ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

GhostWriter ภาคเวนิสพิศวาส ตอนที่ 6 เกาะ Murano & Secret Tour วังเดโจ (Copy kank

เริ่มโดย Pem Samsan, กุมภาพันธ์ 09, 2017, 05:08:38 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

Pem Samsan

GhostWriter ภาคเวนิสพิศวาส ตอนที่ 6 เกาะ Murano & Secret Tour วังเดโจ (Copy kankan)
-------------------------------------
ระมัดระวังการทำผิดกติกามารยาทด้วยนะท่าน
-------------------------------------
   
   วันนี้เราตื่นกันตั้งแต่เช้าด้วยความสดชื่น พี่กาญจน์กระซิบบอกว่าจะพาโมไปเที่ยวรอบเกาะ ๆ เวนิส (เวเนเซีย) เกาะแก่งเหล่านี้อยู่ในระยะบริการของเรือโดยสารที่วิ่งรับส่งนักท่องเที่ยว ผู้โดยสารที่จะข้ามไปมาระหว่างเวเนเซียกับบรรดาเกาะต่าง ๆ ทั้ง Murano และ Burano ต้องไปขึ้นที่ท่าเรือใกล้ ๆ กับตลาดเช้า

   เรานั่งเรือจากจัตุรัส San Marco มุ่งหน้าไป Murano ซึ่งอยู่ห่างออกไปแค่สองกิโลเมตรเอง ในอดีตเกาะนี้เป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงธรรมดา มีชื่อเสียงในเรื่องการผลิตเกลือ และมีผู้ปกครองเป็นของตนเอง  ต่อมาในคริสศตวรรษที่ 13 เกาะ Murano ได้ถูกผนวกเข้ามาอยู่ภายใต้เขตการปกครองของเวเนเซีย เหตุการณ์สำคัญที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของ Murano คือ โรงงานเป่าแก้ว  กลุ่มคนพวกนี้ถูกบังคับให้ต้องย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น  สาเหตุก็เพราะว่าพวกนี้เป็นต้นตอของการเกิดไฟไหม้บ้านเรือนขึ้นบ่อย ๆ เรื่องนี้พี่กาญจน์เคยเล่าให้โมมาก่อนแล้ว

   บรรดาแก้วจากโรงงานนี้นี่เองที่ทำให้ Murano มีชื่อเสียงเลื่องลือขึ้นมา โดยเป็นศูนย์กลางของการผลิตเครื่องแก้วชื่อดังในยุโรป นับตั้งแต่อดีตกาลมาจนถึงยุคปัจจุบัน  Murano เป็นแหล่งผลิตเครื่องแก้วเชิงศิลปะ ผลงานจากแก้วของ Murano หาที่ไหนในโลกนี้ไม่ได้ นอกจากนี้หลาย ๆ โรงงานยังเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมกระบวนการผลิตอย่างใกล้ชิดอีกด้วย



   เมื่อเรามาถึงก็ได้เห็น Murano ในบรรยากาศของเมืองชายทะเล คนไม่มากเหมือนเวเนเซีย  ทางเดินเลียบริมคลองไปเรื่อย สองข้างทางรายเรียงไปด้วยบ้านเรือนที่ดูเรียบ ๆ สะอาดตา  ร้านค้าข้างทางส่วนใหญ่จำหน่ายผลผลิตที่เกิดจากแก้วเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ หรือของแต่งบ้านชนิดต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่ชิ้นเล็กจนถึงชิ้นใหญ่หนักหลายสิบกิโล

   พี่กาญจน์พาโมเดินตามนักท่องเที่ยวพ่อแม่ลูกครอบครัวหนึ่งเข้าไปยังตรอกเล็ก ๆ เห็นป้ายบอกว่าทางไปโรงงานแก้ว พอเราไปถึงมันก็คือโกดังที่ถูกปรับปรุงภายในให้มีที่ตั้งเตาไฟฟ้าขนาดใหญ่ ใช้สำหรับหลอมแท่งแก้ว ช่างแก้วก็จะได้ทำการดัด แต่ง หมุน เหวี่ยง บีบ ฯลฯ ทำสารพัดกับแก้วและไฟเพื่อให้ได้รูปได้ทรงตามที่ต้องการ

   ส่วนอีกด้านหนึ่งของโกดังสร้างเป็นอัฒจันทร์เล็ก ๆ ให้ผู้มาเยือนได้นั่งชมกระบวนการผลิตได้ถนัด ช่างแก้วหลายคนกำลังเตรียมตัวที่จะเปิดการแสดงผลงานท่ามกลางเสียงเพลงบรรเลงคลาสสิกกระหึ่ม พี่กาญจน์จูงมือไปนั่งรอ
ไม่นานช่างแก้วก็เริ่มกระบวนการทันที

   เริ่มตั้งแต่การนำเอาแท่งแก้วหลากสีไปหลอมให้ละลาย  นำมาเป่าขึ้นรูป ทำการประกอบชิ้นงานต่าง ๆ เข้าไปตามที่ออกแบบ ทำโน่นแต่งนี้กว่าจะไว้ได้ผลงานแต่ละชิ้น  โมรู้สึกว่ากว่าจะได้งานแต่ละชิ้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย ต้องอาศัยทั้งทักษะและฝีมือผสมจินตนาการล้วน ๆ ชิ้นสวย ๆ โดนใจอย่างที่โมซื้อมานะ ดูแล้วมันยากกว่าที่ช่างได้สาธิตให้ชมนี่อีกไม่รู้กี่สิบเท่า ทุกอย่างอยู่ที่ทักษะและความชำนาญจริง ๆ และอีกอย่างก็คือความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจของทีม

   พี่กาญจน์บอกว่าในโลกนี้ช่างที่ผลิตชิ้นงานได้แบบ Murano นะมีไม่มาก ที่เยอรมันแม้จะเก่งกาจอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่สามารถทำแก้วให้เป็นเครื่องประดับที่สวย มีราคา เป็นต้องการของนักสะสมได้ดีเท่า วันเวลาที่ผ่านมาไม่รู้กี่ร้อยปีแล้ว เครื่องแก้ว Murano จึงยังคงรักษาชื่อเสียงทั้งในแง่ฝีมือที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนเองเอาไว้ได้

   เครื่องแก้ว Murano ผลิตเป็นชิ้นไม่ใช่ผลงานที่ออกมาจากแม่พิมพ์ จึงทำให้ Murano เป็นศิลปะมากกว่าเครื่องแก้วทั่วไป พี่กาญจน์บอกโมว่า ที่เอ็มโพเรียมบ้านเราก็มีการนำเข้ามาขายอยู่เยอะเหมือนกัน ส่วนราคานั้น..ไม่ต้องพูดถึง

   โรงงานแก้ว



   ตัวอย่างแจกัน

   --------------------------

   เรานั่งเรือกลับมายังจัตุรัส San Marco เกือบจะเที่ยงเข้าไปแล้ว  โมเห็นขนมปังแบบหนึ่งที่ม้วนผักกาดกับแฮมเอาไว้ข้างใน ดูเหมือนมันจะน่ากินดี เลยสะกิดบอกให้พี่กาญจน์ไปซื้อมากินกัน พี่กาญจน์หันมามองหน้าแล้วบอกว่า
   "มันไม่อร่อยเลยโม....จะกินไหวเหรอ...?" พี่กาญจน์ปรอยตาถามอย่างเป็นห่วง
   "แค่อยากลอง...จะได้รู้สึกว่าคนที่นี่เค้ากินยังไง...?" พี่กาญจน์จึงดึงมือเข้าไปซื้อกันมาคนละชิ้น

   แหะ ๆ มันสุด ๆ ของสุด ๆ เลย แข็ง ชืด แถมแฮมก็เค็มมาก พี่กาญจน์เห็นโมกัดอย่างลำบากทีละคำ ก็หัวเราะร่วนแล้วกัดตามไปคำหนึ่งเหมือนกัน เฮ่อ...กว่าจะหมดอันเกือบกระอัก แต่ก็อิ่มดีนะนี่ ความจริงอันเดียวสองคนก็พอ โมกินเสร็จแล้วก็หัวเราะ นี่แหละ..โทษฐานไม่เชื่อปรมาจารย์  แต่ช่างมันเถอะ...อิ่มและคุ้ม..ไม่งั้นมื้อหนึ่งก็หลายตังค์อยู่เหมือนกัน (แอบไปเห็นมานะ)
   
   "โม..วันนี้พี่จะพาโมเข้าวัง..."
   "วัง...ไหน...?"
   "นี่ไง....."

   Doge's Palace (วังโดเจ)



   ภาพมุมสูง


   พี่กาญจน์ชี้ให้โมดูอาคารขนาดยักษ์ที่เราเดินผ่านไปผ่านมาไม่รู้จะกี่เที่ยวแล้ว วังนี้ตั้งตระหง่านติดกับทางเดินริมทะเล เชื่อมต่อมาจากถึงโบสถ์ San Marco นั้นแหละ

   พี่กาญจน์ชี้ให้โมดูเสาเรียงรายที่อยู่ชั้นล่างหลายสิบต้น ส่วนชั้นนั้นน่าจะมากกว่าชั้นล่างถึงสองเท่าเพราะเสาเล็กและถี่กว่าเราเดินอ้อมมาอีกด้านก็เจอกับทางเข้า มีทั้งแบบธรรม หรือจะเป็นแบบ Secrete Tour แบบนี้ค่าเข้าชมราคาแพงทีเดียว มากับพี่กาญจน์นะมีหรือจะไปเที่ยวแบบเบสิก ๆ พี่กาญจน์พาโมเที่ยวแบบลับ ๆ ล่อ ๆ อิอิ ก็มัน Secrete Tour ที่เขามีไกด์ให้ด้วยหนึ่งคน เราจะได้ดูในสิ่งที่ทัวร์ธรรมไม่มีโอกาสได้เข้าไปดูอย่างเด็ดขาด แม้จะแพงพี่กาญจน์คุ้มค่ามาก ๆ

   ทัวร์ชุดนี้มีโม พี่กาญจน์ กับฝรั่งวัยรุ่นสองคน แหมผู้ชายนะหล่อแมนดีจัง ส่วนผู้หญิงหน้าตกกระเชียว รวมทั้งหมดแค่สี่คน พี่กาญจน์เดินตกอดเอวโมเชียว อิอิ คงกลัวจะถูกฝรั่งหล่อนายนั้นฉุดโมเข้าซอกหลืบแน่เลย 555

   เริ่มต้นด้วยไกด์สาวผมทองแสนสวย หุ่นดีมาก ๆ โมรีบยืนบังพี่กาญจน์เอาไว้ทันทีที่เธอโผล่หน้าออกมา เอ...นี่ตกลงพี่กาญจน์หวงโม หรือโมหวงพี่กาญจน์แน่ อิอิ ไกด์สาวกล่าวทักทายพวกเราทั้งสี่คนเป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นเธอก็รีบบรรยายในทันที

   คำบรรยายของคุณเธอ (อิจฉาความสูงสง่าของเธอจัง) สรุปได้ว่าวังนี้เรียกกันทั่วไปว่า "วังเดโจ" หรืออิตาลีเรียกว่า Palazzo Ducale สร้างมาตั้งแต่คริสศตวรรษที่ 9 ขนาดของวังใหญ่มาก วังนี้ไม่ใช่เป็นเพียงที่อยู่ของเจ้าผู้ครองนครเท่านั้น แต่ยังใช้เป็นศูนย์รวมของสถานที่ราชการทั้งหมดอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ศาล ที่ทำการรัฐบาล สภา และอื่น ๆ อีกตามความจำเป็น



   ตัววังเป็นตึกใหญ่สูงสี่ชั้น แต่ภายในยังมีการแบ่งซอยเป็นชั้นย่อย ๆ อีก นับรวม ๆ แล้วคงจะประมาณแปดชั้นทีเดียว ถ้าเทียบแต่ชั้นของตัววังกับชั้นของตึกแถวในบ้านเรา ก็นับตึกแถวซักสองชั้นของเราเท่ากับหนึ่งชั้นของเขานั้นเอง
พื้นที่ตัวอาคารนะเป็นสี่เหลี่ยมเกือบ ๆ จัตุรัส ตรงกลางเว้นเป็นลานกว้าง เพื่อใช้สำหรับให้ผู้คนมาชุมนุมฟังคำปราศรัยหรือเอาไว้จัดงานกาลาดินเนอร์ ชั้นล่างมีบันไดขึ้นไปชั้นบน แต่ละชั้นแบ่งออกเป็นห้องเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ใช้สำหรับเป็นห้องประชุม ศาล หรือแม้แต่คุกนักโทษพิเศษระดับ VIP ส่วนนักโทษจน ๆ เขาจะส่งข้ามสะพาน "เฮ้อ" ไปอยู่ในคุกคนจนอีกฟากหนึ่งของคลอง

   ทางเดิน

   ไกด์สาวหุ่นเช้งกระเด๊ะพาพวกเราทั้งสี่คนเดินตัดลานไปยังบันไดทางขึ้น
   "โมดูตัวบันไดซิ...สวยมากใช่ไหมละ ? ดูหินอ่อนซิ...เยี่ยมมาก ๆ"
   พี่กาญจน์กระซิบบอกโมแผ่วเบาเหมือนเสียงในฝัน


   ไกด์สาวบอกให้พวกเราเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นที่หนึ่ง
   "โมชั้นหนึ่งของที่นี้ บ้านเรามันคือชั้นสองนั่นแหละ ชั้นหนึ่งของบ้านเราของเขาจะเป็นชั้นศูนย์ เขาไม่ใช้ Ground Floor เหมือนอเมริกา" โมพยักหน้า...ตอนนี้เวลาเข้าลิฟต์ก็งงเหมือนกัน มันหลายมาตรฐานแบบนี้นี่เอง

   ระหว่างทางขึ้นโมเงยหน้าขึ้นมองหลังคาที่ประดับประดาด้วยลวดลายและภาพวาดสวยงามมาก ๆ


   ก้มลงมองพื้นบันไดหินอ่อนก็ต้องร้อง 'ว้าว' โอวววว...มันนวลเนียนเป็นสีนมราคามันนะไม่ต้องพูดถึงในปัจจุบัน

