรื่องนี้มาปรึกษาลุง เพราะแม่บอกว่าลุงนั้นเป็นลูกศิษย์ของหลวงตา"

หลวงตารูปนี้คือพระภิกษุชราผู้ใจดีมีเมตตา แม่เคยพาผมมากราบท่าน2-3 ครั้ง ทำให้รู้เรื่องของหลวงตาพอสมควรจากที่แม่เล่าให้ฟังและจากปากต่อปากของชาวบ้านแถวๆนั้นว่าท่านเป็นพระเกจิอาจารย์และก่อนที่แม่จะป่วยแม่พาผมมากราบหลวงตา วันนั้นเองเป็นวันที่ผมได้พบกับลุงอัสเป็นครั้งแรก จนแม่ผมเสียลุงอัสมาร่วมงานศพของแม่ทุกวัน ส่วนหลวงตานั้น ท่านได้มรณภาพละสังขารช่วงเวลาใกล้ๆที่ตาผมเสีย

ผมมองไปที่ลุงอัสก่อนที่ลุงอัสจะบอกผมว่าที่ลุงรู้นั้นเพราะตอนที่รู้จักกันกับแม่ไม่นานนัก แม่ของผมดูจะปัญหาที่หาทางออกไม่ได้และมาขอคำปรึกษาจากลุง ลุงเลยพาไปหาหลวงตาเพื่อขอคำชี้แนะ ทำให้แม่ผมนับถือหลวงตาอย่างมาก

"อย่างที่ลุงบอกว่าลุงเดาเอานะว่าแม่เราคงมีปัญหาจากคัมภีร์เล่มนั้นถ้าแม่เราไม่ศึกษาหาความรู้มันคงจะไม่เรื่องที่ทำให้แม่เราเดือดร้อน ลุงเองก็ไม่รู้ว่าเดือดร้องเรื่องอะไร แต่มันต้องเป็นปัญหาที่มาจากคัมภีร์เล่มที่แม่ของเราเก็บรักษาไว้ และ มันก็ใช่จริงๆ แต่หลังจากที่แม่ของเราเอาคัมภีร์ไปฝากไว้กับหลวงตาแล้วดูจะไม่มีปัญหาอะไร ลุงเองก็ไม่เคยไปถามหลวงตานะ และคัมภีร์โบราณเล่มนั้นลุงได้จับอยู่แป็บเดียวตอนที่แม่เราฝากให้ลุงถวายให้หลวงตานะ"

"ถ้าสิ่งที่ลุงเดานั้นถูกต้อง แล้วแม่ลินดารู้ไหมครับว่าลุงรู้ว่าแม่เป็น เอ่อ หมอผี ผมใช้คำถูกนะ"

"ไม่เคยรู้ ลุงถือว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวและพิสูจน์ไม่ได้ลุงเลยไม่สนใจ แต่หลังจากที่แม่ของเราเอาคัมภีร์ไปฝากไว้ ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้อีกเลย แต่บรรดาของขลังต่างๆที่แม่เราเคยบูชานะ ยังอยู่ในบ้านของยุทธในห้องพระนะ แต่ลุงก็ไม่รู้นะว่ามีอะไรบ้าง หลวงตาท่านบอกลุงว่าอย่าไปยุ่งเกี่ยวเลย"

"แล้วคัมภีร์เล่มนั้นละครับ"

"ไม่มีใครเห็นอีกเลยไม่รู้ว่าหลวงตาท่านไปเก็บไว้ที่ไหน ยุทธสนใจหรือ"

"เปล่าครับ แค่อยากรู้ แต่เท่ากับว่าลุงเชื่อเรื่องนี้"

"ยุทธต้องถามตัวเองก่อนว่าแล้วสิ่งที่ยุทธเห็นนะ ยุทธคิดไปเองหรือตาฝาดหรือเปล่า เรื่องพวกนี้มันไม่สามารถที่อธิบายได้ คนที่รู้จริงมักจะไม่พูด ให้มันเป็นอจินไตย แต่หลังจากนี้ยุทธควรระวังตัวให้มาก ทุกอย่างมันด้านดีและด้านไม่ดีลุงอยากให้ยุทธคิดให้รอบคอบก่อนที่จะทำอะไร"

