ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

รักยม ตอนที่ 48 พลังที่ฟื้นตื่น

เริ่มโดย sanookinm, สิงหาคม 23, 2010, 10:23:31 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

sanookinm

คุยก่อนอ่าน

กราบสวัสดีพ่อแม่พี่น้องทุกท่าน กลับมาอีกครั้งหลังจากหายหน้าไปเกือบเดือน (ตามปกติ)

ตอนนี้จะเสียวน้อยหน่อยนะครับ (อีกแล้ว) เพราะใส่แต่บทผีตบตีกันเป็นหลัก
ตาม concept ไม่ต้องการเหตผล ไม่ต้องการการเข้าใจ ขอแค่ได้ออกทะเลก็เป็นพอ

* หากผิดพลาดประการใด ก็กราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

รักยม ตอนที่ 48 - พลังที่ฟื้นตื่น
Assasin008

......................................................................

"นี่อีฮันนี่ ... มึง ... เมายาเหมือนกูหรือเปล่าวะ ... เดี๋ยวก็ยิ้มเดี๋ยวก็หัวเราะ ..." ชายศรีษะล้านผอมบางท่าทาง
ขี้ยามองร่างใหญ่ยักษ์แต่เต็มไปด้วยความตุงติ้งของคู่สนทนาที่นั่งตรงข้าม พลางดูดบ้องกัญชาอัดควันขาว ๆ แสนหอมหวาน
เข้าไปจนเต็มปอดแล้วปล่อยควันปุ๋ย ๆ ออกมาก่อนหัวเราะคิกคักตาปรืออย่างสบายอารมณ์

"แหม ... ยาอะไรพวกนี้ฮันนี่ไม่สนหรอกเดี๋ยวไม่สวย อีกอย่างคนสวยอย่างฮันนี่ก็ต้องอารมณ์ดีบ้างซิยะ
เครียดบ่อย ๆ เดี๋ยวหน้าแก่หมดสวยกันพอดี" ฮันนี่ชายประเภทสองเจ้าของร่างใหญ่ยักษ์ อมยิ้มทำท่าทางกระแดะ
หัวเราะคิกคักอย่างสบายอารมณ์ตามไอ้ขี้ยาไปด้วย

"... นี่ไอ้แห้ง ... วันก่อนผู้หญิงที่โดนยาปลุกเซ็กส์ตัวใหม่เป็นยังไงบ้างล่ะ" ฮันนี่มองหลอดแก้วยาอันว่าง
เปล่าในมือแล้วยิ้มอีกครั้งก่อนเว้นระยะเอ่ยถามคู่สนทนา

"โอย อย่าให้พูดเลย โคตรเด็ดสุด ๆ อีเด็กสาวสองคนนั่น โดนพวกกูรุมตั้งเป็นสิบคนน้ำแตกใส่ไม่รู้กี่รอบ
ต่อกี่รอบจนพวกกูเพลีย ... แม่งก็ยังแหกขารอเรียกหาให้พวกกูไปเป็นผัวอยู่ได้ ... ตอนแรกทำเป็นเล่นตัว พอโดนยา
เข้าหน่อยยิ่งกว่าหมูตัวเมียติดสัดอีก ... แต่แม่งพูดไปก็เสียดายว่ะ ... ไม่น่าเล้ย" ไอ้ขี้ยาส่ายหัวด้วยอารมณ์เสียดาย

"เสียดายอะไรล่ะ ได้โทรมหญิงจนสะใจแล้วนี่" ฮันนี่หัวเราะถูกใจเพราะรู้คำตอบอยู่แล้ว

"... แหม่ ก็พออีกสองสามวันยาหมด พวกมันน้อยใจหนีไปผูกคอตายในห้องเฉยเลย ... เสียดายคนสวย ๆ
... ตอนนี้เลยต้องไปนอนเน่าอยู่ในสวนโน่นแน่ะ" ชายศรีษะล้านพูดพลางมองไปทางสวนหลังบ้านด้วยใบหน้าเรียบเฉย
อย่างไม่รู้สึกรู้สาในความผิดบาปที่ได้ก่อไว้

บริเวณที่มันชี้ไปนั้นไม่มีหญ้าปกคลุม ลักษณะเหมือนเป็นรอยดินที่เพิ่งโดนขุดขึ้นมาใหม่ ๆ มันเป็น
รอยดินที่กลบร่างไร้ชีวิตของสองเด็กสาวเหยื่อสวาท ไปพร้อม ๆ กับฝังกลบปิดอนาคตอันสดใสของพวกเธอไปตลอดกาล

"อื้ม สรรพคุณใช้ได้นี่นา ... แล้วรู้มั้ยว่าคราวที่แล้วน่ะ ฮันนี่ใส่ยาให้แค่คนละไม่ถึงครึ่งหลอด แค่นั้นก็
ร่านไปได้สองสามวัน ... แต่ ... อีผู้หญิงที่อยู่กับนายวันนี้ซิ โดนฮันนี่แอบกรอกเข้าไปเต็ม ๆ เลยทั้งหลอด ... ฮิ ฮิ ...
ให้มันร่านให้ตายไปเลยอยากมาหว่านเสน่ห์ใส่พี่พิชัยของฮันนี่ดีนัก" กระเทยควายผู้หลงไหลในตัวอาจารย์พิชัยยิ้ม
อย่างเหี้ยมเกรียมดุดัน ก่อนโยนหลอดแก้วอันว่างเปล่าที่เคยบรรจุยาปลุกเซ็กส์ราคาแพงนั้นทิ้งไปจนแตกกระจาย

"เฮ้ย ... คนนี้นายบอกว่าห้ามวางยาเด็ดขาดไม่ใช่เรอะ ... เห็นว่าคนนี้ไฮโซน่าดู แถมยังสวยเซ็กส์กว่าใคร
นายคงอยากได้เก็บไว้เป็นเมีย ... เอ ... แต่ว่า .... ถ้ามึงช่วยแบบนี้ท่าทางกูคงได้มีส่วนร่วมซะแล้วล่ะมั้ง หึ หึ"ไอ้คนหัว
ล้านตาลุกวาว แลบลิ้นเลียรอบปากกลืนน้ำลายสอ ขณะนึกภาพไปถึงภาพร่างบาง ๆ กับนมโต ๆ ของนักศึกษาสาวแสน
สวยที่ผู้เป็นนายเพิ่งจะอุ้มเข้าบ้านไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว

"เดี๋ยวกูจะพยายามเปิดทางให้ พวกมึงเอาให้หนัก ๆ ไปเลยนะ โดนยาเข้าไปแบบนั้นนายคนเดียวเอาไม่
อยู่หรอกยังไงนายก็คงไม่กล้าเอาผู้หญิงที่โดนรุมโทรมแบบนั้นมาเป็นเมียหรอก ... อ้อ แล้วก็อย่าปล่อยให้มันฆ่าตัว
ตายแบบอีสองคนก่อนอีกล่ะ กูอยากให้มันมีความสุขกับพวกมึงไปนาน ๆ ... เอ๊ะ ... เสียงรถมาที่หน้าบ้าน ... ใครมา"
กระเทยควายพูดอย่างสะใจในอารมณ์ ก่อนหันไปเงี่ยหูฟังเสียงเครื่องยนต์ที่ดังมาจากทางหน้าบ้าน

"ไม่ต้องไปสนใจร้อก ก็คงพวกกันเองนี่แหละ ใครที่ไหนมันจะมาที่เปลี่ยว ๆ แบบนี้ ก็ดีมากันเยอะ ๆ กู
อยากรุมโทรมพวกคุณหนูไฮโซสวย ๆ มานานแล้ว อยากรู้ว่ามันจะเด็ดยังไง" ไอ้คนหัวล้านหื่นกามพูดก่อนชะเง้อมอง
ไปยังหน้าต่างของห้องเชือดที่ปิดทึบด้วยอารมณ์ที่คุโชนไปด้วยความกระสัน

ฮันนี่กระเทยควายร่วมหัวเราะด้วยเสียงทุ้มต่ำน่ากลัวไปอีกคน โดยที่พวกมันสองคนไม่ได้รู้แม้แต่น้อยว่าเจ้า
ของรถที่มันได้ยินเสียงนั้นหาได้เป็นพวกมันไม่

ที่หน้าบ้านหลังใหญ่ ร่างบางที่มีหมวกกันน๊อคปิดบังอยู่จ้องมองรถตู้ที่จอดนิ่งสนิทอยู่หน้าบ้านอย่างครุ่
นคิด
ก่อนตัดสินใจหยิบจับเอาท่อนไม้ขนาดพอดีมือที่อยู่ข้างทาง แล้วเดินเข้าไปในตัวบ้านด้วยท่าทางระแวดระวังภัยอย่างเต็มที่

................................................................................
....................

เวลาเดียวกัน ใต้ต้นตะเคียนใหญ่ที่สูงประหนึ่งจะค้ำฟากฟ้าเอาไว้

"ข้าทำไปก็เพราะว่า ข้ามองเห็น ... วันพรุ่งจะไม่มีผู้หญิงคนนี้อีกต่อไป เธอจักจากไปอย่างที่เจ้ามิอาจจะช่วย
เหลือสิ่งใดได้ ... " นางตะเคียนพูดทิ้งท้าย แม้จะเป็นใบหน้าเดียวกันกับน้องหญิงที่สวยงามบริสุทธิ์เหมือนนางฟ้า แต่รอย
ยิ้มบนใบหน้านั้นกลับเหี้ยมเกรียมราวกับปีศาจร้าย

"... หมายความว่ายังไง ... ท่านเห็นอะไร ..." ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มคู่สนทนาพูดเสียงสั่นด้วยความรู้สึกใจ
หายวูบไปกับแววตาที่ร้ายกาจนั้น

"พวกหนูยังจับอะไรไม่ได้เลยพ่อจ๋า ถ้าแม่มีอันตราย พวกหนูต้องรู้ตัวก่อน ... ยายป้าคนนี้คงจะขู่มากกว่า"
เด็กน้อยรักยมทั้งสองที่คอยระวังอยู่ด้านข้างพูดเสียงเจื้อยแจ้วด้วยจังหวะพร้อมกันจ
นแทบจะแยกไม่ออก ว่าเป็นเสียงของ
สองวิญญาณที่พูดพร้อมกัน

"เด็กเอ๋ยเด็กน้อย ... แม้นจะทรงฤทธามหาศาล ... แต่ก็ยังคงไร้เดียงสานัก ฮิ ฮิ" นางตะเคียนหัวเราะร่วน

"อย่ามาขู่ดีกว่าน่าป้า ถึงพวกหนูจะยังไม่แก่เหนียงยานเหมือนป้า แต่พวกหนูก็ไม่กลัวหรอกนะ ... แม่ไม่
เป็นอะไรหรอก พวกหนูคอยระวังอยู่แล้ว พวกหนูสัมผัสอันตรายไม่ได้" รักยมด่ากระทบนางตะเคึยนต่อ

"เรียกป้า เรียกยายไปเถอะ ... คอยดูเถอะข้าจะทำให้พวกแกเรียกข้าเป็นแม่ให้ได้ ..."

