ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

จิตสัมผัส ตอนที่ 2 จิตสัมผัส 5 ประการ //Omega19//

เริ่มโดย Omega19, มกราคม 31, 2016, 12:28:39 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

Omega19

จิตสัมผัส //Omega19//
ตอนที่ 2 จิตสัมผัส 5 ประการ



ผีสาวสุดเอ๊ก



          เช้าวันใหม่ของผมในวัย 25 ปี กับอีก 1 วัน ผมครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ที่ผมเจอเหตุการณ์ประหลาดๆ เห็นทั้งผีสาวร่างเปลือยและนางฟ้าสุดสวยใสในวันเดียว นี่พึ่งเข้าวัยเบญจเพสแค่วันเดียวก็เจอเรื่องพวกนี้แล้ว ผมไม่อยากคิดเลยว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไปอีก คงไม่แคล้วเหมือนปีก่อนๆที่มีแต่เรื่องซวยๆแย่ๆอีกแน่ น่าสงสารชีวิตอันน่าบัดซบนี้จริงๆ แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป

          "ชิบหาย ลืมกระเป๋าตังไว้ในเสื้อสูท" ผมพึ่งนึกขึ้นมาได้ว่าผมเอากระเป๋าสตางค์ใส่ไว้ในเสื้อสูทนั่น คนส่วนใหญ่คงเสียดายเอกสาร แต่ผมสิเสียดายเงินมากกว่าเพราะมันมีเงินเดือนทั้งเดือนของผมอยู่ในนั้น และนี้ก็พึ่งจะต้นเดือนเอง ถ้าหายเดือนนี้ทั้งเดือนจะเอาอะไรกิน

          "ตายห่าละ ดันเอาเสื้อไปให้ผีใส่อีก จะกล้าไปทวงไหมล่ะนั่น" ไอ้ทวงไม่เท่าไหร่ แต่จะไปตามเอาที่ไหนนี่สิสำคัญกว่า ผมจึงรวบรวมความกล้า บวกกับความงกของผมเอง
          "เอาวะ ลองกลับไปที่วัดนั่นดู" ผมตั้งใจจะกลับไปที่วัดนั่นเพราะคิดว่าผีสาวนั่นคงไม่จำเป็นต้องใช้เสื้อสูทผมแล้วล่ะ ถ้าโชคดีคงถอดทิ้งไว้ที่วัดนั้นแล้ว ผมอาจจะได้คืนทั้งเสื้อสูทและกระเป๋าสตางค์

          เมื่อความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ที่จะตามทวงเงินจากผี ผมจึงหยิบกุญแจรถตั้งใจจะไปวัด แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้ต้องไปทำงาน

          "โอ้ยยย ลืมไปสนิทเลย วันนี้ต้องไปทำงานนี้หว่า แม่งผู้จัดการก็โคตรเขี้ยว ขี้งก ลางานทีหักเงินค่าแรงเกือบพัน ลาพักวันเกิดเมื่อวานยังโดนหักเลย" ผมเอามือกุมขมับคิดไม่ตกอีกละ แต่ยังไงก็ช่างเถอะ เงินแค่นี้ยังน้อยกว่าเงินที่อยู่ในกระเป๋าอีก โชคดีก็ได้คืน แต่ถ้าดวงซวยไม่ได้เงินคืนแถมโดนหักค่าแรงอีก คิดแบบนี้ผมเลยบิดไอ้เก๋าไปที่ร้าน 7/11 ที่ผมทำงานอยู่แล้วเดินไปหาพี่ปุ้มผู้จัดการสุดสวยแต่ขี้งกเพื่อจะขอลางานอีกวัน

          "เออ พี่ปุ้มครับ คือผมขอลาเพิ่มอีกวันนะครับ" ผมพูดเสียงอ่อยๆ เพราะอีกเดี๋ยวคงโดนพี่ปุ้มด่าชุดใหญ่แน่ๆ
          "อ้าว เมื่อวานก็พึ่งลาไปนะ ไม่สบายเหรอ เป็นอะไรมากมั้ย" เฮ้ย ผิดคาดแฮะไม่โดนด่า หรือว่าพี่ปุ้มพูดประชด ก็ไม่น่าใช่เพราะสีหน้าของแกดูเป็นห่วงผมจริงๆ ถ้าไม่งั้นก็กินยาลืมเขย่าขวดแหงๆ
          "ปะ...เปล่าครับผมสบายดี คือผมมีธุระสำคัญครับต้องรีบไปทำครับ เรื่องด่วนจริงๆ" ผมพูดเสียงอ่อยอีกครั้ง เพราะไม่แน่ใจว่าจะโดนด่ารอบนี้หรือเปล่า

          "ได้จ๊ะ ไม่เป็นไร ไปทำธุระให้เสร็จนะ ไม่ต้องเป็นห่วง เสร็จแล้วก็ค่อยมาทำงานก็ได้ พี่ไม่หักเงินเราหรอก" เฮ้ย...พี่ปุ้มเปลี่ยนไป เป็นอะไรไปเนี้ยวันนี้ ให้ลาได้แถมไม่โดนหักเงินอีก เป็นไปไม่ได้พี่ปุ้มเปลี่ยนไปหรือมีคนมาแกล้งผม มีกล้องซ่อนหรือเปล่าหว่า ผมหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆด้วยความระแวง

          "อ้อ ส่วนที่พลลาเมื่อวาน พี่มาคิดๆดูอีกที พี่ว่าจะไม่หักเงินละ ยกให้เป็นของขวัญวันเกินของพลก็แล้วกัน" พี่ปุ้มพูดพร้อมส่งยิ้มหวานๆน่ารักๆมา ผมไม่เคยเห็นพี่ปุ้มยิ้มแบบนี้ให้ผมเลยหรือแม้กับพนักงานคนไหน มีแต่ดุด่าตลอด วันนี้เป็นอะไรไปแล้วเนี้ย ถึงจะงงแต่ก็ต้องรีบขอบคุณก่อน เผื่อพี่ปุ้มคิดว่าผมเป็นเด็กไม่มีสัมมาคารวะแล้วโมโหกลับมาเป็นคนเดิม

