ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_err

จอมไสยสาว ตอนที่ 10 (ปะวรรค นาคา)

เริ่มโดย err, พฤศจิกายน 08, 2010, 11:29:55 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

err

หลังกลับมาถึงบ้านเย็นนั้นดิฉันงดอาหารมื้อเย็นอีกครั้ง
ดิฉันเตรียมตัวเพื่อจะทำพิธีถอนแก่นรักออกจากพี่อาจอง
การถอนวิชาทำได้ยากและใช้เวลานานกว่าพอสมควร

ดิฉันอาบน้ำอาบท่านุ่งขาวห่มขาวเรียบร้อย
เข้าที่นั่งสมาธิจิตจนเข้าถึงฐานที่แน่วแน่ตั้งมั่น
จากนั้นก็ปักจิตอยู่ในฌานที่สี่นานนับชั่วโมง
แล้วค่อยถอนจิตลงมาอยู่ที่ฐานอุปจารสมาธิ

ดิฉันย้อนทวนวิชาแก่นรักใหม่อีกครั้ง
จากนั้นก็กำหนดท่องอาคมถอนแก่นรักออกจากตัวพี่อาจอง
ผ่านไปทีละคาบ ๆ จวบจนครบ 108 คาบบริบูรณ์ตามตำรา

ดิฉันเพ่งจิตเข้าสู่ฌาน 4 อีกครั้งหนึ่ง
จนจิตตั้งมั่นแน่วแน่เป็นหนึ่งเดียว

............

คืนนั้นดิฉัน..ฝัน (อาจจะเป็นนิมิต) ถึงชายคนนั้นอีกแล้ว
ดิฉันเห็นเพียงแผ่นหลังเท่านั้น
แล้วจิตก็เข้าภวังค์..สู่กระแสหลับไหลไปในที่สุด

..............

วันนี้เวลาสิบโมงเศษลุงมอญเอาแผ่นทรงกระดานมาให้ดิฉัน
ดิฉันมอบเงินจำนวนหนึ่งให้กับลุงมอญ แต่แกรีบปฏิเสธไม่ยอมรับ
"หนู...ไม่ได้หรอก..ของหนู..ลุงมีหน้าที่ต้องเอามาคืนเจ้าของเดิม..."
ดิฉันยกมือขึ้นไหว้แล้วกล่าวขอบคุณ

"หนู..ว่าง ๆ ไปคุยกับลุงมั่งนะ..."
"คะ...ถ้าลุงมากรุงเทพก็มากินข้าวบ้านหนูนะ..."

ดิฉันทานอาหารเที่ยงกับลุงมอญ
เราคุยกันหลาย ๆ เรื่อง แต่มีเรื่องหนึ่งที่ดิฉันประหลาดใจและอยากจะถาม
"ลุงรู้เรื่องพญานาคบ้างหรือเปล่า..."
ลุงมอญหันมามองดิฉันเต็มตา
"หนูสนใจละหรือ"
"คะ..หนูได้ชื่อปะวรรคนาคา มีคนบอกนะคะ"
ดิฉันเห็นแววตระหนกในดวงตาของลุงมอญ

"ปะวรรคนาคา...."
ลุงมอญพึมพำเบา ๆ
"มีอะไรหรือลุง..."
"คือ..คือ..ท่านนี้เคยมาหาลุงในฝันหลายครั้งร่างเค้าเป็นสีเขียว...ตอนนั้นลุงแปลกใจมาก
เค้าเล่าให้ลุงฟังว่าเค้าเป็นนาคตระกูลเอราปถ เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลของนาค ซึ่งได้แก่
ตระกูลวิรูปักษ์ สีทอง ตระกูลเอราปถ สีเขียว ตระกูลฉัพพยาปุตตะ สีรุ้ง และตระกูลกัณหาโคตมะ สีดำ"

"โอววว...พญานาคมีหลายตระกูลเหรอลุง..."
"อื้อ..ก็ตามที่เค้าเล่าให้ลุงฟัง"
"เค้าเป็นใคร...ปะวรรคนาคา"
ลุงมอญหันมามองดิฉันเต็มตาด้วยแววปราณีอีกครั้ง

"หนู่บอกลุงตามจริงนะ..หนูได้จากการทดลองทรงกระดานวันที่ลุงพาไปดูกระดานนั่นแหละ"
"วันนั้นเหรอ..."
ดิฉันพยักหน้า