"ไม่มีทางหรอก พวกหนูมีแม่คนเดียว แม่พวกหนูสวยและใจดีที่สุด ไม่ใจร้ายแล้วก็แก่เหมือนยายหรอก"

"ไอ้พวกเด็กเหลือขอ ... อยู่ใต้อาณาเขตของข้าจนรับรู้ภายนอกไม่ได้แล้วยังกล้าปากดีอีก ข้าจะบอกให้
อีกไม่นานหรอก แม่คนดีของพวกเอ็ง ก็จะต้องตายแล้ว" นางตะเคียนพูดเสียงดังอย่างโกรธจัด พลังอำนาจที่เปี่ยมล้น
นั้นทำเอาต้นตะเคียนใหญ่สั่นสะเทือนจนส่งเสียงร้องเกรียวกราว

"จริงเหรอลูก ..." เอกหันไปถามสองเด็กน้อยที่กำลังหันซ้ายหันขวาด้วยท่าทางตื่นตระหนกเหมือนเพิ่งจะ
นึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าไม่มั่นใจของรักยม และเสียงหัวเราะอย่างสาแก่ใจของนางตะเคียน ทำให้เขาตื่นตระหนกมากขึ้น

ด้วยความเป็นห่วงอย่างเหลือล้น และแววตาอันไม่น่าไว้วางใจของนางตะเคียน ทำให้เขาเชื่อในสัญชาต
ญานของตนเองที่กำลังบอกว่าให้ออกไปจากที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด เขาหมุนตัวกลับหันหลังให้กับนางตะเคียน ก่อนพุ่งตัว
วูบวิ่งออกไปในทิศทางตรงข้ามกับต้นตะเคียนใหญ่ด้วยความรวดเร็วเหนือมนุษย์

การกระทำนั้นเสมือนจะเป็นการลั่นสัญญาณกลองรบ วินาทีเดียวกันนั้นดวงตาของนางตะเคียนทอประกาย
แวววาวเจิดจ้า พร้อมกันกับที่เถาวัลย์เส้นใหญ่ห้าเส้นพุ่งสะบัดขวับแหวกอากาศลงมาจากต้นตะเคียนใหญ่
ราวกับแส้
โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ชายหนุ่มผู้ที่นางพึงใจ

เอกพุ่งตัวหลบอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณเมื่อได้ยินเสียงแหวกอากาศดังฟุ่บมาจากด้านหล
ัง การเปลี่ยน
ทิศกระทันหันทำให้ร่างกำยำนั้นเซถลาเล็กน้อยจนเกือบล้มลงไปกับพื้น เขาเหลือบตามองดูเถาวัลย์กลุ่มใหญ่ที่พุ่งวืดผ่าน
ตัวเขาไปม้วนพันเข้ากับต้นกระบากขนาดเท่าลำแข้ง ก่อนที่มันจะกระชากดึงต้นไม้ต้นนั้นหลุดออกมาจากดินเสียงดังปึด
เศษดินแห้ง ๆ ที่เกาะตามรากไม้นั้นร่วงหล่นไปกระทบพื้นเสียงดังกราว พลังอันมหาศาลของเถาวัลย์ใหญ่ทำเอาเอกถึงกับ
ต้องชะงักมองด้วยความตกใจ

เมื่อนึกได้จึงรีบดีดตัวส่งตัวเองพุ่งแหวกอากาศไปด้านหน้าอย่างสุดกำลัง แต่เขาช้าไปแล้วหนึ่งก้าว อาการ
ชะงักงัน ทำให้เขาโดนเถาวัลย์กลุ่มใหม่พุ่งเข้ารัดพัวพันแขนและขาของเขาราวกับอสรพิษที่มีชีวิ
ต พลังมหาศาลของเถาวัลย์
ทำเอาร่างกำยำที่พุ่งไปด้วยความเร็วพลันสะดุดกึกหยุดนิ่งเหมือนถูกมือยักษ์ฉุดกระชาก
ไว้

สองเด็กน้อยรักยมสบตากันแว้บหนึ่ง ก่อนที่ร่างวิญญาณร่างหนึ่งจะพุ่งไปช่วยเหลือเอกผู้มีศักด์เป็นเจ้านาย
และพ่อของพวกเขา ในขณะที่ร่างวิญญาณอีกร่างหนึ่งก็พุ่งวูบดิ่งเข้าไปหาร่างของนางตะเคียนที่กำลังสวมบ
ทนางมารร้าย
สองร่างวิญญาณเคลื่อนไหวพร้อมกันประหนึ่งประสานหัวใจเป็นหนึ่งเดียว

ดวงตาของรักยมที่พุ่งเข้าหานางตะเคียนเปล่งเป็นประกายเจิดจ้าวาวโรจน์ด้วยพลังแห่งมน
ตราและความ
เคืองแค้น นางตะเคียนลอยวูบไปด้านหลังด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่มีอาการตื่นตระหนกใด ๆ เหมือนได้ตระเตรียมการ
ไว้แล้ว พริบตาต่อมาเถาวัลย์ขนาดใหญ่นับสิบเส้นก็พุ่งสะบัดฟุ่บลงมาพร้อมกันกับกิ่งไม้ขนาดให
ญ่เท่าตัวคน พวกมัน
พุ่งใส่รักยมอย่างรวดเร็วราวงูฉก

วิญญาณของเด็กน้อยรักยมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเล็กน้อย หากเป็นเถาวัลย์ทั่วไปคงไม่อาจสัมผัสร่าง
วิญญาณของเขาได้ หากปล่อยให้ผ่านตัวไปก็คงไม่เกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อคิดดูแล้วต้นตะเคียนที่ไม่ธรรมดานี้ ย่อมไม่
เหมือนต้นไม้ทั่วไป พวกมันน่าจะสามารถสัมผัสกับร่างวิญญาณได้ ไม่เช่นนั้นนางตะเคียนคงจะไม่ใช้พวกมันโจม
ตีเป็นแน่

แต่กระนั้นรักยมก็หาได้เกรงกลัวไม่ ดวงตาสุกใสแวววาวของเด็กน้อยยังคงจับจ้องไปเบื้องหน้า ร่างวิญญาณ
สีขาวลอยวูบหลบซ้ายหลบขวาอย่างคล่องแคล่วว่องไว หมู่เถาวัลย์กลุ่มใหญ่จึงทำได้เพียงคว้าจับวูบกับอากาศอันว่างเปล่า
หากแต่พวกมันยังคงไม่ละความพยายาม เมื่อมันพลาดหมู่เถาวัลย์เหล่านั้นก็สะบัดตัวย้อนกลับมาทางรักยมอีกครั้งหนึ่ง
เด็กน้อยที่จับจ้องการเคลื่อนไหวนั้นอยู่แล้ว พูดพึมพำบริกรรมคาถาก่อนที่สองมือจะส่องประกายวาววับ และขยับใช้มือ
น้อย ๆ เริ่มทำการฟาดฟันเชือดเฉือน สับใส่หมู่เถาวัลย์ที่พุ่งเข้าใส่ตน

เสียงแคว้กคว้ากดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเถาวัลย์เหล่านั้นโดนฟาดฟันจนขาดสะบั้นเป
็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เพียงพริบตาหมู่เถาวัลย์นับสิบก็หล่นร่วงลงไปกองอยู่กับพื้นดินอย่างไร้สภาพ พริบตาต่อมาเถาวัลย์ด้านบนเหวี่ยงสะบัด
เอากิ่งไม้ใหญ่ขนาดเท่าตัวคนแหวกอากาศมาทางรักยมอย่างน่ากลัว

ดวงตาของรักยมฉายประกายแวววาวอีกครั้ง เด็กน้อยบริกรรมคาถาสั้น ๆ ที่ต่างไปจากเมื่อครู่ จากนั้นมือ
เล็ก ๆ ก็กำหมัดแน่นแล้วต่อยเข้าชนกับกิ่งไม้ใหญ่อย่างไม่กลัวเกรงจนเกิดเสียงดังตูมสนั่น กิ่งไม้ใหญ่ขนาดเท่าตัวคน
แตกหักกระจุยกระจาย ก่อนลอยละลิ่วปลิวกระเด็นไปข้างทางเหมือนกิ่งไม้เล็ก ๆ ไร้น้ำหนัก ขณะที่ร่างวิญญาณเล็กจิ๋ว
อันทรงพลังของรักยมยังคงพุ่งตรงดิ่งไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ร่างวิญญาณของนางตะเคียนไม่มีทีท่าตระหนกใด ๆ ในอิทธิฤทธิ์ของรักยม เธอยังคงพุ่งถอยวูบไปด้านหลัง
ขณะที่ร่างวิญญาณของรักยมพุ่งตามใกล้เข้ามา ... สองร่างนั้นค่อย ๆ ใกล้เข้าหากันเรื่อย ๆ และแล้วเมื่อร่างทั้งสองอยู่ห่าง
กันเพียงช่วงลำตัว หมู่เถาวัลย์ชุดใหญ่อีกชุดก็พุ่งสะบัดฉกใส่ร่างวิญญาณของรักยมเหมือนแส้อีกครั้ง

รักยมที่เพิ่งฟาดฟันเถาวัลย์จนขาดสะบั้นคามือไม่ได้รู้สึกหวั่นเกรงต่อกลุ่มเถาวัลย์
ชุดใหม่แต่อย่างไร ดวงตา
ยังคงจับจ้องเบื้องหน้า สองฝ่ามือส่องประกายเจิดจ้ามากกว่าเดิม เด็กน้อยมั่นใจว่าเพียงตัดเถาวัลย์ชุดนี้ให้ขาดอีกครั้ง ก็จะ
พุ่งเข้าไปถึงตัวของนางตะเคียนได้ จากนั้นจะเป็นเวลาลงโทษยัยป้ามหาภัยให้สาสม

เด็กน้อยที่กำลังเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ไม่ทันที่จะได้สังเกตเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากของนางตะเคียน
มือน้อย ๆ นั้นเงื้อฟันฉับเข้าไปยังเถาวัลย์ที่พุ่งเข้ามาใส่อีกครั้ง หากแต่เพียงว่าคราวนี้มันกลับไม่ขาดสะบั้นอย่างที่ควรจะ
เป็น ดวงตาน้อย ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจนั้นเปิดกว้างอย่างตื่นตระหนก ขณะที่เถาวัลย์เส้นใหญ่นับสิบเส้นที่ไม่อาจ
ทำลายทิ้งได้นั้นกำลังเลื้อยพัวพันรัดไปรอบร่างของเด็กน้อยอย่างรวดเร็ว เด็กน้อยพยายามออกแรงฝืนตัวดิ้น แต่กลับไม่
สามารถกระทำได้ พลังมนตราทั่งร่างเหมือนโดนรบกวนจนไม่อาจจะรวบรวม และเพียงชั่วพริบตาร่างวิญญาณของเด็กน้อย
ก็โดนกลุ่มเถาวัลย์พัวพันใส่จนไม่สามารถแม้แต่จะกระดิกกระเดี้ยวตัวเอง

ส่วนเด็กน้อยรักยมอีกหนึ่งก็กำลังตื่นตระหนกเช่นเดียวกัน มือที่อัดไปด้วยพลังเวทย์มนต์จนเปล่งประกายจ้า
ไม่อาจที่จะฟาดฟันเถาวัลย์ที่พัวพันรัดร่างของชายหนุ่มผู้เป็นพ่อให้ขาดออกได้แม้แต่
เส้นเดียว ดวงตาที่ทอประกายวาว
โรจน์นั้นเบิกตาโพลงเมื่อสังเกตเห็นเชือกเส้นเล็ก ๆ สีขาวหม่นพัวพันอยู่กับเส้นเถาวัลย์ เชือกเส้นเล็ก ๆ นั้นเปี่ยมไปด้วย
คาถาอาคมอันบริสุทธ์ เชือกเส้นเล็ก ๆ ที่ถูกปลุกเสกในพุทธพิธี เชือกเส้นเล็ก ๆ ที่ไม่มีอำนาจอันใดนอกเหนือไปจากการ
ใช้สำหรับป้องกันภูติผี และแม้นว่ารักยมจะมีฤทธามากมายเพียงใด ก็ไม่อาจจะหนีพ้นความจริงที่ว่า พวกเขาคือภูติผีไปได้