          "ขอบคุณครับพี่ปุ้ม เสร็จธุระผมแล้วจะรีบกลับมาทำงานต่อครับ" ผมยกมือไหว้ขอบคุณพี่ปุ้ม พี่ปุ้มก็ยกมือรับไหว้ผมพร้อมกับส่งยิ้มหวานๆมาให้อีกครั้ง ผมเดินเกาหัวออกจากร้านด้วยความงุนงง แต่ก็ดีแล้วล่ะไม่โดนหักเงิน มันเป็นโชคดีแรกในรอบหลายๆปีของผมจริงๆ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นโชคดีในความโชคร้ายหรือเปล่าหนอ

          ผมขี่ไอ้เก๋ามาจนถึงวัดแล้ว แต่ก็กล้าๆกลัวๆที่จะไปศาลาสวดอภิธรรมนั่น นั่งทำใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะรวบรวมความกล้า ค่อยๆเดินไปช้าๆ หันซ้ายหันขวามองดูรอบๆตัวด้วยความหวาดระแวง

          ผมใช้เวลาพอสมควรในการเดินจากที่จอดรถไปยังศาลา ในใจก็คิดอีกว่าจะเจอผีสาวหรือน้องผิงนางฟ้าสุดสวยก่อนกันนะ อยากจะให้เป็นน้องผิงมากกว่า แต่ถ้าไม่เจอผีสาวนั่นก็ไม่ได้กระเป๋าสตางค์คืน มันเป็นอะไรที่ขัดกันเสียจริงๆ

          พอมาถึงหน้าศาลาผมชะเง้อคอดูอยู่จากข้างนอกว่ามีอะไรผิดปรกติหรือเปล่า เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปรกติก็ค่อยๆก้าวเท้าเดินเข้าไปอย่างช้าๆ จนขึ้นมาบนศาลาจนได้ พอมองรอบๆก็เห็นแต่ญาติๆชุดใหม่ที่มาเปลี่ยนเวรกันแล้ว ไม่เห็นวี่แววของทั้งผีสาวและน้องผิงเลย ซวยสุดๆ

          ผมเดินคอตกเดินออกจากศาลาด้วยความผิดหวัง เงินสูญ ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือเงินแค่ร้อยกว่าบาทที่ต้องทำใจทุบกระปุกเมื่อเช้านี้ติดตัวออกมาจากหอพัก

          ผมเดินอย่างไร้จุดหมายมาเรื่อยๆจนมาถึงโบสถ์ของวัดได้ไงหว่างงกับตัวเอง เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นประตูโบสถ์นั้นเปิดอยู่ เห็นพระประธานองค์ใหญ่จากข้างนอกเลยคิดว่าไหนๆก็ไหนๆละเข้าไปไหว้พระขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองจากภูตผีเสียดีกว่า เงินหายไปแล้วช่างมัน ขออย่าให้ได้เจอะเจอผีอีกเลย ถึงแม้ว่าจะขาวสวยหุ่นดีก็ตามเถอะ

          ทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้าไปในโบสถ์ ผมรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก มันเงียบมากและไม่มีใครอยู่เลย ผมเลยคลานไปตรงหน้าองค์พระประธานแล้วก้มลงกราบ หลับตาพนมมือขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครอง

          ขณะนั่งคุกเข่าหลับตาพนมมือขอพรอยู่จู่ๆก็ได้ยินเสียงมาจากข้างๆ

          "พ่อหนุ่ม ทำอะไรอยู่เหรอ" ทำเอาผมสะดุ้งสุดตัว กระโดดตัวลอยทันที ก่อนจะเห็นว่าเป็นลุกแก่ๆผอมๆคนหนึ่งอายุก็มากแล้วเพราะผมหงอกเต็มหัว ผิวออกคล้ำๆ ยืนอยู่ข้างๆผม

          "ลุงถามว่าพ่อหนุ่มเข้ามาทำอะไรในนี้เหรอ" ลุงแกถามอีกครั้ง
          "ผมไหวพระครับ" ผมตอบแต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าแกมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ได้ยินเสียงเลย ตอนเข้ามาผมยังไม่เห็นแกเลย จะเป็นผีหรือเปล่านะ แต่ก็ไม่น่าใช่เพราะตอนนี้ก็เช้าแล้ว และผมก็อยู่ในโบสถ์ ผีไม่น่าเข้ามาได้

          "แน่ใจนะ ว่าพ่อหนุ่มไหว้พระอยู่" ลุงถามแปลกอีกละ
          "ครับ ผมไหว้พระจริงๆ" ผมย้ำคำตอบ
          "แล้วลุงเป็นใครเหรอครับ ถึงได้มาถามผมแบบนี้" ผมถามกลับไปบ้าง
          "ลุงเป็นสัปเหร่อของวัดนี้น่ะ เห็นพ่อหนุ่มเดินเข้ามาข้างใน นึกว่ามาขโมยของ" โห หน้าผมนี่มันเหมือนโจรขนาดนั้นเลยเหรอ
          "แล้วไหว้พระทำไมเหรอ" ลุงสัปเหร่อถาม
          "ผมไหว้พระขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองผมอยู่ครับ" ผมตอบ
          "ไหว้พระขอพร...ขอจากพระองค์ไหนเหรอ" คำถามของลุงทำให้ผมแปลกใจ
          "ก็พระประธานองค์ใหญ่สุดตรงนั้นไงครับ" ผมยกมือชี้ไปทางพระประธานองค์ใหญ่ตรงกลางโบสถ์ ลุงสัปเหร่อหันหน้ามองตามที่ผมชี้
          "สิ่งที่พ่อหนุ่มกำลังไหว้น่ะ คือ อิฐ หิน ดิน ทราย ที่ก่อร่างสร้างขึ้นมาเป็นองค์พระประธาน คือรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ใช่แก่นแท้ของพระ แล้วแบบนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนจะคุ้มครองพ่อหนุ่มกันล่ะ" ลุงแกนั่งลงข้างๆผมแล้วก็พูดต่อ

