ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_ฟัก อยู่แม้น

แค้นวิปริต จิตสั่งกาม (cop) ตอนที่ 11

เริ่มโดย ฟัก อยู่แม้น, ตุลาคม 23, 2015, 06:31:11 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

ฟัก อยู่แม้น

[font=arial;][backcolor=#ffffff]"นิยายแนวสะกดจิตเรื่อง:แค้นวิปริต จิตสั่งกาม"

โดย
โทรจิตคุง
[/backcolor]
[/font]

[font=arial;][backcolor=#ffffff][/backcolor][/font]




ตอนที่11 อำนาจเหนือจิต VS อำนาจเหนือสสาร..

ชายปริศนาที่อยู่เบื้องหน้ายังยืนนิ่งแสดงอำนาจต้านปรากฏการณ์ธรรมชาติฝนถาโถมหนักหน่วงไม่สามารถสัมผัสถึงตัวเขาได้แม้เพียงเสี้ยวละออง ผมจนด้วยเกล้าไม่สามารถอ่านความคิดได้เลยว่าเขาต้องการอะไร และทำแบบนี้เพื่ออะไร ข่มขวัญ? หยั่งเชิง? หรือคิดแบบกำปั้นทุบดินคือจำเป็นต้องทำเพราะไม่อยากเปียกฝน?

"ผมอยู่ระดับเดียวกับคุณ อย่าพยายามเล่นกับความคิดผมเลยเหนื่อยเปล่า"

แม้แต่รอยยิ้มยังยากที่จะประเมินว่าเสแสร้งแกล้งทำหรือไม่ที่แน่นอนคือเจ้านี่คงต้องการบางสิ่งบางอย่างจากผม และมันคงไม่ใช่เรื่องผิวเผินเช่นคนแปลกหน้าถามทางหรือชวนทำขายตรงผมรู้สึกถูกคุกคามเช่นเดียวกับครั้งที่ได้รับจดหมายแบล็คเมล์แต่คราวนี้สถานการณ์กดดันมากกว่านั้นเป็นทวีคูณมีลางสังหรณ์ว่าชีวิตของผมนับแต่นี้จะต้องเปลี่ยนไป. . .มากทีเดียว
"ต้องการอะไร?" ผมตัดสินใจเข้าประเด็น ทำทีใจดีสู้เสือ
"ไม่ต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นก็ได้ ฮะ ๆเราเป็นพี่เป็นน้องกันนะ"
"โทษทีนะ เป็นลูกคนเดียว" ผมตอบเสียงแข็ง
"มีอีกหลายเรื่องที่คุณยังไม่รู้และผมเชื่อว่าคุณต้องอยากรู้ จะไม่หาที่เงียบ ๆ นั่งคุยกันสักหน่อยหรือ" เขาเชื้อเชิญอย่างกันเอง แต่ใครจะกล้าไว้ใจใบหน้าหมอนี่ไม่ต่างจากยิ้มซ่อนดาบ
"ผม ไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้นถ้าเราเป็นเหมือนกันก็ตัวใครตัวมันเถอะ" ทางออกที่ผมคิดได้คือ ถอยไปตั้งหลักก่อนรีบปลดล็อคประตูรถยนต์อย่างไม่รอช้า...ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนไล่หลังตามมา
"เต๋อ ๆ ลืมโฟมล้างหน้าน่ะ!!"
หมดกันทำไมเจ้าภูมิต้องทะเล่อทะล่าโผล่มาตอนนี้นะโฟมหลอดละไม่กี่สิบบาทเก็บไว้ใช้เองเถอะเจ้าบ้าเอ้ย
"เต๋อ! อย่าเพิ่งไป อ๊อก!"
ร่างของภูมิถูกยกขึ้นเหนือพื้นลำตัวบีบเกร็งเหมือนมีงูเหลือมล่องหนโอบรัดกลางอากาศ
"ภูมิ!!" ผมก้าวขาจะวิ่งเข้าไปหา แต่อีกฝ่ายยกมือเสมออกขึ้นปรามเหมือนจะพูดว่าจงตั้งใจฟัง
"คนฉลาดอย่างคุณคงรู้สินะว่าควรทำยังไงผมไม่ได้ลงทุนพลิกแผ่นดินตามหาคุณเพื่อรอให้เมินใส่อย่างนี้หรอกนะ"
"ปล่อยเพื่อนผมก่อน!"
"เปิดประตูรถซะ ผมจะเข้าไปนั่งคอยบอกทาง ส่วนคุณเป็นคนขับ" เขาเดินฉับ ๆ ตรงยังประตูด้านข้างคนขับเหมือนกับอ่านออกว่ายังไงผมก็ต้องเป็นฝ่ายจำยอมขณะมือขวายังคงยื่นไปทางภูมิเพื่อควบคุมร่าง
ผมไม่มีทางอื่นใดนอกจากรักษาชีวิตเพื่อนไว้ท้ายที่สุดเจ้าตัวอันตรายก็นั่งอยู่ข้างผมจนได้เขากดใช้โทรศัพท์หาใครสักคนซึ่งอนุมานได้ว่าคงเป็นพวกเดียวกัน"ผมอยู่กับเขาแล้วมีน ขับตามหลังมาเลยบีเอ็มสีดำที่เห็นนี่ละ"
ช่วยไม่ได้จริงๆ ลองงัดกระแสจิตหลายประเภทออกมาใช้แล้วก็ยังไม่ได้ผล ทั้งควบคุมกดกระแสจิตตรึงร่าง อ่านใจ ทำให้ง่วง ทำให้หลงลืม ลบความทรงจำเมื่อใช้กับเจ้านี่ทุกอย่างมีค่าเป็นศูนย์ พูดอีกอย่างคือเมื่ออยู่ต่อหน้ามันผมก็ไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดาอย่างไรก็ตาม ผมควรนึกถึงความปลอดภัยของภูมิก่อนอื่นใด
"ปล่อยเพื่อนผมได้รึยัง?" ผมพยายามระงับอารมณ์พูดกับมันดี ๆ
"อ้อ ลืมไป" เขาลดมือลง ภูมิหล่นแอ้กลงพื้นไม่ปรานีปราศรัย
"แก!!"
"ใจเย็นน่า ฮะ ๆ ล้อเล่นนิดหน่อยเอง" หมอนี่หัวเราะได้หน้าตาเฉย ต่อให้ไม่มีใครบอกผมก็เดาได้ว่าที่ผ่านมามันคงใช้พลังประจำตัวทำร้ายคนเคยมือเหมือนบี้มดแมลง
"ไปกันได้รึยังครับหนุ่มน้อย?" รอยยิ้มที่มันมอบให้ทำผมอยากตบฟันร่วงชะมัด บ้าชิบ!ผมชินอยู่แต่การเล่นสนุกคอยควบคุมชีวิตคนอื่น วันนี้เกิดพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกอะไรขึ้นมาถึงต้องกลายเป็นฝ่ายถูกควบคุมซะเองซ้ำร้ายยังนึกไม่ออกจริง ๆ ว่ามีวิธีไหนที่จะตอบโต้หมอนี่ได้ผลบ้างตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้นอกจากตามน้ำไปก่อน
รถของผมออกตัวสู่ท้องถนนโดยมีชายลึกลับเป็นผู้กำกับเส้นทางด้านหลังมีรถเก๋งสีบรอนซ์อีกคันขับตามมาคงเป็นรถที่หมอนี่ใช้สะกดรอยจนเข้าถึงตัวผมเมื่อพบแล้วก็คงแยกตัวมานั่งคุมเชิงคันเดียวกันจากนั้นจึงให้พรรคพวกที่เหลือขับตาม...ผมแอบดูกระจกคนขับมองภูมิด้วยความเป็นห่วงเขาค่อย ๆ โกยร่างเปียกโชกของตัวเองลุกขึ้นท่ามกลางฝนตกหนัก ...

