ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 18 ฮุ่ยหนิง ลี่จิน นักบวชหญิงโฉมสะคราญ

เริ่มโดย zeech, กันยายน 25, 2016, 08:47:30 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

zeech

เมื่อ เทวทูตหน้าทอง ออกเดินทางออกจากวังของลัทธิเบญจธาตุไปตามคำสั่งแล้ว 
เจ้าลัทธิฯ ก็วางกำลังคนในทางลับ สืบเรื่องราวของ เทวทูตหน้าทองโดยละเอียด 
จนเวลาล่วงผ่านไปหลายวัน ก็ได้เบาะแสว่า มันมีบริวารสนิทอยู่ผู้หนึ่ง 
มักออกมาพบกับ เทวทูตหน้าทอง ในยามค่ำคืนกับอยู่เป็นประจำ เจ้าลัทธิจึงให้
จับตัวมาทรมานเพื่อเค้นความจริง

บริวารผู้นั้นครั้นได้รับความเจ็บปวดทรมาน ก็เปิดปากออกมาว่าอันที่จริง
เทวทูตหน้าทองผู้นี้ ก็คือ หลงจินหู่  บัญฑิตไร้ใจ หนึ่งในห้าเทพยุทธจงหยวนนั่นเอง



เจ้าลัทธิ เมื่อได้ทราบความจริงว่า หลงจินหู่ได้ฆ่า เทวทูตหน้าทองบริวารของตน
แล้วสวมรอยเป็นเทวทูตหน้าทอง ปะปนอยู่ในวังมาช้านาน ทั้งยังได้ลักลอบ
ขโมยกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิไป ก็มีความโกรธแค้นอย่างที่สุด
จึงเรียก ทูตดิน ทูตน้ำ ทูตลม และทูตไฟ ให้เข้ามาพบในทันที

"ทูตทั้งสี่  หลงจินหู่ มันบังอาจ ฆ่า เทวทูตหน้าทอง ซ้ำยัง ลักลอบขโมยกระบี่ศักดิ์สิทธิ์
แห่งลัทธิเราไป   ข้าขอให้พวกเจ้าทั้งสี่ จงออกติดตามมัน แล้วเมื่อสบโอกาสจงฆ่ามันซะ"


"ข้าน้อยทั้งสี่  น้อมรับคำสั่ง"


ทูตทั้งสี่ หันหลังเตรียมจะออกเดินทาง

"เดี๋ยวก่อน"


เมื่อทูตทั้งสี่หันกลับมา เจ้าลัทธิก็พูดขึ้นว่า

"ข้าอยากให้พวกเจ้า สืบหาที่ซ่อนของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน จากนั้นค่อยลงมือฆ่ามัน
แล้วนำกระบี่ศักดิ์สิทธิ์กลับมา"


"พวกเราทั้งสี่ จะปฏิบัติตามคำสั่งของท่านเจ้าลัทธิ"


หลังจากออกคำสั่งให้ทูตทั้งสี่ ออกไปจัดการกับ หลงจินหู่ แล้ว เจ้าลัทธิก็มิเป็นสุข
มันก่อเกิดความกังวลขึ้นมาอย่างมากมาย เนื่องด้วยในยามนี้เหตุการณ์
ไม่เหมือนเมื่อการณ์ก่อน มันไม่เคยคาดคิดว่า จะมีชาวยุทธจงหยวนคนใด
จะมีพลังฝีมือสูงพอที่จะต่อต้านมันได้ แต่บัดนี้มันกลับพ่ายแพ้แก่เด็กหนุ่ม
ผู้ไร้ชื่อเสียง ซ้ำยังเกิดเรื่อง  เว่ยฉิงคังรวมกำลังชาวยุทธจงหยวน
ขึ้นต่อต้านมัน อีกทั้งยังมีเรื่องของ หลงจินหู่อีก

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ล้วนสั่นคลอนอำนาจ และความปลอดภัยของลัทธิเบญจธาตุ
มันเฝ้าใคร่ครวญคิดหาวิธีแก้ไข กำจัด อุปสรรคของมันให้หมดไป




และแล้วในวันหนึ่ง มันก็ให้บริวารไปเชิญ เทพธิดาหมื่นพิษ หยางเพ่ยจือ
ให้เข้ามาพบ

หยางเพ่ยจือ เดินเข้ามา ย่อตัวกระทำคารวะต่อเจ้าลัทธิ

"ท่านเจ้าลัทธิ เรียกข้ามาพบ มีประสงค์สิ่งใดให้ข้ารับใช้หรือไม่"


"เทพธิดาหมื่นพิษ  บัดนี้ศัตรูของลัทธิเรา ล้วนมีกำลังและพลังฝีมือแก่กล้า
ข้าต้องการ ยาเทพโอสถทะลวงชีพจรของเจ้า"


หยางเพ่ยจือตกใจ เหลือบมองไปที่ใบหน้าของเจ้าลัทธิ แล้วกล่าวขึ้นว่า

"ท่านเจ้าลัทธิ ท่านทราบใช่หรือไม่ แม้มันมีสรรพคุณ ทะลวงชีพจร เพิ่มพลังยุทธ
แต่ก็เจือด้วยพิษร้าย ซึ่งข้ายังมิอาจแก้ไขมันให้หมดไปจากตัวยาได้"