          "พ่อหนุ่มควรจะไหว้พระธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ไหว้คุณงามความดี กระทำแต่กรรมดีจะดีกว่า เพราะสิ่งเหล่านี้ต่างหากจะช่วยปกป้องคุ้มครองตัวพ่อหนุ่มเอง แต่ถ้าพ่อหนุ่มจะไหว้พระนั้นก็ควรกราบไหว้เพื่อระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ไม่ใช่ไหว้เพื่อจะมาขอให้พระช่วย" คำพูดเทศนาของลุงแกทำให้ผมได้คิด แต่ผมก็ยังจนปัญญาอยู่ว่าควรจะทำอย่างไงต่อไปอีกดีกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้

          "แล้วผมควรทำยังไงดีครับ ชีวิตผมเจอแต่เรื่องร้ายๆตลอด ทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ ชีวิตมีแต่ความล้มเหลว ไหนจะเมื่อวานก็เจอผีอีก" ผมเริ่มปลงเพราะผมคิดว่าผมคงเป็นคนที่มีบาปหนาแน่ๆถึงได้เจอแต่เรื่องร้ายๆในชีวิต

          "ไหนพ่อหนุ่มลองเล่าเรื่องของพ่อหนุ่มฟังให้ลุงฟังหน่อยซิ" จากนั้นผมก็เล่าชีวิตอันอับโชคของผมตั้งแต่วัยเด็กมาจนถึงปัจจุบัน และยังเล่าเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อวานให้ลุงสัปเหร่อฟังจนหมด

          "เรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อหนุ่ม ก็เป็นเพราะกรรมเก่าที่พ่อหนุ่มได้กระทำมาแต่ชาติปางก่อน เลยต้องมาชดใช้กรรมในชาตินี้ และสิ่งที่พ่อหนุ่มเห็นเมื่อวานก็เป็นเพียงแค่ร่างวิญญาณ โดยปรกติแล้วถ้าคนเราตายไปแล้ว ร่างวิญญาณจะต้องไปอีกภพหนึ่ง ไม่ภพนรกก็ภพสวรรค์ มันขึ้นอยู่กับผลกรรมที่ทำมา แต่ที่วิญญาณดวงที่พ่อหนุ่มเล่ามา เป็นดวงวิญญาณมีห่วงอยู่ จึงไม่สามารถไปสู่อีกภพหนึ่งได้ และพ่อหนุ่มไม่ต้องกลัวร่างวิญญาณหรอกนะ เพราะร่างวิญญาณก็เหมือนกับพ่อหนุ่มนั่นแหละ เพียงแต่มีแค่วิญญาณเท่านั้นไร้ซึ่งเนื้อหนังกระดูกไม่สามารถทำอันตรายพ่อหนุ่มได้ มีแต่ความชั่วร้ายเท่านั้นแหละที่จะทำอันตรายกับตัวของพ่อหนุ่ม"

          ถ้าผมมีกรรมจริงๆผมก็พร้อมที่จะชดใช้กรรมให้หมดๆไปในชาตินี้ไม่อยากให้ผลกรรมตามไปอีกถึงชาติหน้าเลย และผมก็ทำใจมาตั้งนานแล้วกับโชคชะตาอันโหดร้ายของผม แต่เรื่องเห็นผีนี่สิ มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันล่ะ

          "เรื่องชดใช้กรรมอะไรเนี้ยผมทำใจตั้งนานแล้วครับ คิดไว้แล้วว่าผมต้องเป็นคนบาปหนาแน่ๆ แต่เรื่องเห็นผีนี่สิ ผมทำใจลำบาก นี่ถ้ามาแบบสยดสยองเหมือนในหนังที่ผมเคยดูคงไม่เป็นอันทำอะไรแล้วครับ อีกอย่างทำไมผมถึงเห็นแค่คนเดียวล่ะครับ คนออกจะเยอะแยะไม่เห็นผีเหมือนผมเลย ลุงพอมีทางช่วยผมได้หรือเปล่าครับ" ผมถามลุงสัปเหร่อเผื่อว่าบางที่ลุงแกอาจจะมีทางแก้ไขให้ได้

          "พ่อหนุ่ม ก็อย่างที่บอกไปตะกี้ วิญญาณก็เหมือนพ่อหนุ่มนั้นแหละเพียง แต่ไม่มีร่างกายสังขารมารองรับแล้วเท่านั้นเอง ถึงแม้ว่าร่างกายจะแหลกเหลวเพียงใด ร่างวิญญาณก็ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งวิญญาณในความเป็นจริงกับวิญญาณในหนังน่ะ มันคนละอย่างกันเลยนะ เพราะวิญญาณในหนังนั้น เกิดจากเรื่องที่เล่าต่อๆกันมาปากต่อปาก จากคนในอดีตที่มีจิตสัมผัส สัมผัสถึงวิญญาณมาก่อนแล้วบอกต่อผู้คนฟัง เมื่อบอกต่อกันหลายๆทอด มันก็ย่อมผิดเพี้ยนไปบ้าง และยิ่งนานวันเข้าจะยิ่งกลายเป็นสิ่งที่ในปรากฏในหนังนั้นแหละ มันไม่เหมือนกับเราใช้ MS-Word หรอกนะ ที่กด Ctrl+C เพื่อก๊อปปี้ แล้วกด Ctrl+V เพื่อวางไว้ในอีกที่หนึ่ง นั่นน่ะสำเนาไม่ผิดเพี้ยนเลยล่ะ"

