ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

หัวใจรักที่ปิดตาย (2)

เริ่มโดย twintower, เมษายน 08, 2017, 03:53:36 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

twintower

****  ตอนที่ 2 นี้ ไม่มีบทเสียวนะครับ  เพราะเนื้อหาค่อนข้างยาว****

ทันทีที่ยูเดินพ้นประตูเครื่อง ทุกอย่างเหมือนที่เยอรมันเพราะมีเจ้าหน้าที่สนามบิน 3 คนมายืนรอตรงประตูและเดินพายูเดินออกจากงวงช้างไปทันที   พร้อมพาขึ้นไปนั่งรถกอล์ฟแล้วพาชายหนุ่มไปอีกด้านของอาคารสนามบินจนไปถึงบริเวณทางออกไปลานจอดเครื่องบิน ยูลงจากรถก่อนที่เจ้าหน้าทีจะรีบพาชายหนุ่มไปตรงประตูทางออกไปยังลานจอดเครื่องบินซึ่งชายหนุ่มเห็นหญิงสาวที่สวมเสื้อโค้ทคนหนึ่งยืนรออยู่ในมือของเธอมีเสื้อแจ๊กเก็ตกันหนาวอยู่ในมือพร้อมผู้ชายวัยกลางคนที่ใส่โค้ทสีดำสวม พร้อมมีหูฟังสวมอยู่ยืนเอามือประสานกันไม่ห่างจากหญิงสาวมากนัก  พร้อมมีเจ้าหน้าที่ ตรวจคนเข้าเมืองของสเปนยืนรออยู่ด้วย เธอส่งยิ้มให้ยูทันทีก่อนจะโผเข้ากอดกัน แล้วเธอส่งเสื้อกันหนาวให้พร้อมกับชายหนุ่มยื่นมือมารับแต่ก่อนที่จะสวม ยูยื่นมือไปจับกับผู้ชายที่ยืนอยู่ไม่ห่างนัก  ยูทักออกมาด้วยภาษาสเปนที่พูดได้อย่างคล่องแคล่วว่า

"คาร์รอสสบายดีนะ"

"ครับจูเนียร์ "

คำตอบรับสั้นๆก่อนที่จะเดินไปช่วยยูสวมเสื้อแจ็กเก็ต   ยูหันมากล่าวขอบคุณ  เจ้าหน้าที่สนามบินที่มาส่งและเอื้อมมือไปในเป้ส่งพาสปอร์ตและวีซ่าให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเเข้าเมือง  ซึ่งเจ้าหน้าที่ประทับตราให้ก่อนที่จะยื่นคืนให้ยูด้วยรอยยิ้มและการโค้งอย่างงดงามพร้อมกล่าวคำต้อนรับ ยูยิ้มรับแล้วหันมาบอกหญิงสาวว่า

"ไปกันเถอะโซเฟียร์"

คาร์รอสยกข้อมือข้างซ้ายขึ้นมาที่ปากพร้อมกดคีย์พูดใส่ไมค์ว่า

"จูเนียร์กำลังจะไปที่เครื่องบิน"

ก่อนจะเดินนำ ยูและผู้หญิงชาวสเปนไปที่รถตู้ที่จอดรออยู่  ซึ่งทางคนขับได้มาเปิดประตูอยู่ก่อนแล้ว  ยูก้าวขึ้นไปนั่งตามด้วยหญิงสาวที่ชื่อโซเฟียร์  ส่วนผู้ชายที่ชื่อคาร์รอสนั้นขึ้นไปนั่งด้านหน้าข้างคนขับหลังจากที่ปิดประตูให้เรียบร้อย  ทันทีที่รถวิ่งไปที่ลานจอดเครื่องบิน  ยูถามหญิงสาวว่า

"ขอบคุณมากที่เตรียมเสื้อมาให้ไม่งั้นผมแย่แน่"

"ท่านสั่งมาคะจูเนียร์  เห็นบอกว่าคุณแม่จูเนียร์โทรมาบอกว่าจูเนียร์ไม่เอาเสื้อกันหนาวมาด้วย"

ยูพยักหน้ารับทราบพร้อมนึกว่ามารดาคงไม่โทรมาบอกอย่างเดียวคงมีคำบ่นตามอย่างมายาวเหยียดแน่นอนเหมือนตัวเองโดนมาก่อนที่จะขึ้นเครื่องมาถึงสเปนก่อนจะถามต่อไปว่า

"แล้วแด้ดละ"

"รอจูเนียร์อยู่ที่บ้านแล้วคะ"

แต่ก่อนที่ยูจะถามอะไรต่อรถได้มาจอดเทียบข้างเครื่องบินโดยสารส่วนตัวที่จอดติดเครื่องรออยู่  คาร์รอสรีบลงมาเปิดประตูให้ แล้วเดินนำยูกับโซเฟียร์ไปที่เครื่องบิน พร้อมยืนรอตรงบันไดทางขึ้นก่อนที่ยูจะขึ้นเครื่อง ยูมองไปที่ห้องนักบินแล้วโบกมือทักทายกัปตันเครื่องบินที่มองมาอยู่แล้วซึ่งอีกฝ่ายโบกมือรับการทักทายของยู  ยูก้าวขึ้นไปบนเครื่องแล้วนั่งบนเก้าอี้โซเฟียร์นั่งเก้าอี้ตรงข้ามโดยมีโต๊ะคั่นกลาง   ส่วนคาร์รอสก้าวขึ้นมาคนสุดท้าย พร้อมเป็นคนปิดประตูเครื่อง ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นเพื่อแจ้งกับนักบิน  และเดินไปนั่งเก้าอี้อีกตัวหนึ่งด้านหลังของยู  เครื่องบินเริ่มเคลื่อนตัวทันทีก่อนจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากที่เครื่อง ตั้งระดับ  โซเฟียร์ส่งไอแพ่ดในมือให้ยู  ชายหนุ่มเลิกคิ้วเหมือนจะถามพร้อมรับมา  โซเฟียร์บอกทันทีว่า

"ท่านบอกให้จูเนียร์ดูคะ  แล้วถ้าเห็นถูกต้องก็อนุมัติได้เลย"

"กี่รายการ"

"6 คะ"

ชายหนุ่มเม้มปากแล้วเอาไอแพ่ดที่หญิงสาวส่งมาให้ มาเปิด แล้วดูรายการที่ตนเองต้องอนุมัติซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทในเครือเมนเตซกรุ๊ปที่พ่อทูนหัวมอบอำนาจให้ตนเองอนุมัติ  ยูนั่งอ่านรายละเอียด แล้วทำการอนุมัติผ่านระบบจนถึงบริษัทสุดท้าย  ยูนั่งอ่านแล้วไปสะดุดชื่อบางชื่อก่อนจะเอาไอแพ่ดของตนเองมาเปิดดูเมลที่หัวหน้างานส่งมาให้ดู  ก่อนที่เงยหน้าบอกโซเฟียร์ว่า

"สินค้าที่ส่งทางเรือล็อตนี้  เร่งด่วนหรือเปล่า"

โซเฟียร์เอาไอแพ่ดของตัวเองขึ้นมาดูแล้วบอกว่า

"ไม่เท่าไหร่คะ เรายังมีสต็อกอยู่เยอะ แต่เงินที่ต้องจ่ายเกือบ 60 ล้านยูโร ถ้าจ่ายล่าช้าอาจทำให้ปัญหาในการส่งสินค้างวดหน้าคะ"

"งั้นโซเฟียร์ ติดต่อศุลกากร บอกให้ตรวจเข้มหน่อยๆ  ขอเวลาสัก 2-3 วันให้เลยวันพุธไปก่อน"

"แต่จูเนียร์คะ"

"ทำตามที่ผมบอก  ผมยังไม่อนุมัติถ้าทางตัวแทนส่งสินค้าถามมาก็บอกว่าทางเรารอให้ศุลกากรตรวจก่อน"

ชายหนุ่มพูดจบแล้วหันไปเรียก รองหัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยของพ่อทูนหัวตัวเอง

"คาร์รอส รบกวนช่วยเช็คประวัติคนให้ผมทีครับ"

บอดี้การ์ดรีบปลดเข็มขัดแล้วเดินมานั่งโซฟาร์ตัวยาวที่อยู่ข้างๆเก้าอี้ที่ยูนั่ง เพื่อมารับคำสั่งจากยู ยูส่งไอแพ่ดให้ดูพร้อมชี้ไปที่รายชื่อหนึ่ง คาร์รอสเอาโทรศัพท์ตนเองขึ้นมาบันทึกก่อนพยักหน้ารับคำสั่งพร้อมบอกว่า

"ไม่น่าจะเกินเย็นนี้ครับจูเนียร์"