"ข้าทราบดี  แต่ข้าคงต้องทดลองเสี่ยงดูแล้ว"


"ไม่..ข้าเห็นว่าท่านสมควรรอ...หรือว่า..ให้ข้าทดลองดูเองก่อนเถิด
ว่าจะเป็นอันตรายหรือไม่ แล้วท่านจึง..ท่านจึงสามารถใช้ยานี้"


เจ้าลัทธิยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า

"เพ่ยจือ  บัดนี้เจ้าเป็น เทพธิดาหมื่นพิษแล้ว จึงมิยินยอมทำตามคำสั่งของข้า
กระนั้นรึ"


หยางเพ่ยจือ ก้มหน้ากระทำคารวะ 

"ไม่......ข้าน้อยมิบังอาจ"


"เช่นนั้น จงนำยามาให้ข้า"




เมื่อเจ้าลัทธิได้ยา เทพโอสถทะลวงชีพจรมาแล้ว ก็เข้าไปหา ธิดาเทพ ผู้เป็นบุตรี


"ท่านพ่อ ..........."

ธิดาเทพ ผู้มีนามว่า หว่านเอ๋อ วิ่งเข้ามาสวมกอดบิดาของตน

เจ้าลัทธิใช้มือลูบศรีษะบุตรีอย่างรักใคร่

"หว่านเอ๋อ  เจ้าเติบโตเป็นสาวแล้ว เหตุใดจึงไม่สำรวม  ตำแหน่ง ธิดาเทพของเจ้า
สามารถกระทำเยี่ยงเด็กน้อยได้รึ"


"ท่านพ่อ  ข้าไม่เป็นธิดาเทพแล้ว ข้าขอเป็นบุตรีของท่านเท่านั้น จะได้สวมกอดท่านได้
โดยมิต้องกังวลสิ่งใด"


"ฮ่าๆๆๆ  เด็กน้อยผู้นี้ช่างดื้อดึงนัก"


เจ้าลัทธิสวมกอดบุตรีของตนอย่างรักใคร่  แล้วก็นิ่งงันไป จนธิดาเทพผิดสังเกต
นางผละออกจากร่างบิดา  มองดูใบหน้าของเจ้าลัทธิผู้เป็นบิดา  เห็นมีแวววิตกกังวล
เคลือบแฝงอยู่  จึงร้องถามไปว่า

"ท่านพ่อ ท่านมีเรื่องราวกังวลสิ่งใดหรือไม่"


เจ้าลัทธิ ถอนหายใจยาวออกมา แล้วพูดว่า

"หว่านเอ๋อ  บัดนี้ศัตรูของเรามีกำลังเข้มแข็งนัก ซ้ำยังมีแผนที่จะบุกมายังลัทธิเรา
พ่อมีความจำเป็นต้องเก็บตัวฝึกพลังยุทธในห้องลับเป็นเวลาหลายวัน ในระหว่างนี้ภาระทั้งหมด
ของลัทธิเรา  ต้องพึ่งเจ้าแล้ว"


"ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้  ข้าจะรับภาระของลัทธิแทนท่าน
จนกว่าท่านจะฝึกพลังยุทธเสร็จสิ้น"


เจ้าลัทธิ แย้มยิ้ม ยกมือลูบศรีษะบุตรี

"ขอบใจเจ้ามาก หว่านเอ๋อ ในระหว่างนี้ขอให้เจ้าอยู่แต่บริเวณชั้นในของวัง
พ่อได้วางค่ายกล จตุรธาตุไว้โดยรอบแล้วคงไม่มีบุคคลใดสามารถล่วงล้ำ
ข้ามเขตชั้นในเข้ามาได้"

ครั้นธิดาเทพรับคำแล้ว  เจ้าลัทธิก็มอบหมายภาระกิจของลัทธิอีกหลายประการ
ให้ธิดาเทพรับไปปฏิบัติ

นับจากวันนั้น เจ้าลัทธิก็กินยาเทพโอสถทะลวงชีพจร แล้วนั่งกรรมฐานนิ่ง
อยู่ในห้องลับนั้นแต่เพียงผู้เดียว

-----------



หมอวิปลาส ลิ่มบ้อฮวย และศิษย์ รวมทั้ง ศิษย์แห่งอารามชีบุปผาหยก ฮุ่ยหนิง และ ลี่จิน
ซึ่งขณะนี้อยู่ในสภาพองครักษ์หุ่น เดินทางจากวังของลัทธิ เบญจธาตุ มาถึง โรงเตี๊ยม
กึ่งกลางเส้นทางที่จะไปยังวังหุบผาภูติ หมอวิปลาส จึงชักชวน ลิ่มบ้อฮวยและศิษย์
เข้าพัก ณ.โรงเตี๊ยมแห่งนั้น

ขณะที่ทั้งคณะ กำลังนั่งรออาหารอยู่ที่โต๊ะ ก็ได้ยินเสียงจากโต๊ะข้างเคียงสนทนากัน


"เว่ยฉิงคัง บุกไปยังห้าสำนักใหญ่ในครั้งนั้น ประมุขแห่ง สำนักมังกรเขียว 
สำนักดาบแปดทิศ และ สำนักฝ่ามือทลายภูผา ล้วนถูกมันสยบลง พลังฝีมือของมันนั้น
ร้ายกาจนัก" 