          โอ้วแม้เจ้า อธิบายซะเห็นภาพเลย ถึงลุงสัปเหร่อจะมีอายุมากแต่ก็เป็นสัปเหร่อทันสมัยพอดู รู้จัก MS-Word ด้วยแฮะ ไม่รู้ว่าเล่น Facebook ด้วยหรือเปล่าครับเนี้ย แล้วลุงสัปเหร่อก็อธิบายต่อ

          "แล้วที่พ่อหนุ่มเห็นวิญญาณและคนอื่นไม่เห็นแบบเดียวกับพ่อหนุ่มนั้น เป็นเพราะพ่อหนุ่มเป็นคนที่มีจิตสัมผัสแต่คนอื่นไม่มี และจิตสัมผัสจะปรากฏเมื่อใดนั้น ไม่อาจคาดเดาได้ ในกรณีของพ่อหนุ่มน่าจะปรากฏเมื่อวานนี้" อ้าวเฮ้ย ผมกลายเป็นคนมีจิตสัมผัสด้วยเหรอ จะดีใจดีหรือเปล่าล่ะที่ได้เห็นผีน่ะ ถ้าต้องเห็นผีตลอดสู้ไม่มีจะดีกว่า

          "เอาล่ะ พอดีลุงก็พอมีวิชาดูดวงชะตาอยู่บ้าง เดี๋ยวลุงจะดูดวงชะตาให้ว่าทำไมพ่อหนุ่มถึงมีจิตสัมผัสได้" ว่าแล้วลุงสัปเหร่อก็หยิบของบางอย่างออกจากย่ามที่แกสะพายมา มันเป็นกระดานชนวนที่มีลายแปลกๆที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

          "บอกวันเดือนปีเกิดของพ่อหนุ่มมา" ลุงสัปเหร่อถามพร้อมกับหยิมแท่งชอล์กสีชมพูออกมาจากย่าม แหมชอล์กสีหวานแหวเชียวนะ ผมคิด
          "ผมเกิดวันที่ 5 พฤษภาฯ 2527 ครับ" ผมตอบอย่างรวดเร็ว
          "แล้วเวลาตกฟากของพ่อหนุ่มล่ะ" ลุงสัปเหร่อถามต่อ
          "เวลาตกฟาก? อ๋อ เดือนก่อนตอนเที่ยงตรงครับ คือผมตกเรือข้ามฟากที่แม่น้ำเจ้าพระยามาน่ะครับ ตัวเปียกหมดเลย 555" ผมแกล้งพูดติดตลก
          "พ่อหนุ่ม อย่าเล่นมุข ลุงไม่ขำ" ลุงสัปเหร่อทำหน้าจริงจัง
          "แหะๆ ครับๆ เห็นยายบอกว่าเวลา ตี5 55นาทีครับที่จำได้เพราะมีแต่เลข 5" แล้วลุงสัปเหร่อก็นั่งขีดเขียนๆบนกระดานชนวน ก่อนจะทำตาโตแล้วเงยหน้ามาหาผม
          "พ่อหนุ่มรู้มั้ย วันที่พ่อหนุ่มเกิดวันอะไร" คำถามนี้ทำเอาผมตกใจ มันต้องเป็นวันอะไรซักอย่างแน่ๆ ไม่ทางดีก็ทางร้าย แต่น่าจะไปทางร้ายมากกว่าเพราะดูสีหน้าของลุงสัปเหร่อดูจริงจังกว่าเมื่อกี้อีก จนผมเริ่มหน้าถอดสีขึ้นมาเลย
          "แล้ว... แล้วมันเป็นวันอะไรครับ มันไม่ดีเหรอครับ" ผมถามอย่างตะกุกตะกัก
          "วันฉัตรมงคล" ลุงสัปเหร่อตอบ
          "......" ผมติดสตั้น 5 วิ
          "มันเป็นมุขน่ะพ่อหนุ่ม ขำๆ" แล้วลุงสัปเหร่อก็ก้มหน้าขีดเขียนกระดานชนวนต่อ
          "หึ หึ หึ" ลุงสัปเหร่อแอบขำนิดๆอีก ทั้งๆที่ยังนั่งขีดๆเขียนๆ คำนวณดวงชะตาของผมอยู่
          "ผมก็ไม่ขำครับลุง" ผมคิด
          "พ่อหนุ่มชื่อ ปัญจพล ใช่ไหม" โอ้ว อะเมซิ่ง ลุงสัปเหร่อรู้แค่วันเดือนปีเกิดกับเวลาตกฟากของผม ลุงแกก็สามารถรู้ชื่อของผมได้มันช่างน่ามหัศจรรย์เสียจริง ทำเอาผมอึ้งไปเลย

          "โห ลุงรู้ได้ไงครับเนี้ย ใช่ครับผมชื่อ ปัญจพล จริงๆครับ" ผมถามลุงสัปเหร่อด้วยความตื่นเต้น
          "อ๋อ ลุงเห็นเสื้อสูทสีดำตกตรงใต้ต้นโพ พอค้นดูเห็นกระเป๋าสตางค์ เลยเปิดดูบัตรประชาชนก็รู้ว่าเป็นของพ่อหนุ่ม กะเอามาคืนให้ตั้งแต่ตะกี้แล้วแต่ลืม" พร้อมกับชี้ไปที่เสื้อสูทของผมแขวนไว้ตรงหน้าต่าง ส่วนผมติดสตั้นอีก 5 วิอีกรอบ ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อสูทหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาดู โล่งอก เงินอยู่ครบ โชคดีจริงๆที่ผีสาวนั่นไม่เอาไป (แล้วจะเอาไปทำไมหว่า เป็นวิญญาณไม่ได้ใช้เงินนิ) แล้วผมก็กลับมานั่งที่เดิม

