ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

หมอชันสูตรกับวิญญาณ(ไฮโซสาว) 5

เริ่มโดย twintower, พฤษภาคม 30, 2022, 02:56:58 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 2 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

twintower

พวกมารีพลาย์หรือคอมเมนท์แบบมักง่าย เช่นใช่อิโมจิ หรือใช้คำมักง่ายซ้ำๆกันอย่างตามหรือติดตามต่อๆกัน ผมรายงานทีมแอดมินตลอดนะครับ

---------------------------------------------------------------------------------------------
พอกลับมาถึงบ้าน วิญญาณของกิ่งกาญจน์ได้ไปที่ศาลพระภูมิ เธอพบกับท่านพระภูมิที่นั่งเข้าสมาธิอยู่บนตั่งในห้องที่เธอเคยพบกับท่านครั้งแรก

"คุณตาทวดขา หนูเผลอบอกเรื่องของวิญญาณร้ายดวงนั้นหมอยุทธฟังรวมถึงเรื่องจี้ด้วย"

วิญญาณสาวได้เอ่ยกับท่านเจ้าที่ ซึ่งท่านได้ลืมตาแล้วหันมามองที่เธอก่อนจะตอบ

"เจ้าไม่ได้เผลอหรอกนังหนู แต่มันเป็นสิ่งที่เจ้าต้องบอกเจ้ายุทธ มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่เป็นคู่หูจะช่วยเตือน เรื่องบางเรื่องตาเองก็ไม่สามารถที่จะบอกหรือเตือนเจ้ายุทธได้ อย่างที่ตาเคยบอกไว้เมื่อถึงเวลาเจ้าจะรู้เองว่าจะช่วยเจ้ายุทธได้ยังไง เรื่องนี้ก็ใช่ ทำให้เจ้ายุทธไม่ประมาท คอยระวังตัวอยู่ตลอด และจะได้รู้ว่าจี้นั้นสำคัญมาก"

"ทำไมละคะคุณตาทวด เพราะอะไรจี้นี้ถึงสำคัญและมีพลังอย่างมาก"

"เจ้าอาจจะรู้ในอนาคต หรือไม่อาจจะรู้ได้ ตาบอกเจ้าได้เพียงเท่านี้ แต่วันนี้เจ้าทำถูกแล้วละที่เตือนเจ้ายุทธ"

"คะคุณตาทวด"

วิญญาณสาวรับคำก่อนจะกลับไปทำสมาธิที่ห้อง จนผ่านไปได้2-3 วัน เธอได้ช่วยงานผมอย่างจริงๆจังๆเป็นครั้งแรก วันนั้นผมเข้าเวรกลางคืน ขณะที่ผมทานอาหารมื้อเย็นในห้องทำงาน เธอคุยกับผม

"คุณนี่ทานง่ายนะ"

เธอพูดขณะที่ผมใช้ส้อมพลาสติกจิ้มมะเขือเทศใส่ปาก

"ยังไงหรือคุณ"

"ก็ป้าทิพย์จัดอะไรมาให้ คุณก็ทานได้หมด อย่างมื้อนี้ทำสลัดไก่มาให้คุณก็ไม่ถามว่าอะไร พอเปิดกล่องคุณก็กินโดยไม่บ่นฉันสังเกตุมาตลอด หรือเวลาที่คุณไปซื้อมากินเองฉันก็เห็นคุณก็กินของง่ายๆธรรมดาทั่วๆไป"

"งั้นเหรอ ผมพึ่งรู้ มันอาจจะมาจากที่ผมเรียนในโรงเรียนประจำก็ได้มันเลยติดนิสัยกินอะไรก็ได้นะ ทำไมมันดูแปลกหรือไง"

เธอทำหน้าแบบเบื่อๆก่อนจะบอกผม

"ไม่แปลกหรอก แต่มันทำให้ฉันนึกถึงตอนยังไม่ตายนะ พ่อฉันนะจู้จี้พิถีพิถันเรื่องอาหารการกินมาก จนฉันเบื่อ ข้าวแข็งไปก็ไม่ได้แฉะไปก็ไม่ดีมีเรื่องบ่นตลอด กับข้าวก็สรรหามาทำ ที่บ้านเปลี่ยนแม่ครัวเป็นว่าเล่น ไปกินข้างนอกก็บ่น พอเห็นคุณกินแล้วฉันอดคิดไม่ได้นะ แต่ดูแล้วอาหารที่ทำนี่จะเป็นพวกเนื้อปลาพวกผักซะส่วนใหญ่นะ"

"คงมาจากแม่ผมเสียด้วยมะเร็งด้วยละ ป้าทิพย์เลยสั่งให้แม่ครัวเน้นทำพวกนี้ มันทำให้ผมชินด้วยละ"

"แล้วตอนคุณไปเรียนที่สหรัฐละ"

"เขากินอะไรกันผมก็กินแบบนั้นละ ผมเป็นพวกไม่เลือกกินอยู่แล้ว"

"ไม่เหมือนฉัน ตอนไปแรกๆวิตกแทบตาย เพราะกลัวอ้วน เห็นคนที่นั่นกินแล้วกลัวเลย เนื้อเป็นชิ้นๆ ชีสนี้เยิ้มเลย"

"คุณจบที่สหรัฐด้วยหรือ"

ผมทำหน้าแบบ งงๆ ทำเอาเธอหน้าหงิกขึ้นมา

"เฮ้ยฉันจบคอมพิวเตอร์กราฟฟิกนะ มหาลัยเดียวกับลุงคุณด้วย ฉันนะเป็นรุ่นน้องเอ๊ยรุ่นหลานสิ"

"อ้าวเหรอ ผมพึ่งรู้ว่าคุณจบทางด้านนี้"