ยูพยักหน้าก่อนบอกขอบคุณ คาร์รอสเดินกลับไปนั่งที่ตนเอง ส่วนยูมองไปที่ลูกสาวอดีตเลขาส่วนตัวพ่อทูนหัวตนเองว่า

"โซเฟียร์อีกเรื่อง  ผมต้องเลื่อนกลับไทยไปเป็นวันพุธตอนค่ำ  ให้แจ้งเปลี่ยนวันกับทางพวกที่เกี่ยวข้องกับเครื่องบินลำนี้ด้วย"

"ได้คะ"

เธอตอบก่อนจะไปบันทึกในไอแพ่ดแล้วเงยหน้าเหมือนจะรับคำสั่งต่อ

"วันจันทร์ถึงวันพุธ  ผมมีประชุมกับสถานทูตไทยที่มาดริด ทุกวัน เตรียมเครื่องให้ด้วยนะครับ  ผมไม่พักที่มาดริดจะพักที่บ้าน  มันมีเรื่องเจรจาการค้าพอดี  หัวหน้าเลยใช้ให้ผมมาร่วมประชุมด้วยแบบเร่งด่วนนะ  พึ่งส่งรายละเอียดมาให้  แถมเพิ่มชื่อผมเข้าไปในคณะเจรจาเรียบร้อย ส่วนวันพุธ  เสร็จจากแมดริดผมจะกลับมาหาแด้ดกับมัมก่อนแล้วถึงกลับไทย"

"คะ  ทุกอย่างจะเรียบร้อยไม่เกินพรุ่งนี้ จูเนียร์จะดื่มอะไรหรือเปล่าคะ"

"ผมขอโคล่าแล้วกัน"

เธอลุกขึ้นเดินไปทางส่วนท้ายเครื่องที่มีตู้เย็นอยู่พร้อม  เธอหยิบกระป๋องน้ำอัดลมมาให้ชายหนุ่ม ส่วนเธอเป็นน้ำผลไม้ เธอจัดการเปิดให้เรียบร้อยก่อนส่งให้ชายหนุ่ม พร้อมนั่งลง ยูรับมาจิบก่อนบอกว่า

"เย็นนี้มีอะไรบ้าง"

"จูเนียร์กับท่าน ต้องมาขึ้นเครื่องตอน 4โมงกลับไปมาดริดคะ  ส่วนรายละเอียดท่านจะบอกจูเนียร์เองคะ"

ยูยิ้มออกมาก่อนมองไปรอบๆเครื่องบิน มันเป็นเครื่องบินเจ็ต 2 เครื่องยนต์ มีเก้าอี้ 6 เก้าอี้ และโซฟาร์ตัวยาวอีก 1ตัว ที่พ่อทูนหัวตนเองซื้อมาเพื่อใช้เดินทางในการเดินทางไปทำธุรกิจหรือท่องเที่ยวซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมสรรพรวมถึงระบบไวไฟที่พึ่งติดตั้งไม่นานนี้  ซึ่งหมายถึงตนเองได้รับผลพลอยได้ตลอดเวลาเดินทางมาที่สเปน ก่อนจะมาหยุดที่หญิงสาวที่นั่งตรงข้ามแล้วยูบอกว่า

"ตัวเล็กเป็นยังไงบ้าง"

"กำลังเริ่มหัดเดินคะ วันนี้อยู่กับพ่อ"

"รบกวนโซเฟียร์ตลอด ทั้งๆที่วันหยุด"

"ไม่เป็นไรคะ  เพราะเป็นหน้าที่อยู่แล้ว อีกอย่างชั้นเต็มใจคะ"

ยูส่งยิ้มให้หญิงสาวอีกครั้งแทนคำขอบคุณ  โซเฟียร์นั้นเป็นลูกสาวของอดีตเลขานุการส่วนตัวของพ่อและแม่ทูนหัวตนเอง ทั้งคู่นั้นวัยไล่เลี่ยกัน  จนทำให้เป็นเพื่อนกันมาจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันโซฟียร์แต่งงานแล้วพร้อมมีลูกสาวที่น่ารัก 1 คน ส่วนในเรื่องของงานโซเฟียร์รับตำแหน่ง หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ให้กับกลุ่มบริษัทของพ่อทูนหัวตนเอง  พร้อมทั้งทำหน้าที่เลขานุการในการตรวจงานก่อนที่จะส่งให้ยูอนุมัติทุกครั้งแล้วเธอพูดขึ้นต่อมาว่า

"ท่านให้เตรียม ช่อดอกไม้ไว้แล้วนะคะ  ส่วนเรื่องงานเลี้ยงคืนนี้นั้นเสียใจจริงๆคะ ถามแล้ว ท่านบอกว่าจะแจ้งจูเนียร์เองคะ  แล้วเวลายังพอมี จูเนียร์จะนอนก่อนก็ได้นะคะ"

ยูเอามือทั้งสองข้างมาปิดหน้า ซึ่งหญิงสาวเห็นแหวนที่สวมที่นิ้วนางทั้งสองข้าง  พอเธอเห็นแหวนที่สวมที่นิ้วนางด้านขวาของยูทำให้นึกถึงตอนที่ยูได้รับนั้นมันสร้างปัญหาให้กับญาติทางฝ่ายพ่อทูนหัวของยูมาก  แต่ทุกคนต้องเงียบเมื่อ โรแบร์โต้ผู้เป็นพ่อทูนหัวของยู ยืนยันว่ายูนั้นมีสิทธิทุกอย่างที่จะสืบทอดอำนาจในตระกูล "เมนเตซ" จึงมีสิทธิที่จะได้ครอบครองแหวนประจำตระกูลนี้ พร้อมการสนับสนุนจากผู้เป็นแม่ทูนหัว  ทำเอาบรรดาญาติทั้งหลายนั้นเงียบกันไปทันทีเพราะอำนาจและบารมีของพ่อทูนหัวยู ทำให้ทุกคนไม่กล้าที่จะคัดค้านต่อไป แล้วชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามเธอบอกมาหลังจากเอามือลูบหน้าว่า

"ไม่ละ หลับไม่ลง ประสาทมันค้างไหนจะเจองานด่วนของไทย ไหนจะงานของแด้ดที่ให้มา ไว้หลับตอนกลับจากสุสานก็ได้2-3 ชั่วโมงน่าจะพอไหว"

เธอไม่ตอบอะไรเพราะรู้ดีว่า ยูนั้นมีความกดดันขนาดไหนเวลาที่มาที่บ้านหลังนี้  ยิ่งเจองานที่ผู้เป็นพ่อทูนหัวมอบหมายให้ทำ และอีกอย่างเธอรู้ดีว่าในรอบ 3 ปี ที่ผ่านมา ชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามเธอนั้นผ่านอะไรที่หนักหนามาขนาดไหน  ยังไม่รวมถึงอนาคตกับภาระที่ต้องรับมาเต็มบ่า เธอนั้นรู้สึกเห็นใจเพื่อนเธอและเจ้านายของเธอคนนี้มาก  แต่ทำยังไงได้เพราะยูนั้นอยู่ในสภาพที่จำใจที่ต้องรับภาระที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  เธอปล่อยให้ชายหนุ่มนั่งทบทวนงานในไอแพ่ดโดยไม่ชวนคุยอะไร จนเครื่องลดระดับลงที่สนามบิน หลังจากที่เครื่องได้แท็กซี่มาที่ลานจอด คาร์รอสเป็นคนเปิดประตูพร้อมก้าวลงมาก่อน แล้วหันไปมองรอบๆโดยยูก้าวตามลงมา โดยโซเฟียร์ปิดท้าย  คาร์รอสพาทั้งคู่ไปที่เฮลิคอปเตอร์ที่บรรทุกผู้โดยสารได้ 6 คน ซึ่งจอดไม่ไกลนักก่อนเปิดประตูให้จูเนียร์ โดยยูก้าวขึ้นไปก่อน โซเฟียร์ขึ้นไปนั่งด้านข้างและคาร์รอสนั่งฝั่งตรงข้ามทั้งหมดเอาหูฟังขึ้นมาสวมพร้อมรัดเข็มขัด ก่อนที่คาร์รอสจะหันไปส่งสัญญาณให้นักบิน ซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก เฮลิคอปเตอร์ได้ยกตัวขึ้นแล้วมุ่งหน้าไปที่บ้านโดยคาร์รอสบอกกับเจ้านายน้อยของบ้านว่า

"วันนี้รถติดมากนะครับจูเนียร์ มาทางนี้จะเร็วกว่าครับและอีกอย่าง  บอสอยากเจอจูเนียร์เร็วๆครับ"