   เรามาอยู่ที่หน้าทางเข้าห้องโถงใหญ่ นักเที่ยวทั่วไปก็จะเดินกันเป็นกลุ่มตามทางปกติเดินดูไปทีละห้องแบบธรรมดา แต่สำหรับ Secrete Tour นี่ต้องพามุดต้องลอดไปตามซอกตามมุม ดูของลับ ๆ ที่นักเที่ยวทั่วไปไม่มีโอกาสได้ดู อิอิ ของลับนี่ชอบจัง... ไกด์สาวพราวเสน่ห์ (อิจฉา) ทุบปึ๊กเข้าตรงผนังเรียบ ๆ นี่แหละ ไอ๊หย่า....เหมือนเป่ามนต์ ผนังมันขยับเอี๊ยดแล้วเปิดออกเป็นช่องให้เราลอดเข้าไปแบบในหนังสายลับเลย ผนังหินธรรมดาเปิดเป็นประตูกลลึกลับมีทางให้เราไปตามซอกเล็กซอยน้อยทั่วไปได้ทั้งวัง

   บรรยากาศ Secret Tour

   วังของยุโรปจะเห็นเพียงห้องโถงใหญ่ ๆ หรูหรา แต่จะไม่เห็นห้องทำงานของเจ้าหน้าทีเลย ความจริงนะพวกเขาเอามาแอบซ่อนไว้แบบนี้แหละ อยู่ในซอกในหลืบอย่างประหลาดพิสดาร ห้องทำงานต่าง ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่มีการเชื่อมต่อกันเป็นระบบไปตลอดทาง  นอกจากนั้นยังมีการแอบเชื่อมต่อกันระหว่างชั้นอีกด้วย ดูแล้วเหมือนกับว่าในนี้เป็นโลกอีกโลกหนึ่งทีเดียว
   ดังนั้น พนักงานเจ้าหน้าที่ประจำวังต่าง ๆ ในยุโรปจะเห็นมีการเดินทางเข้า ๆ ออก ๆ เหมือนกับหายตัวได้ เคล็ดลับของพวกเขาก็คือเส้นทางลับที่ซ่อนอยู่หลังผนังเหล่านี้นี่เอง

   ไกด์สาวหุ่นนางแบบสะโพกสุดเสียงสังข์ พาเราไปดูห้องปลัดเมืองเวนิส ตัวห้องนะเล็กนิดเดียวเอง ภายในห้องก็มีแค่โต๊ะเล็ก ๆ ตัวเดียว ตู้บิลต์อินสำหรับเก็บแฟ้มเอกสารต่าง ๆ กับหน้าต่างสี่เหลี่ยมบานเล็ก ๆ แต่ตำแหน่งของปลัดเมืองที่นี่นะใหญ่มาก ๆ นะคะ ปลัดเมืองมีหน้าที่ทำทุกเรื่องเกี่ยวกับเมือง โดยเจ้าเมืองหรือ 'เดโจ' เป็นแค่คนออกนโยบายเท่านั้น

   ตำแหน่ง 'เดโจ' นั้นมีแต่ความรับผิดชอบนะค่ะ แม่ไกด์สาวบอกเราแบบนั้น เพราะ 'เดโจ' นะไม่ได้รับเงินเดือน แถมยังต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหลายในวังแต่เพียงผู้เดียวอีก งบประมาณจากรัฐก็ไม่มีให้ แต่แปลกดันกลับมีคนอยากเป็น 'เดโจ' กันเยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกตระกูลเก่า พวกนี้มั่งคั่งมีเงินมีทองมากมายเกินพอแล้ว อยากทำงานเพื่อเป็นประวัติศาสตร์ของวงศ์ตระกูล เรื่องเงินทองนั้นไม่สำคัญ เขาไม่มีความสนใจใด ๆ (เฮ่อ..นึกถึงบ้านเราจัง...) แบบใช้หนี้แผ่นดินนั้นแหละ แต่ของเขานะใช้หนี้แผ่นดินกันจริง ๆ  ทำอย่างบริสุทธิ์โปร่งใสตรวจสอบได้ (ต่างจากบ้านเราที่ปากอย่าง คิดอย่าง แล้วอีกอีกอย่าง)

   ทัวร์ลึก ๆ ลับ ๆ พาเข้าซอกนั้นออกซอกนี้ มุดกันเป็นอย่างเล่น  บางทีก็โผล่ออกมาที่ห้องโถงใหญ่ แล้วจุดที่โผล่นักท่องเที่ยวทั่วไปเข้ามาไม่ได้ แล้วสิ่งที่ไม่อยากเชื่อเลยคือ ในวังมีคุก VIP อยู่ด้วย ตัวคุกนะแอบซ่อนเอาไว้ตรงใต้หลังคาวัง และมีห้องขังอยู่เพียงสี่ห้องเท่านั้น คำบอกเล่าของไกด์สาวทำเอาโมตาโตเป็นไข่ห่าน  เธอเล่าว่าหนึ่งในข้อขังเหล่านี้เคยเป็นที่คุมขัง 'คาสโนวา' สุดยอดนักฟันหญิง (เธอบอกแบบนั้นจริง ๆ) ฟังเธอเล่าโมหันไปมองหน้าพี่กาญจน์ที่ตอนนี้ทำหน้าเฉย มองไกด์สาวนิ่งเหมือนตกในภวังค์ โมเลยแอบหยิกที่แขนไปทีหนึ่งจนสะดุ้งหันมามองยิ้มแหย ๆ สมน้ำหน้า มองจนเหม่อเชียว

   ไกด์สาวเองก็มองพี่กาญจน์ตาเป็นมันเชียว โมชักหมั่นไส้เลยถลึงตาใส่เธอเข้าให้มั่ง ตัวพี่กาญจน์จะรู้เรื่องหรือเปล่าก็ไม่รู้ละ แม่นั่นหันมามองโมแล้วหยีตาล้อ ๆ ให้แบบน่าหยิกให้อีกคนนักเชียว โมแกล้งล็อคแขนพี่กาญจน์เอาไว้แจไม่ให้ห่างเลย ไม่ปล่อยให้แม่นั่นส่งสายตาเยิ้มยั่วยวนมาให้พี่กาญจน์อีก ของแบบนี้ผู้หญิงเรานะมีเรด้าพิเศษมีความเร็วสูงอยู่แล้ว  แหลมมาเจอเมื่อไหร่ แม่ผมทองเป็นได้เจอแม่ไม้มวยไทยของโมแน่นอน (ว่าเข้าไปนั่นเชียว)

   กลับมาต่อเรื่องคาสโนวาต่อดีกว่า แม่ไกด์พกสะพานติดตัว (ก็ชอบทอดสะพานนี่นา) ได้เล่าให้ฟังว่า พ่อคาสโนวาสุดหล่อนักฟันสาวนะซื่อจริงว่า 'Glacomo Casanova' หล่อกระเดื่องโลก ความโด่งดังของพ่อคนนี้ อิอิ ไกด์สาวพูดนะ (จริง ๆ ไม่ใช่โม) ไกด์บอกว่า 'แกฟันผู้หญิงเก่ง' หรืออึ๊บเก่ง (โมขยายให้ อิอิ) อย่าหาว่าโมทะลึ่งนะ...แม่ไกด์สาวพูดชัด ๆ แบบนี้จริง ๆ เชื่อโมเถอะ....555

   ผลงานเด็ดของพ่อคาสโนวานะดังจนกลายเป็นไอคอนของหนุ่มเจ้าชู้ทั่วทั้งโลก อิอิ ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย ไทยเราใครที่ได้ฉายาว่า 'คาสโนวา' จะเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่านายคนนั้นกิ๊กเยอะ ...เก่ง (ว่าเข้านั่น)

   เรื่องราวของนายคาสโนวา (ต้นฉบับ) ได้ถูกกล่าวเล่าขานกันอย่างไม่รู้จบรู้สิ้น จุดเริ่มต้นของเรื่องนะมาจากหนังสือ Histoire de ma vie หรือ Story Of My Life แกเขียนของแกเอง ตอนที่เขียนหนังสือประวัติของตัวเองนะแกเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดของท่านเคาต์แห่งโบฮีเมีย

   หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมประวัติผลงานเด็ด ๆ ของตัวแกเองไว้ทั้งหมด แต่การแต่งของแกนะมันหยดแน่เลย แม่ไกด์สาวว่าอย่างนั้น สาว ๆ ยุโรปยุคนั้นนิยมชมชอบกันมาก ถึงขั้นว่าถ้าพ่อแม่จับได้ว่าลูกสาวแอบอ่านหนังสือเล่มนี้ของพ่อจอมอึ๊บจะถูกเฆี่ยนทันที

   ตัวคาสโนวานะจริง ๆ เป็นคนเวนิส แกเกิดเป็นลูกของดาราสาวประจำเมือง แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อ ในยุคนั้นเวนิสรุ่งเรืองสุดขีด กลายเป็นศูนย์กลางการค้าและเงินตราของโลก คาสโนวาอยู่ในยุคทุนนิยม และเขาเองก็ชอบกับมัน ชีวิตขอได้กิน เที่ยว แล้วผู้หญิงเท่านั้นพอ

   ตอนที่คาสโนวาโตเป็นหนุ่มแม่ส่งไปอยู่บ้านเมืองอื่น ด้วยเห็นว่าลูกคนนี้มีแววแปลก ๆ ท่าทางจะทำสาวข้างบ้านช้ำใจ แม่เลยตัดสินใจส่งลูกชายไปพ้น ๆจะได้สิ้นเรืองสิ้นราว แต่การกระทำเช่นนี้ทำให้คาสโนวาหนุ่มน้อยช้ำใจมาก

   คาสโนวาถูกส่งให้ไปอยู่กับครอบครัวกอชซีที่ปาโดวา และเมืองปาโดวานี่เองที่ทำให้คาสโนวาเริ่มมีรักใหม่อีกครั้ง  อิอิ...ตอนนั้นพ่อหนุ่มน้อยนักอึ๊บ...อายุแค่สิบเอ็ดขวบเอง (เด็กสิบเอ็ดปีจริง ๆ โห...)

   กิ๊กรายแรกของหนุ่มน้อยคาสโนวาเป็นน้องสาวของกิชซี เธอชื่อ 'เบตตินา' คาสโนวาได้รำพึงรำพันความหลังในหนังสือถึงรักครั้งนี้อยู่บ่อยครั้งมาก  แต่ในที่สุดน้องเบตตินาคนสวนคนนี้จะกลายเป็นของชายอื่น ดูเหมือนว่าเขาฝังใจกับเธอมากเป็นพิเศษกว่าหญิงใด ๆ ทั้งหมดในชีวิต

   โตขึ้นเป็นหนุ่มเต็มตัว คาสโนวาไปเรียนในมหาวิทยาลัยปาโดวา (ปาดัว) อันโด่งดังของยุโรปสมัยนั้น จบมาทางด้านกฎหมาย แต่กลับมีความรู้หลากหลายด้านรอบตัว ไม่ว่าสุรา นารี พาชี กีฬาบัตร ช่ำชองหมด พ่อคาสโนวามีชื่อเสียงเลื่องลือไปไกล จนแม่ต้องจัดการเอาตัวเขากลับมายังเวนิส

   คาสโนวามาเริ่มต้นจับงานทางด้านกฎหมาย แต่ก็ยังสนุกกับเล่นไพ่เป็นสำคัญ ลีลาของเขาคือเล่นไปโกงไปจนในที่สุดถูกจับได้เกือบติดคุก เคราะห์ดีตอนนั้นแม่ช่วยเอาไว้ได้สำเร็จ

   ต่อจากนั้นคาสโนวาก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอีกเลย นอกจากสนุกกับการพนัน เหล้า และโลกีย์ ที่ถือว่าคาสโนวาพอมีฝีมือคือการเขียนหนังสือ พอสีไวโอลินได้ แต่เมื่อเทียบกับคนอื่นก็อ่อนด้อยอยู่ดี ยิ่งถ้าเทียบกับระดับศิลปินในยุคยิ่งห่างชั้นกันมาก

   ต่อมา...
   คาสโนวาได้มีโอกาสช่วยเหลือท่านวุฒิสมาชิกประจำเมืองเวนิสจากการทำร้ายเอาไว้ได้ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้คาสโนวากลายเป็นเด็กคนโปรดของท่านวุฒิฯทันที ไปไหนไปกัน สนุกที่ไหนก็สนุกกัน เงินทองท่านวุฒิฯจุนเจือเต็มที่

   คาสโนวาในยามเป็นเด็กเส้นใหญ่นั้นสุขสำราญบานใจยิ่งนัก เขาหลงระเริงทั้งการพนัน สุรา และสาว ๆ เต็มที่ เล่นการพนันแบบมีเล่ห์เหลี่ยมจนได้เงินมาเยอะ (โดยไม่มีใครกล้าเอาเรื่อง) คาสโนวาก็เริ่มมีไอเดียอยากโกอินเตอร์ไปยังเมืองอื่น ๆ ให้ทั่วทั้งยุโรป

   ลีลาและลูกเล่นสำคัญของหนุ่มหล่อคาสโนวาคือการหลอกสาว ๆ โดยหลอกให้เล่นการพนันบ้าง หลอกฟันบ้างตามแต่โอกาสอำนวย

   ในสมัยนั้นคาสโนวาลุยดะไปหมด ตั้งแต่ฝรั่งเศสไล่ไปจนถึงเดรสเดน (โปแลนด์)  ตำรวจแทบทุกหัวเมืองต่างรู้จักคาสโนวาเป็นอย่างดีกันทุกคน

   เทคนิคของคาสโนวาคือการเข้าไปตีซี้เพื่อหาเส้นใหญ่ ๆ อย่างพวกนักการเมืองและคนวงสังคมชั้นสูง แกหาทางเข้าไปแนะนำตัวเองแก่ผู้มีชื่อเสียงทั้งหลาย ไม่เว้นแม้แต่โมชาร์ตก็โดนกับเขาด้วย วิธีการตีซี้ผู้หลักผู้ใหญ่ของเขาช่วยให้เขาดำรงตนอยู่รอดในสังคมแบบเฉียดตารางหวุดหวิดเสมอ แล้วในที่สุดคาสโนวาก็คิดถึงเวนิสและได้เดินทางกลับเวนิสอีกครั้ง

   ตัวคาสโนวายามหลงระเริงนั้นมีคดีความต่าง ๆ ติดตัวมากหลายจนกลายเป็นที่เพ่งเล็ง ประกอบกับการสะสมหนังสือต้องห้าม (โป้) อีกเป็นจำนวนมากที่มีอยู่ หน่วย FB Venice (เหมือน FBI) ไม่ไว้วางใจ ได้ส่งสายลับเข้าไปสืบสวนตัวเขาโดยละเอียด ในที่สุด...ได้พบหลักฐานนำไปสู่การจับกุมตัวคาสโนวา ตอนนั้น..แม้มีผู้ใหญ่ได้พยายามเตือนเพื่อให้เขาได้หลบหนี แต่มีหรือคาสโนวาจะหนี เขาทะนงตัวเกินไป  สุดท้ายเขาเลยถูกจับและและขังอยู่ในห้องขังห้องนี้แหละ