"นี่คุณหมอ หัดหาข้อมูลหาประวัติบ้างสิ ว่าคู่หูคุณนะมีที่มาที่ไปยังไง ฉันยังไปหาข้อมูลของคุณกับลุงของคุณมาเลย ทำให้รู้ว่าจบยูเดียวกับท่าน"

"ไม่เห็นจำเป็นเลย"

ผมตอบเธอพร้อมจิ้มผักชิ้นสุดท้ายเข้าปาก แต่ก่อนที่เธอจะปรี๊ด โทรศัพท์บนโต๊ะทำงานผมดังขึ้น ผมรับทันทีซึ่งวิญญาณเธอนั้นนั่งทำหน้ามุ่ยอยู่ แต่พอสิ่งที่ผมได้ยินทางโทรศัพท์ทำเอาผมตกใจอย่างมากพอวางโทรศัพท์ ผมบอกเธอ

"คุณกิ่งคุณไปกับผมเร็ว มีงานใหญ่รออยู่แล้ว ผมอาจต้องพึ่งคุณ"

ผมบอกเธอขณะที่หยิบกระเป๋าใส่อุปกรณ์

"เรื่องอะไรหรือคุณ"

"เดี๋ยวผมเล่าให้ฟัง"

บนรถตู้ของโรงพยาบาลที่มีเจ้าหน้าที่ของฝ่ายชันสูตรอีก3-4คนนั่งไปด้วย ผมเล่าให้เธอฟังผ่านกระแสจิตว่าเกิดเหตุฆาตกรรม4 ศพขึ้นที่บ้านหลังหนึ่ง เป็นการฆ่าทั้งครอบครัว พ่อ แม่ และลูกสาว อีก 2คน 

"แล้วคุณคิดว่าจะให้ฉันช่วยอะไรละ"

เธอถามหลังจากที่ฟังผมเล่าจนจบ

"ยังไม่รู้ แต่ผมคิดว่ามันคงดีกว่าที่ผ่านๆมานะ"

กิ่งกาญจน์ย่นจมูกให้ผม แล้วไม่ถามอะไรอีก จนไปถึงบ้านที่เกิดเหตุที่เป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ 2 ชั้น  ทั้งหน้าบ้านและภายในบ้านมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิอยู่จำนวนมาก

"อาจารย์ครับสงสัยงานใหญ่"

เจ้าหน้าที่ ที่มาด้วยบอกกับผม

"คงใช่ละ ถูกฆ่าตั้ง 4 คน สงสัยนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มากันเพียบ"

ผมตอบเจ้าหน้าที่แล้วมองออกที่หน้ากระจก ตำรวจนั้นชี้ทางให้คนขับรถเอารถไปจอดในบ้านซึ่งมีบริเวณที่กว้างขวางแต่ตอนนี้มีรถจอดกันเต็มไปหมด  ซึ่งก่อนที่จะเข้าบ้านเหมือนจะมีอะไรมาสะกิดใจผม ทำให้ผมตั้งจิตไปถึงเจ้าที่ของบ้านนี้เพื่อขออนุญาตให้ดวงวิญญาณของกิ่งกาญจน์นั้นเข้ามาในบ้านกับผมด้วย ซึ่งดูจะไม่มีปัญหาอะไรเพราะเธอนั้นไม่โวยวายอะไรออกมา พอผมลงจากรถ มีเจ้าหน้าที่มูลนิธิและผู้กำกับเจ้าของท้องที่เกิดเหตุที่ผมรู้จักเป็นอย่างดีได้เดินมาหาผมทันที

"สวัสดีครับคุณหมอยุทธ"

ผู้กำกับทักทายผมก่อนจะรีบอธิบายให้ผมฟัง

"หมอคงทราบมาคร่าวๆแล้ว ว่ามีเหตุถูกฆ่ายกครัวครับ บ้านนี้เจ้าของมีฐานะที่ร่ำรวยแต่ผมยังไม่รู้ว่าเป็นการปล้นหรือเปล่า เพราะสภาพทรัพย์สินนั้นไม่มีตรงไหนที่ถูกรื้อค้น ส่วนสภาพศพน่าอนาถมากครั้ง มีทั้งถูกยิงถูกแทง โดยเฉพาะคนที่เป็นแม่คงทรมานน่าดูก่อนจะตาย ที่ศพมีรอยมีดไปแทบทั้งตัว ทางตำรวจได้รับแจ้งจากชาวบ้านแถวนี้ครับว่าได้ยินเสียงปืนจากบ้านนี้2-3นัด พอสายตรวจมาถึงก็เห็นประตูรั้วกับประตูบ้านเปิดอ้าอยู่แล้ว พอตำรวจเข้าไปในบ้านก็เห็นศพ 4 ศพถูกฆ่าที่ห้องรับแขก ผมพึ่งมาก่อนหน้าหมอได้สักครึ่งชั่วโมงครับ เชิญหมอกับทีมงานเข้าไปดีกว่าครับ ทางทีมพิสูจน์หลักฐานรออยู่แล้วครับ"

ผมพยักหน้าให้ทีมงานที่มาด้วยเข้าไปในบ้าน โดยทางผู้กำกับได้เดินนำเข้าไป ภายในบ้านที่ห้องรับแขก มีศพ 4 ศพนอนเรียงกันอยู่สภาพศพนั้นน่าอนาถใจจริงๆ จากสายตาของผมทั้งหมดถูกฆ่าตายอย่างเลือดเย็น  ผมใส่ถุงมือยางทันทีแต่ก่อนที่จะพูดอะไรกับทีมงาน มีเสียงทักมา

"สวัสดีคะหมอ"

ผมหันไป เห็นหญิงสาวที่แต่งกายรัดกุมและมีเสื้อกั๊กสีดำสวมทับอยู่ มือเธอถือกล้องถ่ายรูป ส่วนหัวนั้นคลุมด้วยหมวกพลาสติกที่ดูเหมือนพลาสติกที่ใช้คลุมหัวตอนอาบน้ำ