"ในนิมิตหรือฝันเริ่มตั้งแต่ลุงได้กระดานแผ่นนั้นมา เค้าเล่าให้ลุงฟังว่ากระดานแผ่นนี้เค้าเป็นคนทำ
และทำเพื่อมอบให้เป็นของขวัญกับนาคสาวคนรัก"

ลุงมอญหยุดเล่านิดนึงแล้วหันมามองดิฉัน ซึ่งภายในใจของดิฉันเองก็รู้สึกกระตุกวูบ แล้วลุงก็เล่าต่อว่า

"ลูงคิดว่า..หนู...น่าจะคือ มนตรานาคา ตามที่ปะวรรคนาคาเล่าถึง..แล้วว่าเป็นคนรักของเค้า"
ดิฉันหันมามองหน้าลุงมอญนิ่งแล้วพยักหน้าช้า ๆ
"หนูก็เคยฝันเหมือนกันลุง...แต่หนูได้ชื่อปะวรรคจากทรงกระดาน...หนูถามกระดานว่าปะวรรคคือใคร
แต่ไม่ได้รับคำตอบใด ๆ"

"หนู..มีอะไรเยอะมากเลยนะ..."
ดิฉันเข้าใจคำว่า มีอะไรเยอะมากของลุงมอญนะคืออะไร
"ลุงรู้หรือเปล่าวว่าพี่อาจองเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้ยังไง..."
ลุงมอญส่ายหน้าช้า ๆ

"ลุงรู้จักอาจองตั้งแต่เด็ก ๆ แต่จะเกี่ยวกับกับปะวรรคนาคายังไงลูงไม่รู้หรอก..."
"อ๋อ..ลุงรู้จักพี่อาจองตั้งแต่เล็ก ๆ เหรอ..."
ลุงมอญพยักหน้าแล้วมองหน้าดิฉันอีกครั้งก่อนพูดว่า
"อาจองเค้าพี่ชายฝาแฝดอีกคน..ตอนนนี้เรียนที่ ม.รังสิตไง"

ข้อมูลนี้ทำให้ดิฉันถึงกับอึ้ง เพราะไม่เคยรู้มาก่อนพี่อาจองมีพี่ชายฝาแฝด
"พี่ชายฝาแฝดพี่อาจองชื่ออะไรค่ะ.."
"พี่ชายชื่อองอาจ.. น้องชายชื่ออาจอง.."

องอาจ..อาจอง ดิฉันพึมพำในใจ
"ลุงเคยเจอพี่องอาจหรือเปล่า"
"เจอ..ปิดเทอมเค้ากลับบ้านจะแวะไปคุยกับลุงบ่อย ๆ เจ้านั้นเค้าสนใจเรื่องนาคเป็นพิเศษ"
"เหรอ..ลุง..ทำให้หนูอยากคุยกับเค้าจังเลย..."

"ปิดเทอม..นี่ก็ใกล้แล้วนิ...ลุงจะบอกให้อาจองเค้าชวนมาหาหนูก็แล้วกัน.."
"ขอบคุณคะ.."
ดิฉันยกมือไหว้
"เออ..ลุงขอตัวก่อนนะหนู.."
ดิฉันพยักหน้ายกมือไหวขอบคุณ

...............

ส่งลุงมอญเรียบร้อยดิฉันทบทวนข้อมูลใหม่ที่ลุงมอญบอก
องอาจ กับ อาจอง ต่างเป็นฝาแฝดเกิดวันเดือนปีเดียวกัน
ดิฉันเข้ามาในห้องที่วางแผ่นทรงกระดานแล้วกดกลไกหยิบลูกแล้วออกมา
จากนั้นกำหนดจิตถามเรื่องพี่น้องฝาแฝด
ลูกแก้ววิ่งวนไปตามตัวอักษรรอบแล้วรอบเล่าแล้วมาหยุดที่จุดเริ่มต้นเหมือนเดิม
หมายความว่าไม่มีคำตอบ หรือตอบไม่ได้

ดิฉันจึงตัดสินใจกดโทรศัพท์ไปหาพี่อาจอง
คิดว่ารอจนปิดเทอมคงไม่ไหว

"อาจองพูดครับ...."
"พี่อาจองนี่วินะ..."
"อ้าว..วิเหรอ...มีธุระอะไรหรือเปล่า..."
"วิคุยกับลุงมอญรู้ว่าพี่อาจองมีพี่ชายฝาแฝด..."
"อื้อ..เรียนที่ ม.รังสิต..วิ..มีอะไรเหรอ"
"คือ..ลุงมอญบอกว่าพี่องอาจสนใจและเก็บข้อมูลเรื่องพญานาคเอาไว้เยอะ..วิอยากคุยด้วยสักหน่อย"
"อึม..พี่นัดพี่องอาจให้ก็แล้วกัน แล้วพี่โทรไปบอก"

"วิ..เราไปดูหนังกันมั่งหรือเปล่า..."
"หา...ดูหนังเหรอ..."
"พี่อยากชวนวิไปดูหนังนะ..."

