ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_darky

พรหมลิขิต ผิดคิว 14

เริ่มโดย darky, มกราคม 18, 2010, 12:02:41 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

darky

แก้ไขล่าสุด darky เมื่อ 2010-1-18 12:04

ตอนที่ 14   โดย  ช.ชัชวาลย์
"แม่งเอ้ยย..... ไม่น่าเผลอตัวหลงกลเล้ยย.. พับผ่าสิ" วีรพลสบถคำออกมา พลางทุบพวงมาลัยอย่างแรง ในขณะที่ขับรถออกมา ธนธรณ์ถึงกับสะดุ้ง เขาแทบไม่เคยได้ยินคำนี้ ออกจากปากเพื่อนคนนี้เลย ดูเขาจะหัวเสียอย่างมาก
"เฮ่ยๆ เย็นๆ สิพล คิดไรมากน่า ถือซะว่าเราแค่สนุกกัน เมย์เขายังไม่คิดมากเลย แล้วแกทำไมต้องเดือดดาลด้วยว่ะ หรือแกเกิดกลัวขึ้นมาว่าแกนอกใจพี่ภาเค้า อย่าหัวโบราณน่า เดี๋ยวนี้โลกยุคไหนแล้ว"
"มันอดคิดไม่ได้นิหว่า แกรู้ สงสัยตั้งแต่แรกก็ไม่ยอมบอกกันเลย หน๊อย สงสัยอยากจะจ้ำจี้กับแม่วัวพันธุ์เนื้อนมไข่มากละสิ ทำเป็นเงียบเฉย แกเองก็ไม่น่าจะทำงี้ เหมือนนอกใจน้องแพรนะเว้ยยย"
"เราไม่ได้มีเจตนาตั้งใจทำนิหว่า ยาออกฤทธิ์ ของขึ้น ใครจะทนได้ ยัยเมย์ก็คงคิดอยากเขมือบข้าวหลามหนองมนของแกมานานมั้ง ถึงขนาดลงทุนทำอย่างนี้ แกเองก็ทำเป็นพูดดีไป หน๊อยยย ทีตอนนั้นเห็นซอยยิกๆ ซะสองยัยนั่นร้องลั่นห้อง ผู้ชายอ่ะ มันก็มีบ้างแหละว้า ที่อาจผิดพลาด พลั้งเผลอใจไปบ้าง แต่ยังไงผู้หญิงที่เราคิดจะอยู่ร่วมด้วยชั่วชีวิตก็คือหญิงที่เรารักหมดหัวใจเพียงคนเดียวนะ อย่าคิดมากให้เยี่ยวเหลือง เปลืองสมองหน่อยเลยน่า มันจบแค่นี้ ไม่มีอะไรต่อ โอเค๊..." ฟังเพื่อนพูดแล้ว วีรพลก็ยังไม่ค่อยสบายใจอยู่ดี แต่ก็ลดความเดือดดาลลงไปมาก ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ธนธรณ์เห็นเพื่อนอาการยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ ก็มองหน้าขำๆ ล้อๆ
"แต่แกนี่มันมีพรสวรรค์เรื่องบนเตียงจริงๆ ว่ะ เผลอไม่เท่าไหร่ จากระดับอเมเจอร์ โนเนม จะพาสชั้นขึ้นเป็นโปรฯ เลยนะเนี่ย.....ไอ่พล หูยย... แบบนี้ แกคงได้หวดสวิงกับพี่ภา ตีลูกหยอดหลุมทำโฮลอินวันเป็นว่าเล่นแน่ๆ ฮ่าๆๆๆ" วีรพลเริ่มอารมณ์ผ่อนคลายลง อดขำไปกับการเปรียบเปรยของเพื่อนด้วยไม่ได้
"ไอ่บ้า!! เมียนะเว้ย ไม่ใช่หลุมกอล์ฟ แกก็ว่าไปนั่น"
"หืมม...... เด๋วนี้เรียกเมียเต็มปากเลย ก่อนนี้ยังพ่อแง่แม่งอนกันอยู่นิ แม๊ แกนิ เสือปืนไวนิหว่า เรามาแข่งกันมะ ใครจะมีลูกก่อนกัน ถ้าแกมีก่อนชั้นจะมอบสร้อยทับทิมสวยๆ สักเส้น คัดเลือกเอาอย่างดีเลยไว้รับขวัญหลาน แต่ เอ.... ถ้าชั้นชนะ จะได้อะไรจากแกหว่า....."
