ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_err

จอมไสยสาว ตอนที่ 6 (ฝังเหล็กไหล)

เริ่มโดย err, พฤศจิกายน 05, 2010, 09:41:07 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

err

ดิฉันนั่งทบทวนภาษาขอมโบราณกับพ่ออีกนานนับชั่วโมง
"เอ่อ..วิ..ลูกพอที่จะอ่านหนังสือขอมได้บ้างแล้วหละ...เดี่ยวตามไปเอาพวกใบลานไปหัดอ่าน"
พ่อลุกขึ้นเดินจากไปครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมกับหนังสือใบลานนับสิบผูกมาส่งให้
ดิฉันรับมาจากพ่อแล้วลุกขึ้นเดินกลับไปห้อง
อาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเป็นชุดนอน

ตั้งแต่ดิฉันฝึกวิชามณีในดอกบัวได้มาโดยบังเอิญ
ร่างกายและจิตมีแต่ความสดชื่นแจ่มใจ
ถ้ามีอะไรแผ้วพานมาสักนิดเดียว
ดิฉันจะย้อนกลับเข้าสู่ร่างแก้วผลึกในดอกบัว
ช่วงนิดเดียวก็จะสดชื่นแจ่มใจเหมือนเดิม
มณีในดอกบัวจึงกลายเป็นที่พักผ่อนชั้นดีของดิฉันไปโดยปริยาย

ดูอย่างวันนี้..แทนที่จะเหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า กลับไม่ใช่
ดิฉันกลับเข้ามาอยู่ในห้องก็ยังตั้งหน้าตั้งตาทบทวนภาษาขอมต่ออีกนานนับชั่วโมง
จนเวลาล่วงเลยเข้าวันใหม่
ก็เลยเดินขึ้นไปนั่งบนเตียงแล้วสอดตัวเข้าในผ้าห่ม

ขณะที่นอนลืมตามองเพดานจิตใจก็หวนคิดไปถึงแววตาสีเขียวของพี่อาจอง
มันคืออะไรกันแน่ แล้วคนใส่หมวกที่เห็นเพียงด้านหลังนะเป็นใครกัน
ใครเป็นคนส่งควายธนูมาหาดิฉัน
คิดยังไงก็คิดไม่ออก
เฮ่อ..เมื่อคิดไม่ออกก็ช่างมันปะไร..นอนดีกว่า...

ขณะที่ดิฉันใกล้จะเคลิ้มเข้าสู่ภวังค์การหลับไหล
ความรู้สึกตัวที่น้อยนิดที่หลงเหลืออยู่บอกกับดิฉันว่ามาคนเข้ามาในห้อง
ไม่มีเสียงเปิดประตู ไม่ได้ยินเสียงเท้า ดิฉันลืมไม่ขึ้น
เหมือนจะมีเพียงเสียงมนต์ที่แผ่วเบาเหลือเกิน
ดิฉีนรับรู้ก่อนที่สติที่เหลืออยู่จะขาดผึงลงไป

...........

"มนตรา...มนตรา..."
เอ๊ะ...เค้าเรียกใคร..เรียกใคร...ใครกัน...
ดิฉันร้องระงมในจิต
"จำไม่ได้ฤา...มนตรา...."
"ท่านเป็นใคร...ใครกัน...ใครกัน..มนตรา...ดิฉันวิสาระ"
ดิฉันร้องถามความมืนงุนงง

"น้องข้า..เจ้าจำพี่ชายคนนี้ไม่ได้แล้วฤา..."
ดิฉันส่ายหน้า..แต่น้ำเสียงนี้..ช่างคุ้นเคยเสียเหลือเกิน
เสียงนี้...ต้องเคยร้องกล่อมดิฉันให้นอนตอนเด็ก ๆ แน่เลย ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน

"มนตรา..มนตรา..."
"ท่าน...ท่าน..เป็นใครกัน..."
"เมื่อมนตราจำไม่ได้..ข้าจะแสดงให้ดู ความรักความใคร่ของเรา..."