"เอ่อ..ช่วงนี้วิหาเวลาว่างแทบไม่ได้เลย พ่อก็ไม่อยู่"
"นั่นซิ...พี่ยังไม่กลับเหรอ..."
"คะ..วันก่อนโทรมาบอกว่านักการเมืองพาไปภาคเหนือไปตรงสุดต่อแดน"
"ไปทำไมเหรอ..."
"พ่อไม่ได้บอกคะ..."
"งั้นเอาไว้ว่างก่อนก็แล้วกัน..เดี่ยวพี่โทรไปนัดพี่องอาจแล้วโทรมาบอกนะ..."

.....

ดิฉันมีเวลาก็เลยเอาดีวีดีของแก้วออกมาดูอีก
วันก่อนดิฉันดูแทร๊กแรก วันนี้เลยเปิดดูแทร๊กสอง
ภาพบนจอเกิดขึ้นจากการถือกล้องถ่ายของตัวแก้วเอง

ตอนนั้นแก้วนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วยกขาทั้งสองข้างพาดเกี่ยวไว้กับท้าวแขนขาละข้าง
ท่อนล่างของแก้วเปลือยเปล่าโชว์เนินน้องสาวผุดผ่อง

ดิฉันเพิ่งเห็นเนินของแก้วถนัด ๆ วันนี้เอง
เห็นของแก้วแล้วก็อดจะเปรียบเทียบกับของตัวเองไม่ได้

เนื่องจากตัวดิฉันค่อนข้างจะขาวกว่าแก้ว
เพราะฉะนั้นตรงนั้นของดิฉันย่อมที่จะขาวสว่างกว่าของแก้วแน่นอน

กลีบแคมก็ออกจะแต่งตูมกว่าของแก้วไม่น้อย
สิ่งที่ดิฉันมีน้อยกว่าของแก้วก็มีเพียงกลุ่มไหมเท่านั้นเอง
ของแก้วแผ่ลามไปทั่วเนินและลามลงมาคลุมกลีบทั้งสอง
ส่วนของดิฉันมีเพียงหย่อมน้อย ๆ อยู่เหนือแนวร่องเท่านั้นเอง
กลีบทั้งสองของดิฉันจะมีก็เพียงขนอ่อนบาง ๆ

"อ๊อดสาธิตการใช้ลิ้นให้แก้วเอาไว้ดูนะ..."
เสียงอ๊อดบอกกับแก้ว แล้วสอดมือเข้าไปดึงก้นของแก้วให้ขยับออกมาให้นั่งตรงขอบก้าอี้
กล้องโคล๊สเข้าไปที่เนินสาวของแก้ว โชว์ให้ร่องแคมที่แตกอ้าออกจนเห็นหยดหล่อลื่นที่หยาดเยิ้ม

"แก้วจับกล้องดี ๆ นะ อ๊อดจะโชว์แล้ว..."
"อื้อ..เต็มที่เลยอ๊อด..."
"อ๊อดจะเอียง ๆ หน้าให้แก้วถ่ายนะ..."
"จ๊ะ...เอาให้เห็นจะ ๆ นะ"
"อื้อ...แต่แก้วจะทนไหวหรือเปล่า..."
"ถ้าไม่ไหวก็หยุดซิ..."
แล้วก็มีเสียงแก้วกับอ๊อดหัวเราะประสานกัน

อ๊อดสอดมือโอบจับก้นของแก้ว โดยให้หัวแม่มือทั้งสองข้างวางตรงกลีบพอดี
จากนั้นอ๊อดค่อย ๆ กดนิ้วรั้งให้แคมทั้งสองแหวกออก
กล้องโคล๊สอัพเข้าไปเรื่อย ๆ

ดิฉันเห็นแล้วก็หัวใจเต้นเป็นรัวกลอง
ช่องรักของแก้วค่อย ๆ เปิดเผยให้เห็นเต็มจอ
ริมกลีบแคมและบริเวณปากช่องรักชุ่มฉ่ำไปด้วยหล่อลื่น
อ๊อดกดนิ้วออกไปจนปากช่องรักเปิดขยายเต็มที่

"แก้ว..น้ำเยอะเลย..."
"ก็ตะกี้อ๊อดจูบนอกกางเกงจนแก้วมีอารมณ์นิ..."
"อะไรแค่อ๊อดจูบนอกกางเกงแก้วยังขนาดนี้เลยเหรอ..."
"อ๊อดทำอะไร..แก้วก็เสียวไปหมดแหละ..."
"มีอารมณ์งั้นซิ..."
"อื้อ..."