"โชคดีที่ สำนักเงาจันทรา และ อารามชีบุปผาหยกไร้ประมุขปกครองสำนัก
มิเช่นนั้นก็คงมีชะตากรรมเช่นเดียวกับสำนักทั้งสาม"


"แต่ข้าได้ยินมาว่า คนของสำนักเงาจันทรา และ อารามชีบุปผาหยก ที่เหลืออยู่
ก็ถูกบีบบังคับให้ไปร่วมงานชุมนุมชาวยุทธ  เลือกมันเป็นผู้นำชาวยุทธด้วยใช่หรือไม่"


"ใช่แล้ว  ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขืนความต้องการของมัน  แม้แต่ ท่านไป๋ลี่ท้ง ผู้ลือนาม
ยังถูกมันสยบลงอย่างง่ายดาย"


ลิ่มบ้อฮวยได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ ลุกขึ้นเดินเข้าไปยังโต๊ะของผู้สนทนาอยู่นั้น 
นางยกมือกระทำคารวะแล้วกล่าวขึ้น

"ขออภัย  เรื่องที่พวกท่านสนทนากันเมื่อครู่ ช่วยเล่าเรื่องราวทั้งหมด
ให้ข้าฟังอีกครั้งได้หรือไม่"


จากนั้น กลุ่มบุคคลที่สนทนากันอยู่ ก็ช่วยกันเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานชุมนุมชาวยุทธ
และการเลือกผู้นำชาวยุทธต่อต้านลัทธิเบญจธาตุ ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ให้ลิ่มบ้อฮวย ได้รับฟัง

หมอวิปลาสซึ่งร่วมรับฟังอยู่ด้วย ก็พูดกับลิ่มบ้อฮวยว่า

"จากครั้งที่เราพบกับ เว่ยฉิงคัง ครั้งสุดท้าย ด้วยพลังฝีมือชั้นปลายแถวของมัน
มิอาจกระทำเช่นนี้ได้"


ลิ่มบ้อฮวยพยักหน้า พลางครุ่นคิด

"ข้าก็คิดเช่นเดียวกับท่าน  หรือว่ามีเงื่อนงำบางอย่างที่เราไม่รู้  ข้าเป็นห่วงศิษย์ของข้า
เหลือเกิน มิรู้ว่าเผชิญเหตุการณ์นี้แต่เพียงลำพัง พวกนางจะเป็นเช่นไรบ้าง"



เยี่ยกุ้ยอิง ได้ยินเช่นนั้นก็ยืนขึ้น แล้วพูดกับ ลิ่มบ้อฮวยว่า

"ท่านเจ้าสำนัก ข้าขอเดินทางไปดูพวกนางเอง"


ลิ่มบ้อฮวย ยกมือขึ้นห้าม

"ไม่  พวกเราจะไปด้วยกันทั้งหมด  ท่านหมอเมี่ยว ท่านจะไปกับพวกเราหรือไม่"

หมอวิปลาสมีท่าทีลังเล แล้วชี้มือไปที่ ฮุ่ยหนิง และ ลี่จิน

"แล้วจะทำเช่นไรกับแม่นางทั้งสองนี่"


ลิ่มบ้อฮวย ครุ่นคิดอยู่เพียงครู่ ก็พูดขึ้นว่า

"เช่นนั้น พวกเราคงต้องแยกทางกันก่อน  ข้าและศิษย์จะกลับไปยังสำนักเงาจันทรา 
ส่วนท่านเดินทางไปยังวังหุบผาภูตกับพวกนาง  เมื่อถอนพิษให้กับพวกนางได้แล้ว
ท่านค่อยติดตามพวกเรามา"


หมอวิปลาส ยืนนิ่งอย่างเงียบงัน  ไม่สามารถพูดสิ่งใดออกมา ได้แต่ยืนมองดูพวกนาง
เตรียมตัวเดินทางจากไปอย่างเหงาหงอย


เยี่ยกุ้ยอิง เป็นผู้เดินรั้งท้ายสุดได้หันกลับมา พูดกับมันอย่างแผ่วเบาว่า

"ท่านก็อย่าเอาแต่ถอนพิษจนเพลิดเพลิน เกินไปนัก"

แล้วนางก็จ้องสายตามายังมันอย่างดุร้าย

หมอวิปลาส นิ่งมองอย่างจนต่อถ้อยคำ ยืนมองดูนางเดินจากไปจนลับตา


หมอวิปลาสทรุดกายนั่งลง ดื่มสุราอย่างห่อเหี่ยว หลายวันที่ผ่านมานี้
มันได้อยู่ใกล้ชิดกับพวกนาง  พบแต่ความอบอุ่นคล้ายอยู่กันพร้อมหน้าทั้งครอบครัว
จนเกิดความเคยชิน  ครั้นพวกนางเดินทางจากไปมันก็รู้สึกถึงความเงียบเหงา
นั่งดื่มสุราอย่างเดียวดายอยู่ ณ ที่นั้น

---------


เฟยอี้ และ เม่ยเม่ย ฝ่าฟันการเดินทางที่แสนยากลำบากด้วยกัน จนทั้งสอง
ได้ก่อเกิดความรักต่อกัน ในระหว่างการเดินทางทั้งสองได้พรอดรักต่อกัน
อย่างหวานชื่น จนบังเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างมากต่อ เฟยอี้