"เต๋อ . . . มีเรื่องปิดบังภูมิหรือเปล่า เต๋อทำอะไรอยู่.. ." เสียงความคิดภูมิก้องเข้ามาในหัวผมและแผ่วจางลงเมื่อลับสายตา
.....ภายในรถอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความอึดอัดแม้เจ้าบุคคลปริศนาจะไม่ถืออาวุธในมือแต่ระดับพลังที่มันมีติดตัวก็ไม่ต่างอะไรกับใช้ปืนจ่อขมับผม ผมได้แต่ขับรถไปตามคำบอกของเจ้านี่
"เต๋อสินะ" เป็นประโยคแรกที่อีกฝ่ายพูดขึ้นโดยไม่ข้องเกี่ยวกับคำสั่งแต่ผมไม่ตอบซะอย่าง ใครจะทำไม
"ผมชื่อธนิก ตอนนี้ยี่สิบหกแล้วล่ะ ส่วนคุณน่าจะยี่สิบต้นๆ สินะ" เขายังคงพูดต่อส่วนผมได้แต่นั่งเงียบ
"ธนิก คุณต้องการอะไรจากผมกันแน่" ผมถามขึ้นบ้าง และถึงแม้จะทราบอายุแล้วกับไอ้หมอนี่ก็ไม่ขอเรียกพี่ให้เป็นเสนียดปาก
"เดี๋ยวไว้คุยกันที่สวนสาธารณะ เรื่องมันยาวทีเดียวคงไม่จบแค่คืนนี้หรอก" เขาบ่ายเบี่ยงอย่างนิ่งเรียบ
"จริงสิ ในฐานะที่เป็นญาติกัน ขอแสดงความเสียใจเรื่องคุณแม่ด้วยนะ"
"แม่เสียนานแล้วละ แล้วงานศพแม่ผมก็ไม่เห็นมีใครไปสักคนเพิ่งมานับญาติอะไรกันป่านนี้" ผมประชด
"เรื่องนั้นมีเหตุผล แม่นายก็ทำกับพวกเราไว้เยอะ" เขายิ้มอย่างมีเลศนัยยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าปมหลังความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวผมและครอบครัวหมอนี่คงซับซ้อนเกินกว่าที่ผมรู้อยู่ในตอนนี้
"เอาเถอะ เต๋อ ผมขอถามอะไรคุณสักอย่างได้ไหม. . ." ดูเหมือนเขาจะเกริ่นตามมารยาทมากกว่าเป็นการขออนุญาต
"ไม่อยากใช้ความสามารถที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ต่อโลกกว่าการเที่ยวแก้แค้นเพื่อนสมัยเรียนบ้างรึ?"
ผมกลืนน้ำลายแต่กลับรู้สึกเหมือนกลืนเข็มลงคอเจ้านี่รู้ทุกอย่าง?
"เป็นประโยชน์?. . . ยังไง?" ผมถามต่อ
"เป็นต้นว่า. . ." เขาพเยิดหน้าไปทางรถยนต์อีกคันที่แล่นขนานมากับผมคนขับกำลังเลื่อนกระจกรถแล้วทิ้งกระป๋องเบียร์ลงพื้นถนน
...ธนิกเลื่อนกระจกยื่นมือออกไปด้านข้างเขาหงายฝ่ามือและพลิกกลับอย่างรวดเร็ว รถยนต์คันข้าง ๆ ก็เสียการทรงตัวหมุนคะมำตกลงข้างทางราวกับว่ามือของเขามีเส้นใยโยงยึดวัตถุให้เคลื่อนไหวตามปลายนิ้ว ส่วนผมอ้าปากหวอ
"แกมันบ้าไปแล้ว!?" ผมตวาด
"ไม่ต้องตกใจ ขับต่อไป" เขาพูดอย่างกับว่าน้ำหนักเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มีค่าไม่ต่างจากปัดแมลงที่บินเกาะหน้ารถสองมือที่กุมพวงมาลัยของผมเริ่มชุ่มเหงื่อ นี่กำลังนั่งอยู่กับผีบ้าอะไรกันเนี่ย!? ผมรีบเลียบรถเข้าข้างทาง
"เป็นอะไรมากรึเปล่าเนี่ย! ต้องจอดรถลงไปดู!" ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่เท้าของผมกดลงไปให้ถึงเบรคไม่ได้เหมือนกับมีแรงบางอย่างต้านอยู่ใต้ฝ่าเท้าไม่ต้องสงสัยว่าเป็นฝีมือธนิก รถจึงยังเคลื่อนตัวต่อไปผ่านจุดรถคว่ำมาไกลเสียจนเกินจะหวนกลับ
"เป็นห่วงมันทำไม? คนอย่างมันสมควรถูกกระทำเยี่ยงขยะเหมือนขยะที่มันทิ้งอย่างมักง่าย" ธนิกให้เหตุผลด้วยรอยยิ้มผยอง
"โลกเราทุกวันนี้ คนขาดจิตสำนึกกันเยอะ" เขาพูดซึ่งผมคิดว่าธนิกควรจะรวมตัวเองเข้าไปในคำกล่าวนั้นด้วยโชคดีที่หมอนี่อ่านใจคนไม่ได้
"คนอย่างผมก็ได้แต่กวาดล้างพวกมันไปเรื่อยแต่ยิ่งกำจัดก็ยิ่งโผล่มาใหม่เรื่อย ๆ เหมือนฝูงแมลงที่ฆ่าเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมดทั้งนักการเมือง ผู้มีอิทธิพล พวกขายชาติ อาชญากร เดนสังคมต่าง ๆ" แววตาของเขาฉายด้วยประกายแห่งอุดมการณ์. ..ที่ผมคิดว่ามีจุดยืนออกไปทางเผด็จการเสียมากกว่า
