ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ใต้เงาอวิชา 15-17 : daona

เริ่มโดย casgig, ตุลาคม 28, 2014, 11:09:12 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

casgig

ใต้เงาอวิชา 15

"นานแสนนานมาแล้วนับแต่วันที่พระพรหมสร้างโลกและมนุษย์ขึ้นมา"

ปณิตาเทวีเล่าช้าๆด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟังเป็นอย่างยิ่ง

"ตอนนั้นการร่วมเพศของมนุษย์ยังมิได้มีความสุขสำราญอย่างเช่นทุกวันนี้ ความสุขจากการร่วมประเวณีมีเฉพาะในหมุ่เทวดาเท่านั้น สำหรับการร่วมประเวณีของมนุษย์เป็นเพียงการกระทำเพื่อสืบเผ่าพันธุ์ พิธีการนี้มีแต่ความเหนื่อย ความเจ็บและความยากลำบาก เพราะเหตุนี้ ทำให้มนุษย์ไม่ค่อยจะอยากร่วมประเวณีกัน บางช่วงเวลาเผ่าพันธุ์มนุษย์ถึงกับลดน้อยลงอย่างน่าใจหาย ด้วยจำนวนมนุษย์ที่ลดน้อยไปขนาดนั้น ทำให้เกิดความวิตกกังวลกันในหมู่เทวดาว่า หากมีอุบัติเหตุใดๆเกิดขึ้น เช่น การเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ก็อาจทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ไปได้เลย"

"มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ" ณัฐริกาเอ่ยออกมา "หนูไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย"

ปณิตาเทวียิ้มอย่างงดงามพร้อมกับเล่าต่อ "เมื่อเป็นเช่นนั้น เหล่าเทวดาจึงพากันไปขอให้พระอิศวรผู้เป็นใหญ่ในสรวงสวรรค์ช่วยแก้สถานการณ์ พระอิศวรเห็นว่าหากจะให้มนุษย์ทำกิจกรรมนี้เยอะๆก็ต้องทำให้มนุษย์มีความสุขกับการร่วมประเวณี เมื่อทรงดำริได้เช่นนี้ มหาเทพอิศวรจึงทรงสร้างเทพอิสลึงค์ขึ้นมา ทรงประสงค์จะให้เทพอิสลึงค์ทำให้มนุษย์มีความสุขในการร่วมประเวณี อันจะทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถดำรงต่อไปไม่สูญสลาย"

"พระอิศวรทำได้สำเร็จแล้วล่ะ เทพอิสลึงค์ของพระองค์ทำงานได้อย่างดีเลิศ" ณัฐริกาหัวเราะเบาๆ "ตอนนี้มนุษย์เรามีความสุขกับเรื่องนี้มาก เราถึงกับเรียกมันว่าความสุขสุดยอด ถ้าอย่างนั้นเราต้องขอบคุณเทพอิสลึงค์ที่ทำให้เรามีความรู้สึกนี้"

ปณิตาเทวีหันมามองณัฐริกา

"เธอคิดอย่างนั้นหรือหนูน้อย"
"ค่ะ" ณัฐริกาตอบ "หรือหนูเข้าใจผิด"

ปณิตาเทวีหัวเราะเบาๆ
"มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ความจริงก็คือ เทพอิสลึงค์ทำงานดีเกินไป เขาทำให้มนุษย์มัวเมาในการร่วมประเวณี มนุษย์ส่วนใหญ่ละทิ้งการทำงาน ใช้เวลาเกือบทั้งหมดสนุกสนานไปกับการร่วมประเวณี มีการร่วมรักกันไม่เว้นแม้แต่ในหมู่วงศาคณาญาติ ศีลธรรมเสื่อมโทรมสุดขีด"
"ร้ายแรงถึงขนาดนั้นเลยหรือคะ" ณัฐริกาอุทาน
"ยิ่งกว่านั้นอีก เพราะนอกจากการผิดลูกผิดเมียกันไปทั่วแล้ว บางครั้งถึงกับมีสงครามแย่งชิงผู้หญิงผู้ชาย มนุษย์จำนวนมากมายมหาศาลต้องเสียชีวิตเพราะเรื่องแบบนี้"

ณัฐริกาอ้าปากค้าง เธอรู้ว่ามีเรื่องแบบนี้อยู่บนโลก แต่ไม่คิดว่าจะเป็นผลมาจากกการกระทำของเทพอิสลึงค์
"แล้วทำไมไม่ใครจัดการกับเทพอิสลึงค์เล่าคะ"

"เพราะอิสลึงค์ถูกสร้างมาจากหนึ่งในสามของมหาเทพผู้เป็นใหญ่ มีอิทธิฤทธิ์มากมายมหาศาล ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าจัดการเรื่องนี้ แต่ในที่สุดเหล่าเทวดาก็ทนดูความเหลวแหลกของมนุษย์ไม่ได้ จึงพากันไปเฝ้าพระนารายณ์เพื่อให้พระองค์หาทางออกให้มวลมนุษย์ชาติ"