   ไก่สาว...อ๊ะ ๆ...ไม่ใช่ ๆ แม่ไกด์สาว โมยกมือขึ้นตบปากตัวเองเบา ๆ จนพี่กาญจน์หันมามอง
   ไกด์สาวชี้ห้องที่อยู่ตรงกลางและบอกว่าห้องนี้นี่แหละที่คุมขังพ่อนักฟันสาวของเวนิส

   ศาลพิพากษาให้คาสโนวาติดถูกจำคุกเป็นเวลาห้าปี แบบไม่ให้อุทธรณ์หรือฎีกาใด ๆ ด้วย เมื่อเจอของจริงเข้าแบบนี้ พ่อยอดนักฟันก็เลยจ๋อยไปตามระเบียบ (ไหง..ต้องตามคุณระเบียบด้วยก็ไม่รู้นะ...อิอิ)

   เมื่อคาสโนวารู้ตัวว่าเส้นสายของตัวเองช่วยไม่ให้เขาติดคุกไม่ได้ก็เริ่มคิดหนัก แต่เส้นสายของเขาก็ช่วยได้เพียงให้คุมขังเขาแบบ VIP เท่านั้น ซึ่งก็เป็นผลดีให้คาสโนวาอย่างอเนกอนันต์ ถ้าพ่อนักฟันสาวไปอยู่ในคุกที่ใช้ขังนักโทษทั่วไปที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคลองแกอาจจะไม่มีชีวิตรอดออกมาก็ได้ เพราะสถานที่นั้นทั้งหนาวทั้งแคบ โรคภัยไข้เจ็บและความอดอยาก อยู่กันแบบแออัด

   คาสโนวาได้รับการขังเดี่ยวห้อง VIP มีสิทธิขอเก้าอี้และหนังสือมาอ่านแก้กลุ้มได้ แหะ ๆ แต่ยังไงจอมหลีสาวอย่างพ่อคาสโนวาก็รู้สึกว่าคุกเป็นดุจเดียวกับนรกภูมิ เพราะแกชอบแต่โรงแรม และม่านรูด (หุย..สมัยนั้นมีด้วยเหรอ...มั่วแล้วโม...) เอ่อ..เอิ๊ก ๆ

   อีกอย่างคุกของเวนิสนะมีชื่อเสียงทางด้านว่าไม่เคยมีนักโทษหน้าไหนจะแหกคุกนี้ได้ แถมยังมีสะพานถอนหายใจ 'เฮ้อ' ที่ไปแล้วไปลับหาทางกลับลำบากทุกราย แต่คนอย่างพ่อคาสโนวา (ฟลุ๊กสุดหล่อ) ก็ยังไม่สิ้นความหวัง
ก็ข้างนอกนะ..สาว ๆ สวย ๆ เอ๊าะ ๆ จำนวนอีกมากมายที่พ่ออยากฟัน และอยากให้เขาฟัน นับไม่ถ้วน เรื่องติดคุกติดตารางแค่นี้ อ๊ะ ๆ มีหรือคนอย่างสุดหล่อจะท้อถอยท้อแท้  ไม่มีวันเสียละ...แม่นางทั้งหลาย ๆ เอย..สูเจ้าจงอยู่รอข้าก่อน...อย่าได้รีบมีผัวเสียละ..ข้าจะหาทางออกไปฟัน

   พ่อคาสโนวา (ฟลุ๊กสุดหล่อ) คิดแผนการใหญ่ขึ้นมาในใจทันที ทุกยามดึกทุกอย่างเงียบสนิท เหลือเพียงเสียงลมหายใจกับเสียงกรนของนักโทษและผู้คุม บรรยากาศมืดมิดจะมีก็เพียงแสงหรุบหรู่ของดวงดาวดวงน้อยเท่านั้น
พ่อฟลุ๊ก (เอ๊ย ๆ ไม่ใช่ ๆ) พ่อคาสโนวาสุดยอดนักอึ๊บสาว  เร่งดำเนินการขุดเจาะพื้นด้วยอุปกรณ์ที่แอบซ่อนเอาไว้ในเก้าอี้

   ผ่านไปคืนแล้วคืนเล่า...........
   ผลงานพ่อนักอึ๊บเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง (ก็ชำนาญการเจาะ ๆ ใช ๆ นี่นา) เขาขุดเป็นโพรงจนได้ จากนั้นในคืนถัดมา..พ่อนักอึ๊บก็เริ่มการซักซ้อมแผนการหลบหนี โดยเบื้องต้นเขาทำการสำรวจเส้นทางก่อน ในการสำรวจนี้เขาพบว่า ทางไปตามเส้นทางที่ค้นพบเขาสามารถพาตัวเองลงมาสู่ชั้นล่างได้

   จากนั้นสุดหล่อก็รีบถอยกลับขึ้นมาก่อน แล้วกลบกลื่นร่องรอยทุกอย่างให้เนี๊ยบสนิทเหมือนเดิม ตั้งความปรารถนาเอาไว้ว่า คืนพรุ่งนี้เถอะ ตูข้า..นักฟันผู้ยิ่งใหญ่จะต้องแหกคุกที่ได้ชื่อว่าไม่เคยมีใครในโลกหนีได้มาก่อนให้สำเร็จให้ดู คืนนั้นพ่อฟลุ๊กยอดนักอึ๊บ (อุ๊ยตาย..ไม่ใช่ ๆ พ่อคาสโนวา) นอนหลับไปด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง พร้อมกับฝันถึงอิสรภาพ เสรีภาพ และภราดรภาพ

   รุ่งเช้าขึ้นมาผู้คุมมาหาเขาที่ห้องและได้นำตัวเขาย้ายไปขังยังอีกห้องหนึ่งที่อยู่ด้านขวาสุด พ่อสุดหล่อคาสโนวาตกใจเป็นยิ่งนัก หัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อรู้ความจริงเขาต้องถอนหายใจยาว เหตุมันมาจากเส้นสายของเขานั่นแหละที่หวังดี วิ่งเต้นเพื่อย้ายให้พ่อสุดหล่อได้อยู่ห้องขังที่ดีกว่า ใหญ่กว่า และยังมีช่องเล็ก ๆ ให้มองวิวได้

   ทำให้พ่อฟลุ๊ค...แหม..ติดใจชื่อนี้จัง ว่าง ๆ ต้องเปลี่ยนชื่อพี่กาญจน์เป็นพี่ฟลุ๊คมั่งดีกว่า...อิอิ พ่อคาสโนวานะใจสลาย อิสรภาพ เสรีภาพ ภรดรภาพของเขาหายวับไปในพริบตา ซวยตอนจบจริง ๆ สำหรับโพรงแห่งนั้นแม้จะถูกค้นพบในภายหลังแต่ผู้คุมก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ต่างเป็นใจกับพ่อคาสโนวาเลยรอดตัวไป

   มาอยู่คุกห้องใหม่อีกนานทีเดียว พ่อคาสโนวาได้พบเพื่อนร่วมคุกอีกคนหนึ่งเป็นบาทหลวง ห้องขังของบาทหลวงอยู่ห่างจากห้องขังของคาสโนวาประมาณสิบเมตรเศษ อีกอย่างทั้งชั้นตอนนี้มีนักโทษขังคุกแค่สองคนเท่านั้นเอง

   ทั้งคู่เลยแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ แก่กันและกันโดยใส่เอาไว้ในหนังสือไบเบิ้ล แล้วไหว้วานผู้คุมที่รับสินบนให้ช่วยส่งหนังสือไบเบิ้ลที่มีนัยแฝงอยู่ ส่งไปมา ๆ ระหว่างห้องทั้งสอง

   เวลาผ่านไป..พ่อคาสโนวาฟลุ๊ค...อุ๊ ๆ เอาอีกแล้ว ไม่ใช่ ๆ หรือ ๆ ว่าใช่ ว้าวววว...หรืออยากได้มาเป็นกิ๊กจริงวุ๊ย.... พ่อคาสโนวาค่อย ๆ กล่อมบาทหลวงเคลิ้มจนยินยอมช่วยหาทางแหกคุกให้จนได้ บาทหลวงได้เจาะเพดานห้องขังจนทะลุแล้วปืนขึ้นข้างบน  ไต่ไปตามคานแล้วเจาะเพดานลงมาในห้องขังพ่อคาสโนวาร่วมกันวางแผนหลบหนี

   ในที่สุดแล้วทั้งคู่ได้ร่วมกันหนีตามเส้นทางที่พ่อคาสโนวาเคยมุดสำรวจเส้นมาเรียบร้อยแล้ว วังและศาลก็อยู่ในอาคารเดียวกัน มีห้องหับจำนวนมากมายนับพันห้อง พวกเขาใช้เวลายามค่ำคืนที่ยามเผลอแกะเพดานที่ปิดเอาไว้ออก มุดไปตามเส้นทางพบ จนสุดท้ายมุดไปถึงเพดานของห้องประชุมใหญ่ในวัง แต่นี้เป็นเพียงการซ้อมเท่านั้น ทั้งคู่ก็กลับมาอยู่ห้องขังเหมือนเดิม รอให้ได้เวลาที่เหมาะสมก่อน

   จนคืนวันหนึ่ง...มีหมอกลงหนาทึบทั่วเวนิส พ่อคาสโนวากับบาทหลวง เห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงตัดสินใจหนีทันที ทั้งคู่ปีนไปตามเส้นทางแล้วใช้เชือกที่ช่างลืมทิ้งไว้บนเพดานห้องหย่อนตัวลงมาจากเพดานสู่ห้องประชุมมานั่งรออยู่ที่ประตูห้องจนถึงเช้า

   จากนั้นทั้งสองก็จัดการพังล็อกประตูออกมาข้างนอก เดินผ่านยามออกจากวังไปแบบไม่มีใครสนใจ ทั้งสองใจเย็นรอและวางมาดให้ยามคิดว่าพวกเขาคือเจ้าหน้าที่ที่จะเข้ามาทำงาน เมื่อออกมาข้างนอก ทั้งสองพากันเข้าบาร์ดื่มเหล้ากันก่อนคนละแก้วแล้วกระโดดขึ้นกอนโดลาหนี

   ทั้งสองหายไปในสายหมอกยามเช้าของเวนิส  แต่คาสโนสวา (ฟลุ๊ค) ยังไม่วายทิ้งประโยคเด็ดเอาไว้เป็นอนุสรณ์ให้คนรุ่นหลังที่มีใจอยากแหกคุกได้รับทราบ

   "I should not die, but live ..."

   คาสโนวาหนีไปอยู่ฝรั่งเศส ก่อนเร่ร่อนไปอยู่ตามเมืองอื่น ๆ ทั่วยุโรปนานนับสิบปี

   ในที่สุดเขาได้เดินทางกลับเวนิสอีกครั้ง เมื่อประจบประแจงผู้ใหญ่ในเมืองได้สำเร็จ แต่อยู่ได้ไม่นานพ่อคาสโนวาเริ่มแก่และตกต่ำ ยังไงก็ตามคาสโนวาก็ยังไม่ลืมรักครั้งแรกของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

   เขากลับไปหา 'เบคตินา' ในยามที่เธอป่วยหนักเต็มที่ เธอตายในอ้อมกอดของเขา.......

   โอ๊ยโหยววว...โรแมนติกเหลือเกิน

   คาสโนวาเสียใจกับการตายของเธอมาก     เขาเริ่มเดินทางไปทั่วยุโรปอีกครั้ง ก่อนที่มาลงเอยที่โบฮิเมีย (เช็ก)  ในบั้นปลายของชีวิต..คาสโนวาทำงานในห้องสมุดและมีเวลาว่างจึงได้เขียนหนังสือ (ปกขาว) ชื่อก้องโลกเล่มนั้นขึ้นมา

   สุดท้าย..คาสโนวาได้มาเสียชีวิตในโบฮีเมีย เมื่ออายุได้ 73 ปี เขาหวังว่าได้มีโอกาสกลับไปยังเวนิสอีกครั้ง
แต่ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะนโปเลียนบุกยึดเวนิสเอาไว้ในกำมือเสียแล้ว

   ..........................

   ชีวิตของพ่อคาสโนวาไม่มีอะไรอื่นเลย นอกจากฝีมือด้านการพนันกับหลอกฟันผู้หญิงเท่านั้นเอง แต่ก็เป็นฝีมือที่คนในยุคนั้นไม่เคยมีใครมีและทำได้อย่างเขามาก่อน

   อีกประการคาสโนวาอาจจะมีฝีมือทางด้านการประพันธ์อยู่บ้าง หนังสือที่เขียนในบั้นปลายของชีวิตได้กลายเป็นหนังสือติดอกติดใจสาวแก่แม่หม้าย คาสโนวาได้เขียนเล่ารายละเอียดของชายเจ้าชู้ผู้ผจญโลกกว้างอันยิ่งใหญ่ เขาเล่าถึงการได้รักกับสาว ๆ มากมายไม่ซ้ำหน้า แต่ท้ายที่สุด..เขาก็มีรักแท้...มีคนรักที่เป็นที่สุดในหัวใจของเขาอย่างแท้จริงเหมือนกัน

   ทีเด็ดของหนังสือที่สาว ๆ กรี๊ด และอยากอ่านกันนักกันหนาตั้งแต่วันที่เขียนและยังโด่งดังจนบัดนี้ และตัวหนังสือนี้นี่แหละที่ทำให้นาม 'คาสโนวา' อยู่ในอันดับมนุษย์คนดังประจำโลกเบี้ยว ๆ ใบนี้ มีการนำชีวิตของเขาทำเป็นละคร เพลง ภาพยนตร์ หรือหนังสืออื่น ๆ อีกมากมายไม่รู้จบรู้สิ้น

   โม..ขอสรุปว่า คาสโนวา คือ ชายโฉดผู้โด่งดังที่สุดในโลกเบี้ยวใบนี้ก็แล้วกัน

   มัคคุเทศก์สาวบรรยายยืดยาวก็จบลง โมหันไปมองพี่กาญจน์ที่หันมาสบตาพอดี พี่กาญจน์สอดมือมาโอบรอบเอวโมแล้วดึงเข้ามากอดเอาไว้แน่น จากนั้นไกด์สาวก็ยังไม่วายแอบส่งตาหวานฉ่ำมายั่วพี่กาญจน์อยู่บ่อย ๆ  แต่ช่างเถอะพี่กอดกระชับโมแน่นแบบนี้ก็พอแล้ว

   เธอพาพวกเราเดินมาดูเส้นทางการหลบหนีของพ่อคาสโนวาสุดหล่อจนถึงทางออก ถือเป็นการจบเส้นทางทัวร์ลึกลับของเธอ เธอกล่าวขอบคุณและขอจับมือพวกเราทีละคน พอถึงโม..ยายแหม่มบ้า..มันบีบมือโมเสียเจ็บเชียว

   เดี่ยว..แม่ได้ตีศอกให้หรอก ถ้าพี่กาญจน์ไม่แตะที่แขนโมเสียก่อนเหมือนรู้ทัน สายเธอตามองพี่กาญจน์เยิ้มฉ่ำแล้วหันมามองโมนะแย้มยิ้มมุมปากเหมือนยั่วเย้าเล่น หึ...ฝากเอาไว้ที่เวนิสนี่เถอะ...ยายแหม่มบ้า....