"แต่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหลังจากที่ผมได้พบคุณไงละครับคุณเต๋อ"
. . . มันก็ต้องเปลี่ยนแน่นอนอยู่แล้วล่ะไอ้คนหัวรุนแรงผมใช้ชีวิตอยู่ของผมดี ๆ จู่ ๆ มันก็เป็นคนดึงผมเข้ามามีเอี่ยวกับอะไรสักอย่างซึ่งผมคิดว่าคงไม่สมัครใจทำแน่ๆ
. . . .โธ่เว้ย!!
ฝากหนึ่งในสวนสาธารณะยามค่ำคืนเช่นนี้ย่อมมีผู้คนเพียงบางตาเนื่องด้วยใกล้ถึงเวลาปิดให้บริการจะมีก็แต่กลุ่มคนที่ยังอยู่เพื่อออกกำลังกาย คู่รักที่นั่งตามจุดต่าง ๆ และอันธพาลมิจฉาชีพที่กลุ่มกระจายตัวกันเป็นหย่อมๆแม้คนกลุ่มนี้จะไม่ห้อยป้ายบอกไว้ว่าเป็นคนไม่น่าไว้วางใจแต่หากประเมินด้วยสายตาคร่าวๆ ก็พอจะมองออกว่าไม่ควรเข้าใกล้
บรรยากาศโดยรวมของสวนแห่งนี้เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างหลากหลายอาทิ อนุเสาวรีย์บุคคลสำคัญ สระน้ำ รูปปั้น น้ำพุ สนามบาส สนามตะกร้อ ดูเผิน ๆอาจจะเป็นที่น่าพักผ่อนหย่อนใจ ทว่าอีกด้านในยามวิกาล พุ่มไม้รก ต้นไม้ใหญ่และมุมอับสายตามากมายก็เป็นเครื่องบงบัดอาณาเขตต่าง ๆซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดเหตุไม่เหมาะสมและอาชญากรรม
อย่างไรก็ตามมีนักเรียนมัธยมต้นในเครื่องแบบโรงเรียนเซนต์แมธธิวสองคนที่ดูเหมือนจะไม่หวาดระแวงสภาพแวดล้อมดังกล่าวแม้แต่น้อยพวกเขานั่งคุยกันบนม้านั่งยาวหน้าลานน้ำพุเล็ก ๆที่ไม่ค่อยมีคนผ่านไปมาได้สักชั่วโมงเศษแล้ว
"กูต้องกลับบ้านแล้วล่ะไอ้เอฟ ขอโทษว่ะ"
"ต๊ะ. . . มึงคิดดีแล้วใช่ไหม"
"อย่าให้กูพูดซ้ำอีกรอบเลยไอ้เอฟกูว่าเราควรจะเป็นแค่เพื่อนกัน"
"เพราะกูกับมึงเรียนต่อคนละที่งั้นเหรอ" เอฟกำหมัดแน่น
"อืม. . .โรงเรียนช่างที่กูจะไปอยู่คงรับเรื่องเกย์ไม่ได้ที่สำคัญ กูอยากกลับไปเป็นผู้ชายธรรมดา" ต๊ะลุกขึ้นปัดแข้งขาและคว้าเป้ขึ้นสะพายหลัง
"รอเดี๋ยว! ไอ้ต๊ะ!" เอฟลุกขึ้นคว้ามือต๊ะไว้กลุ่มวัยรุ่นที่นั่งอยู่ตรงข้ามมองมาพลางกระซิบกระซาบคงตีความได้ว่าเด็กทั้งสองเป็นคู่เกย์กำลังมีปัญหากัน
"พอเถอะเอฟ ทำอย่างนี้ดูไม่ดีเลยว่ะ" ต๊ะสะบัดข้อมือออกยิ่งรู้ว่ามีคนมองอยู่ยิ่งอยากจะหนีออกไปไกล ๆ
"อย่าลืมสิ มึงเป็นเมียกูแล้วนะ!" เอฟพูดเสียงดังโดยไม่ทันคิดและสิ่งที่ตามมาคือกำปั้นจากอีกฝ่ายพุ่งใส่หน้าดังผั้วะ
"ถ้ามึงรักกูจริง ปล่อยกูไปตามทางของกูเถอะ" ต๊ะทิ้งคำพูดสุดท้ายให้เอฟที่ยืนนิ่งก่อนจะเดินลับไป.
....อีกด้านของสวนสาธารณะ บริเวณศาลาริมน้ำผมนั่งอยู่กับชายสองและหญิงอีกหนึ่ง ได้แก่ ธนิกหนุ่มสูงใหญ่วัยยี่สิบหกสวมแว่นกรอบดำหนาท่าทางอบอุ่นแต่แฝงไว้ซึ่งพลังอำนาจจิตเหลือประมาณอีกคนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มวัยมัธยมปลายผิวพรรณดูสดใสแต่รูปร่างบอบบางเหมือนจะอ่อนแอท่าทางแหยๆ ไม่ชอบสบตาคน และคนสุดท้ายเป็นหญิงสาวหุ่นเซ็กซี่รุ่นราวคราวเดียวกับธนิกเธอสวมเชิ้ตและกางเกงขายาวเข้ารูปดูทะมัดทะแมง
"สาวสวยคนนี้ชื่อพี่มีน เป็นพี่คนโตที่สุดในกลุ่มส่วนน้องคนนี้ชื่อณัฐ" ธนิกแนะนำให้ต่างฝ่ายได้รู้จักกันซึ่งผมยังมองไม่เห็นความสำคัญที่จะต้องรู้จักคนแปลกหน้าที่อาจมีพลังพิลึกกึกกือพร้อมกันถึงสามสี่คนเช่นนี้
"พวกเราทุกคนเป็นญาติกัน มีสายเลือดแห่งอนาคตอยู่ร่วมกันอำนาจของทายาทจากตระกูลเราสามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ได้"
