ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_KaohomLM

มนตรา สงคราม ความรัก ตอนที่ 54: ณ วันอวสานโลก

เริ่มโดย KaohomLM, พฤษภาคม 16, 2022, 10:11:34 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

KaohomLM

   สมองของเธอตื๊อ ราวกับไม่มีความสามารถพอจะคิดอะไรซับซ้อนได้
   แขนขาของเธอไม่มีแรง
   เธออ้าปาก แต่เสียงเดียวที่ออกมาคือ.....
   "อุแว๊"
   วูบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
   "ขอโทษทีเจ๊" นทีรีบบอก "โลกนั้นมันหน่วงเวลากับเราไปหน่อย"
   "พี่ หนูเพิ่งเกิด!!!!!!"
   "รู้แล้ว พอเห็นปีพี่ก็ส่งกลับแล้ว" นทีระล่ำระลัก "เอาหล่ะ อีกรอบนะ"
   วูบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
   
   ข้าวหอมยกมือขึ้นมาดู โอเค ยกแขนได้ สมองปกติ อย่างน้อยเธอก็ไม่ใช่ทารก
   แต่นี่เธอใส่อะไรอยู่เนี่ย
   มันเป็นชุดเกราะ แต่ไม่ใช่ชุดของเธอ เธอรู้สึกได้ถึงแผ่นโลหะแข็ง ๆ ที่ล้อมรอบตัว แต่มันรู้สึกสบายตัวอย่างประหลาด ราวกับว่าแผ่นโลหะที่เธอรู้สึกได้นั้นเป็นส่วนหนึ่งของตัวเธอเอง ผิวหนังหนาชั้นที่สอง ที่ลูบไล้ผิวกายเธอแผ่ว ๆ คล้ายสายลมหรือเกลียวคลื่นที่อ่อนบาง เธอยกมือขึ้นมาดูอีกครั้ง แผ่นเกราะสีขาวส่องใสเป็นประกายงดงาม ขลิบด้วยทองคำสุกปลั่ง
   เกราะของพี่นที
   ราวกับจะตอบสนองต่อความตกใจของเธอ เกราะที่สวมเข้าสู่สภาพพร้อมรบ ปีกขาวกางออกที่ด้านหลัง ส่องรัศมีประกายที่ขจัดพลังปิศาจได้ออกไปทั่วทุกทิศทาง พลังเวทมนตร์ไหลเวียนจากแหล่งเก็บกักไปเสริมความแข็งแกร่งที่แผ่นเกราะชั้นนอก ระบบต่าง ๆ รายงานความพร้อมเข้ามาสู่ระบบประสาทของเธอที่เชื่อมต่ออยู่
   "อะไรครับ นายหญิง" เสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกดังมารอบตัว
   "มะ ไม่มีอะไรจ๊ะ ทดสอบระบบเฉย ๆ" เธอรีบสั่งให้ชุดเกราะกลับเข้าไปอยู่ในโหมดปกติ ก่อนจะกวาดสายตามองรอบตัว เธอไม่รู้จักใครที่อยู่ตรงนั้นเลย พวกนั้นหลายคนใส่เกราะ ถืออาวุธ เป็นผู้พิทักษ์แน่ แต่ก็มีอีกหลายคนในชุดทหาร ในมือกุมปืนด้วยสีหน้าหวาด ๆ และอีกหลายคน ที่ดูเหมือนจะเป็นคนธรรมดาในชุดซอมซ่อ ดูแตกตื่น สิ้นหวัง