   อารมณ์เสียกับยายแหม่มไก่สาว....เรียกมันแบบนี้แหละ ไม่รู้จะไปลงที่ใครดี เลยหันมาหาคนใกล้ ๆ นั่นแหละ
   "พี่กาญจน์..." โมเรียกเสียงเขียวเชียวหละ แต่พี่กาญจน์กลับหัวเราะร่วนไม่พูดอะไร
   "ส่งตาหวานกันจังนะ...." พี่กาญจน์ทำหน้าเหรอหรา แต่ก่อนที่โมจะอาละวาดต่อพี่กาญจน์พูดขึ้นว่า
   "โม..เราเดินดูตามห้องต่าง ๆ กันเถอะ..ตอนนี้เขาจะให้เราเดินเที่ยวกันเองตามใจชอบแล้วละ..."

   พี่กาญจน์จูงมือโมเดินเข้าไปในห้องโถงที่ประชุม
   โอวววว...แต่ละห้องมันช่างใหญ่เสียเหลือเกิน ภาพวาดก็ช่างสวยเหลือจะบรรยาย มีทั้งภาพสีน้ำมันที่ใหญ่เต็มผนัง พี่กาญจน์บอกว่าภาพนี้จัดเป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่ยาวมาก อยู่ใน Sala del Maggior Consiglio


   ภาพ Sala del Maggior Consiglio หรือที่ประชุมสภาเมือง






   "โม..วันนี้อยากกินอะไรจ๊ะ...?" หึม..ถามเสียหวานเชียวแล้วเอียงหน้ามามองยิ้ม ๆ
   "ยิ้มอยู่ได้..." โมตอบไปงอน ๆ งั้นแหละ แน๊ะ ๆ ดูซิ..ยังยิ้มหน้าทะเล้นอยู่ได้ เดี่ยวแม่...หึม....เดือดปุด ๆ นะเนี๊ยะ แนะ ๆ ยังยิ้มอีก.....

   "ยิ้ม..อะไรนักหนา ฝันถึงแม่ไก่ผมทองหรือไง..?" คราวนี้พี่กาญจน์หัวเราะงอหงายเลย ทำให้โมยิ่งหมั่นไส้จนสะบัดหน้าหนี
   "โกรธอะไรพี่เหรอ..." ดู ๆ ยื่นหน้าทะเล้น ๆ เอาจมูกมาเคลียแก้มซะอีก โมสะบัดหน้าพรืด
   "ม่ายย..รู้..."
   "หะ..หึง...เหรอ..."

   แหม..เข้าเป้าหมายเลยทีนี้ โมหันขวับไปหาทันที
   "พี่กาญจน์พูดเองนะ..โมเปล่าพูดเสียหน่อย...." พอตรงเป้าก็พูดไม่ออกไปงั้นแหละ
   "จริง..อ๊ะ...??"

   โมหมั่นไส้พี่กาญจน์จนอยากเตะให้สักป๊าบจริง ๆ ให้ตาย รู้แล้วยังมายั่วอีก ไม่น่าให้อภัยเลยจริง ๆ ผั๊บผ่า
   "มะ..มา..มาดีกันเน๊าะ..." พูดแล้วยื่นนิ้วก้อยหรามาตรงหน้า พร้อมงอนิ้วกระดิก ๆ แล้วโมก็ต้องตกใจ..คือมันตั้งตัวไม่ทันนะ...พี่กาญจน์ยื่นหน้ามาหอมแก้มฟอดใหญ่

   แหม..เสียท่าให้ถูกหอมแก้มไปจนได้ คนขี้ขโมย ถ้าทำแบบนี้ที่เหมืองไทยแม่ตบให้จริง ๆ ด้วย ก็มันอายคนอื่นนี้นา โมเลยผลักอกพี่กาญจน์ออกไปแรง ๆ

   "นี่ถ้าไม่ได้มากับโม..คงได้หิ้วแม่ไก่ผมทองตัวดีนั่นขึ้นเตียงไปแล้วซิ....?" คราวนี้...พี่กาญจน์หัวเราะจนตัวงออีกครั้ง
   "พี่..ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นซักกะหน่อย โอ๊ะ โอ๋...." ยื่นมือมาลูบหลังโม หมั่นไส้เสียจริง ๆ เชียว โมเลยปัดมือออก
   "เขาส่งสายตามาให้พี่เองนะ โมไม่เห็นเหรอ ว่าพี่จะมองโมตลอดเลย..." ดู ๆ แก้ตัวเข้าไป "น่า...ยิ้มนะ...ดีกัน...นะ..." แหม...น้ำเสียงออดอ้อนออเซาะเชียว

   "จริงอ๊ะ..ที่มองแต่โม..." พี่กาญจน์ยิ้มตากรุ้มกริ่มเชียว
   "ก็คอยกันไม่ให้ไอ้หนุ่มคนนั้นมันแอบมองโมไง...ไม่รู้เหรอ..." โมส่ายหน้าทำเป็นงง "มันคงชอบคนเอเชียแหงเลย..."
   "เหรอ..พี่กาญจน์เห็นเหรอ...?" โมงงจริง ๆ หรือมัวแต่ไปสนใจแม่ไก่สาวผมทอง พี่กาญจน์พยักหน้า
   "จริง ๆ นะ....งั้น..ค่อยยังชั่วหน่อย...."
   "จริงซิ...พี่ไม่ชอบโหนกของผมทองหรอก สู้โหนกผมดำของโมคนนี้ไม่ได้สักนิด โหนกกว่าตั้งเยอะ.." พูดแล้วก็หัวเราะเสียนี่
   "บ้าซิ..." โมทุบที่ไหล่แรง ๆ ไปทีหนึ่ง
   "โอยยย..." พี่กาญจน์ดันแหกปากร้องเสียงดัง แล้วหัวเราะลั่น

   ทีแรกก็ตกใจแต่พอรู้ว่าถูกหลอกเลยระดมทุบไปหลายที พี่กาญจน์ปัดป้องเป็นพัลวันไปเลย
   "ดีใจจัง.." โมหันกลับมามอง เอ๊ะ..หมายความว่าไงกันกับคำว่า 'ดีใจจัง' ...นี่
   "พี่กาญจน์ดีใจอะไร ? ไหนบอกมาซิ..."
   "ดีใจที่โมหึงพี่ไง..." พูดแล้วหัวเราะสายตาวาวเชียว
   "บอกว่าไม่ได้หึง ไม่ได้หึง..แต่หวงนิด ๆ หน่อย ๆ...อิอิ"
   "อ้าว...หวงก็ได้ ดีใจเหมือนกันแหละ..."

   ยืนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
   "แล้วพี่กาญจน์ไม่หวงโมมั่งเหรอไง ?" พี่กาญจน์ยื่นมามาโอบไหล่
   "หวงซิ..ถ้ามีใครมาวอแวโม..พี่กระทืบมันแน่นอน..." คราวนี้โมได้หัวเราะมั่งละ "...ไม่โกรธพี่..แล้วนะ..."
   "ไม่ได้โกรธซักกะหน่อย..." โมเอียงหัวไปพิงไหล่ "แค่..นิดเดียวเอง..." โมหันมามองหน้าพี่กาญจน์มองโมนิ่ง
   "รับ..รับก็ได้..ก็พี่กาญจน์มากับโมนี่นา..." พี่กาญจน์ยิ้มหวานทันที

   "ตกลงโมจะกินอะไร..." โมเอียงไหล่ไปพิงอกพี่กาญจน์เงยหน้าขึ้นถาม
   "มีอะไรให้เลือกมั่งละ ?"
   "มีพิซซา กับ...มาม่า..."
   "หา....มีมาม่าด้วยเหรอ ????? ตำยำหรือเปล่า ??????" เออ...ๆ ก็มันตื่นเต้นนี่นา พอได้ยินชื่อก็อยากกินซะแล้ว ก็อาหารฝรั่งแม้จะอร่อยยังไงมันก็เลื่ยนอยู่ดี ไม่ได้กินอาหารไทยมาตั้งหลายมื้อแล้ว

   "จริง...มาม่าต้นยำกุ้ง..ของแท้แน่นอน...." พี่กาญจน์พูดแล้วหยีตาข้างหนึ่ง
   "งั้น..เลือกมาม่า....ไปกินที่ไหนละ....?"
   "ที่ห้อง..."
   "ที่ห้อง..." โมทวนคำ ก็มันงงนี่นา นึกว่ามีร้านอาหารไทยอยู่แถวนี้ พี่กาญจน์พยักหน้าแล้วหัวเราะ
   "พี่เอาใส่กระเป๋ามาไง งงไปได้..." พูดแล้วก็ยื่นมือมาขยี้ผมโม
   "ดีจัง..งั้นกลับห้องกันเถอะ..."

   เดินจูงมือกันมาเงียบ ๆ จนถึงสะพานที่มองเข้าไปเห็นสะพาน 'เฮ่อ' พี่กาญจน์ดึงมือให้โมหยุด
   "ดึก ๆ เราเดินมาดูสะพานกันดีหรือเปล่า ?"
   "ดึก ๆ ไม่กลัวเหรอ ?" เข้าไปดูคุกฟังเรื่องเล่าเกี่ยวคนตายมาก ๆ ชักกลัวผีพิกล พี่กาญจน์ส่ายหน้าช้า ๆ
   "เรามายืนดูกันตรงนี้แหละ ภายใต้แสงจันทร์นวลดวงกลมโต ได้บรรยากาศสุด ๆ" แต่โมส่ายหน้าไม่เอาท่าเดียว
   "โมกลัวผีเหรอ....หรือกลัวพ่อคาสโนวา...พี่นึกว่าโมอยากเจอเสียอีก..."
   "โมไม่ชอบฝรั่ง ชอบคนไทย..."
   "แหม..นึกว่าอยากเจอสุดยอดนักรักของโลกใบนี้ซะอีก..."
   "คนไทยดีกว่า..รู้สึกว่าค่อยสมดุลกันหน่อย..อิอิ" พูดแล้วหันไปสบตาแบบท้าทาย
   "ไม่คิดอยากเสียวกับคาสโนวามั่งเหรอ ?" โมส่ายหน้าอีก
   "เสียวกับพี่กาญจน์ดีกว่า..." พูดแล้วโมก็แกล้งแลบลิ้นเลียริมฝีปากไปมา ทำท่ากระหายจนพี่กาญจน์หัวเราะแล้วเลียริมฝีปากตัวเองมั่ง

   "แหม..กำลังหิวเลย...." พี่กาญจน์กระซิบบอกเบา ๆ
   "หือ...หิวอะไร....? ตอบมาซิ..." โมเอียงหน้าเข้าไปตรงแก้มแล้วกระซิบถามทันที
   "หิว..อิอิ..." พี่กาญจน์หลิ่วตาแล้วยิ้มหน้าระรื่น
   "อยากรู้เหรอ....?" โมพยักหน้า
   "งั้น..ให้โมทายดีกว่า...ทายถูกให้รางวัลด้วย.." พี่กาญจน์หัวเราะทำตาเจ้าเล่ห์
   "บอกก่อน..ทายถูกแล้วให้อะไรเป็นรางวัล"
   "ให้กินมาม่าต้มยำกุ้ง ทายผิดให้กินพิซซ่า..." โมส่ายหน้าแล้วยักไหล่แล้วเอียงหน้าไปกระซิบที่ริมหู

   "หา...อะไรนะ...ได้ยินไม่ชัด..." โมเลยยื่นหน้าไปกระซิบตอบเสียงดังกว่าเก่า
   "อะไรโม...พูดชัด ๆ ซิโม พี่ไม่ได้ยิน..." โมหมั่นไส้จึงทุบที่แขนให้อีกที แล้วก็หัวเราะ
   "บอกซิ...เร็ว...ไม่งั้นพี่ให้อดมาม่าด้วยนะ...รู้เปล่าที่นี่มันแพงนะ..." พูดแล้วก็ยักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียน

   โมเอียงหน้าไปหา..ตอบเสียงดังฟังชัด ๆ
   "อยากชิมของโมใช่ไหมละ...." ตอบแล้วก็งับใบหูเล่นเสียทีหนึ่ง
   "โอ๊ะ...เจ็บ...."
   "ดี..สม สมน้ำหน้า...."
   พี่กาญจน์หัวเราะเสียงดัง ดึงตัวโมเข้ามากอดจนแน่น แล้วถามอีกทันทีเหมือนกัน
   "ของอะไร...อธิบายมาให้กระจ่างซิ..คำตอบยังไม่ถือว่าถูกนะ...เร็ว.."

   โมผลักอกพี่กาญจน์ออกห่าง มองสบตานิ่งแบบรู้ทัน
   "ก็ได้..พี่กาญจน์ฟังดี ๆ ก็แล้วกัน โมบอกอีกแค่ครั้งเดียวนะ" พี่กาญจน์พยักหน้าหงึก ๆ ดวงตาเป็นประกายจ้า
   "จริงหรือเปล่า..ที่กาญจน์กำลังหิว คำว่า 'ของโม' คือ พี่อยากเลีย..เลีย..ของโม...ใช่ไหมละ...."
   "ไม่อาวววว...เลี่ยงคำทำไม...พี่อยากให้พูดออกมาตรง ๆ นะ..นะ..."
   "บ้าซิ...กลางถนนนี่นะ...."
   "ไม่เห็นเป็นไร...พูดได้แต่บนเตียงเหรอ..." โมพยักหน้าแล้วโผเข้าไปกอดซุกหน้ากับซอกคอ

   พี่กาญจน์กอดเอวโมแน่นแล้วยกตัวขึ้นลอย โมเลยกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู
   "พี่กาญจน์อยากเลีย..เลีย..หี..โม..ใช่หรือปล่าวละ ?"
   พอจบคำเท่านั้นเองพี่กาญจน์รัดโมจนแน่นเลย เอียงหน้ามาหอมตรงซอกคอของโมเหมือนกระตุ้นถูกจุดยังไงยังงั้น

   "ถูกใจคำตอบของโมจัง..."
   "ถูกใจอะไร...?"
   "ถูกใจที่โมตอบถูกนะซิ..."
   "เรื่องมันแหงอยู่แล้ว..เห็นแววตาก็รู้แล้วหละ...อิอิ"
   "งั้นรีบกลับกันเถอะ...ไปกินมาม่าในห้องกันดีกว่า..."
   "ต้องกินมาม่าก่อนนะ...สัญญา...."
   "อื้อ..สัญญา...รีบกินหน่อยก็แล้วกัน..." พูดแล้วก็หัวเราะ

   พี่กาญจน์คลายวงแขนลง นี่ถ้าเป็นเมืองไทยคนคงมุงดูเราแน่นเลย แต่ที่นี่ถือเป็นเรื่องธรรมดา หนุ่มสาวยืนกอดจูบกันเป็นธรรมชาติและธรรมดา พี่กาญจน์จูงมือโมเดินไปตามทางไม่นานเราก็ถึงโรงแรม

   ...............................................