"อา...คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงมหาเทพทั้งสามพระองค์เลย" ณัฐริกาเอ่ยอย่างตื่นเต้น "แล้วพระนารายณ์ทำยังไงคะ ทำไมพระองค์ไม่จัดการสังหารเทพอิสลึงค์ไปซะ หนูว่าเทพอิสลึงค์ไม่มีทางสู้พระนารายณ์ได้"

ปณิตาเทวีหัวเราะ มองณัฐริกาอย่างเอ็นดู
"พระนารายณ์ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกจ้ะ พระองค์ทรงเห็นด้วยสติปัญญาว่า หากสังหารเทพอิสลึงค์ไป จะต้องขัดใจกับพระอิศวรซึ่งเป็นผู้สร้างเทพอิสลึงค์ขึ้นมา และถ้าองค์อิศวรมหาเทพพิโรธอาจทำให้เกิดศึกสวรรค์ ทุกชีวิตจะต้องแหลกลาญจนหมดสิ้นด้วยอำนาจของการสู้รบระหว่างเทวดาทั้งหลายซึ่งอยู่ข้างพระอิศวร กับพระนารายณ์ฝ่ายละเท่าๆกัน"

"โห.." ณัฐริกาแลยลิ้น "ไม่นึกเลยว่าเรื่องมันจะซับซ้อนยุ่งยากขนาดนี้"

"ไม่ใช่เหตุผลนี้อย่างเดียวหรอกนะ พระนารายณ์แอบกระซิบบอกฉันว่า นี่..นังหนู..อย่าไปบอกใครนะ จริงๆไอ้ฉันน่ะไม่กลัวจะต้องทำสงครามกับพระอิศวรซักเท่าไหร่หรอก แต่ฉันกลัวเมียฉันบ่นมากกว่า" ปณิตาเทวีเล่ายิ้มๆ "พระนารายณ์บอกฉันว่า ทุกครั้งที่พระองค์อวตารไปปราบมารทีไร พอเสร็จงานกลับมาก็มีเรื่องให้พระลักษมีซึ่งเป็นพระมเหสีของพระองค์ต้องบ่นทุกที อย่างเช่น ครั้งที่พระนารายณ์อวตารไปเป็นพระราม พระนางลักษมีก็อวตารไปเป็นนางสีดา พอเสร็จศึกกลับมาพระนารายณ์โดนพระมเหสีบ่นจนหูชา"
"พระลักษมีบ่นว่าอะไรคะ" ณัฐริกาถามด้วยความอยากรู้
"พระลักษมีบ่นว่า พระรามไปช่วยพระนางช้า ทำให้พระนางต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวถูกทศกัณฑ์จับโน่นจับนี่ พระนารายณ์โดนพระมเหสีบ่นจนหูชาไปเป็นเดือน ตั้งแต่นั้นพระองค์ก็บอกกับตัวเองว่าถ้าไม่จำเป็นไม่ขออวตารดีกว่า"
ณัฐริกาหัวเราะคิก
"พระนารายณ์ก็มีอารมณ์ขันเหมือนกันนะคะ"
"ใช่จ้ะ" ปณิตาเทวีเห็นด้วย "มีใครที่ไหนจะไม่รู้ว่าพระนารายณ์กับพระนางลักษมีเป็นคู่ชีวิตที่น่าอิจฉา ทรงอวตารร่วมสุขร่วมทุกข์ เคียงข้างกันทุกชาติภพ"

"หนูอยากมีคนรักดีๆแบบนี้บ้าง" ณํฐริกาเอ่ย
"เธอจะมี หนูน้อย" ปณิตาเทวีเอ่ยยิ้มๆ

"แล้วเรื่องเป็นไงต่อคะ" ณัฐริกาถาม "ถ้าพระนารายณ์ไม่อาจจะอวตารไปปราบเทวดาของพระอิศวรได้ แล้วพระนารายณ์ทรงแก้ปัญหาที่เกิดจากเทพอิสลึงค์ยังไง"

ปณิตาเทวียิ้มอย่างงดงาม
"เมื่อพระอิศวรสร้างเทพแห่งกามราคะได้ พระนายณ์ก็สร้างเทวีแห่งสติปัญญาได้" ปณิตาเทวีเอ่ยพร้อมกับยืดพระอุระอวบของพระนางอย่างภาคภูมิใจ "พระนารายณ์สร้างฉันเพื่อสะกดข่มเทพอิสลึงค์ไม่ให้เหิมเกริมในอำนาจมอมเมามนุษย์จนเสียการเสียงาน"

