ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

Swinging legacy | Cheerleader : Chapter 4 Variance

เริ่มโดย Basilisk, มกราคม 15, 2020, 05:05:42 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 2 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

Basilisk

บันทึกสวิงกิ้ง ภาคหลีดคณะ: บทที่สี่ แปรปรวน
(Swinging legacy | Cheerleader : Chapter 4 Variance)




"เอ้อ ไอ้นนเหรอ" เสียงสนทนาจากอีกฝั่งของหูโทรศัพท์ "ไอ้เหี้ยนน หายไปนานเลยนะมึง..." "หายเหี้ยไร...กูมาเรียนแถวนี้" ผมพูดไปหัวเราะไป "ไม่ได้ข่าวพวกมึงเลย ไอตั้น ไอเอส ไอพุ เป็นไงมั่งวะ พวกมึงเรียนเทคนิคกันหมดเลยนี่" น้ำเสียงผมรื่นเริง "เออ นี่มึงรู้มั้ยกว่ากูจะได้เบอร์มึงมา กูต้องไปเอามาจากพ่อมึงอ่ะ" ไอเจษน้ำเสียงจริงจัง

"ห่ะ พ่อกูยังอยู่ที่เดิมป่ะ"

"เออ แกก็อยู่ที่เดิมแหละ"

ไอเจษเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมต้นที่สมุทรปราการ ไม่ได้เจอพวกมันมานานมาก นับรวมๆ ก็ห้าปีที่หายไปจากสารระบบของกลุ่มเพื่อน พวกไอเจษเป็นกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันมากที่สุด เพราะเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นมากมายในช่วงวัยนั้น ทำให้รู้นิสัยจริงๆ ของกันและกันจนทะลุปรุโปร่ง... น้ำเสียงน้ำคำเพื่อนเก่าพาผมย้อนกลับไปในวัยสิบสามสิบสี่ สมัยที่ยังโขกหมากรุก เล่นไพ่ยูกิ เดินปากน้ำหาซื้อหนังสือการ์ตูนที่เพิ่งวางแผงใหม่ๆ กระทั่งนอนบ้านเพื่อนนั่งเล่น Playstation กันยันเช้า

"เออ ไอพุมันออกรถแล้วนะเว้ย..."

"เรอะ แล้วมันยังคบกับไอเน่อยู่ป่ะ"

"ใช่ๆ คบกันเหมือนเดิม" ไถ่ถามสารทุกสุกดิบกันยกใหญ่ หลังจากแลก email MSN กันไว้คุย ไอเจษส่งท้ายด้วยกำหนดการที่ว่าจะพาคนอื่นๆ มาเที่ยวแถวนี้ "เออ นัดวันมาล่วงหน้าละกัน แถวนี้ที่เที่ยวเยอะ" ผมวางสาย

"แหม คุยนานเชียวนะ" เสียงหนึ่งเอ็ด นั่งรอไปกินข้าว "โทดที เพื่อนเก่าน่ะ ไม่ได้คุยกันนานแล้ว" "ป่ะ... วันนี้ไปร้านใหนดี"

พรุ่งนี้เป็นวันสอบวันสุดท้าย... ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับหนึ่งแล้วว่าจะทำมันออกมาได้ดีแค่ใหน ส่วนเรื่องนั้น ไปได้ดีเช่นกัน เรามีช่วงเวลาดีๆ และตื่นเต้นส่งต่อให้กันอยู่เสมอไม่ขาด... "นน เราว่าจะกลับบ้านช่วงปิดเทอมนะ..." หนึ่งเอ่ยขึ้นในร้านข้าวเจ้าประจำ "อ่อ อืมๆ..." "เธอกลับตอนปิดเทอมตลอดเลยใช่ป่ะ" ผมถาม "ใช่ ตอนปีหนึ่งเราก็กลับ บางทีตอนเปิดภาคแล้วเรากลับทุกเสาร์-อาทิตย์เลย" ผมคงคิดถึงเธอมากแน่ๆ เพราะปิดเทอมปลายภาคกินเวลาเกือบสามเดือนตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม-21พฤษภาคม ปกติเธอจะกลับบ้านช่วงเสาร์-อาทิตย์ เดือนละสองครั้งอยู่แล้ว ผมไปส่งเธอที่ท่ารถอยู่บ่อยๆ

ทางเลือกที่หนึ่งใช้กลับบ้านมีสองทางคือรถตู้และรถบัส ต่างกันที่รถตู้ทำเวลาได้ดี แต่อันตราย ส่วนรถบัสช้ามาก จอดรับรายทาง แต่ความปลอดภัยสูง... ปี 2554 ข่าวรถตู้พลิกคว่ำไฟท่วมมีให้เห็นบ่อย ทั้งสายระยองและจันทบุรี ยิ่งถ้าเป็นสายระยองนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นสายที่ขับรถได้น่าหวาดเสียวมากๆ... แต่เพราะทุกครั้งก่อนหนึ่งจะกลับบ้าน เราสองคนมักร่ำลากันด้วยท่วงท่าลีลาสารพัดที่หอพักนานจนเกินไป ที่พอจะพึ่งได้กลับกลายเป็นรถตู้เที่ยวสุดท้ายที่มีรอบดึกมากกว่ารถบัส สำหรับเก็บตกคนรอบหนึ่งทุ่มเป็นตัวเลือกเดียว ทุกครั้งผมจะอยู่นั่งรอด้วยจนรถมา เห็นภาพเธอสะพายเป้หันหลังให้ รอยยิ้มหวานหลังฟิล์มกระจกเบอร์ 40 ได้แต่ภาวนาไม่ให้เกิดเรื่องขึ้นแบบในข่าว "ทั้งหมด เก้าสิบบาทจ้า...ไม่มีใข่ดาวเนอะ" เสียงแม่ค้าดึงผมกลับมา "ป่ะ กลับหอกัน พรุ่งนี้อีกสองวิชา" หนึ่งสะบัดกระโปรงพลีทลุกขึ้น




ขอบคุณรูปภาพจาก stuff.tv




เช้าวันรุ่ง...