"โอ๊ะ..."
ดิฉันดุทานในใจ สภาพที่ดิฉันเห็นอยู่เปลี่ยนไป
กลายเป็นห้องหับฝาเป็นไม้สัก
ภายในห้องมีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนั่งหันหน้าเข้าหากัน
กำลังกอดจูบกันอยู่

ชายคนนั้นใบหน้าเหมือนมีหมอกปกคลุมเอาไว้ชั้นหนึ่ง
ดิฉันพยายามเพ่งมองเท่าไหร่ก็มองไม่ชัดและบอกไม่ได้ว่าเป็นใคร

บทรักที่ซาบซ่านดาลใจหลั่งไหลเข้ามาทางประสาทสัมผัสทั้งห้าของดิฉัน
ทำไม...ก็ดิฉันเป็นเพียงผู้สังเกตุการณ์เท่านั้น
ผู้สังเกตการณ์..ทำไมถึงได้รู้สึกว่าตัวเองก็คือ......ผู้หญิงคนนั้น
ไม่ทราบว่าทำไม สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นรู้สึก ดิฉันก็รู้สึกขึ้นมาแบบเต็มเปี่ยม

รสจูบที่ปากสัมผัสปาก โอววว...มันช่างหอมหวานซาบซ่านเสียเหลือเกิน
ลิ้นที่สอดแทรกเข้ามาสัมผัสกับลิ้น
มันมีรสใดจะวิเศษเท่า...รสรักนี่อีกเหรอ
ตัวดิฉันสั่นสะท้านหวั่นไหวยิ่งกว่าครั้งใด ๆ

ผ้าพันอกค่อย ๆ ถูกปลดลงไปเรื่อย ๆ
แล้วในที่สุดเต้านมอวบกลมของดิฉัน
เอ๊ะ..ไม่ใช่ของดิฉัน
แต่เป็นของผู้หญิงคนนั้น ถูกมือชายคนนั้นเคล้าคลึงอยู่เต็มมือ

ทำไม ๆ ดิฉันจึงรู้สึกเหมือนว่า..ตัวเองโดนกระทำเสียงเองก็ไม่รู้
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับดิฉันกันนี่

ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังหายใจหอบ ๆ
ไม่ใช่เหนื่อย แต่ว่าร่างกายอ่อนอ่อนระทวยไปหมด
ความรู้สึกซ่านกระสันต์เอิบอาบแล้วดึงดูดให้ดิฉันค่อย ๆ จมหายเข้าไปเรื่อย ๆ

ดวงจิตดิฉันหวิวหวามจนจวนเจียนจะขาดรอน ๆ
แล้ว...เสียงสะท้านสะเทือนเหมือนเกิดแผ่นดินไหวก็ดังขึ้น

"ปัง....."
"อะไร...อะไร..."
ดิฉันผวาสุดตัว
แล้วรู้สึกได้ว่าพันธนาการกระสันต์สวาที่รัดรึงดิฉันเอาไว้แน่นนั้นได้ขาดผึงลงไปทันที

ดิฉันดีดตัวลุกขึ้นนั่ง เหงื่อออกมาจนชุดชื้นไปหมด
แล้ว ๆ ตรงนั้นดิฉันก็มีอาการเปียกเยิ้มขึ้นมาเช่นกัน
"อะไรกันนี่..."

ดิฉันเดินไปเข้าห้องน้ำด้วยหัวใจเต้นระรัว
อาบน้ำชำระเหงื่อไครออกจากร่างกาย แล้วเอาชุดนอนชุดใหม่มาใส่

มองนาฬิกาเกือบจะตี 4 แล้ว
จิตใจดิฉันค่อยสงบลง จึงย้อนจิตเข้าสู่ร่างแก้วผลักกลางดอกบัว

เวลาผ่านไปเท่าไหร่ดิฉันไม่สนใจ
เอ๊ะ..ทำไมดิฉันถึงได้ลืมดึงจิตของตัวเองเข้ามาในดอกบัวก็ไม่ทราบ...
น่าหวาดเสียวจริง ๆ อะไรเกิดขึ้นกับดิฉัน

...............