เด็กน้อยหันไปมองร่างวิญญาณของคู่แฝดที่กำลังโดนพัวพันด้วยเถาวัลย์อย่างตื่นตระหนก เด็กน้อยรู้แล้วว่า
เหตใดคู่แฝดของเขาจึงได้เพลี่ยงพล้ำ และไม่ทันที่จะได้คิดกระทำการสิ่งใด รากไม้เบื้องล่างก็พุ่งพรวดโผล่ออกมาจากผืนดิน
มันพุ่งเข้ามารัดพัวพันขาสั้น ๆ ของเด็กน้อยรักยมอย่างรวดเร็ว

เด็กน้อยพยายามรวมกำลังดิ้นกระชากให้มันขาดออก แต่ก็เป็นเพียงการกระทำที่เปล่าประโยชน์ในเมื่อราก
ไม้นั้นก็มีสายสิญจน์สีขาวหม่นพัวพันรัดอยู่เช่นเดียวกันกับเถาวัลย์ที่เด็กน้อยไม่อ
าจจะตัดให้ขาดได้ เด็กน้อยรักยมทำได้
เพียงปล่อยให้รากไม้นั้นเลื้อยพัวพันตัวเองอย่างช้า ๆ ด้วยอารมณ์เคืองแค้น

"ปล่อยยย" เอกผู้ซึ่งได้ครอบครองพลังอันเหนือผู้คนธรรมดาเมื่อได้เห็นว่ารักยมที่เขาถือเสมือนว
่าเป็นลูก
กำลังพลาดพลั้งก็เกร็งกล้ามเนื้อทั่วร่างอย่างสุดตัว เขาออกแรงดึงดันกระชากแขนฝืนแรงของเถาวัลย์ที่เหนียวและแข็งแรงพอ
ที่จะกระชากต้นไม้ขนาดเล็ก ๆ ไว้ได้ เสียงแคว้กดังขึ้นเบา ๆ เมื่อเถาวัลย์ทรงพลังนั้นไม่อาจต้านทานพลังของเขาได้ มัน
ค่อย ๆ ขาดไปทีละเส้นสองเส้นจนแขนขวาของเขาเป็นอิสระ เขาสะบัดตัวพยายามดึงรั้งแขนอีกข้างเพื่อปล่อยตนเองให้พ้น
จากพันธนาการ ... แต่แล้วเถาวัลย์กลุ่มใหม่ ก็พุ่งเข้ามาพัวพันรัดตัวเขาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว และคราวนี้มันพัวพันรัดแน่น
แข็งแรงเสียจนเขาไม่สามารถขยับตัวได้แม้แต่น้อย

"โอ ... ต้องแข็งแรงเยี่ยงนี้ซิ จึงสมกับเป็นผู้ชายของข้า ... " นางตะเคียนเบิกตาโพลงระคนไปด้วยความ
ตื่นตกใจ และความชื่นชมในตัวชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งเวทย์มนต์คาถา และพละกำลังทางร่างกายอย่างน่า
หลงไหล

"ยายตะเคียนขี้โกง แน่จริงอย่าใช้สายสิญจน์มาสู้กันซิ" สองเด็กน้อยรักยมร้องตะโกนประท้วงอย่างเคืองแค้น

"ฮึ ฮึ เจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะโง่สู้กับผีที่ทรงฤทธิ์อย่างพวกเจ้าตรง ๆ หรอกนะเด็กน้อย อีกอย่างพวกเจ้ามีกันถึง
สาม ข้าจักขอใช้ตัวช่วยสักหน่อยคงไม่ผิดกระมัง ... อย่างไรเสีย ภายใต้ต้นตะเคียนใหญ่นี้ ตัวข้าก็ถือเป็นเทพารักษ์ มิใช่
ภูติผีเช่นเจ้า ... ตัวข้าจึงมิได้รับผลกระทบใด ๆ จากสายสิญจน์เก้าวัดนี้แม้แต่น้อย ... ส่วนพวกเจ้า ต่อให้แก่กล้ายังไง ก็มิ
อาจสู้อำนาจอันบริสุทธิ์แห่งพระพุทธคุณได้หรอก"

.... และแล้วสุ้มเสียงทุกอย่างก็เงียบงันลง มีแต่เพียงเสียงสายลมพัดผ่านอย่างบางเบา และเสียงหัวเราะสดใส
ของนางตะเคียน... มันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าการสู้รบครั้งนี้จบลงแล้วอย่างรวดเร็ว ... และเป็นการจบลงด้วยชัยชนะ
อันหมดจดของนางตะเคียนทองเสียด้วย

....................................................

   ใต้ต้นตะเคียนใหญ่ นางตะเคียนทองผู้อยู่ในคราบเรือนร่างเปล่าเปลือยอันแสนเย้ายวนของหญิงแฟนสาว
ของเอก กำลังเดินเยื้องย่างหัวเราะอย่างสบายอารมณ์ เธอมองร่างเด็กน้อยสองร่างที่โดนพันธนาการอย่างแน่นหนาด้วย
แววตาของผู้ชนะ ก่อนที่จะหันไปมองร่างกำยำของเขาที่โดนพันธนาการด้วยเถาวัลย์อยู่เช่นกันเพียงแต่มีจำนวนน้อยกว่า

   เธอสั่นสะท้านไปทั้งตัวด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาดเมื่อได้ประสานสบกับสายตาที่เต็มไปด้วยความ
ขุ่นเคืองของเขา เมื่อครู่นี้สายตาของเขายังคงฉายแววของเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความเจ้าชู้ และความอยากรู้อยากเห็น
อยู่แท้ ๆ หากแต่ตอนนี้แววตานั้นดูลึกล้ำขุ่นเคืองและเปี่ยมไปด้วยพลังด้านมืดอันเหนือล้ำจนมีแรงดึงดูดมากยิ่งกว่า
ชายใด ๆ ที่เธอเคยประสบพบเจอในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา

   "ปล่อยนะ ผมต้องไปช่วยน้องหญิง" เอกพูดเสียงดังขณะเริ่มสะบัดตัวแรง ๆ อีกครั้ง จนตัวเขาที่โดนแขวน
อยู่กับเถาวัลย์โยกไหวไปมา

   "ยายตะเคียนแก่งั่ก ขี้มุสา ไหนบอกว่า จะไม่ทำร้ายพ่อพวกหนู" รักยมที่โดนเถาวัลย์และสายสิญจน์ห่อ
ตัวจนแทบไม่มีช่องว่างยกเว้นเพียงแต่สองตาและปากร้องตะโกนด่าทอนางตะเคียนอย่างโกรธแค้น

   "... เด็กน้อยเอ๋ย ... ข้าก็กระทำตามวาจาข้าแล้ว ข้าได้ทุบตีทำร้ายพ่อของเจ้าเมื่อไหร่รึ ... ข้าก็เพียงจับ
ตัวเขาไว้ไม่ให้ไปไหนแค่นั้นเอง ... มิได้ทำให้เสียเลือดเสียเนื้อใด ๆ เลยแม้แต่น้อย" นางตะเคียนพูดเล่นลิ้นพลาง
ยิ้มเยาะใส่รักยมที่มองมาอย่างเคืองแค้น

   "เอาล่ะ ... ข้าว่า เราสมควรมาเจรจาพาทีกันสักหน่อยดีกว่านะพ่อหนุ่มน้อย ... หากตกลงกันได้ ข้าจะ
ปล่อยเจ้าไปก็ได้" นางตะเคียนยิ้มอย่างยั่วยวนขณะเดินเยื้องย่างพาเรือนร่างเปลือยเปล่านั้นเข้าไปแทบประชิดกับ
เรือนร่างกำยำของเอก ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเธอเองก็อยากจะใคร่สัมผัสกับร่างกายอันแข็งแกร่งของเขาอีกครั้ง หากแต่จนใจ
ที่ตอนนี้ร่างวิญญาณของเธอมิอาจทำได้

   "เจรจา ? ท่านต้องการอะไรจากผมกันแน่" เอกพยายามข่มกลั้นลดระดับอารมณ์ลงมาเพื่อพูดคุย

   "ไม่เอา ... เรียกข้าว่าพี่สาวเหมือนเมื่อกี้ซิ ... หรือจะเรียกข้าว่ายอดรัก หรือที่รัก อย่างที่เจ้าเรียกหาแฟน
ของเจ้าก็ได้" นางตะเคียนพูดเสียงสั่นเมื่อเธอเข้าใกล้จนได้กลิ่นกายของชายหนุ่มผู้นี้ กลิ่นกายที่ชวนหลงไหล

   "เอาล่ะ ... พี่สาว ต้องการอะไร" เอกพยายามพ่นลมออกจากปากเพื่อระบายอารมณ์โกรธออก ก่อนจะยอม
เรียกพี่สาวตามข้อเรียกร้องของนางตะเคียน ผู้ที่กำลังกุมอำนาจต่อรอง

   "ความปราถนาของข้ามีเพียงสามเรื่อง .... หนึ่ง ให้ข้าเป็นผู้หญิงของเจ้า ... ให้ข้าได้อยู่คู่กับเจ้า ห้ามทอด
ทิ้งข้า ..." นางตะเคียนใบหน้าแดงซ่านขณะพยายามใช้มือลูบสัมผัสแผงหน้าอกของเอก แม้จะสัมผัสไม่ได้แต่ดวงตา
ของเธอก็ฉ่ำเยิ้มเต็มไปด้วยอารมณ์แห่งรัก อารมณ์แห่งตัณหา และราคะ

   "ข้อแรกข้าคิดว่าเจ้าคงจะยอมรับได้กระมัง ... แต่ข้อที่สองนี่ซิ ... เจ้าจะต้องช่วยให้ข้าหลุดบ่วงกรรม
ช่วยให้ข้าหลุดออกจากการจองจำ หลุดออกจากการถูกผูกมัดอยู่กับต้นตะเคียนใหญ่ต้นนี้" นางตะเคียนเว้นระยะ
ก่อนพูดต่อด้วยแววตาเศร้าสร้อย

   "ต้องทำยังไง ถึงจะช่วยท่าน ... เอ่อ ... พี่สาวได้"

   "เมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้ว มีพระป่าตาบอดธุดงค์มาพบข้า ข้าขอร้องให้ท่านช่วยเหลือ ให้ข้าพ้นเวรพ้นกรรม
แต่ท่านก็บอกเพียงว่า ให้ข้าตั้งจิตอธิษฐานแผ่เมตตารอเวลา แล้ววันหนึ่งจะมีคนมาปลดปล่อยข้า ก่อนจากไปท่าน
ได้ฝากบทกลอนนี้ไว้ให้ข้า ... บทกลอนที่ข้าท่องจำหลายสิบหมื่นครั้ง บทกลอนที่ข้าเฝ้ารอคอยมาตลอดเวลา...."
นางตะเคียนเว้นช่วงนิดหน่อยก่อนพูดต่อด้วยสุ้มเสียงไพเราะน่าฟัง

   "เจ้าจักหลุด พ้นกรรม แต่ปางก่อน       เมื่อได้ถอน ต้นไม้ยักษ์ ให้หักล้ม
   ผู้รื้อถอน เป็นมนุษย์ ผู้ตรอมตรม       ร่ายอาคม ถล่มสิ้น ซึ่งบ่วงกรรม ..."

