ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

หมอชันสูตรกับวิญญาณ(ไฮโซสาว) 16 /อวสาน

เริ่มโดย twintower, กุมภาพันธ์ 05, 2023, 12:33:01 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

twintower

ตอนจบนี้ไม่มีบทเสียวนะครับ


--------------------------------------------------------------------------------------------------------
"ฮ่าๆๆๆ นึกว่าจะแน่สักแค่ไหน ท่องมนต์ไปไม่ได้ไม่เท่าไหร่มึงก็ทนอาคมที่กูเรียกไม่ได้"

หมอกริชคำรามออกมาอย่าลำพองใจ แต่ลินดาส่ายหน้าก่อนจะตอบ

"ไม่เลย อาคมของนายกริชยังไงก็ไม่มีทางที่จะสู้ฉันได้ แต่ฉันมาเพราะอยากจะเตือนนายกริชว่าอย่าทำแบบนี้อีกเลย มันไม่มีประโยชน์อะไร แถมนายกริชยังไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกหลอก"

ประโยคที่ลินดาบอกทำให้มันไม่พอใจอย่างมาก มันจึงตวาดกลับไป

"ไม่ต้องมาหลอกกู กูไม่โง่ กูรู้ตัวกูดีว่าตอนนี้กูมีพลังขนาดไหน มึงรู้ตัวว่าไม่มีทางสู้กูได้เลยคิดจะมาหลอกกุ"

เมื่อเห็นอีกฝ่ายนั้นไม่ยอมรับฟังอะไร มันก็เปล่าประโยชน์ที่ลินดาจะเตือนต่อ 

"ในเมื่อนายกริชไม่ฟัง ฉันก็คงไม่บอกอะไรต่อ และฉันรู้จุดประสงค์ของนายกริชดีว่ายังไม่คิดเลิกที่จะจับวิญญาณฉันมาเป็นทาส เอาอย่างนี้ฉันมีข้อเสนอแบบนี้ ถ้านายกริชเอาชนะอาคมฉันได้ฉันจะยอมเป็นทาสนายกริชโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น แต่ถ้านายกริชเอาชนะอาคมฉันไม่ได้ ให้เราเลิกราต่อกัน ฉันจะไม่มีความอาฆาตหรือพยาบาทนายกริชเลย ตกลงตามนี้ไหม"

"ได้"

หมอกริชตอบด้วยความมั่นใจเพราะคิดว่ายังไงตอนนี้อาคมมันก็สูงกว่าลินดาอยู่แล้ว  ลินดาส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะกำหนดจิตแล้วร่ายเวทย์

"เตโชธาตุจงล้อมรอบตัวมัน"

มีไฟลุกขึ้นล้อมรอบตัวหมอกริชเป็นวงกลม หมอกริชยิ้มเหยียดๆก่อนจะหลับตาแล้วบริกรรมคาถาเพื่อดับไฟ มันเคยเจอแบบนี้มาก่อนและมันเดาออกว่าลินดาจะทำอะไรกับมัน มันจึงเตรียมคาถาเพื่อที่จะดับไฟจากเวทย์ของลินดา แต่เวลาผ่านไป มันไม่สามารถที่จะดับไฟนั้นได้ แถมเปลวไฟที่อยู่รอบตัวมันนั้นทวีความร้อนขึ้นทุกที ตอนนี้เหงื่อกาฬที่เกิดขึ้นจากความกลัวนั้นแตกออกมาเต็มหน้ามัน มันรู้สึกแน่นหน้าอกหายใจไม่ค่อยออก พลังงานในตัวมันที่มันรู้สึกว่าเพิ่มขึ้นตอนนี้มันแทบจะหายออกไปหมดตัว ความกลัวนั้นเข้ามาแทนที่มันไม่รู้สึกกลัวขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ยิ่งความร้อนที่มันสัมผัสได้เหมือนกับเปลวไฟนั้นเริ่มที่เข้ามาใกล้ตัวมันมากยิ่งขึ้น ทำให้หมอกริชลืมตาขึ้นทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นกลัว

"คุณครับ ผมยอมแล้วผมสู้คุณไม่ได้จริงๆ ผมกลัวแล้ว"

มันพูดพร้อมยกมือขึ้นมาไหว้ ลินดาที่สีหน้าเรียบเฉยได้ยกมือขึ้นมาโบกครั้งเดียวทำให้ไฟที่ลุกนั้นดับลง และบนพรมที่หมอกริชนั่งอยู่นั้นไม่มีร่องรอยอะไรที่แสดงว่าที่ผ่านมาสดๆร้อนๆนั้นมีเปลวไฟลุกขึ้นมา

"ฉันแค่ใช้อาคมง่ายๆนายกริชยังทำอะไรไม่ได้ คงรู้แล้วนะว่าอะไรควรไม่ควรแต่บัวใต้น้ำอย่างนายกริชพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ และอย่าลืมทำตามข้อตกลงไม่อย่างนั้นฉันจะไม่ใจดีอีกแล้ว"

ลินดาพูดทิ้งท้าย เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายยังเต็มไปด้วยกิเลส ไฟที่เธอเรียกขึ้นมานั้นเป็นไฟจากกิเลสของตัวหมอกริชเอง ในเมื่อตัวของหมอกริชนั้นเต็มไปด้วยกิเลส และตัวมันเองก็ไม่สำนึกในสิ่งที่ทำจึงยากที่ตัวเองจะดับไฟกิเลสในตัวของมัน แต่ในชั่วเวลานั้นหมอกริชที่มันสำนึกแต่ปากแต่ในใจที่เต็มไปความอาฆาต มันฉวยจังหวะนั้นรวบรวมพลังที่มีเหลือบริกรรมคาถาอย่างรวดเร็วแล้วรวมพลังพร้อมสะบัดมือใส่ไปที่วิญญาณของลินดา

"อีผีมึงอย่าอยู่เลย"

มันตั้งใจจะใช้พลังที่มีเหลือทำลายดวงวิญญาณลินดาให้แตกสลายไปเหมือนนางตะเคียน แต่ลินดาแค่ยกมือขึ้นมาเท่านั้น คาถาที่หมอกริชหวังว่าจะทำลายดวงวิญญาณของลินดานั้นได้สะท้อนกลับมาที่ตัวของมัน ทำให้หมอกริชนั้นล้มลงไปนอนดิ้นด้วยความเจ็บปวด มันนอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส และที่สำคัญพลังที่สะท้อนกลับนั้นมันได้ทำลายอาคมของหมอกริชไปจนหมดสิ้น ทำให้มนต์ดำของมันที่ได้ครอบงำหรือจองจำสิ่งต่างๆนั้นได้สูญสลายไปหมด บ้านหลังนั้นเกิดการสั่นทะเทือนขึ้น ขวดแก้วที่มันกักวิญญาณไว้จำนวนมากได้หล่นลงมาแตก ทำให้พวกวิญญาณที่มันกักขังไว้นั้นได้รับอิสระ ดวงวิญญาณเหล่านั้นต่างมีความพยาบาทกับมันอย่างมาก รวมถึงวิญญาณของเพียงขวัญกับอนงนาฏที่แค้นมันอย่างมากต่างได้รวมตัวกันมาหลอกหลอนมันด้วยความแค้น

ทำให้หมอกริชเกิดสติแตกด้วยความหวาดกลัวที่มีต่อดวงวิญญาณเหล่านั้น  มันยกมือไหว้เป็นพัลวันเพร้อมพูดขอโทษออกมาไม่หยุด และวิ่งหนีไปทั่วห้อง จนไปสะดุดเทียนเล่มใหญ่ทำให้เทียนนั้นล้มใส่พรม ทำให้เกิดไฟลุกไหม้ทันที ตัวหมอกริชได้วิ่งเตลิดออกไปนอกห้องทันที พร้อมร้องโวยวายขอความช่วยเหลือแบบคนที่ไร้สติ สินดามองด้วยความสังเวชใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอรู้ดีว่ามันเป็นเพราะอะไร ทั้งๆเธอเตือนแล้วแต่หมอกริชกลับไม่เชื่อ ที่เธอมาไม่ใช่เพราะมนต์ที่หมอกริชใช้เรียกเธอนั้นมันไม่มีผลอะไรต่อวิญญาณของเธอเลย แต่เธออยากจะมาเตือนหมอให้เลิกราผูกใจเจ็บเป็นครั้งสุดท้ายแต่ไม่เป็นผล จึงทำให้หมอกริชต้องรับกรรมที่มันก่อขึ้น 

ส่วนหมอกริชตัวมันนั้นได้วิ่งเหมือนคนเสียสติออกจากบ้านไป พร้อมตะโกนให้คนช่วย  คนงานที่ได้ยินเสียงของมันต่างพยายามที่จะวิ่งตามมันไปแต่ไม่มีใครตามทัน ตัวมันวิ่งไปทางต้นตะเทียนที่อยู่ท้ายสวน และเป็นจังหวะเดียวกับที่ไฟที่ไหม้ในห้องพิธีได้ลามไปทั่วบ้านอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นอย่างมากกับคนงานของมัน บางคนวิ่งมาช่วยกันดับไฟ บางคนวิ่งไล่ตามมันไป ครั้งสุดท้ายที่มีคนเห็นหมอกริชคือมันวิ่งเข้าไปกอดต้นคะเคียนแล้วพร่ำเพ้อพูดถึงนางตะเคียนให้ช่วยมันเหมือนคนไม่ได้สติ ก่อนที่ตัวมันจะวิ่งหายไปในความมืด พวกคนงานที่วิ่งไล่ตามมันนั้นหาตัวมันไม่เจอ

จนช่วงค่ำของวันรุ่งขึ้น มันได้ฟื้นขึ้นมาและได้สติหลังจากที่วิ่งเตลิดแบบบุกป่าฝ่าดงมาตลอดทั้งวันทั้งคืน มันพบว่าตัวของมันมานอนสลบที่หน้าศาลเพียงตาในดงทึบ สภาพของมันตอนนี้เหมือนคนสติไม่ดี ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าขาดวิ่นเพราะถูกพวกกิ่งไม้กับหนามเกี่ยว เหมือนกับหน้าตาที่มีสภาพเดียวกัน ส่วนเท้านั้นเต็มไปด้วยโคลนและเสี้ยนหนามที่ตำเท้ามัน ตอนนี้มันยังคิดอยู่ว่าบรรดาพวกวิญญาณที่เคยถูกมันกักขังนั้นยังตามมาหลอกหลอนมัน ตัวมันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันถึงมาโผล่ที่นี่ได้และมันเอาแรงมาจากไหนที่ทำให้วิ่งบุกป่าผ่าดงมาได้ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่มีใครเห็น  มันลุกขึ้นนั่งแล้วยกมือทั้งสองขึ้นมาพนมที่อก พร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หวาดกลัว

"อาจารย์ช่วยข้าด้วย ข้ากลัวพวกผีมันตามมาหลอกข้าและตอนนี้ข้าไม่มีพลังเหลืออยู่เลย"

มันเฝ้ารออยู่ชั่วขณะก่อนที่จะมีเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังก้องไปทั่ว

"ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆไอ้กริช มึงนี่มันโง่อย่างที่กูคิดไว้จริงๆ"

"อะไรกันนี่ท่านอาจารย์"

มันร้องตะโกนกลับไปด้วยความตกใจ

"มึงยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่าตัวมึงโง่ขนาดไหน จนทำให้กูหลอกมึงได้อย่างง่ายดาย เพราะความโง่ที่มาจากความตัณหากับความโลภของมึง ถ้ามึงฉลาดและเฉลียวแต่แรกมึงก็ไม่ถูกกูหลอกง่ายๆแบบนี้ ตัวหมออินทรายุทธที่มึงหมายจะปองร้าย มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงคอยปกป้องคุ้มครองอยู่ ขนาดวิญญาณของอีตะเคียนที่แก่กล้าวิชายังแตกดับได้เพราะของวิเศษนั้น มึงก็ยังไม่รู้ตัว กูก็เคยบอกว่าตัวมึงก็รู้ดีว่ามึงสู้แม่ของหมออินทรายุทธไม่ได้ แถมไอ้จังวโรที่มึงนับถือมันยังสู้ไม่ได้เลย มึงก็ยังดันทุรังที่คิดจะสู้ ถ้ามึงฉลาดจริงๆมึงต้องรู้แล้วว่าอีกฝ่ายนะอยู่ระดับไหน มึงแค่มีวิชาอาคมแค่กะผีกริ้นยังคิดจะไปสู้พวกเขา ขนาดมึงเจอไปครั้งแรกมึงก็น่าจะรู้ตัวแล้วว่าตัวมึงนะไม่มีทางสู้ วิชาของมึงนะเทียบไม่ติด แต่เพราะความโง่ของมึงที่มาจากตัณหากับความโลภทำให้มึงคิดแต่จะเอาชนะ เรื่องกล้วยๆแบบนี้คนฉลาดเขาก็จะรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร แต่คนโง่อย่างมึงยังไม่รู้ตัวว่าสู้กับอะไรอยู่ ความโง่ ความโลภกับตัณหาที่มึงมี ทำให้มึงตาบอด หูหนวก  ถ้าเทียบเป็นมวยก็มวยคนละชั้นแต่มึงยังโง่ที่คิดจะสู้ มึงไม่มีทางสู้แต่แรกแล้ว แต่ในเมื่อมึงยังดันทุรังเพราะความโง่ ที่ขนาดเด็กอนุบาลก็รู้ว่ายังไงมึงก็สู้เขาไม่ได้ แล้วมึงไม่ลองคิดให้ดีๆ ว่าทำไมจู่ๆกูถึงไปเสนอตัวรับมึงเป็นลูกศิษย์อย่างง่ายดาย ลองไปนึงถึงสมัยที่มึงต้องทำอะไรขนาดไหนถึงจะเป็นลูกศิษย์ไอ้จังวโรได้  ฮ่าๆๆๆๆๆ ไอ้โง่  ตั้งแต่นี้มึงต้องมาเป็นทาสรับใช้กูตลอดไป ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ"