"อ้าวผู้กองอลิสา สวัสดีครับ"

ร.ต.อ.หญิงอลิสาเธอเป็น 1ในหัวหน้าทีมพิสูจน์หลักฐาน และเป็นคู่กัดกับผมก็ว่าได้ เพราะหลายๆครั้งที่ผ่านผมใช้ความสามารถพิเศษนั้นหาหลักฐานสำคัญมาเพื่อมาเพิ่มหรือแย้งข้อมูลกับสิ่งที่เธอกับทีมงานนั้นหามาให้ ส่วนใหญ่มันจะช่วยงานของเธอให้สะดวกขึ้นสามารถเอาผิดผู้ต้องหาได้ แต่เธอนั้นคงรู้สึกว่าผมหักหน้าเธอกับทีมงาน มันดูเหมือนพวกเธอทำงานไม่รอบคอบ

"เชิญคุณหมอได้เลยคะ ทางเรากั้นที่ไว้ให้แล้ว และยังไม่ใครแตะต้องศพนะคะ"

ผมยิ้มรับแทนคำตอบ และหันไปสั่งทีมงานที่มาด้วยให้เตรียมบันทึกภาพ

"ผู้กองเชิญด้วยครับ"

ผมหันไปบอกผู้กองสาวขณะที่ก้มลงไปถ่ายภาพศพผู้ชายเป็นศพแรก แต่ผมจิตได้ยินเสียงของกิ่งกาญจน์บอกผม

"คุณหมอ ดูตรงมุมห้องสิคุณหมอเห็นแบบที่ฉันเห็นหรือเปล่า"

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองที่มุมห้อง ผมเห็นวิญาณทั้ง 4 มองมาที่ผมด้วยสายตาที่เศร้า โดยเฉพาะวิญญาณของแม่กับลูกสาวทั้งคู่นั้นกำลังร้องไห้อยู่

"คุณกิ่งคุณลองเข้าไปคุยกับพวกเขาก่อนนะ ผมขอตรวจศพพวกเขาก่อนและเราค่อยมาดูว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง"

"ได้เลย"

เธอตอบผมพร้อมกับวิญญาณของเธอลอยไปหา วิญญาณทั้ง 4 ส่วนผมเริ่มทำการตรวจสอบสภาพของศพตามขั้นตอนมันต้องใช้วลาพอสมควร ผมชี้ให้ทีมงานและผู้กองสาวบันทึกภาพแผลที่เกิดตามร่างกายตามที่ผมบอกจนเรียบร้อยทั้ง 4 ศพผมได้บอกกับผู้กับกำกับที่ยืนดูอยู่ไม่ห่างออกไปนัก

"ผมดูจากอุณหภูมิของร่างและเลือดที่ยังไม่แข็งตัวเต็มที่ แสดงว่าตายไม่เกิน 2ชั่วโมงครับ แต่สภาพศพของพ่อนั้นอย่างที่ผมชี้ให้ดูมีรอยช้ำอยู่พอสมควรแสดงว่าถูกซ้อมก่อนถูกยิงจ่อที่ศีรษะแต่ไม่มีรอยทะลุออกมา กระสุนฝังอยู่ข้างใน ส่วนสภาพศพของแม่อย่างที่ผู้กำกับบอก มีรอยถูกเฉือนถูกแทง 10 กว่าแผล ดูแล้วจะตายอย่างทรมานที่สุด ส่วนลูกสาว 2 คนถูกจ่อที่หัวเหมือนกับศพของพ่อ  ที่ข้อมือของทุกศพมีรอยถูกมัดด้วยเชือก แต่ผมคิดว่าคนร้ายมันคงแก้เชือกที่รัดมือครับ มันอาจมีรอยนิ้วมือหรือหลักฐานอะไรบนเชือกที่มันรัดข้อมือไว้ พวกมันถึงแก้เชือกเอาติดไปด้วยครับ"

ผู้กำกับพยักหน้ารับรู้พร้อมสีหน้าที่แสดงความหนักใจและตอนนั้นมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มาอีกหลายคนทำให้ผมกับผู้กำกับต้องไปรายงานและอธิบายเพิ่มเติม พอเรียบร้อยผมกลับมาดูที่ศพอีกครั้งและเห็นวิญญาณของทั้ง 4 ยังอยู่ที่เดิม ส่วนวิญญาณของกิ่งกาณจน์นั้น สีหน้าเธอดูไม่ดีและเหมือนจะร้องไห้ด้วย

"คุณมันเป็นการปล้นนะ พวกโจรมันปล้นเอาพระไป"

"พวกวิญญาณพวกนี้บอกคุณใช่ไหม"

"ใช่แล้ว ไม่เชื่อคุณลองไปถามดูสิ น่าสงสารมากเลย"

ผมจึงทำทีเดินไปที่มุมห้อง แต่ตามที่ผมคิดผมไม่สามารถที่จะติดต่อกับพวกเขาทั้ง 4 ได้วิญญาณทั้ง 4ได้แต่มองผมขณะที่ผมสื่อสารทางจิตแต่ไม่มีอะไรตอบกลับ งานนี้ผมต้องพึ่งเธอแล้ว และผมได้ยินทางตำรวจกับเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานคุยว่า ห้องชั้นบนทุกห้องไม่มีรอยถูกรื้อค้น ทรัพย์สินต่างๆน่าจะอยู่ครบ แต่ฮาร์ดดิสก์ที่เก็บภาพจากกล้องวงจรปิดที่ติดในบ้านถึง 6 ตัวนั้นถูกถอดออกไปด้วย เท่ากับว่ายังไม่มีใครรู้รายละเอียดอะไรมากนัก ทางตำรวจคงกำลังหัวหมุนกันอยู่ เพราะหัวหน้าครอบครัวนี้เป็นผู้บริหารของบริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนภรรยาทำงานเป็นพนักงานบริษัทอีกที่หนึ่ง กิ่งกาญจน์บอกกับผมว่า ผู้ชายที่ตายนั้นมีอีกอาชีพหนึ่งคือรับจำนำพระและรับเช่าพระ มีคนในวงการเท่านั้นที่รู้และเมื่อไม่นานมานี้ ได้รับซื้อพระที่หลุดจำนำมาจากเซียนพระคนหนึ่งในราคาร่วม 10 ล้าน เพราะพระองค์นั้นเป็นพระเครื่องที่หายากและมีราคาสูงมาก แต่เจ้าของเก่านั้นอยากได้คืน พอรู้จากคนที่รับจำนำแล้วว่ามีการขายให้ไปแล้วเจ้าของเก่าได้ติดต่อมาที่คนตายเพื่อขอซื้อคืนแต่เสนอราคาที่ต่ำมาก

