ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_saradio

กามลิขิต ชีวิตหฤหรรษ ตอนที่ 30

เริ่มโดย saradio, ธันวาคม 22, 2015, 11:26:47 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

saradio

            ผมเดินเข้าไปในห้องพบท่านประธานพร้อมกระเป๋าเอกสารใบหนึ่งที่ตอนนี้ใส่ของสำคัญของแม่ ที่เหลือทิ้งไว้ให้ เพื่อนำมาเป็นหลักฐานว่าผมหาเธอพบจริงๆ

            ตอนนั้นผมไม่คิดว่าเรกะจะอยู่ด้วยทำให้ผมยิ่งทำใจลำบากมากขึ้นไปอีก สีหน้าผมเครียดเสียจนยิ้มทักทายไม่ออก และเหงื่อซึมจนมือเปียก

            เรกะ ทันทีที่เห็นผมเธอก็ยิ้มทักทายซึ่งมันเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความรักและความคิดถึงแต่เธอไม่ได้พูดหรือลุกขึ้นมาหาผม เพราะต้องรอตามมารยาทให้ผมทักทายพ่อเธอก่อน

            ผมโค้งคำนับต่อท่านประธานและคุณนู๋เรกะ ตามธรรมเนียมมารยาท ท่านประธานจึงเรียกให้ผมนั่งตอนนั้นผผมไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเรกะ เพราะมันทำให้ผมรู้สึกใจสลายทุกทีที่เห็นเธอมองมด้วยความรัก อย่างไม่รู้ว่าผมอาจเป็นพี่ชายของเธอ

            เมื่อผมนั่งเรียบร้อยท่านประธานจึงเริ่มพูดว่า
            "โอกิ พบเธอแล้วใช่มั๊ย พาเธอมาด้วยหรือเปล่า"

          ผมสูดลมหายใจเข้าไปจนลึก ก่อนพูดว่า
            "ผมพบเธอแล้วครับ และผมต้องแสดงความเสียใจด้วย ที่พาเธอมาไม่ได้เพราะเธอได้เสียไปแล้ว"
          "อะไรนะ แกพูดจริงรึ"

          ท่านประธานอุทาน ด้วยความสะเทือนใจ และพยายามข่มกลั่นอารมณ์ถามผมผมเลยเปิดกระเป๋า และเอาภาพถ่าย ที่เก็บกระเถ้ากระดูกของเธอที่ติดอยู่ข้างกำแพงวัดหลายภาพส่งให้ดูพร้อมกับภาพถ่ายเก่าๆของเธอ และสมบัติของเธออีก 2-3ชิ้น มันมีแหวน กำไร และสร้อยคอซึ่งเป็นของทั้งหมดที่เธอมีเหลือ ยกเว้นสมุดบันทึกที่ผมไม่ได้เอาออกมาส่งให้

            ท่านประธาน เห็นของพวกนั้นก็จำได้ และหยิบมาพิจารณาเมื่อเห็นว่าเป็นของเธอไม่ผิดแน่ๆ เพราะเขาเป็นคนให้เธอกับมือดังนั้นไม่มีข้อกังขาอะไรอีก ว่าเธอนั้นได้ตายไปแล้วแม้เป็นเรื่องที่เตรียมทำใจมานานแล้ว มันก็ยังอดเสียใจจนน้ำตาไหลไม่ได้โดยเฉพาะเมื่อเห็นของพวกนี้ ไม่คิดว่าเธอจะเก็บไว้จนตัวตาย

            ท่านประธานหลับตาพยายามสะกดกั้นอารมณ์สักพักก็พูดว่า
            "ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไร ให้ฉันต้องกังวลอีกแล้วไม่นานฉันก็ต้องตามไปอยู่กับพวกเธอ"
          ท่านประธานพูดอย่างเตรียมตัวที่จะลาโลก จนเรกะต้องทักเรียกว่า พ่อค่ะเพื่อให้สติเพราะกลัวจะเสียใจจนเป็นอะไรไปตอนนี้ แต่ท่านประธานกลับยิ้มให้เรกะพร้อมตีแตะหลังมือเธอเบาๆ อย่างไม่ต้องเป็นห่วง แล้วพูดกับผมว่า
            "เอาล่ะถึงแกจะพาเธอมาหาฉันไม่ได้ แต่ก็ถือว่าแกทำงานให้ฉันได้ดีงั้นก็หมดเรื่องแล้วหละ"
          ผมเลยพูดว่า
            "แต่ผมยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่จะขอพูดกับท่านประธานเป็นการส่วนตัวครับ"