ลุงอัสบอกผม ถึงจะไม่กระจ่างเท่าไหร่แต่มันก็พอที่จะทำให้ผมเข้าใจได้บ้าง 

"นี่ละมันเป็นแบบนี้ ที่มาที่ไป"

ผมบอกเธอที่นั่งฟังอย่างตั้งใจ

"แต่เดี๋ยวนะ แล้วลุงอัสของคุณนี่เป็นใครหมายถึงทำงานเกี่ยวกับอะไร"

เธอถามผมด้วยความสงสัย

"ลุงเคยเป็นสถาปนิกเรียกได้ว่ามือ 1 ของเมืองไทยมาก่อนเลยนะ คุณลองไปค้นดูก็ได้อาคารที่มือชื่อหลายอาคารในประเทศไทย ลุงผมเป็นคนออกแบบให้ แต่วางมือไปนานแล้ว ก็นี่ละที่มาที่ไปว่าทำไมผมถึงเห็นวิญญาณ ถึงผมจะไม่เข้าใจอะไรมากกับเรื่องที่ลุงบอก แต่หลังจากนั้นผมเองก็ติดต่อกับคุณตาทวดที่เป็นพระภูมิได้ท่านทำให้ผมกระจ่างขึ้นมาอีก พอผมสามารถติดต่อกับท่านได้ ท่านก็บอกผมว่าเมื่อก่อนแม่ผมก็ติดต่อกับท่านได้เหมือนกัน ทำให้ข้อสันนิษฐานของลุงอัสนั้นถูกต้อง แล้วคุณตาก็บอกว่าที่ผมสามารถติดต่อกับวิญญาณได้นอกเหนือจากเรื่องที่ลุงบอกคือ ผมมีสื่อกลางที่ผมได้รับมาโดยบังเอิญ เป็นตัวกระตุ้น แต่คุณตาสรุปอย่างๆง่ายๆคือมันเป็นกรรมหรือเป็นบุญของผมอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมติดต่อกับพวกคุณได้"

"ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันฟังแล้วคงหัวเราะนะ ครอบครอบนักธุรกิจชื่อดังเป็นหมอผี และถ่ายทอดมายังลูกหลาน แต่ถึงตอนนี้แล้วไม่เชื่อก็คงต้องเชื่อ"

"ใช่ผมเองก็ไม่เชื่อ  แต่ผมทำตามคำแนะนำของลุงกับคุณตาทวดพระภูมินะว่าไม่ต้องไปยุ่งกับของในห้องพระ คือเอามาทำความสะอาดได้แต่ไม่ควรไปสนใจหรือนำติดตัวไปไหนผมก็ทำตาม แต่เอาละผมรู้ว่าคุณยังมีข้อสงสัยหลายเรื่อง ถ้ามีโอกาสแล้วคุณค่อยถามผมอีกที นี่ดึกมากแล้วผมง่วงนอน"

จู่ๆผมตัดบททันที เพราะผมเพลียจริงๆ

"ใช้แรงไปเยอะละสิ"

เธอบ่นเบาๆแต่ผมไม่ใส่ใจแต่เธอถามผมต่อ

"แล้วจะให้ฉันไปอยู่ตรงไหนละ"

"คุณไปหาคุณตาที่ศาลพระภูมิ ผมว่าท่านอาจจะช่วยคุณได้และดีไม่ดีท่านอาจจะชี้ทางให้คุณไปตามทางของคุณก็ได้ ผมไม่ได้ไล่นะ แต่เราไม่ควรที่จะเกี่ยวข้องอะไรกันให้มากนัก เพราะมันอาจล้ำกฎธรรมชาติ ล้ำพรมแดนของโลกมนุษย์กับโลกของวิญญาณก็ได้ ผมเคยทำมาแล้วและไม่เป็นผลดีถึงผมจะหวังดีก็ตามที พรุ่งนี้ผมอาจไม่เจอคุณอีกเลยก็ได้ถ้าคุณมีทางไป ยังไงผมก็ลาคุณตรงนี้ก่อนแล้วกัน เข้าใจผมนะคุณ"

เธอพยักหน้า ก่อนที่ผมจะลุกขึ้น คนในบ้านจะเห็นผมนั่งดูทีวีพร้อมกินข้าวต้มปลาไม่มีอะไรที่ทำให้ผิดสังเกตุเพราะผมคุยกับเธอทางจิต ร่างของเธอค่อยๆเลือนหายไป ส่วนผมปิดทีวีและเดินขึ้นไปบนห้องนอน และสิ่งที่ผมไม่มีวันรู้ คือวิญญาณของกิ่งไปยืนอยู่หน้าศาลพระภูมิก่อนที่เธอจะทำอะไรมีเสียงเรียกเธอจากในศาล

