ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_err

อุบัติเหตุจริงๆนะ ตอน 5

เริ่มโดย err, พฤษภาคม 27, 2010, 10:53:01 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

err

นับจากเหตุการณ์ในวันนั้นเป็นต้นมา การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นกับทั้งวิลาสินีและพีรพงษ์ โดยเฉพาะวิลาสินีที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทั้งภายนอกและภายใน แนวคิดเรื่องเซ็กส์ของเธอเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือเนื่องจากเธอได้เข้าใจธรรมชาติของตัวเองอย่างถ่องแท้มากขึ้น เธอจึงไม่ปิดกั้นตัวเองในเรื่องนี้อีก ความที่เธอพยายามกดความรู้สึกด้านกามราคะไว้นานหลายสิบปีเมื่อมันถูกปลดปล่อยออกมามันจึงยากที่จะสะกดควบคุมได้อีก ในสมองของเธอมีแต่ความคิดเรื่องความสุขสุดยอดของการได้ร่วมรักเกือบตลอดเวลาที่ว่างจากการทำงาน เธอมักจินตนาการว่าพีรพงษ์เป็นคนเย่อเธอทุกครั้งที่เธอช่วยตัวเอง
สำหรับเรื่องการแต่งกายของวิลาสินีก็ผิดแปลกไปมาก จากเดิมที่เคยสวมแต่เสื้อแขนยาวเรียบ ๆ มีสูททับกับกระโปรงยาว ก็เปลี่ยนมาเป็นชุดที่เปิดเผยส่วนสัดมากขึ้น บางวันก็เป็นชุดแซ็กที่รัดตัว บางวันก็เป็นชุดกระโปรงที่สั้นเต่อจนเดินแต่ละก้าวชายกระโปรงพลิ้วขึ้นมาจนเกือบเห็นแก้มก้นจนประสงค์ต้องเอ่ยปากกับพีรพงษ์ว่า "วู้ว พักนี้ผู้จัดการเราเปี๋ยนไปตั้งแต่ได้งานของโรงพยาบาลว่ะ ชะเวิบชะวาบ เห็นนมเห็นตูดยังกับแก้ผ้าให้ดูต่อหน้า สงสัยจะเป็นโบนัสที่สัญญาไว้กับพวกเรามังหว่า กูเห็นแล้วอยากจะฉุดไปเย็ดให้สลบคาโต๊ะทำงานเลย"
แต่ยังไงก็ยังไม่เท่ากับเวลาอยู่บ้าน ชุดที่เธอสวมยิ่งวับ ๆ แวม ๆ มากขึ้น ถ้าเป็นตอนกลางคืนก็จะเป็นชุดคลุมผ้าไหมบางเฉียบ แค่แสงไฟส่องก็มองเห็นเข้าไปถึงไหนต่อไหน ถ้าเป็นกลางวันก็จะเป็นเสื้อแขนกุดคอคว้านลึกจนเห็นฐานเต้าได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม
พีรพงษ์เองก็เปลี่ยนแปลงไปมิใช่น้อย จากวันนั้นที่เขากระทอกเอ็นจนน้ำเงี่ยนแตกกระจายเพราะมองส่วนสัดอันงามงดของป้าแท้ ๆ มันทำให้เขาต้องหันกลับไปมองตัวเองใหม่ว่าแท้ที่จริงแล้ว ที่เขาชอบวิภาดามันเป็นเพราะวิภาดามีอายุมากกว่าเขาเท่านั้นหรือเปล่า ทำไมเขาจึงมีความรู้สึกกับพี่สาวแม่ในแบบนี้ ตอนอยู่ที่บ้าน ก็ได้เห็นวิลาสินีในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยตอกย้ำความรู้สึกอยู่ทุกวัน จนเขาเริ่มไม่แน่ใจในตัวเองแล้ว แต่ที่แน่ ๆ คือ อาการของโรคซึมเศร้าของเขาดีวันดีคืน เพราะเดี๋ยวนี้เขาเอาแต่รอคอยที่จะได้เห็นว่าป้าวิจะใส่ชุดอะไรไปทำงานและจะใส่ชุดอะไรตอนอยู่บ้าน ไม่มีเวลาที่จะไปจมปลักอยู่กับอดีตเหมือนที่ผ่านมา
