ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

XO ตอนที่ 24 - ปะทะฝีปาก

เริ่มโดย assasin008, ตุลาคม 20, 2015, 11:42:36 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

assasin008

XO ตอนที่ 24 - ปะทะฝีปาก
..................................
Assasin008 2015-10-20

   "สรุปว่า พี่แม็กจะไปสอบทหารหลวง เพราะอยากเข้าวังไปหาข้อมูลมาช่วยพี่หมิวงั้นเหรอคะ?"

   ส้มเช้งเอ่ยถามทั้งที่ยังคงนอนส่งเสียงหอบหายใจหนักหน่วงบนเตียงนอนที่ยับยู่ยี่ ใบหน้าสวยที่ชุ่มด้วยเม็ดเหงื่อก้มลงมองดูด้านล่าง ดวงตาคู่สวยทอประกายเปี่ยมรักขณะมองดูศีรษะของผู้เป็นพี่ชายที่ฟุบหมอบแนบอยู่กับทรวงอกอวบใหญ่เกินวัยของเธอ เธอกอดเขาไว้อย่างแนบแน่นหวงแหนยิ่งกว่าสิ่งใด

   "อื้อ ก็ลองดู ไม่งั้นก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน"

   แม็กส่งเสียงตอบทั้งที่ยังคงแนบหน้าซุกไออุ่นของทรวงอกอิ่ม สองหนุ่มสาวในตอนนี้คล้ายกับคู่แต่งงานใหม่ เมื่อกลับถึงที่พักก็ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงอะไร โดยเฉพาะเมื่อพ่อกับแม่ไม่อยู่เป็นก้างขวางคอ ต่างฝ่ายต่างโผเข้าหากอดรัดฟัดเหวี่ยงแลกเปลี่ยนความสุขหฤหรรษ์

   เขาเคลื่อนไหวเสพสมราวกับสัตว์ป่า เธอเองก็แปลงร่างเป็นแม่เสือสาวในฤดูผสมพันธุ์ พายุรักถาโถมร้อนแรงจนเตียงนอนแทบหัก กว่าที่ทุกอย่างจะหยุดลงได้ส้มเช้งก็ส่งเสียงหวีดร้องไปแล้วสามรอบติดกัน เวลานี้ร่างเปลือยเปล่าที่นอนกอดก่ายกันจึงชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ

   "อืม ถึงจะเลเวลหนึ่ง แต่พี่แม็กน่าจะสอบได้แหละค่ะ พี่เก่งอยู่แล้ว แถมยังโชคดีได้ดวงจิตของเทพกับมารมาแบบนั้นน่ะ หนูยังอยากได้เลย แต่ยังไม่เคยมีข่าวว่าใครจะได้เลยนะ ไม่รู้พี่เป็นคนแรกในเกมหรือเปล่า"

   "หือ มันยากขนาดนั้นเลยเหรอ?"

   "ใช่ซิคะ จีเอ็มเกมนี้เคยให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าเราล้มบอสได้ตามเงื่อนไขสูงสุดของแต่ละตัว บางครั้งเราจะได้จิตส่วนหนึ่งมา ยิ่งบอสเก่งก็ยิ่งได้พลังเยอะ แต่จะทำให้ได้เงื่อนไขพวกนี้ยากมาก ต่อให้มีคนรู้ก็คงไม่มีใครบอกหรอก แถมพี่ยังได้จิตของเทพมารระดับสูงมากอย่างเทพีอะโฟรไดที กับแอสโมดิอุส อีกต่างหาก ถ้าหนูไม่เห็นพี่แปลงร่างเป็นเทพมารนะ หนูไม่เชื่อที่พี่เล่าให้ฟังแน่"

   ส้มเช้งอธิบายรายละเอียดให้ฟัง และนั่นคือข่าวสารที่ทางจีเอ็มเคยประกาศออกมาในช่วงแรกเริ่มของเกม แต่จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังไม่เคยมีข่าวว่าใครจะได้รับจิตเสริมพลังแบบนี้มาก่อน ซึ่งความจริงแล้วอาจจะมีบ้างก็เป็นได้ เพียงแต่คนที่ทำได้คงไม่ยอมเปิดเผยออกมาว่าทำได้อย่างไร

   "อืม แต่ก็โดนจำกัดพลังไว้ด้วยนะ เพราะว่าเพิ่งเลเวลหนึ่งคลาส 0 เดี๋ยวคงต้องหาเวลาไปเก็บเลเวลบ้างแล้วล่ะ"

   "พี่จัดการเรื่องนี้ให้เสร็จก่อน แล้วค่อยไปเก็บเลเวลกับหนูก็ได้ค่ะ ไว้หนูจะพาไปเก็บระดับในป่าผี นักบวชอย่างพวกเราสู้สบายแน่นอน รับรองวันเดียวขึ้นคลาส 1 ได้"

   "แต่ส้มเช้งมีธุระต้องจัดการก่อนใช่มั้ย"

   "ค่ะ หนูยังต้องช่วยงานซิสเตอร์มาเรียที่โบสถ์อีกสักระยะ"

   "โอเค งั้นยังไงดี จะต่ออีกรอบมั้ย หรือว่าจะไปเข้าเกมแล้ว? พี่ยังมีแรงต่อได้อีกรอบนะ"

   แม็กพูดพลางขยับร่างขึ้นมาด้านบนจนใบหน้าทั้งคู่จ้องผสานกัน ส้มเช้งแสดงท่าทีขวยเขินออกมา แต่ว่าสองขาขาวเพรียวตวัดรัดรอบบั้นเอวของเขาไว้ ทั้งยังจับจ้องมองดวงตาของผู้เป็นพี่ชายเพื่อสื่อความหมายโดยไม่ต้องพูดจา เขาจึงฉีกยิ้มที่มุมปากแล้วเริ่มขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวเรียกเสียงครวญครางแว่วหวานจากริมฝีปากบางออกมาอีกครั้ง

   "พี่เข้าเกมก่อนนะ"

   แม็กจูบปากส้มเช้งอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเข้าเครื่องแคปซูลเพื่อเข้าเล่นเกม บรรยากาศที่เหมือนพายุโหมกระหน่ำเมื่อครู่จึงกลายเป็นเงียบงัน ส้มเช้งนอนยิ้มสุขสมหอบหายใจบนเตียงนอนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยันร่างลุกขึ้นมองดูพี่ชายที่หลับไหลในเครื่องแคปซูลเหมือนจะนึกอะไรได้

   "เอ จะว่าไป ทำไมพี่แม็กต้องลำบากไปสอบคัดเลือกทหารด้วยล่ะ ถ้าอยากเป็นทหารหลวงระดับสูง ก็ง่ายนิดเดียวเอง ... อืม แต่ช่างเถอะ สงสัยพี่แม็กจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างมั้ง"

   ส้มเช้งพูดกับตัวเองด้วยความสงสัย จากนั้นจึงค่อย ๆ เดินไปมองดูพี่ชาย และก้มหน้าจูบที่ฝาครอบเครื่องแคปซูลด้วยความรักใคร่ แล้วไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างเนื้อล้างตัว เตรียมเข้าไปสู่เกมออนไลน์ตามผู้เป็นพี่ชายสุดที่รัก

..................................

   "หือ ... แล้วนี่มันที่ไหนหว่า?"

   แม็กเข้าเกมมาแล้วก็ต้องยืนงงกับตำแหน่งของตัวเอง เพราะเขาจำได้ว่าเขาออกจากเกมตอนอยู่ในหอจันทราซ่อน และโดยปกติแล้ว หากเข้าเกมใหม่จะต้องอยู่ที่ตำแหน่งเดิม แต่ว่าตอนนี้เขากลับกำลังยืนอยู่ในตรอกเล็กแคบที่ร้างไร้ผู้คน

   "ประตูนี่มัน ... ทางเข้าร้านค้าทาส?"

   เขายืนกลอกตาไปมาครู่หนึ่ง แล้วพยายามใช้ความคิด และเขาก็ค่อย ๆ นึกออกว่าที่นี่คือตรอกที่มีประตูเข้าไปสู่ร้านค้าทาส เขาจึงทดลองเปิดบานประตูเข้าไปดู หากทว่าสิ่งที่พบเห็นกลับเป็นเพียงสนามหญ้าเล็ก ๆ ที่มีกำแพงล้อมไว้ทั้งสี่ด้านแทนที่จะเป็นร้านค้าทาสอันโอ่อ่าใหญ่โต

   แม็กยืนงุนงงไม่เข้าใจ เขาไม่ทราบว่าร้านค้าทาสและเรือนจันทราซ่อนนั้นความจริงแล้วไม่ได้อยู่ด้านหลังประตูนี้ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ตรอกกลางเมืองจะมีพื้นที่กว้างขวางโอ่อ่า รวมถึงมีธรรมชาติที่น่าชื่นชมเช่นนั้น แต่นั่นเป็นประตูมิติที่เจ้าของสามารถเปิดเชิญให้คนทั่วไปเข้าไปเยี่ยมชมได้ตามกำหนดเวลา และเมื่อเจ้าของร้านค้าทาสปิดร้าน คนที่ไม่เกี่ยวข้องก็จะโดนผลักไสออกมายังตำแหน่งก่อนเข้าสู่ร้านค้าทาสทันที

   เขายังคงไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้คิดจะสนใจมากความ เขาแค่รีบเปิดหน้าจอระบบลองดูข้อมูลของทาสทั้งหลาย และเขาก็ได้พบว่าเหล่าแปดนางงามทาสสาวของเขายังคงอยู่ในเมืองนี้ที่ไหนสักแห่ง ส่วนแองจี้ก็เข้ามาในเกมแล้ว