ผมกับหนึ่งเดินออกมาจากลิฟต์ตึกภาควิชาชั้น 6 "อ่าว หนึ่ง นน เป็นไงๆ" ผมหันไปหาต้นเสียง "แน่นกันเลยสิ ติวสองต่อสอง" เพื่อนที่ภาคราวๆ 60 ชีวิตกำลังจับกลุ่มติวในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนเข้าห้องสอบ นั่งอยู่ตามระเบียงบ้าง กับพื้นบ้าง ทุกคนถือชีทในมือ บางคนเดินท่องอยู่คนเดียว เสียงเอะอะวอแวทั่วบริเวณ "ไม่ขนาดนั้นจ้าา" หนึ่งตอบยิ้มตาหวาน "นนอ่ะ ปีนี้ไม่ติวให้พวกเราเลยนะ" เสียงประชดทีเล่นทีจริง "โทดที ปีนี้กิจกรรมส่วนกลางเยอะ" "เราก็ยังไม่ค่อยชัวร์เท่าไหร่เลย" ผมหลบหลีก เจอหน้าเพื่อนกลุ่มนี้ทีไรโดนแซะทุกที "พูดงี้ตลอดอ่ะ โด่... เห็นทอปไม่ก็รองทอปตลอดเลยอ่ะ งอนๆ" ยังถากถางต่อ "อย่าคิดว่าไม่เห็นน้าาา วันนั้นเห็นนั่งหน้าเครียดกันอยู่ที่หอสมุดอ่ะ" ซวยละ ผมคิดในใจ เห็นได้ไง อุตส่าห์โดดเรียนไปอ่านหนังสือ "วันนั้นเอาหนังสือไปคืน เจอเลยจ้า นั่งกันอยู่ชั้นล่าง" เฮ้ยย... "ถึงกับโดดเรียนไปอ่านหนังสือกันเลยน้าา ตอนนั้นที่เจอยังไม่เข้าช่วงสอบเลย สงสัยจะแน่นเลยสิ" ไม่ใหวล่ะ... ผมทำท่าจะเดินหนี

"แน่นๆ พุงเค้าเนี่ยแน่นๆ ฮิๆ ช่วงนี้กินเยอะ"

หนึ่งช่วยเบี่ยงประเด็นออกได้ดี แถมยังทำหน้าดื้อหัวเราะไม่หยุดอีก

"มีตรงใหนให้ช่วยดูมั้ยล่ะ" ผมถามเพราะอยากช่วยเพื่อนบ้างจริงๆ "หนึ่งจะทวนด้วยมั้ย" "ไม่เป็นไร เราว่าเราพอแล้วล่ะ อิอิ" ผมกับหนึ่งเดินเข้าไปนั่งข้างๆ กลุ่มเพื่อน บางคนใช้เทคนิควาด my mapping ซึ่งผมชอบเทคนิคนี้เหมือนกันช่วยให้เห็นโครงสร้างเนื้อหาทั้งหมดและจำได้ง่าย บางคนใช้เทคนิค short note อันนี้ก็ดี แต่ต้องมีความจำเป็นเลิศ บางคนจับคู่ถามตอบ อันนี้ช่วยให้ไปได้เร็วในกรณีที่เนื้อหาค่อนข้างเยอะ แต่ที่สุดยอดเลยก็คือเพื่อนบางคนที่ใช้เทคนิคตัวย่อภาษาอังกฤษ จำแค่ตัวย่อแล้วค่อยแตกแขนงเนื้อหาในหัวอีกที เทคนิคนี้ผมเคยเห็นจากเพื่อนที่ผมเคยติวด้วยกัน เรียกว่าผมเป็นลูกศิษย์จะดีกว่า... เพื่อนคนนี้ค่อนข้างเก่ง ออกไปทางอัจฉริยะเลย แต่ว่าเรียนอยู่คนละภาคกัน หลังจากขึ้นปีสองก็ไม่ค่อยได้ติวด้วยกันเท่าไหร่ เพราะวิชาที่เรียนไม่เหมือนกัน... ผมช่วยเพื่อนถามตอบทำความเข้าใจนิดๆ หน่อยๆ ดูจากรอยยิ้มและสีหน้าของทุกคน เหมือนจะช่วยในช่วงนาทีสุดท้ายนี้ได้พอสมควร "เข้าห้องสอบได้แล้วค่ะนิสิต..." เสียงอาจารย์คุมสอบหยุดเสียงทุกคนเอาไว้ "โชคดีนะ..." ผมพูดกับหนึ่ง "อื้มม ถ้านึกไม่ออก เราจะนึกถึงหน้านนละกันนะ" ผมหัวเราะแยกย้ายกันเข้าห้อง... คายหมากฝรั่งทิ้งถังขยะ เพราะรู้ว่าเทคนิคหมากฝรั่งรื้อความจำใช้กับอาจารย์ประจำภาควิชาที่เคร่งครัดเรื่องระเบียบวินัยนี้ไม่ได้




Photo by Nathan Dumlao on Unsplash




45 นาทีผ่านไป...

"เค้าจำสลับกันสองตัวนั้นอ่ะ เสียดายอ่ะนน..." เสียงหนึ่งเหมือนเด็กดื้อ ออกท่าออกทางหมั่นเขี้ยว เดินหงุดหงิดตรงมาหาผม... ผมออกจากห้องสอบมาคนแรกๆ นั่งรออยู่ จากนั้นกลุ่มเพื่อนเริ่มก้าวออกมา เสียงเอะอะ โหวกเหวก คล้ายๆ ตอนนั่งรอดูหนังแล้วกลุ่มคนดูจบเดินออกมาจากโรงยังไงยังงั้น "แล้วข้อที่เหลืออ่ะ... ทำได้มั้ย" ผมถาม "ได้อยู่ แต่สองข้อนั้นอ่ะจำแม่นเลย ดันสติแตกจำสลับอ่ะดิ" นี่เธอเสียดายขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย ผมหัวเราะเล็กน้อย "ป่ะ กินข้าวก่อน เหลืออีกแค่ตัวเดียวตอนบ่าย" ต้องรีบตัดบทก่อนที่หนึ่งจะรำพันไปมากกว่านี้

หลังสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ...