ยูพยักหน้ารับรู้ก่อนมองไปยังเบื้องล่างภาพของเมืองที่ตนเองคุ้นเคยตั้งแต่วัยเยาว์  ทุกซอกทุกมุมของเมืองนี้ ถนนทุกเส้นยูนั้นสามารถเดินทางได้อย่างชำนาญและคุ้นเคย   เฮลิคอปเตอร์ใช้เวลาไม่นานนักคฤหาสน์ ที่ตั้งอยู่บนเชิงเขาปรากฏอยู่ต่อหน้า  ยูลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนนึกว่า บางครั้งบ้านหลังนี้ก็เหมือนคุกที่ตนเองถูกคุมเข้ม  แต่ส่วนใหญ่มันคือสวรรค์ที่สามารถบันดาลทุกอย่างที่ตัวเองต้องการได้  และที่สำคัญที่แห่งนี้คือที่พักใจของยูมาตลอดไม่ว่าจะมีปัญหาหรือเกิดอะไรขึ้นบ้านหลังนี้คือที่พักใจรักษาใจรวมถึงให้ความคุ้มครองป้องกันยูมาตลอดตั้งแต่เล็กจนถึงตอนนี้   ยูยิ้มออกมาให้ทันทีที่เห็นคน 3คน ยืนรออยู่เบื้องล่าง   โดยที่บอดี้การ์ดที่นั่งตรงข้ามมองมาพร้อมกับรอยยิ้มที่เห็นได้ยากนัก  เมื่อเห็นเจ้านายน้อยที่กำลังยิ้มแสดงความดีใจให้เห็น  เมื่อเฮลิคอปเตอร์ลงจอดสนิท ทุกคนต่างปลดเข็มขัดและเอาหูฟังไปแขวน คาร์รอสเป็นคนเปิดประตูละก้าวลงมาก่อน พร้อมวิ่งก้มนำยูกับโซเฟียร์ที่ทำตามออกมาให้ห่างเฮลิคอปเตอร์  จนไปถึงร่างผู้ที่มายืนรอรับ 3 คน  ผู้ชายสูงอายุที่ผมสีเงินทั้งศีรษะยิ้มออกมาแล้วเดินมาหายูก่อนที่ทั้งคู่จะสวมกอดกันแน่น โรแบร์โต้ ดันยูออกมาเพื่อดูให้เต็มตาก่อนสวมกอดอีกครั้ง กับชายหนุ่มที่ตนเองรักเหมือนลูกชาย

"เหนื่อยไหมลูก"

เป็นคำถามที่ออกมาจากปากที่เป็นภาษาไทยอย่างชัดเจนจากผู้สูงวัย

"ไม่เท่าไหร่ครับแด้ด"

ยูตอบผู้เป็นพ่อทูนหัวด้วยภาษาไทยเช่นกันเพราะรู้ว่า แด้ดนั้นชอบคุยกับตนเองเป็นภาษาไทยตั้งแต่ยูเล็กๆ หัดพูดก่อนที่ยูจะเดินไปหาชายหญิงที่สูงวัยที่ยืนยิ้มพร้อมใบหน้าที่แสดงความดีใจอย่างยิ่ง ทั้งสองนี้คือพ่อบ้านและแม่บ้านชาวฝรั่งเศสที่ดูแลคฤหาสน์หลังนี้และเป็นสามีภรรยากัน ทั้งคู่เป็นคนดูแลและอบรมยูมาตั้งแต่เล็กๆ ยูเข้าไปสวมกอดทั้งคู่ ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะบอกว่า 

"ไปยู  ไปอายน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วไปเยี่ยมมัมด้วยกัน  แล้วลูกค่อยกลับมาพัก หรือยูจะพักก่อนแล้วค่อยไปพรุ่งนี้ถ้าหิวก็กินอะไรก่อนแล้วค่อยไปก็ได้นะ"

"อย่าเลยครับ  ยูอยากไปหามัม"

ทั้งหมดเดินเข้าไปในบ้านโดยผู้เป็นพ่อโอบกอดลูกชายตลอดพร้อมบอกว่า อย่าพึ่งเดินไปด้านข้างบ้าน เพราะไม่อย่างนั้นสุนัขที่เลี้ยงไว้เกือบ 20 ตัว จะเห่าต้อนรับกันเมื่อเห็นยูมา ยูยิ้มรับเพราะรู้ดีว่าความโกลาหลจะเกิดขึ้นเมื่อตนเองไปปรากฏตรงคอกเลี้ยงสุนัขของบ้าน หรือไม่ก็คอกม้าที่อยู่อีกมุมหนึ่ง   เสียงเฮลิคอปเตอร์ยกตัวขึ้นก่อนที่จะค่อยจางหายไป ทั้งหมดต่างเข้าไปในบ้าน โซเฟียร์นั้นรีบแยกตัวไปที่ห้องทำงานที่มีไว้ตั้งแต่สมัยผู้เป็นแม่ยังทำงานอยู่เพื่อประสานงานตามที่ จูเนียร์มอบหมายส่วนบอดี้การ์ดได้แยกตัวไปอีกทาง และพ่อทูนหัวของยูกับสองสามีภรรยาที่เป็นพ่อบ้านกับแม่บ้านได้เดินมาส่งยูที่บันได 

ยูนั้นเดินขึ้นไปที่ชั้นบนอย่างชำนาญ ก่อนเดินไปที่ห้องนอนของตัวเองบนชั้น 3ของคฤหาสน์หลังนี้  ทันทีที่เปิดเข้าไป ความรู้สึกอันอบอุ่นถาโถมเข้ามา มันเป็นห้องของยูตั้งแต่วัยเยาว์  เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดและมองเห็นวิวดีที่สุดในบ้านหลังนี้  ยูเดินไปที่ประตูตรงระเบียงแล้วเปิดก่อนเดินออกไปก่อนมองออกไปภายนอกที่มองเห็นเมืองเกือบทั้งเมืองจนถึงทะเล  ชายหนุ่มไม่สนใจกับอากาศที่ค่อนข้างหนาวเย็นพร้อมสูดลมหายใจ ก่อนมองไปรอบๆอาณาเขตอันกว้างขวางของบ้าน  ที่มีสนามหญ้าอันสวยงาม พร้อมลานจอดเฮลิคอปเตอร์ และอีกด้านหนึ่งคือสนามสำหรับขี่ม้า  ยูเดินกลับเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูพร้อมหันมามองรอบๆห้องที่ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นของที่ใช้ตกแต่งหรือกรอบรูปอยู่ในสภาพที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีตลอดแม้เจ้าของห้องจะไม่อยู่   สายตามาสิ้นสุดบนโต๊ะทำงานที่มีเหยือกน้ำแอ็ปเปิ้ลคั้นสด ๆวางอยู่ใกล้ๆเครื่องคอมพิวเตอร์   ยูรู้ว่าใครเป็นเตรียมเครื่องดื่มอันโปรดปรานไว้ให้ถ้าไม่ใช่มิเชลผู้เป็นแม่บ้าน ก่อนเดินไปหยิบเหยือกเทน้ำแอปเปิ้ลคั้นจนเกือบเต็มแก้วแล้วยกขึ้นดื่ม

แล้วถึงไปยังห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายที่อ่อนล้าจากการเดินทางอันยาวนาน  หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ  ยูเดินมาที่ตู้เสื้อผ้า พอเปิดออกเสื้อเชิ๊ตที่แขวนจัดเรียงไล่ตามเฉดสีไว้ปรากฏให้เห็นอยู่ต่อหน้า  ยูยิ้มออกมาพร้อมนึกไปถึงแม่ทูนหัวที่เป็นคนเจ้าระเบียบทุกอย่างต้องออกมาดูดีจนยูได้รับการฝึกจนเป็นนิสัยและความเคยชินถึงทุกวันนี้  ยูหยิบเสื้อยืดคอกลมสีขาวและเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวออกมา พร้อมกางเกงสแล็คสีดำ  ก่อนเหลือบไปเห็นชุดทักสิโด้ที่ต้องแต่งในงานเลี้ยงคืนนี้ ที่ถูกจัดเตรียมไว้เรียบแล้ว ชายหนุ่มจัดการแต่งตัวก่อนจะเปิดลิ้นชักในตู้เสื้อผ้า ดูนาฬิกาเรือนหรูนับสิบเรือนที่วางเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่ในกล่อง  แล้วตัดสินใจหยิบเรือนที่แม่ทูนหัวซื้อให้มาสวมที่ข้อมือ  นาฬิกาเรือนนี้ยูไม่นำกลับไปใช้ที่เมืองไทย  เพราะมันดูหรูเกินกว่าข้าราชการระดับล่างอย่างยูจะสวมใส่  ยูไม่อยากให้เกิดปัญหาเหมือนเรื่องรถตอนที่ยูเข้าไปทำงานใหม่ๆ

ยูจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนจะเดินไปห้องเล็กๆที่อยู่ติดๆกับห้องน้ำแล้วเอารองหนังที่ขัดเงามาสวมก่อนคว้าสูทสีดำตัวที่สั่งตัดจากร้านชื่อดังที่อิตาลีจากสูทที่มีนับ 10 ตัวพร้อมเสื้อโค้ทสีดำ แล้วเดินออกจากห้อง พอลงบันไดยูเลี้ยวไปที่ห้องโถง เห็นพ่อทูนหัวนั่งคุยกับโซเฟียร์อยู่  ทั้งคู่หันมามองที่ยู  ก่อนที่พ่อทูนหัวจะเอ่ยเป็นภาษาไทยออกมาว่า

"ไปลูก  รถพร้อมแล้ว"

ยูเอาเสื้อโค้ทพาดที่เก้าอี้ก่อนจะเอาสูทมาสวมโดยมีโซเฟียร์รีบเข้ามาช่วยพร้อมช่วยสวมเสื้อโค้ทให้อีกตัว ยูยิ้มแทนคำขอบคุณก่อนจะเดินออกไปที่ประตูใหญ่โดยมีพ่อทูนหัวที่แต่งตัวเหมือนกับยูและโซเฟียร์เดินตามมาติดๆ บนลานหินอ่อนยูเห็นคาร์รอสยืนคุยอยู่กับชายที่ดูสูงวัยอีกคนที่แต่งกายแบบเดียวกัน แต่ยังดูแข็งแรงและมีหูฟังที่สวมอยู่เช่นเดียวกัน  ยูเดินเข้าไปหาทันพร้อมกับชายคนนั้นรีบเดินมาหายูทั้งคู่สวมกอดกัน

"สบายดีนะครับมิเกล"

"ครับจูเนียร์  แต่ทำไมดูคล้ำกว่าเมื่อ 2 เดือนที่แล้วละ"

ผู้เป็นพ่อทูนหัวที่เดินตามมาบอกว่า

"จูเนียร์ตอนนี้หันไปขี่จักรยาน ออกแดดบ่อยๆก็เป็นแบบนี้ละแดดเมืองไทยคุณก็รู้ๆอยู่"

มิเกลหรือหัวหน้าทีม รปภ.หันมายิ้มให้กับผู้เป็นนาย ก่อนจะเดินนำทั้ง สามคนไปที่รถโรลส์-รอยซ์ ที่ติดเครื่องรออยู่แล้ว โดยคาร์รอสเดินปิดท้าย มิเกลเปิดประตูด้านหลังให้  ยูให้ผู้เป็นพ่อก้าวขึ้นรถไปก่อน แล้วตัวเองถึงขึ้นตามโดยมีโซเฟียร์นั่งด้านหน้า  หัวหน้ารปภ.ปิดประตูแล้วก้าวเดินมาด้านคนขับ พร้อมยกข้อมือด้านซ้ายขึ้นมาพูดกับไมค์ตัวจิ๋ว  ส่วนคาร์รอสนั้นเดินไปทางด้านหลังที่มีรถ เอสยูวี สีดำจอดอยู่ รถหรูวิ่งตรงไปทางประตูใหญ่ โดยมี เอสยูวีตามไปติดๆ  ประตูไฟฟ้าบานใหญ่เปิดรออยู่แล้ว ยูเหลือบมองไปเห็นผู้ชายใส่สูท 3-4 คนยืนอยู่ใกล้ประตู ด้วยความรู้สึกที่เคยชินหลังจากที่รถออกสู่ถนนผู้เป็นพ่อได้ถามลูกชายเป็นภาษาไทยว่า

"เจองานด่วนหรือลูก"

"ครับ  มันคงได้จังหวะพอดี  มีการเจรจาการค้าที่บังเอิญมาผู้แทนประเทศนั้นมามาดริดพอดี"

ยูนั้นหมายถึงประเทศจากทวีปแอฟริกาประเทศหนึ่งพร้อมอธิบายพ่อทูนหัวว่าทางไทยโดยหัวหน้าคณะเจรจาเลยเสนอให้ รัฐมนตรีว่าจะมาขอเจรจานอกรอบที่นี่ก่อนที่ตัวรัฐมนตรีจะเดินทางไปเยือนประเทศนั้นในกลางเดือนหน้า  ซึ่งหัวหน้าคณะคนนี้คือผช.รมต.ที่มาจากการเมือง ที่ยูเห็นว่าไม่มีความสามารถอะไร แทนที่จะให้ทูตพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะเจรจาแทนกลับกลายให้ทูตพาณิชย์เป็นรองหัวหน้าคณะ ซึ่งยูมองว่าไม่จำเป็นเท่าไหร่ที่จะต้องมาเจรจานอกรอบกันก่อนที่นี่  เพราะกำหนดการเจรจานั้นแค่ 2 วันคือวันอังคารกับวันพุธ  แต่คณะนี้เดินทางมาถึงแมดริดวันพรุ่งนี้ แต่จะกลับคือค่ำวันศุกร์  ทำให้ยูมองว่ามาหาเรื่องเที่ยวกันมากกว่ามาทำงาน

แต่หัวหน้ายูบอกว่า ทูตไทยที่นี่ขอให้ยูมาช่วยในการเจรจาด้วย เพราะรู้ว่ายูมาที่นี่ ผู้เป็นพ่อพยักหน้ารับทราบ ยูนั้นรู้ว่าอย่างน้อยโซเฟียร์ต้องรายงานให้กับเจ้านายทราบอยู่แล้ว ซึ่งโซเฟียร์ที่นั่งอยู่ตอนหน้าเมื่อเห็นว่าการสนทนาของพ่อกับลูกจบลงเธอซึ่งพอจะฟังภาษาไทยออกอยู่บ้างจึงหันมารายงานกับยูว่า

"จูเนียร์คะ  ชั้นโทรคุยกับ หัวหน้าศุลกากรแล้วคะ  ทางนั้นบอกไม่มีปัญหาคะ  แต่ถ้าเราจะปล่อยของเมื่อไหร่โทรไปบอกได้คะ รวมถึงเรื่องเที่ยวบินคงไม่น่าจะติดอะไรนะคะ  เพราะนักบินทำแผนการบินได้ทันทีคะ"

"ขอบคุณครับ"

คราวนี้พ่อทูนหัวของยูเอ่ยเป็นภาษาสเปนออกมาว่า

"คิดว่าแบบนี้จะได้ผลหรือยู"

ยูนั้นรู้ทันทีว่าพ่อทูนหัวหมายถึงอะไร  เรื่องพวกนี้ไม่เคยรอดพ้นสายตาของผู้เป็นพ่อได้และเท่าทันความคิดของลูกชายเป็นอย่างดีว่า ลูกชายนั้นกำลังคิดอะไรอยู่

"ต้องลองครับแด้ด  เพราะตัวแทนนายหน้าของบริษัทขนส่งนี้ดูจะเป็นคนเดียวกับล็อบบี้ยิสต์ ของประเทศที่ยูจะไปเจรจาด้วยเพราะเห็นมีรายชื่อที่เข้าร่วมประชุมด้วย   ถ้าทางนั้นคิดจะตั้งกำแพงภาษีให้สูงเกินจริง  เพราะคิดว่าทางไทยต้องง้อในเรื่องการระบายสินค้าทางการเกษตร   เพราะทางนั้นคงมองไปที่จีนมากกว่า  ที่ตอนนี้มีอิทธิพลมากในประเทศแถบนั้น ยูอาจจะใช้ตรงนี้บีบล็อบบี้ยิสต์ที่ชื่อโจชัวร์ครับ ไม่งั้นค่านายหน้าที่เค้าต้องได้ 3ล้านยูโรอาจต้องเลื่อนไปก่อน และครั้งหน้าเราอาจใช้บริษัทอื่นในการขนสินค้าครับแด้ด "

"แล้วแต่ยูนะ  เรื่องนี้เป็นอำนาจของยูที่พ่อมอบให้แล้ว"

"ครับแด้ด  เพราะยูให้ทางคาร์รอสไปสืบประวัติโจชัวร์มาแล้ว เพราะงานนี้ถ้าไม่สำเร็จ  ยูกับอาธวัชชัยรับเต็มๆครับถ้าสำเร็จ   ก็คนที่มาจากการเมืองที่ไมมีสมองในเรื่องนี้ก็ได้หน้าครับ    ยูต้องทำแบบนี้เพราะหาวิธีอื่นไม่ทัน เราต้องใช้วิธีนี้บีบล็อบบี้ยิสต์ เพื่อไปเจรจาให้ลดกำแพงภาษีให้กับไทยครับ"

ผู้เป็นพ่อพยักหน้ารับทราบ และรู้ว่าคนที่ชื่อธวัชชัยนี้เป็นทูตไทยประจำสเปนอยู่ในตอนนี้และเป็นรุ่นน้องของพ่อแท้ๆของยู ซึ่งโรแบร์โต้นั้นรู้จักอย่างดี แล้วก็เปลี่ยนเรื่องไปคุยกับลูกชายต่อว่า