"เอ...ถ้าอย่างนั้นพระอิศวรไม่โกรธหรือคะที่พระนารายณ์สร้างพระแม่เจ้ามางัดข้อกับเทวดาของพระองค์"
"ไม่หรอกหนูน้อย" ปณิตาเทวีเอ่ยอย่างเมตตาปราณี "ตรงกันข้าม พระอิศวรทรงสนุกกับการต่อสู้กับพระนารายณ์ผ่านตัวแทนของพระองค์ ทรงตรัสว่า อยากรู้นักว่าพราะนารายณ์จะมาไม้ไหนถึงจะหยุดยั้งเทพอิสลึงค์ของพระองค์ได้ หากกำจัดเทพอิสลึงค์มนุษย์ก็จะสูญเสียความสุขในการร่วมประเวณี ไม่มีมนุษย์คนไหนยอมเสียความรู้สึกนี้หรอก แล้วเทวีของพระนารายณ์จะทำอีท่าไหนได้ล่ะ ทรงตรัสอย่างขบขันว่า เทวีของพระนารายณ์นั่นแหละจะเสร็จเทพอิสลึงค์ของพระองค์ซะมากกว่า" ปณิตาเทวีเอ่ยแล้วก็หน้าแดงซ่าน

ณัฐริกาหัวเราะ "หนูก็ว่าอย่างงั้นนะ ไม่มีมนุษย์คนไหนยอมเสียความรู้สึกนี้หรอก ผู้ชายบางคนยอมตายเสียดีกว่าที่จะเสียความรู้สึกนี้ไป พวกเราเรียกคนที่ไม่มีความรู้สึกในการร่วมเพศว่า กามตายด้าน" ณัฐริกาเอ่ย "หนูเข้าใจแล้ว ทำไมก่อนที่เทพอิศลึงค์จะถือกำเนิดมามนุษย์ถึงไม่อยากร่วมประเวณีกัน มนุษย์ยุคนั้นคงเป็นแบบกามตายด้านกันหมด เพราะไม่มีใครรู้จักความสุขสุดยอด จะร่วมประเวณีไปทำไมให้เจ็บ ให้เหนื่อย ถ้าอย่างงั้นเทพอิสลึงค์ก็มีคุณประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์จริงๆ"

"เธอฉลาดมากหนูน้อย" ปณิตาเทวีเอ่ยชม

"แล้วพระแม่ทำไงคะ" ณัฐริกาเอ่ยอย่างมึนงง "ในเมื่อความสุขสุดยอดเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของเทพอิสลึงค์ ถ้ากำจัดเขาไปก็เท่ากับทำให้มนุษย์กลับไปเป็นพวกกามตายด้านเหมือนยุคก่อนที่จะมีเทพอิสลึงค์ ปัญหาเดิมก็จะวนกลับมาอีก"

 "ถูกต้อง เรารู้ว่าความสุขสุดยอดกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ไปแล้ว ดังนั้นเราจะไม่กำจัดเทพอิสลึงค์  นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่พระนารายณ์ไม่ประสงค์จะสังหารเทพอิสลึงค์ พระองค์เพียงต้องการควบคุมให้เทพอิสลึงค์ทำงานแต่พอดีไม่ทำให้มนุษย์มัวเมาอยู่แต่ในเพศรสจนเกินไปเท่านั้น รู้มั้ยว่าตอนนั้นพระนารายณ์ตรัสกับฉันว่าไง พระองค์ตรัสว่า ดูก่อนเทวี ฉันสร้างเธอมาเพื่อประสงค์จะให้เธอควบคุมเทพอิสลึงค์ไม่ให้เหิมเกริมในอำนาจมากเกินไป จงต่อสู้กับเขาแต่อย่าเอาชนะเขาเพราะจะทำให้พระอิศวรทรงกริ้ว "
 
 "โห สู้กับเขาแต่ไม่ให้เอาชนะเขา ก็หมายความว่าให้สู้เพื่อเสมอซินะ ถ้างั้นหนูว่ายากกว่าสู้เพื่อชนะอีก เพราะเท่ากับบีบให้เราไม่สามารถใช้ฝืมือได้เต็มที่"
 "ถูกต้องมันยากมาก แต่มันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้พระอิศวรไม่เสียหน้า นี่เป็นสาเหตุที่พระนารายณ์ไม่ได้ให้อิทธิฤทธิ์กับฉันมากพอที่จะสู้กับเทพอิสลึงค์ได้ แต่พระองค์ให้สติปัญญากับฉัน ด้วยหวังให้ฉันเอาชนะเทพอิสลึงค์ด้วยปัญญา"
 "ถ้างั้นพระแม่เจ้าทำไงกับเทพอิสลึงค์คะ ถ้าสู้ได้แค่เสมอกับเขา ไม่เอาชนะเขาแล้วจะควบคุมเขาได้ไง"
 "ฉันท้าเทพอิสลึงค์ทำสงครามแบบมีเงื่อนไข" ดวงเนตรที่งามซึ้งของปณิตาเทวีมองไปที่อันสุดไกล กิริยาท่าทีเหม่อลอยเหมือนกำลังจะรำลึกถึงอดีตอันไกลโพ้น "ฉันยังจำวันแรกที่เจอเขาได้ ตอนนั้นฉันยังเป็นเด็ก ...เป็นเทวีที่ไม่มีใครรู้จัก แต่ เขา...เทพอิสลึงค์..ตอนนั้นเขามีชื่อเสียงโด่งดังมากแล้ว โด่งดังที่สุดในหมู่เทพทั้งหลาย ใครๆก็เอ่ยถึงเขา ชื่อเสียงเขาดังพอๆกับองค์มหาเทพทั้งสามเลยเชียวล่ะ"
 