   เราลงมาขอน้ำร้อนจากเคาน์เตอร์ใส่ในมาม่าถ้วย แล้วนำกลับไปยังห้องพัก พี่กาญจน์เปิดผ้าม่านแล้วเปิดประตูออกไประเบียบหิน โมยืนตรงประตูมองออกไปเห็นเรือกอนโดล่าแจวกันมาเป็นกระบวนกว่าสิบลำ

   "ยังหึง..อยู่อีกหรือเปล่า ?" พี่กาญจน์กระซิบถามเบา ๆ โมส่ายหน้า สายตาเหม่อมองไปยังกระบวนเรือที่ผ่านไปทีละลำ พี่กาญจน์กอดเอวทางด้านหลัง เอาคางเกยตรงซอกคอ
   "พี่กาญจน์...."
   "หึม...."
   "โม..มีความสุขจังเลย..."
   "พี่ก็เหมือนกัน ไม่อยากให้แต่ละวันมันผ่านไปเลย อยากให้เวลามันหยุดนิ่งเอาไว้ที่ตรงนี้จัง..."
   อาการของโมนะนิ่ง แต่ในใจโมมันช่างสับสนจนตอบตัวเองไม่ถูก แล้วก็เก็บกดเอาไว้ไม่อยากให้พี่กาญจน์ได้หาเจอเด็ดขาด

   "โม..โม..."
   โมสะดุ้งออกจากความในใจกรุ่นของตัวเอง
   "ขา...."
   "กินมาม่ากันเถอะ เดี่ยวเส้นอืดหมด..."
   โมหันกลับมากอดพี่กาญจน์เอาไว้แน่น ใช้ริมฝีปากควานหาริมฝีปากพี่กาญจน์จนพบแล้วบดจูบริมฝีปากหนานั้นทันที

   เราจูบดูดลิ้นกันไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบจนโมต้องผลักอกพี่กาญจน์ออก
   "เส้นอืดหมดแล้วละ...."
   พี่กาญจน์คลายมือออก โมเลยเอี้ยวตัวเดินออกไปหยิบถ้วยมาม่าเดินมาให้ตรงระเบียงหิน

   โห...ได้บรรยากาศจริง ๆ นั่งกินมาม่าต้มยำกับวิวทะเลอะเดรียติก นั่งดูเรือลำเล็กลำใหญ่ผ่านไปผ่านมา บนอากาศมีกลุ่มนกทะเลโฉบเฉี่ยวไปมาแม้จะไม่กี่ตัวก็ตาม

   โมกินมาม่าอย่างอร่อยที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ แหะ ๆ เพราะมาม่าถ้วยนี้มันมีองค์ประกอบสำคัญตั้งหลายอย่าง เช่น บรรยากาศ พี่กาญจน์ และรสต้มยำ มันพร้อมสมบูรณ์ของความ ซึ้ง แซ่บ และซู๊ด

   ซึ้ง กับบรรยากาศแสนโรแมนติก แซ่บ กับรสชาดต้มยำเปรี้ยว เค็ม เผ็ด ครบรสของต้มยำ กับ ซู๊ด...อิอิ...กระซิบให้นิดก็ได้ มันต้องเกี่ยวกับพี่กาญจน์แน่นอน อิอิ

   โมหันไปมองพี่กาญจน์ที่กำลังซดน้ำน้ำต้มยำและซู๊ดปากสูดลมเพื่อระบายความเผ็ดร้อน แหม...ช่างเข้าสิ่งที่คาอยู่ในหัวโมเป๊ะเลยเชียว เห็นแล้วโมก็อดหัวเราะหึ ๆ ออกมาไม่ได้ พี่กาญจน์หันมามองด้วยความสงสัย

   "โม..หัวเราะอะไรเหรอ..." พี่กาญจน์ถามเสียงแผ่ว
   "โม..อิอิ..หัวเราะพี่กาญจน์นั่นแหละ..."
   "มีไรขำละ...?" พี่กาญจน์จ้องหน้าโมเหมือนจับผิด
   "ก็กำลังคิดถึงคำสามคำ...."
   "คำ..คำสามคำ...?" พี่กาญจน์ยิ่งกว่าถูกทิ้งเอาไว้ในห้องมืดเสียอีก
   "สามคำ..คือ ซึ้ง แซ่บ แล้วก็...ซู๊ด..." พูดจบพี่กาญจน์ก็หัวเราะเสียลั่นเชียว

   "แหม..ช่างคิดนะ...."
   "อ้าว..เริ่มมีอารมณ์ศิลปินไง...?"
   "ซึ้ง กับ แซ่บ พี่พอเข้าใจนะ แต่ 'ซู๊ด' นี่มันอะไรเหรอ ?"
   โมแย้มยั่วผ่านสายตาหวานไปยังพี่กาญจน์แล้วรีบอธิบายเสียงเบาทันที
   "ซู๊ด..ก็พี่กาญจน์นี่ไง...เผ็ดนิดเดียวก็ซู๊ดปากใหญ่เลย..ดูซิหน้าแดงเชียว โมไปหยิบน้ำมาให้ดีกว่า..."

   โมวางถ้วยมาม่าลงแล้วรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องเพื่อหยิบน้ำมาสองขวด เปิดฝาแล้วส่งไปให้พี่กาญจน์ซดใส่ปาก อีกขวดวางเอาไว้ข้างตัว
   พี่กาญจน์ซดน้ำเข้าไปอึก ๆ แล้วเป่าลมหายใจยาวออกมาจนโมหัวเราะร่วน

   "โม..คิดถูกหรือเปล่า ?" พี่กาญจน์ส่ายหน้า
   "พี่ซู๊ดปากเพราะเผ็ด แต่ตอนโมซู๊ดปากเพราะเสียวใช่ปล่าวละ ?..." แนะ ๆ ดูซิย้อนเข้าให้แล้ว
   "บ้า..พี่กาญจน์นี่แหละ..พาลไปโน่นเชียว..." คราวนี้พี่กาญจน์หัวเราะมั่ง

   "ซู๊ดดด..ดังหรือเปล่าพี่กาญจน์..." โมมองหน้า..เขิน..แล้วถามเบา ๆ ก็มันเขินจริง ๆ เหมือนกันนะเนี๊ยะ
   "เผ็ดหรืออะไร ?" โมยิ้มให้พี่กาญจน์
   "เสียว..นะ..."
   "อ๋อ..ดังเชียวแหละ...." แล้วหัวเราะอีกแล้ว
   "ตอนไหน....??"
   "ลิงอุ้มแตงนะ..ดังลั่นห้องเลย..."

   โมพยักหน้าหงึก ๆ นึกถึงตอนนั้น มันเสียวได้ใจจริง ๆ กระแทกแต่ละที โอ๊ย...นึกแล้วยังเสียวเลย
   "น่าเกลียดซิ...." พี่กาญจน์ส่ายหน้า "เป็นไง..บอกเร็วซิ...อยากรู้...."     โมคะยั้นคะยอ แต่พี่กาญจน์ก็ยังยิ้ม..นิ่งไม่ตอบ จนโมยกมือขึ้นจะทุบนั่นแหละจึงรีบยกมือขึ้นรับแล้วตอบว่า
   "ไม่น่าเกลียดหรอก พี่ชอบฟังเสียงโมซู๊ดปาก ฟังแล้วมันได้อารมณ์จัง..." พูดแล้วพี่กาญจน์ทำเสียง ซู๊ด ๆ ซี๊ด ๆ แล้วบอกว่า
   "โม..ร้องแบบนี้แหละ..."
   "ไม่น่าเกลียด...นะ..." ส่งสายตาอ้อนเชียวหละ พี่กาญจน์ส่ายหน้าอีกครั้ง
   เฮ่อ....ไม่น่าเลย เป็นกลายเป็นเข้าตัวไปเสียนี่...อิอิ
   พี่กาญจน์ขยับแล้วดึงตัวโมเข้าไปใกล้แล้วกอดโมแนบอก

   ต่างเงียบกันไปนานเหมือนกัน ซึมซับความดูดดื่มของอารมณ์กันและกัน
   "คืนนี้..ไม่ไปดูผีด้วยกันเหรอโม...?" พี่กาญจน์ถามเสียงแผ่ว
   "โม..กลัวถูกผีจับหัว..." ตอบแล้วก็พยายามกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้แทบแย่
   "หือ...เราไปดูตรงสะพานเฮ่อ..นะ..ไม่ใช่ผีตัวจริงหรอกจ๊ะ มันจะมาจับหัวได้ไง โมกลัวผมร่วงหรือไง ?"
   โมพยายามกลั้นเอาไว้จนกลั้นไม่ไหว หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง ทำให้พี่กาญจน์ชักสงสัยพึมพำไป ๆ มาหลายเที่ยว

   "ผีจับหัว..ผีจับหัว...." แล้วก็ยกมือขึ้นยื่นมะแหงกมาเคาะหัวโมเบา ๆ
   "แหม..ทะลึ่งก็ไม่บอก หลอกให้พี่เตลิดไปถึงไหน ๆ แบบนี้มันต้องลงโทษข้อหาหลอกลวงเบื้องสูง" พูดจบพี่กาญจน์ยื่นมือมาจับหมับตรงหน้าขาของโมทันทีจนสะดุ้ง
   "อุ๊ย..." โมร้องอย่างตกใจ ก็ไม่ทันตั้งตัวนี่นา
   "นี่แนะ..ผีจับหัวของจริง...นี่ ๆ" พี่กาญจน์หัวเราะใหญ่เลย โมไม่ปัดมือพี่กาญจน์ออกหรอก เรื่องอะไรแถมยังแกล้งออดอ้อนอีกต่างหาก
   "ถูกผีจะแล้วหัวโกร๋นไหมค่ะ..พี่กาญจน์ขา..."
   "จะตอบยังไงละ ?...จะให้โกร๋นดีไหมหนอ...." พี่กาญจน์แกล้งเป็นรำพึง "พี่ว่าไม่โกร๋นดีกว่า...แบบนี้สวยมาก ๆ เลย..." โมเลยหัวเราะ
   "พี่ว่าแบบโมนี่แหละน่ารักที่สุด โกร๋นแล้วดูเหมือนเด็ก ๆ ไปหน่อย" ส่วนมือพี่กาญจน์ก็ลูบไปเรื่อยไม่หยุด

   ผ่านไปซักพักโมก็ชักจะไม่ยอมให้ถูกเอาเปรียบฝ่ายเดียวหรอก ยื่นมือไปนวดกระบองพี่กาญจน์ให้มั่ง แบบพี่ลูบให้น้อง น้องก็นวดให้พี่ นวดกันไปนวดกันมาจนกระบอกแข็งปั๋งเชียว สม ๆ เจ้าของกระบองตัวเกร็งไปเลย ตางี้ลอยเชียว ทีผีลูบหัวนะลูบได้ลูบเอา โมแกล้งใช้นิ้วหัวแม่มือกับข้อนิ้วชี้กดลงบนกระบองเป็นระยะ ๆ

   พี่กาญจน์ตวัดมือรัดไหล่โมแน่น
   "เป็นไงพี่กาญจน์จะตีให้ผีหัวโกร๋นอีกหรือเปล่า ?" พี่กาญจน์ส่ายหน้าหลับตาพริ้ม
   "พี่กาญจน์อยากจูบผี..." พึมพำแต่ไม่ลืมตาหรอก ขมวดคิ้วกัดกรามแน่นเชียว

   "แน๊ะ ๆ ติดใจเมื่อคืนละซิ งั้นให้ผีอาบน้ำก่อน เดินเหนื่อยมาทั้งวัน..." พี่กาญจน์พยักหน้าช้า ๆ
"โมเมื่อยหรือเปล่า ?" โมส่ายหน้า
   "นึกว่าเมื่อย..จะนวดให้..."
   "เหรอ...พี่กาญจน์นวดเป็นเหรอ...?" พี่กาญจน์พยักหน้า
   "ถ้างั้น..ลองนวดให้โมหน่อยก็ได้"
   "จ๊ะ..แต่การนวดของพี่ผู้ถูกนวดจะต้องแก้ผ้าแบบเปลือยหมดนะ..." โมยิ้มมองหน้าแล้วพยักหน้าหงึก ๆ
   "เจ้าเล่ห์นะนี่...." คราวนี้พี่กาญจน์หัวเราะ พูดยิ้ม ๆ ว่า
   "ถึงไม่นวด..พี่ก็จับโมแก้ผ้าหมดตัวอยู่แล้วละ..ไม่รู้หรือไง ?..." โมหัวเราะมันก็จริงอย่างพี่กาญจน์ว่าเราแก้ผ้านอนกอดกันตลอดนี่นา แล้วไม่เคยให้พี่กาญจน์เอาเปรียบหรอก โมเองก็ต้องจับพี่กาญจน์แก้ผ้าเสียล่อนจ้อนเหมือนกัน อิอิ

   โมยันตัวลุกขึ้น พอดีหันสะโพกผายผ่านหน้าพี่กาญจน์ แต่ไม่ทันจะยืนตรงพี่กาญจน์ยื่นมือบีบก้นโมแล้วทำเสียงดัง 'ปี๊บ ๆ' เหมือนบีบแตรเล่น โมปัดมือพี่กาญจน์ออกแล้วหัวเราะ
   "พี่กาญจน์ขี้เล่นเหมือนกันนะเนี๊ยะ...."
   พี่กาญจน์ไม่ตอบแต่หัวเราะร่วน เอามือเหนียวเสาหินดึงตัวขึ้น ก้มลงเก็บถ้วยมาม่ากับขวดน้ำเดินเข้ามาใส่ถุงทิ้งถังขยะในห้อง

   เราอาบน้ำกันเร็วเชียวคราวนี้ อาจเป็นเพราะว่าพี่กาญจน์อยากทำตัวเป็นผีเร็ว ๆ ก็ไม่รู้ อึม...ผีทำไมชอบลูบหัว หรือถึงที่สุดก็เอากระบองผีตีหัวในที่สุด ฮา ๆ  โมว่าผีอย่างพี่กาญจน์คงเอาทุกอย่างแหงเลย