"ไม่มีเว้ยย แกท้าพนันเอง ชั้นไม่อยากแข่งด้วยหรอก พ่อหนุ่มเพลย์บอย" "หื้ยยยย... คร้าบ พี่สุภาพบุรุษ พ่อรักเดียวใจเดียว".........


คืนนั้น ธนธรณ์ค้างที่บ้านวีรพลด้วยเพราะดึกมากแล้วแถมอ่อนเพลีย ตื่นเช้าจึงจะกลับไปเอารถที่จอดค้างที่โรงแรม แล้วค่อยกลับบ้านญาติ สองหนุ่มตื่นมาอีกที เกือบเที่ยงของวันอาทิตย์ จากเสียงแจ๋วๆ ของมีน
"พี่โอ๊ตๆ ตื่นได้แล้ว จะเที่ยงแล้ว อ้าว!! พี่ธรก็นอนนี่ด้วย อี๋ยยย ไปดื่มกันมาอีกสิเนี่ย กลิ่นหึ่งเชียว ไปอาบน้ำได้แล้ว ทั้งคู่เลย คุณพ่อคุณแม่รอทานข้าวอยู่"
"โห่... มีน ทำเป็นบ่นเป็นคุณแม่ไปได้ กำลังนอนสบายอยู่เลย เมื่อคืนเจอขนานหนักไปหน่อย ขอนอนต่ออีกหน่อยไม่ได้เหรอก้าบบ แม่มีน" ธนธรณ์งัวเงียขึ้นมา มองเห็นน้องสาวเพื่อน คู่กัดเก่าขาประจำตั้งแต่เขาเรียนมหาลัย เลยแกล้งเย้าซะหน่อย
"ไม่ต้องเลย พี่ธร พี่นั่นแหละ พาพี่หนูไปเสียคน ยังจะมาพูดดีอีก" มีนมองหน้าธนธรณ์โต้ตอบ เชิดหน้าใส่
"อ้าว เฮ่ยย แหม เด๋วปั้ดจับตีก้นเลย กล่าวหากันชัดๆ เออ... จะเที่ยงแล้วนิหว่า ป๊ะๆ พล รีบไปอาบน้ำกันเถอะ เดี๋ยวพ่อแกรอทานข้าว ชั้นก็จะรีบไปเอารถ จอดทิ้งไว้แต่เมื่อคืนล่ะ"
ที่โต๊ะทานข้าว มีวีรวัฒน์ อรทัย วีรพล ธนธรณ์ และก็มินตรา โดยมีป้านิ่มคอยดูแลกการจัดสำรับอยู่ห่างๆ สองพ่อลูกเพิ่งได้พบกันมื้อนี้เอง ต่างก็พากันคุยไปด้วยทานไปด้วย ธนธรณ์ก็สรรหาเรื่องมาเย้าแหย่ ยียวนมินตราซึ่งเขาก็รักเธอเหมือนน้องสาวคนนึงเหมือนกัน แต่มักจะชอบกวนประสาทสาวน้อยให้อารมณ์ฉุนเฉียว โต้ตอบคารมเขาอยู่แว้ดๆ อยู่ตลอดเวลา วันนี้ก็เช่นกัน ทำให้ทุกคนสนุกสนานครื้นเครง จะมีแต่อรทัยเท่านั้นทำตาขวางไม่ชอบใจ ยิ่งโดยเฉพาะกับวีรพลไม่ว่าเขาจะพูดอะไร หล่อนเป็นต้องหาเรื่องขัดไปซะทุกเรื่อง จนทำให้ทุกคนเริ่มอึดอัด จนทานอาหารเสร็จ อรทัยก็เตรียมตัวออกจากบ้านไปส่งมินตราไปโรงเรียนกวดวิชา ส่วนธนธรณ์ กลับไปเอารถที่โรงแรม และกลับบ้านญาติ และได้นัดให้วีรพลไปเจอกันที่บางกะปิ เพื่อเดินทางกลับจันทบุรี คงเหลือแต่วีรวัฒน์กับวีรพลสองพ่อลูก ทั้งสองจึงได้มีโอกาสคุยกัน
"ลูกมาก็ดีแล้ว พ่อก็มีเรื่องอยากจะคุยด้วย หลายเรื่องทีเดียว"
"ครับพ่อ พ่อดูหมองๆ ไปนะครับ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า โอ๊ตต้องขอโทษพ่อด้วย ที่ไม่ค่อยได้ติดต่อมาเลย คิดๆ ไปแล้วผมก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่ทิ้งพ่อไปแบบนี้"