   เอกทบทวนเนื้อหาของบทกลอนนั้น ก่อนมองโคนต้นตะเคียนขนาดหลายสิบคนโอบ แล้วแหงนหน้าขึ้น
ไปมองยอดต้นตะเคียนใหญ่ที่สูงชะลูดประหนึ่งจะค้ำยันฟากฟ้าเอาไว้ ... นี่จะให้เขาถอนต้นไม้ต้นใหญ่ยักษ์ที่เหมือน
ภูเขาต้นนี้น่ะเหรอ ... ไม่มีทาง ....

   "... ข้าเฝ้าครุ่นคิดเสมอมา ... ว่าพระธุดงค์ตาบอดรูปนั้นจะหลอกข้าหรือไม่ ... จะมีมนุษย์ที่ไหนกันเล่า
ที่จะมาถอนต้นตะเคียนต้นนี้ด้วยอาคมได้ ... และข้าก็คิดว่า ตัวเจ้าก็มิอาจทำได้ ..."

   เอกหันไปมองรักยมด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยคำถาม ขณะที่สองเด็กน้อยก็ส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ

   "... ข้าเฝ้าเพียรพยายามค้นหาความเป็นได้ ... จากดวงตาพิสุทธ์ที่ข้ามองเห็น ข้าเข้าใจว่าโลกของพวกเจ้า
ในตอนนี้พึงมีอาวุธสงครามร้ายแรงที่อาจจะกระทำได้ พลังที่ทำลายได้แม้แต่ภูเขา ทำลายได้แม้แต่ทะเล หรือทำลายได้
แม้แต่ชาตพันธ์ และโลกที่พวกเจ้าอาศัยอยู่ ... แต่นั่นก็มิใช่เวทย์มนต์คาถา ดังที่พระธุดงค์ท่านได้ชี้ทางไว้ ..."

   "หลังจากที่ ... ข้าคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ... ข้าจึงตรอมใจและนอนหลับไหลไปนานนับปีด้วยอารมณ์
หดหู่ ... จนกระทั่ง ... วันนั้น ... วันที่หมอผีเรืองอำนาจผู้หนึ่งได้ผ่านมา เขาได้ชี้ทางที่เป็นไปได้ให้แก่ข้า ...
เมื่อข้าบอกกลอนที่พระธุดงค์บอกข้า เขาก็บอกข้าว่าพระธุดงค์องค์นั้นบอกข้าไม่หมด ทางออกของบ่วงกรรมข้ามี
มากกว่านั้น .... เขาบอกข้าว่า" นางตะเคียนเผยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง

   "เจ้าจักหลุด พ้นกรรม แต่ปางก่อน       เมื่อได้ถอน ต้นไม้ยักษ์ ให้หักล้ม
   ผู้รื้อถอน เป็นมนุษย์ ผู้ตรอมตรม       ร่ายอาคม ถล่มสิ้น ซึ่งบ่วงกรรม ..   

   หรืออีกหนึ่ง ร่างงาม ผู้เปี่ยมรัก       จงชวนชัก ชายหนุ่ม ให้ลุ่มหลง
   เมื่อเขายก มอบให้ ร่างอนงค์      ได้แล้วจง จากไป ไร้โซ่ตรวน"


...............................................................................................

   "ผู้หญิงที่ว่าคือน้องหญิงอย่างงั้นเหรอ ... แล้วต้องการให้ผมยกน้องหญิงให้อย่างงั้นเหรอ" เอกพูดด้วย
น้ำเสียงแหบแห้งด้วยความกลัวที่เอ่อล้นอยู่เต็มอก

   "ใช่แล้ว ... ผู้หญิงผู้นั้น ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยรักที่มีต่อเจ้า ผู้ที่ผูกสัมพันธ์รักกับเจ้าทั้งร่างกายและจิตใจ
ผู้มีเรือนกายงดงามดั่งเทพธิดา ผู้มีบุญญาเปี่ยมล้น แต่กลับต้องทนทุกข์ด้วยหนี้กรรมเก่าจากภพภูมิที่แล้วมา ...
หากเพียงเจ้ายอมรับ ข้าจักครอบครองร่างนั้นได้ก่อนที่นางจะสิ้นลม ... จากนั้นข้าจะเป็นทาสรัก ทาสสวาทให้เจ้า
... ข้าจะทำให้เจ้าได้ครอบครองเหล็กไหล ให้เจ้าได้ครอบครองพลังอันยิ่งใหญ่เหนือผู้ใด ให้เจ้าได้มีความเป็นอมตะ
เมื่อถึงเวลานั้นไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด ก็จักใด้ ต้องการสตรีนางใด ก็สามารถหามาได้โดยง่าย แล้วเราสองคนก็จะได้
อยู่ด้วยกันตลอดกาลบนจุดสูงสุดเหนือกงกรรมกงเกวียนใด ๆ ... ข้าขอเพียงวันนี้ เจ้าจงตัดใจจากผู้หญิงของเจ้าซะ"

   "ผมไม่อยากได้อะไรพวกนั้นหรอก ... ผมเป็นแค่คนธรรมดาที่บังเอิญมีรักยมเท่นั้นเอง ... ปล่อยผม
ไป แล้วไปหาคนอื่นเถอะ ... ผมต้องรีบไปช่วยน้องหญิง"

   "คนธรรมดางั้นรึ ... ฮึ ฮึ ... หนุ่มน้อยสุดที่รักของข้า ... เจ้าอาจจะไม่รู้ตัว และอาจจะไม่มีผู้ใดบอก...
แต่ว่าเจ้าน่ะห่างไกลกับคำว่าคนธรรมดามากนัก ..." นางตะเคียนพูดเว้นระยะรอให้เอกมองด้วยความสงสัย

   "รักยม มิใช่สิ่งที่ผู้ใดก็ครอบครองได้ ... รักยมเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่เลือกผู้ถือครอง ... พวกมันมิได้มีพลัง
อำนาจด้วยตนเอง ... พวกมันมีเพียงองค์ความรู้แห่งเวทย์มนต์คาถาอันยิ่งใหญ่เหนือตำราหรือคัมภีร์เวทย์มนต์
ใด ๆ ... หากแต่พวกมันไม่สามารถใช้คาถาเหล่านั้นได้ด้วยตนเอง ... พวกมันต้องการเจ้าของที่เปี่ยมไปด้วยพลัง
แห่งมนตรา เจ้าของที่มีพร้อมซึ่งพลังอำนาจและดวงชะตาที่ต้องกัน ... หากพวกมันอยู่กับคนธรรมดา พวกมันก็
เป็นได้เพียงตุ๊กตาไม้ไร้ค่า ไร้ราคาตนหนึ่ง ... แต่เมื่ออยู่กับคนพิเศษ ... คนที่เปี่ยมด้วยพลังอันซ่อนเร้นเช่นเจ้า
... พวกมันก็จักกลายเป็นวิญญาณที่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ"

   "ผมไม่เข้าใจ ... " เอกแม้จะพอจับใจความในนั้นได้ แต่ก็ไม่อาจจะยอมรับได้ เขาน่ะเหรอมีพลัง

   "... เจ้าไม่ต้องรีบเข้าใจหรอกหนุ่มน้อย ... สักวันหนึ่งเจ้าจะเข้าใจ ... เข้าใจถึงพลังที่แท้จริงในตัวเจ้า
แต่หากเจ้าไม่เชื่อวาจาของข้า ก็ลองถามเจ้าเด็กรักยมสองตัวนั่นก็ได้ ..." นางตะเคียนพูดตอบเสียงหวาน

   "รักยม ..." เอกหันไปขอความเห็นจากรักยม

   "จริงจ้ะ ... ที่พวกหนูปรากฎตัวออกมาได้ ที่พวกหนูใช้เวทย์มนต์คาถาได้ ก็เป็นการดึงเอาพลังแฝง
ของพ่อออกมาใช้ตามที่พ่อต้องการเท่านั้นเอง ..." เด็กน้อยตอบ

   "พลังเริ่มต้นของเจ้านั้นแม้จะมีอยู่ แต่ก็ไม่ได้มากเช่นตอนนี้ ... วันที่เจ้าใช้พลังไปปราบโจรร้ายที่
บ้านของคนรักของเจ้าและถูกยิงจนเกือบตายนั้นเจ้ายังมีพลังเพียงน้อยนิด หากเป็นคนธรรมดาเจ้าคงจักต้องสิ้นลม
ไปแล้ว ด้วยบาดเจ็บทางร่างกาย และไร้สิ้นซึ่งพลังมนตรา ... แต่ด้วยบุญญา และชะตาของเจ้า ทำให้เจ้าได้พานพบ
กับสิ่งอัศจรรย์ ... สิ่งที่พ่อมดหมอผีทั่วหล้าต่างค้นคว้าและเรียนรู้ ... สิ่งที่เรียกว่า เวทย์เป็นตายฟื้นคืน ... เวทย์ที่ว่า
ด้วยการยอมให้ตนเองตาย เพื่อให้ตนเองได้สัมผัสกับพลังแห่งวิญญาณ และมนตราแห่งธรรมชาติ ... และเมื่อฟื้นตื่น
ขึ้นมาอีกครั้ง ผู้กระทำจักได้พลังแห่งเวทย์อันมากมายมหาศาลไว้ครอบครอง ... แต่น่าเสียดายที่สิ่งนี้มิได้เกิดขึ้นง่าย
นัก ... หมอผีนับสิบหมื่นอาจจะมีเพียงหนึ่งที่สามารถฟื้นตื่นขึ้นมาด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ได้ ... แต่เจ้าทำได้ ... แถมยัง
ทำถึงสองครั้งซะด้วยซิ ..."

   "......." เอกรับฟังจนงุนงงพูดอะไรไม่ออก เป็นตายฟื้นคืนอะไรกันเขาไม่เห็นจะรู้เรื่องอะไรสักอย่าง
เท่าที่เขาเข้าใจพลังของเขาควรจะได้มาจากรักยมเท่านั้น ไม่ใช่พลังอะไรของเขาเสียหน่อย

   "... ดวงตาข้าเห็นได้ว่าเจ้าผ่านความเป็นตายมาแล้วสองครั้ง ... แต่ไม่อาจจะเห็นได้ว่าเจ้าพบเจอกับอะไรมา
... แล้วเจ้าได้พบกับอะไรมาบ้างล่ะหนุ่มน้อย ... อะไรสักอย่างที่ยิ่งใหญ่ ที่แฝงตัวอยู่ในโลกแห่งวิญญาณที่เจ้าได้ผ่านไป"

   "... ท่าน ... เอ่อ พี่สาวคงจะเข้าใจผิดแล้ว ... ตอนนั้นผมไม่เห็นว่าจะมีอะไรเลย ครั้งแรกมันมีแต่มืดแล้วก็
เงียบ ... ส่วนครั้งที่สองก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลย นอกจากเหมือนกับโดนดูดหมุนติ้วเหมือนอยู่ในพายุ" เอกนึกเหตการณ์
ที่เกิดขึ้นครั้งแรกนั้นเขาโดนยิงจนเกือบตาย ส่วนครั้งที่สองคงจะเป็นตอนที่ถอดวิญญาณไปช่วยปูคนไข้สาวของฝ้าย

   "... เจ้าบอกว่าพายุงั้นรึ ... เจ้าอย่าโกหกข้าดีกว่า โลกวิญญาณที่ไหนจะมีลมได้ ... ลม ... พายุ ... เจ้าบอก
ว่าพายุงั้นรึ ...." นางตะเคียนพูดทำท่าครุ่นคิดเหมือนจะไม่เชื่อ
   