เสียงหัวเราะนั้นดังกลบเสียงร้องขอความช่วยเหลือของหมอกริช  ลินดาที่อยู่ไม่ห่างออกไปนักยืนมองสภาพของหมอกริชด้วยความสังเวชใจ เธอรู้ดีแต่แรกแล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แต่ก่อนที่เธอจะถอยกลับ เงาดำนั้นมายืนปรากฏร่างตรงหน้าเธอแล้วพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงกึ่งเกรงกลัวกึ่งเคารพ

"ท่านกับข้าเราไม่เคยมีเรื่องที่บาดหมางกันมาก่อน เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของข้า หวังว่าตัวท่านคงไม่ยุ่งกับเรื่องนี้"

ลินดามองไปที่ร่างเงาดำด้วยสายตาที่สงบพร้อมกับแผ่เมตตาไปให้รวมถึงหมอกริชด้วย ก่อนจะตอบไปที่เงาดำนั้น

"เรารู้ดีอะไรควรไม่ควร เราไม่ข้ามเส้นของจักรวาลไปยุ่งเกี่ยวกับกิจของท่านหรอก"

เงาดำนั้นก้มหัวให้เธอด้วยความคาราวะ ส่วนลินดาค่อยๆถอยห่างออกมา เธอรู้ว่าเงาดำนั้นเป็นมารตนหนึ่งแต่มีฤทธิ์เดชยังไม่มากเท่าไหร่ มันต้องการเพิ่มพลังให้กับตัวของมัน มันเลยฉวยโอกาสจังหวะที่หมอกริชไม่มีจังวโรคุ้มหัว เข้ามารับสมอ้างเป็นอาจารย์เพราะมันหวังที่จะดูดพลังของหมอกริชมาเพิ่มพลังให้กับมัน มันหลอกให้หมอกริชทำพิธีบูชามัน และมันใช้อาคมบันดาลให้หมอกริชเข้าใจว่าตัวหมอกริชนั้นได้รับพลังเพิ่มแต่ความจริงแล้วมันค่อยๆสูบพลังงานจากหมอกริชมาเรื่อยๆแต่หมอกริชนั้นไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่หมอกริชทำเมถุนสังเวยให้มันพลังของมันได้เพิ่มขึ้นมาตลอดแต่พลังของหมอกริชกลับลดลง ขนาดเมื่อไม่กี่คืนก่อนที่หมอกริชเรียกเพียงขวัญกับอนงนาฏมาบำเรอกามให้มัน วิญญาณของทั้งคู่เริ่มที่จะต่อต้านหมอกริชแต่หมอกริชมันไม่รู้ตัว  มันนึกว่าทั้งวิญญาณของทั้งสองนั้นกำลังมีอารมณ์สนองตอบมันเรื่องกาม

จนถึงเมื่อคืนที่มารตนนี้ได้ร่ายเวทย์หลอกให้หมอกริชคิดว่ามีพลังเวทย์สูงอย่างล้นเหลือ ทำให้หมอกริชหลงกลแล้วเรียกลินดามา จนอาคมเด้งกลับเข้าตัวหมอกริช ทำให้หมอกริชสูญเสียอาคมไปจนหมดและควบคุมสติไม่ได้ มารตนนี้มันจึงอาศัยจังหวะนั้นครอบงำจิตให้หมอกริชมาหามันที่ศาล และบังตาไม่ให้ใครเห็นหมอกริชตลอดเส้นทางจนมาถึงศาลเพียงตา    ลินดาได้เตือนหมอกริชแล้วแต่หมอกริชไม่ฟังผลที่ได้รับคือหมอกริชต้องตกเป็นทาสของมารตนนี้ไปอีกนาน สภาพของหมอกริชตอนนี้เหมือนตายทั้งเป็น จะไม่มีใครพบเห็นมันได้อีกต่อไป เพราะตัวมันถูกบังตาไว้แล้วตัวมันจะค่อยๆตายซากจนเหลือแต่ดวงวิญญาณที่จะต้องตกเป็นทาสรับใช้ต่อไป มารตนนี้มันรู้ว่าอะไรควรไม่ควร มันรู้ว่าอสนีนั้นคือใคร และสิ่งที่ปกป้องอินทรายุทธอยู่นั้นมีพลังที่สูงส่งยิ่งนักต่อให้พญามารที่มีฤทธิ์เดชสูงส่งยังไม่กล้าเข้าไปยุ่งกับเครื่องรางที่ได้รับพลังจากท่านนักพรตกัสปะที่ขนาดท่านมหาเทพยังให้ความเคารพและยังเป็นอาจารย์ที่สั่งสอนพระโอรสอสนีมาแต่ยังทรงพระเยาว์และจี้อันนั้นยังมีพลังของพระโอรสอสนีเพิ่มเข้ามาอีกด้วย

มันตระหนักได้ดีถึงพลังของพระโอรสอสนีตั้งแต่สมัยที่ยังไม่จุติลงมา มันรู้ดีว่าภูตอย่างมันไม่มีทางที่จะทำอะไรได้ มันไม่กล้าแม้แต่จะคิด และยิ่งสถานภาพของลินดาที่สูงกว่าวิญญาณทั่วๆไปอีกทั้งยังไม่รวมถึงเวทย์มนต์ที่เธอมี มันไม่โง่พอที่จะหาญกล้าที่จะไปต่อกรอย่างแน่นอน แต่มันรู้ว่าจิตใจของหมอกริชนั้นมีแต่ความโลภกับตัณหาเท่านั้นมันเลยครอบงำหลอกดูดเอาพลังของหมอกริชมาได้อย่างง่ายดาย และยังมีทาสรับใช้ชั้นดีไว้คอยรับใช้มันอีกด้วย

ลินดาเองก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องของเธอที่จะเข้าไปยุ่ง ทุกอย่างมันมีระยะเวลาของมัน มารตนนี้ก็มีระยะเวลาของมันเช่นกันจนกว่ามันจะหมดวาระของมันซึ่งตอนนั้นมันคงไม่พ้นเงื้อมือท่านพญายมอย่างแน่นอนตอนนี้ปล่อยให้เป็นเรื่องของมันที่จะลำพองใจไปก่อน เธอทำได้แต่แผ่เมตตาให้มันและอุทิศส่วนกุศลไปให้หมอกริชเท่านั้น วิญญาณของเธอมาหยุดอยู่ชายป่าที่ตอนนี้บรรดาดวงวิญญาณทั้งหลายที่อาฆาตหมอกริชต่างมาชุมนุมกันที่ชายป่า แต่ไม่กล้าล้ำเข้าไป เธอยิ้มให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นอย่างเมตตาพร้อมพูดบอกไปว่า

"พวกเจ้าไปตามทางของเจ้าเถอะ ตอนนี้พวกเจ้าทั้งหลายต่างเป็นอิสระแล้ว อาฆาตพยาบาทไปก็ทำอะไรไม่ได้ และเราขออุทิศส่วนกุศลไปให้พวกเจ้าทุกคน"

ดวงวิญญาณเหล่านั้นต่างยกมือรับไหว้ส่วนกุศลที่ลินดาอุทิศ เธอมองไปที่เพียงขวัญกับอนงนาฏซึ่งเพียงขวัญนั้นได้พูดกับเธอ

"พวกหนูทั้งสองคน ขอขอบคุณท่านและลูกชายของท่านด้วย ถ้าไม่ได้คุณหมอแอบช่วยเหลือเรื่องคดีหนูคงไม่ได้รับความยุติธรรม"

ลินดายิ้มให้ทั้งคู่ที่ค่อยๆสลายตัวไปเหมือนกับดวงวิญญาณดวงอื่น

"โอ้โหนี่มันเป็นสวนหรือเป็นซ่องโจรกันแน่"

เสียงของยายผีจอมเพี้ยนดังลั่นรถหลังจากรู้ข่าวตำรวจได้จับกุมมือปืนคนสำคัญที่มีคดีติดตัวนับไม่ถ้วน และสามารถปิดคดีว่าใครฆ่าอนงนาฏได้อีกคดี มือปืนที่ถูกจับยอมรับสารภาพว่าปรเมศนั้นเป็นคนว่าจ้างโดยผ่านเจ้านายที่ชื่อกริชให้ฆ่า อนงนาฏเพื่อปิดปากเรื่องของเพียงขวัญ เหตุมันเกิดในช่วงดึกทางตำรวจได้รับแจ้งว่าบ้านหลังหนึ่งเกิดไฟไหม้ แต่กว่าจะดับได้ ไฟได้ไหม้บ้านไปทั้งหลังแล้ว บ้านหลังนั้นเป็นของเจ้าสวนที่ชื่อนายกริช สาเหตุของไฟไหม้ตำรวจกับพิสูจน์หลักฐานตรวจดูแล้วพบว่าน่าจะเกิดจากเทียนที่นายกริชเจ้าของบ้านจุดไว้ล้มใส่วัตถุที่ติดไฟได้ง่าย ทางพิสูจน์หลักฐานได้เจอเศษของพรมที่หลงเหลืออยู่จึงสันนิษฐานว่าเทียนอาจล้มไปโดนพรมจนทำให้ไฟนั้นลุกไหม้ แต่ตัวนายกริชเจ้าของบ้านและเป็นเจ้าของสวนนั้นหายตัวไปอย่างลึกลับ คนที่เห็นทุกคนต่างบอกว่านายกริชวิ่งเหมือนคนเสียสติหายเข้าไปในสวน ลูกน้องพยายามวิ่งตามจับตัวแต่หาไม่เจอ มีการระดมคนมาค้นหาแต่ไม่เจอแม้แต่รอยเท้า ที่เจอรอยเท้าครั้งสุดท้ายคือรอบๆต้นตะเคียนแล้วรอยเท้านั้นได้หายไปอย่างลึกลับ

แต่ตำรวจที่เข้ามาดูพื้นที่เกิดเหตุเกิดสะดุดตากับลูกน้องของนายกริชอยู่3-4คนจึงได้นำตัวมาสอบสวน จากการตรวจสอบนั้นทุกคนมีหมายจับคดีฆาตกรรมติดตัวอยู่  หลังจากสอบไปได้ไม่นานนักทุกคนให้การรับสารภาพตรงกันเรื่องของนายกริชที่มีฉากบังหน้าเป็นเจ้าของสวน แต่ที่แท้คือหัวหน้าแก็งส์อาชญากรรมแก็งส์ใหญ่ ที่รับงานรับจ้างฆ่า จน 1ในนั้นรับสารภาพว่าเคยทำอะไรให้นายกริชมาบ้างทั้งการรับจ้างฆ่าหรือฆ่าข่มขืนพร้อมเอาศพไปเผาอำพรางคดีรวมถึงการฆ่าปิดปากอนงนาฎที่นายกริชรับงานจากปรเมศ  นอกจากนี้ลูกน้องของนายกริชได้พาตำรวจไปชี้จุดที่เคยเอาศพไปเผาอำพราง และพาตำรวจไปดูที่รกทึบที่เคยพาหมอกริชมาเมื่อไม่นานนี้ ได้มีการเดินปูพรมสำรวจบริเวณรอบๆนั้น แต่ไม่มีใครพบเห็นอะไรนอกจากความรกร้าง

แต่ลูกน้องไม่ได้บอกตำรวจว่าหมอกริชนั้นเป็นหมอผีที่รับทำพวกคุณไสยด้วย ส่วนหลักฐานสำคัญต่างๆนั้นได้ถูกพระเพลิงเผาผลาญไปหมดแล้วเท่ากับเป็นการชำระล้างความกาลีที่หมอกริชเคยทำไว้  ทำให้ทางตำรวจมีคำให้การของลูกน้องหมอกริชเท่านั้น พร้อมค้นเจอปืนที่เคยใช้ก่อคดีเพียง2-3กระบอก แต่คนบงการนั้นหายสาบสูญ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าตอนที่มีการไปตรวจดูบริเวณป่าที่รกทึบนั้นหมอกริชที่ถูกบังตาอยู่ได้ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือแต่ไม่มีใครเห็นหรือได้ยินเสียง ถือเป็นกรรมที่หมอกริชต้องชดใช้หลังจากที่ก่อกรรมทำเข็ญมาโดยตลอด

"เท่ากับคดีของอนงนาฏก็ปิดลงได้"

ผมบอกกับเธอ

"ใช่เห็นไหมอย่างที่ฉันเคยบอกคุณว่าไอ้ปรเมศมันร้ายขนาดไหน  เสียดายที่มันไม่ติดคุก แถมไม่ต้องมารับรู้อะไรเพราะมันเป็นบ้า ฉันจะไปหลอกมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเพราะมันไม่มีสติที่จะรับรู้อะไรแล้ว"

เธอบอกด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจ ผมได้แต่ยิ้มๆ ไม่พูดอะไรต่อ ถ้าข่าวนี้ไม่เกี่ยวของกับปรเมศผมก็ไม่สนใจเท่าไหร่นัก วันนี้ผมกำลังขับรถไปหาลุงอัสที่บ้าน หลังจากที่ลุงอัสไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลแล้วผลการตรวจที่ออกมานั้นไม่ค่อยดีนักทำให้ผมตัดสินใจมาหาลุงอัสและกิ่งกาญจน์ได้ตามมาด้วย พอไปถึงบ้านลุงอัสหลังจากจอดรถผมได้เดินเข้าไปในบ้านทันทีโดยไม่สนใจว่ากิ่งกาญขน์จะตามเข้ามาด้วยหรือเปล่า ซึ่งตัวกิ่งกาญจน์เองก็ไม่ตามเข้าไปเพราะคิดว่าอินทรายุทธกับลุงคงมีเรื่องที่พูดคุยกันเยอะ เธอมองเห็นท่านรุกขเทวดานั่งอยูตรงข้างประตูรั้วบ้านเหมือนที่เธอเคยเห็น เธอจึงเดินเข้าไปหา

