ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_nato87

เกมรักภารโรงเฒ่า ปี 2 ตอนที่ 39 : ปลอบโยนลูกสาวนายหัว Part 6

เริ่มโดย nato87, กรกฎาคม 09, 2023, 11:13:23 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 2 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

อยาก Move On หรือ ติดตามคู่รักลุงกับหลานคู่นี้ต่อดีครับ?

เดินเรื่องต่อ เอาไว้อ่านใน Deleted Scene
42 (24%)
ติดตามคู่รักลุงกับหลานคู่นี้ต่อ
133 (76%)

จำนวนสมาชิกโหวดทั้งหมด: 175

Popeye5555

เมียเด็กที่แสนจะว่านอนสอนง่ายแบบนี้ ตาลุงหลงรักตายเลย



Jim Lord


gritkin

ปลอบแล้วก็ต้องซั่มกันต่อสิ เดี๋ยวคงจะไม่ได้เจอกันอีกยาว

Panya Ans56

หว้า ไม่โดนระเบิดถ้ำทอง แต่ก็นะ ประตูหน้ายังแย่เลย

chairat04

คนเราจะเห็นค่าของคนต้องยามตกทุกข์ได้ยาก ลุงพลได้ใจลูกขวัญเต็มๆ

Lajtp

อ้างจาก: nato87คุณหนูของนายหัวจะติดใจลุงพลlink=topic=273720.msg2846437#msg2846437 date=1688919203
พูดคุยก่อนอ่าน : มาแล้วไวไหมสาดดดด 55555+

ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนว่า 'ถ้าคุณอ่านนิยายตอนนี้จบแล้ว คุณอาจจะต้องสงสัยแน่ ๆ ว่า ไอ้ Nato87 นี่มึงกำลังเขียนนิยายคุณธรรมหรือไง?' 5555+

นี่ไม่ใช่นิยายคุณธรรมครับ โดยแก่นแท้ มันคือนิยาย Romantic/Erotic ผมไม่ได้เป็นคนดีอะไรขนาดนั้น เข้าใจกันด้วย

สำหรับ Part6 เนี่ย ผมเขียนขึ้นมาด้วยจุดประสงค์หลัก ๆ ก็คือ 'ปิดช่องโหว่' เรื่องความไม่สมเหตุสมผลในด้านเนื้อเรื่องที่ผมทิ้งไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งมันก็ยังมีบางประเด็นที่ผมยังไม่ได้พูดถึง อย่างเช่น 'ไอ้บอยมันจะขโมยรถลูกขวัญไปทำหอกอะไร ในเมื่อมันเองก็มี Super Cars ตั้งหลายคันไว้ขับ' ซึ่งผมจะพูดถึงประเด็นนี้ และประเด็นอื่น ๆ ในภายหลังเพื่อเก็บตก แต่ Point หลักของตอนนี้ คือปิดช่องโหว่จุดอ่อนเรื่องความสมเหตุสมผลของน้องลูกขวัญ ที่เป็นเด็กฉลาด บ้านรวย แล้วทำไมอยู่ดี ๆ ถึงคิดสั้นจะฆ่าตัวตาย หรือแม้กระทั่งจะขายตัว ทั้งที่เธอเองก็น่าจะมีทรัพย์สินมีค่า ทำไมไม่เอาไปขาย ตอนนี้จะเป็นการเฉลยคำถามทุกข้อที่ทุกคนสงสัย ซึ่งผมก็คิดหาทางออกเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วครับ

ก็ต้องขอบคุณรีดหลาย ๆ คนที่ทักท้วงมาถึง Plot Hole ตรงนี้ ผมมองเห็นตั้งแต่แรกแล้วละ และจะมาปิดช่องโหว่พวกนั้นใน Part นี้เพราะฉะนั้น ตอนนี้เลยจะเต็มไปด้วยบทสนทนาคุณธรรมระหว่างคุณลุงกับคุณหลาน ซึ่งคนอ่านน่าจะรู้สึกเลี่ยน ๆ กันบ้างแหละ คนดี๊ยยย์ คนดียยย์จริง ๆ 5555+ย้ำอีกครั้งนะครับว่า ผมไม่ได้เขียนนิยายคุณธรรม ไม่ได้ยัดเยียด

ทั้งหมดที่ผมเขียนนั้น เหตุผลเดียวเลยก็คือ 'ความสมเหตุสมผล' แล้วก็อีกประเด็นนึงที่ผมอยากจะบอกก็คือ

ที่จริง ผมตั้งใจจะเขียนฉากเลิฟซีนหวาน ๆ ก๊อกสองของน้องลูกขวัญกับลุงพล แต่เนื้อหามันเยอะแล้ว ก็เลยตัดทอนไปก่อน และดูเหมือนว่า 6 Parts ไม่พอ

