เอามาฝาก อ่านคร่าวๆแล้วบางอย่างก็ทำบางอย่างก็ไม่ได้ทำ ที่แน่ๆ ข้อ"1" สำหรับผมนี่ไม่เคยละเลยจริงๆ บางทีเยอะเกินจนขี้เกียจทำงานซะด้วย เพราะงั้นถ้าให้ผมแนะนำก่อนจะอ่านทั้ง 11 วิธีล่ะก็ ผมขอแนะนำว่าไฟเติมได้แต่เอาแค่ให้รู้สึกมีแรงทำงานต่อก็พอ เพราะถ้าเติมเยอะไปในบางข้อมันจะทำให้เราขี้เกียจทำ"งานจริงๆ"ของเราก็ได้ ...เอิ่ม...ไอข้อออกกำลังกายก็เป็นตัวอย่างที่ดีนะ ออกมากไปก็คงไม่มีแรงทำงานหรอก ลองอ่านๆกันดูครับ
11 วิธีทำอย่างไร เพื่อ “จุดไฟ” อีกครั้ง
1.ให้เวลาตัวเองกับสิ่งที่ชอบ
เหนื่อยนักก็พักซะหน่อย ตึงไปก็ผ่อนซักบ้าง แล้วให้เวลาได้เติมพลังตัวเองกับสิ่งที่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรม หรืองานอดิเรกที่ชอบ ดูหนัง ฟังเพลง แฮงค์เอ้าท์กับเพื่อน ช็อปปิ้ง เล่นดนตรี อ่านหนังสือ ทำอาหาร ท่องเที่ยว ไปทะเล ปืนเขา ฯลฯ ไม่ได้หมายความว่าต้องไปท่องโลกกว้างอย่างเดียว ทิ้งทุกอย่างแล้วไปค้นหาตัวเองอย่างเดียว แต่ทำอะไรก็ได้ที่เราเอนจอย โดยปราศจากความกังวล ช่วงเวลาที่มีคุณภาพกับสิ่งที่เราชอบ จะช่วยให้เรามีแรงต่อสู้กับเรื่องหนักๆ อื่นๆ ในชีวิตต่อไป
จะเที่ยวพักผ่อน หรือใช้เวลาที่บ้านก็ได้ ให้เลือกกิจกรรมที่เหมาะที่ตัวเองชอบ
จะเที่ยวพักผ่อน หรือใช้เวลาที่บ้านก็ได้ ให้เลือกกิจกรรมที่เหมาะที่ตัวเองชอบ
ผม:สำหรับผมคือเขียนนิยาย ถึงแม้จริงๆแล้วจะเขียนได้เหมือนเต่าคลาน ครึ่งวันได้หน้าเดียวก็ตามแต่ก็ยังจะนั่งจมอยู่กับหน้าจออยู่นั่นแหละ...อืมมม สงสัยคงต้องปรับปรุงหน่อย
สมอง:เขียนให้ไวขึ้นเหรอ
ผม:ไม่อ่ะ เปลี่ยนเป็นนอนเขียน คิดไม่ออกจะได้หลับไปเลย ผ่าม!
2.ถอดปลั๊กตัวเองแล้วเลิกคอนเนคซะบ้าง
รู้กันอยู่แล้วว่าโลกออนไลน์มีข้อดีมากกกกมาย ช่วยให้โลกเราเชื่อมต่อ เป็นคลังความรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด สื่อสารอะไรก็รวดเร็วแค่คลิกๆ แม้เราจะใช้กันอย่างระมัดระวัง แต่บางทีเราก็ยังเผลอโดนความเครียดจากการ Always on หรือ เชื่อมต่อโลกออนไลน์ ตลอดเวลาของเราทำร้ายตัวเองจนได้ กลับบ้านก็นอนไม่หลับ ขับรถก็ต้องคอยเช็คมือถือ เช็คอีเมลล์ หรือเห็นเพื่อนโพสเฟสบุ๊คชีวิตดีๆ ก็พลอยกดดันตัวเอง จนเครียดสะสมรู้สึกไม่แฮปปี้กับตัวเอง บางทีเราอาจต้องถอดปลั๊ก พักการเชื่อมต่อ แล้วใช้ชีวิตให้ช้าลงซักหน่อย เพื่อให้เราเดินได้อย่างมั่นคงขึ้น
ผม:ในข้อนี้สำหรับผมไม่ได้กดดันตัวเองเรื่องงานนะ (แต่จริงๆก็เป็นคนที่นิสัยชอบกดดันตัวเองกับทุกเรื่องแหละ) แต่เวลาอ่านคอมเม้นสนุกๆที่มีคนมาคอมเม้นงานผมแล้วมันจะกดดันตัวเองให้ปรับปรุงแนวเขียนให้ผู้อ่านคาดไม่ถึงหรือคล้อยตามผู้อ่านในบางเรื่องจนตอนนี้...