   ข้าวหอมเลื่อนสายตามองจากผู้คนไปที่หน้าต่าง ออกไปยังภาพที่เห็นอยู่ภายนอก กรุงเทพมหานคร เมืองแห่งสุดท้ายบนพื้นโลก ฐานทัพสุดท้าย ที่เหล่าผู้พิทักษ์และมนุษย์ทั้งหมดที่ยังเหลือรอดยึดเป็นปราการที่มั่นในการหยัดยืนต่อสู้กับฝูงปิศาจที่ครอบครองทั่วทุกพื้นที่นอกกำแพงที่สภาผู้พิทักษ์สร้างขึ้นในช่วงปีแรกหลังประตูนรกเปิด หลังจากนั้น การติดต่อสื่อสารกับเมืองอื่น ๆ ทั่วโลกค่อย ๆ ขาดหายไปทีละเมือง สองเมือง มีแต่ผู้ลี้ภัย ที่หลั่งไหลกันเข้ามายังเมืองแห่งสุดท้ายนี้ แต่ไม่ช้า กระแสผู้ลี้ภัยก็ค่อย ๆ ขาดตอนจนขาดหายไปในที่สุด เหลือแต่เพียงฝูงปิศาจ ที่แห่แหนกันมาทดสอบความแข็งแกร่งแห่งมหาปราการ และความหาญกล้าของเหล่าผู้พิทักษ์ ปราการและความกล้าที่ปกป้องเมืองแห่งนี้มาหลายสิบปี จนถึงเมื่อไม่นานมานี้
   ด้านนอกตึกใหญ่ที่พวกเธอหลบภัยอยู่ ตึกรามบ้านช่องที่เธอคุ้นเคย ทั้งจากในโลกที่เสรีและปลอดภัย ไร้ประตูนรก และจากในเวลาก่อนที่มหาปราการจะล่มสลาย บัดนี้ล้วนแล้วแต่พังภินท์ พินาศสิ้นไปด้วยเปลวเพลิงที่ล้างผลาญ ท้องฟ้าแดงฉานไปด้วยแสงจากพระเพลิงที่มอดไหม้ ตัดด้วยโขมงควันดำมืดที่ลอยพวยพุ่งจากหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานใหญ่สภาผู้พิทักษ์ หรือกองบัญชาการป้องกันเมือง คลังอาวุธ และโรงหลอมที่ผลิตอาวุธเวทย์
   ข้าวหอมกำหมัด ความโศกเศร้าและสิ้นหวังในโลกแห่งนี้เข้าเกาะกุมจิตใจของเธอ ในฐานะนายหญิงแห่งสภาผู้พิทักษ์ เธอล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการปกป้องเมืองเอาไว้
   "นายหญิง อยู่นี่เราจะปลอดภัยจริงน่ะเหรอ" ผู้หญิงคนหนึ่งที่อุ้มลูกน้อยอยู่ในอ้อมแขนถาม
   "ไม่ต้องกลัวนะครับ นายหญิงจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ และพวกเราก็จะช่วยอย่างเต็มที่ด้วย" ชายหนุ่มหน้าขาวในชุดเกราะดำรีบเข้ามาปลอบประโลมหญิงที่ตื่นตระหนก แต่ข้าวหอมก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นหน้าชายหนุ่มชัด ๆ
   "เสี่ยต้น!!!" เธอร้อง
   "หือ อะไรครับ นายหญิง เสี่ย เส่ออะไร" นายต้นถาม
   "มะ ไม่มีอะไร ขอโทษที" ข้าวหอมสะบัดหัวอย่างมึน ๆ นี่คือเสี่ยต้นคนเดียวกันกับที่พยายามจับเธอไปเปิดซิงแน่นอน แต่เธอไม่เห็นความชั่วร้ายในตัวเสี่ยต้นคนนี้สักนิด ตรงกันข้าม เธอรู้สึกได้ ว่าเขาเป็นผู้พิทักษ์ระดับยอดฝีมือที่ไว้ใจได้คนหนึ่ง เขาสู้อย่างสุดความสามารถที่สำนักงานใหญ่ของสภา หากไม่ได้นายต้นคนนี้ แม้แต่ตัวเธอเองก็อาจจะไม่รอดมาก็ได้
   "นายหญิง ไหวนะ" ต้นถามด้วยความเป็นห่วง "ที่เกิดขึ้นนี่ไม่ใช่ความผิดนายหญิงนะครับ"
   ข้าวหอมพยักหน้าเบา ๆ
   "นายหญิงขึ้นไปเถอะครับ" เสี่ยต้นพยักหน้าไปทางบันไดที่ด้านหลังเธอ "คงจะอีกนาน กว่าพวกมันจะตามมาถึงนี่ ถ้ามาถึงจริง ผมกับพวกจะต้านพวกมันไว้ให้ได้นานที่สุดครับ"
   "ขอบคุณนะ ต้น" ข้าวหอมบอก ก่อนจะรวบรวมความกล้าเดินขึ้นบันไดไป
   