ผมเลยมีคำถามมาถามพวกคุณว่า 'จะให้ผมตัดฉากเลิฟซีนไปไว้ใน Deleted Scene' เพื่อให้เนื้อเรื่องเดินหน้าต่อไป หรือจะ 'ให้ผมเขียนฉากเลิฟซีนที่ว่านี้ของทั้งคู่ต่อ' ดี

จริง ๆ ผมรู้คำตอบอยู่ละ แต่ที่ผมถามเนี่ย เพราะผมจะบอกทุกคนอย่างตรงไปตรงมานะว่า ฉากเลิฟซีนก๊อกสองของลุงพลกับน้องลูกขวัญ จะไม่มี 'ประตูหลัง' อันเป็น Signature ของแก เพราะสภาพน้องลูกขวัญไม่ไหวจริง ๆ 'เต็มที่ก็อาจจะมีแค่ฉาก 69 ถู ๆ ไถ ๆ แล้วก็ Blowjob กินน้ำรัก' ครับ

ถ้ารับเงื่อนไขของผมได้ ก็โหวตมาครับ อยากให้ผม Move On เนื้อเรื่องต่อ หรือยังอยากจะดื่มด่ำกับความหวานของคู่รักลุงกับหลานคู่นี้ต่อดี?


ความเดิมตอนที่แล้ว


https://xonly8.com/index.php?board=48.0

หลังจากเสร็จศึกรักบนสังเวียน คู่รักลุงกับหลานก็ช่วยกันเก็บผ้าปูที่นอนที่เปื้อนเลือด เพื่อนำไปซัก แต่ดูเหมือนว่าลุงพลจะเป็นฝ่ายทำทุกอย่างเพียงคนเดียว เพราะลูกขวัญยังอยู่ในสภาพบอบช้ำเกินกว่าจะทำอะไรได้ เนื่องจากเธอพึ่งผ่านพ้นการถูกเปิดบริสุทธิ์โดยลุงพลมาได้ไม่นาน

ทั้งคู่อยู่ในสภาพเกือบเปลือย ลุงพลมีเพียงผ้าขนหนูสีน้ำตาลพันรอบเอว ส่วนลูกขวัญที่นั่งพักอยู่ตรงโซฟาห้องนั่งเล่น ก็มีเพียงแค่ผ้าขนหนูสีขาวพันรอบอก

"นั่งเล่นมือถือรอลุงก่อนนะ" ลุงพลที่กำลังเก็บผ้าปูที่นอนเปื้อนเลือดให้เด็กสาวหันกลับมา "เดี๋ยวลุงเก็บผ้าปูที่นอนให้ ว่าแต่ห้องเรามีถังหรือกะละมังบ้างไหม? เดี๋ยวลุงจะแช่ผ้าก่อน แล้วจะซักให้"

"ไม่มีเลยค่ะลุง" ภาสินีตอบ "ปกติหนูให้ร้านซักรีดให้น่ะคะ"

"อ่าวเหรอ?" คนขายน้ำเต้าหู้ถึงกับทำหน้าฉงน ก็เข้าใจได้ เพราะหมวยน้อยเป็นลูกคุณหนู บ้านมีฐานะ ก็คงจะไม่มาเสียเวลาซักผ้า รีดผ้าด้วยตัวเองแบบนี้หรอก

แล้วไหนจะเหล่าบรรดาสินค้าแบรนด์เนม เช่นกระเป๋าสะพายในตู้โชว์ ที่ประเมินราคาแล้วก็น่าจะหลายหมื่นบาท ยังไม่รวมถึงแลปทอป ตู้เย็น เตาอบ โฮมเธียเตอร์ แล้วก็ยังมีคีย์บอร์ดไฟฟ้าตรงมุมห้องอีก ก็พอเดาได้ว่าเด็กคนนี้ค่อนข้างฟุ้งเฟื้ออยู่เหมือนกัน ตามประสาลูกคนมีตังค์

"มองดูนาฬิกา อยากโทรหาเธอคุยกันอย่างเคย จะถามคำที่เก็บไว้ โกรธกันแล้วในใจของเธอมีความสุขไหม? โกรธกับฉันจะทำให้เธอดีใจใช่ไหม?"


"ลุงพลค่ะ" เสียงเรียกเข้าสมาร์ทโฟนของลูกขวัญดังขึ้น ในจังหวะที่เด็กสาวกำลังจะกดรับ จึงเรียกลุงพลพร้อมกับทำท่าจุ๊ปาก "เงียบ ๆ นะคะ ป้าหนูที่ภูเก็ตโทรมา"



ลุงพลพยักหน้า ก่อนหันหลังกลับไปเก็บผ้าปูที่นอนผืนเก่า แล้วเตรียมผ้าปูที่นอนผืนใหม่ ในขณะที่ลูกขวัญ ที่ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะไปหามุมสงบ ๆ คุยโทรศัพท์กับคุณป้าที่ภูเก็ต แต่เพราะยังเจ็บแผลเสียสาว เลยทำให้เธอไม่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก

"สวัสดีค่ะป้าจุรีย์"

"ลูกขวัญ หลับหรือยังลูก? แล้วตอนนี้เราอยู่ที่ไหน? บ้านหรือคอนโด?"