"ว่ายังไงกิ่งกาญจน์"

ท่านทักเธอด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรหลังจากที่เธอยกมือไหว้เคารพ กิ่งกาญจน์ใช้เวลาที่หมออินทรายุทธเข้าไปพบกับอสนีพูดคุยกับท่านรุกขเทวดาทำให้เธอได้ความรู้เพิ่มขึ้นมา ท่านเล่าให้เธอฟังว่าตัวท่านเห็นอะไรมาบ้างตั้งแต่มาเป็นรุกขเทวดาที่ต้นไม้หน้าวัด ท่านเห็นความเจริญและวิวัฒนาการตั้งแต่ยังเป็นหมู่บ้านเล็กๆ การเดินทางต้องใช้เกวียน จนมาใช้รถยนต์กันถึงทุกวันและท่านยังเล่าเรื่องของหลวงตาอดีตเจ้าอาวาสให้เธอฟังด้วย

"งั้นแสดงว่าหลวงตาท่านมีวิชาอาคม แต่ไม่มีใครรู้"

"ใช่ ท่านไม่เคยอวดอ้างอะไร ไม่ทำอะไรที่ผิดวินัย และยังช่วยพัฒนาท้องถิ่นอีกด้วย"

"แล้วเรื่องเวลาที่คุณลุงไปใส่บาตรละคะ เป็นเทพแล้วต้องทำบุญด้วยหรือคะ"

คำถามจากเธอทำให้ท่านรุกขเทวดาหัวเราะชอบใจ

"พวกเทพพวกเทวดาก็ยังมีกิเลสอยู่กิ่งกาญจน์ ไม่อย่างนั้นจะมีพวกเทพที่ถูกลงโทษมามาใช้ความผิด มันเกิดเพราะกิเลสโน้นนำให้ใฝ่ต่ำ มันขึ้นอยู่กับตัวเราที่จะกำหนดหรือหักห้ามใจกิเลสได้ ถ้าเรานำความอยากนั้นมาทำบุญเพื่อที่จะให้บุญนั้นหนุนให้เราไปอยู่ในสถานะที่สูงหรือดีกว่าเก่า การทำบุญกับอริยสงฆ์อย่างหลวงตามันก็เป็นอีกทางที่หนุนให้เราขึ้นไปอยู่ในภพภูมิที่สูงกว่าเดิมนอกเหนือจากการบำเพ็ญเพียรของตัวเรา"

เธอคุยกับท่านรุกขเทวดาจนอินทรายุทธกลับ เธอไหว้ลาท่านรุกขเทวดาและมารออินทรายุทธที่รถ อสนีนั้นเดินมาส่งหลานชายซึ่งเธอนั้นยกมือไหว้เหมือนครั้งก่อนและอสนีนั้นผงกหัวรับทำให้มั่นใจว่าอสนีนั้นเป็นคนที่มองเห็นวิญญาณเหมือนกับหลานชายอย่างแน่นอน ระหว่างทางที่กลับเธอได้ถามอินทรายุทธ

"คุณลุงคุณเป็นยังไงบ้างละ"

"ก็อย่างที่เคยบอก ลุงอัสดูจะไม่ตกใจกับผลตรวจ ลุงบอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่มีใครหนีพ้น ผมลองวัดความดันดูมันก็เหมือนตอนที่ไปโรงพยาบาล ครั้งแรกมันต่ำแต่พอตรวจอีกครั้งความดันขึ้นมาปกติเหมือนกับการเต้นของหัวใจ ที่ผมได้ฟังครั้งแรกไม่ค่อยดี แค่พอตรวจอีกครั้งกลับดีขึ้น"

"แบบนี้คุณไม่แปลกใจหรือไง"

"ถ้าพูดในเรื่องของวิทยาศาสตร์นี่ ลุงอัสจะเป็นเคสที่แปลกอย่างมากอยู่แล้วคุณ อย่างที่คุณเคยตั้งข้อสงสัยว่าทำไมลุงดูไม่แก่ ไม่มีใครหาคำตอบได้ แล้วเรื่องนี้มันก็ดูแปลกๆ แต่ถ้ามองอีกมุม อย่างผมที่อยู่ทั้งทางสายวิทยาศาสตร์กับสายที่คุยกับผีได้นี่  บอกได้ว่าลุงอัสเป็นคนที่มีอำนาจจิตในตัวสูง สามารถบังคับร่างกายในเรื่องพวกนี้ได้แต่มันคงได้ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นลุงคงอยากให้ผมสบายใจ"

"แล้วคุณจะทำยังไงต่อ"

"ไม่ต้องทำอะไรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะอย่างที่บอกลุงอัสก็ดูจะไม่ตกใจกับเรื่องนี้ ส่วนเรื่องอื่นๆลุงอัสทำไว้เรียบร้อยแล้ว ลุงเอาเอกสารที่ลุงทำไว้ให้ผมดูทั้งหมดแล้ว"

"พูดเหมือนคนที่ปลงๆยังไงก็ไม่รู้"

"คงอย่างนั้นมั้ง เพราะชีวิตผมมันก็เป็นแบบนี้มาตลอดเสียแม่ตั้งแต่ยังเด็กๆ โตขึ้นมาหน่อยก็เสียตากับยาย ถ้าไม่มีลุงอัสผมก็คงตัวคนเดียวตั้งแต่ตอนนั้น จะว่าไปผมก็แทบจะไม่มีญาติเลย"

"อนาคต คุณคงต้องดูแลกิจการหลายอย่างไหนจะงานประจำอีกแล้วงานมูลนิธิละ"

"ลุงอัสเตรียมให้คนที่ทำงานมานานและไว้ใจมาดูแล ส่วนผมก็ทำหน้าที่ประธานมูลนิธิแทน ยังไม่รวมกิจการอื่นๆที่ลุงอัสมีหุ้นอยู่ด้วยที่ผมต้องเข้ามาดูแล"

"แล้วเรื่องเงินทุนของมูลนิธิละ"

"ก็เหมือนเดิมเงินทุนหลักๆมาจากเงินปันผลจากการถือหุ้นของบริษัทคุณตาที่ลุงอัสถือในนามมูลนิธิและกำไรส่วนหนึ่งจากที่ขายข้าวของโรงสี"

"มันจะพอหรือเปล่านี่"

"พอ ผมว่าเกินพอด้วย ผมเห็นบัญชีแล้วเงินตรงนี้มีเยอะพอสมควรและผมว่าต่อไปจะเอาเงินส่วนหนึ่งจากกำไรที่ขายพวกยาที่ได้สูตรมาจากหลวงตามาเพิ่มด้วย เพราะตอนนี้มีหลายที่สั่งซื้อไปเยอะ"

กิ่งกาญจน์นิ่งไปชั่วขณะแล้วพูดต่อ

"อนาคตคุณหมอคงต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วละ กับการเป็นหมอหรือมาบริหารงานแทนลุงอัส หรือไม่ก็รีบแต่งงานมีลูกจะได้มีคนมาช่วยทำงาน"

"อย่างผมจะแต่งกับใครได้"

เธอไม่ตอบผมแต่เปลี่ยนไปเรื่องอื่น

"คุณหมอยุทธ ฉันมีเรื่องจะบอกคุณ"

"เรื่องอะไรละ"

เธอนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบผม

"เวลาของฉันที่จะอยู่ช่วยคุณเหลืออีกไม่นานเท่าไหร่แล้วนะ มันจวนจะได้เวลาที่ฉันต้องไปแล้ว"

"ผมก็พอจะรู้อยู่เหมือนกัน"

"คุณรู้จากไหน คุณตาทวดบอกคุณหรือไง"

"เปล่า คุณคงไม่ได้สังเกตตัวเอง ตอนนี้ร่างของคุณดูมีสง่าราศีขึ้นมาก ไม่เหมือนตอนที่มาอยู่กับผมใหม่ๆ"

"อ้าวเหรอฉันไม่รู้ตัวเลย"

น้ำเสียงของเธอบอกถึงความสงสัยอย่างมาก

"คุณนะถือว่าโชคดีอย่างมาก มีอาจารย์ที่เป็นเทพถึง 2 องค์ด้วยกันที่คอยสั่งสอนดูแลคุณ แล้วคุณรู้หรือยังละว่าจะต้องไปเมื่อไหร่"

"ไม่รู้แต่คุณตาทวดบอกไว้ว่าเมื่อถึงเวลาฉันจะรู้ตัวเอง แต่ยังพอมีเวลาให้ทำเรื่องของฉันให้เสร็จอีกเรื่องสองเรื่อง"

ผมไม่ได้ถามว่าเป็นเรื่องอะไรแต่เธอนั้นพูดต่อ


"แต่เออนี่ถ้าฉันไม่อยู่แล้วคุณคงลำบากแย่เลยนะ ไม่มีฉันมาคอยเป็นล่ามให้เวลาคุณพูดกับพวกวิญญาณไม่รู้เรื่อง ฉันเห็นคุณทำหน้าเหมือนพวกปลาที่อยู่แถวๆทะเลลึกๆทุกทีเวลาที่คุยกับพวกวิญญาณไม่ได้"

พอเธอพูดจบเธอหัวเราะออกมาสุดเสียง พอได้ฟังแบบนี้ทำเอาผมไม่อยากคุยอะไรกับยายผีจอมเพี้ยนต่อ

ในคืนนั้นเอง ณ ดินแดนที่เชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์กับสรวงสวรรค์ที่เป็นที่ตั้งของอาศรมท่านกัสปะ ท่านนักพรตได้มองไปยังร่างที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้าตรงหน้า

"ในเมื่อพระโอรสตัดสินพระทัยที่จะเลือกแบบนี้ตัวข้าพระพุทธเจ้าก็ไม่ความเห็นอะไรทั้งสิ้น เพราะเป็นพระประสงค์ที่พระองค์ทรงเลือก"

อสนีได้มองอาจารย์ด้วยความเคารพก่อนจะตอบ

"ในเมื่อท่านอาจารย์ให้ตัวข้าตัดสินใจเองข้าก็เลือกที่จะตัดสินใจว่าข้าจะขอลืมว่าตลอดเวลาที่ข้าลงมาจุติเพื่อใช้กรรมข้าเคยพบปะรู้จักกับใครบ้างมันจะไม่ได้เป็นการผูกพันไม่เช่นนั้นข้าคงที่จะอดห่วงไม่ได้ ดีไม่จะแอบมาช่วยเหลือมันจะเป็นการละเมิดกฎสวรรค์และข้ามเส้นของจักรวาลอีกด้วย"

ท่านกัสปะมองไปที่ศิษย์คนโปรดแล้วยิ้มอย่างพอใจ ตัวอสนีเองพึ่งรู้ว่าตนเองนั้นเป็นใครและลงมาจุติเพื่ออะไรเมื่อไม่นานมานี้ เพราะมาจากการศึกษาและปฏิบัติธรรมกับท่านกัสปะพร้อมกับบารมีที่ติดตัวมา ทำให้อสนีระลึกได้ว่าตนเองนั้นมีฐานะอะไร และรู้ว่าตนเองนั้นกำลังจะได้กลับคืนสู่สรวงสวรรค์หลังจากทีได้ชดใช้กรรมจนหมดสิ้นแล้ว ซึ่งตอนนี้อสนีได้ตั้งจิตอธิฐานว่าหลังจากที่ได้กลับคืนสู่สรวงสวรรค์แล้วจะขอให้ลืมเรื่องตอนที่ตนเองได้ลงมาจุติที่โลกมนุษย์นั้นได้เกี่ยวข้องกับใครบ้างเพื่อจะได้ไม่เป็นการผูกพัน ยกเว้นแต่เรื่องที่ดีงาม ซึ่งอสนีได้มาขอคำปรึกษากับท่านกัสปะแล้วว่าควรทำแบบนี้ดีหรือไม่ ซึ่งท่านกัสปะให้อสนีตัดสินใจเอง  แต่ก่อนที่ท่านกัสปะจะพูดอะไรต่อ ท่านนิ่งไปชั่วขณะแล้วบอกกับอสนี

"พระโอรสดูจะมีคนมาขอเข้าเฝ้าพระองค์ตอนนี้รออยู่ที่หน้าที่ประทับ"

"ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อนท่านอาจารย์"

อสนีก้มลงกราบท่านกัสปะก่อนที่จะพากายทิพย์ของตนเองกลับเข้าร่าง ที่นั่งสมาธิอยู่หน้าเตียงภายในห้องนอน อสนีลืมตาขึ้นพร้อมค่อยๆผ่อนลมหายใจออก ส่วนในดวงจิตนั้นมีเสียงของท่านรุกขเทวดาบอกมา

"พระโอรสพระเจ้าข้า นางไม้อรัญากับพวกขอเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทพระเจ้าข้า"

"เชิญพวกนางเข้ามา"

อสนีตอบไปในดวงจิตขณะเดินลงมาที่ห้องรับแขก ภายในห้องรับแขกสายตาส่วนพิเศษของอสนีเห็นร่าง 2 ร่างนั้นนั่งอยู่บนพื้น พอก้าวเข้าไปทั้งสองร่างต่างก้มกราบทันที ร่างหนึ่งนั้นแต่งชุดไทยโบราณส่วนอีกร่างนั้นอยู่ในชุดนุ่งขาวห่มขาว  ร่างที่อยู่ในชุดไทยอสนีนั้นคุ้นตาเป็นอย่างดีเป็นนางไม้ที่อยู่กับต้นไม้อายุร่วม 100 กว่าปีที่เคยใส่บาตรตั้งแต่สมัยที่บวช ส่วนอีกร่างหนึ่งคือลินดา

"ว่ายังไงอรัญญา"

อสนีถามไปยังนางไม้ ซึ่งนางนั้นพนมมือก่อนจะตอบ

"ข้าพระพุทธเจ้าจะมากราบบังคมทูลลาเพคะ บัดนี้ได้เวลาที่ข้าพระพุทธเจ้าจะได้ละจากภพนี้แล้วเพคะ"