ทั้งสองคุยกันไปอ๊อดก็ใช้นิ้วเขี่ยร่องของแก้วเล่นไปด้วย
"อูยยยซซซ์...อ๊อด..."
"เสียว..เหรอ..."
"อื้อ...ซี้ดดดสสสส์"

ดิฉันเห็นภาพอ๊อดยกมือตัวเองออกมาข้างหนึ่งจากการแบ๊ะกลีบ
แล้วเอานิ้วเขี่ยตรงกลางร่องที่เยิ้มฉ่ำ
แก้วขยับเอวแอ่นก้นขึ้นมาทันที
อ๊อดยิ่งใช้นิ้วเขี่ยไปกลางร่องถี่ขึ้นเท่าไหร่
กลางร่องเสียวของแก้วนะน้ำก็เยิ้มมากขึ้นเท่านั้น

อ๊อดเปลี่ยนมาเป็นรูดนิ้วลงมาข้างล่างมาเขี่ยบริเวณปากช่องรัก
แก้วขยับก้นยิก ๆ ทีเดียว
"อูยยยย...ซี้ดดดสสสส์...อ๊อดจ๋า...แก้วเสียวจัง...อูยยยยย..."
คงเนื่องจากกล้องอยู่ใกล้คนทั้งสองเสียงจึงชัดมาก ๆ

"อ๊อดเขี่ยปากรูแก้วเป็นไง"
"เสียว...อ๊อด...อูวววซซซ์"
"ใช้ลิ้นนะ..."
"อื้อ...."

อ๊อดซุกหน้าลงกับเนินสาวแล้วขยี้ไปมา
แก้วตอบสนองด้วยการขยับก้นแอ่นเนินขึ้นรับ
แล้วดิฉันยิ่งสยองเมื่ออ๊อดเอียงหน้าให้แก้วถ่ายให้เห็นชัด ๆ
เห็นแล้วดิฉันเองก็มีอารมณ์มากเลย

ดิฉันถอดกางเกงออกเหลือแต่กางเกงใน
มือเลื่อนลงคลึงเนินเนื้อ
มันเสียวจริง ๆ ยิ่งได้ยินเสียงแก้วร้องครวญคราง
เห็นการพยายามแอ่นกันอัดใบหน้าของอ๊อด
ดิฉันบดขยี้เนินแรง ๆ อย่างไม่อาจข่มกลั้นเอาไว้ได้
อยากจะร้องครวญครางเหมือนแก้วแต่ก็ไม่กล้าพยายามกัดฟันเอาไว้แน่น

แก้วร้องดังลั่นห้องเลย คงจะเรียบร้อยไปกับลิ้นของอ๊อด
ดิฉันก็เรียบร้อยไปสันมือและนิ้วขอตัวเอง

เหนื่อยมากเลย เป็นการถึงจุดสุดยอดที่มีความสุขและเหนื่อยมาก ๆ
ดิฉันผลอยหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้
ตื่นขึ้นมาจัดการอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนกางเกงในตัวใหม่
แล้วเดินออกมาจากห้อง

เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่อาจอง
"วิ...พอดีพี่องอาจว่างเย็นนี่พี่พาไปหาที่บ้านก็แล้วกัน เลี้ยงข้าวพี่ด้วยนะ..."
พอได้คำตอบจากพี่อาจอง..ภายในใจดิฉันรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร
ความรู้สึกนี้เหมือนกับตอนที่ดิฉันได้แผ่นทรงกระดานยังไงยังงั้น

ดิฉันบอกน้านวลช่วยจัดเตรียมอาหารเย็นเพิ่มอีก 2 ที่ให้ด้วย
จากนั้นก็เข้าห้องเพื่อเอาใบลานที่เหลือออกมาเพื่อทบทวนภาษาขอม
ขณะนี้ดิฉันอ่านคล่องขึ้นมากไม่ต้องคอยสะกดทีละตัวอีกแล้ว
ในคัมภีร์ใบลานมีวิชาแปลกหลากหลายทีเดียว
แต่ดิฉันก็ไม่ได้ให้ความสนใจจะฝึก

ดิฉันนึกไปถึงคัมภีร์หนังมนุษย์ของพ่อ
พ่อกลับมาดิฉันจะต้องไปขอยืมพ่อสักหน่อยแล้ว

................