สมอง:เป็นไงบ้างล่ะผลงานดีขึ้นจมหูเลยสิ
ผม:ดีไม่ดีก็ดูอักขระวิเศษเป็นตัวอย่างสิ ออกทะเลจนเขียนไม่ออกไปละ ผ่าม!
3.เริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ หรือเรียนรู้อะไรใหม่
บางทีการที่เราจมอยู่กับเรื่องจำเจเดิมๆ อาจทำให้ร่างกายและใจเหนื่อยล้า ถ้าเราได้เปิดโอกาสให้ตัวเองได้ลองเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ หรือเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ก็ช่วยให้เราได้ผ่อนคลาย เพราะเราเริ่มใหม่จากศูนย์ด้วยความกระหายพร้อมจะเรียนรู้ ไม่กดดันตัวเอง หรือคาดหวังต่อตัวเองมากเกินไป แล้วยังอาจทำให้เราได้เจอสิ่งที่ชอบใหม่ๆ เป็นอีกหนึ่งการค้นพบตัวเองมากขึ้นเช่นกัน
ผม:อันนี้จริง ติดอยู่กับงานอดิเรกเดิมๆนานๆทุกวันที่มีเวลาว่างมันก็ล้าจนไม่อยากทำอย่างอื่น (งานเพิ่งทำมาได้6-7เดือนแถมทำสากเบือยันเรือรบเลยไม่เบื่อ555)จริงๆผมก็คิดนะว่าควรจะเปลี่ยนบ้างเหมือนกันไม่งั้นเฉาตายพอดี
สมอง:ก็ดีเปลี่ยนงานอดิเรกจะได้ทำอย่างอื่นไม่ฟุ้งซ่านบ้าง
ผม:เปล่า เปลี่ยนไปเขียนเรื่องใหม่ ผ่าม!
4.เพิ่มความรู้ให้ตัวเอง
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรายิ่งนอย และหงุดหงิดไม่พอใจในสถานะของตัวเอง ก็คือ ความรู้สึกว่าตัวเองดีไม่พอ และไม่มั่นใจในตัวเอง เทคนิคง่ายๆ ที่ช่วยแก้ไขสถานะที่ไม่มั่นคงนี้ก็คือ เพิ่มความรู้ให้ตัวเองซะสิ อาจจะอ่านหนังสือ อ่านบทความในเรื่องที่เราสนใจ หรือไปลงเรียนคอร์สเพื่อศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องนั้นๆ ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
บรรยายดีๆจาก Ted ในหัวข้อเกี่ยวกับกุญแจสู่ความสำเร็จ คือความลุ่มหลง และความเพียรพยายาม (Grit: the power of passion and perseverance) หนึ่งในวิดีโอดังที่ช่วยเพิ่มความรู้ และแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลก
ผม:อันนี้จริงจัง คืองานของผมเป็นงานราชการที่รุ่นพี่ค่อนข้างเอ็นดูเลยให้ผมทำทุกอย่างเพื่อให้ผมทำเป็นได้ทุกอย่าง ผมว่าดีนะที่ได้เรียนรู้อะไรทุกอย่างได้ แต่อย่างว่าแหละผมยังมือใหม่ ลองอะไรก็ครั้งแรกหมดงานเลยไม่ค่อยดีเท่าไหร่แล้วก็โดนแก้ กลายเป็นเหมือนกดดันตัวเองให้ต้องทำให้ดีขึ้นอีก
สมอง:ตอนนี้ก็เลยดีขึ้น?
ผม:ไม่อ่ะ ห่วยเหมือนเดิม ห้วย! ผ่าม!
