ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

Swinging legacy | Cheerleader : Chapter 1 Relationship

เริ่มโดย Basilisk, ตุลาคม 07, 2019, 05:11:00 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 3 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

Basilisk

บันทึกสวิงกิ้ง ภาคหลีดคณะ: บทแรก ความสัมพันธ์
(Swinging legacy | Cheerleader : Chapter 1 Relationship)





รังสีและแสงแดดอ่อนๆ พอให้ความความร้อนได้ในระดับนึงแผ่เข้าทางระเบียง ตรงเข้าสู่ห้องขนาดกระทัดรัด ค่าเช่า 3,000 บาทต่อเดือน ในกรณีที่ผู้เช่าไม่ต้องการแอร์คอนดิชั่น

ผมตื่นอย่างงัวเงียเพราะท่อนล่างรับรู้ได้ถึงความร้อนอ่อนๆ นั้น บรรยากาศห้องยามเช้าเป็นอย่างนี้เอง วันนี้มีเรียนเช้านี่... นึกขึ้นได้ก่อนจะไม่ลืมหันไปมองสาวสวยที่เมื่อคืนมีสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง หลีดสาวยังนอนอยู่ในลักษณะเดิม... เหมือนไม่ได้ขยับเขยื้อนไปใหนเลย "หนึ่งๆ ตื่นเร็ว เช้าแล้ว... วันนี้มีเรียนเช้า" เอื้อมมือไปเขย่าตัวเธอเบาๆ "เดี๋ยวเรากลับบ้านไปแต่งตัวก่อนนะ..." ผมตระหนักได้ในใจ ความรู้สึก ความต้องการรับผิดชอบท่วมท้นขึ้นมา ตอนนี้ที่ทำได้ง่ายๆ และเป็นพื้นฐานของผู้ชายส่วนใหญ่เลยคือ... "เดี๋ยวเรามารับนะ อาบน้ำแต่งตัวรอเลย" แม้ว่าเมื่อคืนจะเกิดอะไรที่ไม่ปกติขึ้นในชีวิต แต่ในตอนเช้าผมก็สามารถดึงสติกลับมาและจดจ่อกับหน้าที่ที่ต้องทำตรงหน้าตอนนี้ได้เป็นอย่างดี นับว่ายังมีข้อดีอยู่บ้าง ยังไงอนาคตก็คือเรื่องสำคัญ... เสียง "อือ" สั้นๆ เจือด้วยความงัวเงีย เธอได้ยินแล้ว... ถึงจะไม่ขยับตัวเลยก็ตาม ผมหลีกเลี่ยงจะไม่พูดถึงเรื่องเมื่อคืนในเวลาที่ยังไม่เหมาะ รีบแต่งตัว หยิบชีทที่ติวให้เมื่อคืนใส่ย่าม ตามองไปที่ชีท พึมพำในใจ "ไม่ได้ช่วยอะไรเลยนี่นะ... ชีทปึกนี้" เหมือนทำหน้าที่เป็นเครื่องมือกระชับความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวแค่นั้นเอง... รีบใส่มันลงไปในย่าม ถึงตอนนี้มีอะไรในใจมากมายที่อยากพูด แต่ก็พูดไม่ออก จากสภาวะกึ่งดีกึ่งร้ายเมื่อคืน แล้วตอนนี้ทำอะไรได้บ้าง... ผมลุกขึ้นสะพายย่าม นั่งลงบนเตียง วางมือบนเอวเธออย่างทะนุถนอม "ไปก่อนนะ..." ไม่มีเสียงตอบรับอะไร คิดว่าเธอคงอยู่ในอารมณ์เดียวกัน แค่รออีกฝ่ายพูดออกมาตรงๆ แค่นั้นเอง...




Photo by Jon Tyson on Unsplash




เตรียมตัวเสร็จ ผมกลับมารับเธอตามสัญญา... ในชั่วโมงเร่งด่วน 7:00-8:30 น. รถน้อยรถใหญ่ส่งเสียงวอแว เหล่านักศึกษาเดินกันขวักใขว่ คนเดียวบ้าง เป็นคู่บ้าง เป็นกลุ่มบ้าง กลิ่นย่างหมูปิ้ง  วินมอเตอร์ไซค์ตีฟิวเจอร์บอร์ดเรียกผู้โดยสาร ถัดมาเป็นร้านถ่ายเอกสารที่คิวแน่นเอียด ขนมปังกับนมจาก 7-11 ในมือนิสิต ความวุ่นวายจอแจในร้านอาหารตามสั่ง ร้านโจ๊ก น้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ และกลิ่นน้ำค้างเย็นที่หลงเหลือยามเช้ามืดยังกลมกลืนหักล้างไปกับแสงแดดยามเช้าเสมือนเป็นของคู่กัน... นี่คือชีวิตประจำวันของนิสิตตลอดสองข้างทางถนนลงหาดที่ผมขี่รถผ่านมา