   นี่เป็นครั้งที่สองในชีวิต ที่ข้าวหอมได้ขึ้นมาที่อาคารแห่งนี้ ตึกร้าง ที่ร้างมาตั้งแต่ประตูนรกเปิด ตึกร้าง ที่สภาผู้พิทักษ์ไม่ยอมให้ใครรุกล้ำทั้งสิ้น ครั้งแรกที่เธอเข้ามาในที่นี้ เธอมาด้วยความสงสัยใคร่รู้ แบบเด็กที่สงสัยว่าทำไมพ่อแม่ถึงห้ามไม่ให้เอานิ้วแหย่ปลั๊กไฟ
   และสิ่งที่เธอได้กลับไป คือชุดเกราะขาว และตำแหน่งนายหญิง
   ด้วยความรู้ที่หลั่งไหลมาจากอีกโลก เธอรู้แล้ว ว่าอะไร หรือใคร รออยู่ที่สุดบันได ครั้งที่แล้วเธอไม่ได้เห็นหน้าหรือเจอตัวเขา แต่เธอรู้ว่าใครที่จะมอบเกราะนี้ให้เธอได้
   พี่นที
   แก้มใสของสาวงามแดงก่ำขึ้นมาเมื่อเธอนึกถึงประสบการณ์ที่ทั้งคู่มีร่วมกันในโลกอื่น
   มันช่างวิเศษอะไรเช่นนี้
   พี่นทีคงจะเห็นว่าตอนนั้นเธอยังเด็กเกินไป เขาต้องรอให้เธอมาหาอยู่แน่
   เอี๊ยดดดด
   ประตูบานสุดท้ายเปิดออกทันทีที่เธอขึ้นไปถึง ข้าวหอมเหลียวออกไปมองหน้าต่าง และเมืองที่ล่มสลายภายนอกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะก้าวเข้าไป ประตูปิดตามหลังเธอ
   ข้าวหอมสะดุ้งเฮือกเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า
   ชายชราร่างเหี่ยวย่น นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ผูกติดไว้ด้วยเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์พยุงชีพนานาชนิด
   "พะ.....พี่นที เหรอ" ข้าวหอมตะกุกตะกัก
   ชายชราไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
   "เอาจริงดิ" เธอพูดกับตัวเองเบา ๆ ชายชราตรงหน้าดูไม่เหมือนพี่นทีสักนิด ร่างที่เหี่ยวย่นหนังห้อยยานดูไม่เหมือนพี่นทีที่สูงสง่าของเธอสักนิด แต่เมื่อเธอก้าวเข้าไปใกล้เตียง มือของชายชราก็ยกขึ้นมาอย่างเหนื่อยอ่อน และจับที่แขนเธอเบา ๆ ภาพในความคิดของเขาถ่ายทอดเข้ามาในหัวเธอ
   เธอเห็นภาพแท่นสังเวย
   เลือด
   ความตาย
   มงกุฎ
   ชีวิตสี่พันล้านชีวิตบนแท่นสังเวย เพื่อเถลิงราชย์ราชาปิศาจองค์ใหม่
   มันเกิดขึ้นแล้ว
   สายเกินไป
   ไม่มีอะไรที่เธอจะทำได้แล้ว
   ราชาปิศาจกำลังมา
   ผู้เฒ่านทีปล่อยมือจากแขนเธอ ปล่อยให้ข้าวหอมหอบหายใจด้วยความตระหนก ที่ตามมาด้วยความท้อแท้ และสิ้นหวัง เธอเข้าใจแล้ว ว่าทำไมในช่วงปีที่ผ่านมา เธอฝันถึงการนำทัพบุกออกจากมหาปราการ เพื่อปิดประตูนรก พี่นทีส่งนิมิตมาบอกให้เธอทำอย่างนั้น ก่อนที่จะสายเกินไป แต่ก็ไม่มีใครในสภาที่เห็นด้วยกับเธอ
   ตอนนี้สายเกินไปแล้ว ทุกอย่างที่เธอต่อสู้มาสูญเปล่า ไม่มีทางช่วยโลกได้แล้ว
   ไม่สิ
   ไม่มีทางจะช่วยโลกนี้ได้แล้ว แต่เธอยังมีทางจะช่วยโลกอื่นได้อยู่
   เธอเสกเกราะขาวให้หายไป และรีบฉีกทึ้งเสื้อผ้าที่ใส่ไว้ข้างในออก จนร่างขาวงามยืนเปลือยเปล่าอยู่ต่อหน้าชายชรา
   ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด เสียงจากเครื่องพยุงชีพดังถี่ขึ้น ชายชรารับรู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่
   ข้าวหอมกัดฟัน พยายามย้อนนึกถึงตรามาร์คที่เธอประทับบนร่างตัวเองในโลกที่เธอเป็นพวกปิศาจ ก่อนจะกดนิ้วลงไปที่แขนขวา