"เธอจะอยู่ที่นี่อีกกี่วันอ่ะ" ผมถาม เราสองคนกลับมาที่ห้อง กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า "น่าจะอีกอาทิตย์สองอาทิตย์อ่ะ" "จริงๆ ตอนปีหนึ่งสอบเสร็จเรากลับเลย นี่เราอ้างแม่ว่าอยู่เคลียร์งานกิจกรรมนิดหน่อย" ผมเข้ามาโอบเอวหนึ่งจากด้านหลัง เรายืนกันอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง กระจกบานใหญ่สะท้อนภาพสองนิสิตหนุ่มสาวเปลือยท่อนบน "เราคงคิดถึงเธอแย่เลย..." ผมกระซิบ อย่างน้อยก็ได้พูดในสิ่งที่คิด ช่วงเวลาสี่เดือนที่ผ่านมา เกิดเรื่องราวขึ้นมากมายจริงๆ ทั้งหมดเพราะเธอคนนี้ คนที่อยู่ตรงหน้าเรา "เราสิคิดถึงนน ฮึ..." ในแววตานั้น ผมไม่สงสัยในความรู้สึกเธอเลย หนึ่งหันกลับมาหา เอื้อมมือลงมาจับท่อนเนื้ออุ่นเอาไว้ ใบหน้าเรียบเฉย ตามองลงไปที่เป้ากางเกง ผมจูบที่ต้นคอเธอ จากนั้นเราทั้งสองคนก็ล้มไปที่เตียง เกมกามดำเนินไปอย่างถึงพริกถึงขิง...

"จะให้โพสต์ท่าใหนอีก..." หนึ่งพูดพร้อมกับสายตาที่เย้ายวน "ท่าใหนก็ได้ หนึ่งนี่หุ่นดีอย่างกับนางแบบเลยนะ" เราสองคนอยู่ในสภาพเปลือยกายล่อนจ้อน หลังเกมรักที่หนักหน่วง... ผมหยิบกล้องดิจิตอล cyber shot ออกมาจากกระเป๋า หนึ่งอยู่ในท่านั่งเทพธิดาแอ่นก้นงอนไปด้านหลัง หน้าเปื้อนยิ้ม มือเท้ากับที่นอน... ผิวงามสีน้ำผึ้งสลับขาวสอดแทรกด้วยเส้นเลือดใต้ผิวหนัง ทรวดทรงองเอวโค้งมนกระชับแน่นรับท้ายด้วยแก้มก้นกลมกลึง สายตาหวานเซ็กซี่ในแบบฉบับผู้หญิงไทย ผมดำมันวาวโค้งยาวสลวย ผมชื่นชมความงามในเรือนร่างหลีดสาวผ่านช่องเลนส์เล็กๆ ก่อนลงน้ำหนักมือไปที่ชัตเตอร์ แชะๆ... เลื่อนดูภาพหลังถ่าย ถึงแม้จะถูกสตาฟไว้ในรูปภาพ เธอยังสวยไปทุกอณู... "ใหนๆ เอามาดูมั่ง" หนึ่งพุ่งเข้ามาคว้ากล้องไปเลื่อนดู "ไม่เห็นจะสวยตรงใหนเลย" หนึ่งพูดเรียบๆ "คนเหรอ หรือว่ารูป" ผมแซว "คนละมั้ง..." หนึ่งหัวเราะ ผมถ่ายอีกหลายรูปต่อเนื่องในอิริยาบถที่ต่างออกไป หญิงสาวให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีด้วยท่าทางและสายตาเย็นชาที่ทำให้ผมมีอารมณ์ แล้วก็อดใจไม่ใหวต้องเข้าไปกอดรัดบรรเลงกามอีกครั้ง ยกแล้วยกเล่า... เธอยังคงส่งสายตาเย้ายวนและเสียงครางครวญไม่ขาด เมือกช่องคลอดกระฉอกอีกระลอก ท่อนเนื้ออาบชุ่มด้วยน้ำกาม แคมตัวเล็กเผยอรัดรวบดุ้นอวบ หน้าแดงก่ำ แววตาเต็มไปด้วยความกำหนัด เนื้อสาวแนบเนื้อชายสุขสันต์กอดรัดกอดก่ายพัลวัน ราวกับไม่อยากรับรู้ถึงสิ่งอื่นใดนอกจากรสกามในเวลานี้...







1 มีนาคม 2554...

"นน มีคนโทรมาอ่ะ" หนึ่งเรียกหา ผมกดชักโครก เดินออกมาคว้าผ้าเช็ดตัว หนึ่งยื่นโทรศัพท์มาให้ ผมยิ้มรับ เลื่อนหน้าจอขึ้นแนบหู "เออ ว่า..." "มึงอยู่ใหน กูมาเที่ยวกันเนี่ย" น้ำเสียงเร่งร้อน "อ่าวเฮ้ย มึงถึงใหนกันแล้ว" ผมตกใจ คุยกันครั้งที่แล้วเคยบอกว่าถ้าจะมาให้บอกล่วงหน้า ไอพวกนี้ชอบทำแบบนี้ทุกที "กูจะไปหาด TN กัน..." เสียงไอเจษตอบ "สัตหีบอ่ะนะ..." ผมถามอีกครั้ง "เออ มึงคิดว่าที่ใหนล่ะสัส" เสียงไอตั้นแทรกขึ้นมา มันพูดไปหัวเราะไป "ไอเหี้ยนน มึงรีบอาบน้ำเลยเดี๋ยวกูแวะไปรับ" เสียงไอพุสมทบมาอีกเสียง "เออๆ ได้ๆ" ผมหัวเราะ... น้ำเสียงห้าวๆ ของเพื่อนรื้อภาพความทรงจำ วีรกรรมต่างๆ ขึ้นมา ถ้าเป็นไอเจษผมคุยกันมันเป็นประจำ แต่ไอตั้น ไอพุ นานแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงพวกมัน "หนึ่งไปมั้ย..." ผมหันไปถามแฟนสาว "ไปก็ได้ ว่างๆ อยู่แล้ว"

ไม่กี่นาทีต่อมา...