"ยังค่ะป้า ตอนนี้หนูอยู่ที่คอนโด ป้ามีธุระอะไรกับหนูเหรอ?"

"คือป้าคุยกับแม่เราแล้ว ป้าตั้งใจว่าจะไปอยู่เป็นเพื่อนเราที่กรุงเทพ เอาไว้ให้ป้าจัดการเรื่องธุระที่ภูเก็ตเสร็จแล้ว ป้าจะรีบขึ้นไป ไม่เกินอาทิตย์หน้าเนี่ยแหละจ๊ะ"

"ค่ะป้า ขอบคุณป้ามากเลยนะคะ"

"ไม่เป็นไรหรอกลูก ว่าแต่ตอนนี้เรามีเงินพอใช้ไหม? ถ้าไม่มีเดี๋ยวป้าโอนไปให้ เอาหรือเปล่า?"

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณป้า หนูยังพอมีเงินอยู่"

"ไม่ต้องเกรงใจหรอกลูกขวัญ!!! บอกมาเถอะ เพราะแม่เราฝากบอกมา ว่าถ้าหนูเดือดร้อนเรื่องเงินก็ให้ช่วยหน่อย ถ้าขาดเหลืออะไรเดี๋ยวแม่เราจ่ายให้ป้าเอง"

"ขอบคุณมากนะคะป้า แต่ตอนนี้หนูโอเคแล้วค่ะ" ภาสินีแอบชำเลืองมองลุงพลที่เพิ่งเปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่เสร็จแล้ว และยังยืนฟังอยู่ พร้อมกับทำท่าจุ๊ปากไม่ให้พูดอะไรออกมา "ถ้าหนูขาดเหลืออะไรยังไง เดี๋ยวหนูจะโทรไปบอกอีกทีนะคะ"

"ดีแล้วจ๊ะลูก ดีแล้วจ๊ะ เอ้ออ!!! คือป้าคุยกับแม่เราแล้วนะ แม่เราแนะนำว่าอยากให้เรากลับไปอยู่ที่บ้าน เพราะตอนนี้ที่บ้านไม่มีใครอยู่เลย มันอันตราย คุณแม่เรากลัวว่าเดี๋ยวจะมีใครแอบปีนรั้วมาขโมยของบ้านเราน่ะ"

"ค...ค่ะ" ภาสินีดูไม่ค่อยอยากกลับไปอยู่ที่บ้านเท่าไรนัก แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธอะไรคุณป้าของเธอ

"ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวป้าไปอยู่เป็นเพื่อน ส่วนแม่เรา เอาไว้ถ้าหายดี เดี๋ยวจะตามขึ้นไปด้วย"

"ขอบคุณมาก ๆ นะคะคุณป้า ที่เป็นห่วงหนู" ภาสินีเอ่ยปากขอบคุณป้าจุรีย์ พลางแอบชำเลืองมองลุงพลที่ยืนยิ้มอยู่ให้เธอ

หลังจากคุยโทรทรัพย์กับป้าจุรีย์ พี่สาวของคุณอัญชันผู้เป็นแม่ ภาสินีก็เหลือบมองลุงพลที่ยืนอยู่ตรงหน้า พร้อมกับยิงคำถามใส่

"ตะกี้ลุงยิ้มทำไมเหรอคะ?" ลูกขวัญวางสมาร์ทโฟนบนโต๊ะรับแขกภายในห้องพักของเธอ

"อืมม" แล้วลุงพลก็เดินเข้ามาใกล้เด็กสาว "ขอลุงนั่งหน่อยนะ ลุงมีเรื่องจะคุยกับเราหน่อย"

"ค่ะ" ลูกสาวนายหัวตอบตกลง ก่อนที่คุณลุงใจดีจะหย่อนตัวนั่งบนโซฟาตัวเดียวกับเธอ เพื่อที่จะเทศนาเรื่องคุณธรรมนำชีวิตให้เด็กสาวรุ่นหลานยุค 5G ได้ฟัง

"ลูกขวัญ หนูเห็นหรือยังว่าชีวิตหนูมีค่ามากแค่ไหน?" คนขายน้ำเต้าหู้เปิดประเด็น "หนูเคยคิดบ้างไหม ว่าถ้าหนูเป็นอะไรไป คุณพ่อ คุณแม่ คุณป้าของหนู หรือญาติพี่น้องของหนูจะเสียใจแค่ไหน?"