ทุกครั้งที่เฟยอี้ได้ร่วมรักกับ เม่ยเม่ย พลังหยินที่เกิดจากการร่วมรักกับสตรี
เข้าไปสร้างสมดุลย์กับ พลังหยางของตะขาบแดงอัคคีในร่างของเฟยอี้
ก่อเกิดพลังวัตรเพิ่มพูนขึ้นในร่างของมัน จนบังเกิดความก้าวหน้าของพลังฝีมือ
ขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง

เฟยอี้ และ เม่ยเม่ย เดินทางฝ่าเวิ้งทะเลทราย จนย่างเข้าเขตเมืองอย่างอิดโรย
ทั้งสองเดินเข้าเขตเมืองได้เพียงครู่ ก็พบกับโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง จึงได้ชวนกัน
เข้าพักที่โรงเตี๊ยมที่แห่งนั้น

ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังกินอาหาร และพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ก็มีคนผู้หนึ่ง
เดินเข้ามาที่โต๊ะของคนทั้งสอง แล้วหยุดยืนนิ่งอยู่ เมื่อเฟยอี้และเม่ยเม่ยหันไป
พบหน้ากับคนผู้นั้น ก็ส่งเสียงร้องเรียกขึ้นมาพร้อมกันอย่างยินดี


"อาจารย์"

"ท่านหมอเมี่ยว"


เฟยอี้ลุกขึ้นคารวะต่ออาจารย์คนแรกของมัน แล้วไถ่ถามขึ้นว่า

"อาจารย์ เหตุใดท่านจึงมาอยู่ ณ.ที่นี้"


หมอวิปลาส หัวเราะเสียงดังอย่างยินดี แล้วพูดขึ้นว่า

"ฮ่า ๆๆๆๆ เฟยอี้  ข้าไม่ต้องเดินทางไปหาเจ้าแล้ว...  เม่ยเม่ย เจ้ามาอยู่กับมันได้อย่างไร"


แล้วเฟยอี้เล่าก็เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับฝ่ายตนให้หมอวิปลาสทราบโดยหมดสิ้น

เมื่อหมอวิปลาสทราบเรื่องทางฝ่าย เฟยอี้ แล้วก็พูดขึ้นว่า

"เช่นนั้น ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย ข้ารู้ช่องทางลอบเข้าวังของลัทธิมัน    แต่ว่า...เอ่อ..."


เฟยอี้ และ เม่ยเม่ย นิ่งมองดูหมอวิปลาสอ้ำอึ้งอยู่

"มีสิ่งใดรึ  ท่านอาจารย์"


"ก็นางชีทั้งสองคน ที่ข้าช่วยเหลือมาจากวังของพวกมัน  นางทั้งสองยังคงต้องพิษอยู่"

"นางชี..พวกนางคือใครรึ ท่านอาจารย์ แล้วเหตุใดจึงได้ต้องพิษ"



หมอวิปลาสจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทางด้านฝ่ายตน  ตั้งแต่มันลอบเข้าวังเบญจธาตุ แล้วช่วยเหลือ
เยี่ยกุ้ยอิง จนพบกับ เหม่ยเยี่ย ที่หนีรอดออกมาวังเบญจธาตุ  แล้วต่อมาก็ทราบข่าวของ เว่ยฉิงคัง
แล้วลิ่มบ้อฮวยกับศิษย์ของนาง ก็แยกทางกับมันไปยังสำนักของนาง ให้เฟยอี้ทราบ


เม่ยเม่ย ซึ่งร่วมฟังเรื่องราวอยู่โดยตลอด ก็บังเกิดอาการเศร้าซึมลง เมื่อได้ฟังเรื่องราวของ
เว่ยฉิงคัง จนเฟยอี้สังเกตเห็น


"เม่ยเม่ย  เจ้าคิดถึงพี่ใหญ่  คิดถึงบ้านของเจ้า ใช่หรือไม่"


เม่ยเม่ย มีน้ำตาเอ่อคลอที่ดวงตาทั้งสอง

"แต่ พี่ใหญ่คงไม่คิดถึงข้า  "


หมอวิปลาสเห็นเช่นนั้น ก็พูดขึ้นว่า

"เจ้าต้องการจะกลับไปบ้าน ไปพบพี่เจ้าซักครั้งหรือไม่ 
บ้อฮวยพึ่งออกเดินทางไปไม่กี่ชั่วยาม  ข้าจะพาเจ้าไล่ตามนางไปร่วมเดินทางกับพวกนาง"


เม่ยเม่ย มีท่าทีลังเล นางไม่อยากห่างจากเฟยอี้  แต่อีกใจหนึ่งก็ต้องการพบพี่ใหญ่ของนาง

เฟยอี้เห็นเช่นนั้น ก็เข้าใจ จึงเดินเข้าไปใช้มือจับไหล่ทั้งสองของ เม่ยเม่ย แล้วพูดขึ้นว่า

"เม่ยเม่ย เจ้าไปเถอะ เบื้องหน้าที่เราจะไปมีอันตรายมากนัก  เจ้าสมควรไปพบกับพี่ของเจ้า
เมื่อข้าไปช่วยองค์หญิงกลับมาแล้ว ข้าจะไปหาเจ้า"


เม่ยเม่ย เงยหน้าขึ้นสบสายตากับเฟยอี้


"พี่เฟยอี้  เมื่อท่านช่วยองค์หญิงได้แล้ว ท่านต้องไปพบข้านะ"