 ****

ใต้เงาอวิชา 16

"โห" ณัฐริกาฟังอย่างตื่นเต้น "ดังขนาดนั้นเลยหรือคะ เทพอิสลึงค์มีหน้าตายังไง คงจะดุร้ายน่ากลัวซินะ คนที่เหิมเกริมในอำนาจแบบนั้น"
"ตรงกันข้าม" ปณิตาเอ่ย "เทพอิสลึงค์มีใบหน้างดงาม ปาก คิ้ว จมูก ทุกอย่างสอดรับกันอย่างได้สัดส่วน เขาเป็นบุรุษที่งดงามจนไม่อาจงดงามไปกว่านั้นได้ ร่างกายของเขากำยำแข็งแรงสมชายชายตรี ผิวของเขาเป็นสีดำสนิท"
"ถ้างั้นคงจะเหมือนนิโกร" ณัฐริกาเอ่ย "ผู้ชายต่อให้หน้าตาดียังไง ถ้าลองผิวดำแบบนิโกรหนูว่ายังไงก็ไม่น่าดู"
"นั่นเป็นเพราะเธอยังไม่เคยเจอเขา" ปณิตาเทวีเอ่ยเสียงนุ่มนวล "กายสีดำของเขาทำให้เขาดูลึกลับน่าค้นหา ผิวกายดำเป็นเงานั้นให้ความรู้สึกที่แข็งแกร่งแต่ในความแข็งแกร่งแฝงความเนียนละมุน ใครก็ตามที่สัมผัสร่างกายเขาจะต้องลุ่มหลงอยากลูบไล้เขาไปตลอดชีวิต กลิ่นชายของเขาก็กระตุ้นให้เกิดอารมณ์ใคร่ เย้ายวนยิ่งกว่ากลิ่นของน้ำหอมใดๆในโลกนี้ แต่สิ่งที่มีเสน่ห์ในตัวเขาที่สุดก็คือ รอยยิ้ม รอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยเสน่ห์สุดที่ผู้หญิงคนใดจะต้านทานได้"

"มีผู้ชายที่มีเสน่หรุนแรงถึงขนาดนั้นด้วยหรือ หนูชักอยากเจอเขาแล้ว อยากรู้นักว่าเจอแล้วจะเป็นไง"

ปณิตาเทวีมองหญิงสาว
"ด้วยฌานที่เธอมีอยู่ในตอนนี้ ไม่เพียงพอต่อการต้านเสน่ห์ในตัวเขา เพียงแค่เธอได้อยู่ใกล้ชิดเขา เธอจะตกอยู่ในอิทธิฤทธิ์แห่งราคะ เธอจะเป็นฝ่ายเรียกร้องขอให้เขาให้ความสุขกับเธอด้วยซ้ำไป ความต้องการของเธอจะมากขึ้นๆไม่หยุดยั้ง ไม่มีทางที่เธอจะต้านทานอำนาจแห่งราคะของเขาได้ ไม่มีผู้หญิงคนไหนต้านทานเขาได้! เธอจะหยุดความต้องการก็ต่อเมื่อเขาอยากจะหยุดเท่านั้น"

ณัฐริกาอ้าปากค้าง
"เขามีเสน่ห์ทางเพศถึงขนาดนี้เลยหรือคะ" ณัฐริกาอุทาน "เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วพระแม่จะสู้กับเขาได้ยังไง"

ปณิตาเทวียิ้มงดงาม
"เธอลืมแล้วหรือฉันคือเทวีที่พระนารายณ์สร้างมาเพื่อปราบเขาโดยเฉพาะ เสน่ห์ของเขาไม่สามารถโน้มน้าวใจฉันได้ ต่อให้รอยยิ้มที่ทรงอำนาจที่สุดนั่นก็ตาม" ปณิตาเอ่ยด้วยหัวใจที่เต้นระทึก พระนางไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองกล่าวมันเป็นเช่นนั้นโดยสมบุรณ์หรือไม่ ทุกครั้งที่ปณิตาเทวีคิดถึงรอยยิ้มของเทพอิสลึงค์หัวใจต้องเต้นโครมครามสะท้านหวั่นไหวทุกครั้งไป "อีกอย่างตอนนั้นฉันยังเด็ก เขาก็เลยไม่ใช้อิทธิฤทธิ์ทางราคะของเขากับฉันตรงๆ" ปณิตาเทวีเอ่ย