"หนูขอโทษค่ะ..." แล้วภาสินีก็ก้มหน้ารับผิดโดยไม่มีเงื่อนไข "หนูคิดน้อยไปหน่อย"

"ยังดีนะที่ลุงช่วยหนูได้ทัน" ตาเฒ่าสุดเซ็กส์กำลังปรับตัวเองให้อยู่ในโหมดละครคุณธรรม "ชีวิตหนูมีค่ามากมายมหาศาลเลยนะ"

"ค่ะ..." แล้วหมวยน้อยก็หันควับขึ้นมา "แต่ตอนนั้น หนูจนปัญญาจริง ๆ หนูไม่รู้ว่าจะต้องใช้ชีวิตแบบไหนต่อไปยังไง พ่อหนูก็ป่วย แม่หนูก็ป่วย เพราะเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรก็ไม่รู้!!! แล้วพี่ชายหนูที่หนูหวังจะพึ่งก็ดันพึ่งไม่ได้!!! เชิดเงินส่วนกลางที่คุณแม่แบ่งให้ไปจนหมด!!! แถมยังขโมยรถหนูไปอีก!!! ฮือออ..."

"ลูกขวัญ..." พอสวมบทเป็นคุณลุงใจร้ายสอนบทเรียนชีวิตให้เด็กสาวจนร้องไห้ได้ไม่ทันไร อยู่ดี ๆ สาวน้อยคนก็ปล่อยโฮออกมา "ที่ลุงพูดเนี่ย ลุงไม่ได้มีเจตนาจะว่าหนูหรอกนะ ลุงเข้าใจหนู ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร"

"หนูไม่ได้โกรธลุงหรอกค่ะ" หมวยน้อยหันควับกลับมาทั้งน้ำตา "หนูโกรธตัวเองมากกว่าอ่ะ!!! ทำไมตอนนั้นหนูถึงคิดไม่ได้!!! มันเหมือน...มันเหมือนกับว่าอยู่ดี ๆ หนูก็รู้สึกว่าตัวเองหมดหนทางแล้ว ชีวิตไม่เหลืออะไรอีกแล้ว จะอยู่ไปทำไม ตาย ๆ ซะปัญหาทุกอย่างจะได้จบ!!! ทั้ง ๆ ที่มัน...น่าจะมีทางออกได้...หนูไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมตอนนั้นหนูถึงคิดจะฆ่าตัวตาย!!!"



ลุงพลกำลังคิดถึงคำขอร้องขององค์ตุลาการสววรค์ ที่มาขอร้องให้ตนช่วย เพราะอายุขัยของภาสินีกุมารีบนโลกมนุษย์นั้นแสนสั้น สั้นกว่าพี่ ๆ ทุกคน เพราะเธอจะต้องกระทำอัตวินิบาตกรรมหรือฆ่าตัวตาย และต้องวนเวียนกับวิบากกรรมนี้ไปอีก 500 ชาติ จนกว่าจะถึงเวลากลับไปเป็นเทพธิดาบนสรวลสวรรค์อีกครา ซึ่งองค์ตุลาการสวรรค์ไม่มีทางยอมให้ชะตากรรมอันน่าเศร้านี้เกิดขึ้นกับบุตรีองค์เล็กของตน จึงขอร้องให้ลุงพลไปช่วยเพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของนาง

"ปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอนะ" ลุงพลที่เพิ่งพรากพรหมจรรย์ของลูกขวัญไปเมื่อไม่นาน ก็ต้องสวมบทเป็นคุณลุงใจดีคอยปลอบโยน รับฟังเด็กสาวระบายความรู้สึกออกมา "ระบายมาเถอะ ลุงยินดีรับฟังหนูเสมอ"

"เพื่อน ๆ ร่วมคณะที่วิทยาลัยก็แบนหนูกันหมด" แล้วภาสินีก็ร่ายความรู้สึกอัดอั้นตันใจออกมา "อาจารย์หลาย ๆ คนก็มองหนูด้วยสายตาแปลก ๆ หนูรู้สึกว่าตัวเองเป็นแกะดำ ไม่มีใครเลยสักคนที่จะเข้ามาพูด มาคุย หรือรับฟังปัญหาของหนูสักคน...ฮือออ"

ลุงพลนั่งรับฟังเด็กสาวด้วยความเข้าใจ และไม่ได้พูดอะไรออกมา

"ที่จริง...ก็มีนะคะ" แล้วลูกขวัญก็นึกอะไรออก "ครูเบสท์!!! ฮือออ...ครูเบสท์ดีกับหนูมาก...ครูเบสท์เป็นคนที่รับฟังหนู ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของครูเบสท์เลย ยังรู้จักกันได้ไม่เท่าไรด้วยซ้ำ แต่ครูเบสท์ก็ฟัง แล้วก็สอนหนู เหมือนที่ลุงกำลังสอนหนูอยู่เนี่ย!!!"