เฟยอี้แย้มยิ้มออกมา

"แน่นอน  ข้าต้องไปหาเจ้า  มาเถอะ พวกเราจะไปส่งเจ้า"



หมอวิปลาสได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้น  แล้วพูดว่า

"ข้าจะไปส่งนางแต่ผู้เดียว เจ้าต้องอยู่ที่นี่"


"เหตุใดเล่า  อาจารย์"


"ก็แม่นาง ฮุ่ยหนิง กับ แม่นาง ลี่จิน นางทั้งสองยังต้องพิษสะกดวิญญาณอยู่
มีเพียงเจ้าที่สามารถถอนพิษให้นางได้"


แล้วหมอวิปลาสก็ลากจูงมือ ศิษย์รักของมันให้เดินตามมันไป
พลางร้องสั่ง เม่ยเม่ย ว่า

"เม่ยเม่ย เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะพาเฟยอี้ไปพบแม่นางทั้งสองแล้วจะกลับมา"


"เดี๋ยวก่อน  ท่านหมอเมี่ยว    พี่เฟยอี้ "


เม่ยเม่ย ร้องเรียกคิดจะติดตามบุคคลทั้งสองไป แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
ร่างของคนทั้งสองกระโจนขึ้นไปยังชั้นที่สองของโรงเตี๊ยมนั้น


หมอวิปลาสพาเฟยอี้เข้ามายังห้องพักห้องหนึ่ง แล้วผลักบานประตูให้เปิดออก 
เฟยอี้มองเข้าไปยังภายในห้อง เห็นเป็นสตรี ร่างระหงวัยสิบเจ็ดสิบแปด 
แต่งกายเป็นนักบวชหญิงยืนนิ่งไม่ไหวติง  ในมือของของนางถือกระบี่มีสัญลักษณ์
เป็นรูปดอกผีเสื้ออยู่ที่ฝัก  มันจำได้ว่านางผู้นี้คือ ฮุ่ยหนิง ศิษย์เอกแห่งสำนักอารามชีบุปผาหยก

ส่วนอีกนางเป็นดรุณี มีวัยอ่อนกว่าฮุยหนิงราวสองปี แต่งกายเป็นนักบวชหญิงเช่นเดียวกัน 
ลี่จินยืนเคียงข้างกับศิษย์พี่ของนาง นิ่งอยู่ในสภาพเช่นเดียวกัน


แล้วหมอวิปลาสก็พูดขึ้นว่า  นี่คือพิษสะกดวิญญาณ มันทำให้นางทั้งสองมีสภาพคล้ายร่างที่ไร้วิญญาณ
รับฟังคำสั่งผ่านเสียงกระดิ่งนี้เท่านั้น



สิ้นคำ หมอวิปลาสก็สั่นกระดิ่งขึ้น แล้วยกมือชี้ไปยัง เฟยอี้

"เจ้าทั้งสอง จงมาหาบุรุษผู้นี้"

ฮุ่ยหนิง และลี่จิน เดินเข้ามาจนเกือบจะประชิดร่างของเฟยอี้  แล้วหยุดนิ่ง

เฟยอี้ เพ่งมองไปที่ใบหน้าของ ฮุ่ยหนิง ที่อยู่ห่างเพียงคืบ แม้ดวงตาของนางจะไร้แววสดใส
แต่ผิวหน้ายังคงงามผุดผ่อง ริมฝีปากของนางเผยอออกเล็กน้อย จนมันใคร่อยากจะประกบปาก
ของมันลงไป

พลันมันก็รีบหันมายังอาจารย์ของมัน ไถ่ถามกลบเกลื่อนขึ้นว่า

"เหตุใด ท่านจึงไม่ถอนพิษให้แก่พวกนาง"


"ข้าไม่สามารถ...คงต้องเป็นเจ้าแล้ว"


เฟยอี้หันไปมองอาจารย์ของมันอย่างสงสัย

"หากท่านไม่สามารถ  ไฉนข้าจึงสามารถ"


หมอวิปลาสถอนหายใจยาวออกมา แล้วพูดขึ้นว่า

"พิษสะกดวิญญาณ มันจะออกฤทธิ์ปิดกั้นจุดที่ก่อเกิดพลังชีวิต ทำให้ผู้ที่รับพิษมีอาการคล้ายคนตาย
ทั้งที่ยังมีลมหายใจอยู่  วิธีถอนพิษก็คือ ต้องกระตุ้นให้จุดสำคัญต่างๆในร่างกลับฟื้นพลังชีวิตขึ้นมา
วิธีนั้นก็คือ การร่วมรักกับพวกนาง"


เฟยอี้ได้ยินเช่นนั้น ก็ตกใจ มองหน้าผู้เป็นอาจารย์นิ่งอยู่


"ท่านอาจารย์  ท่านหลอกข้าเล่นใช่หรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง... ใย...ท่านจึง..ไม่ลงมือ"


หมอวิปลาส ได้ยินเช่นนั้น ก็มีสีหน้าไม่พอใจ คล้ายไม่ต้องการตอบ

"ข้าบอกเจ้าแล้ว ว่าข้าไม่สามารถ"


"เหตุใด ท่านจึงไม่สามารถ"