   เขาจึงค่อยวางใจรีบเรียกใช้ใบวาร์ปกลับเมืองเพื่อกลับไปยังอาคารผู้เล่นตรงตำแหน่งใจกลางเมือง เพื่อจะได้ไม่เสียเวลาหลงทาง และจะได้ไปยืนยันการลงทะเบียนที่ตึกทหารหลวงใกล้กับอาคารผู้เล่นได้ทัน

   การยืนยันการลงทะเบียนนั้นไม่มีอะไรมากนัก เขาแค่ไปปรากฎตัวต่อหน้าเจ้าหน้าที่ จากนั้นก็เป็นการตรวจสอบรายชื่อซึ่งไม่มีปัญหาอะไรเพราะเขาได้ไหว้วานให้เซเฟียจัดการให้แล้ว

   เมื่อการตรวจสอบไม่มีปัญหาเขาก็ได้รับป้ายไม้หมายเลข 4,469 ก่อนจะโดนบอกให้รีบไปเข้าคิวรับการทดสอบของวันนี้ที่ค่ายทหารทางทิศตะวันออกนอกเมืองซึ่งยังพอรับคนสมัครได้อีกเล็กน้อย ส่วนค่ายอีกสามทิศที่เหลือนั้นไม่สามารถรองรับได้อีกแล้ว เพราะรองรับได้เพียงแค่ค่ายละหนึ่งพันห้าร้อยคน

   แม็กรีบวิ่งไปทางทิศตะวันออกตามที่เจ้าหน้าที่บอกไว้ และเมื่อวิ่งไปได้ราว 3 - 4 กิโลเมตร เขาก็ได้พบกับค่ายไม้ขนาดใหญ่ประมาณสองถึงสามสนามฟุตบอล ค่ายไม้ทางทิศตะวันออกนี้แนบชิดกับภูเขาขนาดใหญ่ที่ยากปีนป่าย ด้านหน้าล้อมไว้ด้วยท่อนไม้สูงสามเมตร บนกำแพงมีป้อมยามประจำการด้วยทหารพร้อมธนูครบมือทุกระยะยี่สิบเมตร มองดูแล้วแม้จะไม่แข็งแรงเทียบเท่าตัวเมืองที่เป็นกำแพงหินสูงชัน แต่ก็ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งยากตีแตกได้

   เนื่องจากเขาโดนคาร่าแม่หมอพยากรณ์สั่งสอนให้รู้จักสังเกตการณ์สภาพโดยรอบให้ละเอียด เขาจึงตั้งใจมองดูและวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของป้อมปราการแห่งนี้ไปพลาง และเขาก็ได้พบว่าบนป้อมยามจุดหนึ่งบนกำแพงกลับไม่มีทหารยามยืนประจำอยู่ ซึ่งก็นับว่าแปลกไม่น้อยสำหรับค่ายทหารที่ให้ความรู้สึกเข้มงวด

   แม็กโดนตรวจสอบป้ายไม้ที่หน้าประตูค่ายครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ถูกปล่อยเข้าไปรอคอยในพื้นที่ว่างด้านใน ซึ่งเวลานี้คราคร่ำไปด้วยผู้คนที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันนับพันชีวิตที่ลานกว้างตรงกลางค่าย ส่วนรอบ ๆ ค่ายนั้นมีทหารสวมเกราะเครื่องแบบโลหะยืนนิ่งเต็มไปด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย ผิดกับบรรดาผู้คนที่มาสมัครเป็นทหารอย่างเห็นได้ชัด

   เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาทดสอบ แม็กจึงเดินลัดเลาะไปหามุมสงบเพื่อตรวจสอบทักษะ และไอเท็มที่ตัวเองมีก่อนเริ่ม เพราะนี่คือสิ่งที่คาร่าสั่งสอนมาเหมือนกัน เธอเน้นย้ำเสมอว่าเขาต้องรู้ตัวเองให้ดีที่สุดเสียก่อน ว่ามีอะไรบ้าง เมื่อถึงเวลาจะได้ตัดสินใจได้ถูกต้อง ไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง

   เขาลองเปิดหน้าจอค้นหาตรวจสอบไอเท็มและทักษะรอบหนึ่ง ก่อนจะสะดุดสายตาที่การ์ดจุติของอะโฟไดทีและแอสโมดิอุสทั้งสองใบที่ตัวเลขระดับพลังงานสะสมมีการเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย

   'การ์ดการจุติใหม่ของเทพีแห่งความรัก - ระดับพลังงานสะสม 4.6%'
   'การ์ดการจุติใหม่ของบาปแห่งความใคร่ - ระดับพลังงานสะสม 4.2%'

   แม็กยิ้มยินดีแก้มแทบปริ เพราะเขาพยายามอัดพลังงานให้การ์ดทั้งสองใบมาอย่างต่อเนื่อง แต่ตัวเลขนั้นขึ้นช้าจนเขาแทบหมดความอดทน หากทว่าคราวนี้ตัวเลขนั้นกลับเพิ่มขึ้นมากกว่า 4% โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

   เมื่อลองครุ่นคิดแล้ว เขาก็คาดเดาว่าการ์ดทั้งสองใบน่าจะได้รับพลังในช่วงที่เขาโคจรพลังปราณ เพราะตอนนั้นเขาเองก็สัมผัสได้ถึงพลังธาตุแสงและมืดอันมหาศาล และนั่นหมายความว่าหากเขาทำแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมาอีกสัก 20 - 30 เที่ยว เขาก็จะได้รับสองสาวโฟร์มดมาเข้าฮาเร็มอีกครั้ง

   อารมณ์ยินดีทำให้เขานั่งขัดสมาธิเดินโคจรลมปราณรอคอยเวลา และเพื่อแบ่งถ่ายเทพลังปราณธาตุบางส่วนให้สองสาวเทพมารไปพร้อมกัน ซึ่งความจริงนี่ก็เป็นการเตรียมการปกติของผู้เล่นสายปราณทั่วไป และมีผู้เล่นไม่น้อยที่กำลังนั่งโคจรสะสมลมปราณเตรียมพร้อม การเตรียมการของแม็กจึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนรอบข้างมากนัก

   อย่างไรก็ตาม จากประสาทสัมผัสที่แผ่ขยายออกไปโดยรอบ ทำให้แม็กทราบว่ามีคนอย่างน้อยสองคนกำลังจับตามองดูเขาอยู่ด้วยความรู้สึกไม่เป็นมิตรนัก เพียงแต่เขาไม่คุ้นหน้าคุ้นตาของชายทั้งสองคนนั้น จึงยังไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจับตามองดูเขาเพื่ออะไร

   เขานั่งโคจรพลังได้ราวสิบห้านาทีก็ต้องหยุดลง เพราะเริ่มมีการส่งสัญญาณให้ผู้สมัครทั้งหมดพันกว่าคนไปยืนรวมกันตรงลานกว้าง และบนเวทีไม้นั้นก็มีทหารที่แต่งกายด้วยชุดเกราะหรูหรากว่าทหารอื่นอยู่สิบกว่าคน ซึ่งพอจะคาดเดาได้ว่าทหารบนนั้นน่าจะเป็นระดับนายทหารชั้นสูงกว่าทหารทั่วไป และที่แม็กให้ความสนใจก็คือ บนนั้นมีเซเฟียทหารสาวสวยยอดนักสู้ที่เขาได้ลิ้มลองรสสวาทไปแล้วครึ่งหนึ่งยืนอยู่ด้วย

   เซเฟียยืนอยู่เคียงข้างนายทหารชั้นสูงและพูดคุยหัวเราะด้วยรอยยิ้มสดใสสนิทสนม แม็กมองจึงมองไปด้วยความสนใจและหึงหวงอยู่บ้าง เขาไม่แน่ใจนักว่าเซเฟียจะมองเห็นเขา เพราะจำนวนคนค่อนข้างเยอะและหนาแน่น หากทว่าเขาคิดผิด เพียงไม่นานนักเซเฟียผู้มีสายตาอันคมกริบก็ชายตามองมาทางเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นด้วยท่าทางเขินอาย เขาจึงยืนยิ้มกริ่มสบายอารมณ์ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายต่อพิธีกรรมการคัดเลือกทหารมากนัก

   ซึ่งความจริงแล้ว ก็ไม่ได้มีพิธีกรรมอะไรมากนัก ฟาร์อีสต์ ชายวัยกลางคนท่าทางห้าวหาญผู้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพตะวันออกเพียงพูดปลุกใจรวมถึงสรรเสริญเหล่าราชวงศ์เพียงไม่กี่นาที จากนั้นนายทหารระดับรองลงมาคนหนึ่งก็รับหน้าที่อธิบายการคัดเลือกให้ทราบโดยละเอียดกว่าเดิม

   แม็กได้อ่านข้อมูลมาบ้างแล้ว จึงเข้าใจรายละเอียดส่วนใหญ่เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น ผู้ผ่านการทดสอบหากไม่ประสงค์ที่จะเข้ารับตำแหน่งทหารหลวง พวกเขาก็จะสามารถลงทะเบียนเป็นทหารรับจ้างตามระดับคะแนนที่สอบผ่านได้

   เมื่อมีความต้องการใช้งาน ทางวังหลวงจะยื่นข้อเสนอจ้างตามระดับความสามารถที่เคยวัดระดับเอาไว้ ดังนั้นการสอบคัดเลือกประจำปีจึงมักจะมีคนมาสมัครไม่น้อย เพราะนั่นอาจหมายถึงผลประโยชน์ระยะยาวของพวกเขาเอง ยิ่งทำคะแนนได้ดี ก็ยิ่งมีโอกาสได้รับผลประโยชน์มากกรณีมีภารกิจ หรือสงครามระหว่างเมือง