   โมกับพี่กาญจน์มานอนเปลือยกายหอมกันไปหอมกันมาอยู่กลางเตียงที่พนักงานเปลี่ยนผ้าปูใหม่อย่างดี
   "โมจ๋า..."
   "ขา..." ขานเซี๊ยะเสียงหวานจ๋อยเชียว ก็ใจมันอยากตอบรับแบบนี้นี่นา ไม่มีเหตุผลหรอก
   "พี่มีความสุขที่สุดเลยโม...."
   "ฮื้อ..."
   "เหมือนฮันนี่มูน...." โมนอนซุกอกฟังเสียงหัวใจพี่กาญจน์เต้นตูมตาม
   "พี่จะจำเอาไว้ชั่วชีวิต ไม่เคยคิดว่าจะได้มากอดโมแบบนี้เลย.." เสียงพี่กาญจน์เจือแววเศร้า เหงาชอบกลจนโมสงสาร ผงกหัวขึ้นจูบตรงหัวใจ

   "ก็โมตัวเป็น ๆ นอนกอดพี่กาญจน์อยู่ตรงนี้แล้วไง ไม่ได้ฝันสักกะหน่อย..." พี่กาญจน์ยื่นมือมาลูบหลังโมขึ้น ๆ ลง ๆ
   "เหมือนฝันมาก ๆ เลย ฝันที่พี่ไม่อยากตื่นเลย กลัวตื่นแล้วโมหายไปทันที..."
   "โอ๋....พี่กาญจน์นอนกอดโมอยู่แล้วนะ...โมเองก็นอนให้ผีลูบหัวอยู่นี่แล้วไง อิอิ..." โมแกล้งทำขำไปงั้นเอง เพียงอยากดึงอารมณ์เหงาเศร้าของพี่กาญจน์ออกไปเท่านั้น แล้วก็ได้ผล
   "อยากให้ผีลูบหัวเหรอ..."
   "อื้อ...." โมตอบแผ่วเบา

   พี่กาญจน์หัวเราะเบา ๆ อารมณ์จากน้ำเสียงเปลี่ยนไป
   "แล้วผียังอยากลูบหัวหรือเปล่าละ ?" คราวนี้พี่กาญจน์หัวเราะออกมาเต็มเสียง
   "ก็หีเมียเป็นของผัวอยู่แล้วนี่จ๊ะ..." พี่กาญจน์ผงกหัวขึ้นก้มลงมองหน้าโมที่เงยขึ้นสบตา ที่ผ่านมาทั้งพี่กาญจน์และโมหลีกเลี่ยงการใช้คำเรียกกันว่า 'ผัว' กับ 'เมีย' มาตลอด และตัวโมเองก็ไม่เคยใช้คำทั้งสองนี้เรียกขานกับพี่โอ๊คแม้แต่ครั้งเดียว แต่แปลกที่คำทั้งสองนี้ผุดขึ้นมาอย่างหน้าชื่น โมรู้สึกวาบในใจตัวเลย

   โมจูบตรงหัวนมเม็ดเล็กจิ๋ว จูบแล้วอมดูดเล่นจ๊วบ ๆ ทำเหมือนพี่กาญจน์ดูดหัวนมโมนั่นแหละ เอ..ไม่รู้ทำถูกหรือเปล่า โมก็ไม่เคยดูดนมผู้ชายแรง ๆ แบบนี้มาก่อนนี่นา โมดูดแล้วก็เลยแลบลิ้นเลียรอบ ๆ หัวนมแผล๊บ ๆ

   เออ ๆ พี่กาญจน์คงเสียวเหมือนกันนิ.. รู้สึกว่าเกร็งตัวแอ่นอกขึ้นรับเชียว เมื่อมีอาการสนองตอบแบบนี้ แสดงว่าได้ผลแล้วเป็นกำลังใจให้โมเป็นอย่างดี โมทั้งดูดทั้งเลียทั้งสองข้าง  แหม..หัวนมพี่กาญจน์เล็กไปหน่อย ถ้าใหญ่เท่าปลายก้อยเหมือนโมก็คงดูดมันแน่เลย นั่นซิ...พวกผู้ชายถึงชอบดูดนมผู้หญิงกันนัก มันอร่อยแล้วก็มันแบบนี้เอง

   ตอนนี้หัวนมพี่กาญจน์ถูกริมฝีปากบีบและโดนลิ้นไล่ขยี้อย่าเมามัน พี่กาญจน์ขยับจะยันตัวขึ้น แต่โมไม่ยอมเบียดร่างกดเขาเอาไว้ อยากเป็นคนรุกไล่เองนี่นา
   "โม..จะไม่ให้นวดให้แล้วเหรอจ๊ะ...?" เสียงนุ่มมีแววเว้าวอนอ่อนหวาน โมเงยหน้าขึ้นมองสบตาแล้วยิ้มพราว
   "เอาไว้ก่อน..อยากแกล้งพี่กาญจน์ก่อน..." พี่กาญจน์นอนแผ่ลงเหมือนอ่อนแรง
   "เอาคืนเหรอ ??" โมหัวเราะแล้วพยักหน้า

   โมใช้ลิ้นเล็มเลียไปทั่วแผ่นอก กล้ามเนื้อแน่นกรุ่นละมุนด้วยความหอมของ 'Ferragamo' เกิดภาพแว๊บขึ้นมาถึงหลุมสะดือตอนที่ถูกพี่กาญจน์จูบแล้วแยงลิ้นเข้าไปเลียวน ๆ  สะดือนี่มันสร้างทั้งความเสียวและความจั๊กจี้สุด ๆ

   โมค่อยเลื่อนตัวลงมาเรื่อย ๆ จนริมฝีปากขยี้ตรงหลุมสะดือพี่กาญจน์ บริเวณสะดือพี่กาญจน์มีขนลามบาง ๆ ขึ้นมาแผ่ไปทั่ว โมขยี้จมูกลงไปทันที แต่พี่กาญจน์ยังนอนนิ่ง โมเลยต้องรุกฆาตด้วยการห่อลิ้นแล้วแยงกวาดไปรอบ ๆ หลุมสะดือ

   ฮาาาา ๆ ๆ ๆ พี่กาญจน์กระตุกเลย โมแยงแล้วตวัดปลายลิ้นกวาดไปครั้งแล้วครั้งเล่า พี่กาญจน์สะดุ้งแล้วกระตุกแรง ๆ ทุกที
   "โม..พอเถอะ..แบบนี้พี่ไม่ไหวแล้ว...ใจจะขาด" พูดแล้วซู๊ดปากซี๊ดเสียงดังตามมาด้วยการเป่าลมหายใจออกมายาว

   โมเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะ
   "ก็ทีตอนพี่กาญจน์ทำให้โมไม่เห็นเป็นไรเลยนี่...ดีอ๊อก..."
   "ผู้หญิงกับผู้ชายคงไม่เหมือนกันมั้ง..." โมหัวเราะเบา ๆ
   "โมแค่รู้สึกจั๊กจี้แล้วก็เสียว ๆ นะ" พี่กาญจน์พยักหน้า

   โมเลยพลิกตัวลงมานอนด้านข้างพี่กาญจน์
   กระบองตีหัวของผีชูผงาดพร้อมตีเต็มที่ อิอิ แค่นั้นยังไม่พอกระบองยังผงกหัวหงึก ๆ ท้าทายโมอีกต่างหาก
   "มันหงุดหงิดเหรอพี่กาญจน์..." โมชี้ไปที่กระบองตีหัวของผีแล้วหัวเราะร่วนอย่างพอใจ พี่กาญจน์หันมาจูบหน้าผากโหนกของโมแล้วก็หัวเราะเช่นกัน

   "โมมันเขี้ยวมันจังนะเนี๊ยะ ผงกหัวท้าหงึก ๆ อยู่ได้" โมพูดพร้อมขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
   "ก็โมยั่วมันทำไมเล่า ?"
   "แสดงว่ากระบองตีหัวของผีมันอยากตีหัวเต็มที่แล้วละซิ..." พูดแล้วโมเอียงหน้ามองพี่กาญจน์แล้วหัวเราะ
   "โมนี่ผวนเก่งนะนี่...."
   "พี่กาญจน์ละเป็นหรือเปล่า...?"
   "พอได้...บางทีก็ใช้เป็นมุขในการเขียนนิยายเหมือนกัน...."
   "จริงอ๊ะ...งั้นผวนให้โมฟังหน่อยว่ามันถูกหรือเปล่า ? 'กระบองผีมันอยากตีหัว' คืออะไร ?"
   "กระบองผี..มันอยาก..ตีหัว...กระบองผี...มันอยากตีหัว ก็...ก็...กระบองผัวมันอยากตีหี..นะซิ...ใช่ป๊ะ ?" พี่กาญจน์ตาลุกวาวทีเดียว โมดึงหน้าพี่กาญจน์แล้วประกบริมฝีปากอิ่มจูบดูดพันลิ้นทันที การพูดคุยกันแบบนี้ โมก็เพิ่งรู้ว่ามันยั่วอารมณ์ดีเหลือเกิน

   โมถอนปากออกแล้วดันตัวขึ้นนั่งขยับเลื่อนลงมาที่บริเวณสะโพกพี่กาญจน์ จีบปากจุ๊บลงตรงหัวกระบองก็ได้สัมผัสกับความเปียกเยิ้ม  โมเลยแลบลิ้นออกมาเลียตรงปลายมันแผล๊บ ๆ ทำความสะอาดให้ ฮา.....พี่กาญจน์สะดุ้งโหยง ร้อย 'อูยยยยสสส์' ออกมาเลย

   ถูกจุด ๆ แล้วจริง ๆ ฮา....โมแอบยิ้มนึกในใจ ระดมจุ๊บ ๆ ไปอีกหลายครั้ง ในสมองปลากดภาพเมื่อคืนที่พี่กาญจน์จูบเนินผีของโมครั้งแล้วครั้งเล่า มันให้ความรู้สึกดีมาก ๆ อย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย สายตาโมจ้องมองการจูบของพี่กาญจน์อย่างเต็มอารมณ์และไม่รู้เบื่อ

   โมอยากทำแบบนั้นจัง อยากให้พี่กาญจน์รู้สึกแบบเดียวกับที่โมรู้สึกจะได้รู้ว่ามันรู้สึกดี ๆ เพียงไร ใช้มือข้างหนึ่งกำตรงใกล้ ๆ โคนกระบองเอาไว้แล้วก้มหน้าลงจูบตรงหัวกระบองถี่ ๆ ให้พี่กาญจน์ผงกหัวขึ้นมามอง บางครั้งโมก็เอี้ยวตัวหันไปสบตาส่งประกายเจิดจ้าท้าทายตรง ๆ จนรู้สึกถึงดวงไฟในดวงพี่กาญจน์ลุกโพรงเพริศ

   โมเห็นรอยบากเล็กตรงหัว เลยใช้มืออีกข้างบีบเบา ๆ รอยบากแตกออกเห็นรูเล็ก ๆ ลึกลงไป โมเลยห่อปลายลิ้นขยี้ไปตรงบริเวณรูเล็ก ๆ นั่นแหละ พี่กาญจน์สะดุ้งทุกที บางทีก็กระตุกขึ้นมาจนตัวงอเกือบลุกขึ้นนั่งเลย แต่แล้วก็ทิ้งตัวลงใหม่เหมือนยอมแพ้และเหนื่อยอ่อน แต่กระบองตีหัวของผีนะซิ...โอยยย...มันแข็งระเบิดเถิดเทิงเลย

   โมได้ทีเหมือนจะแก้แค้นยังไงก็ไม่รู้ เลียตรงนั้นถี่ขึ้นและปาดลิ้นแรงขึ้น เราคนเลียก็รู้สึกจี๊ด ๆ ตรงริมฝีปากเหมือนกันเน๊าะ อยากอมให้หัวบานของกระบองตีหัวของผีเสียแล้วละ อมหัวกระบองให้มิดเลย

   โมเผยอปากอ้าออกครอบหัวบานเหมือนสาธิตให้พี่กาญจน์เห็นชัด ๆ อย่างจงใจ ในปากโมเตรียมปลายลิ้นไว้คอยต้อนรับหัวกระบองอยู่แล้ว โมเอร็ดอร่อยกับรสของหัวบานจริง ๆ ยิ่งพี่กาญจน์ประสานเสียงครางระงม มันได้อารมณ์มาก

   พี่กาญจน์ครางซู๊ด ๆ สูดลมหายใจเข้าและพ่นออกมาแรงยาว โมครอบริมฝีปากลึกลงไปเรื่อย ๆ ลิ้นก็ไม่อยู่นิ่งตวัดต้อนรับผู้บุกรุกอย่างนุ่มนวลและอบอุ่น พี่กาญจน์ถอนหายใจยาวเป็นช่วง ๆ สลับกับซู๊ดปากยาว ๆ  โมได้ใจรูดริมฝีปากกลืนกินเข้าไปเรื่อย ๆ จนมิดทั้งหัวบาน จากนั้นโมค่อย ๆ ถึงปากขึ้นให้ริมฝีปากอิ่มรูดหัวกระบองออกแล้วกดลงไปใหม่ ทำซ้ำ ๆ หลายครั้ง

   ที่โมทำคงสร้างความเสียวให้พี่กาญจน์เป็นอย่างมาก อีกไม่กี่ครั้งพี่กาญจน์ก็ทนเสียวไม่ไหว พอโมรูดริมฝีปากลงไปก็เลยแอ่นก้นสูงสวนขึ้นมา ทำให้ครึ่งท่อนลำของกระบองตีหัวของผีพรวดเข้าไปอยู่ในโพรงปากจนโมเกือบหายใจไม่ออก โมจึงต้องค่อย ๆ ขยับให้โพรงปากพร้อมรับกับการโจมตีของกระบอกที่พร้อมรบเต็มร้อย

   การใช้ริมฝีปากกับลิ้นเอาเถิดเจ้าล่อกับกระบองนี่โมทำได้อย่างชำนาญพอสมควรทีเดียว...ไม่อยากคุย อิอิ โมรูดปากลงกลืนกินอีกครั้งแล้วบีบปากดึงขึ้นช้า ๆ พร้อมกับดูดจนเกิดภาวะสุญญากาศจนแก้มทั้งสองข้างบุ่มลงไป พี่กาญจน์แอ่นสะโพกโยงกระบองตีหัวของผีพร่านา โมได้ยินเสียงซู๊ด ๆ ระงมไม่หยุดปากทีเดียว โมว่าพี่กาญจน์คงเสียวสุด ๆ กว่าทุกทีแน่นอน เนื้อเกร็งแล้วก็ผ่อนแล้วก็เกร็งใหม่สลับอยู่แบบนี้ ทำให้นึกถึงสภาพตัวเองว่าตอนนั้นโมก็คงไม่ต่างจากพี่กาญจน์ตอนนี้แน่เลย