...Corolla สีบรอนซ์ทอง ปี 1993 ดับเครื่องจอดอยู่ด้านล่างหอพัก ร่างสามหนุ่มวัยรุ่นและอีกหนึ่งร่างที่ยังไม่เปิดเผยอยู่ภายในตัวรถ...

"นั่นแน่ ไอนน มึงนี่ร้ายนี่หว่า" ไอพุพูดทันทีที่ลดกระจกลง ตาไวเหลือบไปเห็นหลีดสาวเดินตามหลังผมมาในชุดสายเดี่ยวกางเกงขาสั้นตัวบาง "เออๆ..." ผมยอมรับไป มันจะได้เลิกแซว "เป็นไงไอนน สบายดีมั้ยมึง" ไอเจษทักทายตามธรรมเนียม "ยังไม่ตายเหรอมึงอ่ะ ไอ้เหี้ยนน ฮ่าๆๆ" คำทักทายแปลกๆ ตามแบบฉบับของไอตั้น "ยังดีอยู่ กูยังไม่ตาย โธ่..." ผมตอบพร้อมกับเหลือบมองไปที่กระจกหน้า อ่าว... ไอเน่มาด้วยนี่หว่า ไอพุไม่เห็นบอก ผมคิดในใจ...  มันยังจู้จี้ตามติดไอพุเหมือนสมัยเรียนอยู่มอต้นไม่เปลี่ยน... ไอเจษเป็นหนุ่มร่างบาง ผิวเหลือง ผมสั้นดูเซอร์ หน้าตาไม่มีจุดเด่นหรือเอกลักษณ์อะไร ส่วนสูง 170 เซ็นติเมตร รูปร่างผอม ท่าทางเป็นคนอ่อน ใจเย็น ไม่ชอบมีเรื่องมีราวกับใคร แต่ถ้าต้องใช้ความคิด ความรอบคอบหรือเหตุผล นี่คือคนที่พึ่งพาได้... ไอตั้นเป็นหนุ่มสูงโปร่ง 180 เซ็นติเมตร ผิวคล้ำ ตัวใหญ่แต่ไม่อ้วน ผมหยิกสั้น หน้าตาออกไปทางแขกใต้ ภายนอกดูเหมือนนักเลงหัวไม้แต่จริงๆ แล้วไม่หาเรื่องใครก่อน กล้าได้กล้าเสีย รักเพื่อนติดเพื่อนไปใหนไปกัน... ไอพุเป็นคนตัวเล็ก ส่วนสูง 165 เซ็นติเมตร หน้าตาบ้านๆ ผิวคล้ำ ผมหยักศกสั้นติดหนังหัว มันเป็นคนเจ้าเล่ห์ ตลกเฮฮา ชอบหาเรื่องมากที่สุดในกลุ่ม แต่จริงๆ แล้วรักเพื่อนรักครอบครัวมาก... ส่วนไอเน่แฟนไอพุเป็นสาวผิวขาวผ่อง หน้าตาบ้านๆ แต่ดูน่ารัก สูงเท่าๆ กับไอพุ สัดส่วนช่วงล่างตั้งแต่เอวลงไปดูอวบอัดแน่นตึงมันวาวมีน้ำมีนวล ท่าทางเจ้ากี้เจ้าการค่อนข้างน่ารำคาญตามประสา "ไงนน ไม่เจอกันนาน..." ไอเน่ทัก "สบายดีๆ" ถึงแม้ว่าภาพความสัมพันธ์เล็กๆ น้อยๆ เมื่อครั้งมอต้นระหว่างผมกับไอเน่ในอดีตจะฟุ้งทำให้เขินขึ้นมาบ้าง แต่ตอนนี้ทุกอย่างดูเหมาะสมกับไอพุไปหมดแล้ว ผมเผลอยิ้มยินดีให้มันทั้งคู่แบบไม่รู้ตัว "ตั้น เจษ แกก็ลุกออกมาก่อนดิว้า ให้แฟนไอนนนั่งข้างในสุด" เสียงไอเน่ลากยาว หนึ่งก้าวขึ้นมานั่งริมซ้ายสุด ผมนั่งถัดจากหนึ่ง ไอตั้น ไอเจษ ตามลำดับ

รถเคลื่อนออกจากลานหน้าหอมุ่งสู่สัตหีบ...