"มาเข้ามานังหนู ตารอเจ้าอยู่"

วิญญาณของเธอลอยเข้าไปในศาลซึ่งเธอพบว่าเธออยู่ในห้อง ห้องหนึ่งกลางห้องมีตั่งตั้งอยู่3 ตัวในในลักษณะตัวยู ซึ่งตั่งตรงกลางมีชายชราที่อยู่ในชุดขาวนั่งขัดสมาธิที่กำลังโบกมือเรียกเธอ

"มานี่นังหนู มานี่ มานั่งตรงนี้ไม่ต้องนั่งพื้น"

ชายชราที่ท่าทางเป็นคนใจดีได้ชี้ไปที่ตั่งอีกตัวเหมือนเห็นเธอทำท่าจะนั่งลงบนพื้น เธอทำตามที่บอก พร้อมพนมมือขึ้นมาไหว้ชายชราผู้นั้น

"จำเริญ จำเริญนะนังหนู กิ่งกาญจน์ ตาเป็นพระภูมิของบ้านนี้มาตั้งแต่เขาสร้างบ้านแล้ว  เอาละนังหนูกิ่งคงสงสัยอะไรหลายๆอย่างละสิเพราะเจ้ายุทธเองก็ให้ความกระจ่างกับเจ้าไม่ได้ใช่ไหม"

"คะคุณตา"

"เอาละตามีหน้าที่คลายข้อสงสัยให้เจ้า แต่คงไม่ทั้งหมดมีบางเรื่องเจ้าต้องไปแสวงหาคำตอบเอง บางเรื่องมันก็เกินกว่าฐานะที่ตาจะบอกเจ้าได้ ภายภาคหน้าเจ้าอาจจะรู้หรือไม่รู้ตลอดไป ตรงนี้เจ้าเข้าใจนะ"

"คะคุณตา"

"เจ้ารู้ใช่ไหมว่า เพราะอะไรเจ้าถึงต้องมาตามเจ้ายุทธ"

"อันนี้ตัวหนูเองก็ไม่ทราบคะ มันเหมือนมีอะไรดลใจว่าให้หนูต้องกลับมาหาคุณหมอทั้งๆที่ตอนแรกหนูไปที่บ้านของหนูแล้ว แต่แล้วหนูก็ต้องกลับมาหาคุณหมอ"

"ทุกอย่างมันมีเหตุและผล เอาละฟังนะตาจะบอกเจ้า"

ระหว่างนั้นภายในบ้าน ผมที่กำลังจะเข้านอน ผมมองดูรูปของแม่ที่ถ่ายกับผมก่อนที่จะจะรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งไม่นานนักและนึกถึงตอนที่แม่ป่วยหนักก่อนที่จะเสียไม่นานนัก

"ยุทธรู้ไหมว่า ทำไมแม่ถึงตั้งชื่อลูกว่าอินทรายุทธ"

"ไม่รู้ครับแม่"

"ความหมายของชื่อนี้แปลได้หลายอย่าง ทั้ง อาวุธพระอินทร์ สายรุ้ง  หรือสายฟ้า แต่แม่จะบอกใครๆว่าความหมายของชื่อลูกแปลว่าสายฟ้าเพราะจะเป็นความหมายเดียวกับผู้ชายที่แม่รักมากที่สุด"

"แม่หมายถึงพ่อหรือครับ"

"ไม่ใช่จ๊ะ แม่หมายถึงใครคนหนึ่งที่ต่อไปในอนาคตเขาจะมาคอยดูแลลูกแทนแม่นะ"

มันเหมือนเป็นคำสั่งเสียอีกเรื่องของเรื่องของแม่ ด้วยความที่เป็นเด็กผมจึงไม่ค่อยสนใจอะไรมากนักจนผมโตขึ้นผมจึงคิดได้ ผมจึงได้ถามลุงอสนี

"ลุงกับแม่เคยเป็นแฟนกันหรือครับ"