เวลา 17.15 น. พี่อาจองก็พาพี่องอาจมาหาดิฉัน
"วิ..นี่พี่ชายฝาแฝดของเราชื่อองอาจ"
"สวัสดีคะ..พี่องอาจ พี่อาจอง"

ดิฉันพาทั้งสองมานั่งที่ห้องรับแขกแล้วเหลือบไปเห็นว่าพี่อาจองถืออะไรมาด้วยแต่ดิฉันก็ไม่ได้ถามว่าเป็นอะไร
"อาจองบอกว่าน้องวิสนใจเรื่องพญานาคอยากได้ข้อมูลของพี่"
ดิฉันพยักหน้าแล้วพูดว่า
"วิ..รู้จากลุงมอญนะคะ"
"อ๋อ..ลุงมอญ..ผมไปหาแกอยู่เรื่อยแหละ..."
"ไปไงมาไงพี่องอาจจึงสนใจเรื่องนี้"
"ไม่รู้สิ..อาจเป็นการเรียกร้องภายในก็ได้นะ..วิว่าไง..."

"อาจใช่คะ...ไม่รู้อยู่ ๆ วิก็เกิดสนใจขึ้นมางั้นแหละ..."
"พญานาคเค้ามีหลายตระกูลตามตำรานะ แบ่งเป็นสีต่าง ๆ กันไป.....
ดิฉันพยักหน้า

...ตระกูลวิรูปักษ์ สีทอง ตระกูลเอราปถ สีเขียว ตระกูลฉัพพยาปุตตะ สีรุ้ง และตระกูลกัณหาโคตมะ สีดำ
โลกที่พวกเค้าอยู่จะเหลื่อมมิติกับโลกของเรา แต่จะเชื่อมต่อกันได้อย่างดีกับการสื่อทางจิต"

"พี่องอาจเคยมีประสบการณ์อะไรกับพวกเค้าหรือเปล่า..."
พี่องอาจพยักหน้าแล้วพูดว่า
"เรื่องฝันนะมีตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วเล่าให้ใครฟังก็ไม่เชื่อ เลยไม่ค่อยบอกใคร"
"แล้วฝันกันทั้งสองคนเลยหรือเปล่า.."
พี่อาจองส่ายหน้า
"ส่วนใหญ่จะเป็นเค้า พี่ไม่ค่อยได้ฝันหรอก เค้าเจอเยอะ ตอนแรก ๆ พี่ก็ว่าเค้าโม้เหมือนกัน"
"ใช่..อาจองเค้าไม่ค่อยเชื่อ แต่พี่ชอบพาเค้าไปด้วยอย่างที่เอามานี่ พี่ให้ใครดูก็ไม่มีใครบอกได้ว่าคืออะไร"

พี่อาจองเอาของที่ดิฉันเห็นว่าถือมาวางบนโต๊ะแล้วเปิดฝากล่องออก
ภายในเป็นแท่งสีดำสนิท เหมือนหินแต่ดำกว่าหินก้อนใด ๆ ที่ดิฉันเคยเห็นมาก่อน
ตรงกลางก้อนหินที่ว่ามีรอยสลักเป็นรูปวงกลมที่แล้วตรงกลางบุ่มลงไป
มันช่างคล้ายกับเครื่องหมายจุดเริ่มต้นที่แผ่นทรงกระดานยังไงยังงั้น

พี่องอาจคงเห็นแววตาพิศวงของดิฉันจึงถามว่า
"วิ..มีอะไรเหรอ..."
ไม่รู้เหมือนกันว่ามีอะไรมาห้ามดิฉันเอาไว้ ดิฉันจึงตอบว่า
"ก็รู้สึกแปลก ๆ คะ หินอะไรมันดำสนิทเลยเหมือนแท่งหมึกจีน"
พี่องอาจพยักหน้า
"พี่สังเกตว่ากลางวงกลมเหมือนจะมีรูเล็กเท่าเข็มหมุด"
ดิฉันหยิบหินก้อนนั้นขึ้นมาดูก็จริงอย่างพี่องอาจว่า
แต่มีบางอย่างที่สะท้านมาตามมือดิฉันนี่ซิ
มันบอกไม่ถูกว่าคืออะไร คล้ายกับเหมือนโดนไปฟ้าดูดแต่พลังอ่อน ๆ