"เออพวกมึง... นี่หนึ่งนะ แฟนกูเอง" ผมแนะนำให้เพื่อนๆ รู้จัก "นี่ไอเจษ ไอตั้น สองคนข้างหน้านั่นไอพุกับไอเน่" "ดีจ้าา..." หนึ่งยิ้มทักทายตามธรรมเนียม "แล้วไอเอสอ่ะ ไม่มาด้วยเหรอว่ะ" ผมถาม บรรยากาศตอนนั้นเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทุกคนเงียบไปพักนึง "ไอเอสไม่มา..." ไอเจษตัดความเงียบ เลยนึกขึ้นได้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนที่คุยกับไอเจษทาง MSN มันเคยเล่าเรื่องที่ไอเอสมีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ กับพวกไอพุไอเน่อยู่ "ไม่อยากพาแม่งมาหรอก นิสัยแย่" ไอเน่ได้จังหวะพูด "กูจะเลิกคบกะแม่งแล้ว คนหัวควยพรรค์นั้น..." ไอพุเสริม ผมหันไปหาไอตั้น มันทำหน้าเซ็งๆ ไม่อยากพูด "เฮ้ยนน มึงมี PSP ด้วยเหรอวะ เอามาเล่นหน่อยดิ๊" ไอตั้นตาดีเหลือบมาเห็น "อย่าเล่นของกูแบตหมดนะ" เรื่องไอเอสถูกพับเก็บไว้ด้วยความอยากเล่นเกมของมัน... ระหว่างทางเราแลกเปลี่ยนเรื่องราวของกันและกัน ไอพุมีเรื่องมาเผาเพื่อนมากมาย ไอตั้นนั่งเงียบก้มหน้าก้มตาเล่นเกม FIFA STREET ไม่สนใจใคร ไอเจษกลายเป็นคนที่โดนแกล้งเหมือนเคย ไอเน่ดูเป็นคนมีข้อมูลเพื่อนมากที่สุด แค่รอเวลาเปิดประเด็นถากถาง

ไทม์แมชชีนย้อนเวลาดีๆ นี่เองบรรยากาศแบบนี้ พวกนี้ไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ หนึ่งนั่งหัวเราะไปตลอดทางโดยเฉพาะมุกจากไอตั้น แม้จะไม่ได้หันไปสบตากับไอตั้นตรงๆ แต่ค่อนข้างคุยถูกคอกับมันเป็นพิเศษ คงเพราะมันเป็นคนสบายๆ ไม่ซับซ้อน ผิดกับไอเจษที่ไม่ค่อยกล้าคุยกับหนึ่ง ไม่รู้มันกลัวอะไร ส่วนไอพุดูสงบปากสงบคำเพราะไอเน่มาด้วย...




Photo by songkarnthw from wikimapia




หาด TN อยู่ในการดูแลของฐานทัพเรือสัตหีบ ทางเข้าเป็นถนนลาดยางตีเส้นเหลืองเรียบยาว เห็นเนินเขาโอบตระหง่านทั้งซ้ายขวาดูสวยงาม ขับไปสักพักจะพบป้อมทหาร มีนายทหารหัวเกรียนเข้าเวรอยู่ 2-3 นาย เก็บค่าเข้าเพียงคนละ 20 บาทเท่านั้น ไอพุเหยียบคันเร่งพุ่งทะลุเข้ามาถึงตัวหาด...

ไม่แปลกใจเลยที่มีการเรียกเก็บค่าเข้า เพราะตัวหาดด้านในสวยงาม ผู้คนไม่พลุกพล่านจนเกินไป สงบเงียบ ไม่มีหาบเร่มากวนใจ "ไง ลงน้ำมั้ยมึงวันเนี้ย" ไอตั้นน้ำเสียงคึกคักถามไอเจษ

"ขอคิดก่อน..."

ประโยคที่สุดแสนจะน่าเบื่อของไอเจษตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ตัดสินใจอะไรไม่เคยได้ ขอคิดก่อนตลอดจนทุกคนเอือมระอา "ถ้ามึงไม่ลง เดี๋ยวกูลากมึงลงเอง" ไอตั้นเอาจริงเอาจัง "เออเดี๋ยวมึงล๊อคนะ กูกระชากมันเอง" ไอพุผสมโรง ผมกับหนึ่งนี่เฉยๆ กับทะเลไปเลย แต่ครั้งนี้ได้มากับไอพวกนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน "เออๆ ก็ได้ๆ กูกะมาเล่นอยู่แล้วโว้ยย" ไอเจษตะโกนพร้อมกระชากเสื้อออก หาด NR แม้จะน้ำใส แต่ไม่ค่อยเหมาะกับการลงเล่นน้ำเท่าไหร่ เพราะบริเวณชายฝั่งน้ำตื้นเต็มไปด้วยหินเพรียง ทั้งที่ยังคมและไม่คม ประปรายไปกับลูกหินดำขนาดย่อมใต้น้ำ มีเกาะเล็กๆ ห่างจากตัวหาดเพียงไม่กี่ฝีพาย คล้ายแผ่นดินยกตัว

ผมเดินตามเพื่อนๆ ลงไปช้าๆ ค่อยๆสัมผัสกับน้ำเย็นที่ระดับปริ่มชายกางเกงขาสั้น วันนี้ดวงตะวันเป็นใจเหมือนกัน แสงเล็ดลอดผ่านเมฆลงมาได้แค่ครึ่งเดียว หนึ่งเดินตามมา ผมมองเห็นไอเน่เดินตามแนวหาดทรายไปใกลมาก คงอยากจะเก็บบรรยากาศนี้ไว้เงียบๆ คนเดียว... ไอพุ ไอตั้นจับไอเจษโยนลงทะเล "ตู้มม..." โดนจนได้... ผมหันไปหาหนึ่ง "ไง เธอเล่นมั้ย" "ไม่ดีกว่า ไม่ได้เอาชุดมาเปลี่ยนด้วย" หนึ่งยิ้ม หยดน้ำกลุ่มใหญ่กระเด็นมาโดนหลังผมเต็มๆ "อะไรว่ะเนี่ย" ผมหัวเราะหันไปดู "โทดๆ กูสาดไอสองคนนี้" ไอพุ ไอตั้น โดนไอเชดเอาคืนหัวเราะร่า ตัวเปียกชุ่มทั้งคู่... ไอพวกนี้เล่นเป็นเด็กๆ ผมนึกในใจ