   ส่วนประกาศที่เหลือก็เป็นพวกรายละเอียดยิบย่อยไม่น่าสนใจนัก แม็กเองก็ยังฟังจนเบื่อและแอบเปิดหน้าจอระบบหาข้อมูลของนายพลฟาร์อีสต์สักหน่อย เพราะสนใจในท่าทีสนิทสนมเกินควรระหว่างนายพลและเซเฟีย อีกทั้งเขายังคิดว่าทำความเข้าใจกับผู้รับผิดชอบการสอบน่าจะมีประโยชน์บางอย่าง และจากการค้นหานั้นทำให้เขาทราบว่านายพลฟาร์อีสต์ถือได้ว่าเป็นวีรบุรุษคนหนึ่งของเมืองเลอองนิสต์แห่งนี้ อีกทั้งยังมีศักดิ์ฐานะเป็นลุงของเซเฟียด้วย

   ไม่นานนักนายทหารที่ประกาศอยู่บนเวทีก็พอจะรับรู้ได้ว่าผู้ฟังเริ่มหมดความสนใจ นายทหารนั้นจึงหยุดการประกาศรายละเอียด แล้วหันไปโค้งคำนับนายพลฟาร์อีสต์ให้เป็นผู้ประกาศเริ่มการทดสอบอย่างเป็นทางการ

    อย่างไรก็ตาม นายพลฟาร์อีสต์ยังไม่ทันได้เริ่มกล่าวประกาศเริ่มการทดสอบของวันนี้ ก็ปรากฎเสียงชุลมุนวุ่นวายดังมาจากประตูของค่ายทหาร และเมื่อทุกคนหันไปมองดูก็พบว่ามีทหารสวมชุดเกราะสีเงินหรูหราไม่น้อยกว่าสามสิบคนควบขี่ม้าใส่เกราะบุกตะลุยฝ่าฝูงชนเข้ามา

   เหล่าผู้สมัครแม้จะไม่พอใจที่ต้องรีบหลบเปิดทางให้ทหารกลุ่มนี้ แต่เนื่องจากยังไม่แน่ใจนักว่านี่เป็นบททดสอบหรือไม่ พวกเขาจึงยังไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว แต่ละคนจึงเพียงพยายามหลบเปิดทางให้โดยไม่ได้ตอบโต้กลับ ผู้คนจึงแตกฮือแหวกออกมาเป็นทาง

   แม็กเองก็ไม่แน่ใจนักว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงทำท่าจะหลบหลีกเปิดทางเหมือนเช่นที่คนอื่นทำ หากทว่าเมื่อเขาคิดจะขยับ ก็ปรากฎชายสองคนที่คอยแอบจับตามองดูเขาอยู่โผล่ออกมาชักดาบยืนล้อมกรอบเหมือนต้องการกักไม่ให้เขาหนีไปไหน และเพียงแค่พริบตาเดียว อัศวินม้าเหล็กทั้งสามสิบชีวิตก็ห้อวิ่งมาล้อมกรอบเขาไว้เป็นวงกลมซ้อนกันสองชั้น

   เวลานี้แม็กแน่ใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น และเขาก็เดาไม่ผิด เพราะอัศวินที่ใส่ชุดเกราะสีเงินเลิศหรูที่สุดคนหนึ่งได้ยกดาบชี้มาทางเขาด้วยท่าทีข่มขู่ ชายคนนั้นส่งเสียงหัวเราะสะใจ ก่อนจะถอดหมวกเหล็กออกให้เห็นใบหน้าอันสง่างาม และคนผู้นั้นก็คือเจ้าชายวิลเลี่ยมที่เขาเพิ่งหักหน้าในงานประมูลทาสไปนั่นเอง

......................................

   สายตาของผู้เข้าทดสอบทหารพันกว่าชีวิต รวมถึงเหล่าทหารประจำเมืองเลอองนิสต์อีกครึ่งพันต่างจับจ้องมองมาด้วยความสนอกสนใจ ในงานสอบคัดเลือกทหารหลวงประจำปีของเมืองเลอองนิสต์กลับเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดพิลึก

   เจ้าชายวิลเลี่ยมพระราชอาคันตุกะจากเมืองแบล็คฟอร์ทควบม้าศึกบุกตะลุยเข้ามาในค่ายทหารทิศตะวันอออก ทั้งยังนำพาทหารหาญกว่าสามสิบนายพร้อมอาวุธครบมือเข้าล้อมกรอบผู้สมัครคัดเลือกทหารท่าทางธรรมดาคนหนึ่ง

   ม้าศึกพันธุ์ดีส่งเสียงร้องข่มขวัญพร้อมกับยกเท้าหน้าขึ้นเตะใส่อากาศพร้อมกันตามที่ผู้ควบขี่บังคับ อีกทั้งยังบังคับให้ม้าทั้งสามสิบตัวกระแทกเท้าลงพื้นพร้อมกันจนบังเกิดเสียงดังสนั่นผืนดินสะเทือน ตามด้วยเสียงเคร้งคร้างของโลหะที่แทบจะเป็นเสียงเดียวกัน

   เพียงกระพริบตาวูบเดียวทวนยาวก็ตั้งตรงอยู่ในท่วงท่าเตรียมรุมสังหารเป้าหมายที่อยู่ตรงกลางได้ในทุกเสี้ยววินาที ทหารเหล่านั้นกำลังแสดงให้เห็นถึงการประสานงานอันยอดเยี่ยมแข็งแกร่งสมกับที่เป็นกองกำลังประจำเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำสงคราม

   เจ้าชายวิลเลี่ยมยิ้มพึงพอใจก่อนจะยกมือขึ้นให้สัญญาณ จากนั้นเหล่าทหารหาญทั้งหลายที่มาด้วยกันก็สะบัดมือยกทวนยาวชี้ขึ้นฟ้าอย่าง พร้อมเพรียงเป็นเสียงเดียวกัน

   "เอาล่ะ ก่อนอื่น ... เจ้ามีอะไรจะสารภาพก่อนที่ข้าจะลงมือจับกุมเจ้าหรือไม่ เจ้าขี้ข้าชั้นต่ำ"

   เจ้าชายวิลเลี่ยมกล่าวพร้อมกับยกดาบสีเงินวาวในมือชี้ไปยังบุรุษหนุ่มที่ตกอยู่ในวงล้อมของทหารแกร่ง ท่วงท่านั้นแลดูปราดเปรียวสง่างามจนผู้หญิงที่อยู่บริเวณนั้นต่างพากันทำตาเคลิ้ม ไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่ชอบเจ้าชายที่ทั้งสูงศักดิ์และหล่อเหลา

   อย่างไรก็ตามบุรุษหนุ่มผู้มีดวงตาสีฟ้าและเรือนผมสีดำที่โดนห้อมล้อมอยู่นั้นก็ดูดีไม่น้อย ใบหน้านั้นแม้จะไม่ได้ออกแนวเจ้าสำอางค์แบบเจ้าชายวิลเลี่ยม แต่ก็มีเสน่ห์อันหล่อเหลาอีกรูปแบบหนึ่งที่น่ามองไม่แพ้กัน พวกเธอจึงยังไม่สามารถตัดสินใจเลือกข้างได้ ว่าจะเอาใจช่วยฝั่งไหนดี

   การที่เจ้าชายหยุดลงและถามไถ่ก่อนนั้น ทำให้มองดูแล้วไม่ป่าเถื่อนจนเกินไป ซึ่งนั่นก็เป็นไปตามแผนการณ์สร้างภาพของเจ้าชายผู้เชี่ยวชาญเรื่องมวลชน หากเขานำกำลังทหารบุกเข้ามาแล้วลงมือจับกุมเลย ก็จะกลายเป็นภาพพจน์อีกแบบที่ดูไม่ดี การกระทำแบบนี้จึงทำให้เจ้าชายได้แสดงอำนาจบารมี ทั้งยังได้ข่มขู่ข่มขวัญจนเหยื่อหวาดผวาไปด้วยพร้อมกัน

   กระนั้นเจ้าชายก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ เพราะนอกจากเหยื่อในวันนี้จะไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวให้เห็นแล้ว ยังยกมือยักไหล่ด้วยท่าทางเหนื่อยหน่ายคล้ายไม่นำพาที่โดนรุมล้อม นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เจ้าชายรู้สึกหงุดหงิดขัดใจจนต้องขมวดคิ้ว

   "โอ้ เจ้าชายวิลเลี่ยม เรื่องผู้หญิงน่ะบังคับแข็งขืนกันไม่ได้หรอกนะ เธอเลือกผมแล้ว ต่อให้เจ้าชายถืออำนาจบาตรใหญ่จับผมไปทรมาณ เธอก็ยังเลือกผมอยู่ดีนั่นแหละ"

   ชายผู้นั้นย่อมไม่ใช่ใครอื่น หากทว่าเป็นแม็กนั่นเอง และเนื่องจากแม็กได้ติดตามข่าวสารทั้งจากหมิว จากเกต และจากเวปบอร์ดมาไม่น้อย เขาจึงเตรียมใจรับมือเจ้าชายเอาไว้แล้ว ถึงแม้จะคาดไม่ถึงว่าเจ้าชายจะบุกตะลุยเข้ามาแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมแบนี้ แต่อย่างน้อยเมื่อเตรียมการรับมือไว้บ้างแล้ว และตอนนี้เขาก็มีไพ่ไม้ตายอยู่ในมือ เขาจึงไม่รู้สึกแตกตื่นลนลานมากนัก

