ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

หมอชันสูตรกับวิญญาณ(ไฮโซสาว) 13

เริ่มโดย twintower, พฤศจิกายน 03, 2022, 01:16:12 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

twintower

ผมกำลังนั่งอ่านตรวจทานรายงานผลการชันสูตรศพชายวัยกลางคน ที่ตายโดยไม่รู้สาเหตุในบ้านของตัวเอง แต่หลังจากที่ผ่าพิสูจน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ตรวจพบคือชายคนนี้ตายเพราะ"หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน" หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า"ไหลตาย" สภาพศพตอนที่มาถึงผมนั้น ใบหน้าและริมฝีปากของคนตายนั้นเขียวคล้ำ ซึ่งมาจากเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายและสมองไม่เพียงพอ ความจริงมันควรจะเป็นเรื่องที่คนไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก แต่คนที่ตายนี่เป็นเพื่อนของปรเมศที่อยู่ในเหตุการณ์ฆ่าเพียงขวัญและเป็นคนที่คอยจัดการเรื่องการทำลายหลักฐานและวิธีการขนศพเพียงขวัญไปทิ้ง ซึ่งเรื่องนี้มันตรงกับที่วิญาณเพียงขวัญบอกผมและเพื่อนของเพียงขวัญที่แอบมาให้การกับตำรวจ ส่วนตัวปรเมศเองนั้นตอนนี้อยู่ในโรงพยาบาลที่รักษาเกี่ยวกับอาการจิตเวช

ตามข่าวที่ผมได้รับคือจู่ๆปรเมศเกิดมีอาการคุ้มคลั่งโวยวายแล้วหวาดกลัวขึ้นมา บอกว่ามีผีเพียงขวัญกับอนงนาฏมาหลอกตนเอง จนญาติๆต้องพามาส่งโรงพยาบาลซึ่งทางหมอที่ได้ตรวจวินิจฉัยแจ้งว่าปรเมศนั้นเป็นคนเสียสติไปแล้ว หรือพูดง่ายๆคือเป็นบ้าไปแล้ว สาเหตุที่หลายๆคนคาดการณ์คงมาจากผลกระทบเรื่องต่างๆที่ปรเมศได้รับอยู่ แถมมีคนมาแฉเรื่องเก่าๆของปรเมศที่เคยไปหลอกลวงคนไว้มากขึ้น มีคนรวมตัวกันไปแจ้งความเล่นงานปรเมศในคดีฉ้อโกงหลายคดี คงทำให้ปรเมศเกิดอาการเครียดจนกลายเป็นคนเสียสติไปเป็นที่เรียบร้อย ทำให้คดีของเพียงขวัญนั้นปิดไปเป็นที่เรียบร้อยเพราะเพื่อนของปรเมศอีก 2คน เข้ามามอบตัวและสารภาพความจริงกับทางตำรวจ แต่ทั้ง 2 คนให้การตรงกันว่าปรเมศเป็นคนฆ่ามันเป็นคำให้การตรงกันกับที่เพื่อนเพียงขวัญแอบมาสารภาพกับตำรวจ ทั้งคู่จึงโดนข้อหาช่วยกันซ่อนเร้น ปิดบังอำพรางศพไปทั้ง 2 คนรวมไปถึงผู้หญิงอีก1คนในกลุ่มของเพียงขวัญที่ถูกข่มขู่ในตอนแรกได้มาบอกความจริงกับทางตำรวจ

"บทจะจบมันก็จบง่ายๆ ไม่ซับซ้อนอะไร"

ผมเปรยๆออกมา

"นั่นนะสิ ฉันว่ามันไม่สาสมเลย ไอ้เลวนั่นเป็นบ้า มันไม่ต้องติดคุก"

เสียงจากกิ่งกาญจน์ที่นั่งอยู่โซฟาตรงข้ามบอกอย่างไม่สบอารมณ์

"แต่หมอคุณว่ามันแปลกๆไหม ที่จู่ๆคนหนึ่งไหลตายอีก คนหนึ่งเป็นบ้า และทั้งคู่เป็นคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเพียงขวัญ"

"นั่นนะสิ มันแปลกๆแต่ก็หาสาเหตุไม่ได้ รวมถึงการตายของคนที่ชื่ออนงนาฏที่ตำรวจก็มืดแปดด้าน"

ผมตอบเธอพร้อมนั่งเอนตัวไปพิงพนังพิงของโซฟาที่ตั้งอยู่ในห้องรับแขก มันเป็นปริศนาลึกลับที่ผมเองก็ไม่คิดที่จะไปค้นหาคำตอบ มันไม่เกี่ยวกับผมถึงคดีเพียงขวัญจะปิดตัวไปง่ายเกินกว่าที่คิด ส่วนเรื่องคดีของอนงนาฏเงียบหายไปตามกาลเวลา เพราะถึงทางตำรวจจะเชื่อปรเมศอยู่เบื้องหลัง แต่ไม่มีหลักฐานใดๆที่บ่งชี้ได้ ถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาปรเมศจะมีการถอนเงินสดจำนวนมากจากธนาคารแต่ไม่มีใครรู้ว่าเอาเงินไปทำอะไร ผมวางแฟ้มเอกสารไปบนโต๊ะแล้วเอานิ้วไปคีบที่สันจมูกพร้อมพูดออกมา

"อย่าไปสนใจมันอีกเลยคุณ มันจบไปแล้วละ ทุกเรื่องมันจะไปเป็นดั่งใจเราไม่ได้หรอก เราไม่ได้เป็นคนเขียนบทหรือกำหนดพรหมลิขิตเอง"

กิ่งกาญจน์ทำหน้ามุ่ย แต่ทั้งหมออินทรายุทธและกิ่งกาญจน์นั้นไม่รู้ว่าเรื่องมันยังไม่จบ และเรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คาด วันนั้นวันที่หมอกริชทำพิธีให้นางตะเคียนมาจัดการกับหมออินทรายุทธ แต่หลังจากที่ตั้งโต๊ะบรวงสรวงแล้ว เหมือนมีอะไรบางอย่างมาสะกิดใจมัน ทำให้มันเฉลียวใจ มันจึงเปลี่ยนแผนทันที มันไม่ส่งนางตานีออกไปแต่มันสั่งให้วิญญาณของเพียงขวัญกับอนงนาฏไปจัดการปรเมศกับเพื่อน ซึ่งเพื่อนของปรเมศคนนี้เป็นคนที่แนะนำให้มาจ้างงานกับหมอกริช