ทำให้คนตายไม่ยอมขายคืนให้ เจ้าของเก่านั้นโกรธมากเพราะพระเครื่ององค์นี้เป็นมรดกตกทอด เมื่อขอซื้อคืนไม่สำเร็จ จึงได้ข่มขู่ต่างๆนาๆ แต่คนตายนั้นไม่สนใจในคำขู่ เจ้าของเดิมจึงพาลูกน้องอีก 2คนมาปล้นพระเครื่องคืน ซึ่งคนตายนั้นไม่ยอมบอกว่าเก็บไว้ที่ไหนทั้งๆที่โดนซ้อม จนคนร้ายเปลี่ยนแผนมาทรมานเมียแทนด้วยการใช้มีดเฉือนไปตามร่างกาย ซึ่งคนตายนั้นยอมบอกว่าเก็บพระไว้ที่ไหน แต่เมียคนตายนั้นด่าทอ สาปแช่งคนร้ายทำให้คนร้ายโมโห จึงใช้มีดทั้งเฉือนทั้งแทงคนที่เป็นเมียตาย แล้วบังคับผู้ชายฬฆ็พาขึ้นไปหยิบพระที่เก็บไว้ในตู้เซฟในตู้เสื้อผ้าบนห้องนอน ทำให้ไม่เกิดร่องรอยรื้อค้น และจัดการฆ่าปิดปากทั้ง 3 คนที่เหลือ ส่วนที่ไม่มีใครได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือก่อนหน้านี้ เพราะทั้ง 4คนถูกผ้าขนหนูอุดปาก และส่วนที่สำคัญที่สุด คือพวกคนร้ายเอาผ้าขนหนูที่อุดปากไปเช็ดรอยเลือดที่ติดกับรองเท้าขณะขึ้นไปชั้นบนและพวกมันเอาผ้าขนหนูกลับไปด้วย กิ่งกาญจน์เล่าไปร้องไห้ไปด้วย และถึงตอนนี้ทางตำรวจกับพวกพิสูจน์หลักฐานยังไม่มีใครให้ความสนใจบริเวณพื้นห้องจนไปถึงตรงบันได พวกคนร้ายมันเช็ดคราบเลือดไปหมดจริงๆ ตอนนั้นผมยัง  สองจิตสองใจอยู่ว่าจะเชื่อทั้งเรื่องทั้งหมดหรือไม่ ผู้กองสาวได้เดินมาถามผม

"มีอะไรคะหมอ"

"ผมสงสัยอะไรบางอย่าง ว่าทำไมพื้นรอบๆห้องมันดูสะอาดเกินเหตุ กับเรื่องที่ผมได้ยินว่าไม่มีของหาย ถ้ามันไม่ใช่ฆ่าชิงทรัพย์ พวกคนร้ายมันคงโกรธแค้นครอบครัวนี้มาก ถึงฆ่าทิ้งทั้งหมด"

"ประเด็นหลังมันก็นาคิดคะ แต่คงต้องให้ทางตำรวจสืบแต่ ตรงประเด็นแรกน่าสนใจมากคะ"

เธอยังไม่ทันพูดจบผมหันไปสั่งกับทางทีมงาน

"ขอลูมินอลด้วย"

ทีมงานส่งขวดสเปรย์ที่ใส่สารลูมินอลให้ผมทันที ผมเริ่มฉีดสารลูมินอลไปตามพื้นแล้วไล่ไปจนถึงหน้าบันได และฉีดสารลูมินอลลงไปที่พื้นบันได 2 ขั้นแรกด้วย ทางทีมงานที่เดินตามมาได้ส่งไฟฉายแสงยูวีให้ผม พอผมฉายไฟสีฟ้าตั้งแต่ขันไดไล่ลงมาถึงพื้นทำให้เห็นรอยรองเท้าที่เป็นคราบเลือดที่เป็นแสงลีน้ำเงินอมเขียวปรากฏให้เห็นไปทั่วบริเวณที่ผมฉีดสารลูมินอล ผู้กองอลิสาที่เดินตามผมมาติดๆ ได้พูดด้วยเสียงที่ดังกับทีมพิสูจน์หลักฐานทันที

"ปิดกั้นพื้นที่ตรงนี้ทันที"

พื้นตรงบริเวณนั้นถูกปิดกั้นทันทีตามคำสั่ง และทางทีมพิสูจน์หลักฐานได้รับหน้าที่ต่อจากผม มีการพ่นสารลูมินอลไปตามขั้นบันไดจนไปถึงชั้นบน ซึ่งปรากฏให้เห็นรอยเท้าที่ติดคราบเลือดเป็นระยะจนไปถึงห้องนอนซึ่งรอยเท้าพวกนั้นไปปรากฏตรงหน้าตู้เสื้อผ้าที่มีตู้เซฟขนาดเล็กอยู่ในตู้เสื้อผ้า ผมไม่ได้ขึ้นไปดูแต่ทางตำรวจกับวิญญาณของกิ่งกาญจน์ที่ตามขึ้นไปดูนั้นเล่าฟัง เท่านี้มันก็เพียงพอแล้ว ผมจึงถามไปทางทีมงาน