   "ซี๊ดดดดดดดดด โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย" เธอกัดฟัน เมื่อรอยตราสีแดงสดปรากฏขึ้นบนเนื้อที่ไหม้ไฟ "ตรานี้ถูกนะคะ"
   นทีไม่ขยับ เธอไม่คิดว่าเขาจะขยับได้
   "ไม่ถูกก็ต้องถูกล่ะ" เธอพึมพำ และเสกให้เสื้อผ้าของชายชราหายไป
   "โหหหหห" เธอครางด้วยความผิดหวัง
   ข้าวหอมไม่เคยเห็นเจ้าสิ่งนั้นของพี่นทีในสภาพที่ไม่ตื่นตัวมาก่อน ปรกติเวลาที่เขาปลดปล่อยมันออกมา มันจะเด้งออกมาในสภาพที่พร้อมจะทะลุทะลวงกลีบดอกไม้งามของเธอเข้ามาทักทายในมดลูกที่เรียกร้องของเธอเสมอ แม้เมื่อได้ปลดปล่อยน้ำรักอันร้อนเร่าใส่จนเต็มทั่วร่างของเธอ มันก็ไม่เคยฝ่อลงไป มีแต่พร้อมจะต่อเป็นยกที่สอง สาม สี่ ห้า สิบ ยี่สิบ ห้าสิบไปเรื่อยจนสติของเธอหลุดลอยออกจากร่างไป แม้ในช่วงที่เธอโกรธและไม่ยอมให้เขามีอะไรด้วย แต่ให้เขาอาบน้ำและนวดให้เธอ เจ้าสิ่งนั้นก็อยู่ในสภาพแข็งปั๋งสุดขีด
   แต่บัดนี้ เจ้าดุ้นมังกรยักษ์ที่ส่งเธอขึ้นสวรรค์หลายต่อหลายรอบในหลายต่อหลายโลกสภาพไม่ต่างจากหนอนน้อยตัวเหี่ยวย่นตัวหนึ่ง เธอมองมันอย่างงง ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ลังเลสงสัยด้วยใจของคนไม่เคย ว่าจะต้องทำอย่างไรดี ใช่ เธอต้องพยายามปลุกมันขึ้นมา จะช่วยโลกได้ เขาต้องได้ความบริสุทธิ์ของเธอ จะเปิดซิงเธอได้ เจ้าสิ่งนั้นต้องตื่น
   ข้าวหอมคลานขึ้นไปบนเตียงของชายชราช้า ๆ ด้วยความเขินอาย เมื่อสังเกตดี ๆ เธอก็เห็นโครงหน้าของพี่นทีในหน้าของชายแก่น่าเกลียดคนนี้ เธอค่อย ๆ เอื้อมมือไปแตะที่หนอนน้อย มันไม่ขยับเลย เธอก้มหนน้าเข้าไปหามัน เจ้าหนอนมีกลิ่นเหม็นเน่าโสมมในแบบที่ท่อนสวาทของนทีไม่มี แม้เมื่อเธอดูดเลียให้กับเขา เธอกัดฟัน กลั้นหายใจ แลบลิ้นออกมาเลียหนอนน้อยหน่อยหนึ่ง รสเน่าในปากทำให้เธอเกือบอ๊วก แต่ข้าวหอมก็อดทน เธอเลียมันต่ออีกสองสามที ขณะที่มือก็นวดเฟ้นที่พวงไข่เหี่ยว ๆ เธอคิดไปเองหรือเปล่านะ แต่รู้สึกเหมือนหนอนน้อยเน่า ๆ ในปากจะแข็งขึ้นมานิดหนึ่ง  
   "ดีนะ ที่โลกเราไม่เป็นแบบนี้" ข้าวหอมบอก
   "อือ ใช่" นทีตอบรับ "พอพวกมันยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่บนโลกได้ พวกมันก็ทำพิธีสังเวยครั้งใหญ่ ที่สร้างให้เกิดราชาปิศาจตัวใหม่ ถึงจุดนั้นโลกก็ไม่มีทางรอดแล้ว"
   "ถ้าเราล้มเหลว ถ้าโลกเข้าไปอยู่ในโลกปิศาจจริง..."
   "เราก็ตายกันหมด" นทีบอก "ไม่มีทางสู้ปิศาจเยอะขนาดนั้นได้อยู่แล้ว"
   "งั้นเราก็ต้องไม่ล้มเหลวค่ะ" ข้าวหอมบอก พยายามทำเสียงหนักแน่น ในใจเธอรู้สึกหนักอึ้งไปหมดจากภาระทางใจที่ต้องแบบรับ แต่เธอก็ตัดใจแน่วแน่แล้วว่าจะต้องมุ่งไปให้สุดให้ได้ "อีกแค่สองครั้ง พี่ไหวนะ"
   "ไหว มั้ง น่าจะไหวนะ" นทีตอบ
   "งั้นเอาเลยค่ะ"
   "ไม่เอา พักก่อน" นทีบอก "อีกห้านาทีนะ"
   แม้น้ำเสียงของนทีจะฟังดูสบาย ๆ แต่ข้าวหอมก็สังเกตได้ว่าชายหนุ่มเหนื่อยล้าและเจ็บปวดเพียงใด เธอลูบหัวเขาเบา ๆ "พักได้นานเท่าที่พี่ต้องการค่ะ"