หมอกริชมันต้องการฆ่าปิดปากทั้ง 2 คนนี้ เพราะมันเองก็กลัวตำรวจจะสาวเรื่องมาถึงมันได้ว่ามันเป็นคนวางแผนให้ลูกน้องไปฆ่าอนงนาฏ  มันจึงเปลี่ยนแผนทันที เพราะถึงตอนนี้ตัวมันเองไม่รู้ว่าอะไรที่คอยปกป้องหมออินทรายุทธ มันต้องการรู้มากกว่านี้ หลังจากที่ผีสาวทั้ง 2 ไปหลอกหลอนจนปรเมศกลายเป็นบ้า และเพื่อนของปรเมศนั้นช็อกจนหัวใจวายตายด้วยความหวาดกลัว  มันยอมสูญเสียรายได้ก้อนใหญ่เพราะยังไงมันก็ยังหลอกเงินได้จากบรรดาสาวแก่แม่หม้ายที่ผลัดเปลี่ยนกันมาวนเวียนมาบำเรอกามกับมัน แต่มันยังไม่เปลี่ยนความคิดที่จะจับวิญญาณของกิ่งกาญจน์มาเป็นทาสกามของมัน  ตอนนี้มันเฝ้ารอโอกาสอยู่ ที่ผ่านมันพยายามใช้คาถาที่มันเรียนมาเรียกวิญญาณกิ่งกาญจน์มาหลายครั้งแต่ไม่เป็นผล

มันไม่มีทางรู้ว่าวิญญาณของกิ่งกาญจน์นั้นมีท่านกาษนติคอยปกป้องอยู่ บางครั้งดวงวิญญาณของกิ่งกาษจน์เองก็ได้รับผลจากคาถาที่มันเรียก ตัวท่านได้คอยควบคุมดูแลอยู่ตลอดพร้อมบอกกิ่งกาญจน์ที่นั่งสมาธิอยู่ว่า

"ไม่ต้องไปสนใจกับสิ่งรอบข้างนังหนู ตั้งสติแล้วภาวนา พุธโธไว้ตลอด ให้คิดเหมือนตอนเจ้ายังเป็นคน ทำให้เหมือนกำหนดลมหายใจเข้าออกไว้ หายใจเข้าพุธ หายใจออกโท"

ซึ่งมันได้ผลทุกครั้ง ตัวกิ่งกาญจน์เองก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรเพราะบางครั้งเหมือนมีอะไรมาทำให้เธอร้อนใจอยากออกไปข้างนอก แต่พอทำตามที่คุณตาทวดบอก สิ่งเหล่านั้นมันหายไป แต่หมอกริชเองมันไม่เลิกรา วันหนึ่งมันเกิดอยากลองวิชาขึ้นมา มันอยากรู้ว่าสิ่งที่คุ้มครองอินทรายุทธนั้นขลังขนาดไหน มันลองปล่อยของคือเส้นผมของผีตายท้องกลม ที่มันเอามาปลุกเสกเป็นเวลาที่นานแล้วให้ไปเข้าตัวหมออินทรายุทธ แต่ของกาลีที่มันปล่อยนั้นเด้งกลับมาอยู่ตรงหน้ามันก่อนที่จะไหม้ให้มันเห็นตรงหน้า แต่มันไม่เข็ด มันปล่อยตะปูอาคมที่งัดจากโรงศพไปอีกครั้ง แต่ตะปูนั้นเด้งกลับมาอยู่ตรงหน้ามันเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ทำเอามันตกใจอย่างมากคือมันเห็นลินดาที่ยืนอยู่ในลักษณะที่สำรวมตรงหน้ามัน

"พอเถอะนายกริช อย่าทำอะไรไปมากกว่านี้เลยมันไม่มีทางที่นายกริชจะทำอะไรได้ โปรดอย่ามาจองเวรลูกชายฉันเลย ถ้านายกริชไม่หยุดมันจะกลายเป็นภัยที่ร้ายแรงต่อตัวนายกริชเอง"

น้ำเสียงชองลินดานั้นเป็นน้ำเสียงที่ขอร้องพร้อมท่าทีที่ไม่คุกคาม แต่แทนที่มันจะฉุกคิดหรือสำนึกมันมองไปที่ลินดาที่อยู่ในชุดนุ่งขาวห่มขาว และมันเข้าใจในทันทีว่าลินดาคือแม่ของหมออินทรายุทธ

"อ้อ ที่เป็นเป็นแม่ของหมอเองหรือนี่ที่คอยปกป้องลูกชาย แถมส่งผีสาวมาคอยติดตาม"

ลินดาส่ายหน้า แววตาที่มองไปที่หมอกริชนั้นมองไปอย่างผู้ใหญ่มองเด็กและแผ่เมตตาไปให้ด้วย

"หมอกริชไม่มีวันรู้ว่าอะไรที่คอยปกป้องลูกชายฉันอยู่ ฉันมาเตือนและขอร้องอย่าใช้อวิชากับลูกชายของฉันเลย หมอกริชทำบาปมามากแล้ว"

มันไม่ฟังคำเตือนของลินดา มันกลับมองไปที่ใบหน้าและรูปร่างของลินดา

"ดูมีอายุไปหน่อย แต่ก็ยังสวยอยู่ ไหนๆมาท้าทายกูถึงที่แล้ว มาเป็นเมียกูอีกคนเถอะ"

"ฉันไม่ได้ท้ายทาย ฉันแค่มาขอร้อง และอีกอย่างหมอกริชไม่มีวันที่จะทำอะไรฉันได้"

แต่มันไม่สนใจมันทำท่าจะร่ายเวทย์เพื่อผูกมัดดวงวิญญาณของลินดาแต่ก่อนที่มันจะร่ายเวทย์ ลินดานั้นได้บริกรรมคาถาพูดออกมาเบาๆ

"อาโปธาตุ จงกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง"

ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่หลายก้อนได้ลอยขึ้นมาตรงหน้าลินดาแล้วพุ่งมาลอยล้อมรอบตัวหมอกริชที่นั่งอยู่ ทำเอาหมอกริชนั้นตกใจมากเพราะมันไม่เคยรู้วิชาแบบนี้ มันพยามบริกรรมคาถาเพื่อมาทำสลายก้อนน้ำแข็งที่วนรอบตัวมันแต่ไม่สำเร็จ จนลินดาบริกรรมคาถาเพื่อสลายก้อนน้ำแข็ง

"เห็นไหมฉันเตือนแล้วว่านายกริชทำอะไรฉันไม่ได้"