Photo by Lahiru Supunchandra on Unsplash




ผมเดินถ่ายรูปตามโขดหินกับหนึ่งไปเรื่อยๆ... ความรู้เพียงผิวเผินในการถ่ายภาพช่วยผมได้ดีในเวลานี้ ผมชอบวางหนึ่งไว้ด้านใดด้านหนึ่งของเฟรม ในตำแหน่งที่เรียกว่า Golden ratio แล้วเปิดแถบกว้างเป็นธรรมชาติรอบๆ ...รู้สึกว่าสาวสวยคนนี้กลมกลืนกับธรรมชาติมากๆ คงเพราะรอยยิ้มและแววตาที่สดใส ครั้งนึงหนึ่งเคยบอกว่า เธอเป็นคน "ขึ้นกล้อง" ถ่ายมุมใหนก็ออกมาดูดี นั่นไม่ใช่ความรู้สึกของเธอเอง แต่หลายๆ คนที่เคยถ่ายรูปให้หนึ่งต่างหากที่บอก ตอนนี้ผมรู้สึกเช่นเดียวกัน... แต่ไม่ใช่ความเห็นที่ตรงกับคนอื่นเลย ผมคิดว่ารอยยิ้มและแววตามากกว่าที่ทำให้เธอดูดีและเข้าไปกับทุกบรรยากาศรอบตัว ไม่ว่าขณะนั้นจะร้อนหรือหงุดหงิดแค่ใหน ถ้าผมทำท่ายกกล้องขึ้นจะถ่าย เธอจะหันมายิ้มด้วยแววตาหวานเยิ้มเสมอ...

ตะวันคงไม่พ้นเมฆแล้ววันนี้ ผมหยักยาวสลวยถูกรวบขึ้น วัยรุ่นกลุ่มนึงวิ่งเล่นน้ำสนุกสนาน คลื่นสูงต่ำตามแรงลมเสียงหวิวๆ ตอนนั้นผมมีความสุขมาก...

"ไอนน เล่นบานาน่าโบ๊ตมั้ย" ไอพุชวน "เอาป่าวๆ หารกัน"

"เอาดิ หนึ่งเล่นป่ะ ไม่มีชุดเปลี่ยนไม่เป็นไร นั่งแป๊บเดียวก็แห้ง แต่อาจจะเหนียวเกลือหน่อย"

"ได้หมดแหระ..."

พริบตาเดียว... เราทุกคนทุลักทุเลสวมเสื้อชูชีพสีส้มสะท้อนแสง ผมนั่งคนแรกด้านหน้าสุด หนึ่งนั่งต่อจากผม ไอตั้นนั่งด้านหลังหนึ่ง ไอเน่ ไอพุ ไอเจษตามลำดับ เจทสกีแล่นไปได้ไม่เท่าไหร่ หลังหักเลี้ยวเทกระจาดกระทันหัน ทุกคนก็ลงไปกระแทกกับน้ำทะเลโครมใหญ่ ลอยคอกันอยู่กลางทะเลห่างจากชายฝั่งพอสมควร "ไอสัส กูร่วงคนแรกเลย" ไอเจษพูดไปสำลักน้ำไป เหลือแค่หนึ่ง... ยังเหนี่ยวมือกับที่จับไว้ได้ข้างนึง ทำท่าเหมือนจะปีนกลับขึ้นไปได้ แล้วก็หลุดร่วงลงมา ไอตั้นกระโจนเข้ารับที่เอวทางด้านหลังตามสัญชาตญาณ หนึ่งหันไปยิ้มให้ ไอตั้นทำหน้าเขินแปลกๆ ทุกคนมองไปทางอื่นไม่ได้สนใจอะไร นอกจากผม... ไอตั้นกับหนึ่งสบตากัน เหมือนเวลาหยุดเดินไปสี่วินาที "ไอนน ดูแฟนมึงดีๆ ดิ ฮ่าๆๆ" ไอตั้นหัวเราะตัดบท "เออ ขอบใจๆ" "เธอนี่ก็ร้ายนะ ไม่ยอมร่วงง่ายๆ" ผมหันมาสบตาหนึ่ง "อิอิ เราเคยเล่นบ่อย" หนึ่งเย้า คราวนี้ทุกคนปีนขึ้นโบ๊ตด้วยสีหน้าแข็งขันมากกว่าเดิม เหมือนหนึ่งเป็นคนจุดประกายความเหนียวแน่นให้กับทุกๆ คน... เจทสกีพุ่งออกไปด้วยความเร็วที่มากกว่าครั้งแรก หักเลี้ยวกระทันหันครั้งแรก ไม่มีใครตกน้ำ... ทุกคนเหนี่ยวสองมือจับเหนียวแน่น พยายามทรงตัว แต่ด้วยความชำนาญของคนขับ การหักเลี้ยวในทิศทางตรงกันข้ามทันทีให้ผลลัพธ์ที่ดี ทุกคนโดนเทกระจาดตกน้ำตามเคย...




Photo by Izuddin Helmi Adnan on Unsplash




"ฮ่าๆๆ ไอเหี้ยเจษร่วงคนแรกตลอด" ไอพุแซะ "เออๆ แต่กูเริ่มหิวแล้วว่ะ..." ไอเจษตัดบท ทุกคนเดินขึ้นฝั่งตัวเปียกโชก "นน แกไปเช่าเสื่อมาละกัน เดี๋ยวทางนี้หาของกิน" ไอเน่บอก "เคร...ได้" ผมรับคำ