   แม็กเลือกที่จะส่งเสียงอันดังพอสมควร ทั้งนี้ก็เพื่อพยายามแย่งชิงมวลชน ให้คิดว่าเขายืนอยู่ฝ่ายเหตุผล อย่างน้อยหากคนส่วนใหญ่เชื่อว่าเขาโดนรังแก พลังของมวลชนก็จะสามารถช่วยเหลือเขาได้บ้างไม่มากก็น้อย

   "เฮอะ ข้าจะให้โอกาสนางเลือกใหม่ และคราวนี้นางจะเลือกเจ้าชายอันสูงศักดิ์เช่นข้า ไม่ใช่เลือกชนชั้นต่ำอย่างเจ้า"

   "เฮ้อ เจ้าชายช่างไม่เข้าใจเรื่องราวของความรักเอาเสียเลย บางอย่างมันแข็งขืนไม่ได้หรอกนะ"

   แม็กแอบยิ้มในใจเมื่อปลางับเหยื่อเข้าอย่างจัง แผนการขั้นแรกของเขาจึงถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ซึ่งนี่อาจจะยังไม่ส่งผลโดยตรงนัก แต่อย่างน้อยที่สุดก็จะทำให้คนฟังเชื่อว่าเจ้าชายมาหาเรื่องเขาเพราะพ่ายแพ้เรื่องความรัก และหลังจากนี้ต่อให้เจ้าชายจะพยายามยัดเยียดข้อหาอะไรให้ คนฟังก็จะบังเกิดความสงสัยขึ้นมาก่อน ว่านี่คือการกลั่นแกล้งหาเรื่องกันหรือไม่

   "นี่เจ้า ... อ้อ ... ทุกคนอย่าไปฟังไอ้ไพร่ชั้นต่ำคนนี้ ความจริงแล้วมันเป็นโจรขโมยทรัพย์สิน และที่ข้ามาวันนี้ก็มาเพื่อจับกุมมันไปรับโทษฑัณฑ์ ... ทหารจับมัน"

   เจ้าชายเองก็ไม่ได้โง่เขลาจนหลอกลวงง่ายดายเกินไป เมื่อรู้สึกว่าตนเองเสียคะแนนต่อมวลชนไป จึงรีบหักเหเปลี่ยนเรื่องมายัดเยียดข้อหาให้ตามที่ได้วางแผนเอาไว้ ซึ่งความจริงแล้วเจ้าชายนั้นเฉลียวฉลาดด้วยซ้ำ เพียงแต่นี่เป็นเรื่องของทัศนคติที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ เจ้าชายถูกเลี้ยงดูมากับความสูงศักดิ์เหนือใคร ดังนั้นในความคิดของเจ้าชายเองแล้ว ทุกสิ่งที่เขาต้องการ เขาจะต้องได้มันมาเสมอ แม้แต่เรื่องความรักก็ต้องเป็นเช่นเดียวกัน

   เมื่อสิ้นคำสั่งของเจ้าชาย เหล่าทหารหาญก็เริ่มขยับ อาวุธที่ชี้ขึ้นฟ้าขยับวูบชี้ลงมาอย่างพรักพร้อมเป็นเสียงเดียวกัน และปลายแหลมคมของทวนยาวทั้งหมดล้วนแล้วแต่ชี้ตรงมายังร่างของแม็กพร้อมกับจิตสังหาร ซึ่งหากเขาคิดขัดขืนหรือหลบหนีแม้แต่น้อย การโจมตีจับกุมก็จะเริ่มต้นขึ้นทันที

   "บ้านมีกฎบ้าน เมืองมีกฎเมือง เจ้าชายคิดจะยัดเยียดข้อหาให้ใคร ก็ต้องมีพยาน มีหลักฐาน แล้วก็ต้องฟ้องร้องเรื่องกับทางเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่เอะอะก็คิดจะมาจับคนอื่นไปทำร้ายให้รับสารภาพเหมือนที่เคยทำในเมืองแบล็คฟอร์ด ที่นี่เป็นเมืองเลอองนิสต์ที่มีตัวบทกฎหมายชัดเจน ใครผิดใครถูกก็ต้องสอบสวนกันก่อน หรือว่าเจ้าชายคิดว่าตนเองใหญ่กว่าใครในเมืองนี้?"

   "เฮอะ ข้าเป็นราชนิกูลผู้สูงส่ง ทั้งยังเป็นว่าที่พระราชาของเมืองนี้ และข้าเห็นเจ้าบุกเข้าไปในห้องของข้า ข้าจดจำธนูสีดำของเจ้าได้ ข้าจดจำแววตาที่เต็มไปด้วยความละโมภของเจ้าได้ ข้าเห็นเจ้าหยิบฉวยขโมยทรัพย์สินของข้ากับตา หรือไพร่อย่างเจ้าคิดว่าคำพูดของชนชั้นสูงเช่นข้าไม่น่าเชื่อถือ"

   แม็กพยายามอ้างกฎหมายตามที่วางแผนไว้ เพราะเขาสืบทราบว่าเมืองเลอองนิสต์แห่งนี้ มีกระบวนการยุติธรรมที่ค่อนข้างโปร่งใส หรืออย่างน้อยก็สะอาดกว่าระบบเจ้านายและข้าทาสของเมืองแบล็คฟอร์ดซึ่งนายย่อมถูกต้องเสมอ แต่เจ้าชายวิลเลี่ยมเองก็ไม่ธรรมดา เขาพูดพลางหันไปมองรอบกายด้วยสีหน้าจริงจังประหนึ่งว่าได้เห็นแม็กขโมยข้างของไปจริง ๆ

   แน่นอนว่าต่อให้คำพูดของเจ้าชายเพ้อเจ้อ แต่ด้วยศักดิ์ฐานะย่อมทำให้ไม่มีใครกล้าคิดเปิดโปง ยิ่งเจ้าชายพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่เห็นเค้าลางโกหก ผู้คนบางส่วนจึงเผลอหลงเชื่อไปแล้วด้วยซ้ำ

   "น่าเชื่อถือหรือไม่น่าเชื่อถือนั้นตอบยาก แต่เจ้าชายถือเป็นผู้ฟ้องร้อง จึงไม่มีสิทธิตัดสิน และที่สำคัญก็คือเจ้าชายยังเคียดแค้นเพราะเรื่องผู้หญิงด้วยอีกทาง หรือหากเจ้าชายคิดจะตั้งศาลเตี้ย อย่างน้อยก็สมควรเกรงใจท่านขุนพลฟาร์อีสต์ที่ดูแลที่นี่บ้าง ไม่ใช่คิดจะทำอะไรก็ทำ"

   แม็กเห็นอีกฝ่ายทำคะแนนนำขึ้นมา เขาก็รีบหันไปมองทางขุนพลฟาร์อีสต์บนเวทีด้วยท่าทางเคารพนบนอบ หากมองจากมุมนี้แล้วสีหน้าขึงขึงของนายพลฟาร์อีสต์ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมามากนัก หากทว่าแม็กสามารถใช้ประสาทสัมผัสทางด้านกาลเวลาอันปราดเปรียวรับรู้ได้ถึงความรู้สึกไม่พอใจที่ซุกซ่อนอยู่ภายในของท่านขุนพล รวมไปถึงเหล่าขุนพลที่อยู่ข้างกายอีกสิบกว่าชีวิตก็คิดเช่นเดียวกัน

   เจ้าชายบุกตะลุยฝ่าเข้ามาในค่ายโดยไม่บอกกล่าว เจ้าชายไม่ทักทายไม่เห็นหัวเหล่าขุนพลแม้แต่น้อย ทั้งยังคิดจะทำตัวเป็นศาลเตี้ยตัดสินคดีความข้ามหน้าข้ามตาผู้ดูแลค่ายทหารแห่งนี้ ดังนั้นต่อให้แม็กไม่มีประสาทสัมผัสพิเศษ เขาก็พอจะเดาออกว่าเหล่าทหารย่อมไม่พอใจอย่างแน่นอน

   "โอ้ ท่านฟาร์อีสต์ ข้าเพิ่งเห็นท่าน ท่านคงไม่ขัดข้องกระมังหากข้าจะจับตัวโจรร้ายผู้นี้ไปลงโทษ"

   เจ้าชายวิลเลี่ยมผู้วางตนสูงส่งนั้นคล้ายจะรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจเช่นกัน หากทว่าเจ้าชายยังคงเชิดหน้าเชิดตาไม่เห็นหัวผู้ใด แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่คิดกล่าวคำขอโทษที่กระทำเรื่องข้ามหน้าข้ามตาแม้แต่คำเดียว อีกทั้งยังพูดจาถืออำนาจบาตรใหญ่เสียด้วยซ้ำ

   "เจ้าชายวิลเลี่ยม ... แน่นอนว่าข้าไม่มีข้อขัดข้อง หากท่านสามารถพิสูจน์ตามตัวบทกฎหมายได้ว่าชายผู้นี้กระทำผิดจริง ไม่ได้เป็นการเข้าใจผิดกัน"

   ขุนพลฟาร์อีสต์ที่ถูกวางอำนาจบาตรใหญ่สมกับที่เป็นผู้ใหญ่ แม้จะโดนพูดข่มแต่สีหน้าและแววตานั้นแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กลับเป็นเหล่านายกองที่ยืนอยู่เบื้องหลังเสียอีก ที่แสดงท่าทีฮึดฮัดไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเซเฟียที่ถลึงตามองเจ้าชายด้วยสายตาโกรธแค้นกว่าใคร

   "พิสูจน์งั้นหรือ ข้าบอกแล้ว ว่าข้าเห็นด้วยตาตนเอง หรือท่านจะกล่าวหาว่าข้าพูดปด?"