อีกฝ่ายยิ้มๆก่อนจะตอบ

"ไม่ถึงขั้นแฟนหรอก เราแค่คบหาดูใจกันระยะหนึ่งเท่านั้นแต่พอรู้ว่าอะไรหลายๆอย่างที่เราไปด้วยกันไม่ได้ เราจึงมาคบหากันแบบเพื่อนแทน"

"แล้วลุงรู้หรือเปล่าครับว่าแม่รักลุงมาก"

"รู้สิ ลุงรู้มาตลอด  แต่อีกเหตุผลที่เราไปด้วยกันไม่ได้คือลุงไม่เคยรักแม่ของเราเลย"

"ทำไมละครับลุง"

"ลุงรักผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง จนไม่อาจรักใครก็ได้อีก ถึงลุงจะไม่ได้เจอผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว เพราะเธอไปอยู่ไกลเกินกว่าที่ลุงจะได้พบเธอ"

"แล้วแม่รู้หรือเปล่าครับ"

"คงจะรู้นะ เพราะลุงเองก็ไม่เคยถาม แต่เราก็เป็นเพื่อนที่ดีกันมาตลอดเราพูดคุยติดต่อกันพอสมควรในช่วง2-3ปีต่อมา จนแม่เราแต่งงานนะ ตอนนั้นลุงก็ไม่ค่อยติดต่อกันกับแม่เราเท่าไหร่แต่ก็ทักทายถึงกันบ้างในช่วงเทศกาลต่างๆ"

"แล้วลุงมีเหตุผลอะไรหรือครับที่มารับดูแลผมทั้งๆที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง นอกจากคนที่เคยคบหากับแม่มาก่อน"

"ลุงทำเพื่อตอบแทนความรักของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีให้ลุง ในเมื่อลุงไม่สามารถรักเขาได้ แต่พอเขามาขอให้ช่วยลุงก็ยินดีที่จะช่วยเพื่อทดแทนความรักของเขาที่มีให้ลุง"

คำตอบและรอยยิ้มอย่างมีความสุขชองลุงทำให้ผมแน่ใจว่าเป็นคำตอบที่เป็นความจริง แม่มีมิตรที่ประเสริฐที่สุดแล้ว

"แม่นี่โชคดีจริงๆ และแม่ดูแลผมอย่างดีรวมถึงตากับยาย ผมในตอนนั้นไม่ขาดความอบอุ่นเลยทั้งๆที่พ่อทิ้งเราไป"

"แม่บอกยุทธหรือไงว่าพ่อเราทิ้งยุทธไป"

ลุงถามผมด้วยน้ำเสียงเคร่งชรึม

"ไม่ครับลุง แม่ไม่เคยบอกแต่ผมคิดว่าเป็นแบบนั้น มีอย่างที่ไหนเลิกกับแม่ตอนแม่ตั้งท้อง"

"ถ้าอย่างนั้น ยุทธต้องเข้าใจพ่อยุทธใหม่แล้ว จริงๆพ่อเราเขาไม่ได้เป็นคนทิ้งยุทธ แม่เราเป็นคนขอเลิกเอง พ่อกับแม่เราไม่ได้แต่งงานด้วยความรัก และตัวแม่ของเราก็ไม่อยากที่จะทรมานพ่อของเราให้มากกว่านั้น ลุงเองก็มารู้ภายหลัง พ่อของเรานะน่าสงสารมาก แต่เขาก็เข้าใจ เพราะอยู่กันไปกับแม่เรามันไม่ดีทั้งสองฝ่าย เขาเลยยอมเลิก"

ผมเงียบไปชั่วขณะเมื่อรู้ความจริงพร้อมถอนหายใจแรงๆก่อนจะถามลุงต่อ

"แล้วลุงรู้จักกับพ่อผมหรือเปล่าครับ"

"ลุงไม่รู้จักแต่ลุงรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่"

ลุงอัสเว้นระยะการพูดไป ผมจึงพูดต่อ

"ผมอยากรู้เท่านี้ละครับลุง  ผมคงไม่ค้นหาเขาให้เหนื่อยเปล่าเพราะมันเปล่าประโยชน์ เขาคงมีครอบครัวใหม่ไปแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา ความผูกพันก็คงไม่มีครับ ขอบคุณลุงมากครับที่บอกความจริง"

"ไม่โกรธแม่เขาใช่ไหม"