          "เอาล่ะรู้ละว่าทำไมพ่อหนุ่มถึงเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น" คราวนี้คงจะเป็นเรื่องจริงจังเสียทีนะ
          "พ่อหนุ่มรู้จักเสาร์ 5 มั้ย" ลุงสัปเหร่อถาม
          "ครับ เสาร์ 5 ก็คือวันเสาร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 น่ะเหรอครับ ผมรู้จักครับ แต่ผมไม่ได้เกิดวันนั้นนี่ครับ" ผมเริ่มงง
          "ลุงหมายถึงหนังเรื่องเสาร์ 5 น่ะ สนุกดีนะได้ดูหรือเปล่า" เออนี่จะมีสาระเสียทีละยังเนี้ย
          "ครับผมเคยดู" ผมกะว่าจะบอกลาลุงสัปเหร่อแล้วล่ะถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป
          "เหรอ อื้มๆ เสียดายนะจบไวไปหน่อย...แต่ที่พ่อหนุ่มพูดมามันก็มีส่วนถูกส่วนเดียวคือเรื่องเสาร์ 5 แต่ที่ผิดคือพ่อหนุ่มก็เป็นคนที่วันเกิดในวันเสาร์ 5 เหมือนกัน และคนที่เกิดในวันเสาร์ 5 จะเป็นคนที่มีจิตสัมผัส" ผมนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง มันจะเสาร์ 5 ไปได้ยังไงในเมื่อมันพึ่งผ่านมาไม่กี่เดือนมานี้เอง แถมเค้ายังบอกอีกว่าร้อยปีถึงจะมีครั้งหนึ่งด้วย

          "แล้วพ่อหนุ่มรู้มั๊ยพ่อหนุ่มเกิดวันอะไร" ถามแบบนี้อีกละ
          "วันฉัตรมงคลครับ" ผมตอบเพราะลุงสัปเหร่อพึ่งเล่นมุกนี้มาเมื่อตะกี้นี้
          "วันเสาร์ พ่อหนุ่มเกิดวันเสาร์ ที่ 5 เดือน 5 ทางสุริยคติ ส่วนเสาร์ 5 ที่พ่อหนุ่มพูดน่ะมันเป็นเสาร์ 5 ทางจันทรคติ" เออจริงแฮะ ผมคิดไม่ถึงจริงๆ แล้วลุงสัปเหร่อก็อธิบายต่อ
          "คนที่เกิดเสาร์ 5 ทางสุริยคติจะมีจิตสัมผัสแรงกว่าคนที่เกิดในเสาร์ 5 ทางจันทรคติมาก นั้นเป็นเพราะได้พลังมาจากดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาล" ลุงสัปเหร่ออธิบาย
          "แต่เสาร์ 5 ทางสุริยคตินี้เกิดง่ายกว่าทางจันทรคตินะครับลุง งั้นคนที่เป็นแบบผมไม่มีเต็มบ้านเต็มเมืองไปแล้วเหรอครับ" ผมถามด้วยความสงสัย
          "เสาร์ 5 ทางสุริยคติถึงแม้ว่าจะเกิดง่ายกว่าเสาร์ 5 ทางจันทรคติก็จริง แต่มันก็ขึ้นอยู่กับบุญที่เคยทำแต่ชาติปางก่อนด้วย คนทำบุญมากก็จะปรากฏจิตสัมผัสไว คนทำบุญน้อยก็จะปรากฏช้า มันคาดเดาไม่ได้ ดีไม่ดีถ้ากรรมมากกว่าบุญชาตินี้ทั้งชาติจิตสัมผัสก็จะไม่ปรากฏเลย" อ๋อเป็นแบบนี้นี่เอง แต่มันจะเป็นบุญหรือบาปของผมกันแน่นะที่ผมทีจิตสัมผัสเห็นผีแบบจะๆแบบนั้นง

          "จิตสัมผัสที่ว่านี้มันมีอยู่ 5 รูปแบบด้วยกัน คือ ตาสัมผัส หูสัมผัส จมูกสัมผัส กายสัมผัส และญาณสัมผัส บางคนอาจมีจิตสัมผัสแค่อย่างเดียว บางคนอาจมี 2 อย่าง 3 อย่างขึ้นอยู่กับเวลาตกฟากของคนผู้นั้นด้วย แต่สำหรับพ่อหนุ่มแล้ว พ่อหนุ่มเกิดตอนเช้าตรู่เวลา ตี5 55นาที ซึ่งเป็นเวลาที่แสงอาทิตย์แรกของวันเริ่มส่องสว่าง จึงทำให้พ่อหนุ่มเป็นเพียงคนเดียวในรอบหลายร้อยปีที่มีจิตสัมผัสทั้ง 5 ประการ อีกทั้งยังปรากฏจิตสัมผัสในปีเบญจเพส และมีชื่ออันเป็นมลคลคือ ปัญจพล แปลว่ามีพลัง 5 อย่าง จะยิ่งทำให้พลังแกร่งกล้ากว่าใคร" โอ้ว เยี่ยมๆ นี่ผมกลายเป็นซุปเปอร์ฮีโร่แบบในหนังไปแล้ว 555

          "ถ้าอย่างนั้นผมก็เรียกลมเรียกฝน มีพลังอย่างในหนังเลยสิครับ สุดยอดไปเลย" ผมนั่งอมยิ้มเล็กน้อยถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่ลุงสัปเหร่อบอก