"แล้วถ้าตอนนั้นเทพอิสลึงค์ใช้อิทธิฤทธิ์ทางราคะกับพระแม่เจ้าล่ะ พระแม่เจ้าจะต้านรับได้มั้ย"

"ฉันไม่รู้" ปณิตาเทวีเอ่ยตามตรง "ตอนนั้นฌานของฉันยังไม่สูงเหมือนตอนนี้ แต่ฉันเชื่อว่าเขาไม่สามารถครอบงำฉันได้ง่ายๆแน่ พระนารายณ์รู้จักอิทธิฤทธิ์ของเทพอิสลึงค์ดี เมื่อพระองค์สร้างฉันมาเพื่อเป็นดาวข่มเทพอิสลึงค์ ก็ไม่มีทางที่ฉันจะแพ้เขาง่ายๆแบบนั้น"

"แล้วเรื่องมันเป็นยังไงต่อคะ เมื่อพระแม่เจ้าท้าเทพอิสลึงค์ทำสงครามแล้วเขาว่าไง"

"เขาหัวเราะเหมือนกับเป็นเรื่องขบขันเสียเต็มประดา" ปณิตาเทวียิ้มเมื่อระลึงถึงความหลังเมื่อครั้งนั้น "เขาบอกว่าเขาเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ เขาไม่อยากยุ่งกับเด็กตัวกะเปี๊ยก แถมเป็นเด็กผู้หญิงอีกต่างหาก ต่อให้สู้ชนะก็ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก" ปณิตาเทวีหัวเราะ "ไปดูดนมนอนซะไป๊นังเด็กน้อย เขาพูดกับฉันอย่างนั้น ตอนนั้นเขาไม่คิดว่าเขาจะแพ้ฉันได้เลย"

"เทพอิสลึงค์ไม่รู้ว่าเขากำลังจะเจอกับอะไร" ณัฐริกาพูดอย่างตื่นเต้น
"เธอนี่เอาใจช่วยฉันน่าดูนะ" ปณิตาเทวีหัวเราะ
"อ้าว แน่นอนล่ะ หนูเป็นศิษย์พระแม่เจ้านี่" ณัฐริกาเบียดเข้าหาร่างอันอบอุ่นของพระนาง หญิงสาวถือโอกาสอ้อนประจบพระแม่เจ้าซะเลย

"เด็กน่ารัก" ปณิตาเทวีลูบผมณัฐริกาอย่างเอ็นดู

"แล้วเรื่องมันเป็นยังไงต่อไปคะ เมื่อเทพอิสลึงค์เย้ยหยันพระแม่เจ้าอย่างนั้นแล้วพระแม่เจ้าทำยังไง"
"แค่ประโยคแรกที่เขาพูดกับฉันอย่างนั้น ฉันก็รู้ทันทีว่าเขาเป็นคนหยิ่งผยอง การจัดการกับคนหยิ่งผยองต้องโจมตีไปที่ความถือดีของเขา"
"ยังไงคะ"

ดวงเนตรของปณิตาเทวีทอประกายปัญญาอันเจิดจ้า ทรงตรัสว่า
"ฉันบอกเขาว่า ฉันเป็นเทวีที่พระนารายณ์สร้างมาเพื่อปราบเทพอิสลึงค์ พระองค์คงรู้เรื่องนี้ซินะถึงไม่กล้ารับคำท้า ฉันนึกว่าเทพที่เกิดจากพระอิศวรจะกล้าหาญกว่าเทพทั่วๆไป ถ้างั้นก็แล้วกันไปเถอะ ฉันรู้ว่าคงไม่มีเทพองค์ไหนกล้าสู้กับเทวีที่ได้รับอิทธิฤทธิ์จากพระนารายณ์หรอก"

"โอ้โฮ" ณัฐริกาอุทาน "พระแม่เจ้าแรงนะเนี่ย"