อย่างเช่นในเช้าวันนี้ที่ออกจากบ้านไปทำงาน พีรพงษ์เป็นคนขับ ส่วนวิลาสินีเป็นคนนั่งอยู่ข้าง ๆ ในวันนิ้วิลาสินีสวยสดใสกระชากวัยในชุดเสื้อยืดสีดำ มีเสื้อเนื้อบางแขนยาวคลุมทับ ส่วนท่อนล่างสวมกระโปรงสั้นแค่ครึ่งขาอ่อนแถมฟิตเปรียะจนแทบสอดนิ้วเข้าไประหว่างเนื้อผ้ากับเนื้อแท้ ๆ ไม่ได้ พีรพงษ์ขับไปก็แอบเหลือบมองขาอ่อนขาว ๆ ของป้าไปตลอดทางพร้อมแอบกลืนน้ำลาย วิลาสินีเห็นหลานชายแอบมองก็ชอบใจ แกล้งขยับตัวไปมาบนที่นั่งจนกระโปรงที่สั้นอยู่แล้วยิ่งร่นขึ้นไปอีกจนพอมองเห็นกางเกงในเซ็กซี่ลายลูกไม้สีดำได้รำไร แขนที่ว่างอยู่ก็ยกขึ้นมากอดอกช่วยช้อนเต้างามสล้างนั้นให้พุ่งตระหง่านง้ำยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งมองจากมุมด้านข้างของพีรพงษ์ด้วยแล้วมันยั่วใจชายจนแทบคลั่งอยากจะเอื้อมมือไปฉีกกระชากเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ปกปิดความขาวอวบให้กระจุยคามือ แต่พีรพงษ์ก็ต้องสะกดกลั้นใจไว้เพราะนั่นเป็นป้าแท้ ๆ ของเขา แถมกำลังขับรถอยู่ด้วย แต่ลำควยเขานี่สิไม่เป็นใจเสียเลย มันตุงดันกางเกงขึ้นมาจนปวดหนึบ วิลาสินีแอบมองเป้ากางเกงหลานชายแล้วก็อมยิ้มด้วยความพอใจ การได้ยั่วพีรพงษ์กลายเป็นงานอดิเรกที่เธอโปรดปรานไปเสียแล้ว
วันนั้นกว่าจะไปถึงออฟฟิซก็เกือบเก้าโมงเช้า วิลาสินีกับพีรพงษ์แยกกันเดินเข้าทำงาน ในวันพรุ่งนี้เป็นกำหนดส่งมอบงานของโรงพยาบาล ดังนั้นในวันนี้ทั้งออฟฟิซจึงคึกคักเป็นพิเศษ เมื่อวิลาสินีเดินเข้ามา ทุกคนก็หันไปมองเรือนร่างเธอราวกับจะเปลื้องเสื้อผ้าเธอให้เปลือยเปล่าด้วยสายตายังไงยังงั้น โดยเฉพาะประสงค์ที่มองเธอตาไม่กระพริบ ปากก็พึมพำว่า "อูย แม่งน่าเย็ดฉิบหาย ถ้าได้สักครั้งกูจะเอาแม่งทั้งหีทั้งตูดให้บานนั่งไม่ลงเป็นอาทิตย์เลย พับผ่าเถอะวะ"
พีรพงษ์ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างขยันขันแข็งจนเวลาผ่านไปราวติดปีกบิน เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เที่ยงแล้ว เขาออกไปซื้อแฮมเบอร์เกอร์มากินในออฟฟิซพร้อมทำงานต่อไปด้วย เมื่อถึงเวลาเลิกงาน พนักงานคนอื่น ๆ ทะยอยกลับบ้านไปหมดแล้ว คงเหลือเขากับวิลาสินีที่อยู่ในห้องทำงานของเธอเท่านั้น
ราว 6 โมงเย็น พีรพงษ์ก็ไปเคาะประตูห้องวิลาสินีถามเธอว่าจะกลับบ้านหรือยัง วิลาสินีบอกขอเวลาอีกสิบนาที เธอกำลังทำงานค้างอยู่ ครู่ใหญ่ วิลาสินีก็เดินออกมาจากห้องพร้อมหอบหิ้วเอกสารพะรุงพะรัง พีรพงษ์เข้าไปช่วยถือแล้วทั้งคู่ก็เดินไปขึ้นรถแล้วขับกลับบ้าน