          "พ่อหนุ่ม ลุงบอกแล้วว่าเรื่องจริงกับในหนังมันต่างกัน มันไม่มีพลังขนาดนั้นหรอก พ่อหนุ่มแค่สัมผัสได้เฉยๆ ไม่มีพลังทำลายล้างแบบนั้น" กำความฝันที่จะเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ต้องสลายไปในพริบตา
          "งั้นผมสามารถทำอะไรได้บ้างครับ" ผมถามเพราะน่าจะมีอะไรดีๆบ้างแหละน่า แล้วลุงสัปเหร่อก็อธิบายให้ผมฟังอย่างละเอียดซึ่งผมขอสรุปว่าจิตสัมผัสที่ว่านี้คืออะไร

          จิตสัมผัส คือการสัมผัสพิเศษ 5 รูปแบบคือ ตาสัมผัส หูสัมผัส จมูกสัมผัส กายสัมผัส และญาณสัมผัส

          ตาสัมผัส คือ การสัมผัสการมองเห็น ผมสามารถมองเห็นร่างวิญญาณแบบที่เห็นเมื่อวานนี้ และยิ่งกว่านั้นสามารถมองเห็นในสิ่งที่อยู่ไกลออกไปหลายร้อยกิโลเมตร หรืออาจจะเป็นพันกิโลเมตรขึ้นอยู่กับการฝึกฝน และแม้ว่าจะมีสิ่งบังตาอยู่ ก็สามารถมองทะลุสิ่งเหล่านั้นให้เห็นในสิ่งที่ผมต้องการเห็นได้ และถ้าผมฝึกฝนจนมีพลังแกร่งกล้าพอ ผมก็สามารถเห็นเหตุการณ์ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้ แต่ถึงแม้ว่าผมสามารถเห็นอนาคตได้ แต่ผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์นั้นได้ได้เลย ไม่ว่าผมจะทำอย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นั้นจะต้องเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน

          หูสัมผัส คือ การสัมผัสการยิน ก็คล้ายๆกับตาสัมผัส คือได้ยินเสียงวิญญาณ ได้ยินเสียงระยะไกล และได้ยินเสียงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้

          จมูกสัมผัส อันนี้ผมไม่อยากได้เลยซักนิด มันทำให้ผมนึกถึงสุนัขตำรวจ นั่นคือ การได้กลิ่นที่ดีกว่าคนอื่น และดีกว่าสุนัขหลายล้านเท่าเสียอีก เฮ้ยยย

          กายสัมผัส คือ ผมสามารถจับต้องร่างวิญญาณได้ รวมทั้งมีร่างกายที่แข็งแรงกว่าผู้ที่ผมต้องเผชิญหน้าด้วย แต่ไม่ถึงขั้นเป็นซุปเปอร์แมนนะครับ แค่จะมีกำลังมากกว่าคนๆนั้นนิดหน่อย ก็ง่ายๆครับถ้าต่อยกับใครผมชนะตลอดแต่ชนะแบบฉิวเฉียด ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิด รวมทั้งหากได้รับบาดเจ็บใดๆร่างกายก็จะหายขาดได้ในไม่กี่วัน ยาพิษไม่มีผลสำหรับผมรวมทั้งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิดครับ กินหมดเป็นสิบลังผมก็ไม่เมา และผมจะมีความจำอันยอดเยี่ยม

          สุดท้ายญาณสัมผัส คือการสัมผัสที่การสัมผัสทั้ง 4 ไม่สามารถสัมผัสได้ ก็คล้ายๆกับสัญชาติญาณอะไรทำนองนี้ และถ้าฝึกฝนมากพอ ผมสามารถรู้ว่าคนไหนนั้นคิดอะไรอยู่ รู้สึกอย่างไร เช่นถ้าคนนั้นเจ็บตรงไหนผมก็เจ็บตรงนั้นด้วย คนนั้นกินอาหารรสชาติอย่างไรผมก็ได้รับรสชาตินั้นด้วยอะไรทำนองนี้ และผมสามารถส่งความคิดผมไปหาคนๆนั้นได้ แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าผมสามารถสะกดจิตสั่งให้เค้าทำตามที่ผมสั่งได้นะครับ แค่ส่งความคิดไปเท่านั้นเอง

          เป็นไงล่ะครับพลังพิเศษที่ผมได้รับเป็นของขวัญวันเกิดครบเบญจเพสของผม แล้วนี่ผมจะเอาไปใช้ทำมาหากินอะไรได้บ้างล่ะเนี้ย

          ลุงสัปเหร่อยังมีดูชะตาของผมต่อ ซึ่งมันก็พอมีข่าวดีสำหรับผม

          "ตามดวงชะตาของพ่อหนุ่ม ที่พ่อหนุ่มต้องเสียพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก โตมาก็ทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จเลย นั่นเป็นเพราะกรรมเก่าที่ทำมาแต่ชาติปางก่อน ตอนนี้พ่อหนุ่มได้ชดใช้กรรมนั้นหมดสิ้นแล้ว และหลังวัยเบญจเพสนี้ พ่อหนุ่มจะได้เสวยผลบุญอันมหาศาลนับจากนี้เป็นต้นไป" ผมเริ่มยิ้มออกถึงข่าวดีจากการตรวจดวงชะตาของลุงสัปเหร่อ

          "หมายความว่าต่อจากนี้ไปชีวิตผมจะดีขึ้นใช้ไหมครับลุง" ลุงสัปเหร่อพยักหน้า
          "แต่พ่อหนุ่มจงจำไว้ว่า บุญถึงแม้ว่าจะมีมากมายมหาศาลเพียงใด มันก็ย่อมมีวันหมดเช่นกัน ก็เหมือนกับน้ำที่อยู่ในตุ่ม ถ้าพ่อหนุ่มตักน้ำไปอาบเรื่อยๆโดยไม่เติมน้ำลงไปในตุ่มเลยซักวันน้ำก็จะหมดตุ่ม แต่ถ้าพ่อหนุ่มหมั่นเติมน้ำเข้าไปเรื่อยๆ พ่อหนุ่มก็จะมีน้ำอาบไม่มีวันหมด เข้าใจหรือเปล่าล่ะ" ผมพยักหน้า