"กลางวันนี้กินอะไรดีลูก พ่อเบื่อกับอาหารที่บ้านแล้ว"

ยูอมยิ้มเพราะรู้ว่าพ่อทูนหัวตนเองหมายถึงอะไร

"ไก่ทอดกับพิซซ่าก็ได้ครับ"

โซเฟียร์ที่นั่งฟังอยู่หันมามองแล้วทำท่าจะค้าน แต่ยูบอกมาว่า


"เอาเหอะโซเฟียร์  มัมคงไม่ว่า  และอย่าไปบอกแม่ของโซเฟียร์ละ  โทรไปบอกปาสกัลแล้วกันให้สั่งให้ด้วยครับ  ให้เผื่อคนในบ้านด้วยแต่อย่าบอกมิเชลนะไมงั้นยูกับแด้ด อดแน่นอน"

เธอหัวเราะออกมาพร้อมกับมิเกลที่ยิ้มออกมา เพราะรู้ว่า อาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นของต้องห้ามสำหรับบ้านนี้ เพราะคุณผู้หญิงสั่งห้ามไว้เด็ดขาดแถมตอนที่แม่ของโซเฟียร์เมื่อครั้งยังทำงานอยู่และก็แม่บ้านนั้นก็เห็นชอบด้วย  ทำให้สองพ่อลูกต้องไปแอบกินกันนอกบ้านบ่อยครั้ง  ส่วนปาสกัลที่ยูพูดถึงคือพ่อบ้านชาวฝรั่งเศสจอมเจ้าระเบียบอีกคนหนึ่งของบ้าน แต่จะยอมตามใจยูในบางครั้ง  จนรถเลี้ยวเข้าไปที่สุสานแห่งหนึ่ง ทันทีที่รถจอดสนิท คาร์รอสที่อยู่ในรถเอสยูวีที่ตามหลังมารีบวิ่งมาเปิดประตูให้  พร้อมผู้ชายอีก 2 คนที่ใส่สูทและเสื้อโค้ทสวมแว่นดำมีหูฟังเหมือนกัน รีบเดินตามพร้อมถือช่อดอกไม้ในมือ 2ช่อ มายื่นให้กับยูที่เอาแว่นกันแดดมาสวมส่วนอีกช่อยื่นให้ผู้เป็นพ่อ  โดยที่มิเกลไม่ได้ลงจากรถ

บอดี้การ์ดที่ตัดผมสั้นเกรียน คนหนึ่งเดินนำหน้าเข้าไปยังบริเวณสุสาน ยูกับพ่อทูนหัวเดินตามโดยมีโซเฟียร์เดินตามและคาร์รอสกับการ์ดอีก 1คนเดินตามมาติดๆ  โดยมีอีกคนนั่งอยู่ในรถ เอสยูวี จนยูกับพ่อทูนหัวเดินมาหยุดตรงหลุมฝังศพหลุมหนึ่งที่อยู่ใกล้ต้นไม้ใหญ่ โดยที่บอดี้การ์ดที่เดินนำหน้า  เดินเลยออกไปเล็กน้อยก่อนหยุดยืนมองไปรอบๆ ส่วนคนติดตามที่เหลือนั้นยืนอยู่ไม่ห่าง สองพ่อลูกเท่าไหร่ ผู้เป็นพ่อทูนหัวเอาช่อดอกไม้ที่ถือเอาไว้วางไว้ที่โคนป้ายหินบนหลุมฝังศพแล้วกระซิบบอกเบาๆว่า

"เทเรซ่าผมกับลูกมาเยี่ยมคุณ"

โดยยูก้าวตามไปติดๆแล้วคุกเข่าวางช่อดอกไม้ใกล้กับพ่อทูนหัวโดยมองไปที่ป้ายที่สลักชื่อว่า

"เมนเตซ เทเรซ่า "

พร้อมวันเดือนปีที่เกิดและวันที่เสียชีวิตและข้อความที่อยู่ด้านล่างถัดลงไปคือ

"ด้วยดวงใจจาก สามีและบุตรชาย"

พร้อมกับคำพูดที่สั่นเครือของยูที่ออกมาว่า

"มัมยูมาเยี่ยมครับ"

แล้วนั่งนิ่งเหมือนส่งความระลึกไปถึงแม่ทูนหัวที่ล่วงลับไปเมื่อ 3 ปีก่อนด้วยโรคปอดติดเชื้อ โดยที่พ่อทูนหัวยืนอยู่ใกล้ๆ โซเฟียร์นั้นเบือนหน้าไปทางอื่นทันทีที่เห็นยูเอานิ้วป้ายไปที่ขอบตา  เธอไม่อยากเห็นภาพนี้ เพราะเธอจำได้ดีว่าจูเนียร์นั้นเสียใจขนาดไหนตอนที่คุณผู้หญิงของบ้านเสีย  เธอจำได้ดีถึงคำกล่าวไว้อาลัยของชายหนุ่มที่เรียกน้ำตาแขกมาร่วมงานในวันทำพิธีฝังศพได้  ยูในตอนนั้นพูดออกมาจากหัวใจโดยไม่ใช้ข้อความที่ทีมงานร่างไว้ให้  โดยที่ยูเองก็มีน้ำตาไหลออกมาตลอด แถมปีต่อมาพ่อแท้ๆของยูเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจโดยเธอกับครอบครัวบินไปร่วมงานศพที่เมืองไทยด้วย  เธอเห็นภาพที่ยูกับผู้เป็นแม่ยืนกอดกันร้องไห้ตอนวันที่เผาโดยที่พ่อทูนหัวนั้นยืนปลอบใจ2แม่ลูกอยู่ตลอด  ทำให้เธอไม่อยากภาพแบบนี้ของยูอีก  ภาพที่เธออยากเห็นคือภาพของจูเนียร์ที่สดใสเข้มแข็ง ไม่ใช่ภาพของจูเนียร์ที่ดูอ่อนแอ


เหมือนกับโรแบร์โต้ที่มองไปที่ลูกชายพร้อมนึกไปถึงวันที่ยูบินด่วนจากเมืองไทยเมื่อรู้ว่าแม่ทูนหัวนั้นป่วยหนัก  ภรรยาของตนเองนั้น ร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่สาวๆแล้วจนทำให้ไม่สามารถมีบุตรได้  จนได้ยูมาเลี้ยงซึ่งยูนั้นกลายเป็นหัวแก้วหัวแหวนของทั้งคู่ทันที  ถึงแม้ผู้เป็นภรรยาจะได้รับการดูแลรักษาอย่างดี แต่เนื่องด้วยสุขภาพส่วนตัว พอมีอาการปอดติดเชื้อทำให้ยากแก่การรักษาประกอบกับวัยที่สูงขึ้นจนจากไปอย่างสงบโดยที่ยูนั้นเป็นคนที่จับมือของมารดาอยู่ตลอดจนสิ้นลม ยูนั้นร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจอย่างมาก แถมไม่ยอมกินอะไรจนทั้งพ่อและแม่ที่แท้จริงของยูที่มาด้วยนั้นต้องช่วยกันปลอบ จนสภาพจิตใจของยูค่อยยังชั่วขึ้น และหลังจากพิธีฝังศพ เวลาที่ยูมาสเปนทุกครั้ง วันแรกที่ยูมาถึงยูจะต้องมาที่สุสานนี้ทุกครั้งไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นแบบไหน

ยูนั้นนั่งคุกเข้าสงบนิ่งเกือบ 20 นาที โดยผู้เป็นพ่อยืนเอามือมาจับที่ไหล่ตลอด ก่อนที่ยูจะลุกขึ้นแล้วก้มไปจูบที่ป้ายหินเบาๆ  สองพ่อเดินกลับออกมา  คาร์รอสยกไมค์ขึ้นพูดทันที ยูถอดแว่นตากันแดดแล้วเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาที่คลอออกมาทั้งหมดเดินกลับมาที่รถก่อนที่จะมุ่งหน้ากลับบ้าน ยูที่นั่งเอาศีรษะพิงเบาะ ถามไปที่พ่อทูนหัวว่า

"แด้ด แม่โทรมาบ่นยาวไหมครับ"

"นิดนึงนะ  เค้าเป็นห่วง ก็บอกว่ายูไม่เตรียมอะไรมาเลย  แต่พ่ออยากให้ลูกมามันเลยกลายเป็นเรื่องด่วน  เพราะงานนี้ท่านรัฐมนตรีกลาโหมเชิญพ่อมา มีระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับความมั่งคงและผู้นำกองทัพทั้งในยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชียมากันหลายประเทศ พ่ออยากให้ยูมามีส่วนร่วมด้วย ไหนๆตอนนี้ยูเข้ามาดูแทนพ่อหลายเรื่องแล้ว"