   "เรื่องเป็นยังไงไม่รู้ ผมไม่สนใจหรอก แต่ผมต้องรีบไปช่วยน้องหญิง ผมไม่ตกลงเด็ดขาด ปล่อยผมไปเดี๋ยวนี้"
เอกเริ่มโวยวายอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเวลาเริ่มจะผ่านไปนานเกินไปแล้ว เวลาอันมีค่าที่จะช่วยคนที่เขารัก กำลังลดน้อยลงไปเรื่อยๆ

   "... เจ้าไม่มีทางเลือกหรอกนะหนุ่มน้อย ... สิ่งที่ดวงตาข้าเห็น ถึงแม้ว่ามันจะยังไม่เกิด แต่มันก็ต้องเกิดอย่าง
แน่นอน ในไม่ช้านี้ เจ้าจะโกรธ จะแค้นอย่างไร ก็เปลี่ยนแปลงมันไม่ได้หรอก คนเรามีกรรมของตนเองที่ต้องยอมรับ เจ้าควร
จะหมดรักนาง แล้วหันมาอยู่กับข้าจะดีกว่า" นางตะเคียนพยายามพูดโน้มน้าวเอกที่กำลังดิ้นรนจนร่างแกว่งไหวไปมา เธอ
เอาใบหน้าไปแนบกับใบหน้าของชายหนุ่มจนดวงตาของทั้งคู่แทบจะแนบชิดติดกัน

   "หญิงสาวสวยประหนึ่งราชนิกูลผู้สูงส่ง เธอเกิดมาเปี่ยมไปด้วยบุญและวาสนานำพา แต่กระนั้นกรรมเก่าที่ติด
ตามแต่ภพชาติก่อน ก็ทำให้ความสวยนั้นเป็นกรรม ให้มีแต่ชายชั่วอยากครอบครองเป็นเจ้าของ หากเจ้าไม่ยอมตัดใจ ข้าก็
จะให้เจ้าได้เห็นในสิ่งที่ข้าเห็น มันเป็นสิ่งที่จะบังเกิดขึ้นจริง สิ่งที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้" ดวงตาเธอสว่างวาบแต่ไม่เจิดจ้าจน
แสบตา และเป็นอีกครั้งที่เอกโดนดึงดูดเข้าไปในดวงตานั้น สายตาของเขาเริ่มเห็นภาพมากมายวิ่งผ่านไปมาอย่างรวดเร็ว
อีกครั้ง และเมื่อผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งภาพนั้นก็เริ่มช้าลงเรื่อย ๆ ช้าลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งหยุดลง

.......................................................................

   เอกมองเห็นภาพอะไรบางอย่างในนั้น ภาพนั้นส่ายไหวไปมาเหมือนกับภาพบนกล้องวีดีโอที่ถ่ายทำไม่ค่อยดีนัก
อย่างช้า ๆ ภาพนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนเขาเห็นได้ชัด ใบหน้านั้นเขาช่างคุ้นเคย สุ้มเสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดที่่ถ่ายทอดผ่าน
ออกมานั้นราวกับจะเสียดแทงแก้วหูบาดลึกเข้าไปถึงจิตใจ เขาเห็นแล้ว เห็นอย่างชัดเจนที่สุด ภาพที่บาดลึกจนเขาเจ็บแปลบแทบ
ลืมหายใจ .... มันเป็นภาพร่างเปลือยของคนที่เขารักที่สุด

   ในภาพนั้นร่างเปลือยขาวผ่องของน้องหญิงเด้งสะท้อนไปมาด้วยแรงกระแทกจากเบื้องล่าง ร่างดำ ๆ ของชายฉกรรจ์
แนบสนิทติดกับหว่างขาของเธอ ร่องสวรรค์ที่เขาจับจองเป็นเจ้าของมาตลอดบัดนี้กำลังโดนแท่งเนื้อสีดำคล้ำวิ่งเข้าวิ่งออกอย่างไม่
หยุดยั้งจนกลีบเสียวยับย่นเข้าออกสลับไปมา
   
   เธอร่ำไห้อย่างเจ็บปวดและอ้อนวอน แก้มขาวใสอมชมพูของเธอบัดนี้แดงก่ำ และมีรอยเลือดบริเวณริมฝีปาก เขาเห็น
มือหยาบใหญ่ข้างหนึ่งสะบัดเพียะตบไปที่แก้มนุ่มของน้องหญิงจนเธอหน้าหัน ได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของแฟนสาวดังมา
พร้อมกับเสียงหัวเราะหื่น ๆ อย่างสะใจของผู้ชายคนนั้น มันกระหน่ำตบซ้ำอีกหลายทีจนใบหน้าสวยนั้นแดงช้ำ

   ร่างดำ ๆ นั้นอัดกระแทกซ้ำใส่ร่างอวบอัดไม่หยุดยั้ง ร่างขาว ๆ บอบบางยิ่งกระเด้งสะท้านไปมาเร็วและแรงขึ้นเรื่อย ๆ
สองเต้าอวบกลมโดนมือหยาบนั้นบีบขยี้เหมือนจะฉีกกระชากให้ขาดวิ่นออกมาเป็นชิ้น ๆ ภาพที่เห็นนั้นทำเอาเอกใจสลายไปแล้ว
นับสิบรอบ แต่กระนั้นก็ตามมันเทียบไม่ได้เลยกับภาพถัดมาที่ทำให้เขาแทบกรีดร้องออกมา

   ในวาระที่มันเร่งเครื่องซอยกระเด้าเอวกระหน่ำอย่างสุดแรงใส่แฟนสาวของเขา สองมือหยาบใหญ่ของผู้ชายคนนั้นก็เอื้อม
ขึ้นไปบีบคอของน้องหญิงอย่างแรง เขาเห็นน้องหญิงพยายามร้องเอะอะ พยายามดิ้นขัดขืน แววตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ความสิ้นหวัง เต็มไปด้วยความเจ็บปวด และการรอคอยใครสักคนที่จะไปช่วยเหลือเธอจากสภาพการณ์นี้

   แต่ที่แห่งนั้นไม่มีใคร ไม่มีใครทั้งสิ้น เอกเห็นสภาพดิ้นรนในยามที่น้องหญิงขาดอากาศอย่างชัดเจน เธอดิ้นรน เธอต่อสู้
เธออยากมีชีวิตอยู่ แต่ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันไม่สนใจใด ๆ มันเอาแต่กระแทกเอวใส่ร่างที่แทบขาดใจนั้นอย่างไม่รู้สึกรู้สาใด ๆ ... และผ่าน
ไปไม่นาน นักดวงตาสวยคู่นั้นก็หลับลงพร้อมกับอาการหยุดนิ่งของร่างกาย น้ำตาใส ๆ ของเธอไหลพรากลงมาจากสองตา สองตาที่ไม่มี
วันจะลืมตื่นขึ้นมาได้อีกครั้ง ริมฝีปากบางนั้นเผยอออกเบา ๆ พร้อมด้วยเสียงสุดท้ายอันเหนื่อยอ่อนของชีวิตที่กำลังหลุดออกจากร่าง
มันเป็นคำที่แทบจะกระชากใจของเขาออกมากองอยู่ตรงนั้น เขาได้ยินเสียงนั้นชัดเจนดังกึกก้องไปทั้งสองใบหู คำพูดสุดท้ายของเธอ
ที่เรียกหาชื่อของเขา

   "... พี่เอก ..." เสียงนั้นแผ่วเบาแทบไร้สุ้มเสียง แต่น้ำเสียงสั้นกลับกรีดแทงเขาจนแทบปริขาดไปทั่วทั้งร่าง น้ำเสียงที่เปี่ยม
ไปด้วยความรักของผู้หญิงคนหนึ่ง มันเจ็บปวดจนจนเขาแทบจะขาดใจตายไปด้วย เจ็บปวดจนอยากจะฆ่าตัวเองสักร้อยสักพันครั้ง
อยากลงโทษตัวเองที่ไม่อาจปกป้องคนที่ตัวเองรักได้ เอกมองภาพน้องหญิงที่พยายามจะเผยอเปลือกตาออกมาเหมือนจะต่อสู้กับความตาย
... เขาบอกให้เธอสู้ บอกให้เธออย่าพิ่งทิ้งเข้าไป ... แต่เพียงครู่เดียวดวงตาสวยคู่ของคนที่เขารักก็ปิดสนิทลง ... และมันจะปิดสนิทไปตลอด
กาลอย่างไม่มีวันหวนกลับคืนมา
   
   
...............................................................................................


   "ข้าจะบอกย้ำอีกครั้งนะ ว่าดวงตาของข้า แม้จะต้องอาศัยมุมมองของคนอื่น แต่มันก็จะเป็นอนาคตที่ถูกลิขิตขีดเขียน
เอาไว้แล้ว ไม่ว่าเจ้าจะพยายามทำการสิ่งใด ก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ ... เอ้าตัดสินใจใหม่ซิ อย่างไรเสียผู้หญิงของเจ้าก็ต้องตาย
อยู่แล้ว ยกร่างของเธอให้ข้าคนนี้ดีกว่าน่า แล้วเราจะได้มีความสุขด้วยกัน" นางตะเคียนยืนมองร่างกำยำที่ถูกพันธนาการอย่างหนาแน่น
ด้วยท่าทีของผู้ชนะ เธอพูดด้วยน้ำเสียงใสซื่อราวสาวน้อยบริสุทธิ์ หากแต่ว่าเสียงนั้นกลับให้ความรู้สึกเยือกเย็นราวเสียงของปีศาจร้ายจาก
ขุมนรกก็มิปาน

   "...  ปล่อย ..." เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอย่างแผ่ว แต่อะไรบางอย่างที่แฝงในนั้นสั่นสะเทือนอากาศไปทั่วทั้งบริเวณจนผู้ฟังสะท้าน

   "หืม ? เจ้ากล่าวว่ากะไรนะ หนุ่มน้อย" นางตะเคียนเริ่มรู้สึกตระหนกเมื่อสัมผัสได้ถึงกระแสแห่งพลังอันมหาศาล เธอเริ่ม
สัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลก ๆ ที่บังเกิดรอบข้างตน บรรยากาศที่ควรจะเงียบสงบบัดนี้ได้ยินเสียงเกรียวกราวของใบไม้และใบหญ้าแห้ง
ที่ลอยปลิวไปมาตามแรงลมอย่างไร้ที่มาที่ไป

   "... บอกให้ปล่อย ..." เสียงทุ้มต่ำจากชายหนุ่มดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างกำยำที่ขืนตัวฝืนแรงดึงรั้งของเถาวัลย์ที่ยึดรั้ง
ร่างของเขาเอาไว้อยู่ คราวนี้อากาศทั่วทั้งบริเวณเหมือนจะสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นกว่าครั้งที่แล้ว แรงจนเธอรู้สึกสะท้านไปถึงหัวใจ
แรงเสมือนว่าแผ่นดินจะสั่นไหว รุนแรงจนใบไม้แห้งและใบไม้สีเขียวสดบางใบถึงกับต้องหลุดออกมาจากกิ่งไม้ก่อนเวลาอันควร