ธนิกอธิบายต่อว่าเดิมทีบรรพบุรุษตระกูลผู้มีพลังจิตเป็นชนกลุ่มน้อยซึ่งอาศัยอยู่บริเวณผืนป่าขนาดใหญ่ในภาคตะวันตกมีการสืบทอดภูมิปัญญาการใช้อำนาจจิตแต่ละประเภทส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่นผ่านผู้ที่มีความสามารถจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างแม่นยำโดยถ่ายทอดผ่านบันทึกข้อความหรือโทรจิต
จนมาถึงยุคของสยามประเทศคนรุ่นใหม่เริ่มละทิ้งวิถีชีวิตในป่า หันมาเอาดีกับการใช้พลังพิเศษสร้างชีวิตใหม่ที่รุ่งเรืองกว่าในสังคมเมืองหลายคนเคยเป็นถึงมหาอำมาตย์ ราชองค์รักษ์ ปุโรหิต ปราชญ์หลวงประจำราชสำนักรวมถึงชนชั้นกระฎุมพีอันมีชีวิตความเป็นอยู่แสนมั่งคั่ง หากจะเปรียบกับยุคสมัยนี้ก็คงเหมือนกับที่เต๋อใช้อำนาจจิตโน้มน้าวผู้คนให้ช่วยซื้อผลิตภัณฑ์จนยอดขาดทะลุเป้าเติบโตในอาชีพอย่างก้าวกระโดด สกุลที่ใช้ในปัจจุบันคือ "พิทักษ์มณเฑียร"
หากแต่ข้อจำกัดของคนในตระกูลคือการรักษาคุณลักษณะของผู้มีพลังจิตให้กับทายาทเป็นไปได้ยากถ้าผู้มีสายเลือดพลังจิตแต่งงานกับคนปกติบุตรที่เกิดมาก็ย่อมมีโอกาสเป็นได้ทั้งผู้มีพลังจิตและคนธรรมดา
พูดให้กระชับก็คือพันธุกรรมเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาเผ่าพันธุ์ให้ดำรงอยู่ยิ่งให้อิสระต่อการแต่งงานข้ามสายเลือดเท่าไหร่จำนวนทายาทผู้มีพลังจิตก็ยิ่งลดลงเป็นเงาตามตัวดังนั้นวิธีหนึ่งที่ผู้ใหญ่และหัวหน้าตระกูลนิยมใช้กันทุกยุคสมัยก็คือ
การรักษาสายเลือดพิเศษโดยบังคับให้แต่งงานกันเองระหว่างพี่น้องหรือลูกพี่ลูกน้องที่เป็นผู้มีพลังจิตเหมือนกัน
..."ไปกันใหญ่แล้ว ผมเพิ่งมีพลังตอนอายุสิบห้าสิบหกไม่ได้ติดตัวตั้งแต่เกิดเหมือนพวกคุณ" ผมแทรกกลางคัน
หญิงสาวชื่อมีนป้องปากกระแอมหัวเราะเบาๆ "ยังมีเรื่องที่เธอไม่รู้อีกเยอะน้องเต๋อ"
"สายเลือดผู้มีพลังจิตทุกคนล้วนได้อำนาจพิเศษติดตัวมาตั้งแต่เกิดไม่มีหรอกที่จู่ ๆ จะได้มาเองทีหลังเหมือนชิงโชคสอยดาว" ธนิกเสริม
"เป็นไปได้ว่า. . .แม่เธอไม่อยากให้เธอรู้ว่าตนเองมีอำนาจจิตเหนือมนุษย์ จึงใช้วิธี. . ." มีนพูดไม่ทันจบประโยค ธนิกก็รีบโพล่งขึ้นมาฉับพลัน
"พูดมากไปหน่อยแล้วครับพี่มีน" เขาแย้งตาขวาง
"จะยังไงก็เถอะ ผมเพิ่งใช้โทรจิตได้หลังเรียนจบ ม. ต้นลงแรงฝึกฝนอยู่สองสามปีกว่าจะใช้พลังได้คล่องแคล่วจากนั้นจึงตามล้างแค้นเพื่อนสมัยเรียนเงียบ ๆ ปกปิดตัวเองจากสังคมแล้วพวกคุณรู้ได้อย่างไรว่าผมก็เป็นหนึ่งในผู้มีพลังพิเศษ" ผมถามบ้าง
"ไม่ยากหรอก" ธนิกหยิบสมุดโน้ตปกดำเล่มหนึ่งชูขึ้น
"นี่คือสมุดบันทึกประวัติศาสตร์พลังจิตทุกประเภทที่เคยจากสายเลือดตระกูลเรารวมทั้งจุดอ่อนจุดแข็งของพลังจิตแต่ละประเภท ผมรวบรวมจากคำบอกเล่าผู้อาวุโสในตระกูลส่วนหนึ่งและจากเอกสารเก่าแก่ส่วนหนึ่ง. . ." ความอยากรู้ทำให้ผมจ้องสมุดเล่มนั้นอย่างไม่สำรวม
"แต่มันไม่ใช่ของที่จะให้ดูกันง่าย ๆหรือพิมพ์แจกได้เหมือนชีทถูก ๆ ตามโรงเรียนกวดวิชาหรอกนะ" ธนิกพูดขึ้นมาอย่างรู้ทัน "ที่ผมพูดขึ้นมาก็เพื่อจะบอกว่า. . .จากสมุดบันทึกเล่มในมือผมนี้ ทำให้รู้ว่าการใช้โทรจิตควบคุมพฤติกรรมคู่อริหรือคู่แข่งให้ประจานตัวเองจนอยู่ในสังคมไม่ได้เคยมีคนทำมาแล้ว" เขายิ้ม
"ไม่รู้สึกตัวบ้างเหรอคะน้องเต๋อช่วงปีที่ผ่านมานี้มีข่าวคนทำอนาจารในที่สาธารณะถี่จนผิดสังเกตและแต่ละรายกระทำไปด้วยอาการขาดสติเกินวิสัยคนปกติล่าสุดเมื่อไม่กี่วันก็ข่าวนักเรียนคณะศิลปกรรม ม.ดังคลั่งยาแก้ผ้าวิ่งล่อนจ้อนไปทั่ว" มีนช่วยใบ้ทางอ้อม
"จุดที่น่าสังเกตคือ คนเหล่านั้นล้วนอยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน" ธนิกกระชับรายละเอียดให้ลงลึกยิ่งขึ้น