"ผลจากการบำเพ็ญเพียรของเธอนั้นได้ผลแล้ว เราดีใจด้วย"

อสนีตอบด้วยน้ำเสียงที่กรุณา

"นั่นคือส่วนหนึ่งเพคะ อีกส่วนมาจากที่ใต้ฝ่าพระบาท ที่ทรงอุทิศส่วนกุศลให้ข้าพระพุทธเจ้าตั้งแต่เมื่อครั้งยังผนวชจนถึงทุกวันนี้ใต้ฝ่าพระบาทยังทรงอุทิศส่วนกุศลให้ข้าพระพุทธเจ้าตลอด ส่วนกุศลที่ใต้ฝ่าพระบาทที่ทรงอุทิศนั้นเป็นกุศลที่แรงกล้ามาก ทำให้ข้าพระพุทธเจ้าได้ขึ้นไปอยู่ในภพที่สูงขึ้นก่อนเวลาอันควร"

"มันมาจากการประพฤติของตนของเธอมากกว่า กุศลจากเราที่อุทิศให้นั้นเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้นแต่เอาละ เราขอให้เธอไปดีและอย่าลืมเมื่อขึ้นไปอยู่ภพที่สูงขึ้นอย่าลืมประพฤติตัวบำเพ็ญเพียรทำความดีให้เหมือนเดิมตลอดด้วย"

ร่างของนางไม้ก้มลงกราบเมื่อได้รับพรก่อนที่อสนีจะถามต่อ

"แล้วนี่ลินดาจะมาแทนเธอใช่ไหม"

"เพคะ เธอผู้นี้ได้รับบัญชาจากสวรรค์เบื้องบนให้มาอยู่แทนที่ข้าพระพุทธเจ้าและเธอขอให้ข้าพระพุทธพามาเข้าเฝ้าพระองค์ด้วย"

นางไม้ตอบ อสนีนั้นไปยิ้มให้ลินดาที่นั่งพนมมือเหมือนนางไม้ ซึ่งลินดานั้นได้บอกกับอสนี

"ก่อนอื่นข้าพระพุทธเจ้าต้องขอพระราชทานอภัยโทษด้วยกับเรื่องที่ผ่านมาในอดีตรวมถึงเรื่องที่ข้าพระพุทธทำการมิบังควรที่ฝากภาระให้พระองค์ต้องมาดูแล แต่ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงแก่ข้าพระพุทธเจ้าและลูกชาย ที่พระองค์ทรงทำตามที่รับสั่งกับข้าพระพุทธเจ้ามาตลอด ข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้จะกราบทูลอะไรกับพระมหากรุณาธิคุณที่สูงอย่างนี้"

"เอาละเราบอกก่อนว่าเรื่องของเราทั้งคู่ในอดีตนั้น มันเป็นเรื่องของมนุษย์ทั่วๆไปและเราทั้งคู่ก็ไม่ได้ทำผิดศีลธรรมอะไร การกระทำของเราทั้งคู่ไม่มีคัมภีร์เล่นไหนแปดเปื้อน เพราะตัวเราเองตอนนี้ก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้สูงส่งไปกว่าคนทั่วไป"

อสนีพูดพร้อมลงไปนั่งบนโซฟาและพูดต่อ

"ยังไงก็เชิญท่านทั้งสองขึ้นมาบนเก้าอี้จะดีกว่า อย่างที่เราบอกเราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง"

"มันเป็นการมิบังควรเพคะ ถึงพระองค์จะตรัสว่าตอนนี้พระองค์เป็นมนุษย์ แต่พวกเราก็รู้กันดีว่าพระองค์เป็นใคร เราทั้งคู่มิกล้าที่ตีเสมอเพคะ"

ลินดานั้นตอบทันที

"เอาละอย่างนั้นก็ตามใจ ส่วนเรื่องอินทรายุทธ เราทำตามคำขอของมิตรแท้ของเราคนหนึ่ง และเรารู้สึกภูมิใจอย่างมากที่เธอนั้นไว้ใจเรามากกว่าคนอื่นในการที่จะฝากลูกชายคนเดียวของเธอให้เราดูแล มันไม่ยากเกินความสามารถของเราในเรื่องนี้"

"แต่พระองค์ยังคอยดูแลปกป้องตายุทธถึงทุกวันนี้"

"และตลอดไปด้วยลินดา เราต้องบอกว่าส่วนหนึ่งที่อินทรายุทธมีความสามารถเหนือมนุษย์นี้เพราะเรามีส่วน นอกเหนือจากการสืบทอดทางสายเลือดซึ่งเธอก็ไม่รู้และไม่ตั้งใจจะให้มันเกิดขึ้น และเมื่ออินทรายุทธได้มาอยู่ในการอุปการะของเรานับตั้งแต่วันที่เธอออกปาก บารมีที่เรามีอยู่ได้ไปกระตุ้นให้ตัวอินทรายุทธนั้นมีความสามารถพิเศษ เรื่องนี้ทางหลวงตาได้บอกกับเราไว้แล้วว่าอินทรายุทธจะมีอะไรที่พิเศษเหนือกว่าคนทั่วไป เมื่อวิชาความรู้ที่แม่ของเขาได้รับตกทอดมาจากปู่มันจะฝังอยู่ในสายเลือดโดยที่ไม่รู้ตัว และบารมีของเราไปกระตุ้นให้วิชาที่ได้รับถ่ายทอดมาทางสายเลือดจนทำให้อินทรายุทธมีความสามารถพิเศษ ซึ่งเรารู้ดีว่ามันมีทั้งคุณและโทษ เราจึงต้องหาอะไรมาปกป้องอินทรายุทธไว้ แต่เรื่องจี้ที่เราให้อินทรายุทธไว้เธอเองก็รู้มาตลอดไม่ใช่หรือ"

"เพคะถ้าอย่างนั้นเท่ากับว่า ใต้ฝ่าพระบาทรับรู้ถึงเรื่องข้าพระพุทธเจ้าตลอด"

"ใช่แล้ว เรารับรู้ว่าเธอยังวนเวียนอยู่ไม่ห่างอินทรายุทธ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้องแสดงให้เธอรู้ว่าเรารู้ว่าเธอนั้นยังคอยดูแลอินทรายุทธมาตลอด ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นการข้ามเส้นของจักรวาล และเธอเองก็ไม่ได้ทำผิดอะไร แต่นี่เธอคงหมดห่วงแล้วใช่ไหม"

"เพคะข้าพระพุทธเจ้าหมดห่วงแล้ว ตายุทธโตขึ้นมาก มีความรับผิดชอบไม่คะนองในความสามารถพิเศษ และอีกอย่างข้าพระพุทธเจ้าตระหนักดีว่าต่อให้ข้าพระพุทธเจ้าไม่ตายเพราะโรคร้ายยังคงมีชีวิตอยู่แต่ต้องมีวันใดวันหนึ่งที่ต้องจากลูกไปตามกาลเวลา ที่ผ่านมาถึงข้าพระพุทธเจ้าจะตระหนักดีว่ามันเป็นสัจธรรม แต่ข้าพระพุทธเจ้าก็อดไม่ได้ที่จะห่วงลูกชายคนเดียว ถึงจะมีใต้ฝ่าพระบาทคอยดูแลอยู่ก็ตามที"

"ดีแล้วที่เธอคิดได้ ถ้าอย่างนั้นเราก็ขอให้เธอทั้งสอง ระลึกอยู่เสมอในเรื่องการบำเพ็ญเพียรปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับสถานะของตนเอง เธอทั้งสองรู้อยู่แล้วอะไรควรไม่ควร ขอให้ทำแต่ความดีเหมือนที่เธอเคยทำมา"

อสนีพูดพร้อมยกมือข้างขวาขึ้นเป็นการให้พร ลินดากับนางไม้ต่างพนมมือรับพร้อมรอยยิ้มอย่างปิติจากพรที่ได้รับ ทั้งคู่ต่างก้มลงกราบก่อนที่จะสลายร่างไป อสนีนั่งนิ่งอยู่ชั่วขณะก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินออกไปนอกบ้าน ที่หน้าประตูรั้วท่านรุกขเทวดายังนั่งอยู่ที่เดิม อสนีเดินออกไปตรงลานกว้างเป็นการออกกำลังอย่างที่อยู่ทุกวันโดยท่านรุกขเทวดาเดินตามมาห่างๆ

"อ้าวเก่ง ไม่อ่านหนังสือหรือไง"

อสนีทักไปลูกชายของผู้จัดการโรงสีที่กำลังกวาดลานกว้างอยู่

"ช่วยพ่อทำความสะอาดลานก่อนครับปู่แล้วถึงจะไปอ่านหนังสือ"

เด็กหนุ่มตอบ

"เออดี ตั้งใจนะปีหน้าก็จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ตกลงไม่เปลี่ยนใจที่จะเรียนหมอใช่ไหม"

"ครับปู่ ผมจะได้เป็นหมอเหมือนอายุทธ"

อสนียิ้มให้แต่ไม่ตอบอะไรก่อนจะเดินไป เด็กคนนี้เป็นอีกคนที่ได้ทุนการศึกษาจากมูลนิธิ ซึ่งเป็นเด็กที่เรียนเก่งที่อสนีวางแผนไว้แล้วเรื่องทุนการศึกษาที่ทางมูลนิธิจะให้จนเรียนจบ แล้วอสนีมาหยุดเดินตรงใกล้ๆโรงสีพร้อมเงยหน้าขึ้นไปดูท้องฟ้าที่ยังมืดอยู่

"อีกไม่นานแล้วสินะ"

อสนีคิดอยู่ในใจพร้อมรอยยิ้ม

2 อาทิตย์ ผ่านมาขณะที่กำลังนั่งทำรายงานการชันสูตรศพ แต่ผมอดนึกถึงเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ ผมฝันถึงแม่ทั้งๆที่ไม่เคยฝันถึงมาก่อน แม่ที่อยู่ในชุดนุ่งขาวห่มขาว ผมเดินเข้าไปกอดแม่แล้วร้องไห้แม่กอดผมตอบแล้วพูดว่า

"ยุทธ แม่มาลายุทธนะ แม่จะต้องไปแล้ว"

"แม่จะไปไหนครับ"

ผมผละจากตัวแม่แล้วมองที่ใบหน้าของแม่ที่มีน้ำตาคลออยู่เหมือนกัน

"แม่ต้องไปแล้ว ไปตามทางของแม่  ดูแลตัวเองให้ดีนะลูก แล้วใช้ความสามารถที่มีช่วยเหลือคนต่อไป"

ในฝันแม่ให้พรผมพอผมสมควร ก่อนที่ผมจะก้มกราบเท้าแม่ แล้วผมสะดุ้งตื่นจากฝัน และรู้สึกว่าที่ตานั้นชุ่มไปด้วยน้ำตา ผมนั้นร้องไห้จริงๆ แสดงว่าที่ผ่านมาแม่คงอยู่ใกล้ผมมาตลอดและคงถึงเวลาที่แม่ต้องไปตามทางของแม่ เรื่องนี้ผมไม่ได้เล่าให้ใครฟังและรู้ดีว่าต่อให้ไปปรึกษาท่านคุณตาทวดก็ไม่ประโยชน์อะไรขึ้นมา ผมนั่งทำรายงานอย่างไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่นักแต่ผมได้ยินเสียงเรียกผม

"คุณหมอยุทธ"

ผมเลยเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ ผมเห็นร่างของกิ่งกาญจน์ยืนอยู่ เธอมองมาที่ผมด้วยรอยยิ้ม วิญญาณของเธอดูมีราศรีอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน นี่แสดงว่ามันคงถึงเวลาที่เธอต้องไปแล้ว ผมยิ้มให้กับเธอก่อนจะพูด

"ถึงเวลาที่คุณจะต้องไปแล้วสินะ"

"ใช่แล้ว มันถึงเวลาแล้ว ฉันไปกราบลาคุณตาทวดกับท่านพระภูมิเจ้าที่โรงพยาบาลมาแล้ว ฉันมาลาคุณเป็นคนสุดท้ายก่อนที่ฉันจะไป"

"ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไร แต่ก็ขอบคุณมากกิ่งกาญจน์ที่มาช่วยงานผม ทำให้งานสำเร็จไปได้หลายเรื่อง ขอให้คุณไปดีนะ ผมไม่รู้จะอวยพรยังไงกับเพื่อนที่แสนดีของผมดี"

เธอยิ้มรับพร้อมยกมือไหว้ผม

"คุณหมอไม่ต้องอวยพรอะไรหรอกฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องขอบคุณที่ให้ฉันอยู่ด้วยและทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ฉันตลอด"

ผมรับไหว้เธอ แล้วบอกลาเธอ

"โชคดีนะกิ่งกาญจน์"

"ฉันไปก่อนนะคุณหมออินทรายุทธ"

วิญญาณของเธอค่อยๆสลายไปจากสายตาผมขณะที่เธอยังไหว้ผมอยู่  ผมเองก็รู้สึกใจหายเหมือนกันที่เธอจากไป มันไม่ใช่ความเศร้าความรู้สึกนี้เหมือนกับที่เพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ต้องจากไปอยู่ดินแดนที่แสนไกลและไม่สามารถที่จะติดต่อกันได้อีก ทั้งๆเรารู้ว่าเพื่อนคนนั้นไปดีแต่เราก็อดที่จะเศร้าใจไม่ได้ 

"ลาก่อนแม่เพื่อนต่างภพ"

ผมคิดในใจก่อนจะก้มหน้าทำงานต่อ แต่แล้วผมได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากตรงหน้าโต๊ะทำงาน ผมเงยหน้าขึ้นมาเห็นเธอยืนหัวเราะอยู่

"อ้าวเฮ้ย ไหนว่าจะไปแล้วไง"

ผมอุทานด้วยความตกใจ แต่เธอดูเหมือนจะไม่สนคำอุทานผม เธอหยุดหัวเราะแล้วทำหน้ากวนๆก่อนจะบอกผม