ถึงหอเธอแล้ว ผมโทรขึ้นไปก่อน ...เธอยังแต่งตัวไม่เสร็จเลย นั่นแหละ ผมเจอสิ่งที่ผู้ชายทุกคนต้องเจอ คือผู้หญิงแต่งตัวช้า... เธอบอกให้ขึ้นมารอข้างบนก่อน น้ำเสียงในบทสนทนาทำให้ผมคลายความกังวลเรื่องที่เธออาจจะตึงไปทั้งวันจากเรื่องเมื่อคืนลงไปครึ่งนึง ถึงจะงงเลขห้องไปบ้าง แต่ก็ไม่เข้าห้องผิดเพราะเธอแง้มประตูไว้ จริงๆ แล้วสิ่งที่ทำให้มั่นใจว่าห้องนี้แน่ๆ คือ กลิ่น... ผมเข้ามาทันพิธีกรรมประทินผิวของเธอพอดี เรียกอย่างนี้คงไม่แปลก หลีดสาวเปลือยเปล่าอยู่ในผ้าขนหนูตัวเล็กที่นุ่งขึ้นมาถึงหน้าอกแบบลวกๆ แสงแดดสาดให้เห็นรายละเอียดต่างๆ บนร่างกายในแบบที่แสงจากนีออนทำไม่ได้ กลิ่นสบู่และไอเย็นสะเก็ดน้ำจากห้องน้ำอบอวลไปทั่ว แสดงว่าเธอเพิ่งอาบน้ำเสร็จไม่นาน... สีหน้าเธอยังเรียบเฉยหลังจากที่ผมก้าวเข้ามา ปิดประตู นั่งลงบนเตียง... เธอกำลังบรรจงลูบไล้โลชั่นไปทั่วร่างกายอย่างตั้งใจ เริ่มจากหลังมือ แขน หัวใหล่ ใล่มาที่ต้นคอ จังหวะนั้น... มือนึงปลดผ้าขนหนูออกแต่ยังจับไว้อยู่ ใช้ข้อศอกของแขนอีกข้างหนีบชายอีกด้านไว้ ไม่ให้ผ้าหล่น ลูบโลชั่นไปที่หน้าอกขาวๆ คู่นั้น... แม้จะมองไม่ถนัด ผมที่อยู่ในชุดนิสิตชาย ผูกไทด์เรียบร้อย จ้องทุกอิริยาบถของเธอแบบไม่กระพริบตา ผมสังเคราะห์ได้ว่าสิ่งที่ทำให้เธอมีกลิ่นตัวที่หอมหวลนั้นประกอบไปด้วยสองสิ่ง คือ กลิ่นจากโลชั่นสูตรพิเศษ SPF สูง ราคาแพงที่เธอแค่เอาไว้กันแดดหนึ่ง และอีกหนึ่งคือกลิ่นเฉพาะตัวที่สร้างจากผิวหนังของเธอเอง เมื่อสองกลิ่นนี้ผสมเข้ากันแล้ว บรรยากาศรอบๆ ตัวเธอเปลี่ยนแปลงไป... ความคิดผมหยุดลงตรงที่เธอยกขาขึ้นพาดบนเตียง ขาอ่อนล้นออกมานอกผ้าขนหนู ละเลงโลชั่นลงไป โน้มตัวลงใล่ทาตั้งแต่หลังเท้าขึ้นมาจนสุดโคนขาอ่อนสีขาวนวล สลับไปทีละข้างจนครบ

แล้วผ้าขนหนูก็หลุดลงไปกองที่พื้น... เผยผิวเปลือยเปล่าสีน้ำผึ้งฉาบแสงแดดหอมหวลไปทั่วห้อง ผมยาวดำขลับจนถึงเอว ก้นงอนตึงสวย เอวคอดได้รูป หน้าอกขาวผ่องขนาดกระทัดรัด ไม่คิดว่าเธอจะกล้าเปลือยต่อหน้าผมตอนเช้าๆ แบบนี้ ผมดูทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นแบบเพลินตาและต้องการเรียนรู้ aroma ที่เธอสร้างขึ้น... เธอหันมายิ้มอายๆ ทีนึง ก่อนจะรื้อเอากางเกงในขอบลูกไม้สีครีมจากลิ้นชักมาใส่ เปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อ กระโปรงพลีท ไม่กี่อึดใจ เธอก็อยู่ในชุดนิสิตสาวน่ารัก แบบที่ผมเห็นทุกๆ วันที่มหาลัย เหมือนได้มานั่งดูกระบวนการผลิตสาวสวยตั้งแต่ต้นจนจบยังไงยังงั้น เห็นสัญญาณว่าเธอพร้อมแล้ว ผมเตรียมจะลุกขึ้นจากเตียง คว้ากุญแจมอเตอร์ไซค์ "เดี๋ยวเราแต่งหน้า เขียนคิ้วแปปนึงนะ..." อ่าว...ผมอุทานในใจ น่าจะอันนี้ที่นานของจริง... แต่เพราะคิ้วเธอบางมากๆ ผมเลยไม่รู้สึกว่าการเขียนคิ้วไม่ใช่สิ่งจำเป็น อีกอย่างหนึ่ง ผู้หญิงตรงหน้าผมคนนี้คือหลีดคณะ ทุกๆ ครั้งก่อนก้าวออกจากห้อง การทำให้ตัวเองดูพร้อมที่สุดน่าจะเหมาะสมกับสถานะของเธอ กระบวนการทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ สรุปเวลา 45 นาทีเต็ม ถ้ารวมเวลาที่อาบน้ำก่อนผมจะมาถึงก็คงกินเวลาราวๆ 1 ชั่วโมงเศษ... "ไปกัน...เราเสร็จแล้ว"