          เรกะ พอฟังต้องเผยยิ้มอย่างซ่อนไว้ไม่อยู่ ตอนนั้นเธอคิดว่าผมจะขอพูดเรื่องการแต่งงานของเราเธอจึงลุกขึ้น แล้วพูดอย่างอารมณ์ดีว่า
            "พ่อค่ะ งั้นนู๋ออกไปข้างนอกก่อนแล้วกัน"
         แล้วเธอก็ลุกออกไป ด้วยท่าทีที่เก็บซ่อนความดีใจไว้ไม่อยู่จนท่านประธานก็ยังดูออกต้องยิ้มมองค้อนลูกสาวตัวเอง

            เมื่อเรกะออกไปแล้ว ผมจึงส่งสมุดบันทึกของแม่ให้ท่านประธานถามว่าอะไร ผมเลยบอกว่าเป็น บันทึกของคุณจิตตรา ท่านประธานเลยรีบหยิบไปอ่านเพียงเปิดออกดู

            ท่านประธานก็พูดอย่างดีใจว่า
            "เป็นรายมือของจิตตราจริงๆ"

          ยิ่งอ่านสีหน้ายิ่งเปลี่ยน เพราะในบันทึกเขียนบอกไว้หมดว่าเธอกำลังท้องได้  3 เดือนตอนที่ถูกใช้ให้ไปขนยาเสพติดที่ประเทศไทยซึ่งงานนั้นมันสำคัญมาก ทำให้จิตตราไม่บอกว่าเธอกำลังท้อง เมื่อเธอทำงานสำเร็จกำลังจะกลับญี่ปุ่น จู่ๆ ตำรวจก็บุกเข้ามาที่บ้านพักของเธอที่เป็นแหล่งพักยาเสพติด แล้วเกิดการยิงปะทะกัน จนคนของเธอตายหมด แต่เธอหนีรอดไปได้หลังจากนั้นเธอก็ถูกหมายจับไปทั่วประเทศ จนต้องหลบซ่อน หาทางกลับญี่ปุ่นไม่ได้แล้วคลอดเด็กออกมาเอาไปทิ้งไว้ที่วัด

            แม้แม่ผมจะไม่เขียนชื่อใครในสมุดบันทึกแต่ท่านประธานก็รู้ว่าพ่อของเด็กคือตัวเอง เพราะตอนนั้นจิตตราเป็นเมียท่านและท่านเองเป็นคนใช้เธอไป

          ท่านประธานเลยรู้ว่าตัวเองมีลูกชายอีกคนจากสมุดบันทึกที่เล่า เลยต้องพูดว่า
            "ฉันมีลูกชายเหรอ นี่ฉันลูกชายเหรอเนี่ย แกอ่านบันทึกนี่หรือยังแก่อ่านบันทึกนี้หรือยัง"

          ท่านประธานถามด้วยความร้อนรนและดีใจ ผมจึงพยักหน้ารับท่านประธานเลยรีบถามต่อว่า
            "แล้วแกตามหาลูกของเธอมั๊ย แกได้ตามหาหรือเปล่า"

          คราวนี้ผมส่ายหน้า ท่านประธานเลยรู้สึกผิดหวังในตัวผมอย่างแรงพูดด่าผมว่า
            "ทำไมแกโง่อย่างนี้ ถ้าแกอ่านบันทึกนี่แล้วแล้วรู้ว่าเธอมีลูกทำไมแกไม่ตามหาลูกเธอมาให้ฉัน แล้วแกจะรีบกลับมาทำไม"

          ผมคิดว่าถึงเวลาที่ผมต้องบอกกับท่านประธาน เลยพูดว่า
            "เพราะเด็กคนนั้นคือผมเอง จิตตรา เป็นแม่ของผม"
          "อะไรนะ แกล้อฉันเล่นหรือไงแกคิดจะสวมรอยเป็นลูกชายฉันหรือ.."
          "ท่านประธาน โปรดฟังผมเถอะครับผมเองก็ไม่ได้อยากเป็นลูกท่าน เพราะไม่อย่างนั้นผมกับเรกะ ก็จะกลายเป็นพี่น้องกันแล้วผมกับเรกะ จะทำยังไง ผม..ผม"