   เจ้าชายตอบโต้ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เหล่ากองทหารที่มาด้วยกันกับเจ้าชายคล้ายจะรับรู้ความไม่พอใจนั้นจึงพากันแผ่รังสีอำมหิตออกมาเสริมสภาวะให้อย่างเหมาะเจาะ หากทว่านายพลฟาร์อีสต์ยังคงยืนนิ่งบนเวทีแล้วยิ้มเล็กน้อยเหมือนผู้ใหญ่เอ็นดูเวทนาต่อเด็กน้อยที่ไม่รู้ความ

   "ข้าไม่ทราบว่าผู้ใดพูดปด ข้าทราบเพียงว่าหากจะกล่าวหาผู้ใด ผู้ฟ้องร้องจะต้องนำหลักฐาน และพยานออกมายืนยันถึงความผิด ในกรณีนี้เจ้าชายเป็นผู้ฟ้องร้อง จึงไม่นับเป็นพยาน เอาล่ะ ท่านมีหลักฐานหรือพยานอะไรบ้างล่ะ?"

   ท่าทางไม่แยแสของนายพลฟาร์อีสต์ ทำให้อารมณ์ของเจ้าชายเดือดพล่านจนต้องถลึงตามอง หากทว่าเจ้าชายดูจะยังเกรงต่อบารมีของนายพลอยู่บ้างจึงไม่ได้ทำการอาละวาดออกมา เจ้าชายจึงเพียงปรายตามองไปทางลูกสมุนคนสนิท เป็นการให้สัญญานแสดงตัว

   "ท่านขุนพล ข้าเอ็ดเวิร์ดเป็นนายทหารในสังกัดองครักษ์ของเจ้าชายวิลเลี่ยมขอเป็นพยาน ในคืนก่อนหน้าเทศกาลค้าทาสหนึ่งคืน หลังจากที่เจ้าชายกลับจากงานเลี้ยงสังสรรค์ต้อนรับ ข้าก็ได้เห็นบุรุษผู้หนึ่งวิ่งหนีออกไปทางหน้าต่าง ชายคนนั้นสวมใส่ชุดสีดำสนิทปิดมิดชิด หอบหิ้วสมบัติถุงใหญ่ สะพายธนูสีดำ แต่มองเห็นดวงตาสีฟ้าได้อย่างชัดเจน และพวกเราได้สืบเฟ้นแล้วว่าตรงกับข้อมูลของชายผู้อ้างตัวเป็นเทพธนูคนนี้"

   คนแรกที่ออกมาสนับสนุนข้อกล่าวหาคือทหารในสังกัดของเจ้าชายวิลเลี่ยม และการแสดงออกในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่านายเป็นอย่างไรบ่าวก็เช่นนั้น เจ้าชายแสดงละครได้ดีเยี่ยมเพียงใด ทหารในสังกัดนายนี้ก็แสดงละครได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน เพียงแต่หากนับเรื่องความน่าเชื่อถือแล้ว การเอาลูกน้องของตนเองมาเป็นพยานนั้นออกจะขาดน้ำหนักอยู่บ้าง

   คนปลิ้นปล้อนตลบตะแลงอย่างเจ้าชายวิลเลี่ยมย่อมตระหนักได้ถึงช่องโหว่นี้อยู่แล้ว เมื่อนายทหารคนแรกพูดจบ ก็มีนายทหารอีกคนที่แต่งเครื่องแบบผิดไปจากทหารส่วนใหญ่ของเจ้าชาย นายทหารคนนั้นถูกพลักมายืนตัวสั่นเบื้องหน้าแม็ก เขามองซ้ายมองขวาด้วยความลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเอ่ยปากเมื่อโดนนายทหารที่ยืนอยู่ด้านหลังตบไหล่กระตุ้น

   "เอ่อ ... ข้าพูดแล้ว ... ท่านขุนพลฟาร์อีสต์ ... ข้าชื่อเรย์ เป็นทหารเฝ้ายามของพระราชวัง ในคืนก่อนเทศกาลค้าทาสหนึ่งคืน ข้ายืนเฝ้ายามบริเวณกำแพงวังทิศเหนือ และข้าก็ได้พบเห็นคนร้ายชุดดำ สะพายคันธนู และมีดวงตาสีฟ้า หลบหนีออกมาจากทางที่รับรองเจ้าชายวิลเลี่ยม"

   เรย์ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นทหารยามนั้นพูดด้วยน้ำเสียงกล้า ๆ กลัว ๆ อยู่บ้าง จึงไม่ทราบว่ามีความน่าเชื่อถือแค่ไหน หากทว่าเมื่อพูดออกมาแล้ว ก็สามารถนับเป็นพยานทางกฎหมายได้ และหากนับพยานทั้งสองปากนี้แล้ว ก็จะพบการเชื่อมโยงเสริมส่งให้คนเชื่อว่ามีโจรร้ายดวงตาสีฟ้าอยู่จริง ๆ และนี่คือความร้ายกาจในการจัดฉากของเจ้าชายวิลเลี่ยม ต่อให้เหตุการณ์ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่หากเตรียมพยานให้เหมาะสม ก็สามารถสร้างเรื่องหลอกลวงผู้คนได้โดยง่าย

   ทางด้านขุนพลฟาร์อีสต์มีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย นายทหารคนหนึ่งเดินออกมามองดูทหารยามในระยะใกล้ ก่อนจะประกาศรับรองว่าทหารยามคนนี้เป็นทหารยามสังกัดกำแพงทางทิศเหนือจริง ๆ และนั่นก็ทำให้คำพูดของทหารยามคนนั้นมีน้ำหนักมากขึ้นไม่น้อย

   เมื่อสร้างภาพว่ามีโจรตาสีฟ้าได้แล้วแผนของเจ้าชายก็ถือว่าสำเร็จไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่ว่านั่นคงยังไม่เพียงพอที่จะระบุว่าโจรตาสีฟ้าคือใคร ดังนั้นเจ้าชายจึงยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วยกมือให้สัญญาณดำเนินแผนการถัดไป จากนั้นทหารเกราะเหล็กก็ลากตัวชายร่วงท้วมท่าทางเหมือนพ่อค้าสองคนออกมายืนด้านหน้า

   ผู้เล่นหลายคนจดจำได้ว่าชายร่างท้วมทั้งสองที่กำลังสั่นกลัวนั้นเป็นพ่อค้าร้านขายของในเมือง เพียงแต่ยังคาดเดาไม่ออกว่าเจ้าชายจะเบิกตัวพ่อค้าสองคนนี้มาเพื่ออะไร และพ่อค้าทั้งสองนี้เต็มใจมาหรือไม่ เพราะเมื่อพ่อค้าทั้งสองออกมา พวกเขาก็เอาแต่ก้มหน้ายืนนิ่งเหมือนกำลังชั่งใจอย่างหนักหน่วง

   ทหารเกราะเหล็กที่อยู่ด้านหลังใช้มือตีไหล่เพื่อกระตุ้นให้พ่อค้าทั้งสองเอ่ยปาก หากทว่าพ่อค้าก็ยังไม่ยอมเอ่ยปาก จนกระทั่งเจ้าชายวิลเลี่ยมเริ่มสีหน้าบึ้งตึง ทหารเกราะเหล็กจึงเดินไปกระซิบอะไรบางอย่างจนพ่อค้าทั้งสองตัวสั่นสะท้าน และเริ่มเงยหน้าขึ้นมาอ้าปากพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก พร้อมทั้งล้วงมือหยิบเอาสิ่งของบางอย่างออกมาจากปกเสื้อ

   "ท่านนายพลฟาร์อีสต์ ... ข้าชื่อสมิธ เป็นเจ้าของร้านช่างตีเหล็กในเมือง ... ตอนบ่ายก่อนหน้าเทศกาลค้าทาส มีคนผู้หนึ่งนำมีดเล่มนี้มาขายให้ข้า เขาคือผู้ชายตาสีฟ้าคนนี้"

   "ท่านนายพล ... ข้าชื่อโคล้ธ เป็นเจ้าของร้านชุดเกราะและเสื้อผ้าในเมือง ยามบ่ายก่อนเริ่มค่ำคืนของเทศกาลค้าทาส ผู้ชายตาสีฟ้าคนนี้นำของสิ่งนี้ไปปล่อยขายที่ร้านค้าของข้า"

   พ่อค้าคนแรกหยิบเอามีดสีเงินระดับสูงมีตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์แบล็คฟอร์ดขึ้นมา พ่อค้าคนที่สองหยิบเอาผ้าคลุมสีดำขลับแฝงพลังมนตรามีสัญลักษณ์ของเมืองแบล็คฟอร์ดออกมาเช่นกัน และทั้งสองชี้ตัวกล่าวหาแม็กว่าเป็นคนนำไปปล่อยขายที่ร้านของตนเอง

   หากมองจากคนนอกแล้ว ทุกคนต่างก็หลงเชื่อไปกับคำให้การของพยานจนเกือบหมด เริ่มจากการให้ทหารยามยืนยันว่ามีการบุกรุกของโจรตาสีฟ้าจริง ๆ จากนั้นก็ให้เหล่าพ่อค้ายืนยันว่าชายตาสีฟ้าผู้นี้นำของซึ่งมีตราราชวงศ์แบล็คฟอร์ดไปขายทอดตลาด และคำให้การเหล่านี้นับว่ามัดตัวหนาแน่นจนยากดิ้นหลุดได้

   "อะแฮ่ม ... พยานหมดหรือยังล่ะเจ้าชาย ผมจะได้เริ่มแก้ต่างให้ตัวเองซะที"