วันนี้ผมไม่ได้มามหาลัยคนเดียวอีกต่อไป เธอก็เหมือนกัน เราขี่รถมาในชุดนิสิตถูกระเบียบทั้งคู่ ต้องเผชิญหน้ากับสายตาเพื่อนๆ ที่อาจจะเห็นเราสองคนได้ทุกเมื่อ เราเดินไปด้วยกันจนถึงหน้าห้องเรียน ผมมองเวลาที่หน้าปัดโทรศัพท์ 9:15 น. เลทแล้ว... ตอนนี้เพื่อนๆ คงนั่งกันอยู่เต็มห้อง... จุดนี้แหระ ให้ความรู้สึกเหมือนกับตอนกำลังเปิดกล่อง pandora... ถ้าเราเข้าไปพร้อมกัน สายตาทุกคู่จะจับจ้องมาที่เราสองคน เพราะหลังจาก dead air และ stun คำถามต่างๆ มากมายจะถาโถมเข้ามาจนรับไม่ทัน ผมคิดภาพในใจ... เธอเร็วกว่าผมอีกแล้ว... เปิดประตูพรวดแล้วเดินเข้าไปเลย ผมหลบหน้าหลบตาเดินตามเข้าไปแบบย่องๆ สิ้นเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากประตูบานเก่าห้องภาคเท่านั้นแหละ "อ้าว...วันนี้ทำไมมาด้วยกันได้อ่ะ" "ซ้อมหลีดยังไงเนี่ย ซ้อมจนไปรับไปส่งกันแล้ว" "แหนะๆ สองคนนี้มี something อะไรกันรึเปล่า" "เจ๊หนึ่ง คิดอะไรกับนนป่าว" และอีกมากมาย... ฮือฮาไปทั่วห้อง เราสองคนทำหน้าไม่ถูก ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆกันทั้งคู่ เธอเดินไปนั่งแถวหน้าที่เพื่อนจองไว้ให้ ส่วนผมชอบนั่งคนเดียวด้านหลังอยู่เป็นประจำ ทั้งผมและเธอ วันนั้นทั้งวัน ไม่ว่าจะอยู่ด้วยกัน เดินด้วยกัน นั่งด้วยกันหรือแยกกันก็โดนเพื่อนๆ ตามล้อตลอดเวลา...