   "ข้าบอกแล้วไงว่า จะอย่างไร เจ้าก็เปลี่ยนแปลงอนาคตไม่ได้หรอก" นางตะเคียนหันมามองร่างชายหนุ่มด้วยความรู้สึก
ที่บอกไม่ถูก ใบหน้าทะเล้นทะลึ่งตึงตังนั้นเคร่งขรึมจนเธอแทบจะนึกว่าเป็นคนละคนกัน รอยยิ้มซุกซนราวกับเด็กที่มีอยู่เสมอราว
จะเหือดหายไปหมด สองตาของเขาแดงก่ำ น้ำตาไหลนองหน้าเหมือนชายชาตรีผู้พ่ายแพ้ที่น่าสมเพศ แต่กระนั้นดวงตาดำของเขา
กลับดำสนิท มันดำมืดเหมือนหลุมดำที่ไร้ก้นบึ้ง ไร้สิ้นซึ่งแสงใด ๆ พร้อมกันนั้นพลังแห่งมนตราที่หมุนเวียนรอบกายของเขายิ่งมา
ยิ่งรุนแรง ยิ่งลึกล้ำ ยิ่งบ้าคลั่ง และยิ่งหนักหน่วงมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

   "บอกให้ปล่อยยยยยยยยย" น้ำเสียงล้อเล่นของเขาแปรเปลี่ยนตะโกนก้องอย่างเป็นจริงจังหนักแน่น ห้วงพลังที่แฝงเร้น
อยู่ในน้ำเสียงนั้นถึงกับทำเอาต้นไม้ต้นหญ้ารอบข้างสั่นสะเทือนราวแผ่นดินไหว ไม่เว้นแม้แต่เจ้าแม่ตะเคียนผู้ทรงฤทธา พลังที่แผ่
พุ่งออกมาทำให้เธอเองก็ถึงกับต้องสะดุ้งถอยกรูดออกมาด้วยความหวาดหวั่น

   กระแสมนตราไร้รูปนั้นแผ่ซ่านออกมาข่มกระแสมนตราของเธอเสียสิ้น มันเอ่อล้นพวยพุ่งทะลักออกมาจากร่างของชาย
หนุ่มเหมือนจะไม่มีหมดสิ้น พลังนั้นก่อกระแสรวมกัน หมุนวนไปในทิศทางเดียวกันอย่างรวดเร็วรุนแรง ยิ่งเวลาผ่านมันก็ยิ่งเร็วขึ้น
เร็วขึ้น และเร็วขึ้น และแล้วในที่สุดพลังนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นสายลมหอบใหญ่ที่หมุนวนกระหน่ำวนเวียนบ้าคลั่งอย่างไม่หยุดยั้ง

   เสียงลมพัดผ่านดังเฟี้ยวฟ้าววูบวาบราวโลกจะแตกสลาย ใบไม้ใบหญ้าบริเวณนั้นโดนกระแสอากาศรุนแรงหอบจน
หมุนคว้างเป็นเกลียวอย่างไม่อาจต้านทาน สิ่งของเล็ก ๆ ทั้งหลายลอยฟุ้งกระจายขึ้นไปบนท้องฟ้าเหมือนโดนมือใหญ่ยักษ์ที่มอง
ไม่เห็นหยิบจับขึ้นไปโยนเล่น รากไม้และเถาวัลย์ที่พัวพันกักร่างของเขาและสองรักยมไว้ค่อย ๆ ขาดกระจุยทีละเปาะ ๆ ประหนึ่ง
โดนมีดที่มองไม่เห็นฟาดฟันกระหน่ำใส่ ต้นไม้เล็กใหญ่รอบข้างนั้นเอนลู่ส่ายไปมาเหมือนจะหักโค่นลงด้วยไม่อาจต้านแรงลม

   "... โอ ... ลม ... พายุ ... เวทย์ธรรมชาติแห่งสายลม ... นี่รึ ... คือสิ่งที่เจ้าพานพบ สิ่งที่หลับไหลอยู่ในตัวเจ้า" นาง
ตะเคียนจ้องมองตาค้างอย่างไม่เชื่อในสายตาพิสุทธ์ของตนเอง น้ำเสียงสั่นเครือนั้นได้ยินเพียงแค่ตนเอง ด้วยโดนกลบด้วยสุ้มเสียง
แห่งสายลมร้อนระอุที่ส่งเสียงหวีดหวิวไม่หยุด แรงลมที่ไม่ควรจะมีผลต่อร่างวิญญาณนั้นพัดฟาดฟันกระหน่ำ กรีดกรายไปทั่วอณู
วิญญาณของเธอจนต้องทรุดตัวลงไปนั่งจับอยู่กับรากไม้ของต้นตะเคียนใหญ่เอาไว้ นางตะเคียนสั่งการให้ไม้เลื้อยและเถาวัลย์ต่าง ๆ
มากันเลื้อยพันขึ้นมาเพื่อยึดเกาะร่างวิญญาณของเธอเอาไว้ ซึ่งหาไม่แล้วร่างอันเปี่ยมไปด้วยฤทธานั้นคงจะต้องปลิวกระเด็นหาย
ไปกับสายลมเหมือนว่าวที่เชือกป่านขาดเป็นแน่ มือเล็ก ๆ นั้น จับยึดที่พึ่งสุดท้ายไว้แน่น ด้วยหวังว่าพลังอันน่าสะพึงกลัวนี้จะหาย
ไปในไม่ช้า

   แต่ไม่เลย ... สายลมที่ไม่ธรรมดานั้นไม่เพียงไม่หยุดยั้ง มันกลับหมุนวนเร็วและแรงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างบ้าคลั่งโดยมีร่าง
ของชายหนุ่มเป็นเสมือนศูนย์กลางที่ไม่ได้โดนผลกระทบอะไรเลย เด็กน้อยรักยมทั้งสองเดินมายืนเคียงข้างร่างของเขาที่ยืนสงบนิ่ง
ประหนึ่งขุนเขาใหญ่ที่ไม่อาจโยกคลอน ผมเผ้าสักเส้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะโดนกระแสลมแรงนั้นพัดผ่าน


   บัดนี้ทั่วทั้งบริเวณที่ไม่ห่างไกลนัก ผู้คนต่างส่งเสียงร้องฮือฮาพากันจอดรถลงมายืนดูภาพปรากฎการณ์ที่พวกเขาไม่เคย
พบเจอมาก่อนด้วยความตื่นตะลึง รถยนต์หลายคันต่างพากันหยุดรถด้วยความตระหนก ขณะที่รถบางคันไม่ทันระมัดระวังก็ถึงกับ
ไปชนท้ายรถคันข้างหน้า และชนต่อเนื่องไปเป็นแถวยาว เหตการณ์นั้นสับสนอลหม่านอย่างที่สุด แต่กระนั้นทุกสายตาก็ยังคงโดน
ดึงดูดให้จับจ้องไปยังความมหัศจรรย์นั้น

   เสียงฮือฮาดังมาจากผู้คนทั่วสารทิศที่สามารถพบเห็นเหตการณ์ได้ ผู้เฒ่าผู้แก่บางคนถึงกับต้องยกมือไหว้ขอให้พระคุ้มครอง
จากสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเหตอาเภทนี้ ... เหตการณ์ที่ใครสักคนอาจจะไม่เคยเห็นแม้สักครั้งในช่วงชีวิต ... เหตการณ์ที่บังเกิดลมพายุหอบ
ใหญ่สูงเสียดฟ้าจนมองเห็นได้แม้จะอยู่ห่างออกมาหลายกิโลเมตร

.....................................................................................

   นางตะเคียนเมื่อเห็นว่าที่ชายหนุ่มยืนอยู่นั้นปลอดภัยก็พยายามฝืนแรงลมดันตัวเองไปข้างหน้าไปยังตำแหน่งที่ไร้แรงลม
แต่ก็ไม่สามารถทำกะไรได้ เพราะเพียงแค่เหนี่ยวรั้งเอาไว้ให้อยู่เธอก็แทบเต็มกลืนอยู่แล้ว และแล้วสิ่งที่นางกลัวก็ได้เกิดขึ้น รากไม้ของ
ต้นตะเคียนใหญ่ที่ชอนไชเกาะเกี่ยวลึกเข้าไปในดินประหนึ่งโดนมือยักษ์มาโยกคลอน ผืนดินที่เธอยืนอยู่นั้นสั่นสะเทือนกระตุกอย่าง
น่ากลัว เสียงเถาวัลย์เส้นเล็ก ๆ ที่พัวพันรอบร่างกายของเธอส่งเสียงดังเพียะพะเมื่อพวกมันเริ่มฉีกขาดออกด้วยทนแรงกระชากไม่ไหว
เธอพยายามฝืนยึดตัวเองให้มั่นต่อไป แต่แม้ว่าจะยังฝืนจับรากไม้นั้นอยู่ เธอก็พบว่าร่างของเธอก็ยังค่อย ๆ ลอยขึ้นสูงกว่าชายหนุ่ม
อย่างช้า ๆ เสียงปึด ๆ ของรากไม้ใหญ่ที่ไม่อาจเหนี่ยวรั้งอยู่กับผืนดินได้ดังขึ้นอย่างถี่ยิบ .... และแล้วนางตะเคียนก็ต้องเบิกตาโพลง
ด้วยความตื่นตระหนกอย่างที่สุดเมื่อพบว่าร่างของเธอกำลังลอยขึ้นพร้อม ๆ กับแผ่นดินผืนใหญ่ที่โดนดึงกระชากขึ้นไปพร้อมกัน

   "กรี๊ดดดดดดดดดดดดด" นางตะเคียนส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจสุดขีด อณูร่างวิญญานของเธอโดนสายลมแห่ง
ความเกรี้ยวกราดนั้นพัดพาส่งย้อนแรงดึงดูดของโลกลอยขึ้นไปบนฟ้าราวกับปุยนุ่น เธอรู้สึกหูอื้อตาลายเมื่อร่างของเธอนั้นหมุนวน
ไปมาตามแรงส่งของพายุใหญ่นั้น ระลอกแล้ว ระลอกเล่าของแรงเหวี่ยง เหมือนจะฉีกกระชากเอาร่างวิญญาณของเธอให้ฉีกขาดออก
เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

   ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่เมื่อสายลมนั้นหยุดลง เธอก็พบว่าร่างของเธอกำลังล่องลอยอยู่กับปุยเมฆสีขาวสะอาด
รอบข้างนั้นมีเศษใบไม้ใบหญ้าปลิวว่อนอยู่ทั่วบริเวณ นางตะเคึยนก้มลงมองเบื้องล่างเห็นแต่เพียงผืนแผ่นดินอันแสนห่างไกล ทาง
หนึ่งมีแต่สีเขียวของต้นไม้เต็มพรืดไปหมด เธอเห็นเส้นถนนที่ถูกตัดคดเคี้ยวตัดผ่านป่าและภูเขาเป็นเส้นเล็ก ๆ เห็นตึกรามบ้าน
ช่องสมัยใหม่ในเมืองใหญ่เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ในสายตา ต้นตะเคียนใหญ่ที่กักขังเธอไว้นานนับปีเป็นเพียงจุดกะจ้อยร่อยเมื่อเทียบ
กับความยิ่งใหญ่ของผืนโลกใบนี้ ความงามดั่งสวรรค์เบื้องหน้า ทำให้เธอลืมเลือนหมดสิ้นว่าเกิดอะไรขึ้น แอบนึกไปด้วยซ้ำว่านี่เธอ
คงหมดเวรหมดกรรมและโดนส่งมาอยู่บนสรวงสวรรค์แล้วกระมัง

   เธออยู่กับฝันหวานได้เพียงครู่เดียว กระแสลมที่หยุดไปเมื่อครู่หมุนย้อนไปอีกทิศทางหนึ่ง ครานี้มันไม่ได้ส่งให้ร่างของ
เธอลอยสูงขึ้น แต่มันกลับดึงร่างนั้นให้ดำดิ่งลงไปเบื้องล่าง น้ำหนักแห่งอณูวิญญาณ แม้จะเพียงน้อยนิด และแม้ว่าตามปกติเธอจะ
สามารถลอยไปลอยมาได้ แต่เมื่อโดนแรงลมนี้เหนี่ยวรั้งกระชากดึงลงไป ร่างวิญญาณนั้นก็ลอยฝ่ากระแสอากาศลงไปด้วยความเร็ว
ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ร่างของเธอพุ่งเร็วขึ้น และเร็วขึ้น ร่างพุ่งเสียดกับอากาศลงไปสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็วราวกับเป็นกระสุน
ปืน และแล้วนางตะเคียนผู้น่าสงสารก็ต้องกรีดร้องยาว ๆ ออกมาอีกครั้ง เมื่อเห็นภาพผืนดินอยู่เบื้องหน้า

...............................................................................