          "ครับ ลุงคงหมายถึงให้ผมหมั่นอาบน้ำบ่อยๆใช่ไหมครับ ผลบุญถึงจะได้ไม่มีวันหมด" ผมตอบอย่างภูมิใจ
          "..." คราวนี้ลุงสัปเหร่อติดสตั้น 5 วิของผมบ้าง
          "แหะๆ ล้อเล่นน่ะครับลุง ลุงหมายถึงให้ผมหมั่นทำบุญทำกุศลใช่ป่าวล่ะครับ ผมเข้าใจแล้วครับ" พอพูดถึงเรื่องทำบุญผมก็นึกขึ้นมาได้ ในเมื่อเงินก็ได้คืนแล้ว และตอนนี้ก็อยู่ที่วัดด้วย งั้นวันนี้ผมก็ขอประเดิมทำบุญถวายสังฆทานเลยดีกว่า

          "เดี๋ยวผมจะไปซื้อเครื่องสังฆทานที่หน้าวัดก่อนนะครับ ผมจะได้เริ่มทำบุญวันเกิดครบเบญจเพสของผมเลย" ผมรีบออกจากโบสถ์ทันทีแล้วรีบวิ่งออกมาโดยที่ยังไม่ทันจะได้ฟังว่าลุงสัปเหร่อจะพูดอะไรต่อ

          ผมวิ่งมาถึงหน้าวัดซื้อสังฆทานชุดใหญ่จากร้านขายเครื่องสังฆทานหน้าวัด แล้วรีบกลับมาในโบสถ์อีกครั้งแต่ผมไม่เห็นลุงสัปเหร่อแล้ว ผมลองเดินไปดูข้างหลังก็ไม่เห็นลุงสัปเหร่อเลย แต่พอดีผมเห็นเจ้าอาวาสของวัดเดินเข้ามาในโบสถ์พอดี ผมเลยเข้าไปหาท่าน ผมยกมือไหว้เสร็จก็นิมนต์ท่านเพื่อรับเครื่องสังฆทาน

          "สวัสดีครับ คือผมมาถวายสังฆทานให้หลวงพ่อครับ" พูดไปผมก็หันซ้ายหันขวาส่องหาลุงสัปเหร่อต่อ
          "อ๋อ ได้ๆ โยมพึ่งมาครั้งแรกเหรอโยม ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย เข้ามาในโบสถ์สิ" เจ้าอาวาสเดินนำผมเข้ามาในโบสถ์แล้วนั่งลงตรงอาสนะ
          "เออ หลวงพ่อครับ คือผมถามนิดหนึ่งครับ คือลุงสัปเหร่ออยู่ที่ไหนครับ ผมกะว่าอยากจะทำบุญร่วมกับแกซะหน่อย" ผมถามเจ้าอาวาสด้วยความสงสัย เพราะตะกี้ก็ยังคุยกันอยู่ในโบสถ์นี้อยู่เลย

          "อ๋อ ลุงสัปเหร่อเหรอ แกพึ่งเสียไปเมื่อ 2 อาทิตย์นี้เอง พ่อหนุ่มรู้จักแกเหรอ" เย้ย...งั้นที่ผมคุยอยู่ตะกี้ก็เป็น... ผมนั่งตัวสั่นนิ่งอยู่ไม่ไหวติงอยู่ครู่ใหญ่ๆ

          "โยม โยมเป็นอะไรเหรอ โยมคงรู้จักลุงสัปเหร่อ พอรู้ว่าแกตายไปแล้วคงเสียใจสินะ โยมไม่ต้องเสียใจหรอก อาตมาเชื่อว่าแกต้องไปอยู่บนสวรรค์แล้วล่ะ เพราะแกเป็นคนดี ซื่อสัตย์ รักษาศีลรักษาธรรม ชอบช่วยเหลือชาวบ้าน" ผมยังคงตัวสั่นอยู่แต่ก็พยายามยกสังฆทานขึ้นเพื่อเตรียมประเคนให้กับเจ้าอาวาท แต่ผมก็ได้ยินเสียงหนึ่งที่คุ้นเคย นั่นคือเสียงของลุงสัปเหร่อคนนั้นนั่นเอง ผมเลยตั้งจิตอธิฐานให้ลุง

          "พ่อหนุ่มขอบคุณ ที่ส่งบุญมาให้ลุง" น่าแปลกเมื่อสิ้นเสียงของลุงสัปเหร่อ ทำให้ความกลัวทั้งหลายกลับหายไปหมดสิ้น เหลือแต่ความอิ่มเอมจากส่วนบุญที่ผมมอบให้กับแก

          หลังจากถวายสังฆทานแล้ว ผมก็ออกมากรวดน้ำใต้ต้นโพ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก พร้อมทั้งบรรดาเจ้ากรรมนายเวร เมื่อกรวดเสร็จผมก็เห็นลุงสัปเหร่อยืนรออยู่

          "ไม่กลัวลุงมาแล้วเหรอ พ่อหนุ่ม" ลุงสัปเหร่อถาม
          "ครับไม่กลัวแล้วครับ เพราะสิ่งที่ผมเคยยึดติดคือเนื้อหนังที่ไม่จีรังยั่งยืน ตอนนี้ผมรู้แจ้งแล้วครับว่าสังขารเราไม่เที่ยง ซักวันเราก็ต้องตาย แล้วผมจะกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังความตายทำไม" ตอนนั้นผมคิดอย่างนั้นจริงๆ ความกลัวเรื่องภูตผีวิญญาณได้หมดไปจากใจของผมไปหมดแล้ว