"ฉันรู้แล้วฉันจะไปไหน ฉันจะมาเกิดเป็นลูกของคุณกับหมอพลอย เพราะรวยทั้งคู่ ฉันจะได้สบายๆมีเงินใช้เหมือนชาตินี้ ตอนนี้ฉันต้องซ้อมเรียกคุณว่าคุณพ่อก่อน ไปก่อนนะคะคุณพ่อแล้วเจอกัน"

กิ่งกาญจน์เน้นคำว่า"คุณพ่อ"แล้วแลบลิ้นให้ผมก่อนจะหายตัวกลับไปโดยไม่สนใจเสียงร้องของผม

"เฮ้ยไม่เอา ม้าดีดกะโหลกอย่างคุณผมไม่อยากได้เป็นลูกสาว"

คราวนี้เธอไปจริงๆ หลังจากที่ผมรออยู่สักพักเธอไม่โผล่กลับมา

"โธ่กวนประประสาทจนนาทีสุดท้ายเลยนะยายผีจอมเพี้ยนเอ้ย"


แต่ผมมานึกทบทวนคำพูดของเธอว่าจะมาเป็นลูกผมกับพลอย ผมนึกย้อนไปตั้งแต่เธอมาอยู่กับผมเธอเองก็พูดเป็นนัยๆหลายครั้งเรื่องของพลอย จริงสินะ คำพูดทิ้งท้ายของเธอทำให้ผมรู้ใจตัวเองว่าผมคิดกับพลอยยังไง เหมือนกับพลอยเองที่คงคอยให้ผมบอก  พลอยนั้นก็เหมือนจะคอยผมอยู่ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่เลิกกับแฟนที่คบกันตอนนั้นหลังจากที่ผมกลับจากเรียนต่อที่สหรัฐ ผมเองก็รู้สึกดีกับพลอย แต่ที่ผ่านมาผมไม่กล้าพูด แต่ยายผีจอมเพี้ยนคงจะรู้ใจผมเลยมาบอกทิ้งท้ายให้ผมคิดได้  และในอีกมิติหนึ่ง กิ่งกาญจน์นั้นยืนปิดปากหัวเราะชอบใจ

"นังหนูเจ้านี่แสบไม่เบาไม่เลยนะขนาดก่อนจะไปยังทำหน้าที่เป็นกามเทพให้อีก"

เป็นเสียงท่านกาษนติที่พูดกับเธอ

"ก็มันน่าเบื่อนี่คะ อ้ำๆอึ้งๆมาตลอดขนาดหนูพูดชี้แนะให้ก็ทำเฉย ผู้หญิงเขาก็รออยู่ คบกันมาถึงขนาดนี้แล้วก็น่าจะพูดไปเลยว่าคิดยังไงกับเขา หนูเลยจัดการให้มันจบๆไปคะคุณตาทวด"

มีเสียงหัวเราะของท่านกาษนติดังมา กิ่งกาญจน์ยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นมาพนมที่อก

"ยังไงหนูก็ขอกราบขอบพระคุณคุณตาทวดอีกครั้งนะคะที่ช่วยสอนและชี้แนะให้กับหนูมาตลอด นับเป็นบุญคุณกับหนูอย่างล้นเหลือ"

"ไม่เป็นไรนังหนูตายินดี ไปดีเถอะลูกทางของเจ้าเปิดแล้ว"

มือของกิ่งกาญจน์ขึ้นจรดที่หน้าผากเหมือนเป็นการรับพรและกราบลาท่านกาษนติอีกครั้ง ดวงวิญญาณของเธอล่องลอยไปตามเส้นทางสีขาวที่ทอดยาว เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน เส้นทางนี้จะอีกยาวไกลขนาดไหน  เธอนั้นมาตามเสียงที่บอกเธอในดวงจิตว่าให้ไปตามเส้นทางนี้ แต่จู่ๆทางข้างหน้าเธอกับมีคนมายืนอยู่ ร่างนั้นมีรัศมีสีทองล้อมรอบ เธอไม่สามารถมองเห็นได้ชัดว่าเป็นใคร วิญญาณเธอลอยเข้าไปใกล้ๆคนที่ยืนอยู่ซึ่งเสียงในดวงจิตของเธอบอกให้เธอนั่งลง กิ่งกาญจน์นั้นนั่งพับเพียบลงไปบนพื้น แต่ก่อนที่เธอจะพูดหรือทำอะไร คนที่ยืนอยู่ได้พูดออกมา

"ขอให้ความสุขความเจริญจงมีแด่เธอ กิ่งกาญจน์มิตรสหายที่ดีของหลานเรา"

เธอเงยหน้าขึ้นไปมอง ครั้งนี้เธอเห็นอย่างชัดเจนว่าใครที่มายืนรอเธออยู่ ลุงอสนีนั่นเอง ใบหน้านั้นยิ้มให้เธออย่างเมตตา กิ่งกาญจน์ยกมือขึ้นมาพนมไว้ที่อก อสนีนั้นพูดต่อ

"ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอคงสงสัยมาตลอดว่าเรานั้นคือใคร ในเมื่อเธออยากรู้เราจึงมาดักรอเธอตรงนี้เพื่อให้ความกระจ่างกับเธอก่อนที่เธอจะไป เราลงมาเกิดบนโลกมนุษย์เพื่อชดใช้กรรมเก่าของเรา ถิ่นเดิมที่อยู่ของเรานั้นคือสรวงสวรรค์มันมีบางสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราในวัยเด็กจากที่จะเป็นคนธรรมดา ทำให้ตัวเราได้มีบางสิ่งที่เหนือกว่าคนธรรมดาจนถึงทุกวันนี้"

อสนีพูดกับเธอเพียงเท่านี้แต่ในดวงจิตของเธอนั้นรับรู้ได้ทันทีว่าอสนีนั้นคือใคร และสิ่งที่เธอเคยสงสัยมาตลอดนั้นกระจ่างทันทีว่าเพราะอะไรหมออินทรายุทธถึงสามารถติดต่อกับวิญญาณ สิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นนอกเหนือจากที่ได้รับการสืบทอดทางสายเลือดคือบารมีจากพระโอรสอสนีนี่เองที่ทำให้หมออินทรายุทธมีพลังวิเศษเหนือคนทั่วไป ทุกอย่างที่เธอเคยสงสัยบัดนี้ได้กระจ่างทุกเรื่องแล้ว

"เอาละข้อสงสัยของเธอคงหมดสิ้นแล้ว และเราขอขอบใจกับการทำกุศลครั้งนี้ของเธอด้วย มันจะส่งผลบุญให้กับเธออย่างมาก และบุญกุศลใดๆที่เราเคยทำมาเราขออุทิศส่วนกุศลเหล่านั้นให้กับดวงวิญญาณของเธอด้วยกิ่งกาญจน์"

สิ่งที่สิ่งกาญจน์รู้สึกหลังจากที่อสนีพูดจบพร้อมมือขวาที่ยกขึ้นมาระดับอก มันเป็นความรู้สึกที่ได้รับอานิสงค์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเธอ นับตั้งแต่ที่เธอเสียชีวิต ตลอดเวลาที่ทางครอบครัวของเธอหรือหมออินทรายุทธได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลมาให้มันเทียบไม่ได้กับที่เธอได้รับครั้งนี้ น้ำตาแห่งความปลื้มปิติได้เอ่อล้นขึ้นมา กิ่งกาญจน์ก้มลงกราบอสนี แล้วเงยหน้าขึ้นมาพูด

"บุญกุศลที่ได้รับครั้งนี้นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้นต่อดวงวิญญาณของข้าพระพุทธเจ้าเพคะ"

อสนียิ้มให้อีกครั้งก่อนจะตอบ

"ไปเถอะกิ่งกาญจน์ ตัวเธอพ้นจากภพนี้ไปแล้ว เธอไม่มีอะไรติดค้างอีกแล้วที่เธอเกิดมาเพื่อชดใช้สิ่งที่ตั้งใจไว้ในชาติก่อนเธอจะไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไปเพราะบุญบารมีที่เธอได้ทำมา ภพใหม่กำลังรอเธออยู่ขอให้ความสวัสดีมีชัยมีแก่ตัวเธอ เราไปก่อนละ"

ร่างของอสนีนั้นเลือนหายไป กิ่งกาญจน์ก้มลงกราบอีกครั้ง เธอรวบรวมสติและลุกขึ้นยืนตอนนี้เธอเห็นปลายทางที่เธอจะไปแล้วเส้นทางสีขาวนั้นไปสิ้นสุดที่ช่องเหมือนปากอุโมงค์ที่เป็นสีทองวิญญาณของเธอนั้นมุ่งไปสู่ที่ปากทางนั้นทันที

"ยุทธดื่มอะไรก่อนไหม พลอยจะไปหยิบให้"

"น้ำเปล่าแล้วกันขอแบบเย็นๆ"

ผมบอกพลอยขณะที่ผมนั่งลงบนโซฟาที่ห้องรับแขกในบ้านผม เราพึ่งกลับจากงานแต่งงานเพื่อนหมอของพลอยที่ทำงานในโรงพยาบาลเดียวกัน ตอนนี้พลอยมาค้างที่บ้านผมบ่อยขึ้นหลังจากที่ผมได้ขอเธอเป็นแฟน ตามที่กิ่งกาญจน์บอกใบ้ให้ ซึ่งพลอยนั้นดีใจมาก เหมือนกับเธอรอคำนี้มานานแล้ว ทำให้เราเปิดตัวว่าคบหากัน เธอนั้นมาพักที่บ้านผมบ่อยขึ้น กิ่งกาญจน์นั้นได้จากไปร่วม 2เดือนแล้ว แต่ผมก็ยังทำบุญให้กับเธอกับแม่อย่างสม่ำเสมอซึ่งคุณตาทวดบอกกับผมว่าตัวเธอนั้นได้รับส่วนกุศลที่ผมอุทิศให้ ผมรู้แค่นี้ผมก็พอใจแล้วแต่ช่วงแรกๆผมเองก็รู้สึกเหงาเหมือนกันตอนขับรถที่ไม่เสียงพูดของเธอที่สามารถพูดได้ตลอดทางมาดังข้างๆหู มันเหมือนชีวิตขาดอะไรไปสักอย่าง และหลังจากที่เธอจากไป ผมไม่มีคดีที่พิเศษที่ต้องชันสูตรเลย นอกเหนือจากการชันสูตรคนตายจากอุบัติเหตุหรือโรคประจำตัว แต่ก่อนที่ผมจะเข้านอน มีโทรศัพท์จากผู้จัดการโรงสีได้โทรมาหาผม บอกว่าลุงอัสนั้นอาการไม่ค่อยดี ผมรีบบอกให้พาลุงอัสไปส่งโรงพยาบาลแต่คำตอบที่ได้รับคือ

"คุณหมอผมจะพาแล้วแต่คุณท่านบอกว่าไม่ไป ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ท่านต้องการอยู่บ้านจนวินาทีสุดท้ายครับ"

ประโยคนี้ทำเอาผมคิดได้ มันคงถึงเวลาของลุงแล้วและตัวผมไปเยี่ยมลุงอัสทุกอาทิตย์ซึ่งลุงสั่งผมไว้แล้วว่า ถ้าลุงจะไปลุงจะขอตายที่บ้านอย่าส่งไปโรงพยาบาล ผมได้บอกกับทางผู้จัดการโรงสีว่าให้ทำตามที่ลุงบอกผมจะรีบไป พลอยนั้นขอไปด้วยและระหว่างที่แต่งตัวพลอยบอกกับผม

"ยุทธเอารถพลอยไปนะ รถพลอยเร็วกว่ารถยุทธและพลอยจะขับให้เองยุทธไม่ต้องขับ"

ผมเข้าใจที่เธอบอก ผมจึงพยักหน้า รถพลอยเป็นรถซุปเปอร์คาร์ กลางดึกแบบนี้คงใช้เวลาไม่เท่าไหร่ และพลอยกลัวผมจะรีบร้อน ผมไม่ลืมที่จะเอาเครื่องมือไปแพทย์ไปด้วย แต่ก่อนที่จะออกจากบ้านเสียงของคุณตาทวดดังเข้ามาในดวงจิตผม

"เจ้ายุทธ เจ้าไม่ต้องรีบลุงเจ้ารอเจ้าได้"

ซึ่งเราใช้เวลาเดินทางไม่นานแต่ใจผมยังรู้สึกว่าช้า ผมโทรถามอาการลุงอัสตลอด จนมาถึงบ้านผมกับพลอยรีบขึ้นไปที่ห้องนอน ลุงอัสนอนอยู่บนเตียง มีผู้จัดการโรงสีและคนงานที่ใกล้ชิดคอยดูอยู่ทุกคนสีหน้าไม่ดี ผมกับพลอยรีบช่วยกันตรวจลุงอัสทันที และเราสองคนมองดูหน้ากันทันที เพราะรู้ว่าต่อให้ไปโรงพยาบาลก็ไม่ช่วยอะไรอย่างมากก็ยื้อให้ลุงอยู่อย่างทรมานอีก2-3วัน หัวใจลุงเต้นอ่อนลงมาก ส่วนความดันนั้นต่ำจนน่าวิตก ลุงอัสลืมตาขึ้นดูผมกับพลอย แล้วพูดด้วยเสียงที่ยังฟังได้อย่างชัดเจน

"ไม่มีประโยขน์อะไรแล้วยุทธมันถึงเวลาของลุงแล้ว ถึงจะพาลุงไปโรงพยาบาลก็ไม่มีประโยชน์ อย่างมากเขาก็ใช้เครื่องมือยื้อให้ลุงอยู่มันไม่ดีต่อลุง ลุงขอไปอย่างสงบที่บ้านหลังนี้จะดีที่สุด"