"พิมพ์รอยนิ้วมือศพกับถ่ายรูปเรียบร้อยแล้วใช่ไหม"

"ครับหมอ ครบทั้ง 4 ศพแล้ว"

"งั้นก็บอกให้ทางมูลนิธิเอาศพกลับไปที่โรงพยาบาลได้ คืนนี้งานหนักแน่นอน"

ผมบอกไปที่เจ้าหน้าที่ แต่วิญญาณของกิ่งกาญจน์นั้น รีบบอกกับผม

"เฮ้ยคุณหมอ พวกวิญญาณเขาบอกแล้วว่าพวกมันเอาผ้าที่เปื้อนเลือดกับเชือกไปทิ้งที่ไหน"

"งานของเราตรงนี้หมดแล้วคุณกิ่ง ผมทำอะไรต่อไม่ได้แล้ว กลับกันเถอะ"

"โธ่คุณนี่"

"ใจเย็น อย่าลืมสิผมต้องผ่าศพคนพวกนี้อีก ผมต้องหากระสุนที่อยู่ในหัวของพวกเขา พวกพิสูจน์หลักฐานไม่เจอปลอกกระสุนเลยสงสัยพวกมันใช้ปืนลูกโม่"

ผมต้องรีบตัดบทเพราะดูแล้วเธอคงโวยไม่เลิก ถ้าไม่บอกว่าผมยังไม่ทำงานของผมไม่ครบถ้วน จนกลับมาถึงโรงพยาบาลศพทั้ง 4 ถูกวางเรียงกันอยู่บนเตียงผ่าศพ ผมกับหมอชันสูตรอีกคนต่างช่วยกันผ่าศพ ผมถ่ายภาพบาดแผลตามตัวรูปศพอีกครั้งและเริ่มทำตามขั้นตอน ด้วยข้อมูลที่ได้มาว่ามีการเอาผ้าอุดปาก ทำให้ผมตรวจพบชิ้นส่วนขนาดเล็กของเศษผ้าในศพคนตายทั้ง 4คนที่ในโพรงจมูกและในปาก พอผ่ากะโหลกผมพบกระสุนขนาด.38 ในหัวกะโหลกของคนพ่อและลูกสาวอีก 2คนและที่สำคัญผมได้เศษชิ้นเนื้อจากซอกเล็บที่ศพของคนพ่อ  ส่วนคนแม่นั้นตายเพราะถูกของแหลมแทง                กิ่งกาญจน์บอกผมว่าพวกคนร้ายมันสวมถุงมือยางด้วยทำให้ไม่ตรวจพบรอยนิ้วมือ

"ไอ้หัวหน้ามันชื่อสุทิน คนเป็นพ่อบอกฉัน มันเป็นนักเลงพระแต่นิสัยมันเป็นพวกนักเลงด้วยละ ตอนนี้พวกมันหนีไปกบดานที่สระบุรี  พวกมันคงเตรียมตัวมาดีพอสมควร คุณต้องช่วยให้ตำรวจจับพวกมันมาให้ได้นะ"

"ก็นี่ไงผมทำอยู่ แต่เราอย่าไปทำอะไรให้มันล้ำหน้าเกินไป ผมแค่ช่วยชี้ทางให้เขาตรวจเจอคราบเลือดจนไปถึงห้องนอนแล้ว ตำรวจคงสืบได้ละว่าอะไรหายไปหลังจากเปิดเซฟได้เพราะยังไงเรื่องที่คนตายมีอาชีพสำรองแบบนี้ตำรวจต้องสืบได้อยู่แล้ว แต่ที่จะปะติดปะต่อเรื่องได้เมื่อไหร่ ตรงนี้ก็แล้วแต่ตำรวจเราไปยุ่งไม่ได้ ตอนนี้ผมได้ข้อมูลเพิ่มเรื่องเศษผ้าและเศษชิ้นเนื้อ ที่เจอเพิ่มแล้ว เดี๋ยวตำรวจก็มาถามเรื่องผลชันสูตรจากผมอยู่แล้ว ส่วนเรื่องที่คุณบอกว่ามันใส่ถุงมือยาง มันก็ช่วยผมได้เยอะ ผมมีวิธีบอกตำรวจเอง"

"ไม่ทันใจเลย ฉันสงสารครอบครัวเขานะ เด็กผู้หญิง 2 คนต้องมาตายอย่างอนาถ โดยเฉพาะคนเป็นแม่ที่ร้องไห้ไม่หยุด แต่ก่อนตายคงทรมานมาก"

"มันต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายสิคุณ เราทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว"

เธอทำสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก แต่ไม่พูดอะไรออกมา และไม่นานนักทางตำรวจและเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้มาพบผมที่โรงพยาบาล ผมพาไปดูศพทั้ง 4 พร้อมกับหลักฐานต่างๆที่ได้จากตัวศพ

"มีอะไรที่คุณหมอตั้งข้อสงสัยได้มากกว่าหลักฐานที่เจอครับ"

ผู้กำกับถามผม

"พวกเสื้อผ้าที่คนตายใส่ และหลักฐานที่ผมเจอในศพผมเตรียมให้ทางฝ่ายพิสูจน์หลักฐานไปตรวจหาร่องรอยแล้วครับ ส่วนที่ผู้กำกับถามผมดูจากสภาพศพของคนที่เป็นพ่อ ดูแล้วมีทั้งรอยถูกตบ รอยถูกชก แต่ผมพยายามตรวจหารอยนิ้วมือตรงรอยช้ำแล้วหาไม่เจอ ผมเลยให้เจ้าหน้าที่ตรวจเพิ่มว่าตรงผิวหนังบริเวณนั้นมีสารอะไรบริเวณนั้นหรือเปล่า ทำให้ผมสงสัยว่าพวกมันสวมถุงมือยาง"