"ไม่ต้องขอโทษหรอก พ่อกลับภูมิใจเสียอีกที่โอ๊ตเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ รู้จักพึ่งตนเอง ไม่เหมือนตอนเด็กๆ เล้ย เอาแต่ร้องไห้งอแง อ้อนพ่อแม่ท่าเดียว พ่อต่างหากที่ต้องขอโทษโอ๊ต ที่ไม่สามารถให้ความรักความอบอุ่นแก่ลูกเหมือนคนอื่นๆ ต้องขาดแม่ไป พ่อเองก็เสียใจไม่น่าหลงผิดเชื่อคนง่าย แถมด่าประณาม ขับไล่วัลวิภาเสียจนเค้าคงโกรธพ่อไม่อยากกลับมาอีก ถึงขนาดขายมรดกที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้หมดทุกอย่าง ไม่ยอมเอาทรัพย์สินที่บ้านพ่อไปสักอย่างเลย แล้วหายไปไม่มาตามหาลูกอีกเลย หลังจากพ่อส่งลูกไปอยู่กับลุงวีรชัยที่เชียงใหม่"
"ช่างเถอะครับพ่อ ถึงผมจะคิดถึงแม่แค่ไหน แม่ก็ไม่มีวันกลับมาแล้ว ผมไปอยู่กับลุงก็ว่าดีแล้ว คุณลุงได้สอนอะไรหลายอย่างให้ผม ทำให้ผมเข้มแข็ง และไม่ต้องมาทนทรมานกับการชิงชังของน้าอรทัย ผมอยากรู้เหมือนกัน ผมไปสร้างเวรกรรมอะไรไว้กับน้า เค้าถึงได้ชิงชังผมขนาดนี้ แต่ไม่เป็นไรครับ โอ๊ตยังมีพ่อที่รักผมอยู่ มีน้องมีน ผมก็สุขสบายใจแล้ว"
"เอ่อนี่ โอ๊ต พ่ออยากให้ลูกอยู่ต่ออีกสักสองสามวัน พ่ออยากจะวางมือแล้ว อยากให้โอ๊ตรับช่วงต่อจากพ่อ ตอนนี้พ่อวางแผนทำพินัยกรรมเอาไว้ให้ลูกแล้ว โอ๊ตจะว่ายังไง"
"ทำไมละครับ พ่อรีบร้อนอะไรถึงทำแบบนี้ คุณน้าอรทัยก็ยังอยู่"
"สุขภาพพ่อมันแย่ลงทุกที พ่อรู้ตัวดี โรคหัวใจกับความดันมันเริ่มออกอาการกำเริบหนักแล้ว ลูกเป็นหมอ น่าจะรู้ดีนะ หนักขึ้นอาจจะมีเบาหวานเพิ่มมาอีก"
"ห๊าาา ทำไมผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่าพ่อเป็นโรคนี้ อย่างนั้นก็เถอะ พ่อน่าจะมอบให้น้าอรทัยกับน้องมีนนะครับ"
"แรกๆ พ่อไม่อยากให้ใครเป็นกังวล ส่วนอรทัยนั่นก็คืออีกเหตุผลหนึ่ง พ่อตามสืบมาระยะหนึ่งแล้ว อรทัยเค้าไม่ซื่อต่อบ้านเราแล้ว เค้านั่นแหละที่ทำให้แม่วัลวิภาต้องออกจากบ้านไป แต่ตอนนี้ยังยืนยันแน่ชัดไม่ได้ โรคของพ่อมันถึงกำเริบแรงขึ้น" วีรวัฒน์เล่าไปด้วยสีหน้าหม่นๆ วีรพลใจหายวาบ ไม่อยากเชื่อว่าอรทัยจะกล้าทำกับพ่อผู้ที่รักและไว้ใจเธอเสมอมา
"มันคงเป็นกรรมของพ่อที่พรากลูกพรากแม่ด้วยใจที่อคติ ไร้เหตุผล มันคงถึงคราวที่ต้องชดใช้แล้ว พ่อเลยอยากยกทุกอย่างที่พ่อมีให้โอ๊ตดูแลแทน ตอนนี้พวกบริษัทเครือข่าย เริ่มมีการเคลื่อนไหว พ่อคิดว่ามันยังไงชอบกล แค่สันนิษฐานเอาว่า จะมีการฮุบหุ้น พ่อว่าอรทัยแน่ๆ พ่อถึงไม่อยากยกให้เค้าไง"
"แล้วน้องมีนละครับ?"