"เห็นไหม? ยังมีคนที่รับฟังหนูอยู่เสมอนะ" นักรักจากแก่งคอยยิ้มให้ลูกสาวนายหัวตกอับ พลางนึกชื่นชมครูเบสท์คนสวยแห่งคณะพยาบาล เธองามทั้งหน้าตาและจิตใจอย่างแท้จริง "ครูเบสท์เธอเป็นคนดีมากเลยนะ หนูโชคดีแล้วที่ได้เจอครูเบสท์"

"แล้วก็..." หมวยน้อยเริ่มคุมอารมณ์ได้ "ยังมีอาจารย์ที่คณะแพทย์อีกหลาย ๆ คน ที่ไม่แนะนำให้หนูลาออก แต่ขอให้หนูดรอปเรียนไปก่อน ไปดูแลคุณพ่อ ไปพักทำใจ แล้วค่อยกลับมาเรียนใหม่ในเทอมถัดไปด้วยค่ะ"

"เป็นคำแนะนำที่ดีมากเลยนะ" ลุงพลพยักหน้าเห็นด้วย "เห็นหรือยัง? ว่าชีวิตหนูยังมีทางออกอยู่เสมอ มีคนอีกมากมายที่ยังรัก ยังหวังดีกับหนูนะ"

แล้วภาสินี ก็เงยหน้ามองลุงพล ด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ จนอีกฝ่ายทำหน้าฉงน ว่าเด็กสาวกำลังคิดอะไรอยู่

"มองหน้าลุงทำไมเหรอจ๊ะ?" คนขายน้ำเต้าหู้ยิ้ม "ลุงหล่อเหมือนมิตร ชัยบัญชาเหรอจ๊ะ?"

"หึ..." ภาสินีที่เป็นเด็กรุ่นหลังถึงกับหลุดขำ ทำเอาลุงพลที่นั่งอยู่ยิ้มตาม ที่สามารถทำให้หมวยน้อยคนนี้กลับมายิ้มได้อีกครั้ง "ใครอ่ะ!!! หนูไม่รู้จัก!!!"

"ตลกอะไรเหรอจ๊ะ?" แล้วลุงพลก็นั่งเก๊กหล่อ "สมัยหนุ่ม ๆ ลุงเนี่ยหล่อระดับมิตร ชัยบัญชาเลยนะ เคยดูเรื่องอินทรีแดงหรือเปล่าเราน่ะ?"

"สมัยไหนเนี่ยลุง!!!" หมวยน้อยกลับมายิ้มได้อีกครั้ง "หนูไม่รู้จักจริง ๆ ค่ะลุง!!! เกิดไม่ทัน!!!"

"ลุงก็รู้อยู่แล้วละจ๊ะ เด็กรุ่นใหม่น่าจะไม่รู้จักมิตร ชัยบัญชา สมัยแกเล่นหนัง ตอนนั้นลุงยังเด็กอยู่เลย!!!" นักรักจากแก่งคอยยิ้ม "ทั้งหมดเนี่ย ลุงก็แค่อยากให้หนูมีความสุข เวลาเรายิ้มน่ะ เราน่ารักมากเลยนะลูกขวัญ"

นัยน์ตาแดงก่ำของภาสินี เริ่มเป็นประกายขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อได้พูดคุยกับลุงพล คนขายน้ำเต้าหู้ที่เข้ามาช่วยกอบกูชีวิตเธอจากมรสุมชีวิตครั้งใหญ่ ว่าแล้วเธอจึงก้มหน้าแล้วดึงมือของคุณลุงใจดีขึ้นมาแนบที่ใบหน้า

"ตะกี้หนูลืมชื่อไปคนนึงแหน่ะ" หมวยน้อยที่วางหน้าบนหลังมือของคุณลุงใจดีหลับตาพริ้ม "ยังมีลุงพลด้วย ถึงเราจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ขอบคุณนะคะ ที่ช่วยหนู เตือนสติหนู"

"ไม่เป็นไรจ๊ะหลาน" บทจะเป็นพระเอกใจแกก็หล่อได้เวอร์วัง สำหรับคนอย่างลุงพล "ไม่เป็นไรนะ หมดทุกข์หมดโศกแล้วนะ ว่าแต่ ลุงถามหน่อยนะ หลังจากนี้หนูจะทำยังไงต่อไปละ?"