เวลา 12:00 น. ความสัมพันธ์ก้าวต่อไปที่ Step 2 ทันที ... "กินข้าวด้วยกัน" ตอนนี้ผมรู้สึกว่ากลายเป็นภารกิจ และครั้งแรกต้องออกมาดีที่สุด ผมให้เธอเป็นคนเลือกร้าน... เรามาอยู่ที่ร้านตามสั่งประจำซอย SS ร้านนิยมของนิสิต ที่ต้องการความอิ่มอร่อย และความรวดเร็ว ให้ทันก่อนเข้าเรียนบ่าย... ซอย SS ตั้งอยู่ทางประตูทิศตะวันตก มีประวัติคู่กับมหาลัย EU มานานตั้งแต่ครั้งอดีต สมัยที่ยังไม่มีการก่อสร้างมหาลัย พื้นที่ตรงนี้และบริเวณรอบๆ เป็นทุ่งรกร้างสวนมะพร้าว กระทั่งคนเข้ามาบุกร้างถางพง ขยับขยายเข้าจับจองที่ดิน เกิดเป็นหมู่บ้าน มีถนนตัดผ่าน... เวลาล่วงเลยผ่านไป... กลุ่มก้อนชุมชนเริ่มเข้าที่เข้าทาง จากโรงเรียน พัฒนาเป็นวิทยาลัย กระทั่งมหาลัยก่อกำเนิดขึ้น ร้านสะดวกซื้อร้านหนึ่งถูกสร้างขึ้นท่ามกลางชุมชน ชื่อว่าร้าน SS ได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้คนในละแวกนั้น จึงเรียกชื่อซอยนี้ตามชื่อร้าน แต่ภายหลังต้องปิดตัวลงเพราะ 7-11 ขยายกิจการเข้ามา แต่ผู้คนที่นี่ก็มักจะเรียกซอยนี้ว่าซอย SS อยู่เสมอจนติดปาก ส่งต่อความน่าสงสัยถึงที่มาที่ไปของชื่อซอยนี้อย่างไม่จบสิ้นในกลุ่มนิสิตจากรุ่นสู่รุ่น... เมื่อเทียบกับซอยที่เหลืออีก 3 ซอยทางประตูทิศตะวันออก เหนือ และใต้ ซอยนี้นับว่ามีสภาพเศรษฐกิจที่คึกคักที่สุด ประกอบด้วยร้านสะดวกซื้อชื่อดังทั้ง 3 แบรนด์ ร้านตามสั่งขึ้นชื่อ ร้านชาบู-หมูกระทะ ร้านนมยอดฮิตถึง 2 ร้าน ร้านชานมใข่มุก BY ขวัญใจนิสิต ร้านอาหารเหนือ ร้านเสต็ก และ street food ตลอดสองข้างทาง ซอยนี้ยังครบครันไปด้วยสิ่งต่างๆ ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของนิสิตในทุกด้าน เช่น บริการหอพักใกล้มหาลัย ร้านชุดนิสิต ร้านตัดผม ร้านถ่ายเอกสาร ร้านอินเตอร์เน็ต 24 ชั่วโมง ทำให้ซอยนี้วุ่นวายคึกคักตลอดเช้าจนค่ำ...

ตัดภาพมาที่เมนูอาหารที่เลือก สังเกตุได้ว่าเธอชอบทานซีฟู้ด และอาหารประเภทยำรสจัดจ้าน เปรี้ยว-เผ็ดตามแบบฉบับผู้หญิงทั่วไป แต่เธอไม่ได้สนใจการควบคุมน้ำหนักสักเท่าไหร่ เพราะเธอกินได้น้อย แต่ค่อนข้างกินจุบจิบ อาหารว่างของเธอคือผลไม้ แทบจะทุกชนิดที่เธอชอบ เธอไม่ชอบแดดแรงและอากาศร้อน "อ่าว, นนวันนี้มากับใครเนี่ย" ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาเจอพวกเพื่อนๆ ต่างภาคที่ร้านนี้ "เฮ้ย...นั่นหลีดคณะเรานี่" "โห นนมึง..." ผมยิ้มๆ ไม่อยากโต้ตอบอะไรกับพวกมันมาก เดี๋ยวจะคุยกันไม่จบ

ตกเย็น หลังเลิกเรียน การซ้อมเริ่มต้นขึ้นเป็นปกติ เรามาใกลกันมากแล้ว ถึงขั้นแปรขบวน เก็บรายละเอียดและเช็คความพร้อม ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ เรายังไม่มีโอกาสเอ่ยปากถึงเรื่องเมื่อคืนกันเลย... ในเวลาซ้อมเราสองคนทำตัวปกติ ถึงเพื่อนๆ จะรู้ว่ามีอะไรมากกว่านั้น แต่ก็วางตัวในระยะที่พอเหมาะพอสม ใกล้ชิดกันไม่มากไม่น้อยเกินไป สิ่งที่ผมยังคงกังวลใจ คือเธอไม่พูดอะไรเกี่ยวกับความรู้สึกของเธอเลย... ยอมรับว่ารู้สึกอึดอัด ไม่รู้ว่าจะออกมาดีหรือร้าย ได้แต่สังเกตท่าทีของเธอและคาดเดาในใจไปต่างๆ นานา "โอเคจ้า... วันนี้พอแค่นี้" เสียงเธอพูดกับลูกทีมรวมทั้งผมด้วย ผมหยิบโทรศัพท์มาดู 21:10 น.... ทุกคนแยกย้ายกันกลับจนหมดอย่างรวดเร็ว เหลือแค่เราสองคน... กลายเป็นรู้สึกหนักอึ้งยิ่งกว่าตอนที่อึดอัดเพราะเธอไม่พูดอะไรซะอีก ผมยืนมองเธอเก็บของอย่างใจลอย "ไปส่งเราใช่มั้ย..." เธอเอ่ยขึ้น "ไปสิ ไปส่งอยู่แล้ว..." ผมถอนหายใจ

เสียงสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อฮอนด้า เวฟ100 ดังขึ้น เธอนั่งใพล่ซ้อนท้ายอย่างเรียบร้อยในชุดนิสิตที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผมขี่รถผ่านตึกคณะสูงขนาด 8 ชั้น ที่ติดไฟส่องสว่างเพียงแค่สลัวๆ เฉพาะในจุดที่สำคัญ กลิ่นจากต้นตีนเป็ดฉุนเตะจมูก ไม่ว่ากี่ครั้งผมก็ไม่ชินกับกลิ่นนี้ ได้กลิ่นทีไรปวดหัวจนแทบจะเป็นไมเกรน... ตัดผ่านตึกคณะ เป็นตึกคอมพิวเตอร์ เจอวงเวียน เลี้ยวซ้าย ตรงมา แล้วเลี้ยวขวาหน้าตึกวิทยาศาสตร์การแพทย์  ออกประตูที่ 2 ทางทิศใต้ เยื้องหน้ามหาลัย ทางนี้เป็นทางที่เร็วที่สุด เสียงเครื่องยนต์ดับ เธอลงไปยืนตัวตรงกอดกระเป๋าย่ามไว้ ชายเสื้อนิสิตตัวเล็กออกมานอกกระโปรง ถึงจะเหงื่อชุ่มหน้า ผมยุ่งไปบ้าง หน้าตาเธอยังสดใสน่ารักดี...

"คืนนี้มาป่าว..."

เมื่อได้ยินคำนี้ ผมรู้สึกค่อยๆ ตื่นเต้นตัวร้อนผ่าวขึ้นมา มีอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก พยายามเก็บอาการ อยากจะอยู่ที่นี่ตอนนี้เลย เพราะนอกจากคำพูด สีหน้าเธอดูจริงจังและตั้งใจ กระนั้นยังแอบแฝงไปด้วยแววตาดำลึกอ่อนโยนประโลมโลกน่าค้นหา จับจ้องมองตาผมแบบไม่กระพริบ คล้ายจะดึงเราให้ตกไปในหลุมดำแรงดึงดูดอนันต์... คำพูดสั้นๆ นั้นได้ใจความ ให้ความรู้สึกว่าเรื่องระหว่างเรายังไม่จบ เรื่องสำคัญที่เราต้องแก้ใขมันไปด้วยกัน ในทางกลับกัน... หรือเราโดนเกมของเธอเข้าอีกแล้ว แต่มีทางเดียว... ถึงเป็นเกม เราก็ต้องเล่นให้เต็มที่ ไม่งั้นเราอาจจะไม่เข้าใจผู้หญิงคนนี้ไปตลอดชีวิต ความรู้สึกระหว่างผมกับเธอตอนนี้ จะว่าเป็นความรักหรือเปล่า ยังอธิบายอะไรไม่ได้เลย... อาจจะยังขาดส่วนสำคัญต่างๆ เข้ามาช่วยเติมเต็มในช่องว่างของความรู้สึก

...คืนนี้เป็นคืนสำคัญจริงๆ...

ผมกลับมาที่ห้องตัวเอง... นั่งครุ่นคิดบนที่นอน รู้สึกว่าทุกอย่างต่อจากนี้ต้องแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา จะบ่ายเบี่ยงใช้อะไรหลบเลี่ยงการพัฒนาความสัมพันธ์ไม่ได้แล้ว ...หันไปมองชีทปึกนั้น "ไม่ต้องเอาไปหรอก" สิ่งที่ต้องเอาไปคือความรู้สึกเมื่อตอนเย็น... ความรู้สึกที่อยากจะถาโถมใส่เธอ... แววตาที่แน่วแน่คู่นั้น เธอเองน่าจะเตรียมตัวกับเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน

ตอนนี้เอง... ที่ตรรกะการเป็นเหตุและผลของผมประติดประต่อเรื่องราวเมื่อคืนทั้งหมดได้สมบูรณ์ มันน่าจะเริ่มจาก... ความผิดหวังในรสเซ็กส์ที่ไม่เป็นไปตามคาด เธอจึงเริ่มแตกความคิดออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือ ผมไม่พร้อมมีเซ็กส์กับเธอ อาจจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เช่น มันยังเร็วไปหรือเกี่ยวกับการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เธอรับรู้ได้ถึงความกลัวของผม ที่อาจส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างเราขึ้นมาและมีแนวโน้มขยายวงกว้างออกไป และส่วนที่สอง... คือผมไม่อยากมีเซ็กส์กับเธอ เธออาจจะคิดว่าผมไม่มั่นใจที่จะคบหา หรือไม่ประทับใจในสัดส่วนรูปร่างของเธอ ส่วนนี้อาจจะดูร้ายแรงที่สุด เพราะปิดกั้นการสานต่อความสัมพันธ์ไม่ให้ไปต่อได้อย่างสิ้นเชิง สองความคิดนี้ทำเธอสับสน และเลือกที่จะเงียบไว้ ไม่พูดอะไร เธอที่เป็นฝ่ายรุกเร้าเข้ามาก่อน ยิ่งทำให้เธอเสียความมั่นใจ ยังไม่รวมถึงความซับซ้อนเรื่องเพศสภาพและธรรมชาติของผู้หญิง...