5.ทำแบบทดสอบจิตวิทยา
อาจจะแปลกใจ ว่าเห้ย การทำแบบทดสอบจิตวิทยาจะช่วยให้เราเติมไฟตัวเองได้อย่างไร แต่หลายๆ แบบทดสอบเหล่านี้ มักจะช่วยให้เราได้ “รู้จัก” และ “เข้าใจ” ตัวเองมากขึ้น รู้จุดอ่อน จุดแข็ง อะไรไหนที่ชอบ ที่เหมาะกับเรา สภาพแวดล้อมใด งานใด คนลักษณะแบบใด สถานการณ์ไหนที่เราจะเกรงกลัว หรือสถานการณ์ไหนที่จะส่งเสริมเรา เมื่อเราเข้าใจตัวเองมากขึ้น ก็จัดการกับความเหนื่อยล้าหมดไฟในใจได้ดีขึ้นเช่นกัน
บุคลิก 16 แบบจากแบบทดสอบ MBTI ที่ช่วยให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น - orange
บุคลิก 16 แบบจากแบบทดสอบ MBTI ที่ช่วยให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น – orangedrink
ผม:คือผมเรียนวิศวะนะแต่ก็ไปลงเรียนวรรณกรรมกับจิตวิทยาด้วย เรื่องแบบทดสอบตัวเองก็เลยรู้สึกเฉยๆ เรื่องการดูคนและคาดเดาพฤติกรรมก็พอจะทำได้อยู่บ้างแม้ว่าพอมาเจอสถานการณ์จริงจะทำให้จิตเสื่อมไปเหมือนกันก็เถอะแต่ข้อนี้บอกเลยว่า
สมอง:ไม่จำเป็นเลยใช่ป่ะ
ผม:จำเป็นสิ ไม่ทดสอบบ้างก็ไม่รู้ดิว่าเริ่มบ้ารึยัง ผ่าม!
6.ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน
การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน จะช่วยทำให้เราเห็นภาพ และไล่เรียงออกมาได้เป็นส่วนๆ ว่าต้องทำอะไร อย่างไร ให้เสร็จเมื่อไหร่ ตรงนี้จะช่วยลดอาการกังวล และเบื่อหน่ายลงไปได้ เพราะเราจะเห็นชัดเจนขึ้นว่ามันมีวันเสร็จสิ้น ไม่ใช่ลากยาวให้เหนื่อยแบบไร้จุดจบ รู้สึกอีกแค่นิดเดียว แล้วเราก็จะได้ไปพักแล้วนะ!
เป้าหมายตามหลัก Smart Goal คือต้องชัดเจน วัดผลได้ บรรลุผลได้จริง อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง มีกำหนดเวลา
เป้าหมายตามหลัก Smart Goal คือต้องชัดเจน วัดผลได้ บรรลุผลได้จริง อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง มีกำหนดเวลา
ผม:เป้าหมายของผมคือทำฟาร์มที่ไม่ใช้พลังงานจากภายนอกเลย จะใช้พลังงานจากวัสดุในฟาร์มตัวเองเพื่อทำเป็นพลังงานหมุนเวียน มีบ้านอยู่ในนั้น คือครบวงจร ก็คิดอยู่ว่าอนาคตต้องดีแน่ๆ
สมอง:แล้วตอนนี้ถึงขั้นตอนไหนแล้วล่ะ
ผม:ยังหาเงินได้ไม่ถึงไหนเลยไอ้-ัด ผ่าม!