. น.
ดิฉันดึงจิตออกจากร่างแก้วผลึกกลางดอกบัวค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

วันนี้ดิฉันมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์แล้ว
ดิฉันลุกขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว

พอดิฉันเดินออกมาที่ห้องรับแขก พ่อก็ออกจากห้องมาพอดี
"เออ..ลูกพ่อจะไปเรียกอยู่แล้ว ไป ๆ เราไปใส่บาตรพระกัน พ่อให้นวลเตรียมของไว้เรียบร้อยแล้ว"
ดิฉันพยักหน้าและเดินตามพ่อลงมาชั้นล่าง
"คุณวิ..ของใส่บาตรอยู่ท้ายรถเรียบร้อยแล้ว..."
คุณนวลคนพิเศษของพ่อบอกดิฉัน
"น้านวลไม่ไปด้วยเหรอ..."
เธอส่ายหน้า..แล้วบอกว่า
"น้าจะได้เตรียมของไว้ให้ลุงเค้าทำพิธีตอนสาย.."
ดิฉันพยักหน้าแล้วขึ้นรถไปใส่บาตรกับพ่อ

พ่อจอดรถที่ด้านข้างวัดบวร
"ลูก..ใส่แถวนี้แหละพระเยอะหน่อย เสร็จแล้วจะได้ไปกราบพระกัน"
พ่อเปิดหลังรถเอาโต๊ะกลมตัวเล็กออกมาวาง
ดิฉันเอาชุดใส่บาตรที่คุณนวลหรือน้านวลมาจัดเรียงเป็นระเบียบ
แต่ละชุดจัดอย่างดีพร้อมซองใส่ปัจจัยอีก 1 ซอง

เวลาผ่านไปไม่นานดิฉันใส่บาตรเรียบร้อย จึงเก็บของใส่กลับไว้หลังรถ
"ลูก..เราไปกราบพระกันเถอะ..."
ดิฉันเดินตามไปอย่างว่าง่าย
พอดีมีพระอาวุโสองค์หนึ่งมาเปิดประตูโบสถ์
ดิฉันรู้สึกว่าเป็นโบสถ์ที่สวยที่สุดในประเทศไทย
ดิฉันยืนมองอย่างชื่นชมยินดี

พ่อกวักมือเรียกดิฉันเดินขึ้นไป
"หลวงพ่อครับ..นี่ลูกสาว..เค้ามาทำบุญวันเกิด..."
หลวงพ่อหันมาทางดิฉันแล้วถามว่า
"เจริญพร..สีกาอายุเท่าไหร่แล้วละ..."
"20 ปีบริบูรณ์วันนี้เจ้าคะ.."
ดิฉันยกมือขึ้นพนม ตอบท่านด้วยความเคารพ
"อายุวัณโณ สุขขัง พะลัง"
"สาธุ.."
หลวงพ่ออวยพร น้ำเสียงที่ท่านแปล่งออกมากังวาลสะเทือนเข้ามาถึงในอก
จนดิฉันอดที่จะเงยหน้าขึ้นมองท่านไม่ได้

หลวงพ่อหันไปพูดกับพ่ออยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินนำหน้าเราเข้าไปในโบสถ์
ท่านหันไปเปิดไฟที่ด้านข้าง
แสงไฟส่องให้องค์พระประธานโดดเด่นเป็นสง่า

ดิฉันจ้องมองอย่างยึดมั่นศรัทธาเต็มเปี่ยม
พ่อกับดิฉันนั่งคุกเข่าใกล้ ๆ กัน กราบพระประธานด้วยเบญจางคประดิษฐ์ 3 ครั้งอย่างนอบน้อม
แล้วเงยหน้าขึ้นมององค์พระประธานอีกครั้ง

พ่อลุกขึ้นแล้วเดินเข่าไปที่หลวงพ่อองค์เมื่อกี้แล้วคุกเข่าลงกราบท่าน
ดิฉันเดินเข่าตามไปนั่งคุกเข่ากราบท่านข้าง ๆ

"โยม..สอนเค้าดีนะ..."
ดิฉันหันไปมองพ่อที่ดวงตาเป็นประกาย
"ครับ...สัตว์โลกก็ต้องเป็นไปตามกรรมของแต่ละคนนะครับหลวงพ่อ.."
"อาตมาขอให้โยมเปลี่ยนทาง..โยมก็ตัดใจไม่ได้สักที..."
"กระผมยังมีห่วงมีบริวารที่จะต้องช่วยเหลือดูแล และต้องนำเค้านะครับ..ตัดใจไม่ได้เหมือนหลวงพ่อว่า..."