   โมรูดริมฝีปากขึ้นสูงและลงไปไม่สุดนักเพราะมันจะถึงคอหอย จึงควบคุมระยะโดยให้สามนิ้วบีบตรงโคนกระบองเอาไว้ เมื่อริมฝีปากถึงตรงนั้นโมก็จะถอนปากขึ้นทันที เสียงพี่กาญจน์กระเส่าจนโมเองก็เสียวจี๊ดมากเลย

   ครั้งสุดท้ายโมบีบปากรูดริมฝีปากออกมาเร็ว ๆ จนหลุดออกมาดัง 'บั๊วะ' แล้วกลืนน้ำลายเอื๊อก พี่กาญจน์ผวาสุดตัวยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วดึงตัวโมมากอดเสียแน่นเนื้อตัวสะท้านเชียว ควานหาริมฝีปากแล้วจูบควานลิ้นเข้ามาในโพรงปาก แล้วดึงริมฝีปากออกแล้วจูบแล้วดึงออกอยู่นั่นแหละ จนที่สุดโมแลบลิ้นออกมาตวัดลิ้นของพี่กาญจน์ที่แลบออกมาชิมรสของกันและกันตรงริมฝีปาก

   โมรู้สึกความเกร็งระริกของกล้ามเนื้อทั่วตัว พี่กาญจน์ดันร่างโมให้นอนลงแล้วก้มลงอ้าปากดูดหัวนมจ๊วบ ๆ ดูดจนโมเสียวมากแอ่นอกหราบดทั้งเต้ากับริมฝีปากจนกลัวเหมือนกันว่าพี่กาญจน์จะหายใจไม่ออก เสียวแปล๊บ ๆ ๆ ๆ จนซ่านซ่าไปทั้งตัวเลย ตรงเนินยิ่งชาเห่อ  ลิ้นพี่กาญจน์เลียเน้น ๆ ตรงป้านฐานนมปาดแรง ๆ มันยิ่งเสียวจนโมขนลุกเกรียว โมเพิ่งสังเกตตอนนี้เองว่ายิ่งพอเราเริ่มเสียวมาก ๆ มันอดที่จะระบายออกมาเป็นเสียงไม่ได้ มันขึ้นมาเป็นคลื่นสะท้อนขึ้นมาจากจุดใต้ท้องน้อยจนโมรู้สึกหวั่นไหวไปทั้งตัว

   พี่กาญจน์คลุกอยู่กับหลุมสะดือพักหนึ่งแล้วไล่ต่ำลงไปเรื่อย ๆ จนริมฝีปากจูบจ๊วบ ๆ ที่กลางเนิน โมใช้ข้อศอกยันตัวขึ้นมองการกระทำของพี่กาญจน์ไม่วางตา พี่กาญจน์คลุกใบหน้าขยี้บนเนินกลืบใหญ่อย่างกระหายจัดจนมีเสียงเหมือนหอบหายใจ โมเองก็ขยับขาชันเข่าขึ้นแบะอ้าออกเต็มที่เพื่อเปิดรับใบหน้าพี่กาญจน์อย่างสุดแสนยินดี

   ไม่รู้ละว่าคนอื่นจะรู้สึกยังไง การได้เห็นผู้ชายคลุกอยู่กับเนินโหนกมันสุดแสนอิ่มเอมและกระหยิ่มใจอย่างสุดใจ ยิ่งพี่กาญจน์เริ่มลงลิ้นโลมเลียแบบป้ายลิ้นออกมายาว ๆ เหมือนจะโชว์ให้โมได้เห็นแนวลิ้นลากผ่านร่องเนินชัด ๆ ยังงั้น มันเสียวแสยงใจอย่างสุดที่บรรยาย ไม่อยากให้พี่กาญจน์หยุดลากลิ้นแม้ซักวินาทีเลย

   โมยิ่งแบะขาให้อ้าออกไปอีกเท่าที่จะทำได้ แอ่นเกร็งขายกก้นขึ้นลอยเปิดยักย้ายเหมือนปั๊กเป้าล้อลมบน ปลายลิ้นพี่กาญจน์เฉียดผ่านปลายเม็ดเสียวให้โมรู้สึกแปล๊บ ๆ เหมือนโดนไฟช๊อตระยะ ๆ เสียวจนหูอื้อตาลาย อยากอย่างไม่รู้จะบอกยังไง ร่อนเนินส่ายเร่า ๆ กระเด้าหน้าพี่กาญจน์ตอบโต้ลิ้นที่โจมตีอย่างรุนแรง

   พี่กาญจน์ห่อลิ้นสอดแยงเข้าไปภายใน โมนะสุดจะทนเกร็งต่อไปได้อีกไหว แอ่นหน้าเนินเด้งกระแทกหน้าพี่กาญจน์พั๊บ ๆ ทีเดียว
   "อู้วววววสสสสส....ซี้ดดดด....." ครางลั่นห้องเชียวละ ไม่อายแล้วละ

   พี่กาญจน์ไม่ฟังเสียงห่อลิ้นเรียวแหลมตวัดแยงเข้าออกเป็นพัลวัน โมเกร็งจนตัวสั่นรั่วไปหมดเลยละ
   "โอววววว...ม่าาายยย..ไหว..โอยยยย...เสียววว...." พี่กาญจน์คงจะได้ยินเสียงเงยหน้าขึ้นยิ้มแป้นแสดงความพออกพอใจเชียว คงสะใจมากละซิ ตอนนั้นโมอยู่ในท่าหงายมือยันที่นอนงอเข่าแอ่นก้นขึ้นร่อนลอย

   พี่กาญจน์นั่งขัดสมาธิแล้วสอดมือดึงสะโพกโมเข้ามา โมค่อยขยับตัวตวัดมือคล้องคอพี่กาญจน์ แล้วใช้อีกมือสอดลงจับกระบองตีหัวของผีจ่อเป้าหมาย เงยหน้าขึ้นพยักหน้าแล้วโมค่อย ๆ หย่อนก้นทับลงมาอย่างแรง

   "โอยยย..โอวววว..." โมครางพร้อมเป่าลมออกจากปากยาว ตาพริ้มแบบลืมไม่ขึ้น พี่กาญจน์ประคองสะโพกของโมไว้จนโมค่อยหย่อนก้นลงให้กระบองตีหัวของผีมุดหายเข้าไปในโพรงอย่างยันโคนตอ

   จากนั้นพี่กาญจน์เลื่อนมือจากสะโพกขึ้นมาที่หลังกอดโมเอาไว้แน่น  อกอวบของโมบดเบียดกับอกของพี่กาญจน์ ขาทั้งสองคร่อมเอวพี่กาญจน์เอาไว้ ส่วนมือก็สอดเข้าไปคล้องคอ แล้วเริ่มแอ่นเต้านมของโมบดกับกล้ามเนื้อหน้าอก

   เมื่อขยับไปมาจนเข้าที่พี่กาญจน์เลื่อนมือลงไปช้อนแก้มก้นแล้วขยับยกขึ้น โมก็เหนี่ยวคอพี่กาญจน์ช่วย กระบองตีหัวของผีถูกรูดออกมา โมเสียวแปล๊บ ๆ จนต้องกัดฟันกรอด ๆ พอพี่กาญจน์ผ่อนแรกยกก้น โมก็สุดทนต้องกระแทกก้นลงพรืดสวมกระบองเข้าไปจนยันตออีกครั้ง ทั้งพี่กาญจน์ทั้งโมสะดุ้งเสียวพร้อมกับครางกันซี๊ดซีาด ๆ ๆ

   เราหยุดนิ่งอยู่พักหนึ่งแล้วต่างก็หัวเราะออกมา
   "อื้อ...ลึกมากเลย...."
   "โม..ตอดของพี่แรงมาก...เสียวจนตาลายเลย..."
   "ทำอีกซิ...." โมกระซิบบอกเสียงกระเส่าเลย

   พี่กาญจน์ขยับยกก้นโมขึ้นมาอีก คราวนี้โมโหนคอพี่กาญจน์ช่วยเต็มที่ โมค่อย ๆ รูดกระบองออกช้า ๆ มันเสียวมากจริง ๆ ต้องขมิบกล้ามเนื้อระริกอย่างสุดกลั้น

   "อึมมมมสสส...โม...เสียว..จัง..."
   "โม..ก็...เสียว...กระ..บอง..ผี..ตี..หัว..ของ...ผี...นี่..ทำ...เสียว..จัง..." ร้องตะกุกตะกักเชียว
   "อย่าให้หลุดนะ...." พี่กาญจน์ร้องเตือน
   "คะ..อูยยยย...." โมครางหลับตาหน้าเชิด
   "พี่..ปล่อย...นะ...."
   "คะ....อี้ยยยยสสส"

   ขยับไปก็ครางไป โมว่าท่านี้มันเน้นมาก อีกอย่างเราเบียดเสียดกันทั้งเนื้อทั้งตัวด้วย พี่กาญจน์ยกก้นโมขึ้นแล้วก็ปล่อยลงถี่ขึ้น โมก็กระแทกก้นแรงตามไปด้วย
   "โม..เรามานั่งหันหน้าเข้าหากัน..แบบนี้..ดี..เปล่า ?"   
   "อื้อ....โอวววว...."

   พี่กอดเอวโมแล้วขยับอ้าขาออกแล้วปล่อยก้นโมหย่อนลงไปจนก้นสัมผัสกับที่นอน โมเลยปล่อยแขนที่คล้องคอพี่กาญจน์ แล้วยื่นไปยันที่นอนเอาไว้ ส่วนขาก็งอเข่าขึ้นยันที่นอนอยู่ในท่าคล้าย ๆ กับท่านั่งยอง ๆ นั่นเอง ส่วนพี่กาญจน์ก็เอนตัวแล้วเอามือยันที่นอนเอาไว้เหมือนกัน
   "พี่ชักออกแล้วนับ หนึ่ง สอง สาม โมต้องสวนมาพร้อม ๆ กับพี่นะ..." โมพยักหน้าก้มลงมองกระบองที่พี่กาญจน์ชักออกมาของกลีบอวบทั้งสองถูกรั้งจนอ้าออก ภายในโพรงของขมิบรัดกระบองของพี่กาญจน์เป็นระยะไม่หยุด

   พี่กาญจน์ขยับดังก้นออกมาอีกนิดนึง โมก้มลงมองเห็นท่อนกระบองที่ถูกชักออกมายาวเป็นมันแผล๊บ เสียวจี๊ด ๆ จนตัวสั่น ขอบหัวบานโผล่ออกมาให้เห็น มันเกือบหลุดเต็มที่ พี่กาญจน์เริ่มนับ
   "หนึ่ง สอง สาม ...."
   พอสิ้นคำว่า 'สาม' โมหลับตูหลับตายันที่นอนแอ่นก้นประทะกับกระบองของพี่กาญจน์ที่กระแทกสวนเข้าไปทันที

   ต่างก็ร้อง "อูยยยยยยยยย..." ยาวพร้อมกัน แล้วพี่กาญจน์หัวเราะขึ้นก่อน
   "มันนน..จัง...โอววว...โม...."
   "อื้อ..ซี้ดดดด....ยันมดลูกเลย...."

   "เจ็บปล่าว ?" โมส่ายหน้า "ทำอีกซิ...."
   พี่กาญจน์ชักกระบองออกมาแล้วนับหนึ่ง สอง สาม แล้วกระแทกเข้าหากันอีกที ตอนกระแทกเข้าแนบสนิทเราหยุดกันนิดหนึ่งแล้วก็หัวเราะ
   "เอาอีก...เอาอีก..." พี่กาญจน์ร้องบอกมั่ง เสียงงี้รัวเร็วด้วยอารมณ์กระสันจริง ๆ

   ทำไป ๆ เราไม่ต้องนับกันอีกแล้ว เหมือนรู้ใจรู้จังหวะกันอย่างดี เสียงหนอกเหนือปะทะ 'ปั๊บ ๆ ๆ' ประสานกับ 'ซี๊ด ๆ ๆ' เร้าใจเหลือกำลัง

   พี่กาญจน์ห่อปากครางไม่หยุดเหมือนกัน แหะ ๆ ส่วนโมนะเหรอเขิน..แหกปากดังกว่าพี่กาญจน์เสียอีก มันได้อารมณ์สุด ๆ นี่นา...มันเกินห้ามใจจริง ๆ..ทำไงได้ จะให้รักษามาดอะไรอีก มีอะไรระดมกันมาเต็มที่

   เราปะทะกันจนต่างคนต่างเต็มกลั้น...
   "โม...."
   "จ๋าาาา...." โมขานรับเสียงยาว
   "พี่..พี่..จะ..อูยยยย...ไม่...ไหว..แล้ว..."
   "โม..อู๊ยยยย..เห..มือ..น...กั..น...โอวววว..."
   "หยุด..พัก..ก่อน...เถอะ...อูยยยยสสส"

   พี่กาญจน์ยันตัวตรงจับเอวโมเข้ามากอดแน่นไม่ให้โมขยับได้สักนิดเดียว หอบหายใจกันระรัว ปากพี่กาญจน์ยังซู๊ดเหมือนกินมาม่าตะกี้
   "เกือบ...เกือบ...แย่...โม..." พูดแล้วพี่กาญจน์ก็หัวเราะ ส่วนโมรัดตัวเขาเอาไว้แน่น

   "หยุด..สักครู่นะค่อยต่อ..."
   "จ้าาาา..." โมรับเสียงยาว "โมอยาก..ให้พี่กาญจน์..ทำนาน ๆ"
   "อื้อ...พักเดี๋ยว..."
   "มันมากเลยพี่กาญจน์...."
   "โมเก่งมากนะ..."
   "เหรอ...สู้กระบองตีหัวของผีได้นะซิ..."
   "อื้อ..ตอนนี้กระบองตีหัวของผีเกือบแย่แล้ว..." พูดจบเราหัวเราะกันลั่นห้อง

   ปล่อยให้ความเสียวคลายตัวลงหน่อย ตอนนี้โมเริ่มบดกับโคนตอพี่กาญจน์อีกครั้งแล้ว
   "ดีจัง...แบบนี้...." พี่กาญจน์ชมไม่ขาดปากเชียว
   ปล่อยให้ท่อนกระบองตีหัวของผีเข้าไปจนสุดแล้วหมุนสะโพกบดเนินวนเป็นวง โมว่าปลายกระบองมันส่ายไปมาตรงปากมดลูกแหงเลย ยิ่งพอถูกจุดโมเน้นหนักตรงนั้น อูยยยย...ภายในกระตุกวาบขมิบยิกอย่างรุนแรงเลยทีเดียว เจอแบบนี้พี่กาญจน์ครางระงมแข่งกับโมขึ้นมาอีกแล้วละ

   พอเสียวมาก ๆ โมก็หยุดพักปล่อยให้คลายเสียวก่อน
   "พี่กาญจน์..."
   "จ๋า..."
   "เปลี่ยนท่าไหม...?"
   "อื้อ..เอาซิ..."
   "พี่กาญจน์ชอบท่าอะไร...?"
   "ด๊อกกิ่งไหมโม ???" โมพยักหน้ากับไหล่ โก้งโค้งท่านี้ก็มันเหมือนกัน
   พี่กาญจน์จะได้กระแทก ๆ แรงโดยไม่ต้องกลัวว่าโมจะบอบช้ำเพราะมีกล้ามเนื้อก้นคอยรับแรงปะทะ

   "อื้อ..ดี..ไม่เคยลองกับพี่กาญจน์เลย...เอาซิ..." โมตอบแล้วหัวเราะอิอิข้างหู
   "งั้นเปลี่ยนท่านะ..."
   "จ๊ะ..พี่กาญจน์เอากระบองออกมาก่อนก็ได้..."
   "ค่อย ๆ ขยับเปลี่ยนไม่ให้หลุดไม่ดีเหรอ..."
   "พี่กาญจน์..โมว่ามันลำบากอยู่นา..."
   "นะ..ค่อย ๆ จะได้ทำกันนานไง...นะ...นะ..."
   "อื้อ..." ยอมตรงที่อยากทำนาน ๆ นี่แหละ

   ...................................