พอผมพูดจบผู้กองอลิสาเสริมต่อทันที

"ทางเราก็ตรวจไม่พบรอยนิ้วมือ ที่แตกต่างจากคนในบ้านทั้ง 4 คนคะ ตรงตู้เซฟเป็นรอยนิ้วมือของคนเป็นพ่อ"

"ถ้าอย่างนั้นผู้กองคิดว่า พวกมันใส่ถุงมือยางเหมือนที่ผมคิดหรือเปล่าครับ"

"เป็นไปได้คะหมอ"

น้ำเสียงของเธอนั้นแบ่งรับแบ่งสู้ ผมจึงพูดต่อไปอีก

"ถ้ามันใส่ถุงมือยางจริงๆ เราคงต้องตรวจเพิ่มในเสื้อผ้าของคนตายว่ามีสารของถุงมือยางที่พวกมันติดอยู่ด้วยหรือเปล่าครับจะได้ตอบข้อสงสัยในเรื่องนี้ ส่วนตรงข้อมือของทั้ง 4 คน อย่างที่ผมบอกกับผู้กำกับไปแล้วเรื่องรอยถูกมัด แถมตรวจพบเศษผ้าขนหนูชิ้นเล็กๆที่ถูกหายใจเข้าไปทั้งทางปากและทางจมูก พวกมันต้องใช้ผ้าขนหนูอุดปากไม่ให้พวกคนตายร้องด้วยครับ"

"ถ้าอย่างนั้นผ้าขนหนูหายไปพร้อมกับเชือก มันเอาผ้าขนหนูไปด้วยเพราะอะไร หรือมันใช้ผ้าขนหนูไปเช็ดรอยเลือดที่ติดกับรองเท้าของพวกมัน หมอคิดแบบนั้นใช่ไหมครับ"

ผู้กำกับถามผม แต่ผมแทบสะดุ้งเพราะตกใจเสียงร้อง "เย้" ที่ดังจากด้านหลังผม เป็นเสียงกิ่งกาญจน์ที่ร้องออกมาอย่างดีใจทำให้ผมต้องเก็บอาการก่อนจะตอบ

"ดูแล้วมันคงจะเป็นแบบนั้นครับ"

"เอาละอย่างน้อยมีข้อมูลตรงนี้ที่ได้มาเบื้องต้น ผมเดาว่ามันคงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการเอาผ้าที่อุดปากมาเช็ดรอยเลือด แต่พวกมันคงเตรียมการมาอย่างดีเราถึงไม่ได้หลักฐานอะไรในที่เกิดเหตุมากนัก ผมกำลังให้ลูกน้องช่วยกันไล่ดูกล้องวงจรปิดตามละแวกบ้านที่เกิดเหตุเผื่อเจอรถที่ต้องสงสัย ขอบคุณมากครับหมอ"

ผู้กำกับบอกกับผมก่อนจะลากลับ ส่วนผู้กองอลิสาได้บอกให้ลูกน้องเอาเสื้อผ้าและหลักฐานที่ได้จากตัวคนตายกลับไปตรวจสอบเพิ่มเติม ส่วนเธอนั้นเซ็นชื่อรับหลักฐานลงบนเอกสารและส่งคืนให้พร้อมพูดกับผม

"ถ้าหมอได้อะไรเพิ่มรีบโทรมาบอกนะคะ คดีนี้ผู้ใหญ่เร่งมาตลอดเวลาคะ แต่ทำไมหมอถึงเอะใจเรื่องรอยเลือดละคะ"

"ประสบการณ์ยังไงครับผู้กอง มันสอนอะไรให้กับผมเยอะ ส่วนเรื่องนั้นไม่ต้องห่วงถ้าผมตรวจเจอผมจะรีบแจ้ง"

ผมตอบกลับก่อนที่พวกเธอจะพากันเดินออกจากห้อง และเสียงชองกิ่งกาญจน์นั้นดังขึ้นมาทันที

"แหมคุณนี่ก็ยอดเยี่ยมจริงๆ ใช้ข้อสังเกตมาอ้าง แล้วชี้ทางให้พวกตำรวจ"

"ตำรวจเขาก็คิดเป็นคุณ แต่มันมีหลายๆประเด็นที่อาจทำให้ต้องมองไปหลายๆทาง เท่านี้มันก็เพียงพอแล้วเราไม่ต้องไปทำอะไรให้มันมากกว่านี้"

"ไอ้สุทินมันเอาผ้ากับเชือกไปทิ้งข้างทางก่อนถึงปั๊มน้ำมันแถวๆอยุธยานะคุณ ส่วนฮาร์ดดิสก์มันเอาไปเอาทุบก่อนและทิ้งลงในแม่น้ำ"

เธอบอกกับผม ขณะที่ผมเดินเข้าไปดูศพของคนที่เป็นพ่อ

"ปล่อยมันไปเถอะคุณ เรื่องนี้มันเกินกว่าที่เราจะไปยุ่ง ที่เหลือปล่อยให้เป็นเรื่องของตำรวจ แต่นี่ถ้าไม่ได้คุณผมก็ไม่รู้จะช่วยทางตำรวจยังไง ผมติดต่อกับวิญญาณครอบครัวนั้นไม่ได้ "

"เห็นไหมฉันมีประโยชน์ช่วยคุณได้เยอะเลย แต่ฉันขำนะที่คุณแกล้งทำเนียนหาคราบเลือดนะ ทำเอาแม่ตำรวจจอมเชิดคนนั้นหน้าเหวอไปเลย เธอเคยมีประเด็นกับคุณหรือไง"

"ทำงานแบบนี้มันก็มีข้อขัดแย้งบ้างละคุณ"