"แล้วมีใครต้องคุยเป็นพิเศษมั่งครับ"

"พวกเจ้าชายจากตะวันออกกลางนะ แมรี่จะบรรยายสรุปให้อีกทีก่อนงานเริ่ม  ตอนนี้แมรี่กับทีมบางส่วนไปรอเราที่มาดริดแล้ว"

"ครับแด้ด"

ยูรับคำก่อนจะหลับตา แมรี่ที่พูดถึงคือเลขานุการของพ่อทูนหัวเป็นคนสหรัฐที่เป็นผู้หญิงผิวสี ทำงานเก่งและดูเหมือนจะแอบชอบยู อยู่ด้วยแต่ชายหนุ่มนั้นไม่สนใจ   จนขบวนรถกลับไปที่บ้าน  พอลงจากรถยูนั้นชวนโซเฟียร์ไปทานอาหารด้วย  แต่หญิงสาวขอตัว ยูได้กล่าวขอบคุณและบอกว่ามีเวลาจะเยี่ยมลูกสาวกับแม่ของโซเฟียร์ที่บ้าน ก่อนที่เธอจะเดินไปที่โรงเก็บรถที่เธอเอารถไปจอด ยูนั้นเดินไปอีกมุมหนึ่งชองคฤหาสน์ ตรงบริเวณกรงเลี้ยงสุนัข  ทันที่ทีเห็นยูโผล่หน้าเข้าไป เสียงเห่าต้อนรับแสดงความดีใจดังระงมไปทั่ว จนยูต้องจุ๊ปาก แด้ดของยูนั้นเลี้ยงสุนัขไว้หลายพันธุ์ มีอยู่ 4-5 ตัวที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้านและจะปล่อยเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้นเพราะดุมาก  แต่กับยูพวกนี้จะเหมือนแมวเชื่องๆ  ยูเดินเข้าไปทักทุกตัวโดยที่คนเลี้ยงที่ได้ยินเดินมาดู ยูเดินเข้าไปทักกับคนเลี้ยงก่อนจะเดินไปหาสุนัขพันธ์เซนต์เบอร์นาร์ด แล้วปล่อยออกจากกรง แล้วก้มกอดทันทีพร้อมทักเป็นภาษาสเปน

"ว่าไงบลู  ดูแลลูกน้องๆดีไหม"

บลูเห่ารับพร้อมเลียหน้ายู ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินไปที่กรงที่มีสุนัขพันธุ์อัลเซเชี่ยนอยู่  พอยูเปิดประตูกรง สุนัขตัวนั้นโผกระโดดกอดยูทันทีทำเอาพ่อทูนหัวที่เดินตามเห็นพอดีส่งเสียงหัวเราะออกมาก่อนบอกว่า

"ซีซ่าร์ มันคงคิดถึงยูมาก  ขนาดบางทีเอารถของยูไปลองมันยังวิ่งเห่าตามนึกว่ายูมา"

ยูเล่นกับซีซ่าร์ครู่ใหญ่ก่อนที่จะเดินเข้าไปในบ้านปล่อยให้สุนัขวิ่งเล่นอยู่แถวนั้น  ก่อนจะเดินตรงไปห้องครัว ยูถอดทั้งเสื้อโค้ททั้งสูทออกก่อนแล้วพาดไปบนที่แขวนที่อยู่ตรงทางเดินก่อนถึงห้องครัว  ซึ่งพ่อทูนหัวทำตามผู้เป็นลูกชาย โดยในครัวนั้นมีโต๊ะอาหารทรงกลมที่นั่งได้6-7 คน บนโต๊ะมีกล่องใส่อาหารที่มีทั้งพิซซ่าและไก่ทอดตามที่ สองพ่อลูกต้องการวางอยู่ ผู้เป็นพ่อเดินไปเปิดประตูตู้เย็นที่ทำแบบบิวท์อินก่อนจะหยิบเบียร์มาสองขวด  แล้วเปิดฝาก่อนส่งให้ลูกชาย  พ่อกับลูกเอาขวดเบียร์ชนกันก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะนั่งไม่ห่างจากยูนัก ทั้งสองลงมือทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยก่อนที่ยูจะพูดหลังจากจิบเบียร์ไปแล้ว


"ถ้ามัมยังอยู่  เราสองคนก็จะถูกดุแน่นอนครับ"

"ใช่แล้วลูก  มัมของลูกนะ เน้นเรื่องสุขภาพตลอด "

แต่ก่อนที่ยูจะตอบอะไรก็มีเสียงบ่นเป็นภาษาฝรั่งเศสจากตรงประตูว่า

"ใช่แล้วคะ  ดิฉันรู้ตอนสั่งไปแล้ว  น่าตีทั้งพ่อทั้งลูกเลย แอบสั่งมากิน"

"แล้วแจกให้ครบหรือยังครับ มิเชล"

ยูตอบไปด้วยภาษาฝรั่งเศสแบบเดียวกัน

"เรียบร้อยแล้วคะ จูเนียร์  แต่ให้วันนี้วันเดียวนะคะ ทั้งสองคน"

"ครับ"

ยูตอบพร้อมเสียงหัวเราะแต่มิวายที่จะถูกค้อนจากแม่บ้าน  จนเรียบร้อย ยูขอเดินไปคอกม้าที่เลี้ยงไว้ 4-5 ตัว คอกม้านั้นอยู่อีกมุมของบ้าน ก่อนจะเดินขึ้นไปบนห้อง เพื่อจะพักผ่อน  โดยก่อนจะล้มตัวลงบนที่นอนอันอ่อนนุ่ม ยูมองไปที่ผนังห้อง ที่แขวนภาพขนาดใหญ่ เป็นภาพวันที่ยูรับปริญญาตรี โดยที่ถูกขนาบด้วยพ่อกับแม่ทั้ง 4 คน ทุกคนในภาพมีแต่รอยยิ้ม ก่อนมองไปอีกภาพที่อยู่ในกรอบขนาดเล็ก  เป็นภาพที่ยูในวัยเด็ก นั่งอยู่บนตักของแม่ทูนหัว  ยูส่งยิ้มให้ภาพ ก่อนจะล้มตัวลงไปบนที่นอนและหลับไปด้วยความอ่อนเพลียโดยที่ไม่เปลี่ยนชุด


ส่วนอัปษรนั้น  เธอเดินตามยูไม่ทัน เธอได้แต่หวังว่าจะไปเจอตอนเข้าคิวตรวจคนเข้าเมืองไม่ก็ ตอนรับกระเป๋า  แต่เธอมองไม่เห็นชายหนุ่มเลย ทำเอาเธอหงุดหงิดไม่น้อยเหมือนพรานที่เห็นเหยื่อแต่ต้องปล่อยให้หลุดมือ เธอได้แต่พึมพำว่าชายหนุ่มหายไปไหน  และรู้สึกไม่สบอารมณ์จนพาลกับทีมงาน จนไปถึงโรงแรมที่มีไกด์ท้องถิ่นเป็นคนนำไปก่อนจะเข้าไปพักผ่อนโดยจะเริ่มงานถ่ายแบบเซ็ตแรกในตอนบ่ายๆของวันนี้


ส่วนยูที่ได้หลับพักผ่อนไปสมควรก็รู้สึกตัวตื่น ก่อนจะลุกขึ้นนั่งมองไปรอบๆ พร้อมน้ำตาที่ไหลออกมา พร้อมพึมพำว่า

"มัม"

ชายหนุ่มนั่งนึกทบทวนแล้วบอกกับตัวเองว่ามันคือความฝัน  ในความฝันนั้นคือยูหลับอยู่และรู้สึกว่ามีใครมาลูบที่ผมและใบหน้า ตอนที่ตนเองหลับสนิททำให้สะดุ้งตื่นและพบว่าคนที่มาลูบใบหน้าและผมของยูนั้นคือ มัมที่อยู่ในชุดสีขาวเป็นชุดเดียวกับที่สวมให้ตอนเธอเสียชีวิต

"มัม"

"จูเนียร์ของแม่"

ยูเอามือที่ลูบศีรษะมาแนบที่แก้ม  ก่อนที่ผู้เป็นแม่ทูนหัวจะบอกมาว่า

"ยูแม่ว่า ยูควรจะเปิดหัวใจได้แล้วนะ  ยูไม่เปิดหัวใจให้ใครมานานแล้ว  อย่าเอาความผิดหวังที่เคยเจอมาทำให้ตัวลูกเองปิดกั้นตัวเองเลยลูกรัก  ทั้งแม่ทั้งแด้ด อยากเห็นเจ้าสาวของยูนะ  แม่เฝ้าดูลูกอยู่นะ อย่าทำให้แม่ผิดหวังละ"