"ไม่ครับ ผมเข้าใจ และที่ผ่านมาแม่ทุ่มเทความรักให้ผมอย่างเต็มที่"

ผมนึกวันนั้นวันที่ผมถามความรู้สึกของลุงที่มีต่อแม่ มันก็จริงถ้าเกิดทั้งสองแต่งงานกัน ชีวิตคู่คงไปด้วยกันได้ไม่นาน ในเมื่อคนหนึ่งรักแต่อีกคนไม่รัก ผมวางรูปลงที่เดิมก่อนจะเลื่อนตัวลงไปนอน เช้าวันต่อมาหลังจากที่หลังจากที่ออกกำลังกายเรียบร้อยผมได้ไปใส่บาตรเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กิ่งกาญจน์ พอผมมองไปที่ศาลพระภูมิ ผมนึกว่าเธอคงไปตามทางของเธอแล้วคุณตาทวดพระภูมิคงชี้ทางให้เธอเป็นที่เรียบร้อย จนผมทานมื้อเช้าเรียบร้อย ขณะที่ผมขับรถไปทำงานตามปกติตอนที่ผ่านศาลพระภูมิผมทำเหมือนทุกวันคือยกมือไหว้เคารพคุณตาทวด แต่ดวงจิตผมได้ยินเสียงร้องทัก

"เฮ้ยคุณหมออย่าพึ่งไป รอก่อนฉันไปด้วย"

พร้อมกับร่างของเธอมาปรากฏที่เบาะข้างๆผม เธอมองมาพร้อมรอยยิ้ม

"เฮ้ยยังไม่ไปอีกหรือนี่"

ผมร้องด้วยความประหลาดใจ

กิ่งกาญจน์ส่ายหน้าไปมาแล้วตอบ

"ยัง คุณตาทวดบอกยังไม่ถึงเวลาของฉัน และฉันไม่รู้จะทำอะไรก็เลยคิดว่าฉันคงช่วยงานคุณได้บ้างดีว่าอยู่ว่างๆ"

"ช่วยงาน"

ผมทวนคำและมองไปที่ศาลพระภูมิ เห็นท่านพระภูมิยืนอยู่หน้าศาลแล้วพยักหน้าให้ผม ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าเพราะอะไร เมื่อคืนคุณตาทวดถึงส่งกระแสจิตมาบอกผม ใช่แล้ววิญญาณเธอต้องช่วยงานผมได้จริงๆผมจึงบอกเธอ

"เอ้าดีเหมือนกัน ก่อนจะถึงเวลาของคุณ คุณคงช่วยผมได้เยอะ"

"ใช่แล้วไปเลยคู่หู"

 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

จรัญ บุญชู

แบบนี้คุณหมอคงต้องเก่งสุดๆแน่นอน...เพราะมีวิญญาณคอยช่วยอีกทาง

treemiles

พี่สาวพราวเสน่ห์ น่าจะทำให้หมอหนุ่มกระชุ่มกระชวย ชุ่มชื่นหัวใจ

Erik


Tik K.

ถ้าให้เดา ผมว่าลุงอัส คือพระเองของเรื่องผีหลอกสายฟ้า ส่วนแม่ของยุทธคือมาจากเรื่องหมอผีสาวแน่เลย ส่วนเรื่องนี้เป็นภาคต่อ ของทั้ง2เริ่อง

Silver2008

เนื้อเรื่องน่าสนใจ ไม่มีเรื่องเซ็กมาดำเนินเรื่อง

outsider

ดีใจที่มีเรื่องราวของอสนีต่อ แม้จะเป็นเพียงการส่งผ่านมายังรุ่นหลานก็ตาม

akira

มาล่ะ สายวิทยาศาสตร์กับไสยศาสตร์มาลงที่คนเดียวกันเลย เอ้า สู้ๆ คุณหมอ

Nong5670

เอาแล้วคุณหมอมีคู่หูเป็นวิญญาณเข้าแล้ว

bigmut


x99

หมอกับผี ช่วยกันทำงานเป็นคู่หู เอามาทำเป็นละครได้เลยนะ แนวนี้น่าสนใจ 

au2000


schareon

ช่วยพาสาวๆมาให้หมอยุทธจัดการหรือไงนะ

pongjun


gusjung111

คุณหมอจะได้มีผู้ช่วยคุยกับผีอีกทีนึง