ดิฉันวางแท่งหินก้อนนั้นไว้ที่เดิม
"วิ..อาจองไปเจอแล้วเอามาให้พี่..ตั้งแต่นั้นมาพี่ฝันแต่เรื่องพญานาคตลอดเลย"
"ฝันยังไงมั่งคะ..."
"เห็นชีวิต เห็นความเป็นอยู่ เค้าไม่เป็นแบบงูใหญ่เหมือนภาพวาด นั่นเป็นส่วนหนึ่ง แต่เค้าก็อยู่กันเหมือนคนเรานี่แหละ"
"คะ..วิเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน..."
ดิฉันย้อนไปถึงนิมิตของมนตราในห้องหอแต่ก็ไม่ได้เล่าอะไรออกไป

"พวกเค้ากึ่งเทพกิ่งมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตก็แล้วกัน จะว่าเค้าคือมนุษย์ก็จะมากไปหน่อย"
พี่องอาจเล่าต่อว่า
"เค้าก็มีพ่อมีแม่พี่น้อง มีคนรัก มีศัตรู มีเพื่อน เหมือน ๆ กันกับเรานี่แหละวิ..."
"แล้วเค้ามาเกี่ยวข้องกับพวกเรายังไง..."
ดิฉันถาม
"พี่ว่าภพภูมิของเค้ากับของเรานะใกล้กันมาก ๆ จึงมีการล่วงล้ำกันเป็นธรรมดา"
"นั่นซินะ..."

"พี่คิดว่าพี่เห็นพวกเค้าหลายครั้งนะ บางครั้งอาจเป็นนิมิตร แต่บางครั้งพี่คิดว่าของจริง
ตอนหนึ่งพี่ไปหนองคายกับอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย เราไปนั่งกินอาหารกันริมแม่น้ำโขง
พอดีช่วงนั้นนักท่องเที่ยวน้อย ทั้งร้านมีแต่เจ้าของกับโต๊ะเรา ซึ่งก็มีพี่กับอาจารย์สองคนเท่านั้น
ขณะนั่งกินกันไปคุยกันไป พี่เห็นน้ำหวนห่างจากที่พี่นั่งไม่เกิน 5 เมตร วงน้ำนะใหญ่มาก
ตอนแรก ๆ ก็ไม่สนใจอะไร อาจารย์กลับชี้แล้วบอกพี่ว่าดูใต้น้ำดี ๆ ซิอะไรสีเขียวใหญ่มาก"

พี่องอาจเงยหน้าขึ้น แล้วพูดต่อว่า
"พี่ก็เห็นแต่บอกไม่ได้ว่าอะไร จะว่าปลาไหล ปลาบึกก็ไม่น่าจะใช้ เพราะที่เห็นนั้นสีออกเขียว
แล้วมีขนาดใหญ่แล้วมีลักษณะเหมือนการบิดตัวแบบการเลื้อยของงู แต่ใหญ่มาก ตอนนั้นพี่
ประมาณว่าน่าจะขนาดโอ่งมังกรเป็นอย่างน้อย"

"ตอนนั้นพี่ตกใจหรือเปล่า"
"พี่ว่าทั้งพี่และอาจารย์คงตัวแข็งเหมือนถูกสาบเป็นหิน พี่ว่าพี่เห็นคงไม่น้อยกว่าห้านาทีเห็นจะได้"
"อืม..นานทีเดียวนะ...."
"แล้วเหมือนเค้าจะค่อย ๆ ดำหายไปในบริเวณน้ำลึกยังไงยังงั้น...เรางง ๆ กันมากทีเดียว"

"แล้วพี่อาจองได้หินก้อนนี้มายังไง..."
"คนเอามาขาย..บอกว่าเป็นหินพญานาคนึกถึงพี่องอาจเลยซื้อเอามาฝาก"
"เหรอ...แปลกจัง.."
ดิฉันถามด้วยตาลุกวาวสนใจ