7.หาต้นแบบที่เราชื่นชม
การที่เรามีต้นแบบ หรือ Role Model ที่เรานับถือชื่นชมเป็นแบบอย่าง ช่วยให้เรามีแรงบันดาลใจ อยากจะเป็นอยากจะเจ๋งให้ได้แบบเขา และมีพลังนำตัวเองไปสู่ความสำเร็จแบบที่ตั้งใจ อาจจะเป็นคนระดับโลกที่ชำนาญในเรื่องที่เราสนใจ หรือคนใกล้ตัวที่เราพบเจอทุกวัน เช่น หัวหน้าที่ทำงาน เพื่อนร่วมงาน พ่อแม่พี่น้อง ครอบครัวก็ได้ บุคคลต้นแบบเหล่านี้ ซึ่งเป็นคนจริงๆ จะช่วยให้เราเห็นภาพที่ชัดเจน ว่าเห้ย เขาก็คนเหมือนเรา เขาทำได้ สักวันนึง เราก็ต้องเป็นได้แบบนั้นบ้างเช่นกัน
ผม:สำหรับผมคือเขียนนิยาย ถึงแม้จริงๆแล้วจะเขียนได้เหมือนเต่าคลาน ครึ่งวันได้หน้าเดียวก็ตามแต่ก็ยังจะนั่งจมอยู่กับหน้าจออยู่นั่นแหละ...อืมมม สงสัยคงต้องปรับปรุงหน่อย
สมอง:เขียนให้ไวขึ้นเหรอ
ผม:ไม่อ่ะ เปลี่ยนเป็นนอนเขียน คิดไม่ออกจะได้หลับไปเลย ผ่าม!
8.มีเช็คลิสของตัวเอง
ช่วงที่เราหมดไฟ มักจะเป็นเหมือนช่วง “ดำดิ่ง” ของชีวิต มองไปทางไหนก็มืดแปดด้าน หรือมองอีกแง่ก็คือ เราไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน จึงเกิดความเครียดขึ้นไปอีก วิธีการแก้ก็คือ มีเช็คลิสให้ตัวเอง คอยสำรวจตัวเองอยู่เสมอว่า เราอยู่จุดไหนแล้ว เป้าหมายของเราคืออะไร ห่างไกลแค่ไหน ถ้าจริงๆ เราใกล้ถึงแล้ว ก็จะถือเป็นกำลังใจกับตัวเอง หรือถ้าเราเห็นว่าจะมีอะไรที่แก้ไข พัฒนาให้ดีขึ้นได้ ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้เราทำอะไรบางอย่าง แบบมีจุดหมายไม่ไร้ทิศทาง
ลิสสิ่งที่ต้องทำ ให้รู้ว่าตัวเองอยู่จุดไหน แล้วจะช่วยคลายกังวลไปได้
ผม:ก็จริงนะ ตอนนี้รู้สึกชีวิตมั่วไปหมด ถ้ามีอะไรคอยเตือนว่าเราทำอะไรถึงตรงไหนและต้องทำอะไรต่อคงจัดระเบียบชีวิตที่ยุ่งเหยิงให้ดีขึ้นได้แน่ๆ
เพื่อน:เฮ่ย คืนนี้ร้านไหนดีวะ
ผม:เอาอันนี้ไปอยู่ในอย่างแรกๆที่ต้องทำเลยดีกว่า ผ่าม!
9.นึกถึงผลลัพธ์มากกว่าอุปสรรค
เลิกคิดแง่ลบ เลิกกังวลถึงอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นระหว่างทาง ไม่ว่าทำอะไร ปัญหาก็อาจเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ล้มได้ก็ลุกได้ แทนที่จะมัวคิดกังวล ก็เปลี่ยนไปนึกไปถึงรสชาติของความสำเร็จที่เราจะได้ลิ้มรสแทน สิ่งดีๆที่จะเกิดขึ้น หากเราทำสิ่งนี้ได้ เหมือนเด็กๆ ที่พ่อแม่มักจะมีทริคเล็กๆ ช่วยให้ลูกๆมีกำลังใจเวลาเรียน เช่น ถ้าสอบได้จะได้ไปเที่ยวทะเล ก็เหมือนกับชีวิตการทำงานของเรา ถ้าเราทำได้ เราจะภูมิใจกับผลงานของเราแน่นอน
ชีวิตก็เหมือนปีนเขา ให้นึกถึงบรรยากาศและความรู้สึกฟินบนยอดเมื่อถึงจุดสูงสุด ดีกว่าจะนั่งกลัวและจมอยู่กับอุปสรรค
ผม:แค่คิดก็อยากไปให้ถึงยอดแล้วครับ
เพื่อน:ยอดเขาเหรอวะ
ผม:จุดสุดยอดว่ะ ผ่าม!