หมอวิปลาสมีใบหน้าแดงเข้มขึ้น และส่งเสียงดังออกมาอย่างไม่พอใจ

"หากเจ้าถามข้าอีกคำ  ข้าจะตบตีเจ้าให้ตาย ณ.ที่นี้"


เฟยอี้เห็นอาจารย์อยู่ในอารมณ์โกรธ ก็มิกล้าตอบโต้คำใดๆอีก

"ข้าจะไปส่ง เม่ยเม่ย  แล้วจะรีบกลับมาสมทบกับเจ้าให้ทันในรุ่งเช้า 
คืนนี้เจ้าต้องอยู่กับพวกนาง ช่วยเหลือพวกนาง ให้พ้นจากพิษนี้ 
มิเช่นนั้น พวกนางจะต้องตกอยู่ในสภาวะนี้ไปจนตลอดชีวิต"


"แล้วหากพวกนางพ้นจากพิษ กลับมาเป็นปกติ พวกนางก็จะทราบว่า ข้า......
กระทำเช่นไรกับพวกนาง  แล้ว....ข้าจะทำเช่นไร"


"เรื่องนั้น หาใช่เรื่องของข้าไม่"



หมอวิปลาสพูดจบ ก็เดินออกจากห้อง ปิดประตู แล้วตรงไปหา เม่ยเม่ยในทันที  ทิ้งมันไว้กับนางทั้งสอง
ในห้องแต่เพียงลำพัง

หมอวิปลาส เอ่ยปากชักชวน เม่ยเม่ย ให้ออกเดินทางไปพร้อมกับมัน แล้วก้าวเท้านำออกไปในทันที 
แม้เม่ยเม่ยจะไถ่ถามหา เฟยอี้ มันก็ไม่เอ่ยปากสิ่งใดออกมา   เม่ยเม่ย จึงจำใจเดินตามมันไปแต่โดยดี


เมื่อหมอวิปลาสเดินออกไปแล้ว เฟยอี้ก็ยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มันครุ่นคิดถึงเมื่อครั้งที่มันร่วมรัก
กับนักบวชหญิงทั้งสี่ ซึ่งเป็นศิษย์สำนักเดียวกันกับพวกนาง คราวอยู่ในห้องลับของหมอวิปลาส
ก็พลันรู้สึกหวาบหวามหวั่นไหวขึ้นในใจ แต่ครั้งนั้นนางทั้งสี่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน เนื่องด้วยได้รับยา
เหมยฟ้ารัญจวนเข้าไป ทำให้มันไม่รู้สึกขัดเขินแต่อย่างใด

แต่ในครั้งนี้ หากมันเริ่มกระทำก่อน ก็ดูจะเป็นการเอาเปรียบพวกนางอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีหนทางอื่น
ให้เลือกกระทำ มันจึงตัดสินใจถอดหมวกของพวกนางทั้งสองออก แล้วแก้มุ่นผมที่ขมวดไว้ให้
สยายออกมา 

เฟยอี้เพ่งมองดูใบหน้าของพวกนางในยามนี้  กลับดูงดงามกว่าเดิมมากมายนัก หากพวกนางไม่สวมใส่
เครื่องแต่งกายเป็นนักบวช พวกนางคงงดงามไม่แพ้สตรีนางใด

เฟยอี้เดินเข้าไปหา ฮุ่ยหนิง เพ่งพิศใบหน้าของนางอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง  ดวงตาของนางเพ่งนิ่งอยู่ที่จุดเดียว
ประหนึ่งหุ่นปั้น ผิดแผกแต่ว่าผิวพรรณที่ดวงหน้านั้นกลับผ่องผุดแดงระเรื่อ จมูกและริมฝีปากของนาง
เชิดขึ้นเล็กน้อยคล้ายกับ กำลังแง่งอนอยู่

เฟยอี้จ้องมองที่ริมฝีปากงามที่เผยอเปิดขึ้นเล็กน้อยนั้นอีกครั้ง  ยิ่งเพ่งมองมันก็ยิ่งเกิดความหวั่นไหว
วาบหวามยิ่งขึ้น  มันเคลื่อนใบหน้าของมันเข้าไปใกล้ แล้วจรดริมฝีปากของมันเข้ากับริมฝีปากของนาง 
แล้วหลับตาเคลิบเคลิ้มกับรสแห่งจุมพิตนั้น

มันจุมพิตกับนางอย่างดูดดื่มอยู่ครู่หนึ่งก็ถอนใบหน้าของมันออกมา แล้วหันไปมองดู ลี่จินที่ยืนเคียงข้าง
อยู่ไม่ห่างนัก

ลี่จินมีเรือนร่างเตี้ยกว่า ฮุ่ยหนิงเล็กน้อย นางมีดวงตาที่กลมโต แม้ยามนี้จะไร้แววแห่งชีวิต
แต่ก็ดูออกว่า นางเป็นคนสดใส ร่าเริง เฟยอี้จ้องมองนางแล้ว ก็ทำให้หวนคิดถึง เม่ยเม่ย นางมีลักษณะคล้าย
เม่ยเม่ย ยิ่งนัก

เฟยอี้ยื่นใบหน้าเข้าไปดอมดมกลิ่นแก้มของนาง แล้วค้างนิ่งอยู่เนิ่นนาน  ครั้นเมื่อถอนใบหน้าออกมา
อารมณ์รัญจวนของมันก็ก่อกำเริบขึ้น  มันตัดสินใจแล้วว่าจะรับผิดชอบต่อสิ่งที่มันจะกระทำ