ผมเดินหิ้วเสื่อกลับมา ทุกคนยืนรวมกันในไม้ในมือเต็มไปด้วยข้าวปลาอาหาร แน่นอนว่าทะเลมักจะมาคู่กับอาหารอีสาน ซีฟู้ดและน้ำอัดลม "พวกผู้ชายจะดื่มอะไรกันมั้ย..." ไอเน่พูดพร้อมกับนั่งลงง่ายๆ บนเสื่อที่ผมสะบัดและปูออก "ก็ได้ แต่กูดื่มไม่เยอะนะ กูคนขับ" ไอพุบอก "แกอ่ะไม่ต้องดื่มเลย ดื่มนิดเดียวก็เป่าขึ้นแล้ว" ไอเน่สกัด "ฮ่าๆๆ อดแดกเลยมึง" ไอเจษสะใจ "เป็นไง พาเมียมาก็งี้แหละ" ไอตั้นเสริม "เฮ้ย จิบๆ นิดเดียวไม่ขึ้นมั้ง" ผมบอกไอเน่ "กินเบียร์ไรอ่ะ เดี๋ยวไปซื้อให้ ตังมาๆ" ไอเน่เรี่ยไร "ไอเจษออกให้กูก่อนนะ" ไอตั้นนี่มุกเดิมไม่เปลี่ยน แต่ถ้ามันมีเมื่อไหร่มันเลี้ยงหมดตัวเหมือนกัน "เออๆ เดี๋ยวกูค่อยคิดดอก" ไอเจษพูดไปยังงั้นเอง มันแทบไม่เคยทวงเงินเพื่อนเลยสักครั้ง... บรรยากาศในวงเบียร์ บนเสื่อขนาดไม่กี่ตารางเมตรเป็นไปอย่างสนุกสนาน...

รถเก๋ง Corolla พุ่งตัวออกจากหาดทันทีที่ทุกคนพร้อม... ทิ้งไว้เพียงดวงตะวันสีแดงที่ขอบฟ้า คลื่นลมสงบ และเสียงหัวเราะที่พวกเราฝากเอาไว้




ขอบคุณรูปภาพจาก pickpic




"อ้าว ทำไมตอนมามันนั่งพอ ขากลับทำไมมันเบียดกันจังวะ" ผมสบถ สังเกตุเห็นหนึ่งเริ่มรู้สึกอึดอัด "กูอ่ะอึดอัดตั้งแต่ขามาแระ ไอตั้นแม่งนั่งเบียดชิบหาย กูแค่ไม่ได้บอก" ไอเจษบ่น "อ่าวเชี่ย และก็ไม่บอก" "กูเห็นมึงเล่นเกมเงียบเลย กูเลยไม่อยากกวน" ผมยกขาหนึ่งข้างนึงขึ้นมาเกยบนตัก เพื่อให้ทั้งเพื่อนๆ และหนึ่งขยับขยายนั่งสบายขึ้น ต้นขาขาวนวลล้นออกมาจากกางเกงผ้าบางเปียกแนบเนื้อตัวสั้น คราบน้ำทะเลเคลือบผิวขาอ่อนดูเย้ายวน บางส่วนแห้งเป็นคราบเกลือเคลือบท่อนเนื้อขาระยิบระยับ ไอตั้นเหลือบมาเห็นพอดี... มันสตั๊นท์ไปหลายวินาที แววตาเลิกลั่ก แอบมองบ้างหลบตาบ้าง ไอเจษนั่งตัวแข็งรูดซิปปากเงียบ "ไอนนมึงแม่งหื่นว่ะ..." ไอตั้นเอ่ยขึ้นมาจนได้ "เออ..." ไอเจษตามเบาๆ ผมไม่รู้อะไรดลใจให้พวกมันพูดแบบนั้น ผมแค่ขยับขาหนึ่งขึ้นมาก่ายตักผมแค่นั้น เพื่อให้พวกมันนั่งสบายๆ "เออ ไอนนแก..." ไอเน่มาอีกคน "ไอนนมึงนี่ร้ายจริงๆ" ไอพุดูเหมือนจะไม่ซีเรียสเท่าไหร่ "เฮ้ยๆ พวกมึงคิดอะไร กูเห็นนั่งเบียดกัน ก็เลยขยับ จะได้นั่งกันสบายๆ" "พวกมึงอ่ะแหละ คิดไรกันมากป่าว" ผมพูดปนหัวเราะ ไอตั้นกับไอเจษทำท่าทางขยับให้เหลือพื้นที่มากที่สุด คงอยากให้ผมเอาขาหนึ่งลงตามปกติ แต่... ที่ว่างก็ยังเท่าเดิม คราวนี้ผมยกตัวหนึ่งขึ้นมานั่งตักผมทั้งตัวเลย "เอ้า นั่งกันสบายขึ้นมั้ย..." ผมหัวเราะ "ไอนน มึงนี่มัน" น้ำเสียงไอตั้นคล้ายว่ามันเริ่มจะทำใจได้แล้ว "ฮ่าๆๆ ไอสัสนน มึงประชดพวกกูเหรอ" ไอเจษพูด...

...ตรงจุดนี้เองที่ผมเข้าใจแล้วว่าตัวเองมองข้ามอะไรไป ด้วยความที่ผมกับเพื่อนห่างกันไปนาน และเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับรอยต่อของวัยเด็กเข้าสู่วัยรุ่น ผมไม่รู้ว่าพวกมันเติบโตต่อมาในสังคมแบบใหน มุมมองทางเพศเป็นยังไง แต่ไอเจษกับไอตั้นก็ยังไม่มีแฟน สำหรับไอพุที่มีแฟนแล้วก็คงพอเข้าใจ แต่มันก็คงทำแบบเดียวกับที่ผมทำกับไอเน่ไม่ได้แน่ๆ พวกมันไม่เคยแสดงออกทางเพศในที่สาธารณะ สำหรับไอเน่คงไม่ต้องพูดถึง การแสดงความรักกับไอพุอย่างอ่อนหวาน ยากที่จะเกิดขึ้นได้ต่อหน้าเพื่อนๆ ด้วยความที่มันมักจะวางตัวอยู่เหนือกว่าไอพุเสมอเพื่อแสดงความเป็นผู้นำ ต่างกันกับผมและหนึ่ง พวกเราก้าวเข้าไปในอาณาเขตความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น ระดับที่ลึกจนเพื่อนๆ คาดไม่ถึง...