ปณิตาเทวีทรงแย้มสรวล
"คำพูดของฉันทำเขาโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง นั่นทำให้ฉันรู้จุดอ่อนอีกอย่างหนึ่งของเขาว่าเป็นเทพที่มีจุดเดือดต่ำ เขาบอกว่า เธอได้อิทธิฤทธิ์ของพระนารายณ์แล้วยังไง เมื่อเธออยากลองดี ฉันก็จำเป็นต้องสั่งสอนเธอ นังเด็กโอหัง ตัวกะเปี๊ยกแต่หยิ่งผยองนัก" ปณิตาเทวียิ้มเมื่อรำลึกถึงความกริ้วโกรธของเทพอิสลึงค์ที่ถูกพระนางยั่ว "ตอนนั้นฉันรู้ว่า ฉันทำงานขั้นต้นสำเร็จแล้ว ฉันบอกกับเขาว่า ฉันจะไม่สู้กับพระองค์ถ้าพระองค์บอกว่าจะสู้กับเด็กตัวกะเปี๊ยก ถ้าจะสู้เราต้องสู้ด้วยศักดิ์เสมอกัน หนึ่งคือตัวแทนทีรับอำนาจจากพระอิศวร อีกหนึ่งคือตัวแทนที่รับอำนาจจากพระนารายณ์ ถ้าพระองค์อยากสู้กับฉันพระองค์ต้องยอมรับว่าเราสู้ด้วยศักดิ์ที่เสมอกัน"

"พระแม่เจ้ายอดเยี่ยมเหลือเกิน" ณัฐริการ่ำร้อง "เพียงคำพูดไม่กี่ประโยค ก็ทำให้เหตุการณ์กลับตาลปัตร กลายเป็นว่า เทพอิสลึงค์กลับเป็นฝ่ายวิงวอนขอให้พระแม่เจ้ายอมต่อสู้กับเขาไปเสียนี่ ถ้าเป็นหนูจะเล่นตัวซะให้เข็ด"

ปณิตาเทวียิ้ม
"เทพอิสลึงค์ตะโกนว่า ได้เรามาสู้ในศักดิ์ที่เสมอกัน เธอว่าไงก็ว่างั้น เราจะสู้กันยังไงล่ะฉันไม่อยากเอาเปรียบเธอ ฉันเลยบอกกับเขาว่า ถ้างั้นก็ตกลงเดิมพันกันก่อน ถ้าหากพระองค์แพ้ฉัน พระองค์จะต้องเก็บตัวอยู่ในวิมานของพระองค์ 300 ปี พระองค์ยังมีสิทธิไปไหนมาไหนทำอะไรได้โดยอิสระ แต่ ห้ามพระองค์ลงมาใช้อิทธิฤทธิ์ของพระองค์บนโลกมนุษย์อีก เขาก็ถามว่า แล้วถ้าเธอแพ้ล่ะนังเด็กจองหอง ฉันก็ตอบว่า ถ้าฉันแพ้ฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของพระองค์เป็นเวลา 300 ปีเช่นกัน"

"ยุติธรรมมาก" ณัฐริกาพูด "แล้วไงต่อคะ"

"เทพอิสลึงค์บอกว่า ตกลง เอาล่ะ เราจะสู้กันยังไง เขาถูมือเหมือนอยากจะลงมือเต็มที่ ฉันบอกว่าเดี๋ยวก่อน เงื่อนไขยังไม่หมด เทพอิสลึงค์เลยทำปากจุ๊จ๊ะเอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า อะไรอีกล่ะ นังเด็กนี่เงื่อนไขเยอะจุกจิกไปหมด"

ณัฐริกาหัวเราะ "ก็น่าเห็นใจเทพอิสลึงค์ คงอยากจะปราบเด็กโอหังเต็มที"

ปณิตาเทวก็หัวเราะเช่นกัน
"ฉันบอกเขาว่า ต้องตกลงกันให้ละเอียด เทพสมัยนี้ไว้ใจกันไม่ได้เดี๋ยวแพ้แล้วจะหาช่องหลีกเลี่ยงข้อตกลง เทพอิสลึงค์เลยพูดด้วยความรำคาญว่า งั้นรีบบอกมาเร็วๆฉันคันไม้คันมือเต็มที่แล้ว ฉันเลยบอกว่าต้องตกลงกันให้ครบถ้วนก่อน ถ้าพระองค์กับฉันสู้เสมอกันจะทำไง เทพอิสลึงค์พูดว่า ถ้าเสมอกันถือว่าฉันแพ้ ฉันยอมกลับไปอยู่วิมาน 300 ปี"

"วิเศษ" ณัฐริกาปรบมือ "ถ้างั้นพระแม่เจ้าก็มีวิธีควบคุมอำนาจของเทพอิสลึงค์โดยไม่ต้องเอาชนะเขาให้พระอิศวรต้องเสียหน้าได้จริงๆ พระแม่เจ้ายอดเยี่ยมเหลือเกิน"