เฟยอี้ยื่นมือไปหยิบกระดิ่ง ที่อาจารย์ของมันทิ้งไว้ให้ แล้วสั่นให้เกิดเสียง พลางออกคำสั่งว่า

"เจ้าทั้งสอง เปลื้องผ้าให้ข้า"


สิ้นคำ ฮุ่ยหนิงและลี่จิน ก็เคลื่อนไหว ตรงเข้ามาช่วยกันเปลื้องผ้าของเฟยอี้จนเหลือแต่ร่างเปลือยเปล่า
มันเดินไปนอนที่เตียงแล้วสั่นกระดิ่งอีกครั้ง

"เปลื้องผ้าของพวกเจ้าเองด้วย"


เฟยอี้เอนร่าง ครึ่งนั่ง ครึ่งนอน โดยหมายจะชื่นชมเรือนร่างเปลือยเปล่าของนางทั้งสองอย่างผ่อนคลาย
แต่มันกลับไม่สามารถทำได้ มันนั่งตัวตรงเพ่งตาจ้องมองไปที่ ฮุ่ยหนิง แล้วนิ่งค้างอยู่เช่นนั้น 
เมื่อเสื้อของนางหลุดออกจากร่าง จนมองเห็นถันอันเต่งตึงขาวผุดผ่องของนาง  เฟยอี้ไล่สายตามองต่ำลงมา
ขณะที่ฮุ่ยหนิงกำลังรูดกางเกงของนางออก จนมันพ้นออกไปจากร่างของนาง แล้วยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น

เฟยอี้มิสามารถนั่งสงบอารมณ์ได้อีกต่อไป  แก่นกายของมันชี้แข็งออกมาในทันที จ้องมองหน้าท้อง
และช่วงเอวอันคอดกิ่ว รับกับสะโพกที่ผึ่งผาย  แล้วสายตาของมันก็มาหยุดลง ที่เนินสามเหลี่ยมอันมีไหมสีดำ
ขึ้นปกคลุมอยู่  มันยอมรับอยู่ภายในใจว่านางผู้นี้ช่างซ่อนรูปยิ่งนัก ในยามที่นางอยู่ในชุดนักบวช
มันไม่เคยคาดคิดว่า เรือนร่างของนางจะมีสัดส่วนที่เย้ายวนได้เช่นนี้

ครั้นเมื่อมันหันไปมองที่ลี่จินบ้าง  ก็เห็นนางยืนนิ่ง อวดเรือนร่างที่งดงามไม่แพ้ศิษย์พี่ของนางเช่นกัน 
โดยเฉพาะทรวงอกของนางคู่นั้น  แม้จะดูว่านางอ่อนวัยกว่า  แต่ทรวงอกของนางกลับมีขนาดที่อวบอัดกว่า   
อย่างเห็นได้ชัด

เฟยอี้ไล่สายตาต่ำลงมา ที่กึ่งกลางร่างของลี่จิน ก็พบกับ เนินสวาทที่โหนกนูน ประดับด้วยไหมอ่อนสีดำ
อยู่บางเบาเท่านั้น  และดูจะเป็นเพียงสิ่งเดียว ที่บ่งบอกว่านางเยาว์วัยกว่าฮุ่ยหนิง

แก่นกายของเฟยอี้ ผงกขึ้นลงคล้ายดังจะเตือนเจ้าของของมันว่า มันเกิดความต้องการที่จะสู้รบแล้ว 
เฟยอี้ยกกระดิ่งขึ้นสั่งอีกครั้ง แล้วกล่าวออกมาว่า

"พวกเจ้าทั้งสอง มาใกล้ๆข้า"


สิ้นคำสั่ง ฮุ่ยหนิง และ ลี่จิน ก็เดินตรงเข้ามาหาจนเกือบชิดร่างของมัน  คราวนี้ทุกจุดในสรีระของนางทั้งสอง
ก็ประจักษ์แก่สายตามันอย่างใกล้ชิด จนมันอดไม่ได้ที่จะสัมผัสลูบไล้ตามส่วนต่างๆของนางทั้งสอง
ดังใจที่มันต้องการ

พลันกำหนัดของมันก็ก่อเกิดขึ้นจนพลุ่งพล่าน ยากที่จะระงับ บัดนี้ในความคิดมันเหลือเพียงความต้องการ
ให้นางทั้งสองปรนเปรอความสุขให้มัน

"เจ้าทั้งสอง จงโลมเลียให้ข้า"


มันพูดพลางชี้นิ้วไปที่ แก่นกายอันแข็งเกร็งชี้ยาวออกมาของมัน

นางทั้งสองทรุดกายลง แล้วก้มหน้าใช้ลิ้นแย่งกันโลมเลียตรงส่วนนั้นของมัน

เฟยอี้เสียวสยิว ถึงกับอ้าปาก แอ่นร่างขึ้นในช่วงแรก จากนั้นก็เคลิบเคลิ้มดื่มด่ำ กับความเสียวซ่านที่ได้รับ
มันเอนร่างลงนอน เพื่อให้นางทั้งสองมีพื้นที่มากขึ้นในการโลมเลียมัน

"ซี๊ดดดด..................อืมมม................."