เธอพูดกับหมอกริชหลังจากที่ก้อนน้ำแข็งสลายไป หมอกริชหาสำนึกไม่ มันสะกดใจแล้วจะเรียกวิญญาณนางตะเคียนมาสู้กับลินดา แต่ลินดาบริกรรมคาถาอีกครั้ง

"เดโชธาตุ จงล้อมรอบตัวมัน"

ทันทีที่สิ้นเสียง มีดวงไฟพุ่งขึ้นมาจากพรมล้อมรอบตัวหมอกริชเป็นวงกลม คราวนี้ทำมันหวาดกลัวอย่างมาก มันถึงเหงื่อแตกออกมาเต็มตัว และมันขยับตัวไม่ได้เพราะลินดาตรึงมันไว้ และที่สำคัญตอนนี้มันนึกคาถาที่มันเรียนรู้มาไม่ได้สักบท มันเหมือนจะลืมไปหมด ลินดาปล่อยให้มันหวาดกลัวอยู่ชั่วขณะก่อนจะบริกรรมให้ไฟดับลงและเลิกตรึงมัน

"นี่แค่การเตือนนะนายกริช และสิ่งที่ปกป้องลูกชายฉันอยู่นั้นมีฤทธานุภาพมากกว่านี้ อาคมของนายกริชหรือบริวารที่นายเลี้ยงไว้นะไม่สามารถที่จะแตะต้องหรือเข้าใกล้ตัวลูกชายฉันได้ ของกาลีที่ย้อนกลับมาหานายกริชก็เห็นอยู่แล้ว ดีที่มันไม่เข้าตัว ไม่อย่างนั้นใครก็ช่วยไม่ได้แม้แต่อาจารย์ของนายกริชเอง ฉันจึงมาเตือนถ้านายกริชไม่เชื่ออย่าหาว่าฉันใจร้าย เมื่อกี้ก็เห็นอยู่แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น เลิกจองเวรลูกชายฉันและวิญญาณของคุณกิ่งกาญจน์ซะ"

ลินดาเตือนสติมันก่อนที่จะสลายร่างไปต่อหน้า หมอกริชมองไปรอบๆ และพรมที่มันนั่งอยู่นั้นมีรอยไหม้เป็นวงกลม ถึงมันจะหวาดกลัวแต่มันถือว่าเป็นการท้าทายมันอย่างมาก

"ฝากไว้ก่อนเถอะมึง กูจะเอามึงมาเมียเป็นพร้อมอีกิ่งกาญจน์"

มันคำรามออกมาอย่างแค้นใจอย่างมากที่มันถูกมาลูบคมถึงที่นี่ แต่มันไม่รู้ว่าถ้ามันไม่หยุดหายนะกำลังจะมาถึงมัน เพราะอีกที่ในใจกลางป่าที่ไม่ห่างออกไปจากบ้านของมันนัก ดวงวิญญาณของลินดานั้นถูกพญายักษ์ตนหนึ่งยืนขวางหน้าไว้ มันเข้ามาใกล้กับเธอแล้วพูดออกมาด้วยเสียงอันดังว่า

"อีผี ถือว่ามีวิชาบารมีแต่มันก็แค่กระผีกริ้น อย่ามาบังอาจสั่งสอนลูกศิษย์กู แต่มึงบังอาจมาหยามถึงถิ่นกู กูไม่เอามึงไว้แล้วต่อไปก็ลูกชายมึงกูจะเอามันมาเป็นทาส"

มันเงื้อมือข้างที่ถือกระบองมาขึ้นมาสุดแขนเพื่อจะฟาดมาที่วิญญาณของลินดา เธอรู้ว่าเธอนั้นสู้ไม่ได้ แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วเธอต้องสู้ขณะจิตนั้นกระบองที่จะฟาดลงมากลับค้างคาไว้แบบนั้น

"เฮ้ย อะไรมายึดกูไว้ ปล่อยกูเดี๋ยวนี้มึงรู้ไหมกูเป็นใคร"

เสียงของยักษ์ตนนั้นคำรามออกมาด้วยความแปลกใจที่มันทำอะไรลินดาไม่ได้

"จังวโร เจ้ารู้ไหมกำลังทำอะไรลงไป"

มีเสียงหนึ่งดังลอยมาโดยไม่รู้ทิศว่ามาจากที่ไหน

"มึงเป็นใคร มีสิทธิอะไรมาห้ามกู"

มันตวาดกลับไปยังเสียงที่หาที่มาไม่ได้ แต่เสียงที่ตอบกลับนั้นหาได้สนใจกับคำถามของมัน

"กิเลสที่เจ้ามีบดบังปัญญาของเจ้าไปหมด เจ้าถูกลงโทษจากท่านมหาเทพแต่กลับหาสำนึกไม่ แทนที่จะสำนึกผิดบำเพ็ญเพียรทำความดีเพื่อจะได้กลับไปยังภพเดิมของเจ้า แต่เจ้ากลับหน้ามืดตามัวเห็นแก่อามิสสินจ้างที่พวกมนุษย์บูชา ทำให้เจ้ายิ่งมีกิเลสตัณหาครอบงำ ถ้าเจ้ายังมีสติลองนึกตรึงตรองดูว่า อะไรเป็นอะไรและชายคนที่ลูกศิษย์เจ้ากับตัวเจ้ามุ่งหมายปองร้ายนั้นเกี่ยวข้องกับใคร และสิ่งที่คอยพิทักษ์ปกป้องชายคนนั้นมาจากไหน  และถ้าเจ้าไปมุ่งร้ายต่อชายผู้นั้นมันจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเจ้าพลังของเจ้าไม่มีวันที่จะสู้สิ่งที่ปกป้องชายผู้นั้นได้ ลองใช้สติที่เจ้ามีเหลืออยู่น้อยนิด นึกให้ดี"

พอเสียงดังกล่าวเงียบไป พญายักษ์ตนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ และภาพที่ลินดาที่เห็นนั้นยักษ์ตนนั้นถึงทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าวางกระบองลงพร้อมพนมมือขึ้นมาที่อก

"ท่านอาจารย์กัสปะ ข้าผิดไปแล้ว ข้าหาสำนึกไม่ ทุกอย่างมันเป็นอย่างที่ท่านบอกไว้เป็นเรื่องจริง กิเลสมันบังตาข้าทำให้ตัวข้าไม่รู้ว่าชายคนนั้นมีพระราชโอรสอสนีคอยค้ำจุนอยู่ สิ่งของที่ปกป้องชายคนนั้นมีบารมีของท่านอาจารย์และบารมีของพระโอรสที่มอบให้  ข้าขอน้อมรับผิดทุกอย่างโปรดลงโทษข้าด้วย"