"พ่อรู้ว่าลูกก็รักน้อง เมื่อถึงคราวนั้นพ่อเชื่อใจและมั่นใจว่าลูกจะทำสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม เรื่องนี้พ่ออยากให้มีคนรู้เพียงแค่พ่อ โอ๊ต ทนาย และกรรมการถือหุ้นที่ไว้ใจได้อีกสองสามคนเท่านั้น เมื่อพินัยกรรมเรียบร้อย จึงค่อยประชุมรวมกันทุกฝ่าย ประกาศให้ทุกคนรู้ ช่วงนี้พ่ออยากให้โอ๊ต มาดูแลงานบ้าง พ่อจะได้แนะนำ หรือถ้าเป็นไปได้ ลูกลาออกจากงานที่นั่นแล้วมาทำแทนพ่อเลย โอ๊ตจะโอเคมั้ย?"
"ผมว่าอย่าเพิ่งทำอะไรให้มันกระโตกกระตากดีกว่าครับ จะทำให้ฝ่ายนั้นเค้าไหวตัว อีกอย่างผมก็มีงาน มีบ้าน และก็... เอ่อ มีว่าที่ลูกสะใภ้ของพ่อด้วย พ่อเองก็อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้สิครับ พ่อเองก็เป็นคนแข็งแรง ไม่เป็นอะไรง่ายๆ แน่" วีรพลพูดปลอบใจบิดา ทั้งๆ ที่ในใจเขาชักหดหู่ พ่อต้องมีอะไรในใจมากกว่านี้แน่ๆ ถึงได้ตัดสินใจแบบนี้
"โอ้ นี่ลูกมีแฟนแล้วเหรอ อืมม... ว่างๆ ก็พามาให้พ่อรู้จักด้วยสิ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้ากัน เรื่องตัวของพ่อ พ่อรู้ตัวเองดี โอ๊ตไม่ต้องปลอบใจพ่อหรอก"
ชายวัย 50 ร่างสูง ทะมัดทะแมง ดวงตาเข้มดุ แต่บัดนี้มีท่าทางหม่นหมอง พูดแล้วตบไหล่ลูกชาย สายตามีแววบ่งบอกอะไรสักอย่างแต่วีรพลไม่อาจล่วงรู้ได้ ยิ่งได้เห็นอาการอย่างนี้ วีรพลสะท้านสะท้อนใจเป็นที่สุด......


หลังจากเลิกงาน แพรวาเข้าไปช่วยวิภาวรรณจัดเอกสาร เข้าแฟ้มเรียบร้อย เช็คตารางนัดหมาย เสร็จแล้วจึงเดินลงมาออกจากออฟฟิตมาที่หน้าล้อบบี้ มองเห็นหน้าธนธรณ์ยิ้มแฉ่ง ยืนถือช่อดอกไม้ช่อโตสีสันสวยงาม เมื่อเห็นสองสาวต่างวัยเดินมา ก็เข้าไปทัก แพรวาร้องออกมาอย่างดีใจที่แฟนหนุ่มมารับ พร้อมรับดอกไม้ช่อโต ยืนเกาะแขนธนธรณ์ วิภาวรรณก็แอบดีใจไม่น้อย ตอนนี้หล่อนอยากกลับไปให้ถึงบ้านสวนไวๆ สีหน้าหล่อนระรื่นในที รับคำทักทายสวัสดีจากหมอธนธรณ์
"พี่ภาครับ พลมันโทรติดต่อมาบอกหรือเปล่า"
"หืมม ทำไมละคะ"
"อ้าว แล้วกัน นี่แสดงว่ามันยังไม่โทร.มาบอกละสิ พลมันบอกผมให้กลับมาก่อน มันว่ามีธุระสำคัญที่บ้าน ขออยู่สะสางให้เรียบร้อยซะก่อน คงอีกสักสองสามวันนะครับ ที่โรงพยาบาลก็ฝากให้ผมดูแลในส่วนเคสเร่งด่วน"
"อ่าว.. เหรอคะ แต่พลก็ยังไม่เห็นโทร.มาบอกพี่เลยนิคะ ขอบคุณนะคะธรณ์ที่อุตส่าห์บอกพี่" วิภาวรรณสีหน้าเจื่อนลงถนัดตาบ่งบอกถึงความผิดหวังเล็กๆ แพรวามองเห็น ก็อดสงสารไม่ได้