          "สาธุ สาธุ เมื่อตะกี้ลุงยังบอกพ่อหนุ่มไม่หมด พ่อหนุ่มก็รีบออกมาซะก่อน ลุงจะบอกว่าในระยะเวลาประมาณสองสามวันนี้ จิตสัมผัสของพ่อหนุ่มจะแปรปรวนอย่างมาก นั่นเป็นผลมาจากการปรากฏของจิตสัมผัสที่ยังไม่คงที่ พ่อหนุ่มอาจได้ยิน ได้เห็น ได้สัมผัส ได้เห็นอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต สับสนปนเปกันไป แล้วหลังจากนั่น พลังของจิตสัมผัสจะคงที่ แต่สิ่งที่จะสามารถช่วยควบคุมได้ก็คือพ่อหนุ่มต้องมีสมาธิ หมั่นฝึกนั่งสมาธิ จะช่วยให้พ่อหนุ่มสามารถควบคุมจิตสัมผัสทั้ง 5 ได้"

          "ครับ ผมจะหมั่นฝึกนั่งสมาธิครับ" ผมตอบ
          "เออ เมื่อตะกี้ลุงบอกผมนะครับว่าวิญญาณที่ยังอยู่ภพนี้คือวิญญาณที่ยังมีห่วงอยู่ แล้วลุงมีห่วงอะไรเหรอครับถึงได้วนเวียนอยู่แถวนี้" ผมถามแกเผื่อว่าจะมีอะไรที่ผมพอช่วยได้บ้าง
          "ลุงเป็นห่วงเมียกับหลานสาวของลุงน่ะ ตั้งแต่ลุงตายไปก็ไม่รู้ว่าทั้งสองคนจะอยู่ยังไง" ลุงแกตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
          "ลุงไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะหมั่นไปดูให้เอง ถ้ามีอะไรขาดเหลือและผมพอช่วยได้ ผมจะช่วยเต็มที่" ผมให้สัญญากับลุง
          "ขอบใจพ่อหนุ่มมาก ลุงจะได้ไปเสียที ลุงหมดห่วงแล้ว" แล้วจู่ๆก็เริ่มมีแสงค่อยๆสว่างออกมาจากตัวของลุง
          "ลุงจะไปภพสวรรค์แล้ว แล้วรีบตามมานะพ่อหนุ่ม" แหมๆเช่นชวนกันแบบนี้ก็เขินแย่สิ ก็เล่นชวนผมขึ้นสวรรค์แบบนี้
          "คร๊าบ แต่คงอีกหลายสิบปีล่ะลุง" ถึงผมจะอยากขึ้นสวรรค์แต่ก็ยังไม่อยากไปตอนนี้ครับ ใช้ชีวิตบนภพนี้ให้คุ้มก่อนแล้วค่อยไป
          "ลุงต้องไปแล้วล่ะพ่อหนุ่ม แต่จงจำสิ่งที่ลุงจะบอกต่อจากนี้ให้แม่นๆนะ มันสำคัญมาก" แสงรอบๆตัวของลุงสัปเหร่อเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ จนผมเริ่มแสบตา
          "อะไรหรือครับลุง" ผมพูดไปพร้อมกับยกมือป้องแสงที่เริ่มส่องออกมาจากตัวของลุงสัปเหร่อมากขึ้นเรื่อยๆจนผมแทบจะมองไม่เห็นลุงแกแล้ว

          "พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง" แล้วลุงสัปเหร่อก็หายวั๊บไปในทันที

          ผมยื่นครุ่นคิดสิ่งที่ลุงสัปเหร่อพูดไว้ก่อนจากไป ยื่นสงบนิ่งหลับตาปล่อยใจให้ว่างเปล่า

          ผมยืนอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง จึงเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆสองสามครั้ง พร้อมกับพูดออกมาหวังว่าลุงสัปเหร่อคงจะได้ยินเสียงของผมจากบนสรวงสวรรค์
.
.
.
"ลุงครับ...เรื่องนี้ชื่อจิตสัมผัสครับ ไม่ใช่สไปเดอร์แมน"

yak7384

ได้พลังจิตสัมผัสมาแล้ว แล้วจะทำยังไงต่อดีละปัญจพล

prelude

เนื้อเรื่องน่าติดตามมากๆครับ ชอบมุขผู้แต่งมากๆ อ่านไปขำไป แบบว่าคิดได้ไง ชอบมากๆครับ
ว่าแต่ปัญจพลจะเป็นอย่างไรต่อไปหลังจากได้คำแนะนำจากลุงสัปเหร่อแล้ว รอติดตามครับ

verbatim

ส้มผัสๆๆ เมื่อไรจะได้สัมผัสสาวๆละครับ 
ขอบคุณมากครับ


Bearing Garage

ชอบมากครับ มีครบทุกสไตล์ เศร้า สนุก ปนฮา โดยเฉพาะเกี่ยวกับ spider man

Love it

johnyred59

อ่านแล้วรู้สึกสนุกชวนให้ติดตามดี กับการแต่งของท่านมาก มีสาระทางธรรมะด้วย 

pangtong


synivorn

"พ่อหนุ่มควรจะไหว้พระธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ไหว้คุณงามความดี กระทำแต่กรรมดีจะดีกว่า เพราะสิ่งเหล่านี้ต่างหากจะช่วยปกป้องคุ้มครองตัวพ่อหนุ่มเอง
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำที่ดีมากๆครับ


thongdaeng_skk

หมดกรรมเก่าแล้วจะได้ผลบุญอะไรบ้าง ต้องติดตาม