"จังวโรข้าเห็นเจ้าเป็นลูกศิษย์เลยมาเตือนทั้งๆที่ไม่ใช่กิจของข้า แต่การลงโทษกรรมที่เจ้าก่อขึ้นมันไม่ใช่หน้าที่ของข้าเป็นหน้าที่ของท่านท้าวกุเวร"

พญายักษ์จังวโรก้มลงกราบทันทีเมื่อเสียงนั้นเงียบไป และสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าลินดาต่อมานั้นคือภาพของชายร่างใหญ่หน้าตาดุดันมายืนตรงหน้ายักษ์ตนนั้น ทำเอายักษ์ที่กำลังจะทำร้ายเธอนั้นทรุดตัวลงไปนั่งพับเพียบหมอบกราบมันที

"ไอ้จัญไร มึงหาสำนึกไม่ ถูกลงโทษจากท่านมหาเทพก็ไม่สำนึก มึงต้องถูกลงโทษอย่างหนักกับกรรมที่มึงก่อขึ้น"

"ข้าพระองค์ยอมรับผิดทุกอย่างพระเจ้าข้าท่านท้าว"

แส้สีทองจากพระหัตถ์ถูกตวัดขึ้นไปที่รอบคอของจังวโรทันที แต่ก่อนที่มันจะถูกพาไปลงทัณฑ์ มีเสียงดังลงจากด้านบน

"ท่านท้าวช้าก่อน"

พร้อมการปรากฏกายของชาย 2 คน ที่ลินดานั้นเองก็ไม่รู้จัก แต่จากที่เธอเห็นรัศมีที่ออกจากตัว ทำให้เธอทรุดตัวลงไปหมอบกราบทันที เหมือนกับจังวโรที่หันหน้าไปกราบชาย 2 คนที่ปรากฏกายขึ้น ส่วนท่านท้าวกุเวรได้ตรัสออกมา

"พระอกนิฏกับพระอรุณะ เสด็จลงมาด้วยเรื่องอะไรพระเข้าข้า"

" เรามีเรื่องจะมาขอร้องท่าน ถึงโทษของจังวโรจะหนักหนา แต่เราเองกับน้องอรุณะก็มีส่วนที่ทำให้จังวโรถูกเสด็จพ่อลงโทษ"

"พระองค์จะทำเช่นใดเพราะเจ้าข้า"

"เราจะขอลงโทษจังวโรเอง แต่ถ้าเขายังไม่สำนึกผิดจากเรื่องที่ทำมา เราก็ให้เป็นหน้าที่ของท่านท้าวกับองค์พระยมราชต่อไป"

บุรุษที่มีลักษณะงดงามยิ่งนักในสายตาของลินดาได้ตรัสขึ้นมา

"ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระองค์กับพระอรุณะ ข้าพระองค์ก็ไม่ขัดข้องพระเจ้าข้า"

"ขอบคุณท่านมากท่านท้าว "

บุรุษอีกผู้หนึ่งที่มีลักษณะที่งดงามไม่แพ้กันได้ตรัสกับท้าวกุเวรขึ้นมา ก่อนจะหันไปตรัสกับบุรุษที่มาด้วยกัน

"เสด็จพี่จะลงโทษจังวโรยังไงพระเจ้าข้า"

พระอกนิฏมองไปที่จังวโรก่อนจะตรัสขึ้นมา

"เอาละ จังวโรเจ้าจงฟังในฐานะที่ข้ากับน้องอรุณะเองก็มีส่วนผิดในเรื่องที่ทำให้เสด็จพ่อพิโรธจนลงทัณฑ์เจ้า ข้าสั่งให้เจ้าไปนั่งบำเพ็ญเพียรชดใช้ความผิดที่เจ้าก่อมา ในถ้ำที่ตั้งอยู่ตรงเชิงเขาไกรลาศ ทางด้านทิศบูรพา จำไว้ว่าปากถ้ำจะปิดผนึกทันทีที่เจ้าเข้าไปในถ้ำ และตรงหน้าถ้ำจะมีต้นโพธิ์อยู่ 3 ต้น  วันใดที่เจ้าสำนึกผิด ผนึกที่ปากถ้ำจะเปิดออกพร้อมกับใบไม้ของต้นโพธิ์ทั้ง 3 ต้นจะกลายเป็นสีทอง เจ้าจะได้กลับไปสู่สวรรค์เบื้องต้นตามที่เสด็จพ่อได้บัญชาไว้ตอนที่ลงทัณฑ์เจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่สำนึกผิด ต้นโพธิ์ทั้ง3 ต้นหน้าถ้ำจะเหี่ยวเฉาแห้งตายวันนั้นเจ้าจะถูกท่าวท้าวกุเวรนำไปลงโทษแล้วเจ้าจะไม่มีวันกลับไปสู่ถิ่นฐานเดิมของเจ้าอีกต่อไป ต่อให้เจ้าทำความดีขนาดไหนก็ตามที"

สิ้นสุรเสียง จังวโรที่คุกเข่าพนมมืออยู่ ได้เงยหน้าขึ้นพร้อมนำหัวแม่มือไปจรดที่หน้าผากพร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เพราะคิดว่าตนเองคงถูกลงโทษอย่างหนักไม่มีทางได้ผุดได้เกิดอย่างแน่นอน

"เป็นพระมหากรุณาแก่ตัวข้าพระพุทธเจ้าพระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าจะปฏิบัติตามพระบัญชาที่พระองค์รับสั่งพระเจ้าข้า"

มันพูดจบมันเลื่อนกายก้มไปกราบที่พระบาทของพระอกนิฏและพระอรุณะ

"เอาละขอให้เจ้าจำไว้ ถ้าเจ้าไม่สำนึกผิดข้ากับน้องอรุณะก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้อีกแล้ว และข้าขอมอบให้ท่านท้าวนำตัว   จังวโรไปที่ถ้ำด้วย"

ประโยคหลังพระอกนิฏหันไปตรัสกับท่านท้าวกุเวร ซึ่งอีกฝ่ายรับพระบัญชาแล้วหันไปบอกจังวโรที่หมอบอยู่กับพื้น

"ไปได้แล้วมึงไอ้วินาศสันตะโร โชคมึงยังดีอยู่ที่ทั้ง 2 พระองค์ทรงให้ความเมตตากับมึง แต่มึงคงรู้นะว่าถ้ามึงไม่สำนึกผิด มึงจะเจออะไรจากกูบ้าง"