"พี่หมอคะ ดูสิ พี่ภาหน้าเสียเลย พี่พลนะพี่พล ติดธุระก็น่าจะติดต่อส่งข่าวมั่ง ใจดำจริงๆ"
"ช่างเถอะจ้ะ แพร พลเค้าคงยุ่งอยู่ สงสัยธุระสำคัญจริงๆ ไม่งั้นคงมีเวลาโทร.มาแล้วล่ะ ป่ะ กลับบ้านกันเถอะ ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันล่ะ"
แล้ววิภาวรรณก็ขอแยกตัวกลับบ้าน ปล่อยให้สองหนุ่มสาวเกาะแขนเดินทางกลับบ้านไปอีกทาง วิภาวรรณขับรถไปยังร้านขายของฝากอย่างเลื่อนลอย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาจอดหน้าร้านตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ จอดค้างอยู่นาน จนพนักงานขาย ออกมาดู
"อ้าว!! คุณภาเหรอคะ ก้อยนึกว่าคุณหมอซะอีก แล้วทำไมคุณภาขับรถคุณหมอละคะ เอ๋.....เด๋วนี้ใช้รถคนเดียวกันแล้วเหรอคะนี่ เข้าไปในร้านเถอะคะ มีชาวสวนเค้าจะมาติดต่อฝากผลไม้ขายที่ร้านเราหลายเจ้าเลยคะ ไปเถอะคะ ก้อยให้เค้ารอคุยกับคุณภาอยู่คะ" วรรณวิภาสลัดความรู้สึกเดิมออกไป ลงจากรถเข้าไปในร้าน มีลูกค้าหลายคนรออยู่ เมื่อได้พูดคุยกันลูกค้าแต่ละคนก็อยากเสนอให้วรรณวิภาเป็นตัวแทนส่งผลไม้สด และแปรรูป เข้าไปในกรุงเทพฯ ถ้าหากว่าไปได้สวย น่าจะขยับขยายสาขาเข้าไปในกรุงเทพฯ สักที่หนึ่ง เพราะเมื่อถึงฤดูกาลผลไม้เมืองตะวันออก ผลไม้สดทุกอย่าง ก็กรูกันในเมืองบ้าง มาวางขายข้างถนน บ้างก็เปิดร้านเล็กๆ ชั่วคราว ถ้าขายได้หมดก็ดีไป แต่ส่วนมากจะเหลือ ไม่คุ้มกับแรงที่ชาวสวนทุ่มเท ลูกค้าเห็นว่าร้านของวิภาวรรณมีระบบจัดการที่ดี เธอมีความรู้ความชำนาญทางด้านการตลาด การเงิน น่าจะขยับขยายกิจการ เพื่อเป็นการส่งเสริมรายได้ให้ชาวสวนด้วย หากเป็นไปได้น่าจะทำเป็นตัวแทนจำหน่ายส่งออกไปต่างประเทศด้วย ซึ่งลูกค้าชาวสวนแต่ละรายก็มีสินค้าส่งเข้าร้านได้มากพอสมควรหากวิภาวรรณตกลงจะรับหน้าที่เป็นตัวแทน หล่อนก็รับไว้ขอคิดให้รอบคอบเสียก่อน เพราะถ้าจะทำจริงๆ ต้องดูร้านค้าอื่นประกอบด้วย หล่อนไม่อยากจะเป็นคู่แข่งใคร ที่เปิดร้านมานี้ก็แค่อยากทำเพื่อไม่ให้ตัวเองว่าง จะได้ไม่ฟุ้งซ่านทุกข์ทนกับอดีตที่แสนปวดร้าวของตัวเองเท่านั้น แต่มาบัดนี้ร้านหล่อนก็เริ่มเป็นที่รู้จัก กิจการก็เป็นไปในทางที่ดีขึ้น ลูกค้าต่างก็ฝากความหวังไว้กับหล่อน วิภาวรรณจึงแบ่งรับแบ่งสู้ไว้ วันนั้นการเจรจาใช้เวลานาน จนเกือบประมาณสองทุ่มจึงได้ปิดร้าน แล้วก็กลับบ้านสวน....