   แหม..กว่าจะจัดท่ากันเสร็จถึงกับน้ำหยดเชียว ทีนี้พอได้ท่าได้ทางเรียบร้อยพี่กาญจน์เลยสาวกระบองใหญ่เลย
กระบองตีหัวของผี อิอิ หรือกระบองตีหีของผัว ตีโมเป็นจังหวะรัวเร็ว โมเองเหรอ..แหะ ๆ ยักย้ายส่ายก้นร่อนยักย้ายรับริก ๆ

   พี่กาญจน์เมามันเต็มที่หน้าขากระแทกแก้มก้นดังป้าบ ๆ ปากก็ครางซู้ด ๆ ไม่ขาดปาก ส่วนโมก็ อุ๊ยยยย ๆ อ่าาา เสียวมากก็ฟุบหน้าลงกับที่นอน มองลอดหว่างขาตัวเองไปเห็นมะตูมของพี่กาญจน์ห้อยโตงเตง ๆ อดใจไม่ไหวยื่นมือไปคลึงมันเล่นทั้งสองลูก โมเอาปลายเล็บสะกิดไประหว่างเส้นกลางที่เป็นร่อง เห็นชัดเลยว่าพี่กาญจน์เกร็งจนมะตูมทั้งสองหดตัว แปลกจังเลย

   ส่วนผลนะเหรอ...พี่กาญจน์สาวออกมายาว ๆ กระแทกพรืด ๆ  ภาพที่โมมองผ่านไปเห็นนั้นทำให้ใจโมเตลิดเปิดเปิงจนกู่ไม่กลับ เกร็งสยิวเสียวซ่านจนขนลุกซู่ ๆ เสียวหัวนมจนต้องเอาฝ่ามือบีบแรง ๆ ยิ่งได้ยินเสียงพี่กาญจน์ครางซี๊ดเต็มเสียง โมเองก็ไม่ต่างหรอกมีอะไรแสดงออกมาเต็มที่ พี่กาญจน์กระแทกแรง ๆ เป็นครั้งสุดท้ายจนร่างโมไถพรืดลงนอนคว่ำหน้าลงกับที่นอน พี่กาญจน์ก็เสียหลักทับลงบนหลังของโมไปด้วย ก้นพี่กาญจน์ยังโหย่งสาวช่วงสั้น ๆ ช้า ๆ ไม่หยุดเลย

   โมรับรู้ถึงความร้อนที่พุ่งปรี๊ดแรง ๆ เข้าไปในโพรงครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนแรกก็แรงมากจนโมซ่านภายในแล้วค่อยเบาลง ๆ เหลือแต่ท่อนกระบองที่พองตัววาบ ๆ โมถึงก่อนพี่กาญจน์เสียอีก แล้วก็ถึงตามมาติด ๆ อีกหลายครั้ง น่าจะมากกว่าสามด้วยซ้ำไป พี่กาญจน์กดกระบองเอาไว้ กอดตัวโมแน่น ปากจูบไซ้ตรงต้นคอให้ขนลุกเกรียว ๆ

   โมนอนคว่ำเอาแก้มแนบที่นอนหอบหายใจถี่ ๆ ปากอ้าพะงาบ ๆ แต่ไม่มีเสียงใดหลุดลอดออกมา เสียวสมใจจริง ๆ พี่กาญจน์พาโมถึงสวรรค์ชั้นไหนก็ไม่รู้ละ แต่เป็นชั้นฟ้าจริง ๆ แน่นอน โมว่าสวรรค์ชั้นนี้ผู้หญิงน้อยคนนักที่ตะกายขึ้นไปถึงและสัมผัสได้เต็มรสแบบโม

   ...........................

   นอนพังพาบแหงแก๋กันอยู่อย่างนั้นแหละ..เคลิ้มกันไปพักหนึ่ง แล้วโมก็สะดุ้งขึ้นมา
   "พี่กาญจน์..." โมเรียกเบา ๆ "พี่กาญจน์..."
   "หึม....."
   "โม..อยากเข้าห้องน้ำ..."
   "อื้อ..." พี่กาญจน์รีบขยับพลิกตัวลงนอนหงาย โมรีบบีบขาเอาไว้แน่นแล้วกลิ้งตัวลงจากเตียงรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ เปิดน้ำล้างรอยรักของที่เอ่อล้นออกมามากมาย นึกแล้วเสียวจังเลย พี่กาญจน์นี่ทำเก่งจริง ๆ เลย ชักติดใจแล้วซิ...อิอิ หันไปมองกระจกเห็นตัวเองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ (เอ๊อะ..เขิน)

   นุ่งผ้าขนหนูกระโจมออกออกจากห้องน้ำ ให้พี่กาญจน์เข้าห้องน้ำบ้าง โมขึ้นไปนอนรออยู่กลางเตียง ทั้งร่างกายและจิตใจผ่อนคลายจนเบาสบายเป็นที่สุดเลย ครู่เดียวพี่กาญจน์ออกจากห้องน้ำ คลานเข้ามานอนข้าง ๆ แล้วยื่นมือควานลงไปที่เนินโหนก
   "อุ๊ย...โมยังเปียกอยู่เลย..."
   "หึม...."
   พี่กาญจน์ยันตัวลุกขึ้นแล้วปลดปมดึงผ้าขนหนูออก จับขาโมอ้าเอาผ้าขนหนูซับจนแห้ง โมนอนหลับตาใช้ใจสัมผัสกับการกระทำอย่างยินดียังไงก็บอกไม่ถูก  เออหนอ...มีผู้ชายที่เอาใจใส่และดูแลผู้หญิงของเขาถึงขนาดนี้ด้วยเหรอ...คิดแล้วนอนยิ้มจนพี่กาญจน์หันมาเห็น

   "โมยิ้มอะไร...?" โมดึงตัวพี่กาญจน์ลงมากอดพลิกนอนตะแคงแล้วเอียงหน้าไปเข้าไปซุกอก
   "ยิ้มอะไรเล่า ?...บอกก่อนซิ..."
   "คิดไม่ถึง..."
   "หือ..คิดไม่ถึงอะไร...?" น้ำเสียงพี่กาญจน์มีแววแปลกใจ
   "ตอบไงดีละ...?"
   "ก็ตอบตามจริงซิ..." โมก้มลงจูบที่อกพี่กาญจน์อีกครั้ง
   "ก็ยิ้มพี่กาญจน์นั่นแหละ..."
   "บอกมาซิ..หึม...ยิ้มอะไร...?"
   "ยิ้มที่พี่กาญจน์ที่คอยมาเช็ดให้โม..."

   พี่กาญจน์นิ่งไปนิด "ทำไมต้องยิ้มด้วยละ...พี่แค่อยากดูแลโมให้ดี ๆ เท่านั้นแหละ..." พูดแค่นี้โมถึงกับน้ำตาซึมออกมาเลย...ซุกหน้าขยี้กับอกจนเปียก พี่กาญจน์กอดโมแน่น
   "แค่นี้..ต้องร้องด้วยเหรอ ?"
   "มันตื้นตันนะ...ไม่คิดว่าจะมีใครทำให้ใครถึงขนาดนี้" โมจูบที่อกพี่กาญจน์อีกทีแล้วอีกที
   "ก็พี่ทำกับคนที่อยากทำให้ ทำด้วยความหัวใจ..แล้วคนนั้นคือโมคนนี้ไง..."

   โมเงยหน้าขึ้นจูบปากพี่กาญจน์บดขยี้อย่างแรงแล้วถอนปากออกมา
   "ขอบคุณคะ...." น้ำตายังเอ่อคลอเหมือนเดิม
   "พี่ก็ขอบคุณโมเหมือนกัน..พี่มีความสุขเหลือเกิน...ที่สุดในชีวิตของพี่เลย..." โมรัดตัวพี่กาญจน์เอาไว้แน่น พี่กาญจน์สอดมือเข้ามารัดตัวโมกอดไว้แน่นเหมือนกลัวว่ากันและกันจะหายไป

   มีความสุขที่สุดเลย.....นี่หรือชีวิต แล้วหวนนึกไปถึงเมื่อคืนก่อนที่พี่กาญจน์เหมือนท่องกลอนเปล่าออกมาก่อนโมหลับ
   "พี่กาญจน์..เมื่อคืนก่อนที่พี่กาญจน์ท่องอะไรออกมานะ...?" พี่กาญจน์นิ่งไปครู่แล้วบอกว่า
   "อื้อ..พี่นึกออกแล้ว พี่ได้มาจากอ่านเรื่องสั้นชื่ออะไร..ของใครก็จำไม่ได้แล้วละ แต่ติดใจที่กลอนเปล่าติดเรทตอนจบ"
   "อื้อ..ท่องให้โมฟังอีกที...."
   "จ๊ะ....." พี่กาญจน์ท่องออกมาเสียงกังวานใสเชียว 'หมื่นแสนลำลึงค์แห่งข้า ไร้เดียงสาไปเสียแล้ว แค่เพียงหนึ่งจุมพิตโยนีแห่งนาง'

   "หมายความว่าไง ?"
   "อ๋อ..ในเรื่องนะพระเอกหนีแฟนขึ้นไปเก็บตัวเพื่อหัดเขียนนิยายให้ได้สักเรื่อง เวลาสามเดือนแห่งความมานะอุตสาหะ ขยำกระดาษทิ้งเป็นรีม ท้อแท้ทอดอาลัย กินไม่ได้นอนไม่หลับ จนล้มป่วยหนัก นางเอกรู้เข้าเมื่อเพื่อนโทรไปบอก เธอลางานรีบเดินทางไปถึงแม่ฮ่องสอน ฟันฝ่าไปจนถึงกระท่อมไปป่า พอเธอเห็นพระเอกที่ซูบผอม สีหน้าอิดโรยท้อแท้หมดอาลัยตายอยาก เธอถึงกับปล่อยโอด้วยความสงสาร ตกลงคืนนั้น พระเอกก็ได้จุมพิตโยนีแห่งนางเป็นครั้งแรก  และนั่นก็จุดพลังในตัวเขาขึ้นมาใหม่ เลิกฝันที่จะเขียนนิยายในป่า เดินทางลงมากับนางเอก ตอนจบเรื่องนี้  พระเอกเขียนกลอนเปล่าบททิ้งเอาไว้ในกระท่อม"

   "แล้วพี่กาญจน์ละ...ซึ้งในจุมพิตโยนีนางไหนสักคนบ้างหรือเปล่า...?"
   "โมอยากรู้จริง ๆ เหรอจ๊ะ ?"
   "อื้อ..จริงซิ...อยากรู้"
   พี่กาญจน์นิ่งเงียบไปนาน จนโมนึกว่าพี่กาญจน์คงไม่อยากจะตอบแล้ว โมก็ไม่อยากจะจู้จี้ซักไซ้อีก

   "โม...." พี่กาญจน์กระซิบเรียกเบา ๆ
   "ขา..." โมขานรับแต่หลับตาพริ้มไม่คิดอยากจะรู้คำตอบแล้วละ
   "พี่ซึ้งใน..โยนี...โม...คนนี้เหลือเกินจ๊ะ..." โมวาบไปทั้งตัวเลยกับคำตอบของพี่กาญจน์ แอบยิ้มและจูบตรงอกอีกครั้ง..และอีกครั้ง ก่อนซุกหน้าหลับตานิ่งปล่อยใจไปกับพลังหวาน พี่กาญจน์เองก็นิ่งเงียบ...เราไม่พูดอะไรอีก

-----------------------
โดย Kankan

 


เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

kaithai

แหมมาถึงอิตาลี่ ถิ่นพิซซา อร่อยๆ 
กลับชวนกันกิน มาม่าต้มยำ เสียเนี่ย สงสัยไหมทำไม

ก็เพราะ คำสามคำ "ซึ้ง แซ่บ และซู๊ด"
ซึ้ง กับบรรยากาศแสนโรแมนติก
แซ่บ กับรสชาดต้มยำเปรี้ยว เค็ม เผ็ด ครบรสของต้มยำ
แต่ ซู๊ด... นี่เพราะอะไรหว่า อิอิ

Pem Samsan



tacklove

สงสัยจะได้เป็นเบาหวานกันบ้างหละงานนี้ แหม่ ช่างโรแมนติกและหวานกันซะหยดย้อย บรรยายจนคิดว่าตัวเองเป็นพี่กาญจน์ไปซะแล้ว ความสัมพันธ์ุของทั้งคู่มันดูเหมือนจะออกมาจากหัวใจล้วนๆเลยนะ อิจฉาจัง เชื่อเถอะทั้งคู่ลืมกันไม่ลงหรอก

akennya


Phisuiti Suwacheecharan


7946410




eaddy48



synivorn

หมื่นแสนลำลึงค์แห่งข้า ไร้เดียงสาไปเสียแล้ว แค่เพียงหนึ่งจุมพิตโยนีแห่งนาง ....  คาราวะ 1 จอก


John Kamin

โรแมนติก หวานหอมขนาดนี้ กลับไปเมืองไทยจะเป็นไงเนี่ย