ตรัสจบร่างท้าวกุเวรกับจังวโรหายไปทันที และก่อนที่พระอกนิฏกับพระอรุณะจะเสด็จกลับ พระอรุณะนั้นหันมาที่ลินดาพร้อมแย้มพระสรวลให้เล็กน้อยและยกพระหัตถ์ข้างขวาขึ้นมาเพื่อประธานพรให้ลินดา จนพระวรกายของทั้ง 2พระองค์นั้นได้หายไปจากสายตาของลินดา  ลินดาระลึกขอบพระคุณไปยังท่านกัสปะที่เธอนั้นเคยได้ยินชื่อนี้จากท่านกาษนติที่บอกว่าเป็นคนมอบจี้ให้กับลูกชายเธอ

ลินดาลุกขึ้นยืนจากที่หมอบอยู่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เธอรู้สึกเหมือนฝัน เหมือนกับเธอนั้นมีบุญอย่างมากที่ได้เห็นเทพที่สูงศักดิ์ถึง 3 พระองค์พร้อมกัน ถึงจะไม่มีพระองค์ไหนที่จะสนพระทัยกับเธอเลย จนก่อนที่จะเสด็จกลับพระอรุณะได้ประทานพรให้กับเธอ  ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าเธอมันเป็นเรื่องที่เธอไม่คิดว่าจะได้เห็น เทพทั้ง 2พระองค์ที่เสด็จมาทีหลังเธอก็ไม่รู้ว่าเป็นใครแต่รัศมีที่ออกจากร่างนั้นต้องเป็นเทวดาชั้นสูงอย่างแน่นอน และจังวโรมีการเอ่ยพระนามของพระอสนีอีกแสดงว่ามีการเกี่ยวข้องกัน ถึงจะมีคำถามมากมาย แต่วิญญาณที่มีวิชาและบารมีสูงอย่างเธอรู้ดีว่าไม่ควรจะไปหาคำตอบกับเรื่องเหล่านี้ แถมยังได้รับประทานพรมาอีกด้วย

"กลับบ้านเถอะนังหนูลินดา ไม่มีอะไรแล้ว"

เสียงของท่านกาษนติดังขึ้นในดวงจิตเธอ ก่อนที่เธอจะสลายร่างกลับไปหาท่านกาษนติ  ลินดาเองนั้นตั้งใจที่จะมาห้ามหมอกริชเพราะรู้ว่าถึงยังไงหมอกริชก็ทำอะไรอินทรายุทธไม่ได้ ตราบใดที่จี้นั้นยังติดตัวอินทรายุทธอยู่ แต่ถ้าไม่หยุดหมอกริชนั่นเองละที่จะได้รับผลร้ายตามมา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เป็นผลแถมจังวโรยักษ์ร้ายที่หมอกริชนับถือบูชาอยู่กลับไม่พอใจลินดา จึงปรากฏกายออกมาเพื่อจะทำลายวิญญาณของลินดาแต่ถูกท่านกัสปะห้ามไว้

ท่านกัสปะนั้นรู้เรื่องเป็นอย่างดีว่าชาติภพก่อนของยักษ์ตนนี้คือเทวดานามว่าอนิรุธ ซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยงให้กับ พระอกนิฏ พระอรุณะ พระอัสนีเมื่อทั้ง 3 พระองค์ยังเยาว์วัย อนิรุธนั้นเคยศึกษาเล่าเรียนกับท่านกัสปะมาก่อน แต่อนิรุธนั้นนิสัยค่อนข้างเกียจคร้านมักแอบละทิ้งหน้าที่ จนวันหนึ่งอนิรุธนั้นได้แอบหลบไปนอนระหว่างที่ต้องดูแลทั้ง 3 พระองค์ที่มาเล่นกันในอุทยานของพระมหาเทวี จนพระอกนิฏกับพระอรุณะได้ช่วยกันแกล้งพระอสนีจนพระอสนีทรงพิโรธ ทำให้ปล่อยพลังสายฟ้าออกมาจนอุทยานของพระมหาเทวีนั้นพังพินาศ

เรื่องนี้ท่านมหาเทพทรงพิโรธอย่างหนักเมื่อรู้ว่าอนิรุธละทิ้งหน้าที่แอบหลบไปนอน จนไม่มีใครคอยดูแลพระโอรสและพระนัดดาจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าอนิรุธอยู่คงคอยห้ามปรามพระอกนิฏกับพระอรุณะไม่ให้แหย่พระอสนีจนพิโรธอย่างแน่นอน ท่านมหาเทพจึงลงโทษอนิรุธให้ลงมาเกิดเป็นยักษ์และคอยทำความดีเพื่อลบล้างความผิดที่ถูกลงโทษ เพื่อจะได้กลับมามาสู่ภพเดิม แต่อนิรุธที่ถูกสาปให้มาเป็นยักษ์พร้อมชื่อใหม่คือจังวโรกลับหาสำนึกไม่เพราะความโลภนั้นชักจูงใจ จากการที่มีชาวบ้าน ชาวป่า ชาวเขาในยุคก่อนๆมาไหว้บวงสรวงเจ้าป่าเจ้าเขาตามความเชื่อ ทำให้จังวโรฉวยโอกาสตั้งตนเป็นเจ้าป่าและรับของที่บวงสรวง จนมีพวกโจรป่ามาบูชาสังเวยตามความเชื่อด้วยของสด ทั้งเลือดและเนื้อสดของพวกสัตว์ตามด้วยเลือดของคนที่ถูกฆ่าเพื่อบูชาหรือขมขืนสาวชาวบ้านที่ถูกฉุดคร่ามาเพื่อเป็นการสังเวย

มันทำให้จังวโรนั้นมีฤทธิ์มากขึ้นจากการบูชาของพวกนี้และพวกโจรป่าได้บวงสรวงกันมารุ่นต่อรุ่น มันกลายเป็นที่นับถือบูชาของพวกโจรอย่างมากจนถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น เพราะมันเคยไปเข้าฝัน 1 ในพวกโจรป่าที่มีวิชาอาคม มันบอกความต้องการของมันว่ามันชอบให้สังเวยมันแบบไหนโดยเฉพาะเรื่องการฉุดผู้หญิงมาข่มขืนและฆ่าเพื่อเป็นเมถุนสังเวยให้กับมัน