   อย่างไรก็ตามขณะที่เจ้าชายกำลังยิ้มกริ่มนั้น แม็กกลับยังคงกล่าวด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อน เขายังคงยืนอมยิ้มคล้ายเพิ่งพบเห็นเรื่องน่าตลกขบขันสักเรื่อง เหล่าคนที่ไม่เกี่ยวข้องเมื่อได้เห็นท่าทางมั่นใจเช่นนี้ จึงเริ่มพากันเกิดความคลางแคลงใจต่อคำกล่าวหาของพยานเหล่านี้ขึ้นมาบ้าง

   "เฮอะ เจ้าโจรชั้นต่ำ ยังคิดจะแก้ตัวอีกเรอะ ทหารไปจับมันมา"

   เจ้าชายส่งเสียงสั่งการทหารเกราะเหล็กด้วยความขัดใจ แต่เมื่อเหล่าทหารทำท่าจะขยับตัว ก็ปรากฎเสียงดังกังวาลขึ้นมาจนเหล่าทหารเกราะเหล็กหยุดชะงัก และนั่นคือเสียงของขุนพลฟาร์อีสต์ซึ่งลงมายืนอยู่ด้านข้างของแม็กตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครทราบ นั่นนับเป็นการเคลื่อนที่อันรวดเร็วและเงียบเชียบสมแล้วกับระดับขุนพลที่แกร่งที่สุดของเมืองเลอองนิสต์

   "หยุด!!! ... ใจเย็นก่อนเจ้าชาย ... ตามหลักกฎหมายแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาจะต้องได้รับโอกาสแก้ต่าง พยานหลักฐานของเจ้าชายหมดแล้วใช่หรือไม่"

   "ได้ ... ข้าจะให้โอกาสมันแก้ต่าง"

   เจ้าชายถลึงตามองดูขุนพลฟาร์อีสต์ด้วยสายตาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะขุนพลผู้นี้เอาแต่ขัดใจไม่ยอมทำตามเจ้าชายวิลเลี่ยมมาตั้งแต่ต้นนั่นเอง

   ขุนพลฟาร์อีสต์คล้ายมองไม่เห็นท่าทียะโสโอหังของเจ้าชายวิลเลี่ยม เขาเพียงเดินมามองดูพยานทั้งสี่นาย ก่อนจะเดินมายืนที่เบื้องหน้าของแม็กพร้อมกับเอ่ยถาม

   "เอาล่ะ เจ้าได้ยินข้อกล่าวหา และคำให้การพยานหมดแล้วซินะ เจ้ามีอะไรแก้ต่างให้ตัวเองก็จงรีบแสดงออกมา เจ้าชื่ออะไร?"

   "ผมชื่อ แม็ก กายเวอร์ครับ ผมขอขอบคุณท่านขุนพลฟาร์อีสต์ที่มาเป็นคนกลางช่วยคืนความยุติธรรมให้ และขอบอกกล่าวเป็นการส่วนตัวว่าผมยินดีมากที่ได้พบเจอกับขุนพลผู้เป็นตำนานของเมืองนี้ ผมอ่านประวัติศาสตร์เรื่องราวหนึ่งอัศวินต้านข้าศึกนับหมื่นเพียงลำพังบนสะพานนานถึงแปดชั่วโมงแล้วรู้สึกประทับใจมาก และเมื่อได้พบกับตำนานตัวจริงผมก็ยิ่งรู้สึกประทับใจมากยิ่งกว่า"

   แม็กก้มศีรษะแสดงความเคารพ ทั้งยังสวมวิญญาณแฟนพันธุ์แท้ตำนานของขุนพลฟาร์อีสต์ได้อย่างแนบเนียนยิ่ง ซึ่งนี่ก็นับเป็นความสามารถอย่างหนึ่งของเขาอยู่แล้ว เขาสามารถกะล่อนเอาใจผู้หญิงได้อย่างตรงจุดเพราะรู้จักสังเกตคาดเดานิสัย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะพูดเอาอกเอาใจผู้ชายไม่ได้ เขาเพียงแค่ไม่คิดจะทำเท่านั้น

   ในช่วงที่มีการบรรยายอันน่าเบื่อนั้น แม็กได้ทำการสืบค้นข้อมูลของฟาร์อีสต์เพราะอยากรู้ว่าเกี่ยวข้องกับเซเฟียอย่างไร และเขาก็ได้ค้นพบข้อมูลที่น่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับเกียรติยศและศักดิ์ศรี รวมถึงเรื่องราวเล่าขานในตำนานที่ว่าฟาร์อีสต์ต้องยืนต้านทานกองทัพนับหมื่นบนสะพานนานถึงเจ็ดชั่วโมงเพื่อซื้อเวลาให้ชาวบ้านอพยพหนี และเรื่องราวนี้ก็นับเป็นสุดยอดแห่งเกียรติยศที่ฟาร์อีสต์ภูมิใจที่สุด

   ไม่มีใครไม่ชอบคำชม หากจะมีก็แสดงว่าคำชมนั้นไม่ตรงจุดไม่ตรงประเด็น คำชมของแม็กนั้นตรงจุดและตรงประเด็นอย่างยิ่ง และนั่นก็ทำให้ดวงตากร้านชีวิตของขุนพลฟาร์อีสต์ทอประกายอบอุ่น แม้แต่ริมฝีปากก็แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยความภาคภูมิใจแห่งเกียรติยศ จึงไม่แปลกหากว่าจิตใจของท่านขุนพลจะเอนเอียงไปทางแม็ก

   "นั่นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ตอนนี้เจ้ารีบแก้ต่างให้ตัวเองก่อนดีกว่า หากว่าตอนนี้เจ้าไม่มีพยานหรือหลักฐาน ข้าจะจัดส่งทหารไปกับเจ้าเพื่อหาพยานหลักฐานเหล่านั้น เจ้าพร้อมจะแก้ต่างตอนนี้หรือไม่"

   ขุนพลฟาร์อีสต์กล่าวด้วยน้ำเสียงเอ็นดูเหมือนผู้ใหญ่กับบุตรหลานออกมาโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งความหมายในคำพูดยังสื่อออกมาอย่างชัดเจนว่า จะช่วยกางปีกปกป้องความปลอดภัยให้ อย่างน้อยก็ในช่วงระยะของการหาหลักฐานพยานมาลบล้างข้อกล่าวหา

   "ขอบคุณครับท่านขุนพล ผมพร้อมจะแก้ต่างเลย แต่ผมขอถามอะไรให้ชัดเจนอีกหน่อยได้มั้ยครับ" 

   "แน่นอน เชิญเจ้าได้เลย"

   แม็กแสดงท่าทางขอบคุณแล้วเดินไปหยุดยืนที่ด้านหน้าของพ่อค้าทั้งสอง จากนั้นพ่อค้าทั้งสองก็รีบก้มหน้าลงมองพื้นเหมือนไม่กล้าสู้หน้า ทำให้แม็กทราบว่าทั้งสองคงจะโดนข่มขู่บังคับให้มากล่าวหาเขา

   "ผมขอถามคุณพ่อค้าทั้งสองหน่อยครับ พวกคุณบอกว่ามีคนไปขายของพวกนี้ให้พวกคุณตอนบ่ายก่อนเทศกาลค้าทาสใช่มั้ย?"

   "เอ่อ ... ใช่ ... มีคนเอาของพวกนี้ไปขายให้พวกเรา"

   "ตอนนี้เราเพิ่งพบหน้ากันครั้งแรก ... พวกคุณลองมองผมหน้าผมให้ชัด ๆ แล้วช่วยยืนยันหน่อยว่าคนนั้นเป็นผม หรือว่าเป็นแค่คนคล้ายกับผม?"

   "... เอ่อ ..."

   แม็กฉวยโอกาสใช้คำพูดทางจิตวิทยาเพื่อหลอกล่อขณะที่พ่อค้าทั้งสองยังสับสนลังเล เมื่อพ่อค้าได้ยินประโยคนั้นก็พากันเงยหน้าเพ่งดูใบหน้าของแม็กราวกับว่าเพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรก การกระทำที่ย้อนแย้งกับข้อกล่าวหานี้จึงทำให้เหล่าผู้ไม่เกี่ยวข้องเริ่มสงสัยไม่แน่ใจว่า ที่แท้แล้วพ่อค้าทั้งสองเคยเจอหน้าของแม็กมาก่อนหรือไม่

   "เจ้าโจรชั้นต่ำบัดซบ เจ้ากำลังพูดชี้นำพยาน"

   เจ้าชายฉลาดพอที่จะอ่านการกระทำนี้ออก จึงรีบส่งเสียงตวาดด้วยความเดือดดาล และเสียงนั้นก็ทำให้พ่อค้าทั้งสองได้สติว่าเผลอกระทำเรื่องไม่สมควรลงไปแล้ว ดังนั้นพ่อค้าทั้งสองจึงรีบก้มหน้าลงมองพื้นดินใหม่อีกครั้ง

   แม็กหันไปมองส่งสายตาให้ขุนพลฟาร์อีสต์ซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะจับประเด็นความน่าสงสัยข้อนี้ได้เช่นกัน แม็กจึงเดินมาหยุดที่เบื้องหน้าของพ่อค้าทั้งสอง แล้วถามด้วยคำถามเดิมอีกครั้ง

   "พวกคุณช่วยยืนยันหน่อยซิครับ ว่าคนที่ไปขายของให้นั้นเป็นผม หรือว่าคล้ายกับผมกันแน่"