"นั่นซิ...กรรมพัวพันนี่มันน่ากลัวจริง ๆ หลวงพ่อละเข็ดขยาดแล้ว..พอแล้ว..."
หลวงพ่อยิ้มชื่นบาน
"หลวงพ่อนะหมดภาระแล้ว..แต่ก็ยังอยู่ช่วยนี่ครับ..."
หลวงพ่อพยักหน้า
"ก็ด้วยเมตตานั่นแหละ...รอเวลาของตัวเอง.."

ดิฉันงุนงงจับต้นชนปลายที่พ่อกับหลวงพ่อคุยกันไม่ได้ว่าคุยกันเรื่องอะไร
"ตั้งแต่หลวงพ่อทักกระผม..ก็กลับไปคิดจะละจะวางหลายครั้ง แต่ก็ยังสงสารพวกเค้าครับกระผม"
"เฮ่อ..ก็เป็นแบบนี้แหละ..กว่าจะรู้ว่าทุกอย่างล้วนว่างเปล่าก็เหนียงยานพอดี"

พ่อก้มลงกราบท่านอีกครั้งแล้วเงยหน้าขึ้น
"ลูกสาวกระผมได้วิชามณีในดอกบัวจากใบลานของหลวงพ่อโดยบังเอิญนะครับ"

ดิฉันได้ยินที่พ่อพูดก็หูผึ่ง
คัมภีร์ใบลานผูกนั้นเป็นของพระองค์นี้นี่เอง
"อาตมารู้แล้วหละ..จึงมารอเปิดโบสถ์ให้ไง..."
"ครับกระผม.."

"โยมต้องเข้าใจนะ..ปุถุชนยังไงก็มีช่องว่าง ระวังยังไงก็ระวังได้ไม่หมด.."
"แล้วจะทำยังไงละครับหลวงพ่อ..."
"โยมก็ต้องทำใจ..ให้วิบากกรรมชักนำไปตามทางของเค้า"
ดิฉันยิ่งฟังก็ยิ่งงง

"นี่ก็ครบตามเวลาที่หลวงพ่อเคยบอกต่อเกล้ากระผมเอาไว้แล้ว"
"อื้อ..ไม่ต้องห่วงหรอกโยม กรรมดีจะชักนำไปสู่สิ่งดี ๆ เองแหละ"
พ่อก้มลงกราบแทบเท้าหลวงพ่อ

"สีกา..อย่าประมาทนะ อย่าคิดว่าเรามีวิชาดี...ในสากลจักรวาลนี่ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่ากรรม"
"เจ้าคะ..."
ดิฉันรับคำอย่างงง แต่ก็ไม่กล้าถาม

"ดวงของสีกาโลนโผนโจนทยานเหลือเกิน..."
แววตาหลวงพ่อที่มองดิฉันดูสุกใสแปร่งประกายอ่อนโยนนุ่มนวล
ดิฉันก้มลงกราบท่านอีกครั้ง

จากนั้น...พ่อกับดิฉันกราบลาท่านแล้วเดินลงจากโบสถ์มาขึ้นรถ
ขณะที่พ่อขับรถเพื่อกลับบ้านเราต่างนั่งเงียบ
พ่อไม่ได้พูดอะไร
ดิฉันสังเกตดูเหมือนพ่อจะมีแววกังวลอะไรอยู่ในใจ

จนเกือบถึงบ้านดิฉันอดรนทนไม่ไหวจึงถามพ่อว่า
"พ่อ..พระองค์นั่นก็คือใครเหรอ.."
"หลวงพ่อ..ท่านเป็นครูบาอาจารย์ของพ่อคนหนึ่งเหมือนกัน"

"ท่านพูดแปลก..ลูกไม่เข้าใจเลย..."
"อื้อ.."
แล้วพ่อก็เงียบไปอีก
"พ่อ..เล่าให้ฟังหน่อยซิ..."