ผมตอบเธอไปแบบนี้ ก่อนที่จะเริ่มตรวจดูร่องรอยบนตัวศพอีกครั้ง และหลังจากนั้นอีก 2 อาทิตย์ทางตำรวจได้ออกหมายจับนายสุทินที่เป็นหัวหน้าได้เพราะมีหลักฐานที่มัดตัวอย่างแน่นหนา เริ่มจากในตู้เซฟที่เปิดเจอนั้นมีรอยของกล่องใส่พระอยู่บนผ้าที่ใช้ปูรอง โดยทรัพย์สินอื่นๆในตู้เซฟไม่มีร่องรอยเคลื่อนย้าย ยิ่งทางตำรวจได้ข้อมูลที่คนตายนั้นมีอาชีพเสริมที่รับจำนำและซื้อขายพระทำให้เริ่มคลำทางถูก จากกล้องวงจรปิดที่ไล่ดูนั้นทำให้เห็นรถกระบะสีขาววิ่งไปและวิ่งกลับ ในช่วงเวลาที่ห่างกัน 2 ชั่วโมงเศษ และจากกล้องวงจรปิดที่อยู่เลยบ้านที่เกิดเหตุไม่พบว่ารถกระบะคันนั้นวิ่งมาถึง ทำให้ทางตำรวจตามรอยรถกระบะคันนั้นได้จากกล้องวงจรปิด แถมมีคนเก็บของเก่าไปพบผ้าขนหนูที่มีรอยเลือดและเชือกที่ถูกทิ้งที่อยู่ไม่ห่างจากปั๊มน้ำมัน คนขายของเก่านั้นเอะใจกับผ้าที่เปื้อนเลือดจึงรีบแจ้งตำรวจทันที ทางตำรวจจึงตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดที่อยู่หน้าปั๊มทำให้เห็นรถกระบะสีขาวคันนั้นจอดอยู่ริมถนน พอตรวจป้ายทะเบียนนั้นเป็นป้ายทะเบียนปลอม

และทางตำรวจได้ข้อมูลเพิ่มจากการเค้นสอบคนที่รับจำนำพระและเอามาขายต่อ เพราะตำรวจได้ข้อมูลการโอนเงินจากทางบัญชีธนาคารของคนตายมาที่คนที่รับจำนำ ตำรวจจึงเริ่มคลำทางถูกแถมผ้าขนหนูและเชือกที่เจอ ทีมพิสูจน์หลักฐานตรวจเจอ DNA และรอยนิ้วมือของสุทินและมันตรงกับเศษชิ้นเนื้อที่ผมพบแถมนายสุทินนั้นมีชื่อเป็นเจ้าของรถกระบะสีขาวและยี่ห้อเดียวกันกับรถที่ปรากฏให้เห็นในวงจรปิด ส่วนเรื่องเศษชิ้นเนื้อนั้นกิ่งกาญจน์บอกผมว่า คนที่เป็นพ่อจับแขนและเล็บไปครูดบนแขนของมันก่อนโดนจับมัดมือ ทำให้ตำรวจขอศาลออกหมายจับได้ และคดีนี้มันจบตรงที่ สุทินนั้นถูกวิสามัญเพราะไม่ยอมให้ตำรวจจับกุม แถมอมพระเครื่องที่ไปปล้นฆ่ามาอยู่ในปาก และปืนขนาด .38 ที่อยู่ในมือนั้นเป็นปืนกระบอกเดียวกับที่ฆ่าครอบครัวนี้หลังจากตรวจสอบแล้ว  ยิ่งค้นรถของนายสุทินทำให้เจอหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้น หลักฐานอีกอย่างคือตำรวจตรวจเจอคราบเลือดจากพื้นรองเท้าของคนร้ายทั้ง 3 คนที่ใส่ในวันก่อเหตุอีกด้วย

ส่วนลูกน้องอีก 2 คนนั้นยอมมอบตัวและรับสารภาพทุกอย่าง ลูกน้องทั้ง 2 คนที่มอบตัวบอกกับทางตำรวจว่า สุทินเป็นคนลงมือทั้งหมด พวกมันช่วยตอนจับมัดและซ้อมคนที่เป็นพ่อเท่านั้น ส่วนที่เหลือเป็นฝีมือของสุทิน เริ่มตั้งแต่พามาสำรวจลาดเลาที่บ้านคนตาย สั่งให้หาอุปกรณ์ต่างทั้งถุงมือยาง หมวกไหมพรม เชือก พวกมันสวมหมวกไหมพรมตอนเข้าไปปล้น แต่คนที่เป็นพ่อจำเสียงสุทินได้ สุทินจึงจับมัดและทรมานคนที่เป็นแม่เพื่อให้บอกที่ซ่อนพระก่อนที่จะฆ่าทิ้งทุกคน มันตรงกับที่กิ่งกาญจน์เล่าให้ผมฟัง ซึ่งทางตำรวจนั้นค้นหาฮาร์ดดิสก์กล้องวงจรที่ทิ้งไม่ได้ แต่เท่านี้ก็เพียงที่ทำให้ปิดคดีนี้ได้

"เห็นไหมคุณ เราไม่ต้องไปทำอะไรมากนัก ตำรวจก็ตามจนเจอผมมักจะใช้วิธีแบบนี้ละ ไม่ต้องใช้ทำอะไรให้มากกว่านี้ ใช้หลักการของวิทยาศาสตร์มาช่วย หลังจากได้ข้อมูลจากพวกวิญญาณคนตาย แต่บอกตรงๆไม่ได้คุณผมก็แย่ เพราะครั้งนี้ผมติดต่อกับพวกคนตายไม่ได้"

"จ้า แต่คนพวกนั้นฝากขอบคุณ คุณมาด้วยนะที่ช่วยหาทางจับคนร้ายได้ วิญญาณของพวกเขาจะได้สงบสุข"