          ผมกำลังจะพูดอะไรไม่ออกเพราะอัดอั้นตันใจ น้ำตาเริ่มไหลแล้วผมก็เริ่มเล่าว่าผมเจอแม่ได้ยังไง ผมเล่าด้วยความเจ็บช้ำใจมากกว่าดีใจที่รู้ว่าเป็นลูกของท่านจนท่านประธานเริ่มจะเชื่อว่าสิ่งที่ผมพูดมาเป็นความจริง ตอนนั้นท่านต้องทรุดตัวลงนั่งโซฟาตาเหม่อลอย เพราะช๊อก เพราะถ้าหากเป็นคนอื่นท่านควรจะดีใจแต่ดันมาเป็นผมที่ไปมีอะไรกับลูกสาวของท่านซึ่งเป็นน้องของผมไปเรียบร้อยแล้ว
            แต่ที่ชีอกยิ่งกว่า คือเรกะมายืนข้างหลังผมด้วยน้ำตานองหน้า เธอกลับได้ยินเรื่องทั้งหมดเพราะตอนแรกเธอคิดว่าผมจะขอพ่อเธอในเรื่องแต่งงานจึงแอบฟังแต่มันกลับเป็นเรื่องที่เธอไม่ควรจะรู้ตอนนี้

            "ไม่จริงใช่มั๊ย คุณโกหกใช้มั๊ย"
          เสียงเรกะแว่วมาหลังผมพูดเหมือนเพ้อทำให้ผมสะดุ้งและหันไปทำให้เห็นเรกะยืนอยู่ เรกะรีบปรี่เข้ามาถามผมอย่างควบคุมสติตัวเองไม่อยู่

            "คุณโกหกใช่มั๊ย คุณต้องโกหกแน่ๆ เพราะคุณไม่อยากแต่งงานกับฉันเพราะคุณอยากกับไปหาบรรดาเมียคุณที่เมืองไทย คุณถึงแต่งเรื่องแบบนี้ออกมา"
          "ไม่ใช่นะเรกะ ฟังก่อน..."
          "ไม่ฉันไม่ฟังถ้าคุณไม่อยากแต่งงานกับฉันก็ไม่ต้องแต่ง แต่อย่ามาโกหกแต่งเรื่องแบบนี้ให้ฉันฟัง"

          เรกะพูดอย่างเดือดดาล แล้ววิ่งหนีออกไปนอกประตูห้องท่านประธานที่กำลังมึนๆอยู่ พอเห็นลูกสาววิ่งหุนหันพันแล่นออกไป พลันได้สติรีบบอกผมว่า
            "แกรีบไปตามเรกะกลับมา เธออาจจะทำอะไรบ้าๆ ก็ได้"

          ผมเลยต้องรีบวิ่งตามเธอไป และไปทันเธอที่ชั้นลานจอดรถขณะที่เรกะกำลังเปิดประตูรถเพื่อจะขึ้นขับหนีผม ที่กำลังจะออกประตูชั้นลานจอดรถวิ่งตามมาชายคนหนึ่งสวมไอ้โม่ง โพล่มาจากข้างเสาใกล้ ตัวเรกะมันถือปืนจ่อหัวเธอจนเธอชะงักนิ่ง ในขณะที่ผมวิ่งตามมาจะถึงมันรีบบอกให้ผมหยุด

            "แกเป็นใคร"

          ผมถามโพล่งออกมาอย่างตกใจ ทั้งที่เป็นคำถามไม่ควรจะถามเพราะยังไงมันคงไม่บอก ซึ่งมันก็ไม่บอกจริงๆ มันจ่อปืนที่หัวเรกะแล้วดึงกุญแจรถจากมือเรกะ โยนให้ผม แล้วพูดว่า

            "แกไปขับรถ ส่วนเธอมานั่งกับฉัน"

          มันสั่งให้ผมไปขับรถ โดยพาเรกะไปนั่งเบาะท้าย เรกะต้องขึ้นไปในรถตามที่มันดันผลักบังคับเข้าไปแล้วเธอก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นขึงขังทั้งที่น้ำตายังเปื้อนแก้ม แล้วพูดขู่มันว่า
            "แกรู้ใช่มั๊ยว่าฉันเป็นใคร ถ้าแกทำอะไรฉัน แก็ไม่มีวันจะรอดหรอก"

          แทนที่ไอ้โม่งนั้นจะกลัวแต่กลับหัวเราะพูดว่า
            "รู้สิทำไมฉันจะไม่รู้ รู้ดีด้วยแต่ถึงฉันจะไม่รอดฉันต้องแก้แค้นพวกแกก่อน...เอาละไปได้แล้วอย่าตุกติกนะมึงไม่อย่างนั้นหัวอีนีกระจุยแน่"