   ตุบ

   เสียงทึบ ๆ เบา ๆ ดังขึ้นเมื่ออณูแห่งร่างวิญญาณนั้นหล่นลงมากระแทกกับพื้นผิวโลก นางตะเคียนร้องโอดโอยเสียง
แหบแห้ง พร้อม ๆ กับเสียงดังตุบตับถี่ ๆ ที่ดังขึ้นทั่วบริเวณเมื่อกิ่งไม้ใบหญ้าที่ถูกพัดให้ลอยขึ้นไปก็ร่วงหล่นลงมาพร้อม ๆ กัน

   เธอพยายามยันตัวลุกขึ้นยืน ซึ่งหากไม่ใช่ว่าร่างของเธอเป็นวิญญาณแล้วล่ะก็ ร่างนั้นคงจะแหลกเหลวจนจำแทบ
ไม่ได้เสียแล้ว เมื่อต้องพุ่งลงมาชนกับผืนโลกจากความสูงขนาดนั้น แต่กระนั้นก็ใช่ว่าเธอจะไม่เป็นอะไรเลย ร่างนั้นไม่บุบสลาย
ก็จริง แต่เธอก็สัมผัสได้ว่า พลังของเธอนั้นสูญหายไปเกือบจะทั้งหมด ดวงตาที่เคยส่องแสงสีเขียวแวววาวนั้นบัดนี้เหมือนกองไฟ
ที่ไร้ฟืน มันเป็นเพียงดวงตาธรรมดาที่ไร้สิ้นซึ่งพลังใด ๆ เธอล้มตัวทรุดลงไปกองกับพื้นอีกครั้งอย่างหมดเรี่ยวแรง และเธอพบว่า
ตอนนี้เธอเหมือนกำลังหมอบคลานอย่างพ่ายแพ้ให้กับชายหนุ่มที่ขยับเดินเข้ามาหาเธอ

   "พ่อจ๋า เจอแล้ว รีบไปกันเถอะ แม่อยู่ทางนี้" เสียงใสแจ๋วของเด็กน้อยรักยมทั้งสองคนดังขึ้นแทบจะพร้อมกันจาก
ณ ตำแหน่งที่ไม่ไกลนัก เมื่ออาณาบริเวณเวทย์ของเจ้าแม่ตะเคียนโดนทำลาย รักยมก็สามารถที่จะรับรู้เหตการณ์ได้เฉกเช่นเดิม
สถานที่ ที่แม่ของเด็กน้อยทั้งสองอยู่สัมผัสเข้ามาในความรับรู้ได้อย่างง่ายดายเช่นเคย

   "พ่อจ๋า ให้พวกหนูจัดการยายแก่ใจร้ายคนนี้เลยมั้ย ทำกับพวกเราแสบนัก" สองรักยมพุ่งตัวเข้ามาใกล้ ฝ่ามือของ
เด็กน้อยทั้งสองนั้นเป็นประกายแห่งมนตราวาววับ มนตราที่พร้อมจะฉีกกระชากทำลายล้างวิญญาณของนางตะเคียนให้สูญสิ้น
   
   นางตะเคียนไม่พูดจากะไร เธอไร้ซึ่งพลังใด ๆ ที่จะต่อการกับสองเด็กน้อยนี้อยู่แล้ว และก็เบื่อที่จะอยู่ภายใต้ต้น
ตะเคียนใหญ่นี่เหลือเกิน แม้จะหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่เธอก็คิดไปว่ายอมให้เด็กน้อยสองคนนี้ทำลายเธอให้สิ้นซากไปเลยก็คงจะดี

   "ช่างเถอะ ... ท่านก็แค่เหงา ... และอยากมีเพื่อน ... เรารีบไปของเรากันดีกว่า" เอกหันมามองนางตะเคียนด้วย
แววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเศร้าและความผิดหวัง ก่อนหันหลังกลับเดินจากไปอย่างรีบร้อน

   "เชอะ ... ฝากไว้ก่อนเหอะยัยป้าตะเคียนมหาภัย ไว้พวกหนูจะมาทวงแค้นทีหลัง ... ทำดีไม่ได้ดี พ่อพวกหนูเห็น
ว่าป้าเหงาเลยแค่อยากมาคุยเป็นเพื่อนแค่นี้ กลายเป็นเรื่องเฉยเลย" รักยมสะบัดหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนเดินจากไป

   ร่างสูงโปร่งของเอกที่เดินห่างออกไปเริ่มก้าวเดินช้าลงเรื่อย ๆ สติของเขารางเลือนลงเรื่อย ๆ รู้สึกเหมือนหมดเรี่ยว
แรงไปทั้งตัว แสงแดดแรงกล้าที่สาดส่องลงมายิ่งทำให้เขาแสบตาจนมองทางข้างหน้าแทบไม่เห็น เขากัดฟันฝืนทนเดินไปได้
อีกเพียงไม่กี่ก้าว ร่างของเขาก็ล้มสลบลงไปนอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้น พร้อม ๆ กันนั้นร่างของรักยมทั้งสองก็เลือนหายไปในทันที

   "น้องหญิง ... น้องหญิง ..." เอกพูดน้ำเสียงแหบแห้งก่อนจะหมดสติสลบไปบนผืนดินที่ร้อนระอุ พลังที่กราดเกรี้ยว
ของพายุใหญ่สูบพลังแทบจะทุกหยาดอณูของเขาออกมาจนหมดสิ้น แม้จะดิ้นรนหนีออกจากพันธนาการของนางตะเคียนไปได้
แต่ตัวเขาก็ยังคงไม่อาจตามไปช่วยคนที่เขารักได้ด้วยหมดซึ่งเรี่ยวแรง   
   
.................................................................................

   "... เพื่อน ... งั้นรึ ..." นางตะเคียนมองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เพิ่งจะล้มฟุบสลบไปด้วยความตะลึง เธอรู้สึก
ไม่เข้าใจตัวเองที่ สายตาแห่งความผิดหวังของเด็กหนุ่มที่เพียงรู้จักได้ไม่นานนั้น จะสามารถทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดใจประหนึ่ง
โดนเข็มนับล้านเล่มทิ่มแทงเข้าไปที่กลางใจได้ หากแม้นว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ หัวใจน้อย ๆ ของเธอคงจะแตกดับไปด้วยความรู้สึก
เจ็บปวดนั้นเป็นแน่แท้ ความเจ็บปวดรวดร้าวสุดแสนนั้นก็ยิ่งเล่นงานจนเธอรู้สึกเสมือนตายไปแล้วนับพันครั้ง อณูร่างเจ้าแม่
ตะเคียนที่เปียมไปด้วยพลังวิญญาณนั้นอ่อนปวกเปียกจนล้มลงไปกองกับพื้นเหมือนหญิงสาวธรรมดาผู้น่าสมเพชคนหนึ่ง

   ไม่รู้ด้วยเหตใด หรืออารมณ์ส่วนใดทำให้เธอรู้สึกเช่นนี้ เธอรู้แต่เพียงว่าเธอส่งเสียงกรีดร้องลั่นระบายความเจ็บ
ปวดออกมาจนสุดเสียง สุ้มเสียงที่ไม่อาจจะมีใครได้อยู่รับฟัง สุ้มเสียงที่ไม่อาจไปถึงหัวใจของใครได้ หยดน้ำตาแห่งความเสียใจ
ไหลรินอาบสองแก้มจนชุ่มโชกเหมือนเด็กสาวแรกรุ่นที่เพิ่งเจอกับอาการอกหักครั้งแรกในชีวิต ... ใช่แล้วเธอเหงา กี่ร้อยปีมาแล้ว
ที่เธออยากมีใครสักคนมาพูดคุยด้วย ใครสักคนที่มองเห็นตัวเธอ ใครสักคนที่เล่นหัวกับเธอ ใครสักคนที่มองเธอเป็นผู้หญิงคน
หนึ่ง ไม่ใช่ใครที่เห็นตัวเธอเป็นเพียงต้นไม้ใหญ่ให้กราบไหว้บูชา ... แต่เมื่อเธอได้พบกับใครคนนั้น เธอกลับทำให้มันสูญเสีย
ไปอย่างง่ายดาย

   "... ข้าเสียใจนัก... แต่ถึงแม้นว่าข้าไม่ขัดขวางเจ้า ... มันก็ต้องบังเกิดขึ้น และมันกำลังจะเกิดขึ้นแล้วในอีกไม่กี่อึด
ใจข้างหน้านี้ เจ้าและผีเด็กสองตนนั้นไม่มีทางไปได้ทันกาล... และถึงแม้ว่าข้าคนนี้ จะอยากช่วยเหลือเพียงใด ... ข้าก็มิสามารถ
ช่วยเจ้าได้ เพราะข้าเองก็ถูกผูกล่ามอยู่กับต้นไม้ ... ใหญ่ ... นี้ ... " นางตะเคียนพูดตะกุกตะงักเมื่อหันไปมองรอบตัวก่อนเบิกตา
ค้างด้วยความตระหนกตกใจอีกครั้ง

   บัดนี้ต้นตะเคียนใหญ่ที่ยืนยงตระหง่านสู้ฝนสู้พายุใหญ่มานานนับร้อยปีได้ล้มลงไปกองอยู่กับพื้นอย่างสิ้นสภาพ
มันไม่ใช่การหักโค่นที่กลางลำต้น เพราะรากไม้ใหญ่ยังคงติดอยู่กับลำต้น แต่มันเป็นเสมือนการโดนมือยักษ์ใหญ่ที่มองไม่เห็น
ดึงรั้งถอนออกมาทั้งต้นเหมือนถอนต้นหญ้าเล็ก ๆ เธอหันมองไปรอบ ๆ อย่างตื่นตะลึงอีกครั้ง บัดนี้ภาพที่เธอคุ้นตาไม่หลงเหลือ
อยู่แม้แต่น้อย เพราะภายในรัศมีหลายร้อยวานับจากบริเวณใจกลางที่เธออยู่มีแต่ร่องรอยต้นไม้ใหญ่หักโค่นล้มลงเป็นวงกว้าง
   "เจ้าจักหลุด พ้นกรรม แต่ปางก่อน       เมื่อได้ถอน ต้นไม้ยักษ์ ให้หักล้ม
   ผู้รื้อถอน เป็นมนุษย์ ผู้ตรอมตรม       ร่ายอาคม ถล่มสิ้น ซึ่งบ่วงกรรม ..."