ล่วงเลยผ่านมาจนถึงวันศุกร์ ครบสัปดาห์พอดีที่เขาไปกรุงเทพฯ ก็ยังไม่มีวี่แววของวีรพล เขาไม่ได้ติดต่อมาเลย วิภาวรรณเองก็ไม่กล้าติดต่อหาเขา เกรงว่าจะรบกวน หากเขาว่างจริงๆ คงจะโทร.มาหาหล่อนแล้ว คงจะมีเรื่องสำคัญจนไม่มีเวลาให้กับหล่อน เย็นวันศุกร์วิภาวรรณกลับบ้านตามปกติ มองไปที่บ้านอีกฟากรั้วก็ยังไร้วี่แววของเขา เธอเดินเหม่อลอยอยู่ในสวน ทำไมก็ไม่รู้ พอไม่เห็นหน้าเขาอยู่ที่บ้านทีไร หล่อนรู้สึกว่ามันโหวงเหวง เปล่าเปลี่ยวชอบกล นึกถึงคำพูดออดอ้อน นัยน์ตาเจ้าชู้แต่จริงใจ อ้อมแขนที่อบอุ่นยามที่เขาอยู่ใกล้ มันทำให้ใจหล่อนกระชุ่มกระชวยเป็นที่สุด นี่เธอหลงรักเขามากขนาดนี้เลยเหรอ ยามเย็นอย่างนี้ อากาศกำลังเย็นสบาย มีลมพัดอ่อนๆ มาเป็นระยะ ทำให้ผมยาวสลวยของหล่อนปลิวล้อลมเป็นริ้ว ในเวลาปกติ หล่อนจะไม่ชอบเกล้าผม ยกเว้นเวลาเข้าออฟฟิตทำงานที่หล่อนจะรวบเกล้าเป็นมวยแล้วมัด หรือหนีบกิ้บไว้ด้านหลัง อากาสเริ่มเย็น วิภาวรรณรู้สึกหนาวสะท้านไปนิดๆ จนต้องเดินกอดอก เพราะใส่แขนกุด คอกว้าง เผยช่วงไหล่และช่วงต้นแขนเนียนตา ในสวนตอนนี้เงียบเชียบ ได้ยินเสียงนกร้องเป็นบางคราว วิภาวรรณเดินเล่นไปเรื่อยๆ ครุ่นคิดถึงแต่หมอหนุ่มคนรัก ใจเคว้งคว้าง น้ำตาเจ้ากรรมจู่ๆ มันก็ไหลเอ่อรินอาบแก้มนวลอย่างที่สุดจะกลั้นได้
"อากาศเย็นๆ เดินคนเดียวในสวน ระวังจะเป็นหวัดเอานะคร้าบบบ..ผมขี้เกียจมารักษาคนป่วยนอกเวลางาน..." เสียงนี้ทำวิภาวรรณสะดุ้งใจเต้นโครมคราม มันเป็นเสียงของผู้ที่หล่อนเฝ้ารอมาหลายวัน หันกลับไปตามต้นเสียง ก็เห็นร่างสูงโปร่งยืนยิ้มจ้องตาหล่อนเอามือไพล่หลัง ห่างจากหล่อนสองวา
"พล!! พลมาถึงเมื่อไหร่คะนี่" สองขาก้าวไปหาเขาแทบจะแนบชิดกับตัวเขา
"ก็เดินตามภามา แต่ทำไม ไม่ได้ยินผมเลยล่ะ หืมมม ร้องไห้เหรอนี่" วีรพลเห็นหน้าวิภาวรรณใกล้ๆ ก็มีขมวดคิ้วนิดหน่อย เอื้อมมือที่ไพล่หลังข้างหนึ่งมาลูบปาดน้ำตาที่พวงแก้ม
"เปล่าซะหน่อย สงสัยละอองดอกไม้แถวนี้มันเข้าตา ทำให้แสบเคืองตา"
"นึกว่าร้องไห้เพราะคิดถึงผมซะอีก เฮ้อ!! ไอ่เรารึ คิดถึงแทบตาย แต่เค้าไม่คิดถึงเราเล้ยยย.... รู้งี้ไม่กลับมาดีกว่า คนใจดำ" พูดเหน็บแนมแล้ววีรพลก็ทำเบือนหน้าหนี ทำสีหน้าผิดหวัง
"ใครกันแน่ใจดำ หายไปเป็นอาทิตย์จะติดต่อส่งข่าวบ้างก็ไม่มี ปล่อยให้รออยู่ได้ แล้วมีหน้ามาบอกว่าคิดถึง" วิภาวรรณเองก็พูดตัดพ้อเขาตอบ น้ำเสียงหล่อนสั่นเครือนิดๆ วีรพล อดไม่ได้ตวัดแขนข้างหนึ่งรวบร่างนั้นเข้ามากอด โน้มหน้าเข้าจูบแก้ม แต่วิภาวรรณก็ก้มงุดหลบหน้าหนีไม่ยอมสบตา
"ไม่คิดถึงผมแล้วรอทำไม ฮึ ปากกับใจไม่ตรงกันเลย ผู้ร้ายปากแข็ง ผมแค่อยากลองใจดูว่าพี่ภา เอ่อ... ภาจะคิดถึงผมบ้างมั้ย เลยไม่โทร ใจจริงอยากโทรมา ได้ยินเสียงมั่งก็ยังดี" คลายแขนข้างที่กอดหล่อนไว้ มาจับเชยคางให้หล่อนสบตา เขายิ้มให้หล่อน เอาอีกแล้ว รอยยิ้มนี้แบบนี้ วิภาวรรณแทบไม่อยากสบตาเขาเลย แก้มร้อนผะผ่าวเป็นสาวรุ่นเลย แต่ก็เบือนหน้าหนีไม่ได้ มือเขาจับเชยคางแน่น ทำได้แต่เพียงหลบตา "น้ำตายังเป็นรื้นอยู่เลย แค่เห็นตอนนี้ก็รู้แล้ว จะยังปากแข็งอีกมั้ย..."