มาถึงตรงนี้ผมรู้สึกหน้าชาเหมือนขโมยของในห้างแล้วถูกยามจับได้คาหนังคาเขา

"และเมื่อพวกเราแกะรอยประวัติย้อนหลังก็พบลักษณะร่วมของเหยื่อแต่ละราย ทุกคนจบม.ต้น จากโรงเรียนเดียวกันหมดจึงนำไปสู่ข้อสันนิษฐานว่าเป็นไปได้ว่าคนกลุ่มนี้อาจมีความบาดหมางกับผู้มีพลังพิเศษ แน่นอน หากเป็นผม. . .คนพวกนี้คงถูกเอาคืนด้วยการฉีกแขนขาออกเป็นชิ้น ๆ แต่จากสภาพที่เป็นอยู่ทำให้มองออกได้ว่า พลังของคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นสายโทรจิตควบคุมความคิด" คำพูดของธนิกเชื่อมโยงทุกอย่างได้แม่นยำจนผมขนลุก
"แล้วก็ไม่ผิดหวัง ยิ่งเราปะติดปะต่อข้อมูลหลายส่วนเข้าด้วยกันก็ยิ่งแน่ใจว่าน้องต้องเป็นคนสายเลือดเดียวกับพวกพี่ไม่ว่าจะเป็นถิ่นที่อยู่ล่าสุดซึ่งแม่ของน้องหนีการตามล่าจากคนในตระกูลมันก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงเรียนที่น้องจบมาที่เห็นได้ชัดมากคือการที่น้องประสบความสำเร็จสูงเกินวัยเชื่อไหมว่าไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ในอดีตผู้พลังพิเศษคนอื่น ๆก็เคยสร้างตัวแบบนี้เช่นกัน" มีนช่วยธนิกเสริมต่อพลางเสยผมอย่างสบายอารมณ์
"นี่แค่เรียกน้ำย่อย เมื่อใดที่พวกเราไว้ใจคุณได้เราจะให้คุณรู้เท่า ๆ กับที่พวกเรารู้" ธนิกชูสมุดปกดำเล่มนั้นขึ้นอีกครั้งให้ผมเห็นชัด ๆแทนโฆษณาเชิญชวน
...จากประสบการณ์ที่ผมทำธุรกิจขายตรงทำให้พบสัจธรรมข้อหนึ่งว่าโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี หากผมอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับชาติกำเนิดตัวเองก็อาจต้องให้สิ่งแลกเปลี่ยนในระดับที่พวกเขาคิดว่าคุ้มค่า และจากภาพรวมทั้งหมด ผมพอประเมินได้ว่าพวกเขาตั้งความหวังกับผมไว้สูงทีเดียว..."ขอโทษเถอะนะครับผมไม่มีเกียรติพอที่จะให้พวกคุณนับร่วมวงศาคณาญาติด้วยหรอกผมพอใจที่จะใช้ชีวิตโดดเดี่ยวอย่างนี้ ใช้พลังกับเรื่องที่ผมอยากจะใช้"
"นั่นคือการล้างแค้นสินะ" ธนิกพูดต่อให้
"คุณรู้ไหมว่าปัจจุบันมีผู้มีพลังพิเศษเหลือเพียงสี่คนที่นั่งหน้าสลอนอยู่ที่นี่เท่านั้น" เขาพูดต่อ ผมมองกวาดไปที่หน้าทุกคนที่อยู่ในที่นี้ก็มีเพียงเจ้าแว่นเก็บกดหัวรุนแรง สาวมั่นจัดจ้านเด็กผู้ชายอ้อนแอ้นท่าทางไม่ค่อยเต็ม กับไอ้โรคจิตชอบบงการชีวิตคนอื่นเท่านั้นไม่เห็นว่ามันจะสลักสำคัญอะไรจนถึงกับต้องเน้นว่า "เหลือเพียงสี่คน"
"ตอนนี้ผมรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลกำลังทำโครงการสำคัญอยู่สองเรื่อง" เขาพูดอย่างจริงจัง
"โครงการแรกเป็นการฟื้นฟูสถานภาพของตระกูลโดยการเพิ่มจำนวนผู้มีพลังพิเศษให้เพิ่มขึ้นมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่นั่นไว้คุยกันทีหลังยังไม่ใช่เรื่องสำคัญกับคุณนัก"
"แต่โครงการที่สองจะลุล่วงไปไม่ได้เลยถ้าขาดคุณผมไม่คิดฝันจริง ๆ ว่าจะพบผู้ใช้โทรจิตสายควบคุมความคิดในรุ่นของเราในประวัติศาสตร์หลายร้อยปีบันทึกไว้ว่ามีผู้มีความสามารถนั้นแค่สามคนเอง" เขาพูดอย่างตื่นเต้น
"มันคืออะไรว่ามา. . ." ผมเร่งให้เขาพูดจบเร็ว ๆ ชักเบื่อหน่ายขึ้นทุกทีถ้าล่องหนหนีหายไปได้คงทำไปแล้ว
"อย่างที่ผมพูดในรถคุณไม่คิดจะใช้พลังที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ต่อโลกมากกว่าการล้างแค้นหรือผมไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเลิกล้างแค้น เพียงแต่อยากให้เข้าร่วมกลุ่มกับเราเพื่อขับเคลื่อนโลก"
"ผมขอตัวก่อนนะครับ" เริ่มรู้สึกทนไม่ได้กับความเพ้อเจ้อที่ทวีคูณขึ้นทุกที
"ขอเวลาอีกสักหน่อย ฟังให้จบก่อนเถอะค่ะน้องเต๋อธนิกความมีความตั้งใจจริงนะ" มีนพูดยื้อไว้เธอดูเป็นมิตรและอาวุโสที่สุดในกลุ่มจึงทำให้ผมเกรงใจอยู่ในที ผมหลับตาทนฟังต่ออย่างเสียมิได้ส่วนเด็กชื่อณัฐนั่งเงียบหลบมุมเหมือนเบื่อหน่ายเรื่องที่กำลังคุยกันอยู่
"ขณะนี้โลกของเรากำลังเริ่มก้าวสู่ยุควิกฤตการขยายตัวของประชากรโลกและโลกาภิวัฒน์ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ นานาตั้งแต่ปัญหาการเมือง การคอรัปชั่นภายในประเทศ ไปจนถึงความขัดแย้ง เหลื่อมล้ำเอารัดเอาเปรียบกันระหว่างนานาประเทศและกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ นำไปสู่ภาวะสงครามความไม่สงบ รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม ขยะมูลฝอยสร้างมลพิษไปทุกหย่อมหญ้า ผืนน้ำผืนป่า สัตว์น้อยใหญ่มากมายกำลังถูกเบียดเบียนทั้งถิ่นอาศัยและสิทธิ์ในชีวิต" ธนิกหลับตาสาธยายราวกับกล่าวสุนทรพจน์ออกอากาศในรายการที่ไม่ค่อยมีคนอยากจะดู