ลุงพูดด้วยสีหน้าที่ยิ้มๆ ผมยิ้มกลับพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา ทั้งๆที่เตรียมใจมานานแล้วแต่ในที่สุดผมก็รู้ตัวว่าผมไม่สามารถที่จะทำได้ คนที่ผมรักเหมือนพ่อกำลังจะจากผมไป

"พักผ่อนเถอะครับลุง"

"ลุงกำลังจะได้พักแล้ว แต่เอาละลุงไม่อยากเป็นคนแก่ที่ดื้อกับหมอ"

ลุงอัสบอกผมก่อนจะหลับตาลง ผมกับพลอยได้ช่วยกันอธิบายอาการของลุงให้บรรดาคนที่อยู่ในห้องว่าต่อให้ส่งไปโรงพยาบาลนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้วทำให้พวกคนงานที่อยู่ในห้องหลายคนนั้นกลั้นน้ำตาไม่อยู่  หลังจากนั้นเริ่มมีบรรดาพวกคนงานทั้งหลายที่พักอยู่ที่โรงสีต่างพากันมานั่งที่หน้าห้องเพื่อดูอาการลุงอัสมีหลายคนช่วยกันสวดมนต์ ผมนั่งกุมมือลุงตลอดพร้อมตรวจชีพจรเป็นระยะซึ่งชีพจรของลุงนั้นเต้นช้าลงไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาตี 5 เศษๆ ลุงอัสลืมตาขึ้นแล้วมองมาที่ผมก่อนจะพูดออกมา

"หมดเวลาของลุงแล้วยุทธ ลุงขอให้ยุทธใช้สิ่งที่ได้รับมาช่วยเหลือคนต่อไปนะ ส่วนพลอยลุงขอบคุณมากนะและขอให้ดูแลกันและกันตลอดไป"

ลุงอัสยิ้มให้ผมกับพลอยก่อนจะค่อยๆหลับตาลง มือผมที่จับข้อมือเพื่อตรวจชีพจรของลุง พบว่าชีพจรลุงเต้นอ่อนลงไปทุกทีจนหยุดเต้น ผมเอาหูฟังมาตรวจหัวใจอีกครั้งและไม่ยินเสียงของหัวใจเต้น ผมมองไปที่นาฬิกามันเป็นเวลา 05.19 น. ผมบอกกับพลอย

"เสียชีวิตเวลาตีห้าสิบเก้านาที"

ผมพูดพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาก่อนจะก้มลงไปกราบที่อกและเลื่อนตัวไปกราบที่เท้าลุงอัส ตอนนั้นเสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่วบ้าน พลอยก้มลงกราบลุงอัสและหันมากอดผมเพื่อปลอบใจ ผมกอดพลอยตอบก่อนจะจัดการเอาผ้าห่มมาคลุมร่างของลุงแต่จังหวะนั้นหูผมได้ยินเสียง ฆ้องชัยดังขึ้นมา พร้อมเสียงแตรสังข์ เสียงไฉนดังขึ้นมาประสานกันเป็นเสียงเหมือนการฉลองอะไรสักอย่างตามที่เคยได้ยินงานพิธีใหญ่ แต่มันชั่วขณะเท่านั้น เหมือนกับพลอยก็จะได้ยินเพราะพลอยเองก็หยุดนิ่งไปชั่วขณะแต่ผมก็คิดว่าหูแว่วไปเองเหมือนกับพลอย เราต่างไม่ถามกันว่าได้ยินเสียงนั้นหรือเปล่าท่ามกลางบรรยากาศที่เศร้าสลด

งานศพของลุงอัสผ่านไปอย่างเรียบร้อยจากตอนแรกที่ลุงอัสระบุไว้ว่าขอให้สวดเพียง 3 คืน แต่สุดท้ายต้องยืดออกไป 7 คืนมีหลายคนต่างประสงค์ที่จะขอเป็นเจ้าภาพและช่วยงาน มันมาจากคุณงามความดีที่ลุงอัสทำไว้ตอนมีชีวิตอยู่ แต่หลังจากนั้นทุกอย่างเป็นไปตามที่ลุงอัสต้องการ กระดูกของลุงอัสนั้นลุงสั่งให้ไปลอยที่แม่น้ำทั้งหมดไม่ต้องเก็บไว้ ส่วนเรื่องที่เหลือนั้นไม่มีปัญหาอะไรลุงอัสจัดการไว้เรียบร้อยทรัพย์สินส่วนใหญ่ผมนั้นได้รับรวมทั้งหุ้นบริษัทของแม่ ทำให้ตอนนี้ผมกลับมาเป็นเจ้าของบริษัทเต็มตัวอีกครั้งถึงจะเป็นการถือผ่านมูลนิธิของลุงอัสก็ตามทีแต่ตอนนี้ผมเป็นเจ้าของมูลนิธิต่อจากลุงอัส ทำให้ทีมบริหารที่ถือหุ้นอยู่ 40% ตัดสินใจที่จะขายหุ้นที่เหลือคืนให้ผมและลาออกจากบริษัท ผมรับซื้อคืนทันทีและได้แต่งตั้งให้คนเก่าที่เคยทำงานกับแม่หลายคนขึ้นมาบริหารงานแทน ซึ่งคนพวกนี้ต่างไว้ใจได้และมีความภักดีอย่างมากหลายคนเป็นลูกหลานของผู้บริหารตั้งแต่สมัยที่ทำงานกับตาผมซึ่งเรื่องนี้ลุงอัสได้แนะนำกับผมไว้ก่อนแล้ว โดยมีชื่อผมเป็นประธานที่ปรึกษา เพราะผมคิดว่าตัวผมยังไม่พร้อมที่จะทำงานตรงนี้ ผมยังอยากทำงานเป็นหมอชันสูตรต่อไปอีกพักใหญ่

ส่วนบ้านของลุงอัสที่โอนมาเป็นทรัพย์สินของผม ผมตัดสินใจเปลี่ยนเป็นที่ทำการของมูลนิธิแทนและผมตั้งใจจะให้เป็นศูนย์รับเลี้ยงเด็กพวกลูกของคนงานด้วย ดีกว่าปล่อยให้รกร้างและเป็นการสืบสานเจตนารมย์ของปู่กับย่าอีกด้วย ส่วนที่เหลือในเรื่องการบริหารจัดการธุรกิจที่ทำมาตั้งแต่ปู่กับย่านั้น ลุงอัสมอบหมายให้คนเก่าแก่ช่วยกันบริหารดูแล โดยผมคอยกำกับอีกที ถึงงานจะเยอะขึ้นแต่ผมรู้สึกสนุกกับงาน และมีเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างมากอยู่2 เรื่องเรื่องแรกคือในวันที่ลุงอัสจากไปเวลาเดียวกับที่ลุงอัสสิ้นลม มีชาวบ้านหลายคนรวมถึงท่านเจ้าอาวาสและพระอีกหลายรูปที่กำลังเตรียมตัวออกไปบิณฑบาตต่างมองเห็นแสงสีทองจากบริเวณบ้านของลุงอัสพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ซึ่งท่านเจ้าอาวาสได้เล่าให้ผมฟังแต่ท่านเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ส่วนชาวบ้านที่เห็นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คนมีบุญกลับสู่สวรรค์ ส่วนอีกเรื่องหลังจากที่ลุงอัสได้จากไปรางวัลเลขท้ายของสลากกินแบ่ง  2 ตัวในงวดนั้นออกเลขอายุของลุง ส่วน 2ตัวบนนั้นออกเวลาที่ลุงเสียคือ 19 ทำเอาชาวบ้านถูกรางวัลทั้งใต้ดินและบนดินกันเกือบทั้งอำเภอ  แต่ทำเอาผมโล่งใจมากที่ลุงอัสสั่งให้เอาอัฐิไปลอยไม่อย่างนั้นลุงได้ถูกรบกวนทุกงวดแน่นอน และในช่วงที่จัดงานศพลุงจนถึงวันเผาผมพยายามที่จะใช้สัมผัสพิเศษมองหาลุงแต่ไม่พบเจอลุงแสดงว่าลุงอัสจากไปแล้วจริงๆ

แต่มีบางอย่างที่ผมยังแปลกใจตัวเองไม่หายตั้งแต่วันที่ลุงอัสจากไปทุกครั้งที่ผมผ่านต้นไม้ใหญ่อายุร้อยกว่าปีที่อยู่ริมถนนทางไปวัด ผมจะยกมือไหว้เคารพทุกครั้งทั้งๆที่ผ่านมาผมไม่เคยทำแบบนี้เลย มีอะไรบางอย่างมาดลใจให้ผมทำแบบนี้และผมจะรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ยกมือไหว้  และอีกเรื่องคือหลังจากงานศพลุงเสร็จเรียบร้อยผมเข้าไปจัดการข้าวของต่างๆของลุง แต่ไปเจอแบบแปลนอาคารต่างๆที่ลุงเคยออกแบบ รวมไปถึงแปลนของอาคาร"วัชรทิพยสถาน"ที่ทำให้ลุงได้รางวัลตั้งตอนเรียนมาแล้ว จนนำไปสร้างเป็นอาคารของโรงแรมซึ่งทำให้ลุงได้รับรางวัลและสร้างชื่อให้กับลุงอย่างมาก และเหมือนมีอะไรบางอย่างมาบอกในดวงจิตผมให้สร้างแบบจำลองอาคารนี้ขึ้นมา แต่ก่อนที่ผมจะทำ ผมได้ลองไปสอบถามคุณตาทวดก่อน เพราะถ้าผมทำผมตั้งใจจะตั้งไว้หน้าบ้านของลุง ซึ่งขนาดจำลองของอาคารจะพอๆกับศาลพระภูมิขนาดใหญ่ คุณตาทวดท่านหัวเราะชอบใจแล้วบอกกับผม

"ทำไปเถอะเจ้ายุทธ แต่ไม่ต้องทำพิธีอะไรให้มันยุ่งยาก ถึงจะทำพิธีอัญเชิญพระภูมิก็ไม่มีเจ้าองค์ไหนกล้าไปอยู่หรอก"

คุณตาทวดพูดจบพร้อมส่งเสียงหัวเราะชอบใจซึ่งผมก็ไม่ถามว่าเพราะอะไร ผมเลยหาช่างมาสร้างซึ่งต้องใช้เวลาอยู่เหมือนกันกว่าจะหาได้เพราะเป็นงานฝีมือซึ่งค่าจ้างนั้นสูงมากแต่ผมยอมจ่าย และกว่าจะสร้างเสร็จคงจะใช้เวลานานพอสมควร

จนเวลาผ่านไป 2 เดือนหลังจากที่ทำบุญครบ 50 วันให้ลุงอัสไปไม่นาน ขณะที่ผมกำลังเตรียมเขียนหนังสือเพื่อเป็นตำราเกี่ยวกับการชันสูตรอยู่ในห้องทำงานที่โรงพยาบาล ผมรู้สึกว่ามีใครยืนมองมาที่ผม ผมเงยหน้าขึ้นไปเห็นวิญญาณของผู้ชายสูงวัยอยู่ในชุดสูท มองมาที่ผมด้วยสีหน้าที่ยิ้ม

"มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ"

เสียงในดวงจิตของผมถามไปที่วิญญาณของผู้ชายคนนั้น ทำเอาอีกฝ่ายนั้นประหลาดใจทันที

"เอ๊ะ คุณหมอเห็นผมด้วยหรือครับ นี่เป็นเรื่องประหลาดใจอย่างมาก"

ผมยิ้มๆแล้วเชิญอีกฝ่ายมานั่งพร้อมบอกไป

"มันเป็นความสามารถพิเศษอีกอย่างของผมครับที่พูดคุยกับดวงวิญญาณได้"

"มิน่า คุณหมอถึงคลี่คลายคดีสำคัญๆได้หลายคดีเพราะความสามารถพิเศษแบบนี้นี่เอง ลำพังต่อให้เก่งขนาดไหนก็คงไม่สามารถคลี่คลายที่มันยากๆได้"

เสียงของอีกฝ่ายนั้นชื่นชมผมอย่างมาก แต่ผมถามกลับไปว่า

"ไม่มองว่าผมเอาเปรียบคนอื่นหรือครับ"

"ไม่เลยครับหมอ ในเมื่อมีความสามารถพิเศษก็นำเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์จะดีที่สุดครับ ผมเองก็ติดตามผลงานของคุณหมอมาตลอดขอชื่นชมครับแต่ทำไมคุณหมอถึงได้มีพลังวิเศษแบบนี้มาละครับ"

ผมหัวเราะก่อนจะตอบ

"ไม่รู้เหมือนกันครับเพราะจู่ๆผมก็เกิดมีพลังแบบนี้ขึ้นมาตั้งแต่สมัยเรียนแพทย์ และมันทำให้ผมเปลี่ยนใจจากที่จะเรียนเป็นหมอผ่าตัด ผมเลือกที่จะมาเรียนทางด้านหมอชันสูตรแทนเพราะตอนนั้นคิดว่ามันน่าจะช่วยคนได้ครับ"

"มันก็แปลกดีนะครับ ที่จู่ๆคนเราจะมีพลังวิเศษแบบนั้น"

พออีกฝ่ายเงียบไปหลังจากที่พูดผมจึงถามต่อ

"แต่ว่าคุณมีอะไรให้ผมช่วยหรือเปลาครับ"

คราวนี้อีกฝ่ายยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะตอบผม

"เปล่าเลยครับ ผมแค่อยากมาเห็นคุณหมอครั้งสุดท้าย จริงๆแล้วผมพึ่งตายมาได้ไม่ถึงชั่วโมง ผมไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไรเรียกว่าแก่ตายก็ได้ พอผมรวบรวมจิตได้ ผมเลยตั้งจิตจะมาหาคุณหมอก่อนที่ผมจะไปตามทางของผม"

มันยิ่งทำให้ผมประหลาดใจอย่างมาก เลยถามต่อไปทันที

"เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าครับ"