เธอตอบด้วยน้ำเสียงกิ่งประชด เพราะดูแล้วยังขัดใจที่ผมไม่บอกตำรวจทั้งหมดทั้งๆที่ผมพยายามอธิบายให้ฟังแต่ดูเธอจะไม่สนใจเท่าไหร่นัก แต่ผมยอมรับจริงๆว่าถ้าไม่ได้เธอคดีนี้อาจปิดไม่ได้ หรือต้องใช้เวลานานกว่านี้ ซึ่งผมคุยกับเธอพร้อมเก็บเอกสารไปด้วย

"นั่นคุณจะไปไหนนะ ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลย"

เธอทักผมทันทีขณะที่ผมกำลังเก็บเอกสารใส่แฟ้ม

"วันนี้ผมมีสอนนักศึกษาพยาบาลที่มหาวิทยาลัยไง คุณลืมไปแล้วหรือผมก็บอกคุณตั้งแต่เช้าแล้วนี่ จะไปด้วยกันไหมละ"

"เออจริงฉันลืม ไม่ละฉันกลับไปที่ศาลพระภูมิดีกว่า ไปนั่งฟังคุณสอนแล้วง่วงนอน"

เธอตอบผมก่อนที่ร่างเธอจะหายไปทันที ผมหัวเราะเบาๆพร้อมส่ายหน้าก่อนจะเดินออกจากห้อง คืนนั้นหลังจากสอนเสร็จผมมีนัดกับพลอยที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง และพลอยส่งข้อความมาบอกผมว่าเธอจะมาช้ากว่าที่นัดไว้เพราะติดผ่าตัดคนไข้ที่มาทำศัลยกรรม ระหว่างที่นั่งรอผมได้ยินเสียงทัก ผู้กองอลิสานั่นเองที่เป็นคนทักผม

"คุณหมอยุทธนัดใครไว้หรือเปล่าคะนี่"

"อ้อ นัดเพื่อนไว้นะครับ พอดีเขาติดผ่าตัดเล็ก เลยมาช้านิดนึง"

ผมตอบเธอหลังจากที่เธอทัก

"งั้นขอรบกวนเวลาสักครู่ได้ไหมคะ พอดีมีเรื่องที่จะถามมันยังคาใจอยู่พอสมควร"

"เชิญนั่งครับ"

ผมบอกเธอและผู้กองสาวนั่งฝั่งตรงข้ามผม และเธอนั้นเข้าประเด็นทันที

"ต้องขอบคุณหมอมากๆเรื่องคดีที่ผ่านมาทำให้ปิดคดีได้เร็วกว่าที่คิด คุณหมอยุทธมีส่วนช่วยอย่างมาก แต่มันเรื่องที่คาใจมาหลายครั้งแล้วคะเรื่องที่คุณหมอนั้นชี้ให้เห็นจุดสำคัญเล็กๆน้อยๆได้"

เธอไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้จริงๆ แต่เป็นผม ผมก็สงสัยเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมทำแบบนี้ชี้ที่หรือบอกทางให้เห็นจุดเล็กน้อยๆที่หลายๆคนมองข้าม ตามที่วิญญาณคนตายมาบอกผม

"ก็อย่างที่บอกไปนะครับ ประสบการณ์ที่ผมมีเรื่องพวกนี้อธิบายยากครับ อย่างผู้กองเองก็คงจะมีแต่บางครั้งเราอาจจะมองหรือมีแนวคิดกันคนละมุม หรือผู้กองยังไม่ได้ตรวจหาแต่ผมเอะใจขึ้นมา ผู้กองเองก็คงเคยเห็นผมในศาลแล้วที่ตอบพวกอัยการหรือทนายความของจำเลย ว่าผมไปเจอหลักฐานพวกนี้ได้ยังไง"

"นั่นนะสิคะ แต่มันก็ทำให้สานั้นคาใจอยู่หลายครั้งที่สากับทีมมั่นใจว่าตรวจละเอียดแล้ว แต่หมอกับไปหาเจอจุดเล็กๆนั้นได้"

"ตอนผมไปเรียนปริญญาโทที่สหรัฐ มีอาจารย์คนหนึ่งเคยอยู่กับ CSI มาก่อน ท่านมักจะย้ำว่าถ้าสงสัยให้ตรวจซ้ำอีกครั้ง และถ้าไม่เจอให้มานั่งนึกว่าตรงไหนที่เรายังไม่ตรวจ ตรงไหนที่เรามองข้าม ผมเลยใช้คำสอนนี้มาตลอดครับ"

 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

solomon1977

สงสัยจะไม่ได้เจอหมอพลอยแล้วมัง้ครับเจอกับผู้กองสาวซะก่อน

ชายชรา

คุณหมอกับวิญญาณเริ่มเป็นคู่ซี้กับแล้ว

schareon

คุณหมอมีสาวเข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตเยอะนะนี่ จะจัดการได้หมดหรือเปล่านะ

Wing666

ตอนนี้สืบสวนหนักๆเลยครับสนุกมาก ค่อยๆทิ้งเศษขนมปัง

aone

สงสัยคุณหมอจะได้ ไปอธิบายให้ผู้กองฟังต่อ ไม่แน่อาจจะอธิบายกันถึงเช้า

akerue


jingjing199212

หมอยุทธกับกิ่งกาญจน์เคยเป็นคู่หูกันมาก่อน

Sak2563

ผู้กองมีเรื่องคาใจคุณหมอต้องช่วยหน่อยแล้ว

Namzaaa


win69


pootoo7777

คุณหมอรูปหล่อ น่าจะได้ล่อสาวทั้งตำรวจ ผี นักศึกษา แน่นอนเลย เรื่องชักจะสนุกกันใหญ่

pattaa


จรัญ บุญชู

มีเพื่อนซี้แบบนี้...นอกเหนือหน้าที่แล้ว...การสืบสวนจะเหนือกว่าตำรวจแน่ๆ