   เสียงบทกลอนที่พระธุดงค์รูปหนึ่งเคยให้ไว้กับเธอ เหมือนจะแว่วดังขึ้นมาจากที่แสนไกลให้เธอได้ยินอีกครั้ง โซ่
แห่งกรรมที่ล่ามตรวนเธอไว้เป็นเวลาหลายร้อยปี บัดนี้ได้ขาดสะบั้นลงแล้ว ขาดสะบั้นลงด้วยฝีมือของเด็กหนุ่มที่เศร้าตรอมตรม
ดั่งที่พระท่านได้ว่าไว้จริง ๆ
   

......................................................................



   ท่ามกลางแสงไฟเจิดจ้าในห้องปิดทึบ กล้องบันทึกภาพราคาแพงนับสิบตัวทำงานบันทึกเหตการณ์แสนวาบหวิว
อย่างเที่ยงตรงไม่มีเกี่ยงงอน ทุกวินาที ทุกท่วงท่า ทุกอิริยาบทที่โลดแล่นอยู่เบื้องหน้าล้วนโดนบันทึกเก็บไว้จากกล้องที่อยู่ทุก
ซอกทุกมุมอย่างไม่มีขาดตอน เสียงร้องครวญคราง เสียงหอบเหนื่อย เสียงลมหายใจ หรือแม้แต่สุ้มเสียงที่ผิวกายกระทบกันบาง
เบาต่างก็โดนเครื่องจับเสียงราคาแพงบันทึกไว้จนหมดสิ้น ภาพเรือนร่างขาวผ่องเต่งตึงของหญิงสาวสวยประหนึ่งนางฟ้าดิ้นตัว
ไหวไปมาในอ้อมกอดชายโฉดหน้าตาชั่วช้าดุจมหาโจรนั้นช่างเปี่ยมล้นไปด้วยความหมายของคำว่าตัณหาและราคะอย่างล้น
เหลือ

   "ซี้ดดดสสสส อืมมมม ... โอววว ... ซี้ดดสสส" หญิงสาวแสนสวยดีกรีดาวเด่นมหาวิทยาลัยชื่อดัง ผู้ซึ่งไม่ได้รู้เนื้อ
รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าความร้อนวูบวาบที่แล่นพล่านจุดชนวนแห่งความกระสันไปทั่วเรือนร่างของเธอนั้น ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเธอ
เป็นสาวร่านสวาท หากแต่เป็นเพราะเธอโดนวางยาปลุกอารมณ์สวาทโดยไม่รู้ตัวต่างหาก ตัวยาไร้สีไร้กลิ่นราคาแพงระยับ
ปริมาณมหาศาลไหลวนเวียนไปตามกระแสเลือด มันเร่งเร้าเติมเต็มตัณหาราคะให้กับเรือนร่างที่เพิ่งแตกเนื้อสาวจนเจ้าของ
ร่างทรมาณไปกับความต้องการจนแทบสำลักตาย

   ใบหน้าสวยนั้นฉายแววกระสันร้อนแรงอย่างสุดระงับ พวงแก้มเปล่งปลั่งเป็นประกายชมพูระเรื่อ สะโพกผายส่าย
ร่อนอย่างกระสับกระส่ายไม่หยุดยั้ง น้ำรักหลั่งไหลจากโคกโหนกนูนจนเปียกชุ่มชื้น บางส่วนไหลรินลงตามหว่างขาสะท้อน
แสงไฟจนเป็นประกายระยิบระยับสวยงาม ริมฝีปากบางส่งเสียงร้องครวญครางหนักหน่วงกระสันอย่างรัญจวนใจไปกับรส
สวาทอันร้อนแรงที่กำลังแผดเผาโลมเลียไปทั่วเรือนร่างเปลือยขาวผ่องของเธอ ผิวพรรณละเอียดนุ่มนิ่มตามแบบฉบับของ
คุณหนูที่โดนเลี้ยงดูมาอย่างดีบัดนี้โดนมือหยาบกร้านของโจรสวาทที่เธอไม่รู้จักแม้แต่ชื่อแปะป่ายสัมผัสบีบเคล้นไปทั่วเนื้อ
ตัวอย่างถือดี หน้าอกที่ตูมตั้งนั้นโดนบีบเคล้นจนปลิ้นไปมาแทบปริแตกรอบแล้วรอบเล่า

   หัวนมสีชมพูสวยแข็งตัวชี้เด่จนแทบปริแตก ที่เบื้องล่างนั้นกางเกงในตัวสวยเปียกชุ่มชื้นไปด้วยน้ำรักที่หลั่ง
ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย แม้ว่าร่างกายจะพ่ายแพ้ต่อความต้องการทางเพศอย่างไม่อาจต้านทาน สมองไม่อาจจะควบคุม
ดึงรั้งอารมณ์ที่เตลิดเปิดเปิงด้วยฤทธิ์ยาที่เร่งเร้าความต้องการของร่างกายวัยสาวสะพรั่งของเธอได้แม้แต่น้อยนิด แต่กระนั้น
จิตใจของเธอก็กำลังร่ำร้องขัดขืนอยู่ภายในอย่างหนักหน่วง เธอพร่ำบอกตัวเองว่ากำลังจะโดนข่มขืนโดยชายกลัดมันโดยที่
เธอไม่ยินยอม เธอพร่ำบอกตนเองว่าต้องต่อสู้ขัดขืนอย่างถึงที่สุด เธอพยายามรวบรวมสติอันน้อยนิดเพื่อสั่งการร่างกายที่
กำลังตอบสนองต่อรสราคะร้อนแรงตลอดเวลา แต่สุดท้ายแล้วความรู้สึกต่อต้านในสิ่งที่ตนเองไม่อาจต้านทานนั้นก็ทำได้
เพียงกลั่นออกมาได้เป็นหยดน้ำตาใส ๆ ที่รินไหลพร่างพราวออกมาจากสองตาเรียวสวย จนนองสองแก้มเท่านั้น

   "อูยยยย หอม สวย นุ่มนิ่มน่าจับไปทั้งตัวเลย สวย สวยจริง ๆ  เนื้อแน่นไปทั้งตัวเลย" ไอ้ชดอดีตคนขับรถ
ผู้เพิ่งทรยศหักหาญต่อเจ้านายส่งเสียงร้องอย่างหื่นกระหาย และพอใจต่อเหยื่อสวาทในอ้อมกอดของมัน มันผ่านผู้หญิง
มาไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นนักร้องคาเฟ่ กะหรี่ข้างถนน นักศึกษา คนวัยทำงาน หรือแม้แต่เด็กที่ยังไม่แตกเนื้อสาว แต่ก็ไม่
เคยพานพบกับผู้หญิงที่มีเสน่ห์แห่งความใคร่ล้นเหลือเหมือนหญิงสาวคนนี้แม้แต่คนเดียว เธอคนนี้สวยหยาดฟ้ามาดิน
เหมือนนางฟ้านางสวรรค์ ทั้งหน้าตา และเรือนร่างสวยมีเสน่ห์อย่างสมบูรณ์แบบ ทุกสัมผัสนั้นนุ่มนิ่ม ทุกสัมผัสนั้นเรียบ
เนียน ทุกสัมผัสนั้นแน่นเต่งตึงเต็มไปด้วยแรงสะท้อนของนวลเนื้อวัยสาวสะพรั่งอย่างเหลือล้น

   กลิ่นกายของสาวสวยที่อบอวลไปทั่วบริเวณทำให้มันเคลิบเคลิ้มเหมือนกำลังร่วมรักอยู่กับนางฟ้าในสรวง
สวรรค์ก็มิปาน อีกทั้งกิริยาอาการที่กึ่งปัดป้องกึ่งสมยอมของเหยื่อสวาทรายนี้ก็ยิ่งทำให้มันคึกคักอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
มันเห็นน้ำตาใส ๆ ไหลออกมาจากเบ้าตานั้นเหมือนจะพยายามปฎิเสธ แต่กระนั้นร่างนุ่มนิ่มน่าฟัดก็เด้งส่ายร่อนไป
มาเหมือนจะเชื้อเชิญ แน่นอนว่ามันไม่รู้ว่าสาวสวยคนนี้โดนฤทธ์ยาสวาทเข้าไปอย่างจังจึงตอบสนองมันอย่างร้อนแรง
กิริยาอาการเยี่ยงนี้ทำให้มันรู้สึกคึกคักและกำหนัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว มันรู้สึกสาแก่ใจแล้วต่อ
ความรู้สึกนี้ แม้ว่ามันจะต้องแลกด้วยการทรยศนายที่มันรับใช้มาหลายปีก็ตามที

   "ไอ้ชด ... ไอ้ชด ... มึง ..." อาจารย์พิชัยผู้ซึ่งพลาดท่าต่อแผนการณ์ของลูกน้องแค่นเสียงพูดอย่างโกรธแค้น
ขณะมองดูภาพสวาทเบื้องหน้า นักศึกษาสาวที่เขาฝันหาจนต้องวางแผนการณ์หลายต่อหลายขั้นเพื่อพยายามครอบครอง
ทั้งร่างกายและจิตใจของเธอ กลับโดนไอ้ลูกน้องชั้นต่ำคนหนึ่งชุบมือเปิบไปกินซึ่ง ๆ หน้า

   ใบหน้าของเขาแดงกล่ำด้วยเพลิงไฟแห่งความหึงหวงและแค้นเคืองอย่างที่สุด แต่กระนั้นภาพเรือนร่างขาว
ผ่องที่โดนบีบเคล้นและเสียงร้องครวญครางของนางฟ้าแสนสวยของเขาที่กำลังโดนรุกล้ำล่วงเกิน กลับกระตุ้นอารมณ์เบื้อง
ต่ำของเขาขึ้นมาจนแทบระเบิดออก ท่อนเอ็นที่แข็งแล้วแข็งอีกด้วยฤทธิ์ยาราคาแพง ตอนนี้ยิ่งแข็งตระหง่านชูชันบวมเป่ง
จนที่สุด ความเงี่ยนร่านแทรกซึมเข้ามาผสมปนเปกับอารมณ์หึงหวงและแค้นเคืองอย่างไม่อาจแยกจากกันได้

   "ซี้ดดดสสสส พี่เอก พี่เอก อูววว หญิงไม่ไหวแล้ว ....อืมมมม ... โอววว ... ช่วยหญิงด้วย ... ซี้ดดสสส ...
อ๊าาาาา" น้องหญิงที่โดนเร่งเร้าจนถึงขีดสุดถึงกับตัวกระตุกเกร็งส่ายร่อนไปมา ด้วยไม่อาจทานทนความเสียวจากปลายนิ้ว
อวบอ้วนที่ล้วงคว้านร่องเสียวของเธอไม่หยุด ความสุขซ่านของจุดสุดยอดแผ่เป็นริ้วไปทั่วสรรพางค์กายจนขนอ่อนลุกซู่
สมองที่มึนงงแม้จะพอรับรู้ว่าคู่สวาทไม่ใช่แฟนหนุ่มที่ตนรัก หากแต่จิตสำนึกส่วนลึกในใจที่มีแต่เพียงแฟนหนุ่มกลับ
บังคับให้เธอส่งเสียงร้องเรียกหาเขา เรียกหาคนที่เธอรัก เรียกหาคนที่เธอยินยอมมอบให้ได้ทุกอย่างเท่าที่เธอพึงมี เรียก
หาคนที่เธอเชื่ออย่างหมดใจว่าจะต้องมาช่วยเหลือเธอให้พ้นจากสภาพนี้ ร้องเรียกหาคนที่เธอไม่รู้ว่ากำลังหมดสติอยู่ใน
ป่าที่ห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตร

......................................................................


kerdsopa


series120

ดูถ้าอาจารย์พิชัยน่าจะเก็บ collection นักศึกษาสาวๆไว้เยอะ  ::GiveMe::