"เคยครับเราเคยเจอมาหลายครั้งแล้วแต่คุณหมอคงจำไม่ได้ ครั้งแรกก็วันที่คุณหมอเกิดผมไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล ครั้งต่อมาก็ตอนที่แม่คุณหมอป่วยหนัก ตามด้วยงานศพแม่คุณหมอ และงานศพคุณตากับคุณยายของหมอที่เราเจอกันครั้งสุดท้ายครับ"

ผมพยายามนึกทบทวนความจำ ใช่แล้วผมนึกออกแล้ว ตอนที่แม่ป่วยหนักผู้ชายคนนี้มาเยี่ยมแม่ แต่ผมนึกว่าเป็นเพื่อนของแม่ และไม่รู้ทั้งคู่คุยอะไรกัน จนถึงงานศพของแม่ที่ผู้ชายคนนี้มาทุกวันจนถึงวันเผา เขาได้มาลูบหัวผมแล้วบออกกับผมด้วยสีหน้าที่เศร้าว่า

"ดูแลตัวเองดีๆนะลูก อย่าดื้อกับตากับยายละ"

และตอนเจอกันงานศพของตากับยายซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่ตอนนี้ผมกลับเฉลียวใจอะไรบางอย่างเพราะยิ่งดูหน้าผู้ชายคนนี้มีเค้าของผมอยู่ หรือว่าผู้ชายคนนี้เป็นพ่อของผมทำให้ผมอุทานออกมาทันที

"คุณพ่อใช่ไหมครับ"

"ใช่ครับ ผมเป็นพ่อของหมอ พ่อที่เคยไม่เคยมาดูแลส่งเสียลูกชายเลย"

น้ำตาผมเริ่มเอ่อออกมา มันเป็นความรู้สึกที่ดีใจและเสียใจอย่างมาก ดีใจที่ได้พบพ่อแท้ๆ และเสียใจที่รู้ว่าพ่อตนเองนั้นเพิ่งเสียชีวิต ผมก้มลงไปกราบพ่อบนโต๊ะก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพูดด้วยน้ำเสียงที่เครือ

"เรื่องนั้นพ่ออย่าโทษตัวเองครับ ผมรู้เหตุผลที่แท้จริงแล้ว จากที่ผมเคยเข้าใจไปเองว่าพ่อทิ้งแม่กับผมไป แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ ผมไม่โกรธหรือโทษพ่อรวมถึงแม่ด้วยครับ"

พ่อดูจะน้ำตาคลอและพยักหน้าอย่าเข้าใจ

"พ่อเข้าใจลินดานะ ว่าคนที่แต่งงานกันเพราะเรื่องผลประโยชน์ไม่ใช่เพราะความรักมันเป็นผลไม่ดีแก่ทั้งคู่ยิ่งปล่อยไว้มันยิ่งทรมานเราทั้งคู่ ลินดาเขาตัดสินใจถูกแล้วละ ถึงมันจะเป็นช่วงที่เขาตั้งท้องลูกก็ตามที พ่อไม่โกรธนะที่เขาทำแบบนี้ และเขาเป็นฝ่ายขอร้องพ่อเองที่เขาจะเลี้ยงลูกคนเดียวโดยขอให้พ่อไม่มาเกี่ยวข้อง ยิ่งตอนที่เขาป่วยหนักทั้งๆที่พ่อเองก็จะขอเอาลูกมาเลี้ยง แต่เขาก็ไม่อยากให้เพราะตอนนั้นพ่อแต่งงานใหม่แล้วและตากับยายของลูกเองก็รับปากจะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด  และก่อนที่เขาจะเสียเขาขอร้องให้พ่อรับปากว่าจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับลูกเพราะกลัวลูกจะมีปัญหาที่กระทบทางจิตใจ พ่อเองก็รับปากและดูลูกอยู่ห่างๆมาตลอดจนถึงวันนี้ที่พ่อไม่อยู่แล้ว พ่อจึงมาดูลูกเป็นครั้งสุดท้าย แต่ที่ไหนได้ ลูกกลับมีความสามารถพิเศษเหนือคนทั่วๆไปทำให้พ่อได้คุยกับลูกได้ เท่านี้พ่อก็พอใจแล้ว"

ผมยิ้มอย่างเศร้าๆและฟังพ่อพูดต่อ

"แต่พ่อก็ดีใจนะ ที่ลินดาและตากับยายของลูกฝากให้คุณอสนีช่วยดูแลลูกต่อ เขาเป็นคนดีจริงๆ เขาส่งเรื่องของลูกมาให้พ่อได้รับรู้ตลอด ตั้งแต่ที่ลูกไปเรียนโรงเรียนประจำทั้งผลการเรียน จนลูกสอบหมอได้ ภาพของลูกวันรับปริญญาเขาก็ส่งมาให้ จนถึงตอนที่ลูกเรียนจบจากสหรัฐคุณอสนีส่งเรื่องที่ลูกเรียนจบมาให้พ่อเป็นครั้งสุดท้าย ส่วนพ่อเองก็แอบตามเรื่องของลูกมาตลอด จนลูกเริ่มมีชื่อเสียงพ่อแอบภูมิใจในตัวลูกมาก แต่ไม่กล้าบอกใครๆว่านี่ลูกชายของพ่อ เพราะลูกนั้นประสบความสำเร็จด้วยตัวของลูกเองยิ่งทำให้พ่อไม่กล้ามาหาลูกเพราะกลัวว่าจะถูกมองไม่ดีที่มาแสดงตัวตอนที่ลูกมีชื่อเสียงแล้ว ส่วนเรื่องที่คุณอสนีเสียพ่อเองก็รู้แต่ตอนนั้นพ่อเริ่มไปไหนมาไหนไม่ไหวแล้ว พ่อได้แต่ส่งหรีดไปแสดงความเสียใจ"

"ผมพูดอะไรไม่ถูกครับพ่อ ทั้งดีใจกับเสียใจ ที่ผมไม่มีโอกาสได้เจอพ่อตอนที่พ่อมีชีวิตอยู่ ผมเข้าใจครับว่าพ่อทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ตลอด"

พ่อยิ้มให้กับผมอย่างดีใจและบอกกับผม

"เอาละเวลาของพ่อนั้นใกล้จะหมดแล้วไหนๆเราได้คุยกันแล้ว พ่อมีเรื่องจะบอก ลูกจะได้ไม่แปลกใจ พ่อว่าช่วงบ่ายๆวันนี้ น้องของลูก 2 คน คนโตเป็นผู้หญิง คนเล็กเป็นผู้ชายจะมาขอพบลูกเขาทั้งคู่จะมาบอกเรื่องของพ่อ เพราะพ่อสั่งเสียเขาไว้ก่อนจะตายว่าขอให้มาบอกลูกมันไม่ใช่เรื่องที่พ่อตาย แต่เป็นเรื่องมรดกที่พ่อยกให้ลูก ลูกอย่าปฏิเสธพ่อตั้งใจที่จะให้ ถือเป็นการชดเชยเรื่องที่พ่อไม่เคยดูแลลูกมาเลย ขอร้องละลูกรับไว้เถอะ พ่อเขียนเหตุผลลงในพินัยกรรมไว้แล้ว เมียของพ่อกับลูกทั้งสองคนนั้นเข้าใจดี เอาละยุทธได้เวลาที่พ่อจะไปแล้ว  พ่อขอให้ลูกทำความดีเหมือนที่ผ่านมานะมันเป็นผลบุญแก่ลูกอย่างมาก"

พ่อบอกทิ้งท้ายแล้วร่างหายไปจากสายตาผม ผมก้มลงกราบพ่อลงบนโต๊ะอีกครั้ง และพยายามฝืนไม่ให้ร้องไห้ออกมา เรื่องนี้มันยากเกินกว่าที่ผมจะรับได้ วันนั้นผมไม่สมาธิในการทำงานเลย จนช่วงบ่ายลูกของพ่อทั้งสองคนนั้นมาหาผมจริงๆทั้งคู่เป็นผู้บริหารของบริษัทที่พ่อผมเป็นเจ้าของโดยลูกชายคนเล็กขึ้นมาทำหน้าหน้าที่ CEO แทนพ่อโดยมีพี่สาวเป็นผู้ช่วยทั้งคู่ต่างแนะนำตัวกับผม พร้อมกับส่งเอกสารในพินัยกรรมที่พ่อทำให้ผมดู พ่อระบุไว้ให้เงินกับผมจำนวน 15 ล้านบาท เพราะผมเป็นลูกชายคนหนึ่งของพ่อ ผมได้พยามยามที่จะบอกว่าเงินนั้นผมไม่อยากได้แต่ลูกสาวคนโตของพ่อบอกกับผม

"คุณหมอกรุณารับเถอะคะ คุณพ่อตั้งใจมากที่จะให้คุณหมอ และเรื่องที่เราอยากจะบอกเพิ่มคือ พ่อนั้นเก็บข่าวที่เกี่ยวข้องคุณหมอไว้ในแฟ้มพลาสติกอย่างดี พวกเรารับรู้มาตลอดคะว่ามีพี่ชายอยู่คนหนึ่งแต่เราไม่กล้าบอกใครเพราะพ่อสั่งห้ามไว้"

ผมไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้อีก ทั้งคู่บอกกับผมว่างานรดน้ำศพนั้นกี่โมงและสวดทั้งหมด 5คืน จนทั้งคู่ต่างลาผมกลับ  ผมได้รีบจัดการเคลียร์งานให้เสร็จและรีบกลับบ้านเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และพาป้าทิพย์ที่เป็นแม่บ้านไปด้วยเพราะป้าเองก็รู้จักกับพ่อของผม ส่วนพลอยนั้นติดผ่าตัด พอผมไปถึงวัดร่างของพ่อนั้นอยู่ในชุดสูทที่ผมเห็นเมื่อตอนเช้าวันนี้ ระหว่างที่ผมรดน้ำศพและไปกราบที่เท้าของพ่อ ผมเห็นวิญญาณของพ่อยืนอยู่ไม่ห่างและมองมาที่ผมด้วยรอยยิ้มก่อนที่วิญญาณของพ่อจะสลายไป และครอบครัวของพ่อนั้นดูจะไม่มีปัญหาอะไร ลูกของพ่อพาผมไปแนะนำให้รู้จักกับแม่ของพวกเขา ผู้หญิงในวัยชราได้มองผมอย่างอ่อนโยนก่อนจะพูดขึ้น

"ตอนนั้นที่คุณลินดาเสียแม่ยังบอกพ่อเขาเลยให้ไปรับคุณหมอมาเลี้ยง แต่คุณบดินทร์ได้บอกเหตุผลว่าเพราะอะไร เขาเองก็ดูเศร้านะ แม่รู้ว่าบางทีเขายังแอบไปดูคุณหมอตอนที่เรียนที่โรงเรียประจำเลย นี่ไงแฟ้มนี้ที่เขาเก็บเรื่องของคุณหมอไว้ตลอด"

ผมรับแฟ้มมาดู พอเปิดดูพ่อนั้นเก็บภาพของผมตั้งแต่ผมเกิด ตอนที่เรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยม รวมไปถึงตอนเรียนหมอและภาพตอนรับปริญญาทั้งปริญญาตรีและปริญญาโท รวมถึงข่าวต่างๆที่มีผมเข้าไปเกี่ยวข้องพ่อนั้นเก็บไว้ทุกข่าว และจัดเรียงไว้อย่างดีพร้อมโน้ตที่กำกับไว้ ภรรยาของพ่อได้บอกกับผม

"อันนี้อยากให้หมอเก็บไว้กับตัวจะเหมาะที่สุด เพราะเป็นของที่สำคัญและมีค่าทางจิตใจกับคุณบดินทร์มากเวลาที่เขาหยิบขึ้นมาดูเขาก็อารมณ์ดีมีความสุขทุกครั้ง"

ผมกอดแฟ้มนั้นอย่างไม่รู้ตัว มันรู้สึกได้ถึงความรักที่พ่อมีต่อผม ตลดงานศพผมกับพลอยมาร่วมงานทุกวันซึ่งทางครอบครัวของพ่อให้เกียรติผมเหมือนผมเป็นญาติคนหนึ่ง หลังจากงานเผาศพพ่อเสร็จเรียบร้อย อัฐิของพ่อนั้นถูกเก็บไว้ที่เจดีย์รวมกับบรรดาต้นตระกูลของพ่อ ส่วนเรื่องเงินนั้นผมต้องรับมา เพราะภรรยาของพ่อบอกว่าถ้าผมไม่อยากได้ก็ขอเอาเงิน 15 ล้านนี้ไปบริจาคกับให้มูลนิธิแทน ซึ่งมันเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะผมเองก็ตะขิดตะขวงใจกับเงินจำนวนนี้ถึงพ่ออยากจะให้ผมมากก็ตามที

ผมถือว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมเจอแต่เรื่องที่กระทบกับจิตใจอย่างมาก ผู้ใหญ่ที่ผมรักและนับถือค่อยๆจากผมไป ยังดีที่มีพลอยกับป้าทิพย์คอยให้กำลังใจผมมาตลอด ส่วนเรื่องแต่งงานกับพลอยเราคุยกันแล้วว่าควรจะให้เรื่องพวกนี้ผ่านไปก่อนจะดีที่สุดสำหรับเราทั้งคู่ แต่มันมีเรื่องดีมาอีกเรื่อง เพราะผมนั้นมีญาติเพิ่มหลังจากที่เหมือนตัวคนเดียวมาตลอดเพราะทางครอบครัวของพ่อผม ต่างยินดีที่จะรับผมแป็นคนในครอบครัว เราได้ติดต่อไปมาหาสู่กันเป็นประจำมันอาจจะมาจากที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาพ่อมักจะพูดชื่นชมผมตลอดรวมถึงเรื่องเงินที่พ่อให้ผมนั้นไม่อยากที่จะได้ทำให้ครอบครัวของผมเข้าใจมากขึ้นว่าผมเป็นคนแบบไหน