จนโจรป่าคนนั้นได้บันทึกเรื่องพวกนี้ไว้ในตำรามันถ่ายทอดกันรุ่นจนมาถึงหมอกริชที่ได้ถ่ายทอดจากอาจารย์ที่ครอบวิชาให้ หมอกริชเองไม่เคยเห็นจังวโรแต่สัมผัสได้จากเสียงที่เข้ามาในดวงจิต อิทธิฤทธิ์ของจังวโรมีเพิ่มมากขึ้นตลอด โดยเฉพาะที่ได้รับจากเมถุนสังเวย และใน 1ปี จะมี 1ครั้งที่มันเข้าไปดลใจหมอกริชให้สั่งลูกน้องไปฉุดผู้หญิงมาข่มขืนและฆ่า เพื่อเป็นการบูชามันซึ่งหมอกริชนั้นทำตามที่มันดลใจทุกครั้ง และมันจะคอยแบ่งพลังให้หมอกริชมาตลอดทุกครั้งที่ หมอกริชทำเมถุนสังเวยให้กับมัน

จนครั้งนี้ ท่านกัสปะที่รับรู้เรื่องของมันมาตลอดและถึงวาระที่จังวโรนั้นต้องถูกนำตัวไปรับโทษจากกรรมที่ก่อขึ้นพอดี ท่านกัสปะจึงเข้ามาเตือนมันและท่านรู้ว่าถ้าเกิดการปะทะกันจังวโรนั้นสู้ลินดาไม่ได้ แต่อาจจะทำให้ลินดานั้นได้รับบาปกรรมทั้งๆที่เธอนั้นตั้งใจปฏิบัติธรรมและบำเพ็ญเพียรทำความดีมาโดยตลอดมาตลอด ท่านจึงมาเตือนและทำให้มันนึกขึ้นได้ว่ามันถูกลงโทษมาเพราะอะไร และอสนีนั้นมีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะตัวมันในชาติภพที่เป็นเทวดานั้นให้ความรักและเทิดทูนพระอสนีเป็นอย่างมาก 

ด้วยวิถีฌานที่ท่านกัสปะเปิดให้มันเห็นทำให้มันรู้ว่า อินทรายุทธเกี่ยวข้องกับอสนีอย่างไรและจี้ที่อินทรายุทธติดตัวอยู่นั้นมีพลังของท่านกัสปะและอสนีรวมอยู่ด้วยกัน ทำให้มันรู้ว่ามันจะบาปหนักขึ้นถ้าทำอะไรลินดา มันจึงเกิดความรู้สึกละอายใจและสำนึกผิดยอมรับโทษที่มันก่อขึ้น  แต่ก่อนที่มันจะโดนท้าวกุเวรเอาตัวไปลงโทษ พระอกนิฏและพระอรุณะทรงทราบเรื่องจากท่านกัสปะ จึงเสด็จลงมาเพื่อขอบรรเทาโทษให้กับจังวโรเพราะทั้ง 2พระองค์นั้นมีส่วนที่ทำให้จังวโรถูกลงโทษ เพราะไม่อย่างนั้นจังวโรคงไม่โอกาสได้กลับคืนสู่สวรรค์อย่างแน่นอนจากโทษที่มันทำมา  ซึ่งพระอกนิฏนั้นได้ขอพระบรมราชานุญาตจากท่านมหาเทพมาแล้วในเรื่องที่พระองค์จะทรงกำหนดบทลงโทษจังวโรด้วยตัวพระองค์เอง

ฝ่ายลินดานั้นเธอได้กลับมาที่ศาลพระภูมิ เธอนั่งพับเพียบลงบนพื้นแล้วกราบท่านกาษนติ ท่านมองลินดาด้วยความเมตาแล้วพูดขึ้น

"เป็นบุญของเจ้าจริงๆนังหนูที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระโอรสและพระนัดดาของท่านมหาเทพพร้อมๆกันไม่เคยมีวิญญาณดวงไหนที่จะได้รับโอกาสแบบนี้"

"คะคุณตาแต่หนูก็เกือบไป"

ท่านพระภูมิหัวเราะเบาๆพร้อมส่ายหน้าไปมา

"ไม่หรอก เจ้าเองยังไม่รู้ตัวว่าเจ้าสามารถที่จะต่อกรกับไอ้ยักษ์จังวโรได้อย่างสบายๆ บุญบารมีที่เจ้ามีในตอนนี้พร้อมกับวิชาอาคมที่เจ้าเรียนรู้มา สามารถป้องกันตัวเจ้าได้ ถ้าตอนนั้นท่านกัสปะไม่ห้ามมันเจ้าเองก็โต้ตอบมันได้ แต่เจ้าคงตกใจที่จู่ๆมันมายืนขวางทางเจ้าเลยไม่ทันได้คิด มันไม่มีทางใช้กระบองฟาดเจ้าได้ ไอ้ยักษ์ตัวนี้นะอิทธิฤทธิที่มันมีไม่สามารถที่จะเทียบเท่าเจ้าได้เลย มันมัวแต่หลงระเริงกับกิเลสที่มันได้ มันนึกว่ามันได้ฤทธิ์เพิ่ม แต่อีกด้านบุญบารมีของมันที่จะพอมีติดตัวนั้นเสื่อมหายลงไปทุกวัน บทลงโทษที่มันได้รับจากพระอกนิฏจะว่าไม่หนักก็ไม่ใช่ มันต้องใช้เวลาบำเพ็ญเพียรเพื่อสำนึกผิดอีกยาวนานมาก และถ้ามันทำผิดพลาดเพียงนิดเดียวต้นโพธิ์จะแห้งเหี่ยวทันที พระอกนิฏท่านใช้มนต์กำหนดไว้อย่างเข้มงวด"

ลินดานั่งฟังโดยไม่มีคำถามอะไรออกมามหาเทพ เพราะตัวเธอนั้นก็รู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะถาม แต่จากที่ท่านพระภูมิบอกทำให้เธอรู้แล้วเทพองค์ที่ประธานพรให้เธอคือพระอรุณะที่เป็นพระนัดดาของท่านมหาเทพส่วนอีกพระองค์คือพระอกนิฏที่เป็นราชโอรสองค์โตของท่าน ท่านพระภูมิได้ถามเธอต่อ

"นังหนูเจ้าคงรู้ตัวแล้วสินะว่า เวลาของเจ้าในฐานะวิญญาณแบบนี้นั้นเหลืออีกไม่เท่าไหร่ ยิ่งวันนี้เจ้าได้รับพรจากพระอรุณะด้วย มันยิ่งเพิ่มบารมีให้กับเจ้ามากขึ้น"