ผู้เป็นแม่พูดจบได้ก้มมาหอมแก้มยู  และทำให้ยูตื่นทันที  ก่อนจะมองไปรอบๆเพราะนึกไปว่าเป็นความจริง  เพราะแต่ไหนแต่ไรแล้ว  แม่ทูนหัวจะมานั่งคุยแบบนี้ตลอดตั้งแต่ยูเด็กจนโต แต่ก่อนที่ยูจะคิดอะไรต่อโทรศัพท์ภายในที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงส่งเสียงขึ้น  ยูมองไปหน้าจอก็รู้ว่าแด้ดตนเองโทรมาจากห้องนอนเหมือนกัน

"ครับแด้ด  ยูตื่นแล้วครับ  ได้ครับ"

พอวางสาย ยูสลัดใบหน้าเพื่อให้หายงัวเงียแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา ทำให้รู้ว่าที่เมืองไทยนั้นอยู่ในช่วงเวลาสายๆ  ยูจึงโทรศัพท์หามารดา ซึ่งผู้เป็นแม่ได้ถามทันทีว่า สั่งพิซซ่ากับไก่ทอดมากินหรือยัง  ทำเอายูหัวเราะทันที ก่อนจะรายงานว่าตัวเองไปเยี่ยมแม่ทูนหัวที่สุสานแล้ว 2แม่ลูกคุยกันครู่หนึ่งก่อนที่ยูจะวางสายและไปอาบน้ำเพื่อเตรียมที่จะไปงานเลี้ยงในคืนนี้  หลังจากแต่งตัวเรียบ  ยูที่อยู่ในชุดทักสิโด้ เดินลงบันไดมา โดยที่พ่อบ้านกับแม่บ้านยืนรออยู่ก่อนแล้ว มิเชลผู้เป็นแม่บ้านได้เดินเข้ามาใกล้ๆหลังจากที่ยูเดินลง  ก่อนจะจับที่แขนพร้อมบอกว่า

"ขอตรวจความเรียบร้อยแทน คุณผู้หญิงนะคะจูเนียร์"

ยูกางมือออกพร้อมรอยยิ้มก่อนที่มิเชลจะเดินรอบตัวตนเองเหมือนครั้งเมื่อมัมยังมีชีวิตอยู่ ว่าถ้าไปงานเลี้ยงทีไร  ยูจะต้องโดนตรวจความเรียบร้อยทั้งเรื่องทรงผมและการแต่งกายว่าดูดีหรือยัง ก่อนจะมาดูที่หูกระต่ายที่ชายหนุ่มผูกมาเรียบร้อย แล้วถึงพูดว่า

"เรียบร้อยคะ  ทุกอย่างดูดีมาก สมกับเป็นจูเนียร์คะ"

ยูยิ้มรับกับคำชม ไม่นานนักผู้เป็นพ่อทูนหัวได้ลงมาด้วยเครื่องแต่งกายแบบเดียว พร้อมพยักหน้าให้ลูกชาย ทั้งคู่เดินไปนอกบ้าน ที่ทั้งมิเกลกับคาร์รอสที่ยืนรออยู่  พร้อมทีมงานอีก 2 คน  และคาร์รอสเป็นคนเดินนำไปที่ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ที่มาจอดรออยู่แล้ว  จนทั้ง 6คนขึ้นไปบนเครื่อง  นักบินได้ทำการสตาร์ทเครื่อง แล้วนำเครื่องมุ่งหน้าไปสนามบิน ระหว่างนั้น คาร์รอสได้ส่งไอแพ่ดให้กับยู

"งานที่จูเนียร์สั่งครับ"

ยูรับมาอ่านก่อนส่งให้พ่อทูนหัวที่นั่งติดกันดู โรแบร์โต้รับมาดูก่อนส่งคืนให้คาร์รอสแล้วบอกกับลูกชายว่า

"ยูว่ายังไงละ"

"น่าจะบีบง่ายครับ  เพราะดูแล้ว หิวเงินพอสมควร"

"แล้วแต่ลูก  งานนี้ของลูก"

มิเกลที่นั่งติดกับเจ้านาย  นั้นสบตากับลูกน้องที่รับไอแพ่ดมาเก็บจากผู้เป็นนาย แล้วรู้ว่าตั้งแต่ จูเนียร์จบปริญญาโทนั้น เจ้านายเริ่มป้อนงานให้เข้ามาบริหารและตัดสินในใจหลายๆเรื่องแม้จะมีความผิดพลาดบ้าง  แต่เจ้านายนั้นไม่เคยตำหนิจูเนียร์มีแต่ให้กำลังใจ  และเป็นที่ปรึกษาตลอด  อดีตนายทหารหน่วยรบพิเศษของสเปนนั้นก็ได้แต่หวังว่า ยูนั้นจะไม่กดดันกับภาระที่ต้องมารับดูแลแทนบิดาในอนาคตนี้  แต่มิเกลนั้นก็เชื่อมั่นว่ายูต้องทำได้  เพราะรู้ว่ายูนั้นผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดีตั้งแต่เยาว์วัย  ถึงตนเองจะมาทำงานด้านรักษาความปลอดภัยให้กับตระกูลนี้เพียง 10 กว่าปีเท่านั้น แต่ก็พอจะรู้อะไรพอสมควร  ก่อนที่จะชะโงกหน้าไปส่งยิ้มเหมือนเป็นกำลังใจให้กับจูเนียร์ของตระกูลนี้  ซึ่งยูนั้นยิ้มตอบเหมือนรับรู้ว่า หัวหน้าทีม รปภ.นั้นสื่อถึงอะไร

พอเครื่องถึงสนามบิน  เฮลิคอปเตอร์ลงจอดไม่ห่างจากเครื่องบินที่ติดเครื่องรออยู่แล้ว  มิเกลเดินนำทุกเครื่องไปขึ้นเครื่องบิน  ซึ่งยูนั้นนั่งลงตรงเก้าอี้เดียวกับที่โซเฟียร์นั่ง ส่วนพ่อทูนหัวนั้นนั้นตรงข้าม  จากนั้นไม่นาน หลังจากที่คาร์รอสแจ้งกับนักบินว่าพร้อม   เครื่องบินเจ็ตได้ขึ้นสู่ท้องฟ้า และยูกับพ่อทูนหัวได้นั่งอ่านรายละเอียดของผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงที่แมรี่ได้ส่งมาให้และผู้เป็นพ่อได้บอกว่า งานนี้เป็นแขกของ รมต.กลาโหม ทางนั้นเลยจัดรถนำมาให้ ยูพยักหน้ารับทราบ จนเครื่องบินได้มาถึงสนามบินที่มาดริด หลังจากที่เครื่องจอดสนิท  มิเกลเดินนำทั้งหมด ไปที่ขบวนรถ ที่จอดรออยู่ไม่ห่างเท่าไหร่นัก  โดยมีผู้หญิงผิวสียืนรออยู่ข้างประตูรถที่เป็น รถ 3 ตอน ซึ่งเป็นรถของโรแบร์โต้ที่ได้มีคนขับ ขับมารออยู่แล้ว  พร้อมรถของทีมคุ้มกัน  มิเกลจัดการเปิดประตูรถให้ทันที ยูกับพ่อทูนหัวก้าวขึ้นไปโดยมีแมรี่กับมิเกลก้าวขึ้นตามไปนั่งเบาะตรงข้ามกับสองพ่อลูก  โดยคาร์รอสไปนั่งหน้าคู่คนขับ  ส่วนบอดี้การ์ดอีก 2 คน เดินไปที่รถ เอสยูวีสีดำ ที่จอดอยู่ด้านหลัง ทันทีที่มิเกลยกไมค์ขึ้นมาบอกว่าพร้อมเดินทาง  รถมอเตอร์ไซด์ของตำรวจ 2 คันที่จอดอยู่ข้างหน้าได้ขับรถนำออกจากสนามบินทันที

ยูได้ยื่นมือไปจับกับ เลขานุการของพ่อตนเองที่นั่งตรงข้าม ตนเองพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะพูดตามไปว่า

"สบายดีนะแมรี่"

หญิงสาวตอบมาด้วยภาษาสเปนที่ชัดเจนว่า

"คะจูเนียร์  แต่จูเนียร์ก็คงสบายดีเช่นกันนะคะ  แล้วคุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ"

"ขี้บ่นเหมือนเดิมครับ"