"แล้วพี่องอาจมีประสบการณ์อะไร ๆ เกี่ยวกับพญานาคอีกหรือเปล่า"
"มีบ่อยวิ..ถนนหน้าบ้านเราจะมีรอยแปลก ๆ เหมือนงูเลื้อยแต่มีขนาดใหญ่มาก ให้ใครดูก็ไม่ม่ใครรู้จัก
ต่อมาเราได้เห็นภาพจากช่อง 7 ที่ไปถ่ายหลังคารถปิคอัพที่รอยแบบเดียวกับเรา เค้าเรียกว่ารอยพญานาค
แต่เราก็ไม่กล้าบอกใครหรอก คืนฝนตกตอนเช้าเราจะเห็นบ่อยเลย"
"ลักษณะเลื้อยมาจากไหนเหรอ..."
"วิถามเหมือนพี่คิดเลย พี่สันนิษฐานตามเส้นทางนะ พี่ว่ารอยนี้ขึ้นมาจากบ่อน้ำที่บ้าน"

"บ่อน้ำเหรอ..."
"ขนาดสัก 3 คูน 5 เมตรได้ พ่อเค้าขุดดินขึ้นมาถมปลูกบ้าน นานเป็นสิปปีแล้ว"
"เป็นไปได้หรือเปล่าว่าที่บ่อเป็นจุดเชื่อมระหว่างมิติ"
พี่องอาจพยักหน้าแล้วพูดว่า
"อาจเป็นไปได้ แต่จะเอาใครไปพิสูจน์ละ..."
"นั่นซิคะ..."

"ไงมาไง..วิถึงได้สนใจพญานาคละ..."
"ไม่รู้ซิ...ไปได้ไม้กระดานจากลุงมอญเลยเกิดนึกสนใจขึ้นมา แล้วลุงมอญบอกว่าพี่องอาจมีข้อมูลเยอะ"
"เฮ่อ..ก็ไม่เยอะหรอก ส่วนใหญ่จะเป็นพวกฝัน ๆ มากกว่า หลักฐานพิสูจน์ไม่ค่อยจะมี"

"วิเชื่อว่าพวกเค้ามีจริงนะค่ะ..."
"พี่ก็เชื่อ อาจองจะนั่งเงียบเชียว.."
"ก็ฟังพี่กับวิคุยกันอยู่นี่แหละ"

ขณะที่พี่องอาจหันไปคุยกับพี่อาจองซึ่งอยู่ในท่าเอียง ๆ หันแผ่นหลังมาทางดิฉัน
ภายในจิตใจของดิฉันถึงกับสะท้านหวั่นไหว
"นึกถึงภาพนิมิตรชายที่ดิฉันเห็นเพียงแผ่นหลังคนนั้น กับชายคนที่อยู่ในห้องหอของดิฉัน"

พี่องอาจหันมาเห็นแววตาเบิ่งโพรงก็หัวเราะแล้วพูด
"พี่เล่านิดเดียว..วิกลัวเหรอ..."
ดิฉันรีบส่ายหน้าแล้วลุกขึ้น

"พี่องอาจมายืนหันหลังตรงนี้หน่อยซิ"
"พี่เหรอ..."
พี่องอาจทำหน้ามึนงง
"คะ..นิดเดียวเอง..."
พี่องอาจทำตามเดินมาตรงใกล้ ๆ เสาริมกระจก
ดิฉันจัดให้พี่องอาจยืนหันหลัง เสียงแดดอ่อนสาดแสงมากระทบแผ่นหลัง

ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายในของดิฉัน
มันทั้งเต็มตื้น ยินดี แล้วก็หดหู่ หลากหลายอารมณ์ระดมกันขึ้นมา
จนครู่หนึ่งพี่องอาจหันมามองทางดิฉัน
"อ้าว..น้องวิ..เป็นไง..น้ำตาคลอเชียว...เป็นอะไรละ"
ดิฉันรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตา
"มันเหมือนมีอะไรเข้าตานะ..."

พี่องอาจยื่นผ้าเช็ดหน้าสะอาดมาให้
ดิฉันยื่นมือที่ค่อนข้างสั่นไปรับเอามาซับน้ำตา
ในความรู้สึกหลากหลายนั่นคืออะไร
พี่องอาจคือใคร ใช่ปะวรรคนาคาหรือเปล่า
พี่อาจองละคือใคร มีอะไรเกี่ยวข้องกับดิฉัน

"ทุกคน ๆ อาหารพร้อมแล้วจ๊ะ..."
น้านวลเข้ามาขัดจังหวะพอดีเหลือเกิน
"ไปกินกันเถอะ พี่องอาจกะพี่อาจอง"
ดิฉันเดินนำทั้งสองไปยังโต๊ะที่น้านวลจัดอาหารเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
เราทั้ง 4 คนกินอาหารเย็นฝีมือน้านวลกันอย่างเอร็จอร่อย
แล้วพี่องอาจกับพี่อาจองก็ลาน้านวลกลับ
ดิฉันออกมาส่งทั้งสองที่ประตูหน้าบ้าน