ลี่จินก้าวขึ้นมาบนเตียง แล้วก้มลงบริเวณหว่างขาของมัน ลิ้นของนางมิสามารถเข้าถึงแก่นกายมัน
ทำได้เพียงตวัดไปมาอยู่ใต้พวงสวรรค์ของมันเท่านั้น เนื่องเพราะว่า ติดศรีษะของ ฮุ่ยหนิง
ที่กำลังโลมเลียไปมาตามความยาวของลำแก่นกาย  บางคราริมฝีปากของนางก็หมุนวนไปทั่วส่วนหัว
ของแก่นกายนั้น

เฟยอี้ยกเอวของมันขึ้น หมายจะแก่นกายของมันมุดเข้าไปในปากของ ฮุ่ยหนิง   จนในที่สุดก็สำเร็จ
แก่นกายของมันหายเข้าไปในปากของนางเกือบครึ่งลำ  มันแอ่นร่างให้สูงขึ้นอีก เพื่อดันแก่นกายของมัน
ให้เข้าไปในปากของนางจนมิด

แล้วมันก็โยกคลึงแก่นกายมันอย่างเคลิบเคลิ้ม  ในขณะที่ลี่จินก็ตามขึ้นมาระรัวลิ้นที่พวงสวรรค์ของมัน


"โอ้ววว...............ซี๊ดดดดดดด.................อ้าาาาาาา..........."



เฟยอี้ชักแก่นกายของมันออกมาจากปากของ ฮุ่ยหนิง แล้วสอดมันเข้าไปในปากของ ลี่จินบ้าง แต่ครั้งนี้
มันถึงกับลุกขึ้นนั่งแล้วจับศรีษะลี่จินไว้ด้วยมือทั้งสอง  จากนั้นมันก็โยกแก่นกายเข้าออกจากปากของลี่จิน
อย่างเนิบนาบ แล้วเงยหน้าหลับตาพริ้มเคลิบเคลิ้มกับความเสียวซ่านที่ได้รับ

ฮุ่ยหนิง ยังคงเบียดใบหน้าเข้ามาจะโลมเลียตามคำสั่งที่ยังไม่เสร็จสิ้น เฟยอี้เห็นเช่นนั้น
ก็จับแก่นกายสอดเข้าไปในปากของนางอีกครั้ง ครั้งนี้มันยึดศรีษะของนางไว้ แล้วโยกบั้นเอวอย่างเร็วถี่

"โอ้ววว....โอ้ววว...โอ้ววว...โอ้ววว...โอ้ววว...โอ้ววว......."



ความเสียวซ่านเพิ่มระดับขึ้น จนหน้าท้องมันแข็งเกร็ง ใกล้จะถึงจุดสุขสม มันจึงหยุด
แล้วถอนแก่นกายออก นอนราบลงกับเตียงหมายจะพัก มิให้หลั่งธารารักเร็วเกินไป

มิคาด ลี่จินตรงเข้าจับแก่นกายของมัน แล้วตวัดปลายลิ้นของนางไปมาอย่างรวดเร็ว
ที่ส่วนหัวของแก่นกายมัน

"...ซี๊ดดดดดดดดดด..........โอ้ววววววววววววววววววววว......"


เฟยอี้ร้องครางเสียงดังออกมาอย่างสุดเสียว  มันมิสามารถยับยั้งอารมณ์เสียวซ่านไว้ได้อีกต่อไป
ธารารักที่รอการหลั่งไหลอยู่แล้ว ก็แตกทะลักพรั่งพรูออกมา พุ่งใส่หน้าของลี่จิน จนเลอะเทอะ
ไปทั้งใบหน้า  แต่ทั้งลี่จิน และ ฮุ่ยหนิง ก็ยังคงโลมเลียอยู่ต่อไปตามคำสั่ง

เฟยอี้คว้ากระดิ่ง แล้วสั่นยกเลิกคำสั่งโดยทันที  จากนั้นมันก็ทิ้งตัวลงนอน แล้วหลับตาลงอย่างเป็นสุข


เฟยอี้หลับตาพักอยู่เพียงครู่ ก็ลืมตาขึ้นมองไปยังพวกนางทั้งสอง เห็นใบหน้าลี่จินเลอะเทอะน้ำรัก
ของมันอยู่เต็มใบหน้า จึงตรงเข้าไปหยิบผ้าเช็ดทำความสะอาดให้กับใบหน้าของนาง พลางพูดว่า

"ลี่จิน  ลิ้นของเจ้าช่างร้ายกาจนัก  คราวนี้ข้าจะตอบแทนเจ้าบ้าง"


 


เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

nonane



kaithai

อาจารย์ ที่ร้ายกาจ เมื่อมิอาจถอนพิษได้
ยังมอบหมายให้ศิษย์รัก แก้ปัญหาให้
แบบนี้ มันคือวาสนา หรือฟ้าลิขิต

ขอบคุณมากครับ

pipat1923


navy868



octopod



skyfall00

หาสาวๆมาป้อนเข้าฮาเร็ม...มีอาจารย์ดีเช่นนี้คอยส่งเสริม นับเป็นวาสนาของพระเอกยิ่งนัก ::Thankyou::


kopXIIII

ยิ่งได้อ่านยิ่งมันส์มากขึ้น
จะสู้กับผู้มีเว่ยฉิงคังอย่างไร
รอชมหล่ะครับ


banana5454


Adriano