          มันสั่งให้ผมขับออกไปจากโรงพยาบาล และไปตามเส้นทางที่มันบอกสักพักผมถามมันว่า
            "แกต้องการอะไร เราตกลงกันได้ ถ้าแกต้องการเงินเราจะให้รับรองว่าเราจะไม่เอาเรื่องแก"

            ผมพยายามต่อรอง อย่างใจดีสู้เสือแต่มันกับไม่สนใจ หัวเราะอย่างเยาะเย้ยผม
            "ฉันรู้ว่าพวกแกรวยขนาดไหน แต่เงินหนะฉันไม่ต้องการหรอกสิ่งที่ฉันต้องการเดี๋ยวแกก็จะรู้"
          ผมเริ่มหวาดเสียวใจไอ้นี้ถ้าจะไม่ใช่โจรกระจอกที่มาดักปล้นทรัพย์เสียแล้ว ดูมันมีเป้าหมายและเป้าหมายมันอาจเป็นเรกะ

            ผมขับรถตามที่มันบอกจนออกนอกโตเกียวไปยังชานเมืองจนถึงโกดังร้างแห่งหนึ่ง จากนั้นมันก็บังคับเราลงจากรถ เข้าไปในโกดังแล้วมันก็ถอดไอ้โม่งออก คนที่เราเห็นทำให้เราตกใจกันไม่น้อยและไม่คิดว่าจะเป็นมัน

            "โคอิจิ"

          เรกะ พูดออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วพูดต่อว่า
            "นี่พ่อฉัน ยังไม่เก็บแกอีกเหรอเนี่ย"
          "เปล่า พ่อเธอมีเหรอจะปล่อยฉัน หลังจากฉันคิดทรยศกับเขาแล้วเพียงแต่ฉันรอดมาได้ และคราวนี้มันถึงคราวที่ฉันจะต้องแก้แค้นฉันรอโอกาสนี้มานานแล้ว เธอมันโง่มากที่ไปไหนโดยไม่มีคนติดตาม...ส่วนแกไอ้โอกิดีที่ได้แกติดรากแห มาด้วย จะได้แก้แค้นพร้อมกันในทีเดียวไม่ต้องเสียเวลาฮ่าฮ่าฮ่า เอาละเข้าไปในกรง"

          มันดันเรกะเข้าไปในกรง ที่เหมือนมีการวางแผนทำเตรียมไว้รออยู่แล้ว จากนั้นก็บังคับผมให้ตามเข้าไปแล้วขังเราไว้ด้วยกัน แล้วก็หัวเราะอย่างสะใจ ก่อนจะออกจากโกดังทิ้งเราเอาไว้สองคน

            "มันคิดจะทำอะไร"

          ผมมองมันเดินไปจนลับตา และถามเรกะ เหมือนจะปรึกษาค้นหาคำตอบ ที่สิ่งที่ได้รับมากลับมาคือความเงียบเรกะไม่ยอมคุยกับผม เธอมองเหม่อไปอีกด้านหนึ่งอย่างไม่สนใจอะไร

            "เรกะ เธอกำลังคิดอะไรอยู่ นี่เธอกำลังอยู่ในอันตรายนะ"

          ผมอดไม่ได้ที่จะกระตุ้นเธอให้เธอรู้สึกตัว แต่เธอกลับไม่ได้สนใจแล้วพูดว่า
            "ก็ช่างมันสิ มันอยากจะทำอะไรก็ทำ"
          "เธอกำลังโกรธประชดฉันอยู่ใช่มั๊ย."
          "แล้วคิดว่าฉันควรโกรธมั๊ยหละ"
          ."แล้วมันเป็นความผิดฉันหรือไงคิดว่าฉันอยากเป็นลูกท่านประธานเหรอ คิดว่าฉันอยากให้เป็นแบบนี้เหรอฉันรักเธอนะ เรกะ ที่ความจริงที่เราเป็นพี่น้องกันมันหลีกเลี่ยงไม่ได้.."
          "พอแล้วฉันไม่อยากฟัง"
          เธอเอาสองมือปิดหูก้มหน้าเหมือนจะหนีความจริง ตอนนั้นเจ้าโคอิจิก็กลับเข้ามาทำให้ผมต้องหยุดพูด
            เจ้าโคอิจิพูดว่า
            "เอาละ ถึงเวลาที่พวกแกต้องลาโลกแล้วฉันเตรียมหลุมศพไว้ให้พวกแกเรียบร้อย ความจริงฉันอยากจะสนุกกับการทรมานพวกแกก่อนแต่เหมือนเจ้าทาเอดะจะรู้ตัวแล้ว ว่าลูกสาวมันหายไป ทำให้ฉันเลยไม่มีเวลามันน่าเสียดายจริงๆ.. มาออกมาได้แล้ว"