"ผมเคยพูดกับคุณว่ายิ่งผมกำจัดบุคคลที่เป็นต้นตอของปัญหาเท่าไหร่ก็ดูเหมือนว่าพวกมันยิ่งผุดงอดขึ้นมาเรื่อยๆ เหมือนดอกเห็ด เพราะสิ่งที่ผมทำได้คือการ "ลบทิ้ง" ไม่ใช่ "แก้ไข" "
"แต่คุณต่างจากผม คุณเต๋อคุณสามารถควบคุมมนุษย์เราให้อยู่กับร่องกับรอยได้ พฤติกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น"
"หมายความว่าจะให้ผมเที่ยวสะกดจิตคนทั้งโลกงั้นหรือความคิดเข้าท่า" ผมกระทบกระเทียบ
"ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก. . .คุณคงยังไม่รู้ว่าผู้ใช้โทรจิตสามารถควบคุมคนโดยใช้สื่อเป็นตัวกลางได้" ธนิกยิ้มอย่างมีเลิศนัยและกล่าวต่อไป "ผมอยากให้คุณไปศึกษาต่อต่างประเทศ ผมจะออกทุนให้เองเมื่อคุณประสบความสำเร็จสูงแล้วก็ลงมาเล่นการเมือง ด้วยความสามารถพิเศษของคุณคงไม่ไกลเกินเอื้อมที่จะก้าวตำแหน่งผู้นำความคิดที่มีอิทธิพลต่อประชาคมโลกได้วันใดที่ทุกคนบนโลกได้เห็นคุณผ่านหน้าจอ วันนั้น. . ." เขาหยุดชะงักลงเหมือนกำลังนึกคำพูดต่อ..."เธอก็จะสามารถควบคุมผู้นำประเทศต่าง ๆรวมถึงผู้คนบนโลกให้เคลื่อนคล้อยตามอุดมการณ์ของพวกเราได้ยังไงล่ะ" มีนสรุปให้..."เราต้องกำจัดต้นตอของปัญหาทั้งปวง โดยเฉพาะความโลภและบริโภคนิยมให้ลบเลือนออกไปจากจิตใจมนุษย์" ธนิกพูดทิ้งท้าย ก่อนจะเปิดโอกาสให้ผมเป็นฝ่ายพูด"ทีนี้ เราอยากฟังความเห็นจากคุณบ้าง"..."สั้น ๆ คำเดียว "เพ้อเจ้อ" " ผมพูดขึ้นแทงกลางความรู้สึกทุกคน
"ขอถามกลับว่านิยามของบริโภคนิยมคืออะไร? "ผมถามต่อ แต่ไม่มีใครตอบ
"บริโภคนิยมไม่ใช่หมายถึงความฟุ้งเฟ้อสุรุ่ยสุร่ายแต่หมายถึงการที่เราไม่สามารถผลิตปัจจัยต่าง ๆ ได้ด้วยตนเองจึงต้องอาศัยเงินเป็นสื่อกลางซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนกันระหว่างหน่วยต่าง ๆ ในสังคมเช่นเดียวกับรถที่พวกคุณซื้อมาขับ เสื้อผ้าที่คุณใส่อยู่ นั่นแหละคือการบริโภคทั้งนั้น"
"ถ้าอยากให้โลกมีแต่ความสวยงามเหมือนอยู่ในสวนอีเดนทุกคนคงต้องออกจากเมืองไปอยู่ในถ้ำในป่า ทอเสื้อใส่เอง เลี้ยงไก่เลี้ยงหมูกินเองเจ็บป่วยก็หาสมุนไพรรักษากันเอง ยังไม่ต้องริอ่านไปคิดแทนคนอื่นหรอกแน่ใจรึเปล่าว่าตัวเองสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างนั้นได้" ผมเริ่มวิพากษ์โต้กลับความคิดของฝ่ายตรงข้ามทุกคนถึงกับนิ่งเงียบราวตกอยู่ในมนต์สะกด
"อีกอย่าง มนุษย์ไม่ใช่สิ่งบริสุทธิ์คนเราย่อมอยากมีสภาพชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ผ่านการบริโภคของที่ดีที่สุดเท่าที่จะมีกำลังจ่าย และการบริโภคย่อมมากับชนชั้นเสมอเพราะรสนิยมในการบริโภคเกิดจากตัวเลือกที่ต่างกันตั้งแต่สองทางขึ้นไปมันจึงมีการเปรียบเทียบกันว่าอย่างไหนดีกว่า ด้อยกว่าระบบชนชั้นจึงเกิดขึ้นตามธรรมชาติโดยวัดกันที่ความสามารถในการบริโภคพวกคุณรับได้ไหมถ้าทุกคนต้องใส่เสื้อผ้าคุณภาพกลาง ๆ เหมือนกันหมด ขับรถเหมือนกันทั้งเมืองเท่าเทียมกันแบบนั้นไม่ต่างจากคุกหรือค่ายทหารเลยนะ"
เพื่อไม่ให้เสียเวลากับคนเหล่านี้ไปมากกว่านี้ผมจึงรีบสรุปให้ได้สำนึกกันถ้วนหน้า
"อุดมการณ์มักผูกขาดโดยคนที่มีอำนาจในสังคมซึ่งในอนาคตอาจจะเป็นพวกคุณที่มีพลังพิเศษ แต่ภาพที่ผมเห็นในตอนนี้เป็นแค่ความละเมอเพ้อพกของคนไม่กี่คนที่เหิมเกริมทึกทักเอาเองไปคิดแทนคนทั้งโลกแม้แต่ฮิตเลอร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นทรราชยังทำการบ้านมาลึกซึ้งกว่าพวกคุณหลายขุม" ผมสังเกตว่ามีนแอบป้องปากเหมือนจะข่มหัวเราะพลางมองไปที่ธนิกซึ่งหน้าแดงด้วยโทสะเขาคงไม่เคยเจอใครตอกหน้าแรงขนาดนี้มาก่อน