มันน่าแปลกที่ดิฉันเพิ่งจะพบพี่องอาจแต่ก็รู้สึกสนิทสนมไว้เนื้อเชื่อใจมากกว่าพี่อาจองเสียอีก
"พี่องอาจวิขอเบอร์โทรหน่อยนะ..มีอะไรจะได้โทรไปปรึกษา"
พี่องอาจบอกให้ดิฉันบันทึกเอาไว้ในโทรศัพท์และดิฉันทดลองโทรเข้าเครื่อง
ก่อนจากกันพี่องอาจส่งสายตามามอบดิฉันพร้อมยิ้มให้แล้วโบกมือลา

พี่องอาจส่งหินพญานาคให้แก่ดิฉัน
"วิ..พี่ให้วิไว้ดีกว่า....."
พูดแล้วส่งกล่องที่ใส่หินพญานาค
"ของหวงพี่องอาจไม่ใช่หรือ..."
"พี่ว่าวิเหมาะที่เก็บรักษามากกว่าพี่"
พี่อาจองมองหน้าดิฉันดูแล้วเจื่อน ๆ พิกล
ดิฉันจับมือพี่องอาจกุมเอาไว้แล้วกล่าวขอบคุณ

ดิฉันปิดประตูเรียบร้อยแล้วเดินเข้าบ้านเอาหินพญานาคกอดแนบอดแน่น
เป็นอันว่าดิฉันได้ของโบราณที่ประมาณอายุไม่ได้มาอีกชิ้นหนึ่งแล้ว
ดิฉันเอาไปเก็บไว้ในห้องนอน

.................

ดิฉันอาบน้ำอาบท่าใส่ชุดนอนเรียบร้อย
คืนนี้ตั้งใจจะนอนแต่หัวค่ำ

ก่อนนอนก็กำหนดจิตหยั่งเข้าสมาธิตามความเคยชินตั้งแต่เด็ก ๆ
ไม่นานนักจิตก็เข้าภวังค์แล้วปล่อยให้หลับ
แต่แปลกการหลับวันนี้กายหลับ แต่สถิติกับสัมปชัญญะสมบูรณ์เต็มร้อย
ขณะที่จิตสงบนิ่งเข้าสู่ฐานได้ชั่วครู่
ดิฉันรู้สึกได้ถึงภาพเหตุการณ์ส่งตัวเข้าหอ
ภาพนั้นวนไปมา..ไม่มีจุดเริ่มต้น...ไม่มีจุดจบ
ผู้ชายที่ดิฉันเห็นในภาพนะคือใคร

จากนั้นก็มีภาพตัวเองในชุดเครื่องทรงเต็มยศ
กำลังทำพิธีอะไรบางอย่างอยู่ริมแม่น้ำ
จากนั้นดิฉันก็กระโจนลงแม่น้ำและร่างก็ค่อยกลายเป็นนาคไปทีละส่วน ๆ

ภาพเปลี่ยนไปอีก..ดิฉันได้ใส่บาตรกับพระภิกษุผู้ทรงศีล
ใส่บาตรเสร็จพระองค์นั้นก็ให้ศีลให้พรด้วยน้ำเสียงใสกังวาล
ดิฉันชุ่มชื่นใจอย่างที่สุดแบบหาประมาณไม่ได้
"สีกา...วิบากกรรมวุ่นวายซับซ้อนเหลือเกิน โลกมันก็เป็นทุกข์แบบนี้แหละ"
ดิฉันกราบลงกับพื้น

ภาพเปลี่ยนไปอีกครั้ง
งานศพกลางพระเมรุหนึ่งในสองร่างนั้นก็คือดิฉันเอง

แล้วดิฉันก็สดุ้งตื่นขึ้นมา
นาฬิกาบอกเวลาตีห้าเศษ ๆ
ดิฉันลุกขึ้นเข้าห้องน้ำอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว

มีลางสังหรณ์แปลก ๆ พิกลแต่ก็บอกไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรกับดิฉัน
แล้วเหตุการณ์นี้เกี่ยวพันกับการบรรลุนิติภาวะของตัวเอง
"เฮ่อ..อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดก็แล้วกัน..."
----------------------------------------------------------------

manunited68