          เจ้าโคอิจิเปิดประตูกรงบังคับให้พวกเราออกมา ตอนนั้นดูมันคลั่งและบ้าเอามากๆและต้องการจะฆ่าพวกเราจริงๆ ตอนนั้นผมคิดในใจว่ายังไงก็ไม่รอด ถ้าเราทำตามมันทุกอย่างเราจะเข้าตาจนทุกขณะสุดท้ายก็ตายทั้งคู่อย่างไม่มีทางเลือก แต่ถ้าผมบวกกับมัน ถึงผมจะตายอย่างน้อยเรกะยังหาจังหวะหนีไปได้ส่วนจะรอดหรือไม่รอดนั้นขึ้นอยู่กับดวงของเธอ

          ผมจึงยังไม่ออกจากกรงแล้วพูดว่า
             "ไหนๆ พวกเราก็จะตายอยู่แล้ว ฉันขอกอดเธอเป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน"

          แล้วผมก็ดึงเรกะมากอด แล้วกระซิบที่หูเธอว่า
            "รอจนออกจากกรงนี่ ฉันจะถ่วงเวลาให้ เธอต้องรีบหนีไป"

          เรกะตื่นตะลึง รู้ว่าผมจะแลกชีวิตกับโคอิจิเพื่อช่วยเธอ เธอพูดว่าไม่. แต่ก็พูดอะไรต่อไม่ได้เมื่อผมจูบปากเธอ เพื่อไม่ให้เธอต้องพูด เจ้าโคอิจิเห็นแล้วเกะกะรำคาญลูกตา ดึงผมออกมาจากเรกะ แล้วพูดว่า

             "อย่าชักช้า กูไม่มีเวลาพอให้พวกมึงพลอดรักกันหรอกและถ้ากูมีเวลาขนาดนั้น กูจะตอกหีอีเรกะ ต่อหน้ามึงด้วยซ้ำ... ไป."

          มันผลักเรกะให้เดินไปก่อน แล้วดันผมให้ออกตามหลัง เมื่อเรกะพ้นประตู จนผมเห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะจึงพุ่งตัวชนโคอิจิ พร้อมตะโกนว่า
            "เรกะ หนีไป"

          มันถูกผมชนจนตัวกระเด็นติดกรงด้านนอก แล้วผมก็กอดรัดฟัดหวี่ยงกับมันเพื่อแย่งปืนจังหวะนั้นเจ้าโคอิจิกดลั่นไก จนเสียงปืนลั่นเปรี้ยงยิงโดนขาผม จนผมทรุดตัวลงไปแล้วมันก้ถีบผมจนกระเด็น เสียงปืนทำให้เรกะชะงัก เป็นห่วงผมจนเท้าไม่ขยับและไม่หนีไป พอผมเห็นถึงกับปลง คิดว่ากูตายฟรีแน่ๆ

            โคอิจิคำรามลั่น พูดว่า
            "มึงเก่งนักรึ ดีกูจะได้ฆ่ามึงทีนี่ตอนนี้เลย"

          มันยกปืนจะยิงซ้ำ ผมทำอะไรไม่ได้ ได้แต่หลับตารอรับคมกระสุนที่จะเจาะเข้าหัวเสียงปืนดังขึ้น ผมรู้สึกใจวูบไปแวบหนึ่ง แต่ผมรู้สึกเหมือนไม่ได้โดนยิง แต่โคอิจิ กลับร้องโอ้ยด้วยความเจ็บปวด แล้วเสียงปืนก็ตามมาอีกหนึ่งนัดซ้ำเจ้าโคอิจิจนลงไปนอนจมกองเลือด มันกลับถูกคนอื่นยิงตายก่อน ก่อนที่จะยิงผม

            ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 50 เศษเดินถือปืนอย่างองอาจก้าวเข้ามา เขาคนนั้นคือ โทกิ เรกะ ดีใจอย่างที่สุดเรียกคนที่มาว่า
            "คุณอาโทกิ "

คนธรรมดา ธรรมดา

มีพระเอกอีกคนมาช่วยพี่ใหญ่นี่โชคดีจังว่ะ

suriyamahajit