"อืมมม..." แล้วลูกขวัญก็เงยหน้าขึ้น เหลือบมองห้องพักของเธอด้วยความอาลัยอาวรณ์ "ก่อนหน้านี้ หนูคุยกับแม่ก่อนที่จะเข้าโรงพยาบาล แม่บอกว่าให้หนูกลับไปอยู่บ้านที่กรุงเทพก่อน ตอนนี้ก็มีแค่ลุงยามที่เคารพนับถือคุณพ่อ แล้วไม่ยอมไปไหน แกบอกว่าจะอยู่เฝ้าบ้านให้จนกว่าคุณพ่อของหนูจะหายดี แล้วจะให้ป้าจุรีย์ แล้วก็น่าจะมีญาติ ๆ ที่ภูเก็ตอีกสองสามคนมาอยู่เป็นเพื่อนหนู เพราะคุณพ่อยังพักรักษาตัวอยู่ที่กรุงเทพ เพราะโรงพยาบาลที่กรุงเทพคือดีที่สุดในไทยแล้ว จะให้ส่งกลับไปรักษาที่ภูเก็ต มันก็ไม่ใช่เรื่อง"




"เป็นความคิดที่ดีมากจ๊ะ" ลุงพลพยักหน้าเห็นด้วย "แล้วยังไงต่อ?"

"ที่จริง..." แล้วลูกสาวนายหัวก็บอกความรู้สึกของตัวเองออกมาทั้งหมด "หนูไม่อยากกลับไปที่บ้านเลย หนูอยากอยู่ที่คอนโดมากกว่า มันเป็นส่วนตัวกว่า แล้วอีกอย่าง หนูก็โตแล้วด้วย หนูดูแลตัวเองได้"

"กลับไปน่ะดีแล้วจ๊ะ" นักรักจากแก่งคอยแทรกขึ้นมา "เชื่อลุงนะ หนูกลับไปอยู่ที่บ้านกับคุณป้าของหนูน่ะดีแล้ว"

"แล้วลุงจะให้หนูทิ้งคอนโดไว้แบบนี้เหรอ?" ภาสินีร่นคิ้วด้วยความข้องใจ "ไม่เอาด้วยหรอก!!!"

"ยังงี้นะจ๊ะหลาน" แล้วลุงพลก็ต้องอธิบาย "หนูกลับไปอยู่ที่บ้านก่อนน่ะดีแล้ว ไว้สถานการณ์อะไร ๆ มันดีขึ้น แล้วหนูค่อยกลับมาอยู่ที่คอนโด ระหว่างนี้ ลุงคิดว่าหนูน่าจะปรึกษากับคุณแม่ของหนูเรื่องปล่อยคอนโดให้คนอื่นเช่าไปก่อนเพื่อหารายได้ก่อนดีกว่า"

"อืมมม..." ภาสินีมองห้องพักคอนโดของเธอด้วยความอาลัยอาวรณ์ "ที่จริง หนูเองก็พยายามที่จะประหยัดเงินสุด ๆ แล้วนะ ไม่รูดบัตรเครดิตพร่ำเพรื่อ ใช้เงินที่หนูยังพอมี แล้วก็เงินค่าขนมนิด ๆ หน่อยจากการเขียนนิยายในเว็บ แต่ก็ยังไม่พอ หนูเองก็รู้ว่าถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อไปในสภาพนี้ เงินหนูมีแต่จะหมดลงเรื่อย ๆ"

"เห็นไหม? ปัญหาถูกแก้ได้เปราะนึงแล้ว" ลุงพลยิ้มให้กับลูกขวัญ ที่แม้จะฉลาดทันคนยังไง แต่เธอก็ยังเป็นเด็ก ยังมีมุมของความเอาแต่ใจอยู่บ้าง แต่ลึก ๆ แล้ว ลุงพลก็สัมผัสได้ว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กที่ดีมาก "กลับไปอยู่บ้านก่อนเถอะ ปล่อยห้องนี้ให้คนอื่นเช่า เชื่อลุง"

"ก็คงต้องเป็นแบบนั้นค่ะ" หมวยน้อยตอบด้วยท่าทางปลงตก "หนูก็คงต้องให้คุณแม่มามาเซ็นต์ยินยอม เพราะหนูอายุยังไม่ถึง 20 แต่ก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะคุณแม่หนูเองก็รู้จักนักกฎหมายมายเก่ง ๆ อยู่บ้าง"

เด็กคนนี้ความคิดความอ่านดีมาก ถ้าโตขึ้นไปอีกหน่อยคงจะเป็นคนที่มีคุณภาพในแวดวงการแพทย์ หรือไม่ก็ในสายวิชาชีพใดสายหนึ่งเป็นแน่ ก็สมเหตุสมผลดี ที่องค์ตุลาการสวรรค์ผู้เป็นพ่อครั้นอดีตชาติ ไม่ต้องการให้บุตรีองค์สุดท้องที่ลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ต้องพบกับโชคชะตาอันน่าเศร้า

"แล้วก็ยังมีอีกเรื่องนึง ที่ลุงอยากจะแนะนำหนู" นักรักคุณธรรมจากแก่งคอยประสานมือกับลูกขวัญ "ของอะไรก็ตาม ที่มันไม่จำเป็นสำหรับหนู ขายได้ก็ขายเถอะ"