   "ว่าแล้ว..." ข้าวหอมเริ่มหลังจากที่พี่นทีหลับตาไปพักใหญ่ ๆ
   "แล้ว...."
   "ที่พี่แก่ในโลกนั้น..."
   นทีดันตัวลุกขึ้นนั่ง เขาเอื้อมมือมากุมมือเธอ
   "เจ๊......" น้ำเสียงของเขาลังเล ข้าวหอมบอกได้ว่า เขาชั่งใจอยู่ว่าจะบอกเธอเรื่องนี้ดีไหม
   "ถ้าพี่ไม่เต็มใจ ก็ไม่ต้องบอกหนูก็ได้ค่ะ" ข้าวหอมบอก "หนูยอมรับว่าพี่เป็นในแบบนี้ก็ได้ ไม่ต้องรู้หรอกว่าทำไมพี่ถึงไม่แก่ แล้วในโลกนั้นพี่ถึงแก่"
   "พี่เล่าให้เจ๊ฟังก็ได้" นทีบอก "แต่สัญญากับพี่ได้ไหม ว่าเจ๊จะไม่มีวันเล่าให้ใครฟัง"
   "ได้ค่ะ"
   "เมื่อนานมาแล้ว นานมาก" นทีเริ่ม "พวกลัทธิปิศาจแข็งแกร่งกว่านี้มาก พวกมันรวมตัวกันเพื่อทำพิธีใหญ่ เตรียมเครื่องสังเวยมากมาย เพื่อเลือกมนุษย์หนึ่งเดียว ที่จะเป็นตัวแทนของราชาปิศาจบนพื้นโลก เป็นแชมเปี้ยนของปิศาจทุกสายพันธุ์ เป็นประกาศก ที่จะเปิดทางให้พวกปิศาจขึ้นมายึดครองโลกได้จริง ๆ มนุษย์ผู้จะได้รับคำอวยพรจากเหล่ามหาปิศาจ พลังที่เหลือล้น อำนาจอันล้นฟ้า ชีวิตอันเป็นนิรันดร์..."
   "อย่าบอกนะว่า.... พี่เป็นคนคนนั้นเหรอ"
   "เปล่า ไม่ใช่ บ้าเหรอ!" นทีร้อง "พี่เข้าไปพยายามหยุดมัน แต่กว่าจะบุกเข้าไปถึงที่ทำพิธี พิธีก็เกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว พี่สู้กับจ้าวลัทธิปิศาจที่ในวงเวทย์เลยแหละ แล้วก็ เปรี้ยง....."
   "พี่ก็เลยได้พลังของแชมเปี้ยนปิศาจมาแทน"
   "ก็....ไม่เชิง ได้มาแค่ส่วนเดียว เวทมนตร์ วิชา ฝีมือทุกอย่างที่พี่รู้ พี่มี พี่ได้จากการศึกษาฝึกฝนค้นคว้าทั้งนั้นแหละ พลังเดียวที่พี่ได้มาจากพิธีนั้น คือ ตราบใดที่พี่มีพลังเวทมนตร์หล่อเลี้ยงพลังอมตะจากพิธีนั้น พี่ก็จะไม่มีวันแก่ลง ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกายหรือจิตใจ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พี่ยังมีความคิดแบบวัยรุ่นเลือดร้อนอยู่แบบนี้แหละ"
   "อืมมม แล้วในโลกนั้น พี่ไม่มีพลังเวทมนตร์ไปหล่อเลี้ยงความเป็นอมตะใช่ไหม"
   "ใช่ ก็เลยแก่ลง แล้วพอแก่ลงแล้วก็ย้อนกลับไม่ได้ด้วย ในโลกของเราเอง เวลาที่มีอะไรต้องใช้พลังเต็มที่ พี่ก็หยุดใช้งานพลังอมตะเหมือนกัน ทีละสองชั่วโมงบ้าง สามชั่วโมงบ้าง นานสุดก็ประมาณสองวัน รวม ๆ แล้ว หลังจากได้พลังอมตะมา พี่แก่ลงไปแล้วสองเดือน"
   "แล้วตอนนี้"
   "ก็เหมือนกัน พี่หยุดใช้พลังอมตะไปตั้งแต่ก่อนจะขึ้น ฮ. แล้ว ตอนนี้พี่กำลังแก่ลงอยู่ทุกวินาทีเนี่ย"
   "ค่ะ"
   "แล้ว...เอ่อ พี่คิดว่า..."
   "ว่าอะไรคะ"
   "พอเราแต่งงานกันแล้ว พี่จะหยุดใช้พลังอมตะ....อย่างถาวรไปเลย ดีไหม"
   "หืออออ"
   "พวกเราจะได้ค่อย ๆ แก่ และตายไปด้วยกัน"
   "พี่นที...."
   "พี่คิดอย่างนั้นนะ เจ๊ว่าไง"
   "หนูไม่อยากเห็นพี่แก่แบบนั้นอ่า น่าเกลียดดดดดดด"
   "เอ้า!!! แล้วกัน ไอ้เราก็นึกว่าจะโรแมนติก ตัวเองอยากเป็นหญิงแก่ควงหนุ่มยี่สิบหรือไง"
   "เรื่องนั้นไว้เราค่อยคิดเถอะค่ะ ตอนนี้เอาเรื่องใกล้ตัวก่อน พี่ร่ายคาถาไหวแล้วใช่ไหมคะ"
   "อืม ไหว" นทีพูด และเริ่มวาดวงเวทย์   

เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

peddo

คาถาอะไรนะที่จะทำให้หยอนน้อยตื่นขึ้นมา ถ้าใครมีคาถายี้คงมีลูกศิษย์มาเฝ้าหัวกระไดไม่แห้ง
จะได้พิสูจน์รักแท้ ถึงจะแก่ แต่ก็คือพี่นทีคนเดิม ข้าวหอมจะไหวไหม ที่สำคัญ นทีจะตายก่อนรึเปล่านะครับ

peddo

ระบบไม่ยอมให้แก้ ขอลงตรงนี้ละกัน
เป็นฉากรักที่ง่อยมาก แต่น่าจะประทับใจผู้อ่านนะครับ😂

testman

แต่ละโลกนี่มีทุกแบบจริง ๆ มีกระทั่งข้าวหอมเบบี้ และมีท่านผู้เฒ่านทีอีก

จรัญ บุญชู

ถึงร่างกายจะแก่...แต่จิตใจและกำลังคงเหมือนหนุ่มๆ


biggiggog

มาถึงโลกนี้
พี่นทีจะยังไหวอยู่หรือปล่าว
ขอบคุณครับ

pui10000






dawdom



cd13579

นทีเวอร์ชั่นนี้ ไม่ไหวจริง เสี่ยต้นเวอร์ชั่นคนดีตอนแห่งโครตปวดหัว
ใครหื้อใครซ่า ข้าแบนเรียบ