"เอ้อ..วันนี้พ่อจะผังเหล็กไหลให้อยู่กับลูก..."
ดิฉันยิ้มแป้น ยื่นมือไปจับแขนพ่อแล้วพูดว่า
"ลูกดีใจมากเลย..เธอสวยมาก ๆ เลย..."
ที่ดิฉันเรียกองค์เหล็กไหลว่า "เธอ" ก็เพราะพ่อบอกว่าเจตสิกของเหล็กไหลองค์นี้เป็นผู้หญิง
"ใช่แล้ว..เธออยู่เพื่อลูก..."

เรานั่งคุยกันถึงองค์เหล็กไหลจนดิฉันลืมถามเรื่องหลวงพ่อไปเลย
แล้วพ่อบอกดิฉันว่า
"ลูก..เจตสิกที่สถิตย์ในองค์เหล็กไหลนะมีฤทธิ์มากนะ เค้ารอ..วันนี้มา 20 ปีแล้ว"
"เหรอ..."
"หลวงพ่อท่านบอกเอาไว้..."
ดิฉันหลับตานึกถึงรูปลักษณะที่กลมรีเป็นลูกสมอสีเหลืองอมส้มเหลือบแวววาวล้อแสง

เรากลับมาถึงบ้านแล้วทานอาหารเช้าที่น้านวลจัดรอเอาไว้แล้ว
ในบ้านดิฉันแม้จะหลังใหญ่แต่ก็อยู่กันแค่ 3 สามคน พ่อ ดิฉัน แล้วน้านวล
"นวล..เตรียมของไว้ที่สนามหญ้านะ..."
"คะ..เตรียมเรียบร้อยแล้ว ให้จัดเวลากี่โมงละ"
"เตรียมเลยก็แล้วกัน.."
น้านวลพยักหน้าแล้วหันมายิ้มให้ดิฉัน

"ลูกไปเปลี่ยนเป็นนุ่งขาวห่มขาวนะ.."
ดิฉันพยักหน้าแล้วรีบลุกขึ้นเดินไปที่ห้อง
น้านวลก็ลุกขึ้นเดินไปเตรียมของให้พ่อ

ดิฉันใส่เสื้อขาวแขนกระบอกพร้อมผ้าถุงสีขาว เกล้าผมเป็นมวยเรียบร้อย
พอออกมาเห็นน้านวลกำลังถือของจะเดินออกไปที่สนามหน้าบ้านพอดี
ดิฉันช่วยถือของแล้วเดินคุยไปกับน้านวล
"คุณวิ..ครบ 20 แล้วนะ..เฮปปี้เบิร์ดเดย์คะ"
"ขอบคุณคะน้านวล.."

น้านวลและดิฉันช่วยกันจัดโต๊ะหมู่บูชาและข้าวของต่าง ๆ ที่พ่อสั่งเอาไว้จนเรียบร้อย
พ่อเดินนุ่งขาวห่มขาวเดินถือพานทองคำลงมา
บนพานวางบาตรไม้ที่พันด้วยด้ายสายสิญจนเป็นก้อนกลม

พ่อจุดธูปเทียนบูชาพระ แล้วจุดธูปเทียนอีกจำนวน 36 ดอก เพื่อบูชาฟ้าดินและเจ้าที่เจ้าทาง
พ่อบริกรรมคาถาไปเรื่อย ๆ ขณะที่ปักธูปไปรอบ ๆ บริเวณทั้งสี่ทิศ
จากนั้นพ่อจัดให้ดิฉันนั่งหันหน้าเข้าหาท่าน อัญเชิญบาตรไม้ลงมา
แล้วพ่อสอนให้ดิฉันท่องคาถาอัญเชิญองค์เหล็กไหล
คาถาอัญเชิญก็ไม่ยากมีแค่ 9 คำเท่านั้น
แค่ท่องไม่กี่ครั้งดิฉันก็ท่องได้คล่องและขึ้นใจ