"ก็ก่อนไป พลบอกจะกลับวันจันทร์นี่ นี่มันวันศุกร์แล่ว" ทำเหลือบมองช้อนตามองค้อน เสียงกระเง้ากระหงอด "เอ๊ะ..... พลมีอะไรซ่อนไว้ข้างหลัง" หล่อนเริ่มสังเกตเห็น เพราะผิดสังเกตตั้งแต่แรกที่เขากอดหล่อนเขาใช้แขนข้างเดียวตลอด มองแขนอีกข้างยังไพล่หลังอยู่ เมื่อถูกถาม วีรพลก็ยกแขนชูสิ่งของที่ถือซ่อนไว้ มันเป็นกล่องแข็งขนาด 8x10 นิ้ว หนาสัก 2-3 นิ้วได้ ลายดอกกุหลาบ มีริบบิ้นที่ทำเป็นรูปดอกไม้ และสายริ้วระย้าสีแดง ปักอยู่บนฝากล่อง ยื่นส่งให้วิภาวรรณพร้อมกับรอยยิ้มที่กรีดใจหล่อน
"ภาเปิดดูสิ" วิภาวรรณจึงรับมาเปิดดู เอาฝากล่องนั้นไปซ้อนรับกล่องไว้ด้านใต้ เพราะไม่มีที่วาง ในกล่องนั้นมีที่คาดผม อันหนึ่งสีครีมแถบขอบเลื่อมสีทอง มีลวดลายเล็กน้อย เอียงลงไปตามความโค้งไปข้างหนึ่งมีรูปดอกไม้ มันเป็นดอกกล้วยไม้สีแดงอมม่วงเข้มติดอยู่ วีรพลหยิบมันออกจากกล่องแล้ว รวบไล้ผมเธอให้เป็นระเบียบแล้วคาดให้เธอ สองมือประคองพวงแก้มจ้องมองพิศหน้าวิภาวรรณ ในกล่องนั้นยังมีของอีกสองชิ้น เป็นกล่องกำมะหยี่เล็กๆ สีน้ำเงินเข้มอันหนึ่ง อีกอันกล่องกำมะหยี่สีขาวใหญ่กว่าสัก 3-4 เท่าได้ วีรพลหยิบกล่องใหญ่ก่อน แล้วเปิดมา วิภาวรรณถึงกับตาค้าง ตะลึงงัน มันเป็นสร้อยเพชรส่งประกายวับวาวสวยงาม มีรูปเป็นตาข่ายสามเหลี่ยมห้อยระย้า ประดับเพชรเต็ม คุ้นตาวิภาวรรณมาก เขาหยิบมันขึ้นใส่ให้หล่อน แล้วเขาก็หยิบกล่องเล็กชิ้นสุดท้าย เปิดออกมา มันเป็นแหวนพลอยไพลินน้ำงามเม็ดกะทัดรัดล้อมด้วยเพชรเล็กๆ อีกหลายเม็ด ซึ่งก็คุ้นตาวิภาวรรณอีกเช่นกัน เขาถือมาชูไว้ข้างหน้าหล่อน
"ผมไม่รู้จะหาของอะไรมาให้ภาดี เพราะผมไม่เคยซื้อของให้ผู้หญิง เลยตัดสินใจซื้อที่คาดผม ส่วนสร้อยกับแหวนวงนี้ คุณพ่อผมท่านฝากมาเพื่อรับขวัญว่าที่สะใภ้ พ่อบอกว่ามันเป็นของที่ท่านซื้อให้แม่ตอนหมั้น ตอนแม่จากบ้านไป พ่อโมโห สั่งเอาของที่เกี่ยวกับแม่ทุกอย่างแม้กระทั่งรูปที่มีรูปแม่ติดอยู่ทิ้งหมด เหลือไว้แต่สร้อยกับแหวน ตอนนี้พ่อเสียใจ ท่านอยากให้แม่กลับคืนแต่คงไม่มีวันแล้ว พ่อจึงมอบให้ผม ซึ่งเหมือนเป็นตัวแทนของแม่ให้เอามาให้ภา เห็นมั้ย พ่อผมยังไม่ได้เห็นหน้าภาเลย เพียงแค่ผมเล่าให้ท่านฟังเกี่ยวกับเรื่องของเราสองคนทุกอย่าง ท่านก็ยินดีรับภาแล้ว ไม่ได้รังเกียจด้วยซ้ำ แล้วภาล่ะ จะยินดีให้เกียรติมาเป็นสะใภ้ท่านหรือเปล่า ภาจะยอมแต่งงานกับผมหรือเปล่า?"