ผมพอเข้าใจเธอได้คร่าวๆ มันไม่ใช่เกมกลอะไรอย่างที่ผมเคยคิด...

ภาพเมื่อคืนผุดขึ้นมา ภาพของหลีดสาวนอนตะแคงเปลือยเปล่าเอาหน้าซุกหมอนผุดขึ้นมาในหัว ผมรู้สึกแคร์ความรู้สึกเธอขึ้นมาทันที เธอนอนนิ่ง จริงๆ เธออาจจะไม่ได้หลับอย่างที่เห็น คงคิดมากและสับสนกับท่าทีของเรา

แต่ถึงอย่างนั้น... ในความเป็นจริง ยังมี "ส่วนที่สาม..." อยู่ ส่วนที่ผมรู้คนเดียว ผมประหม่าและตื่นเต้นมากกว่า เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป สถานการณ์ที่รับส่งอย่างมีแบบแผนจนน่ากลัว เริ่มจากการจับคู่เรียน เรื่องขาดผู้ชายไปร่วมทีม เรื่องของขวัญวันเกิด เรื่องล๊อคคู่เต้น เรื่องที่เราต้องมาส่ง เรื่องตัดผม เรื่องติวหนังสือส่งต่อมาจนถึงเรื่องเมื่อคืน สถานการณ์ทุกอย่างล้วนให้ตัดสินใจเลือกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ตอนนี้ผมได้อยู่กับตัวเองแล้ว... หลังจากที่อยู่กับเธอมาตลอดตั้งแต่เมื่อคืน รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก... มีเวลาให้คิดวิเคราะห์ประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์... "เซ็กส์" เท่านั้น ที่จะปลดล็อคขั้นต่อไปของความสัมพันธ์เราได้




Photo by Em bé khóc nhè on Unsplash




หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ผมรวบรวมสติ ขี่รถออกไปอีกครั้ง ตอนนั้นเวลา 22:30 น. รู้สึกเหมือนกำลังกลับเข้าไปแก้เควสเกมในด่านระดับ hard difficulty ที่ไม่เคยผ่าน ฉากที่ต้องกลับมาเล่นใหม่ซ้ำไปซ้ำมา ถ้าเราทำแบบเดิม ผลลัพธ์ย่อมไม่เปลี่ยน ไม่พ้นต้องวนกลับมาเจอเรื่องราวเดิมๆ เพราะฉะนั้น...

"เอ้อ... เรามาถึงแล้วนะ" ผมโทรขึ้นไปก่อนเหมือนเคย

"ไปกินไรกันก่อนมั้ย" เธอเสนอขึ้น...

คำว่า "ก่อน" ในประโยคนั้นไม่ใช่คำธรรมดาระหว่างเราอีกต่อไป... ไม่กี่นาที เธอลงมาในชุดคล้ายกับเมื่อวาน เสื้อสายเดี่ยวตัวเล็กกับกางเกงขาสั้นตัวบาง แค่สีเปลี่ยนไป แต่กลิ่นเย้ายวนใจนั้นไม่เคยเปลี่ยน...

"หน้ามอ" ตลาดของกินที่เกือบจะโต้รุ่ง อยู่ติดถนนลงหาดขาออก ตรงข้ามมหาลัยแค่ช่วงถนนกั้น เต็มไปด้วยนิสิตทั้งที่ยังอยู่ในชุดบ้าง เปลี่ยนครึ่งท่อนบ้าง เดินจับจ่ายของกินกันอย่างเบียดเสียดเต็มทางเท้า แสงไฟสีเหลืองจากร้านอาหารข้างทาง รถมอเตอร์ไซค์จอดเรียงราย กินพื้นที่ฝั่งซ้ายบริเวณแยกสัญญาณไฟจราจรเป็นทางยาวหลายเมตร ที่นี่มีครบ... ทุกอย่างที่อยากกิน ข้าวเหนียวหมูปิ้งรอบเย็น ลูกชิ้นทอด ข้าวขาหมู-คากิ ร้านข้าวหมูกรอบ-หมูแดง โจ๊ก ร้านข้าวต้ม-ตามสั่ง ข้าวราดแกงราคาแพง ก๋วยเตี๋ยว-เย็นตาโฟ ร้านเครป truck ...แต่ทั้งหมดนั้นไม่ใช่ร้านที่เธอสนใจ... เราสองคนมาหยุดที่ร้านยำรสเด็ด คนต่อคิวเยอะมาก ยืนบังกันจนมองไม่เห็นหน้าร้าน นี่เธอคิดจะกินร้านนี้จริงๆเหรอ ผมเหลือบมองไปเห็นคนปรุงยำ น่าจะเป็นเจ้าของร้าน อายุมากแล้ว หน้าตาออกไปทางคนจีน ตัวเล็กหลังค่อมนิดๆ ยืนปรุงยำแต่ละจานอย่างตั้งใจโดยไม่มีท่าทีรีบร้อน ส่วนผสมทุกอย่างถูกชั่งตวงวัดอย่างพอดีเป๊ะด้วยช้อนยาวทานข้าวลักษณะจับเหมาะมือ ก่อนจะสาดลงในกระมังแสตนเลสขนาดย่อมทีละอย่างๆ คลุกเคล้าให้เข้ากันดี ผมยืนดูแต่ละจานที่ป้าค่อยๆ ทำอย่างเพลินตา เสร็จแล้วเทลงจานถ้าหากต้องการทานที่ร้าน และเทลงถุงสำหรับท่านที่ต้องการนำกลับไปทานที่หอพัก แต่... เมื่อผมมองข้ามไปหลังร้าน มีโต๊ะสำหรับทานที่ร้านแค่สองโต๊ะ สองโต๊ะเท่านั้น... มีคนนั่งกินอยู่แล้วด้วย