พ่อค่อย ๆ ม้วนด้ายสายสิญออกแล้วเปิดฝาบาตรไม้
ล้วงไปในกระเป๋าดึงเอาคีมไม้ออกมาแหย่ลงไปในน้ำผิ้งในบาตร
คีบเอาองค์เหล็กไหลสีเหลืองอมส้มแวววาวออกมาวางบนผ้าขาวที่อยู่บนพานทองคำ

ดิฉันจ้องมององค์เหล็กไหลที่ต้องแสงแดดอ่อนจนแปร่งประกายออกมาเป็นสีเหลือบรุ้งแวววาว
ประกายนั้นดิฉันรู้สึกว่าเจิดจ้ากว่าวันก่อนที่ดิฉันเห็นเป็นไหน ๆ
"ลูก..พนมมือแล้วบริกรรมคาถาอัญเชิญนะ.."

ดิฉันพยักหน้า ยกมือขึ้นพนมพร้อมกับหลับตาบริกรรมคาถาอัญเชิญ
พ่อเองก็ท่องคาถาออกมาด้วยเสียงดังกังวาน
ดิฉันไม่เห็นหรอกว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แต่รู้สึกว่ายิ่งเสียงพ่อดังกังวาลเท่าไหร่ ดิฉันก็เย็นวาบเรื่อยลงมาตั้งแต่กลางกระหม่อมลงไปจนถึงปลายเท้า
จากนั้นก็รู้สึกแผ่นกระจายไปทั้งตัวดิฉัน

ดิฉันย้อนจิตกลับมองเข้าไปที่ร่างแก้วผลึกกลางดอกบัว
แปลกมาก ๆ ร่างแก้วผลึกของดิฉันกลายเป็นผู้หญิงสวย ๆ มากคนหนึ่งนุ่งห่มด้วยชุดไทยสีม่วงนั่งยิ้มอยู่
แต่พอจิตของจิตเข้าไปสัมผัสเธอก็โอบกอดร่างดิฉันไว้ทันที
จากนั้นก้มลงจูบที่เรือนผมดิฉันอย่างรักใคร่

ตัวดิฉันเองก็รู้สึกอบอุ่นนุ่มนวลอย่างไม่เคยมีเคยได้มากก่อนเลยในชีวิต
"แม่..."
ใจดิฉันอุทานคำนี้ออกมา
ผู้หญิงคนนั้นยิ้มรับ พร้อมกับกอดดิฉันไว้แน่นขึ้นไปอีก
"ลูกแม่...แม่รอมา 20 ปีเต็ม"
"แม่..."
"ใช่..ลูกเป็นลูกของแม่มานับชาตินับภพไม่ถ้วนแล้ว.."
ดิฉันกอดรัดร่างนั่นแน่น ภายในบอกกับดิฉันว่าผู้หญิงคนนี่แหละแม่ที่ตั้งแต่เกิดมาไม่ได้พบหน้า
แม่คลอดดิฉันแล้วก็เสียชีวิตเพราะตกเลือดแล้วช็อค หมอช่วยไม่ทัน

"แม่..แม่..แม่..."
ดิฉันพร่ำเรียกคำ ๆ นี้ ที่ตัวเองไม่เคยได้เรียกมา 20 ปีเต็ม ๆ
พ่อยังบริกรรมคาถาต่อไปอีกครู่ใหญ่
ดิฉันดอนจิตออกมาสู่การรับรู้ภายนอก
ก้มลงมององค์เหล็กไหลที่อยู่บนพานตอนนี้หายไปแล้ว

พ่อยิ้มให้ดิฉันแล้วพูดว่า
"ต่อไปเค้าจะอยู่กับลูกไปตลอด..ช่วยเค้าสร้างบารมีด้วยนะ.."
"คะพ่อ.."
ดิฉันรับคำแล้วก้มลงกราบแทบเท้าพ่อ

พิธีกรรมก็จบลงเพียงแค่นั้น
แต่พิธีกับวิถีชีวิตของดิฉันเพิ่มจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง
----------------------------------------------------------------

manunited68