ตั้งแต่รู้จักกันมา วีรพลพูดได้ยืดยาวที่สุด และคราวนี้จริงจังกว่าทุกครั้ง เขาพูดไปพร้อมกับรอยยิ้ม และสีหน้าที่จริงจังและจริงใจ วิภาวรรณนิ่งอึ้งแต่แรก พอได้ยินคำถาม จึงเรียกสติกลับได้ ต้องบ้าแน่ๆ สามีเก่ามอบของหมั้นให้ลูกชายมาขอแต่งงานภรรยาเก่าตัวเอง วิภาวรรณอึกอัก พูดไม่ออก วีรพลยังคงจ้องหน้า รอคำตอบ
"ว่าไงครับภา หรือภายังคิดมากเรื่องความแตกต่างของเรา"
ถ้าเป็นคนอื่นวิภาวรรณตอบรับไปแต่แรกแล้ว แต่นี่.... วิภาวรรณเริ่มสับสน จะทำอย่างไรดี คนที่ชูแหวนขอแต่งงาน คือลูกชายตัวเอง พรหมลิขิตหรือว่ากามเทพเล่นตลกอะไรกับเธอหรือนี่ แต่ถ้าจะปฏิเสธก็เหมือนกับการทำร้ายหัวใจตัวเอง หล่อนเฝ้ารอเขามาตลอด เรียกร้องหาเขาตลอด
"ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกคะ เอ่อ.. คือ.."
"หรือภาไม่ได้รักผม บอกผมมาตรงๆ ก็ได้"
คำนี้เหมือนมีดมากรีดใจหล่อน มันเจ็บแปล้บถึงขั้วหัวใจ แล้วจู่ๆน้ำตาก็เริ่มเอ่อมาอีกครั้ง
"รักคะ รักมากด้วย ค่ะ.. ภาจะแต่งงานกับคุณ"
วิภาวรรณตัดสินใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหล่อนจะยอมรับมัน หล่อนไม่อยากจะสูญเสียอะไรไปอีกแล้ว ไม่อยากสูญเสียเขาไปทั้งในฐานะลูกชาย และคนที่หล่อนรักมากที่สุดจนหมดหัวใจ
"ภา.....ขอบคุณมากครับ" วีรพลสวมกอดกระชับหล่อนอย่างดีใจเป็นที่สุด แล้วค่อยๆ คลายกอดเอื้อมมือมาคว้ามือด้านซ้าย บรรจงสวมแหวนที่นิ้วนางของหล่อนแล้วยกมันขึ้นมาจุมพิต
"คุณพ่อท่านฝากอวยพรมาให้ด้วย อยากให้เราสองคน รัก เชื่อใจ ซื่อสัตย์ต่อกัน เพราะท่านเคยผิดพลาดกับการไม่เชื่อใจ ไว้ใจในคนที่ท่านรัก ท่านไม่อยากให้ผมต้องวนไปซ้ำรอยประวัติศาสตร์อีก ผมสัญญา ผมจะรักและซื่อสัตย์มั่นคงกับภาตราบเท่าชีวิต" คำพูดเขาจริงจัง ทำเอาวิภาวรรณตื้นตัน หล่อนขอเพียงแค่นี้ เพียงแค่เขารักจริงใจกับหล่อนก็พอแล้ว..........
   กดให้ด้วย ถ้าถูกใจ

hseraph

ใกล้ใครแม็คแล้วววรอติดตามต่อ ขอบคุณครับ

paradrop