"เธอกินนี่ หรือซื้อไปกินที่หออ่ะ"

ผมอดไม่ได้ที่จะถาม เพราะคิวก่อนหน้ามีอีกประมาณ 7-8 คิว และไม่รู้ด้วยว่าเค้าจะนั่งกินที่นี่หรือซื้อกลับบ้าน

"ยำแล้วก็ต้องกินเลย เราเคยซื้อกลับไปแล้ว...ไม่อร่อย" ผมทำใจไว้แล้วกับคำตอบแบบนี้

นิสัยเสียของผมคือ ไม่เคยรออะไรที่อยากกินเลย ไม่เสียเวลาให้กับการรออาหารมากเกินไปถึงแม้จะอร่อยแค่ใหน ถ้าคิวเยอะ ผมจะเลือกทานอย่างอื่นก่อนเสมอ... ผ่านไป 30 นาที ถึงคิวเราแล้ว เธอสั่งยำวุ้นเส้นทะเล ผมขอผ่านมื้อนี้ คนที่นั่งอยู่ลุกไปพอดี ไม่นานเกินรออย่างที่คิดเอาไว้ ผมนั่งดูเธอกินอย่างมีความสุข อดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเธอที่ยิ้มไปกินไป

เธอให้บทเรียนที่ดีกับผมแบบไม่รู้ตัว ...ไม่ว่าจะนานแค่ใหน ถ้าสิ่งนั้นมีค่า เรารอมันได้เสมอ...