ระหว่างที่ขับรถยังไม่ถึงบ้าน โทรศัพท์มือถือของวิลาสินีก็ดังขึ้น เธอรับสายแล้วฟังอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าเธอซีดเผือด พร้อมร้องอุทานเสียงดังลั่นรถ "หา อะไรนะ ไฟไหม้ออฟฟิซเรา" เธอรีบหันไปบอกให้พีรพงษ์วกรถกลับไปที่ออฟฟิซโดยด่วนที่สุด
พอทั้งคู่ไปถึง ก็พบว่ามีคนมุงกันอยู่เต็ม ในขณะนั้นเจ้าหน้าที่ดับเพลิงยังมาไม่ถึง ไฟลุกไหม้ในอาคารแดงฉาน ความร้อนที่เกิดขึ้นแทบลวกผิวหนังให้สุกขนาดยืนอยู่ห่าง ๆ วิลาสินีพอลงจากรถได้ก็รีบวิ่งตรงเข้าไปที่ประตูออฟฟิศแล้วกระชากมันเปิดออกโดยไม่สนใจความร้อนจากเปลวไฟ พีรพงษ์รีบวิ่งตามเธอไปติด ๆ พยายามจะคว้าตัวเธอไว้แต่ก็ไม่ทัน เขาจึงวิ่งตามเธอเข้าไปข้างในอาคารด้วย
ภายในอาคาร ไฟเริ่มลุกไหม้ตามตู้เอกสารและโต๊ะที่เป็นไม้บางส่วน วิลาสินีวิ่งตรงไปที่ห้องของเธอซึ่งเป็นที่เก็บเซอร์ฟเวอร์ที่มีข้อมูลสำคัญรวมทั้งซอร์สโค้ดทั้งหมดของบริษัท โชคยังดีที่ไฟยังไม่ลามถึงตัวเครื่อง เธอรีบถอดเทปแบ็คอัพออกจากตัวเซอร์ฟเวอร์แล้วซุกมันเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ พีรพงษ์ที่ตามหลังมารีบฉุดมือเธอดึงให้วิ่งออกจากอาคาร แต่ปรากฏว่าไฟได้ลุกไหม้ประตูจนไม่สามารถออกไปได้แล้ว
พีรพงษ์มองซ้ายมองขวาหาทางออก แต่เนื่องจากอาคารนี้เป็นอาคารเก่า มีประตูทางออกอยู่แค่บานเดียว ส่วนหน้าต่างก็แคบมากและมีไฟลุกโหมอยู่ โอกาสรอดของเขากับวิลาสินีช่างดูริบหรี่เหลือเกิน ตำรวจดำเพลิงก็ยังมาไม่ถึง คนที่อยู่ข้างนอกคงไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยพวกเขา ถึงอยากเข้ามาช่วยแต่ก็ไม่มีอุปกรณ์พอที่จะทำได้
แต่แล้วสายตาของพีรพงษ์ก็เหลือบเห็นห่วงประตูห้องใต้ดินที่อยู่บนพื้นเบื้องหน้าเขา ด้วยการตัดสินใจอย่างฉับพลัน เขาก้มลงไปจับห่วงนั้นแล้วดึงขึ้นมาสุดแรง ประตูบานนั้นเลื่อนเปิดออกจนเห็นบันไดที่ลาดลงไปสู่ความมืดที่อยู่เบื้องล่าง พีรพงษ์รีบดันตัววิลาสินีลงไปแล้วเขาก็รีบเดินตามแล้วดึงประตูให้ปิดลงมา
ในความมืดมิด พีรพงษ์ล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อแล้วหยิบไฟแช็คขึ้นมาแล้วกดเปิดมัน แสงริบหรี่ของไฟแช็คทำให้เขาพอมองเห็นสภาพรอบข้างได้ลาง ๆ เขาและวิลาสินียืนอยู่ที่พื้นห้องใกล้บันได ผนังห้องเป็นคอนกรีตทั้งสี่ด้าน ขนาดความกว้างก็ประมาณห้าคูณสิบเมตร พีรพงษ์เงยหน้าสำรวจเพดานห้องก็เห็นว่าตรงกลางมีโคมไฟอยู่ด้วย ซึ่งหมายความว่าต้องมีสวิทช์ปิดเปิดไฟอยู่ในห้อง เขามองตามสายไฟไปจนเจอสวิทช์ที่อยู่ตรงผนังด้านขวาจึงเดินไปกด