ทำเอาหญิงสาวยิ้ม ก่อนจะส่งไอแพ่ด สองเครื่องให้เจ้านายกับยู  พร้อมอธิบายรายละเอียดของงานและคนที่มาร่วมงานอีกครั้ง โดยเฉพาะเจ้าชายจากตะวันออกกลาง  ที่จะเป็นผู้มีอำนาจอนุมัติในการซื้ออาวุธเข้าประเทศ ซึ่งพ่อทูนหัวของยูนั้นถือหุ้นใหญ่ของบริษัทที่ผลิตอาวุธในยุโรป ซึ่งงานนี้จะเป็นการผูกไมตรีกับลูกค้ารายใหญ่ๆ โรแบร์โต้จึงตัดสินใจเรียกยูให้มาเดินทางมาเพื่องานนี้โดยด่วน  เพราะต้องการที่จะให้ยูนั้น รู้จักกับคนพวกนี้ให้มากขึ้น และเป็นการประกาศกลายๆให้ทุกคนรับรู้ว่า ยูคือคนที่จะเข้ามาบริหารงานแทนตนเองในอนาคตซึ่งตลอดทาง โรแบร์โต้ปล่อยให้บุตรชายเป็นคนซักถามแทนตนเองตลอด พร้อมสบตากับหัวหน้าทีม รปภ.  เหมือนจะบอกว่าตนเองกำลังฝึกจูเนียร์ให้แกร่งขึ้นกว่าเดิมซึ่งก่อนที่ ขบวนรถจะถึงโรงแรม ผู้เป็นพ่อได้หันไปบอกลูกชาย ที่ดูออกว่าเริ่มจะเบื่อๆไปว่า

"อย่าลืมสิลูก คำสอนของมัม เราต้องเปลี่ยนหน้ากากเหมือนกับละครของจีน"

ทำเอาแมรี่ถึงกับสงสัยเพราะโรแบร์โต้พูดภาษาสเปนกับยู ยูจึงอธิบายไปว่า มัมนั้นชอบดูอุปรากรของจีนที่มีการแสดงที่ตัวละครเปลี่ยนหน้ากากได้ตลอด  จึงเอามาสอนยูว่า เวลาเราอยู่บ้านกับครอบครัวเราก็เป็นตัวของเราเองได้ตามสบายแต่ถ้าเอาออกสังคมเราต้องสวมหน้ากากตามแต่สถานะของเราในงานนั้นๆ  เลขานุการจึงพยักหน้าด้วยความเข้าใจ

ส่วนของอัปษรนั้น  เธอออกมาถ่ายแบบตอนบ่ายจนถึงช่วงเย็น  จนได้เวลาอาหารค่ำ ทางทีมงานได้พาเธอกับผู้จัดการส่วนตัว มาที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่ง แต่พอถึงโรงแรมทุกคนกลับพบกับเจ้าหน้าที่ทั้งทหารและตำรวจที่อาวุธครบมือเต็มไปหมด จนไกด์นำทางต้องไปสอบถามจนได้รับการบอกว่า คืนนี้จะมีงานเลี้ยงที่มีคนระดับ VIP จำนวนมากเลยต้องมีการคุ้มกันอย่าหนาแน่น  จนทั้งหมดจะเดินเข้าไปในโรงแรม แต่ถูกเจ้าหน้าที่กั้นซะก่อนโดยมีคำขอโทษพร้อมบอกว่าขอเวลาสักครู่ ซึ่งไม่นานนัก มีรถมอเตอร์ไซด์ของตำรวจ 2 คัน วิ่งนำรถเก๋งสีดำ พร้อมรถเอสยูวีสีเดียวกัน มาจอดตรงทางเข้า ซึ่งมันใกล้กับตรงที่อัปษรยืนพอดี

ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ 2 คน ที่ใส่สูท สวมแว่นดำ และมีหูฟัง รีบลงจากรถเอสยูวีและวิ่งไปที่รถเก๋งสีดำ ที่มีผู้ชายที่แต่งตัวแบบเดียวกัน ก้าวลงมาเปิดประตูตอนหลังให้ ทุกคนจะเห็น ผู้ชายที่แต่งตัวเหมือนกันกับคนที่เปิดประตูและดูจะเป็นหัวหน้าทีม ก้าวลงมาคนแรกแล้วมองไปรอบๆ ก่อนที่มีผู้หญิงผิวสีก้าวตามลงมา และผู้ชายสูงวัยแต่ดูสง่าและดูดีอยู่ในชุดทักซิโด้ตามมาติดๆ  แต่พอคนสุดท้ายที่ลงจากรถ  ทำเอาอัปษรแทบจะร้องกรี๊ดออกมาดังๆ  เพราะเป็นชายหนุ่มที่เธอกำลังตามหาอยู่หลังจากที่ลงจากเครื่องบิน แต่ยูที่แต่งทักซิโด้แบบเดียวกับผู้ชายสูงวัยนั้นไม่มองมาที่เธอ ชายหนุ่มนั้นสีหน้าเรียบเฉย  ก่อนจะเดินเข้าไปในโรงแรม  โดยมี บอดี้การ์ด 2คนเดินประกบ ไม่ห่าง จนทั้งหมดเดินเข้าไปในโรงแรม ทางเจ้าหน้าที่จึงปล่อยให้ทุกคนเดินเข้าโรงแรม  อัปษรหันมาผู้จัดการส่วนตัวก่อนบอกว่า

"พี่ดีดี้ เห็นอะไรหรือเปล่า"

"เห็นสิ พี่เห็น  หนุ่มในฝันของษรไง  แต่ทำไมถึง"

"หรือว่าจะเป็นพวก วีไอพีพวกนั้น  ถึงมีบอดี้การ์ดตามติดขนาดนี้"

"นั่นสิ  พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน"

ทั้งคู่ต่างมองตามไปที่ประตูของโรงแรมด้วยความสงสัยในเรื่องของยู ที่ดูเป็นคนสำคัญขึ้นมาทันที

elviswhat

โอ้โห ยูนี่ไม่เบาเลย ตอนแรกนึกว่าเป็นลูกคนรวยเฉย ๆ อ่านไปคิดไปนึกว่าเป็นลูกมาเฟีย แต่พออ่านจบนี่ ระดับลูกเจ้าสัวเลยนะเนี่ย

tacklove

มัมส่งสัญญานให้ยูเปิดหัวใจแล้ว ก็หวังว่าคงจะไม่ใช่นางแบบสุดร่านจะเป็นคนประเดิมนะ ชีวิตของยูน่าสงสารมากเจอแต่ความสูญเสีย นี่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเจอกับดักจากใครอีก คงไม่ราบรื่นเท่าไหร่แน่ๆ ชอบครับเรื่องนี้

sniperteam

ติดตามอ่านตลอดเลยครับเนื้อเรื่องชวนติดตามมาก อยากให้ทำตอนที่ยูเป็นเด็กมาเจอพ่อกับแม่ทูนหัวด้วยครับ อยากเข้าใจให้ละเอียดเพราะเนื้อเรื่องชวนติดตามในการอ่านมาก ขอให้ออกมาอ่านตลอดจนจบนะครับ

peat

ยังกลับมาเจอกันจนได้นะ..อัปสร

azerothx

จะเพอร์เพ็คไปและยูอิจฉาอย่างแรง ::Angry::

micky

ขอบคุณครับ เนื้อเรื่องอ่านแล้วสนุกน่าติดตาม จะรอติดตามตอนต่อไปครับ

peepo2234

ต้องติดตามว่ายูจะได้ใครเป็นคนต่อไป

biochem

เวลาอ่านเรื่องของคุณทวิน แล้วบอกว่าไม่มีบทเสียว ผมชอบนะ

ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเนอะ ^^"

devilzoa

อ่านเรื่องที่ท่านแต่งมาพอสมควรจนผมเลิกเดาเนื้อเรื่องไปแล้วเพราะเดาไม่เคยถูก
ว่าแต่พระเอกเรานี่ครบเครื่องจริงๆ

patkungna01

เรื่องเข้มครับ ชอบๆ ผมชอบแบบนี้ละครับ
บทเสียวเป็นของเสริม

tetete

อยากรู้เลยครับว่าเกิดอะไรเมื่อ5ปีก่อนและนางเอกเป็นใคร

633sqd

จะมีการข้ามเรื่องกันมั๊ยนะ ยูได้มิ่งมาเป็นบอดี้การ์ดอะไรแบบนี้ ::Shy::

pinmonkey

ไม่เสียวแต่ได้รู้เรื่องปูทางกันเข้าใจก็จะเกิดอารมณ์ลึกซึ้งดีไปอีกแบบครับ น่าลุ้นความรักของยูว่าจะเปิดกับใคร และจะร้อนแรงแค่ไหน ขอบคุณมากครับ

mighty

อ่านเพลินจนลืมเวลา..จูเนียร์นี่สุดยอดเลยอยู่ประเทศไทยคือนักการทูตธรรมดาๆคนนึงแต่พอเยื้อย่างก้าวเท้าเข้ายุโยปกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลทันทีทำให้นึกต่อทันทีเลยว่าเนื้อเรื่องต่อไปคงสนุกน่าติดตามแม้จะไม่บทอีโรติคก้ตาม...ขอบคุณครับ