10.ออกกำลังกาย
มีงานวิจัยหลายชิ้นที่แนะนำว่า การออกกำลังกาย สามารถช่วยบรรเทาความเครียดได้ รวมถึงถึงขั้นช่วยบรรเทาโรคซึมเศร้าได้เลยด้วย เพราะเมื่อเราออกกำลัง นอกจากเป็นการบริการกายแล้ว ยังได้เป็นการบริหารใจด้วย เอ็นดอร์ฟินหรือสารแห่งความสุขจะหลั่งออกมา ช่วยให้จิตใจจะสงบขึ้นไม่ว้าวุ่น และได้เอาพลังความเครียดที่อั้นอยู่มาปลดปล่อยและโฟกัสกับการออกกำลังแทน สุดท้ายยังช่วยให้เรานอนหลับได้ดีขึ้น มีแรงเติมไฟสู้กับวันใหม่ต่อไป
ผม:นี่เลยปัญหาใหญ่ นอนหมกตัวอยู่หน้าคอมอย่างเดียวไม่ยอมไปไหน จ้องแต่หน้าคอมเนี่ยแหละ สงสัยต้องออกกำลังกายบ้างแล้ว
เพื่อน:สวนสุขภาพป่ะกูอยากวิ่งๆ
ผม:โพไซดอนดิออกกำลังแล้วมีคนช่วยอาบน้ำอาบท่าให้ด้วย ผ่าม!
11.นอนหลับให้เพียงพออย่างมีคุณภาพ
สุดท้ายที่สำคัญที่สุด และหลายคนที่รีบประสบความสำเร็จอาจลืมให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ ก็คือ การนอน เพราะการอดนอนหรือนอนหลับไม่เพียงพอไม่ใช่แค่จะทำให้ร่างกายเราเสื่อมถอยเท่านั้น แต่จิตใจเราก็ได้รับผลกระทบโดยตรง สมองไม่ปลอดโปร่ง คิดได้ช้า รู้สึกอึนๆ อารมณ์หงุดหงิดง่าย ไร้เรี่ยวแรงพลังใจ สะสมไปนานเข้าก็ยิ่งทำให้หมดไฟวนไปอยู่นั่น การนอนให้เต็มอิ่มอย่างมีคุณภาพ เวลานอนคือนอน หยุดคิดเรื่องงาน ให้สมองได้พัก หยุดไถมือถือ ให้ใจได้ห่างโลกที่หมุนเร็วๆบ้าง แล้วนอนหลับอย่างเต็มอิ่ม ตื่นมาสดใสชาร์ทพลังตัวเองต่อไป
ไม่ใช่แค่หลับตา แต่การต้องชาร์ทพลังด้วยการหลับอย่างมีคุณภาพ และทำเป็นประจำ
ไม่ใช่แค่หลับตา แต่การต้องชาร์ทพลังด้วยการหลับอย่างมีคุณภาพ และทำเป็นประจำ
ผม:เอิ่มมม ตั้งแต่ทำงานก็ไม่เคยคิดเรื่องงานเลยครับ หมดไฟแบบสุดๆ ตอนนี้ว่าจะปรับตัวละ
สมอง:ดีๆ ทำให้ตัวเองขยันหน่อยจะได้มีความสามารถติดตัวกับเขาบ้าง
ผม:จ่ะ
สมอง:ไม่มีมุก??
ผม:,มุกอยู่ในชาหมดละ
การพักเพื่อเติมไฟของเราก็มีหลากหลายรูปแบบแตกต่างกันไป ขอให้เลือกวิธีที่เหมาะกับตัวเองลองนำไปใช้กันดู สุดท้ายแล้วอย่าเพิ่งท้อและคิดว่าไฟที่มอด คือตอนจบที่ไม่อาจจุดขึ้นมาให้ลุกโชนได้อีกแล้ว ขอให้เชื่อในตัวเอง ยึดมั่นในความฝัน แล้วพลังจะสถิตอยู่กับท่าน!!
ปล.จะลงนิยายต่อหลังจากกรองปลิงเสร็จแล้วซึ่งขั้นตอนการกรองยังอยู่ที่...11% ขี้เกียจแค่ไหนดูเอา ส่วนใครอยากอ่าน เว็บบ้านมีจ้า สมาชิกที่ทำตัวดีๆได้ไปอยู่เว็บบ้านก็ดีใจด้วย ส่วนที่นี่ขอกรองปลิงก่อน เห็นแล้วเยอะเกิน