"เราสู้เสมอกันในครั้งนั้น" ปณิตาเทวีเอ่ย "เขายอมเก็บตัว 300 ปีตามสัญญา แต่ในใจนั้นเจ็บแค้นต่อฉันนัก" ปณิตาเทวีเอ่ยอย่างสะทกสะท้อน "เขาอยากจะแก้แค้นอยู่ตลอดเวลา เราต่อสู้กันมาหลายพันปีแล้ว เขาไม่เคยเอาชนะฉันได้ แต่ฉันก็ไม่เคยเอาชนะเขาเช่นกัน"
"ถ้างั้นพระแม่เจ้าก็ทำได้ตามความประสงค์ของพระนารายณ์มาโดยตลอด พระแม่เจ้าสมกับเป็นเทวีแห่งสติปัญญาจริงๆ"

"แต่จริงๆแล้วฉันไม่ต้องการจะให้เรื่องมันเป็นอย่างนี้เลย ฉันไม่อยากจะทำให้ใครต้องเจ็บแค้น..เจ็บแค้นเป็นพันๆปีแบบนั้น" ปณิตาเทวีเอ่ยอย่างเศร้าใจ "จะดีเพียงใด ถ้าเราไม่ต้องเกิดมาเพื่อสู้กัน ...จะดีเพียงใดถ้าเราได้เจอกันในสถานะอื่น สถานะอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ศัตรู...แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ และคงไม่มีวันเป็นไปได้ ชะตาของเราถูกลิขิตมาให้สู้กัน ...สำหรับฉันแล้ว เขามีแต่ความแค้น ไม่มีความรู้สึกอย่างอื่นอยู่ในหัวใจเขาเลย"

ณัฐริกาถอนใจ น้ำเสียงของปณิตาเทวีแสดงให้เห็นว่า ระหว่างการต่อสู้ที่ยาวนานนับพันๆปีนั้น พระแม่เจ้าของเธอบังเกิดความผูกพันกับเทพอิสลึงค์อย่างไม่รู้ตัว หญิงสาวรู้สึกอับจนปัญญาไม่รู้จะปลอบพระแม่เจ้ายังไง บางทีอิทธิฤทธิ์ของเทพอิสลึงค์อาจจะมีผลต่อผู้หญิงทุกคน ไม่ยกเว้นแม้แต่ปณิตาเทวีก็เป็นได้....

****

ใต้เงาอวิชา 17

ชาลิดามองปิยธิดาด้วยความเสียวสยองปนพิศวง ชาลิดาเห็นแขนเรียวงามทั้งสองข้างของปิยธิดาโอบรอบคอของเทวรูปเทพอิสลึงค์ ขาเกี่ยวกระหวัดรัดรอบเอวของเทวรูปไว้ ตูดขาวอวบใหญ่กระดกกระเด้าโคตรองคชาติขนาดมหึมาของเทพอิสลึงค์อย่างไม่หวั่นเกรงว่าโคกหีของตัวเองจะพังเลย น่าแปลกใจที่ปิยธิดาไม่แสดงความเจ็บปวด แต่กลับแสดงออกถึงความหฤหรรษ์สูดปากสูดคอร้องเสียงครางออกมาตลอดเวลา เดี๋ยวๆก็ส่งเสียงกรี๊ดว่า แตกแล้ว แตกแล้ว ออกมาเป็นสิบๆรอบ น้ำเงี่ยนของปิยธิดาแตกกระจายนองเต็มพื้นไปหมด

"ชาลิดา ถอดกระโปรงกับกางเกงในออกให้หมด" จันทรซิงค์สั่ง
"หา.." สาวสวยอุทานหันไปมองจันทรซิงค์ "ถ..ถอดทำไมคะ"
"ถอดแล้วก็ช่วยตัวเอง ทำตัวเองให้น้ำแตก เอ็งต้องเอาน้ำเงี่ยนของเอ็งใส่ไปในน้ำศักดิ์สิทธิ์ แล้วดื่มให้หมด จากนั้นเอ็งก็จะมีอิทธิฤทธิ์เหนือคนธรรมดา"
ชาลิดาหน้าแดงซ่านด้วยความอาย
"ต้อง..ต้องทำแบบนี้ด้วยหรือคะ" ชาลิดาพูดตะกุกตะกัก
"เออ..เร็วเข้า...เอ็งต้องน้ำแตกก่อนที่ปิยธิดาจะร่วมรักกับเทวรูปเสร็จ ไม่งั้น โอกาสของเอ็งจะหมดไป เร็ว...ไม่มีเวลาแล้ว"

"เอาวุ๊ยย..อยากมีอิทธิฤทธิ์ต้องหน้าด้าน" ชาลิดาตัดใจ ลุกขึ้นยืนกำลังจะถอดกระโปรง พอดีนึกขึ้นได้หันไปมองด้านหลัง...