"คะคุณตา เพราะหนูรู้แล้วว่า ตายุทธเองนั้นก็เรียนรู้มากขึ้นไม่หลงระเริงคะนองตนในเรื่องพลังวิเศษ และตายุทธโตมากขึ้นแล้วไม่ใช่เด็กแดงๆ ถึงตอนนั้นถ้าหนูไม่ตายอยู่ได้มาถึงตอนนี้ หนูก็คงจะใกล้หมดอายุไขเหมือนกันมันต้องมีการจากกันในวันใดวันหนึ่งอยู่แล้ว"


"ดีแล้วที่เจ้าคิดได้นังหนู ตาดีใจด้วย หลังจากนี้ถ้าเจ้าละจากสถานะนี้แล้วตาก็อยากจะให้เจ้าบำเพ็ญภาวนาต่อไป อย่าได้มุ่งคิดไปถึงเรื่องอื่นๆ แล้วผลดีมันจะตกมาอยู่กับตัวเจ้า ยิ่งถ้าเจ้าตัดเรื่องความห่วงนี้ออกไป"

"คะคุณตา"

เธอรับคำพร้อมพนมมือขึ้นมา ตอนนี้ใบหน้าของลินดานั้นอิ่มเอมไปบุญกุศลที่เธอได้รับมา ส่วนหมอกริชมันเองก็ไม่รู้ว่า อาจารย์ที่มันนับถือนั้นไม่อยู่แล้ว คำสั่งสอนและอาคมที่ลินดาแสดงให้ดูแทนที่มันจะสำนึกว่ามันไม่มีทางสู้มันกลับผูกใจเจ็บมากขึ้นและคิดหาวิธีที่จะต่อกรกับลินดาให้ได้ จนมาถึงคืนพระจันทร์เต็มดวงอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อคืนก่อนมันทำพิธีให้เพียงขวัญกับอนงนาฏมาบำเรอสวาทให้นางตะเคียนเพื่อเพิ่มพลัง จนคืนนี้มันสั่งให้นางตะเคียนไปจัดการกับหมออินทรายุทธ

"เมียรักของพี่ไปจัดการกับไอ้หมอคนนั้นให้ได้ แล้วพี่จะพาแม่ของมันกับอีกิ่งกาญจน์มาบำเรอกามและให้เจ้าได้ดูดพลังจากมันทั้งสองตัวโดยเฉพาะแม่มันต้องมีพลังเยอะอย่างแน่นอน"

นางตะเคียนรับคำแล้วหายตัวมุ่งหน้าไปหาหมออินทรายุทธ  ส่วนหมอกริชมันเริ่มนั่งบริกรรมคาถาเพื่อเพิ่มพลังให้กับนางตะเคียนไปอีกทาง วิญญาณของนางตะเคียนนั้นมุ่งไปหาหมออินทรายุทธ แต่ถูกลินดามายืนขวางทางไว้

"หยุดเถอะเธอทำอะไรลูกชายฉันไม่ได้หรอก มันจะกลับมาเป็นผลเสียแก่ตัวเธอเอง จงกลับไปแล้วทำแต่ความดี เธอจะได้หลุดพ้นจากชายโฉดคนนี้"

เธอบอกกกับนางตะเคียนพร้อมกับแผ่เมตตาและชี้ทางให้แต่ดวงตาสีแดงลุกโชนอีกฝ่ายนั้นกลับตะคอกใส่เธอ

"หลีกทาง อย่ามาขวางกู ไม่งั้นจะได้เห็นดีกัน"

"เธออยู่ในภพนี้มาหลายร้อยปีแล้ว น่าจะรู้อะไรควร อะไรไม่ควร อย่าไปมัวหลงมัวเมากับบาปต่างๆเลย มันจะฉุดวิถีเธอให้ต่ำตมลงไปอีก"

"อย่ามาเสือกเรื่องของกู กูไม่สน"

นางตะเคียนตะคอกกลับเมื่อเห็นอีกฝ่ายดูจะไม่สนใจกับคำเตือนของเธอ ลินดานั้นส่ายหน้าเล็กน้อย

"เอาละเมื่อเธอไม่ฟังก็เชิญไปตามทางของเธอ"

ลินดาหลีกทางให้นางตะเคียนเพราะอีกฝ่ายดูจะไม่ฟังคำเตือนของเธอ  ลินดาได้แต่หลับตาเพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้เพราะรู้ดีว่าชะตากรรมของนางตะเคียนจะเป็นยังไง

"เจ้าทำได้เพียงเท่านี้ลินดา ทำดีที่สุดที่เจ้าจะทำได้ ส่วนเหลือเป็นเรื่องของเวรกรรมของแต่ละคน"

มีน้ำเสียงที่ปราณีดังมาสู่ดวงจิตของเธอ แต่ไม่ใช่เสียงของท่านกาษนติ เป็นเสียงที่เธอได้ยินเมื่อหลายคืนก่อนและเธอจำได้ว่าเป็นเสียงของท่านนักพรตกัสปะ ลินดาจึงพนมมือขึ้นพร้อมกล่าวตอบ

"เจ้าคะท่านกัสปะ ลูกกราบขอบพระคุณท่านมากที่เมตตากับลูก"

ลินดาพูดจบก่อนจะสลายร่างไป ท่านกัสปะพูดถูกเธอทำดีที่สุดแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ยอมรับรู้อะไรในสิ่งที่เธอชี้ทางให้ เธอทำได้เท่านี้จริงๆ

"ขับรถดีๆนะยุทธ"

ลุงอัสบอกกับผมขณะที่เดินมาส่งผมกับพลอยที่รถ

"ครับ แล้วเดือนหน้าตอนไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลลุงจะให้ผมมารับหรือเปล่าครับ"

ลุงอัสยิ้มแล้วตอบผม

"ไม่ต้องลำบากหรอก ลุงให้คนที่นี่ขับไปส่งลุงได้"

"ได้ครับ งั้นผมไปนะครับลุงอัส"

พลอยที่ยืนอู่อีกด้านของรถได้ยกมือไหว้ลุงอัสพร้อมกล่าวลา

"หนูไปก่อนนะคะลุง สวัสดีคะ"

ลุงอัสยิ้มรับพร้อมพยักหน้าให้กับพลอย ก่อนที่ผมจะขับรถออกไป ส่วนอสนีนั้นมองตามรถออกไป และหันไปมองท่านเทพารักษ์ที่ ยืนเยื้องอยู่ทางด้านหลังไม่ห่างออกไปนัก

"มีอะไรหรือท่านเทพารักษ์"

ดวงจิตของอสนีถามไปที่ท่านเทพารักษ์ เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะมีเรื่องที่กราบบังคมทูล