"ไม่เอาด้วยหรอก!!!" ลูกขวัญรีบหันควับไปมองเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ กระเป๋าแบรนด์เนม แลปทอป หรือแม้กระทั่งคีย์บอร์ดไฟฟ้าที่อยู่ภายในห้องของเธอ "ของพวกนี้ หนูรักมากเลยนะ!!! ให้ตายยังไงหนูก็ไม่ขายหรอก!! ยิ่งกระเป๋า Louis Vuiiton ของหนู!!! ตรงนั้นอ่ะ!!! เป็นรุ่น Exclusive Edition ที่คุณพ่อพาหนูบินซื้อไปที่ปารีสตอนหนูขึ้น ม.6 ราคาตั้งเท่าไร!!! ไม่เอาอ่ะ!!!"

"ลูกขวัญ ฟังลุงก่อนนะ" แล้วตาเฒ่าก็ต้องอธิบายให้เด็กสาวได้เข้าใจ "สิ่งของพวกนี้มันเป็นของนอกกายนะ คนเราน่ะ หลัก ๆ แล้วก็แค่ต้องการพื้นฐานในการใช้ชีวิตเพียงไม่กี่อย่าง ถึงวันหนึ่ง ที่คนเราไม่มีเงินกินข้าวเลยแม้แต่บาทเดียว ของมีค่าอะไรก็ตามที่เรามี เราก็จำเป็นต้องขายออกไปบ้าง เพื่อเอาเงินมากินข้าวให้เรามีชีวิตต่อไปนะ"

ภาสินีดูไม่ค่อยพอใจกับคำแนะนำของลุงพลนัก แต่เธอก็นิ่งเงียบรับฟัง โดยไม่พูดอะไร ซึ่งก็พอเข้าใจได้ ว่าเธอเป็นลูกคุณหนู บ้านมีฐานะ ตลอดชีวิตของเธอ ถ้าหากเธออยากได้อะไรก็ตาม พ่อแม่ของเธอก็มักจะซื้อหามาให้โดยไม่มีอิดออด ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะมีราคาแพงมากเท่าใดก็ตาม ขอเพียงแค่เธอทำตามเงื่อนไขที่พ่อกับแม่ตั้งเอาไว้ให้ คือตั้งใจเรียน มีผลการเรียนที่ดี เป็นลูกที่ดี ซึ่งตัวของเด็กสาวก็ทำตามเงื่อนไขที่พ่อกับแม่ตั้งเอาไว้ให้ได้หมดทุกข้อ เธอจึงได้สิ่งของแบรนด์เนม สิ่งอำนวยความสะดวก ของใช้แบรนด์เนม หรือแม้กระทั่งคอนโดหรูใจกลางเมืองและรถยนต์ Toyota Camry ราคาเฉียดสองล้านให้เธอ

"หนูเสียดายอ่ะ!!! หนูรักของพวกนี้มาก!!!" หมวยน้อยพูดขึ้นมา "แต่ก็...ให้หนูคิดดูอีกทีก็แล้วกัน...ถ้าถึงตอนนั้นจริง ๆ หนูก็คงต้องขาย"

"ดีมากจ๊ะ" ลุงพลยิ้มให้กับเด็กสาว ยิ้มจนแก้มปริ "ทำถูกต้องแล้ว ฟังลุงอีกนิดนะลูกขวัญ เราน่ะโชคดีมากกว่าใครอีกหลายล้านคนในประเทศนี้มากเลยนะรู้ตัวบ้างไหม? หนูเกิดมามีเพรียบพร้อมทุกอย่าง หนูเองก็เห็นแล้วใช่ไหม? ว่าบนโลกใบนี้ยังมีคนที่รับฟังเข้าอกเข้าใจหนู หนูไม่ได้อยู่ลำพังเพียงคนเดียว แล้วก็นะ...เบื่อหรือยัง? ที่ฟังลุงสอนหนูเนี่ย?"

"ไม่อ่ะ" ลูกขวัญยิ้มแก้มปริ "พูดมาเถอะค่ะ คุณครู หนูฟังอยู่"

"จ๊ะ" น่าเอ็นดูเหลือเกินสำหรับภาสินี เธอเปรียบเสมือนฟองน้ำ ที่ไม่ว่าลุงพลหรือผู้ใหญ่คนไหนก็ตามสั่งสอนเธอ เธอก็พร้อมจะซึบซับทุกอย่าง เด็กฉลาดและดีแบบนี้น่าสนับสนุน "ชีวิตคนเราทุกคนน่ะ ก็ต้องเจอกับอุปสรรค์และปัญหาทุกรูปแบบ ซึ่งบางครั้งเราเองก็ไม่ได้เตรียมตัวหรือเตรียมใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดเลย คือเราต้องมีสติ และพร้อมรับมือกับปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าคนรวยหรือคนจนทุกคนก็มีปัญหาของตัวเองกันทั้งนั้น คนจนอย่างลุงน่ะ ถ้าล้มแล้ว พลาดแล้วคือพลาดเลย แต่หนูน่ะ หนูเป็นลูกคนรวย บ้านหนูมีฐานะ หนูยังมีทางเลือกอีกมากมายนะ"