หลังจากที่ผมได้ทำบุญครบรอบ 100 วันของการจากไปของลุงอัสเรียบร้อย รวมถึงการสร้างอาคารจำลอง"วัชรทิพยสถาน"ซึ่งเสร็จเรียบร้อยก่อนวันครบรอบ 100 วันที่ลุงจากไป ตัวอาคารนั้นสวยงามอย่างมาก ผมนำมาตั้งที่หน้าบ้านลุงและทางผู้จัดการของมูลนิธิและผู้จัดการโรงสี ต่างขออนุญาตผมที่จะนำของมาไหว้เหมือนศาลพระภูมิ ซึ่งผมก็อนุญาต เพราะไม่เสียหายอะไรและเป็นความเชื่อของพวกเขา ขณะที่ผมกำลังนั่งทำรายงานการชันสูตรศพอยู่ มีคนมาติดต่อขอพบผม เป็นผู้ชายกับผู้หญิง ผมจำได้ดีว่าทั้งคู่นั้นคือพ่อกับแม่ของกิ่งกาญจน์นั่นเอง หลังจากที่ผมเชิญให้ทั้งคู่นั่ง พ่อของกิ่งกาญจน์ได้ถามผม

"คุณหมอจำเราได้ไหมครับ"

"พอจะจำได้ครับ เป็นคุณพ่อคุณแม่ของคุณกิ่งกาญจน์"

"ใช่ครับ"

"แล้วมีอะไรให้ผมรับใช้หรือเปล่าครับ"

พ่อของกิ่งกาญจน์อึกอักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด

"คืออย่างนี้ครับ คุณหมอ ผมเองก็ไม่รู้จะเล่ายังไงมันแปลกๆอยู่ เพราะเราเคยคุยกันแค่ตอนที่คุณหมออธิบายให้เราเรื่องสาเหตุการตายของกิ่งกาญจน์แล้วเราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย จู่ๆที่ผมมาพบกับคุณหมอวันนี้เพราะดูเหมือนเราจะถูกขอร้องให้มา"

"ยังไงหรือครับ"

ผมถามด้วยความสงสัย

"เอ่อมันคือแบบนี้ครับ เมื่อหลายเดือนก่อนก็ครึ่งปีได้นะครับ หนูกิ่งมาเข้าฝันผมกับภรรยา ซึ่งบอกตรงๆว่าตั้งแต่แกตายเราไม่เคยฝันถึงแกเลยทั้งๆที่เราก็ทำบุญให้ตลอด ถ้าผมฝันคนเดียวก็คงจะไม่มีอะไร แต่นี่เราทั้งคู่ฝันตรงกันครับ มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากคุณหมอกรุณาอย่าหัวเราะเยาะเรานะครับ"

"ผมยินดีรับฟังครับ"

"คือเรื่องที่เราฝันคือหนูกิ่งมาบอกว่าวันคล้ายวันเกิดของเธอคือตรงกับวันนี้หนูกิ่งขอให้ผมกับภรรยาเอาเงินของส่วนตัวของเธอที่ตัวหนูกิ่งเก็บไว้มาทำบุญบริจาคให้กับมูลนิธิที่คุณหมอดูแลอยู่ ตอนแรกผมก็นึกว่าผมฝันเพราะผมคิดถึงลูก แต่ภรรยาผมว่าเล่าให้ฟังว่าฝันแบบนี้เหมือนกัน มันเป็นเรื่องที่ตรงกันซึ่งมันดูเป็นเรื่องที่แปลกอย่างมาก เราทั้งคู่ต่างใคร่ครวญกันอย่างดีแล้วว่ามันคงเป็นเพราะความต้องการของลูก เราเลยรอจนถึงวันนี้ครับเพื่อจะนำเงินมามอบให้กับคุณหมอ ต้องขอบอกก่อนว่า ทางผมเองก็ตรวจสอบเรื่องของมูลนิธิแล้ว พบว่าเป็นมูลนิธิที่ดีตั้งใจช่วยเหลือคนยากไร้จริงๆ และมีเด็กอีกหลายคนที่ทางมูลนิธิดูแลเรื่องทุนการศึกษาอยู่ ผมกับภรรยาเต็มใจที่จะมอบให้ครับ"

พ่อของกิ่งกาญจน์พูดจบแม่ของกิ่งกาญจน์ได้ล้วงไปในกระเป๋าถือแล้วหยิบเช็คเงินสดยื่นให้ผม

"คุณหมอช่วยรับไว้เถอะคะ จะได้เป็นไปตามความต้องการของลูกสาวเรา"

ผมยื่นมือไปรับเช็คทั้งๆที่ยังงงๆอยู่ ตัวเลขในเช็คระบุจำนวนเงินไว้ 10 ล้านบาท ทำเอาผมนั้นพูดไม่ออก เพราะพอลองนึกย้อนไปในช่วงเวลานั้น ก่อนที่เธอจะไปเธอบอกผมเองว่าเธอมีเรื่องที่ต้องทำให้เสร็จ มันคงเป็นเรื่องนี้เองเพราะก่อนหน้านี้ตัวกิ่งกาญจน์เองก็สอบถามผมถึงเรื่องค่าใช้จ่ายของมูลนิธิอยู่หลายครั้ง ผมเองก็นึกเธอชวนคุยแต่ที่ไหนได้เธอหาข้อมูลเพื่อจะบริจาคนี่เอง เธอคงอยากจะทำบุญเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เธอจะไปแต่เก็บเงียบไม่ยอมบอกผม

"ขอบคุณมากนะยายผีจอมเพี้ยน"

ผมขอบคุณเธอในใจ แต่ทันใดนั้นอนุสติส่วนลึกของผมได้ยินเสียงที่กวนๆของเธอดังเข้ามา

"เป็นไงละถึงฉันไม่อยู่ฉันก็ยังช่วยคุณได้นะ คุณหมอหน้าปลาทะเลน้ำลึก แต่ก็ขอบคุณ คุณหมอมากนะที่ยังทำบุญมาให้ฉันอยู่"

และตามด้วยเสียงหัวเราะที่กวนประสาทที่ผมไม่ได้ยินมานาน ทำเอาผมยิ้มออกมา

"คุณหมอยิ้มอะไรครับ"

พ่อของกิ่งกาญจน์ถาม ทำให้ผมได้สติก่อนจะตอบ

"ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมนึกขอบคุณ คุณทั้งสองด้วยเงินจำนวนทำให้มูลนิธิมีเงินทุนเพื่อที่จะช่วยเหลือได้อีกนานครับ ผมขอบคุณจริงๆ "

"แต่เราแปลกใจอย่างมากคะทำไมลูกกิ่งเธอถึงได้มาเข้าฝันและระบุเจาะจงเลยว่าต้องเป็นมูลนิธินี้"

"ผมเองก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ครับ ถ้าตอบในแง่วิทยาศาสตร์คือคุณทั้งสองนั้นคิดไปเอง อาจจะมาจากเคยรับรู้เรื่องของผมหรือไม่ก็มูลนิธิแบบผ่านๆตาหรือมีใครเคยพูดถึงให้ฟังแต่คุณทั้งสองก็ไม่ใส่ใจ แต่ด้วยความคิดถึงลูกสาว อาจทำให้เรื่องมารวมกันอยู่ในจิตใต้สำนึกแล้วฝันถึง แต่ถ้าพูดแบบคนไทยในเรื่องของความเชื่อมันคงเป็นความประสงค์ของเธอเลยมาเข้าฝันคุณทั้งคู่ครับ"

ผมพยายามหาเหตุผลมาอธิบายให้ทั้งคู่สบายใจขึ้น และผมได้บอกกับทั้งคู่ถ้าจะบริจาคเงินจำนวนมากขนาดนี้ควรจะทำเป็นพิธีการมากกว่า อย่างน้อยจะได้เป็นการประชาสัมพันธ์ธุรกิจของทั้งคู่ ซึ่งทั้งคู่ต่างปรึกษากันแล้วบอกผมว่า

"เราขอเป็นบริจาคอย่างเงียบๆแล้วกันครับเป็นการบริจาคในนามของหนูกิ่ง มันจะได้ตรงกับความต้องการของลูกสาวเราครับ ส่วนอนาคตผมกับภรรยาจะบริจาคในนามบริษัทก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งครับคุณหมอ"

ผมเข้าใจกับสิ่งที่ทั้งคู่ต้องการที่ผมแนะนำเพราะผมเคยใช้วิธีแบบนี้กับบริษัทของพ่อ ซึ่งครอบครัวของพ่อนั้นเห็นด้วย เมื่อทั้งคู่ต่างต้องการแบบนี้ผมได้ขอบคุณอีกครั้ง พร้อมขอรายละเอียดเพื่อที่จะให้ผู้จัดการมูลนิธิส่งใบเสร็จรับเงินไปให้ พ่อกับแม่ของกิ่งกาญจน์กลับไปแล้ว ผมนั้นส่งจิตไปขอบคุณกิ่งกาญจน์อีกครั้ง นี่เป็นเรื่องที่ดีของผมอีกเรื่องหนึ่งหลังจากที่ผ่านมาผมเจอแต่เรื่องที่สูญเสีย ขณะที่ผมกำลังนั่งทำงานต่อ มีโทรศัพท์มาแจ้งผมว่า มีศพของหญิงสาวที่ถูกยิงตายให้มาชันสูตร ทางเจ้าหน้าที่บอกว่าเธอถูกยิงตายขณะขับรถ ทำให้รถเสียหลักตกลงไปข้างทาง พอศพมาถึงหลังจากที่ผมอ่านรายงานของหมอที่ชันสูตรในที่เกิดเหตุ ผมจัดการถ่ายรูปศพก่อนจะเริ่มทำการผ่าพิสูจน์ ระหว่างที่กำลังเตรียมเครื่องมือนั้น ผมเห็นวิญญาณของคนตายมายืนอยู่ที่ข้างเตียงผ่าศพด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง

"พอจะมีอะไรให้ผมช่วยไหมครับคุณ เรื่องรายละเอียดที่มาว่าเพราะอะไรคุณถึงถูกยิง  ถ้าผมช่วยได้ผมก็จะช่วยให้คุณได้รับความยุติธรรมครับ และคุณไม่ต้องสงสัยว่าทำไมผมถึงเห็นและพูดกับคุณได้ มันเป็นความสามารถพิเศษของผมอย่างหนึ่ง"

ผมอธิบายให้เธอไปเสร็จสรรพในดวงจิตเพราะขี้เกียจตอบคำถามที่ผมรู้ว่าเธอจะถามอะไร เธอนั้นยิ้มออกมาได้ก่อนจะเริ่มคุยกับผม ซึ่งมันงานชิ้นใหม่ของผมที่จะต้องทำคนเดียวเหมือนเมื่อก่อนแต่ผมเต็มใจที่จะทำตามความสามารถพิเศษที่ได้มา


แต่มีอีกหลายเรื่องที่อินทรายุทธนั้นไม่มีทางรู้ได้ อย่างเรื่องการสร้างอาคารวัชรทิพยสถานจำลองนั้น มาจากลินดาที่เข้ามาดลใจลูกชาย เพราะรู้ว่าหลังจากที่อสนีจากไปแล้วพื้นที่บริเวณนั้นไม่มีใครมาปกป้องดูแลถึงจะยังพอมีบารมีที่หลงเหลือของพระโอรสอยู่ แต่วิธีที่ดีที่สุดคือการสร้างพระตำหนักวัชรทิพยสถานจำลองขึ้นมา เพื่อให้บรรดาพวกภูตหรือมารต่างๆนั้นตระหนักว่าพื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นที่ประทับของพระโอรสอสนีตอนที่ลงมาจุติจะได้ไม่เข้ามาก่อกวน  เพราะตัวเธอเองก็ไม่ได้รับบัญชาให้มาดูแลพื้นที่ตรงนี้ ส่วนอีกเรื่องนั้นย้อนไปถึงวันที่อสนีได้จากโลกนี้  




















เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

Popoing

ว้าวว ในที่สุดก็ถึงตอนจบ  สนุกมากเลย ครับ

chapter11



n_neng

รอกิ่งกาญจน์มาเกิดเป็นลูกคุณหมอ จบแบบ happy  ครับ

kk2016

ขอบคุณผู้แต่งสำหรับงานดีๆอีก 1 เรื่ิิืองครับ ชอบแง่มุมต่างๆในเรื่องมากๆครับ คนเราไม่ว่า ดี-ชั่ว ก็มีกรรมด้วยกันทุกคน

ones26421


terngwow


Tyu744

จบได้ดีครับ ยุทธกับพลอยได้คู่กันตามที่จิ้นไว้555

Wing13

ขอบคุณมากครับ จบแบบสมบูรณ์จริงๆ รอติดตามเรื่องต่อไปครับ

solid17

ในที่สุดพระโอรสอัสนีก็ได้กลับคืนยังที่อันควนแล้ว

noojane

ถ้ากิ่งกาญมาเกิดเป็นลูกจริงปวดหัวแน่นอน โคตรกวน

badboyy2j

#12
แอบใจหายนะครับที่อ่านตอนจบแล้ว  แต่เป็นตอนจบที่กลมกล่อมครบรส คลี่คลายทุกปัญหา  เพราะแต่ละตัวละครต่างมีทางที่ต้องไป ต่างภพต่างภูมิกัน  ยิ่งกว่านั้นคุณหมอเราก็ได้เจอทั้งพ่อและน้อง รู้เรื่องลุงอัส กิ่งกาญจน์ แถมเจอเนื้อคู่ชีวิต  จากใจผู้อ่านติดตาม ตั้งแต่ผีหลอกสายฟ้าครับ

thanarat3459

ถึงตอนจบแล้ว...ขอบคุณมากครับที่เขียนนิยายสนุกมาให้อ่านครับ

ชาญวุฒิ เนระภูสี

แล้วกิ่งกาญจน์จะมาเกิดเป็นลูกหมอตามที่พูดไว้เปล่า