   "พวกเรา ... พวกเราไม่แน่ใจ ... แต่เหมือนว่าจะคล้ายมากทีเดียว"

   สองพ่อค้าแสดงท่าทีกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังหันไปมองดูเจ้าชายด้วยสายตาขอความเมตตา หากทว่าเมื่อเจ้าชายส่งสายตาเหี้ยมเกรียมมาให้ สองพ่อค้าก็ตัวสั่นเทิ้มและเอ่ยปากตอบแบบไม่กล้าชี้ชัดเจาะจงออกมา

   "สรุปว่าคล้ายนะ เอาล่ะคราวนี้คุณเรย์ คุณเป็นทหารยามซินะ คุณบอกว่าคุณเฝ้ากำแพงวังฝั่งทิศเหนือ แล้วเห็นโจรตาสีฟ้าหนีออกมาจากทางที่รับรองของเจ้าชายวิลเลี่ยม คืนนั้นเป็นวันอะไรครับ ช่วยยืนยันหน่อย"

   "... มันเป็นคืนก่อนวันเทศกาลค้าทาส"

   "ขอบคุณครับคุณเรย์ สรุปว่าพวกคุณบอกว่าคืนก่อนวันเทศกาลค้าทาส มีโจรตาสีฟ้าไปขโมยของ จากนั้นบ่ายวันถัดมาก็เห็นคนหน้าตาคล้ายกับผมเอาของมีตราราชวงศ์ไปขายที่ร้านของพ่อค้าทั้งสองนี้ เหตุการณ์ทั้งสองนี้เกิดขึ้นก่อนค่ำคืนเริ่มงานเทศกาลค้าทาส ผมสรุปถูกมั้ยครับ?"

   แม็กรับฟังด้วยรอยยิ้ม เขาหันมองดูทหารยามสลับกับสองพ่อค้า จนพวกเขาเริ่มแสดงท่าทีลุกลี้ลุกรนไม่เป็นสุข เพราะว่าท่าทางของแม็กนั้นดูสบายไม่ทุกข์ร้อนเกินไป ไม่ว่าใครก็ต้องดูออกว่าผู้ถูกกล่าวหาคนนี้มีอะไรบางอย่างที่สามารถยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองได้อย่างแน่นอน

   "เอาล่ะครับ งั้นผมขอถามอีกอย่างเดียว ท่านขุนพลฟาร์อีสต์ครับ ผมอยากทราบว่ากฎหมายของเมืองนี้มีบทลงโทษอย่างไร สำหรับคนที่ให้ความเท็จในการสืบสวน"

   คำถามนี้ทำเอาทหารยามและสองพ่อค้าสะดุ้งโหยง พวกเขาเบิกตากว้างรอคอยรับฟังคำตอบของขุนพลฟาร์อีสต์ด้วยความแตกตื่น เพราะทั้งสามต่างก็เป็นคนธรรมดาที่เกรงกลัวต่อข้อกฎหมาย และท่าทางของทั้งสามคนนี้ย่อมไม่รอดพ้นไปจากสายตาของผู้สังเกตการณ์ที่อยู่โดยรอบ พวกเขาเริ่มรู้สึกแล้วว่าพยานทั้งสามปากนี้เชื่อถือไม่ได้

   "นั่นขึ้นกับข้อกล่าวหา ข้อกล่าวหาลักทรัพย์ราชวงศ์ บุกรุกเข้าวังมีโทษถึงตาย หากพยานเจตนาให้การเท็จก็ต้องมีโทษถึงตายเช่นเดียวกัน"

   ขุนพลฟาร์อีสต์ที่ผ่านโลกมาเยอะย่อมเข้าใจเรื่องราวได้ดีกว่าใคร เขาจึงบอกบทลงโทษออกมาด้วยน้ำเสียงขึงขังจริงจังคล้ายข่มขู่อยู่บ้าง และผลก็คือพ่อค้าทั้งสองถึงกับแข้งขาอ่อนยืนไม่อยู่ร่วงลงไปนั่งคุกเข่าตัวสั่นเทิ้มราวกับนักโทษรอการประหาร ส่วนทหารยามนั้นแม้จะไม่ถึงกับล้มลงไปกองกับพื้น แต่ก็ยืนตัวสั่นงั่นงกน่าสงสาร

   การโดนกดดันในระดับนี้ ปกติแล้วพยานทั้งสามคงจะรีบสารภาพแก้ตัวว่าโดนบีบบังคับแล้ว หากทว่าเจ้าชายวิลเลี่ยมนั้นมีอำนาจมากเกินไป หากกระทำเช่นนั้นต่อให้รอดจากโทษประหารไปได้ พวกเขาจะอย่างไรก็คงไม่รอดจากการโดนอำนาจมืดไล่ล่าอยู่ดี ดังนั้นพวกเขาทั้งสามจึงไม่สามารถเลือกทางใดได้เลย

   "โทษแรงขนาดนี้ ไม่น่าจะมีคนกล้าโกหกนะครับ ผมเชื่อว่าทั้งสามคนนี้น่าจะไม่ได้โกหก พวกเขาอาจจะแค่เข้าใจผิดบางอย่าง แต่ผมก็ต้องขอปฏิเสธข้อกล่าวหา เพราะว่าผมมีพยานที่พิสูจน์ได้ว่าช่วงเวลาก่อนเริ่มเทศกาลค้าทาสนั้นผมไม่ได้อยู่ในเมือง"

   แม็กคล้ายจะเข้าใจในสถานการณ์ของทหารยามและสองพ่อค้า เขาจึงเดินเข้ายิ้มให้และตบไหล่เบา ๆ พร้อมกับพูดเป็นเชิงช่วยเหลือว่าทั้งสามน่าจะไม่ได้โกหก แต่คงเกิดจากการเข้าใจผิด และเขาก็เลือกที่จะไม่กล่าวโทษย้อนไปทางเจ้าชายด้วย เพราะคิดคำนวณแล้วด้วยระดับอำนาจของเจ้าชายต่อให้กล่าวโทษไป ก็คงไม่ได้อะไร และหากจะกล่าวโทษพยานทั้งสามปากนี้ก็ต้องโดนตัดสินว่าให้การเท็จเสียก่อน

   คำปฏิเสธของแม็กทำให้เจ้าชายต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะแผนการณ์ใส่ร้ายที่จัดฉากนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าแม็กจะต้องไม่มีพยานยืนยันสถานที่อยู่อันชัดเจนในช่วงเวลานั้น ดังนั้นเจ้าชายจึงเลือกช่วงเวลาก่อนเริ่มงานเทศกาลค้าทาส เพราะมีพยานมากมายที่ระบุได้ว่าแม็กปรากฎตัวอยู่ในงานค้าทาส และหากจะบอกว่าเทพธนูอยู่ในเมืองตอนบ่ายก่อนเริ่มงานก็ถือว่าสมเหตุสมผล

   "หึ หึ พยานงั้นเรอะ พยานของเจ้ามีความน่าเชื่อถือเพียงใดกัน อย่าบอกว่าเจ้าแค่จะหาใครสักคนมาพูด แล้วเจ้าจะพ้นมลทิน"

   เจ้าชายรีบออกตัวป้องกันไว้ก่อน ซึ่งที่เจ้าชายพูดนั้นก็ถูกต้อง หากหาใครก็ได้สักคนมายืนยันนั้นไม่ได้ยากมากนัก แต่คนผู้นั้นจะต้องมีความน่าเชื่อถือเพียงพอให้คนอื่นรับฟังด้วย

   "แน่นอน พยานของผมเป็นคนมีเกียรติมีศักดิ์ศรีแห่งอัศวิน เธอสามารถยืนยันได้ว่าช่วงเวลาก่อนงานเทศกาลค้าทาสนั้น ผมไม่ได้อยู่ในเมืองนี้ เพราะออกไปทำธุระกับเธอในอีกมิติ ... เซเฟีย ... รบกวนช่วยยืนยันหน่อยนะ"

   แม็กมองดูเจ้าชายด้วยดวงตาคล้ายเยอะเย้ย ก่อนจะหันมองไปโดยรอบพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคงเยือกเย็น จากนั้นเขาจึงค่อยหันไปมองเซเฟียสาวสวยนักธนูซึ่งยืนอยู่ห่างจากขุนพลฟาร์อีสต์ไม่ไกลนัก

   เวลานี้ทุกสายตาพากันหันไปมองดูเซเฟียด้วยความสงสัย เซเฟียที่ยืนอยู่จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ดูเหมือนว่าเธอจะพอคาดเดาได้อยู่แล้ว ว่าเธอสามารถเป็นพยานให้แม็กได้ เธอจึงไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางแปลกใจออกมาเท่าใดนัก เพียงแต่ภายใต้ใบหน้าที่ปั้นเย็นชานั้นมีความรู้สึกร้อนวูบขัดเขินเล็กน้อยเมื่อนึกได้ว่าช่วงเวลาก่อนงานเทศกาลค้าทาสนั้น เขาและเธอได้ทำอะไรกัน

   "ใช่ ข้าเซเฟีย เรเวร่า องครักษ์ระดับหนึ่ง และหลานของท่านขุนพลฟาร์อีสต์ ขอยืนยันด้วยเกียรติยศและศักดิ์ศรีของข้า ว่าช่วงเวลานั้นชายผู้นี้ไม่ได้อยู่ในเมือง"

   นั่นเป็นเสียงประกาศอันมั่นคงเสียงหนึ่ง ซึ่งแตกต่างกับท่าทีลนลานหวาดกลัวของทหารยามและสองพ่อค้าอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นไม่ต้องมีการประกาศคำตัดสินออกมา ทุกคนก็รับรู้ได้ว่าแม็กไม่ผิด ทั้งยังโดนกล่าวหาโดยเจ้าชายวิลเลี่ยมอย่างไม่เป็นธรรม หากทว่ายังไม่มีใครกล้าออกปากทวงถามความยุติธรรมจากเจ้าชายเอาแต่ใจผู้นี้