"ลุงพลค่ะ" แล้วหมวยน้อยหัวไบรท์ก็ก้มหน้า "ลุงรู้ไหม? ว่าตั้งแต่ที่หนูเกิดมาอ่ะ พ่อกับแม่ของหนู ไม่เคยมีใครสอนหนูแบบนี้เลยนะ"

"แล้ว? แล้วมันดีหรือเปล่าละจ๊ะ?" ลุงพลร่นคิ้วถามด้วยความสงสัย เพราะไม่รู้ว่าเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กำลังหมายถึงในทางลบหรือทางบวก

"พ่อกับแม่ของหนูอ่ะ" ภาสินีแอบทำหน้าบูด "เหมือนนินทาคุณพ่อกับคุณแม่ของตัวเองยังไงไม่รู้แหะ จะบาปไหมเนี่ย!!! อะแฮ่ม!!! ก็!!! คุณพ่อกับคุณแม่ของหนู มักจะสอนหนูว่า ถ้าหนูอยากได้อะไร ให้ตั้งใจเรียน ทำเกรดเฉลี่ยให้ได้ดี ๆ เป็นลูกที่ดี เชื่อฟังคำสั่งพ่อกับแม่ ซึ่งหนูก็ทำตามมาตลอดเวลาที่หนูอยากจะได้อะไร หนูคิดแค่ว่า ก็แค่ตั้งใจเรียน เป็นเด็กดี เชื่อฟังพ่อแม่ แล้วหนูก็จะได้ทุกอย่าง"

ลุงพลนั่งยิ้มรับฟังลูกขวัญ ที่เปิดอกคุยเรื่องราวส่วนตัวของตนเองให้ฟังด้วยความตั้งอกตั้งใจ

"ชีวิตของหนู ก็มีคุณพ่อคุณแม่ ที่เป็นทุกอย่าง" หมวยน้อยก้มหน้าลง "ทุก ๆ ครั้งที่หนูป่วย หนูไม่สบาย หรือหนูมีปัญหาอะไร คุณพ่อกับคุณแม่ก็มักจะเป็นคนคอยแก้ปัญหาให้หนู ที่จริงมันก็ดีนะคะลุง แต่หนูคิดมาตลอดว่า หนูน่ะอยากเป็นผู้ใหญ่ อยากจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าหนูก็ดูแลตัวเองได้ จัดการกับปัญหาด้วยตัวเองได้..."

"หนูเป็นเด็กที่เก่งและฉลาดมากเลยนะ" นักรักผู้ยิ่งใหญ่จากแก่งคอยเอ่ยปากชมสาวน้อยภูเก็ตไม่ขาดปาก และน่าจะเป็นคำชมด้วยความจริงใจอีกครั้งของชายผู้มากรักคนนี้ "หนูมีความคิดความอ่านที่ดีมากเลยนะ"

"แต่กับสิ่งที่หนูเกือบจะทำลงไป..." ลูกสาวนายหัวนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เธอกำลังจะคิดสั้นกระโดดตึกตาย "สุดท้าย...หนูก็ยังดีไม่พอ"

"หนูดีพอแล้วลูกขวัญ" ลุงพลเอื้อมมือลูบศีรษะของเด็กสาวด้วยความเอ็นดู "หนูดีทุกอย่างแล้ว เชื่อลุงนะ ลุงเข้าใจหนูแล้วละ ก็อย่างที่ลุงบอกหนูนั่นแหละ ว่าบางครั้งชีวิตคนเราก็ต้องเจอกับปัญหายาก ๆ ที่เรากลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ลุงบอกแล้วไงว่า เราต้องตั้งสติ เพราะทุกปัญหามีทางออกเสมอ ความตายไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่มันคือการสร้างปัญหาใหม่ ให้คนที่เรารักและรักเราต้องต้องเสียใจนะ"



"ค่ะ..." หมวยน้อยกวาดสายตาลงไปมองมือของลุงพลที่วางอยู่บนมือของเธอ "หนูจะไม่คิดสั้น จะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว"

โปรดติดตามตอนต่อไป...

g9898


xxxboyz



phet.79

ตอนนี้มนุษย์ลุงของผมหล่อมาก
พระเอกเลย(ก็พระเอกอยู่แล้วนี่หว่า🤣)
งานนี้หมวยน้อยหลงรักแน่ๆ



somchai0361