จริงดังคาด ไอ้เทียงมองเธอตาแป๋ว

"ไอ้เทียง แกรีบหันไปทางด้านหลังเดี๋ยวนี้" หญิงสาวเอ็ดตะโร
"อ้าว ทำไมล่ะครับ" ไอ้เทียงร้อง "ผมกำลังดูคุณป๊อกเย็ดเทวรูปเพลินๆ ถ้าผมหันหลังผมก็ไม่เห็นคุณป๊อกซิ"
"ก็ฉันจะแก้ผ้า ถ้าแกไม่หันหลังแกก็เห็นฉันหมดน่ะซิ"
"คุณแแม่ก็แก้ผ้าไปเหอะ ผมไม่ดูคุณแม่หรอก ผมดูแต่คุณป๊อกคนเดียว คุณแม่ทำอะไรก็ได้ตามสบาย" ไอ้เทียงพูดหน้าตาเฉย

"เอ้า...มัวแต่ทะเลาะกัน เดี๋ยวก็หมดเวลากันพอดี" จันทรซิงค์เตือน

"แกจะหันหรือไม่หัน ถ้าไม่หันเดี๋ยวโดนแม่ตบ" ชาลิดาร้อง

ไอ้เทียงเห็นท่าทางคุณแม่คนสวยของมันจะเอาจริง เลยบ่นอุบอิบ ยอมหันหลังแต่โดยดี ได้ยินเสียงถอดกระโปรงดังสวบสาบทำให้มันจินตนาการถึงท่อนล่างที่เปลือยเปล่าของชาลิดา โคกหีของปิยธิดาโหนกนูนเพียงใด โคกหีของชาลิดาคนสวยก็ไม่น่าจะแพ้คุณป๊อกซักเท่าไหร่นักหรอก หมอยก็น่าจะขึ้นดกดำนะ อึ๋ยยยย ยิ่งคิดยิ่งเงี่ยนโว๊ย ไอ้เทียงนั่งสยิวกับจินตนาการของตัวเองแล้วก็ชักว่าวต่อไปอย่างสุดมันส์

ข้างฝ่ายชาลิดาหลังจากถอดกระโปรงและกางเกงในออกแล้ว ก็นั่งเอานิ้วล้วงหีช่วยตัวเอง แต่พยายามเท่าไหร่ก็ไม่มีอารมณ์ เพราะภาพที่ปิยธิดาเย็ดกับลึงค์ขนาดมหึมาของเทวรูป มันทำให้เธอเสียวสยองเกินกว่าจะสร้างอารมณ์เงี่ยนขึ้นมาได้ในตอนนี้ ครั้นหันไปมอง จันทรซิงค์ ก็เห็นหมอแขกจ้องเธอล้วงหีตัวเองตาไม่กระพริบ

"ใกล้จะแตกรึยัง" จันทรซิงค์ถาม
"แตกอะไรคะอาจารย์ หนูไม่มีอารมณ์เลย"
"อุ๊บ๊ะ อีนี่ ไม่อยากมีอิทธิฤทธิ์รึไง"
"อยากซิคะ อาจารย์" สาวสวยพูดอย่างร้อนใจ "แต่หนูไม่มีอารมณ์เลย อีนั่นแหละทำหนูหมดอารมณ์" ชาลิดาโยนความผิดไปให้เจ้านายตัวเอง

"ไหนดูซิ พอได้มั้ย" จันทรซิงค์เขยิบเข้ามาหาชาลิดา สาวสวยหน้าแดงซ่าน เมื่อหมอแขกยื่นหน้าเข้าไปจนใกล้โคกหีเธอ แถมดึงมือเธอออก จันทรซิงค์แหวกกลีบสวาทของเธอ เห็นทุกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแดงแจ๋

"โอ้โห ไม่มีอะไรซักหยดเลย" จันทรซิงค์อุทานออกมา "ช่วยตัวเองประสาอะไร" หมอแขกดุ
"ก็หนูบอกแล้วว่าหนูไม่มีอารมณ์นี่" หญิงสาวบอก แล้วหันไปมองปิยธิดา เห็นเจ้านายสาวของเธอร้องตะโกนว่า แตกอีกแล้ว แตกอีกแล้ว ก็ใจหายวาบกลัวว่าหญิงสาวจะปล่อยตัวลงมาจากเทวรูป แต่โชคดีที่หญิงสาวยังคงกระดกตูดกระเด้าโคตรองคชาติของเทวรูปต่อไป

หมอแขกหันไปดูปิยธิดา แล้วก็ขมวดคิ้ว

"ปิยธิดาคงจะเสร็จเร็วๆนี้แล้ว" หมอแขกพูด
"ทำไงดีคะ อาจารย์" ชาลิดาร้อนใจยิ่งกว่าจันทรซิงค์ ตาคู่งามมองปิยธิดากระดกตูดกระเด้าโคตรองคชาติเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้

"ให้ผมช่วยมั้ยครับ คุณแม่" เสียงไอ้เทียงดังขึ้นมา

review1972

ไอ้เที่ยงมึงมาช่วยเร็วๆมัวพูดอยู่นั่นแหละ555