"ถ้าจะให้พูดตรง ๆ ไอเดียของคุณตื้นเขินไม่ต่างจากอีดี้อามินสักเท่าไหร่หรอกนะคุณธนิก นอกจากนี้คุณมีแนวโน้มที่จะมีอาการทางจิตเข้าข่ายเมกาโลมาเนีย (Megalomania)หรือพวกสร้างจินตนาการเป็นตุเป็นตะว่าตัวเองทรงอำนาจมีพลังเหนือความเป็นไปใด ๆ บนโลก เสียดายที่ผมมีความรู้เพียงจิตวิทยาทั่วไปถ้าเป็นแพทย์จิตเวชล่ะก็จะพาคุณไปบำบัดโดยไม่คิดค่ารักษาเลยล่ะ" ผมยิ้มเยาะแถมท้าย....."คุณอาจจะมองว่าผมประสาท. . .จนไม่อยากร่วมสังฆกรรมใด ๆด้วย" ธนิกเริ่มเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง..."แต่. . ."..."น้าทิพย์! แม่ของคุณเป็นคนทำลายจนตระกูลเราถึงขั้นวิบัติ!คุณต้องเดินตามทางที่ผมวางไว้ให้เป็นการชดใช้ความผิดที่แม่คุณก่อขึ้น!" ธนิกตะเบ็งเสียงขึ้น พุ่มไม้เล็ก ๆรอบศาลาริมน้ำหักดังเป๊าะขยายวงไล่ตาม ๆ กัน มีนเห็นท่าไม่ดีรีบเข้าไปป้องตัวณัฐที่นั่งสั่นอยู่ตรงมุมศาลา
"น่าสมเพช! นี่เหรอคนที่จะควบคุมมนุษยชาติ!ควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ก่อนเถอะ!" ผมยอกย้อนคืนคิดเผื่อไว้ก่อนแล้วว่าอาจเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นระหว่างสนทนาผมจึงใช้ตาทิพย์ค้นหาและใช้โทรจิตสะกดคนรอบตัวภายในรัศมีสามร้อยเมตรให้อยู่ใต้อาณัติขณะนี้ทุกคนกำลังมุ่งตรงมายังศาลาริมน้ำ
"พูดกันดี ๆ ไม่ได้รึไง! ทั้งสองคนแหละ!" มีนพูดขึ้น สองมือกอดณัฐที่กำลังกลัวจนเนื้อตัวสั่นแต่ดูเหมือนทั้งผมและธนิกจะไม่สนใจคำเตือนดังกล่าวต่างฝ่ายยืนประชันสายตากันอย่างไม่สะทกสะท้าน เราสองคนต่างเริ่มอารมณ์เย็นลงแล้วแต่บรรยากาศแห่งการท้าทายยังคงคุกรุ่น
ไม่ถึงอึดใจรอกลุ่มคนรอบบริเวณเกือบยี่สิบชีวิตก็เข้ามาล้อมศาลาไว้ปะปนไปทั้งนักกีฬารูปร่างแข็งแรง เด็กวัยรุ่นหญิงชาย อันธพาลและเจ้าหน้าที่ในสวนสาธารณะ
"โฮ่. . .คิดจะหมาหมู่ เรียกคนมารุมกระทืบผมรึไง" ธนิกกวาดตามองรอบอย่างใจเย็น
"ถ้ามันเป็นวิธีที่ทำให้คุณหายไปจากชีวิตผมได้ ก็คุ้มนะ" ผมยักไหล่ทำหน้ากวน
"ทั้งที่ผมเป็นคนช่วยชีวิตคุณนี่นะ. . .เต๋อ"
คำพูดของธนิกทำให้ผมเอะใจขึ้น
"นิมิตของณัฐเห็นคุณถูกแก๊งค์มิจฉาชีพปาหินใส่กระจกรถจนบาดเจ็บสาหัสวันนั้นผมจึงไปยืนดักรอที่จุดเกิดเหตุเป็นชั่วโมง ยุงกัดก็ไม่บ่นสักคำ" ธนิกบ่นด้วยน้ำเสียงตัดพ้อน้อยใจแต่ใบหน้าส่อว่าต้องการทวงบุญคุณ
"หมายความว่าไง!?" ผมถาม และเริ่มจะสับสน
"ณัฐมีพลังหยั่งรู้ภาพเหตุการณ์ในอนาคต! เชื่อพี่เถอะเต๋อพวกเราไม่ได้คิดร้ายกับเธอเลย หยุดคุยกันดี ๆ ก่อน!" มีนพยายามช่วยไกล่เกลี่ยด้วยการตอบแทนแทรกเข้ามา
"ถ้างั้น. . . เด็กสองคนนั้น. . ." ความรู้สึกของผมในตอนนี้ยากที่จะกลั่นกรองเป็นคำพูดออกมาได้
"ใช่. . .ผมเป็นคนฆ่าพวกมันเอง" รอยยิ้มมุมปากของธนิกทำเอาผมใจหล่นไปกองอยู่กับพื้น
"ไม่ใช่แค่นั้น ตอนผมสะกดรอยติดตามคุณยังช่วยไม่ให้ลูกเพื่อนคุณบาดเจ็บด้วยส่วนผู้หญิงขี้โวยวายในร้านนั่นผมก็จัดการให้แล้ว"
". . . จัดการยังไง" น้ำเสียงผมเริ่มจางลงทุกขณะไม่คิดว่าผู้มีพลังพิเศษที่อยู่เบื้องหน้าจะกล้าถึงขนาดทำให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต
"ฮะ ๆ แค่จับถอนฟันเกลี้ยงปากเท่านั้นแหละไม่ถึงกับตายหรอก"
หมอนี่อันตรายกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มากเห็นทีผมคงต้องชิงลงมือก่อนเสียแล้ว ผมออกคำสั่งให้คนรอบศาลาตั้งท่าเตรียมต่อสู้ทุกคนต่างคว้าวัตถุรอบตัวที่ใช้เป็นอาวุธได้ขึ้นมาถือในมือ ทั้งขวดแก้ว ท่อนไม้แป๊ปเหล็ก ต่อให้เจ้านี่มีพลังน่ากลัวแต่จะรับมือคนเกือบยี่สิบได้พร้อมกันเชียวหรือ
"พะ. . .พอเถอะครับพี่ กลับเถอะ ผะ. ..ผมไม่อยากให้ใครบาดเจ็บ" เด็กชื่อณัฐอ้าปากพูดเป็นครั้งแรกน้ำเสียงสั่นเครือดูไม่เหมือนเด็กผู้ชายสักเท่าไหร่
"คุณควรจะฟังน้องบ้างนะ" ผมพูดให้อีกฝ่ายคิด ถ้าเลิกแล้วต่อกันได้ด้วยดีก็ไม่จำเป็นต้องใช้กำลัง
ณัฐมองไปทางธนิกที่กำลังขยับกรอบแว่นเด็กหนุ่มทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
"ไม่. . . ไม่ใช่ . . .ผะ ผมเห็น. ..ภาพพี่ธนิกเป็นฝ่ายชนะ" เด็กคนนั้นพูดต่อจนจบและปฏิเสธไม่ได้เลยว่าลึก ๆ แล้วผมแอบใจเสีย
"ถ้าธนิกขยับแว่นเมื่อไหร่แสดงว่าจะเอาให้เจ็บปางตาย!เธอกำลังใช้ชีวิตคนอื่นเป็นโล่กำบังนะเต๋อ! พี่ขอเถอะ! พอได้แล้ว!" มีนก้มหน้ากอดณัฐไว้แน่นท่าทางเหมือนแม่ลูกลี้ภัยสงครามซ่อนตัวใต้หลบหลุมภัย
"เสียใจด้วยนะ ผมไม่ค่อยเชื่อหมอดูหมอเดาเท่าไหร่" ผมออกคำสั่งให้หุ่นเชิดทุกชีวิตพุ่งเข้าใส่ธนิกพร้อมกัน...หลังจากนั้นผมจึงเพิ่งตระหนักว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิด...
ร่างของผมถูกดีดกระเด็นลอยแหวกผ่านห้วงอากาศและสิ้นสุดลงตรงเสาไฟหน้าศาลา แผ่นหลังชนกลางเสาเข้าอย่างจัง....ผมค่อย ๆพยุงตัวขึ้นและสะบัดความบอบช้ำให้ลืมหายไปจากความรู้สึกชั่วคราว นาทีนี้ต้องรีบจัดการธนิกก่อนเป็นอันดับแรกโชคดีที่หุ่นเชิดของผมไม่มีใครได้รับบาดเจ็บพวกเขาแค่นิ่งชะงักแต่ยังคงพร้อมเตรียมรับคำสั่งต่อไปอาการบาดเจ็บทำให้ผมต้องใช้เวลารวบรวมกระแสจิตชั่วครู่กว่าจะถ่ายทอดไปยังหุ่นเชิดครบทุกตัวอีกครั้งได้
"ขอบคุณนะเต๋อ วันนี้คุณสอนผมไปเยอะทีเดียวโดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับบริโภคนิยมอะไรนั่น" ธนิกยังคงยืนนิ่งทอดสายตามองผมที่กึ่งนั่งกึ่งยืนเพราะอาการจุกท้องจากมุมสูงกว่าอย่างดูแคลน
"แต่คราวนี้ ผมจะเป็นฝ่ายสั่งสอนคุณบ้าง" เขาโบกสมุดปกดำไปมาเหมือนกับจะเยาะเย้ยข้างในนั้นคงมีข้อมูลเกี่ยวกับจุดอ่อนของผู้มีพลังจิตทุกประเภท น่าขันแม้แต่ผมยังไม่มีปัญญารู้จุดอ่อนตัวเอง
"ข้อแรก พวกใช้โทรจิตรุกล้ำกลไกความคิดของผู้อื่นไม่สามารถใช้กับพวกเดียวกันเองได้ เพราะกระแสจิตมีความเข้มแข็งไล่เลี่ยกันหมด. ..ข้อนี้คุณคงทราบดีตั้งแต่ที่เราพบกันครั้งแรก" ธนิกจ้องไปยังสระน้ำ ส่วนผมกำลังรีดเร้นกระแสจิตควบคุมคนอีกนิดเดียวก็จะทำสำเร็จแล้ว
"ข้อสอง ถ้าต้องเจอพวกใช้โทรจิตควบคุมมนุษย์ทีละหลาย ๆ คนวิธีรับมือที่ดีที่สุดคือ. . ."...ผมสังเกตเห็นน้ำส่วนหนึ่งในสระคลึงตัวเป็นลูกบอลกลมใสลอยขึ้นมา....
"เล่นงานเครื่องส่งสัญญาณซะ เมื่อมันพังเครื่องรับทั้งหมดก็ไร้ความหมาย"
....ลูกบอลน้ำพุ่งเข้ากระแทกหน้าผมอย่างจังเจ็บกว่าก
แค่เธอยักคิ้ว ต้นงิ้วก็แค่ถั่วงอก


Gumg

เรื่องนี้เขียนได้สนุกมากเป็นนิยายจริงๆ  ::Beggar::

amtorff73

เนื่อเรื่องเริ่มเข้มข้นขึ้นแล้วซิครับเนี่ย