"ข้าพระพุทธเจ้าอยากจะตามไปคอยดูแลคุณหมอจนถึงบ้านพระเจ้าข้า"

"ไม่เป็นไรหรอกท่าน ปล่อยไปเถอะ ยุทธเองก็มีของที่ปกป้องได้อยู่แล้วท่านก็รู้ดี อีกอย่างแม่เขาก็คอยดูแลลูกชายเขาอยู่ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด"

"พระจ้าข้า"

ท่านเทพารักษ์รับคำจากอสนี ถึงตัวอสนีนั้นจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุอะไรที่ทำให้ท่านเทพารักษ์ถึงอยากจะไปดูแลอินทรายุทธจนถึงบ้าน แต่จี้ที่มอบให้นั้นมีพลังอย่างมากจนไม่มีสิ่งที่ชั่วร้ายจะสามารถมาทำร้ายอินทรายุทธได้ และไม่ควรที่จะไปฝืนชะตากรรมใดที่จะเกิดขึ้น อสนีมองไปรอบๆก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน ส่วนภายในรถที่ผมกำลังขับไปสู่ถนนใหญ่ วันนี้ผมกับพลอยได้มางานศพของอาจารย์หมอท่านหนึ่งที่เคยเป็นอาจารย์ของผมกับพลอย ท่านได้เสียชีวิตด้วยโรคชรา งานศพท่านจัดขึ้นในวัดที่อยู่ในตำบลอีกตำบลที่อยู่ติดๆกัน

พื้นเพท่านเป็นคนในตำบลที่อยู่ติดๆกันและรู้จักกับลุงอัสอยู่พอสมควร ผมกับพลอยมาด้วยและมาแวะรับลุงอัสไปที่ฟังสวดที่วัดด้วยกัน ด้วยเป็นวัดที่อยู่ในต่างจังหวัดพิธีสวดจึงเริ่มตอนทุ่มครึ่งกว่าจะเสร็จก็ร่วม 2 ทุ่มและลุงอัสชวนผมกับพลอยให้ทานข้าวกันก่อนที่จะกลับ เพราะเห็นว่าค่ำแล้วกลัวผมกับพลอยจะไปหิวกันระหว่างที่กลับ เราจึงออกจากบ้านลุงอัส ร่วม 3 ทุ่มเศษๆ วันนี้ยายผีจอมจุ้นไม่ได้มาด้วย แต่ผมเองก็ชวนเธอมาด้วย เธอตอบผมว่า

"ไม่เอาหรอกย่ะ ฉันไม่อยากไปเป็น กขค. และขากลับดีไม่ไม่ดีฉันได้อาจจะได้ดูหนังสดของคุณกับหมอพลอยไปด้วย คุณหมอลามก"

เธอทิ้งท้ายแล้วหายไปจากสายตาผม ถึงตอนนี้เธอจะออกจากบ้านได้แล้ว แต่เธอจะตามผมเฉพาะตอนที่ผมไปทำงานเท่านั้น และผมพอจะเดาออกว่าในเวลาอีกไม่นานนี้เธอคงจะต้องไปตามทางของเธอแล้ว ตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้วิญาณของเธอดูจะมีราศรีขึ้นมามาก ไม่เหมือนตอนที่มาอยู่กับผมในตอนแรกๆ คุณตาทวดกับท่านพระภูมิที่โรงพยาบาลคงจะอบรมให้เธอจนทำให้เธอดูมีราศรีมากขึ้น นั่นคงหมายถึงว่าเวลาของเธอที่มาช่วยงานผมนั้นคงเหลือน้อยเต็มที

ส่วนพลอยเองก็คุ้นเคยกับลุงอัสเป็นอย่างดี เธอรู้จักกับลุงอัสตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนแพทย์ และที่ผ่านมาบางครั้งถ้ามีงานกฐินหรือผ้าป่าที่วัดที่ลุงอัสดูแลอยู่พลอยเองก็มาช่วยงานบ่อยครั้งอย่างปีที่แล้วพ่อกับแม่ของเธอนั้นก็มาเป็นประธานทอดกฐินด้วย จนผมขับรถเข้ามาบนถนนใหญ่พลอยได้เบียดตัวเข้ามาแล้วเอาแก้มมาซบที่ไหล่ผม ทำให้หน้าอกที่อวบอัดของเธอเข้ามาชนที่ต้นแขนผม ทำเอาผมอดไม่ได้ผมจึงเอื้อมมือไปขยำที่สะโพกของเธอ พลอยขยับตัวให้ผมลูบคลำสะโพกเธอได้สะดวกขึ้นแต่เธอพูดกับผมว่า

"บ้า เดี๋ยวก็ได้ลงข้างทางหรอก"

"ลงข้างทางหรือแวะข้างทาง"

ผมตอบก่อนจะหันไปหอมที่ผมเธอเบาๆ

"คนลามก"

เสียงเธอพึมพำตอบแต่เอามือมาลูบที่หน้าขาของผมไปมา แต่ก่อนที่ผมจะเอามือเลื่อนจากสะโพกมาที่หน้าขาของเธอ จู่ๆรอบๆรถเหมือนจะมีหมอกหนาเกิดขึ้นมา

"เอ๊ะหมอกหรืออะไรนี่"

 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

au2000

เตือนแล้วไม่เชื่อ อย่างนี้ต้องโดนหนัก

magecounterz


voozaa01


solid17


jongjo

นางตะเคียนสงสัยไม่รอดแน่ หมอผีนั่นอีกคน

Chum2000

เรื่องเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆแล้ว  หวังว่าหมอผีจะไปตายง่ายๆนะครับ

chapter11

นางตพเคียนทำแะไรหมอยุทธไม่ได้ น่ากลัวว่าจะเข้าสิงพลอยหรือเปล่าครับ

102030

นางตะเคียนจะทำได้ขนาดไหนนะ 
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด คำนี้อ่านแล้ว
เหมือนจะเกิดอะไรจริงๆ

1819

 กิ่งกำลังจะไปภพภูมิดีๆ เหมือนกับลินดา คงจะหมดโอกาส กิ่ง กับ หมอ ได้ผสมวิญญานแล้วซิ    
กรุงเทพเป็นเมืองที่มีคนเหงา มากกว่าเสาไฟฟ้า

ekplaywalk

หมอกหรือควัน แต่ที่แน่ๆมีคนจัดฉากแน่นอน

akuzho


Run2020

อยากให้กิ่งกาญสมหวังกับหมอสักครั้งจัง

peerawat k.


solomon1977

สงสันนางตะเคียนจะโดนหมอยุทธจัดหนักซะละมังครับ