ในห้องใต้ดินนั้นก็สว่างไสวขึ้นมาทันที พีรพงษ์ปิดไฟแช็คในมือแล้วเดินเข้าไปหาวิลาสินีที่ยืนตัวแข็งอยู่ที่เดิม สีหน้าเธอซีดเผือด ตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว
"ไม่เป็นไรแล้วครับป้า อย่างน้อยในตอนนี้เราก็ยังพอมีโอกาสรอด" เขาเดินเข้าไปใกล้แล้วโอบแขนรอบไหล่เธอเพื่อปลอบใจ
วิลาสินียิ้มเซียว ๆ แล้วเงยหน้ามองพีรพงษ์ แต่ก่อนที่เธอจะพูดอะไรออกมา ก็มีเสียงดังโครมกึกก้องไปทั่วห้องจนเธอต้องกรีดร้องด้วยความตกใจพร้อมยกมือขึ้นปิดหู ฝุ่นละอองที่เพดานห้องร่วงหล่นลงมากราว พีรพงษ์โอบแขนรัดตัววิลาสินีไว้ในอ้อมกอด พยายามเอาตัวของเขาบังตัวเธอไว้
ครู่เดียว ทุกอย่างก็กลับมาเงียบสงบเหมือนเดิม พีรพงษ์ค่อย ๆ คลายแขนออก วิลาสินีเงยหน้ามองเขาแล้วพูดว่า "ขอบใจมากจ้ะพงษ์ ป้ากลัวมากจริง ๆ นะ ไม่รู้เมื่อกี้มันเสียงอะไรกัน"
พีรพงษ์กัดริมฝีปากตัวเองแล้วใช้ความคิด เขาเดินขึ้นบันไดไปแล้วพยายามดันประตูให้เปิดออกแต่ก็ไร้ผล จากสัมผัสที่มือบ่งบอกว่าไฟกำลังลุกโหมหนักที่อีกฟากหนึ่งของประตูเพราะมันร้อนลวกมือ พีรพงษ์เดินกลับมาลงมาแล้วบอกวิลาสินีด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า
"สงสัยไฟไหม้จนตัวอาคารถล่มลงมาแล้วล่ะครับป้า เดิมทีมันก็ไม่ค่อยจะแข็งแรงอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอไฟไหม้หนักอย่างนี้อีก...."
วิลาสินีแทบหมดแรงยืน แค่ไฟไหม้บริษัทก็เป็นข่าวร้ายพออยู่แล้ว แต่นี่เธอกับหลานชายต้องมาตายในห้องใต้ดินโดยไม่มีใครรู้แบบนี้หรือนี่ แต่แล้ววิลาสินีก็นึกได้ว่าเธอยังมีโทรศัพท์มือถือติดตัวอยู่นี่นา เธอรีบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วดูที่จอภาพ กราฟฟิคบนจอภาพบอกว่าที่ห้องใต้ดินนี้อับสัญญาณโดยสิ้นเชิง พอความหวังครั้งสุดท้ายหมดไป วิลาสินีถึงกับทรุดตัวลงไปนั่งหมดอาลัยตายอยากบนพื้นห้องแล้วร้องไห้กระซิก ๆ พีรพงษ์ย่อตัวลงไปปลอบเธออยู่สองสามคำแล้วเขาก็ลุกเดินสำรวจห้องเพื่อดูว่าจะมีประตูทางออกอีกทางหรือไม่
ในห้องมีเฟอร์นิเจอร์อยู่ไม่กี่อย่าง ที่ตรงมุมห้อง พีรพงษ์พบเครื่องปั่นไฟและแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ นี่คงเป็นแหล่งจ่ายไฟในห้องยามฉุกเฉินเพราะในขณะที่อาคารข้างบนถล่มลงมา ไฟฟ้าจากภายนอกก็น่าจะถูกตัดขาดไปแล้ว มุมห้องอีกด้านกั้นเป็นส้วมซึมเล็ก ๆ และมีถังใส่น้ำที่มีน้ำเต็มอยู่ด้วย บนผนังมีช่องระบายอากาศที่ออกแบบมาเป็นพิเศษให้อากาศเข้ามาได้แต่น้ำเข้ามาไม่ได้ อีกฟากหนึ่งมีตู้โชว์ขนาดใหญ่และเตียงพร้อมเครื่องนอนครบครัน ใกล้ ๆ กันนั้นเป็นตู้เสื้อผ้า ดูจากสภาพแล้วน่าจะมีคนอยู่ ซึ่งพีรพงษ์ก็นึกขึ้นมาได้ว่าคงเป็นนายชิดที่เป็นยามเฝ้าอาคารเป็นแน่