   "พวกเรากลับ"

   เจ้าชายวิลเลี่ยมแม้จะหน้าหนาพอสมควร แต่ก็ยังทานทนต่อสายตาที่จับจ้องมองมาไม่ได้ เขาจึงยกมือให้สัญญาณถอนทัพ วิ่งนำพาทัพม้าเกราะเหล็กออกไปจากค่ายทหารโดยไม่หันมามองหลังแม้แต่น้อย แม้แต่ทหารยามและพ่อค้าทั้งสองที่บังคับมาเป็นพยานก็ทิ้งเอาไว้ตรงนั้น นี่เป็นความพ่ายแพ้อันน่าอดสูอีกครั้ง สำหรับว่าที่องค์ราชาของเมืองแกร่งแบล็คฟอร์ด และเจ้าชายย่อมสบถสาบานในใจว่าเรื่องราวจะยังไม่จบลง

   "ขอบคุณเซเฟีย ... ขอบคุณท่านขุนพลฟาร์อีสต์ ... เอ๊ะ"

   แม็กยืนมองดูเจ้าชายจากไปด้วยด้วยรอยยิ้มของชัยชนะ จากนั้นก็หันมาส่งสายตากรุ้มกริ่มขอบคุณต่อเซเฟียจนเธอหน้าแดงก่ำ แต่เมื่อหันมาทำท่าจะขอบคุณท่านขุนพลฟาร์อีสต์ แม็กก็สัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่พุ่งออกมา พร้อมกับมือแกร่งที่ขยับมาโอบไหล่ของเขาด้วยท่าทางคล้ายจะสามารถลงมือฆ่าฟันได้ทุกเมื่อ

   "เดี๋ยวเราไปหาที่คุยกันเงียบ ๆ และเจ้าลองบอกกล่าวให้ชัดเจนหน่อยซิ ว่าเจ้าไปทำธุระอะไรกับหลานสาวสุดที่รักของข้ามากันแน่"

   ฟาร์อีสต์พูดพร้อมกับปล่อยแรงกดดันจนแม็กกลืนน้ำลายดังอึก เมื่อครู่เขาอุตส่าห์แก้ไขสถานการณ์ได้ด้วยแผนการณ์ แต่เขาเองก็ลืมคำนวณไปว่าแผนการนี้จะทำให้เขาต้องมาเจอกับไฟพิโรธของคุณลุงหวงลูกสาวเข้าให้

..................................
( เพิ่มเติมเนื้อหา 25/8/2559 )
เวปส่วนตัว - http://www.novel008.com
Discord - https://discord.gg/DkT2Mf8q

akine


areja

#2
 ( เพิ่มเติมเนื้อหา 25/8/2559 )

          ขอฝากกฏหน่อย ยังมีพวกไม่อ่าน กฏ ก่อนรีพลาย

การตอบ รีพลายอย่าง พอเหมาะพอควรถ้าเจ้าของกระทู้แจ้งมา จะพิจารณา เป็นรายกรณี

ถ้าตอบ เช่น zzzzddd xxxx2222 อิอิ,ลุ้นๆ,555, ดีดี,ดี, ต่อ,ติดตาม,ty,thx,thx kub(Thx ขี้หมาThanx พิมพ์ไม่ถูก
ห้ามใช้ทุกกระดานที่ฉันดูแล
),ใจจร้า,ใจครับ,แจ่ม,เยี่ยม,สนุกดี,สุดยอด,อ่านต่อ,Good (เฉยๆ)
emo  ::Crying:: เปล่าๆ
อาจเตือนเห็นอีก ถ้าเตือนไปแล้ว ผิดซ้ำซากก็จะแบนเหมือนกัน รีพลายตอบซั่วๆ ตอบแล้ว mod ไม่เข้าใจ จะโดนแบนทันที
มักง่ายต่างๆ จะแบนครั้งแรก 3 เดือน คราต่อไปแบนยาวขึ้น แล้วจะหายเมื่อไม่ปรับปรุง

พวก ก๊อปตอบ รัวๆรวดเดียวเป็น 10 กระทู้ โพสต์ละ 1 นาทีนะเจอจะ แบน ถ้ามักง่ายเช่นนี้  ถือว่าไม่ให้เกียรติ
คนแบ่งปัน/คนลงงาน..ยังไม่อ่านมักง่าย ก๊อปตอบ เปิดรัวๆ ประโยคเดียวเป็น 10 มันควรหรือ?และห้ามใช้
ข้อความจากระบบตอบรีพลายเด็ดขาด มักง่ายประเภทเดียวกับก๊อปตอบ (อนุโลมใช้ได้ เฉพาะตอนให้คะแนนเท่านั้น)

แบน 90 วัน ครั้งต่อแบนเพิ่มขึ้นอีก และ หายจากบอร์ด


          และ ตอบซ้ำมาหลาย ดอกใน กระทู้เดียวกัน นะอาจโดนพักใช้ได้เหมือนกัน เมื่อ คุณได้โพสต์แล้ว
มันคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากปั้มกระทู้ ระวังหน่อย โดนลบบ่อยๆ จะแบนนะรู้ไหม?
,


            ผลงานที่ สมาชิก อุตสาห์ นำมาลง ไม่ว่าจะเขียนเอง หรือขอมาลงล้วนได้มาด้วยการสละเวลา
            ถ้าจะตอบมามักง่ายอย่างนั้น..ก็ อย่าใช้ห้องนี้ เสพผลงานเลยไปหาเสพที่ใดแล้ว รีพลายตอบ
            อย่างนั้นได้ ก็ไป..มา เปรี้ยว มา เกรียน ลอง  สด ,เก๋า อย่าเลย จะเสียน้ำใจเสียความรู้สึกเปล่าๆ
            เพราะถึงคุณมี 100 ยูส 1000 ชื่อ ถ้ารีพลายผิดกฏ-กติกากระดานนี้ ฉัน ก็จะแบนหมด

...................................................................

ถ้าถูกแปะเตือนที่ กระทู้คุณและส่งไปที่ pm คุณ จงรีบปรับปรุงรีพลายซะ ขอบคุง ขอบหี ขอบควย ขอบหมา ขอบแมว
ขอบคุน
เตือนนะอย่าลองของ ใครโดนเตือนไปให้ปรับปรุงการรีพลายเจอ ครั้ง 2 จะลบทุกกระทู้ที่ตอบ และพบอีกรอบ
แบน 3 เดือนเหมือนโทษ ป้วนเกรียนอื่นๆ....

คำขอบคุณยังเขียนไม่ถูกความหมายจะถูกไหม? ที่ต้องมาเข้มงวดเรื่องนี้ เพราะชักเยอะพวกมักง่าย เยอะ
ไรต์ คนลงงาน ก็ติมาด้วย..เครนะ ขอกันดีๆ จะไม่โดนลบของเก่าทิ้ง แต่ยังรีพลายอีก ถ้าเตือน เตรียมหาที่อ่านใหม่เลย..
แว่น ยกตัวอย่างคำ ขอบคุณเขียนไม่ถูกชัดไหม?

ใคร ขอบคุณ รีพลาย เขียนไม่ถูกต้องแบนแล้วนะ ให้โอกาสเตือน 1 ครั้ง ..เดือนที่ผ่านมาแปะบอกล่วงหน้าเพื่อปรับตัวกันมาพอล่ะ..
มันเป็นคำขอของ ไรต์ และ คนลงงาน เรื่องความมักง่าย เพราะ ขอบคุณ เฉยๆก็ดูเอียนจริงๆ แต่ก็เป็นคำสากลในการตอบแทนน้ำใจ
ฉะนั้น ขอเถอะเขียนให้ถูก เมื่อต้องปรับเปลี่ยนก็ต้องคล้อยตามกัน กฏไม่ได้ใช้กับใคร? เพียงคนเดียว และไม่ยากเกินไปเนอะ
คิดว่าสร้างมาตรฐาน กันใหม่อีกสิ่ง ถ้ายากก็ไม่ต้องเข้ามาใช้ กระดานนี้ เพราะ ฉัน แบนแน่.. 

อ๋อ thx ขี้หมานี้หรือ เขียนไม่ครบ thank กระดาน แว่น ดูแลอย่าให้เห็นนะ แบน ย้ำซะขนาดนี้พิมพ์มาอีกถือว่าลอง

กฏที่ว่างนี่ไม่ได้เขียนเอาฮา เนอะ แบนจริงใครอยู่นานแล้วคงรู้จัก แว่น ดี..คิดว่า ฉัน แบนจริง
หรือเตือนเอาสนุกเล่นๆ..อย่าๆ จะเสียความรู้สึก ด้วย รีพลาย คุณเองเลย เขียน ขอบคุณ ให้ถูก
ทำตามเงื่อนไข ยากอะไร หรือ จะโชว์เกรียน..เตือน,ขอร้อง,ขอความร่วมมือแล้ว
ไม่รักษาสิทธิ์-ประโยชน์คุณเอง ก็แบนไป..



gotoseep

รู้สึกว่าเนื้อหามีไม่ครบนะครับ
แต่ก็ขอบคุณครับ

newautonomous

แค่ว่าที่พ่อตามาพูดกับว่าที่ลูกเขยเฉยๆ ไม่มีไรมาก...... ขอบคุณครับ

sintosin

เสียดายมาไม่ทันอ่านฉบับเต็ม