ขอบคุณรูปภาพจากwikipedia




เธอได้ผลไม้ติดมือกลับมาสองสามอย่าง เรานั่งกันอยู่บนเตียงโดยไม่พูดอะไร... อยู่ๆ เธอก็ลุกไปเปิดโน๊ตบุค acer รุ่น 4551G มิวสิควิดีโอหนึ่งดังขึ้นมา ที่เต้นไม่ใช่แค่คนในจอ หลีดสาวก็เต้นเหมือนกัน แทนที่เธอจะอาย กลับกลายเป็นผมเองที่มองเธอแบบเขินๆ ยิ้มจนจะหลุดขำ เธอเต้นผิดเต้นถูก ค่อยๆ ถอดท่าเต้นทีละท่าไปมาอย่างสนุกสนาน ผมหัวเราะที่เห็นเธอเต้นพลาด นักเต้นสาวสวยก็หัวเราะเพราะบางทีก็เต้นตามเพลงไม่ทัน เสียงของเราสองคนดังลั่นทั้งชั้น "จะมีใครออกมาด่าเรามั้ย..." ผมกลัวจะรบกวนคนอื่นแต่ก็ยังขำอยู่ ในความสนุกแบบผ่อนคลายไม่มีสาระของเธอ ผมเริ่มเห็นพรสวรรค์ของจริงก็คราวนี้ ...แค่ท่อนแรกท่อนเดียวเท่านั้นที่เธอพลาด... เมื่อเพลงวกกลับมาท่อนเดิม เสียงหัวเราะหายไป รอยยิ้มบนหน้าค่อยๆ จางลง แววตาเปลี่ยนไป ทุกการขยับตัว ไม่ว่าจะข้อต่อแขน ขา การบิดตัว วิธีการเกร็งกล้ามเนื้อตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย สีหน้าตอนเต้น ทิศทางของใบหน้า ทุกอย่างพอดีเป๊ะกับคนในจอไม่ผิดเพี้ยน ผมหัวเราะไม่ออก รู้สึกกลัวและทึ่งในความสามารถของเธอ เธอยัง replay เต้นต่อไปเรื่อยๆ จนสามารถแกะท่าเต้นออกมาได้หมดจดสมบูรณ์จากการ replay แค่สองครั้ง... "สวยมั้ย" เธออยู่ในท่าสุดท้ายหันมายิ้มกว้างให้ผมหลังเพลงจบ ผมทึ่งมากกว่าที่จะตอบว่ามันสวย "เพิ่งแกะเพลงนี้ครั้งแรกป่ะเนี่ย" "ป่าว...รอบนี้รอบสอง" เธอพูดแล้วหยิบแคนตาลูปใส่ปากเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ผมเข้าใจเรื่องที่รุ่นพี่หลีดตัดสินใจรับเธอเข้ามาอย่างไม่มีข้อสงสัย... พรสวรรค์ระดับนี้ อนาคตคือนักเต้นที่มีชื่อเสียงได้แน่นอน "ใหน...เต้นให้ดูหน่อยสิเธออ่ะ ไปถึงใหนแล้ว" เสียงเธอท่าทางสนุกแต่ แฝงไปด้วยเสียงแข็งของกัปตัน "ถ้าผิดจะให้เต้นทั้งคืนเลย...ฮิฮิๆ" "ไม่เอาอ่ะ ให้เต้นตอนนี้อ่ะนะ ซ้อมตอนเย็นมายังไม่หายเหนื่อยเลย" ผมเอ่ยปัด "ซ้อมไว้สิ ตอนนี้อยู่กับคนสอนตัวต่อตัวแล้วไง... จะได้คล่องไวกว่าเพื่อน จริงๆ แล้วนนอ่ะยังไม่คล่องที่สุดในทีมเลยนะ" หลีดสาวพูดแล้วหยิบมะม่วงใส่ปาก ก็จริงอย่างเธอพูด ถึงผมจะยังไม่ลุกขึ้นยืนในทันที แต่เธอพูดมาก็มีส่วนถูก "ก็ได้..." ในเวลาเกือบสองชั่วโมงนั้น ผมก็โดนให้เต้นเพลงมาร์ชมหาลัยหน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเธอคอยเต้นไปพร้อมกันอยู่ข้างๆ ตัวต่อตัวต่อเนื่อง ไม่มีการพัก ผิดแล้วแก้ทันที เต้นซ้ำไปซ้ำมาจนกว่าจะได้ เธอเก็บทุกรายละเอียด ถึงจะลักไก่เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่รอดพ้นสายตาไปได้ ตบท้ายด้วยเทคนิคการขยับข้อต่อเพื่อการเต้นที่ลื่นใหลและสวยงาม สอนให้เป็นพิเศษ

 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

Sessiri Ratanatharakeat

เหมือนอ่านนิยายดีๆ เรื่องนึงเลยนะ ไม่เลวน่าสนใจดี

nowhereman

#2
บิวเรื่องได้น่าสนใจมากๆครับ ภาพประกอบก็สวย

คืนที่สองร้อนแรงขนาดนี้ ยาวแน่ๆ

ผู้เฒ่าเซราะกราว

นนน่าจะดีใจมากนะ ที่ได้มาซ้อมเต้นหรีดกับคนเก่งๆตัวต่อตัวแบบนี้ ก่อนที่จะได้รับรางวัลความสุขจากเธอ....อิอิ

pputter

เหมือนอ่านนิยายเลย คลาสิคมากครับ รูปสวยดี ชอบ อะ

Jame8509

ยิ่งอ่านยิ่งลุ้น ได้เสียวตลอดๆ

Anawat Por

อารมณ์ค่อยๆขึ้นไปตามเนื้อเรื่องดี

Besttd19


zero888

เรื่องนี้น่าติดตามมากครับ อ่านเหมือนอ่านนิยายเลย 

estellia

ใช้ภาษาบรรยายได้ดี
เหมือนอ่านนิยายเรื่องนึงเลยครับ

dodoza2

เหมือนได้อ่านนิยายเลยครับ ขอบคุณมากครับไปเรื่อยๆสนุกดี

M_ne

ซ้อมเต้นเสร็จ  ถึงเวลาต่อตัวกันแล้ว  จบท่าไหนล่ะครับ

testman

ให้ดีเทลดีครับ ค่อย ๆ ปูความสัมพันธ์ แสดงให้เห็นถึงความคิดตัวละคร เข้าใจเบื้องลึกไปด้วย ดูมีมิติดี ถ้าเรียบเรียงดี ๆ นี้ ขายได้เลยครับ

blackjack

 ::JubuJubu::  ละมุนจัง ทำให้นึกถึงอดีตได้ดีจริงๆ

san2503

ชอบมากครับอ่านแล้วเห็นภาพตามได้ตลอด เคยเกือบมีประสพการณ์แบบนี้เหมือนกัน