พีรพงษ์สำรวจครบทุกด้านแล้วก็เดินกลับมาหาวิลาสินีที่ยังนั่งทอดอาลัยตายอยากอยู่บนพื้น เขาบอกกับเธอว่าที่ห้องใต้ดินนี้แต่เดิมคงถูกออกแบบมาให้เป็นหลุมหลบภัย ผนังจึงหนามากขนาดกันรังสีได้ซึ่งก็เป็นธรรมดาว่ามันก็จะดูดคลื่นโทรศัพท์ไว้ได้หมด เมื่อเห็นอาการของวิลาสินียังไม่กระเตื้องขึ้น เขาจึงบอกให้เธอช่วยเขารื้อค้นตู้เสื้อผ้าและลิ้นชักตู้โชว์เผื่อจะเจออะไรที่มีประโยชน์ในสถานการณ์เช่นนี้บ้าง วิลาสินีจึงกลั้นน้ำตาแล้วลุกขึ้นเดินตรงไปที่ตู้โชว์แล้วดึงลิ้นชักออกมา ข้างในลิ้นชักแรกเป็นวีดีโอซีดีหลายแผ่น แต่ละแผ่นล้วนเป็นหนังเกย์ทั้งสิ้น นายแบบในปกก็ล้วนแต่เป็นหนุ่มหล่อล่ำบึ้กกล้ามเป็นมัด ๆ ขนาดตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย วิลาสินียังอดหน้าแดงไม่ได้ เธอร้องอุ๊ยออกมาเบา ๆ พีรพงษ์จึงเดินเข้ามาดูแล้วก็หัวเราะบอกเธอว่า เขารู้กันทั้งออฟฟิซว่านายชิดน่ะเป็นเกย์ แล้วเขาก็ช่วยเธอรื้อลิ้นชักที่เหลือ ซึ่งก็พบบะหมี่สำเร็จรูปหลายห่อ พร้อมกับเศษเงิน แต่ที่เด็ดที่สุดก็คือเขาพบดุ้นควยเทียมพร้อมเจลหล่อลื่นอยู่ในลิ้นชักหนึ่ง เขาหันไปมองดูวิลาสินีที่ตอนนี้ไปรื้อตู้เสื้อผ้า เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้หันมามองทางนี้เขาก็รีบดันลิ้นชักนั้นกลับเข้าไปเหมือนเดิม
วิลาสินีกับพีรพงษ์กลับมาเจอกันใกล้เตียง ทั้งคู่มองตากันแล้วก็ส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่เจออะไรที่พอจะช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ วิลาสินีเริ่มร้องไห้อีกครั้งจนพีรพงษ์ต้องโอบกอดปลอบโยนเธอ
"คงไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวตำรวจดับเพลิงก็คงมาถึงแล้วเขาก็จะช่วยพวกเราออกไปจากที่นี่ได้เอง เราก็เพียงแต่พยายามมีชีวิตรอดให้ถึงตอนนั้นก็พอ"
"จริง ๆ นะจ๊ะ" วิลาสินีถามทั้งน้ำตา
"ผมเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นครับ" พีรพงษ์ตอบทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก เพราะตัวอาคารถล่มลงมาแบบนี้คงใช้เวลาหลายวันกว่าจะรื้อได้ และต่อให้รื้อซากปรักหักพังได้ทันเวลา ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาและเธอยังคงมีชีวิตอยู่ในห้องใต้ดิน แต่ในตอนนี้เขาได้แต่ปลอบวิลาสินีให้ลดความกลัวลงก่อนแล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

ธวัช จันสำราญ