ร่างเปียกปอนของหนึ่งบนตักผมกลายเป็นจุดสนใจของสายตาเพื่อนชายในรถตลอดเวลา โดยเฉพาะกับไอตั้น ผมสังเกตุและรับรู้ได้ว่ามันแอบมองชิ้นเนื้ออันงดงามอย่างไม่ละสายตา ส่วนหนึ่งยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยไม่เขินอายใดๆ ประกอบกับอิริยาบถของเธอแล้ว ทำให้เธอคล้ายนางพญาผู้สะกดทุกสิ่งภายในยานพาหนะคันนี้... เราคุยกันสนุกสนานเฮฮาไม่แพ้กับขามา แต่ครั้งนี้หนึ่งกล้าหันไปมองหน้าสบตา และหัวเราะกับเพื่อนๆ ผมมากขึ้น

"เอ้อ แล้วเจอกันเพื่อน..." ผมกล่าวขอบคุณไอพุคนขับที่อุตส่าห์พาเพื่อนๆ มาเที่ยวถึงที่นี่ "เออเดี๋ยวแวะมาหาใหม่..." ไอเจษบอก "ดูแลไอนนดีๆ นะหนึ่ง" ไอตั้นแซว "ไอเวร..." ผมด่ามัน "ไปละนะนน แล้วเจอกัน..." เสียงไอเน่ "เอ้อ ไอนน กูบวชวันที่ 29 นะ พฤษภา" เสียงไอเจษลอดออกมา "กูเปิดเทอมพอดีเลย เดี๋ยวเคลียร์ทางให้"

"ไม่พลาดอยู่แล้วเพื่อนบวชทั้งที"

รถเก๋งของไอพุเคลื่อนออกไปจากลานจอดหอพักอย่างรวดเร็ว

อาทิตย์สุดท้ายก่อนกลับบ้านของหนึ่งกลายเป็นเซ็กส์มาราธอนยาวนานที่สุดที่เราเคยมีร่วมกันมา ตลอดเวลาหกวันแทบไม่ได้ทำอะไรกันเลย นอกจากเซ็กส์เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน พักก็ตอนกินข้าวและไปเดินเล่นช่วงกลางคืนเท่านั้น เราปรนเปรอกันและกันด้วยร่างกายหนุ่มสาววัยเหลือกินเหลือใช้ แทนคำอาลัยอาวรณ์ก่อนที่จะไม่เจอกันอีกสองเดือน ผลที่ตามมาคือหน้าใสและน้ำหนักลดลงฮวบฮาบทั้งคู่ ที่น่าแปลกคือเราไม่รู้สึกเบื่อหน่ายในเซ็กส์มาราธอนนี้เลย หรือเวลานี้อาจเป็นเวลาที่ได้ผ่อนคลายกันเต็มที่ เพราะถ้านับตั้งแต่เริ่มคบกันมาก็เรียนและทำกิจกรรมหนักกันมาอย่างต่อเนื่อง ไม่เคยมีเวลาสบายๆ อย่างนี้ด้วยกันแม้สักครั้งเดียว...







"โอเค โทรมาบ้างนะ" ผมมาส่งหนึ่งที่ท่ารถเหมือนเคย ต่างกันตรงที่ครั้งนี้เธอคงกลับไปนานเลยจนกว่าจะเปิดเทอม ผมช่วยหนึ่งหิ้วกระเป๋าใบใหญ่เข้าท้ายรถตู้ "แล้วจะโทรหานะ บ๊าย บาย" หนึ่งพูดพลางออกแรงเลื่อนประตูรถปิด กึง! เฮ้อ... แต่ก่อนก็อยู่คนเดียวได้นะเรา พอเธอไปทำไมต้องคิดถึงอะไรขนาดนี้ นี่แค่วันแรก... ผมบ่นกับตัวเองขณะขี่รถกลับมาที่หอ แผนกิจกรรมต่างๆ ของคณะก่อนเปิดเทอมจะเริ่มเตรียมการอีกทีก็หลังสงกรานต์ไปแล้ว นี่ผมต้องอยู่คนเดียวเบื่อๆ อย่างน้อยก็เดือนนึงเลยเหรอนี่ การนั่งลงบนที่นอนที่รู้ว่าคืนนี้เธอจะไม่กลับมาให้ความรู้สึกเคว้งคว้างเหมือนอยู่เกาะกลางทะเล ข้าวของบางส่วนเธอนำกลับไปด้วย แต่บางส่วนที่เหลือไว้ให้ผมคิดถึง ดินสอเขียนคิ้ว... ทำไมเธอถึงเขียนคิ้วนานจังนะ ผมหยิบมันขึ้นมาดูหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ชุดนอนลายเสือดาว... ไม่เคยเห็นใครใส่ชุดนี้แล้วเซ็กซี่ขนาดนี้เลย สิ่งของต่างๆ ในห้องล้วนชวนให้คิดถึงเจ้าของแสนสวย ผู้คนที่นี่ก็หายไปเกินครึ่ง ถนนหนทางโล่งโปร่ง บรรยากาศของเมืองชายทะเลแห่งนี้เต็มไปด้วยความเงียบเหงา







หลายวันที่ผ่านมา... เราโทรหากันอย่างสม่ำเสมอ เธอยังคงมีน้ำเสียงสดใสน่ารักเหมือนเคย กิจวัตรหลักประจำวันของเธอเท่าที่ผมรู้คือช่วยแม่ขายเสื้อผ้า บ่อยครั้งที่เราคุยกันจนแบตหมด เปิดลำโพงค้างไว้จนหลับก็เคย ทุกๆ วันที่ผ่าน ผมเฝ้ารอหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นแสดงชื่อผู้โทร เฝ้ารอเสียงมันดังอยู่ทุกๆ วัน ทุกๆ วินาที... ผมหยิบกล้องตัวเก่งที่เคยบันทึกอิริยาบถของเธอไว้เป็นพันๆ รูปขึ้นมาดู... พลางเลื่อนไปเรื่อยๆ จนมาเจอกับรูปเปลือยของเธอที่เราเคยถ่ายเล่นกัน สีหน้าแววตา ท่าทางต่างๆ ล้วนเย้ายวน ภาพถ่ายเหล่านี้เก็บทุกอารมณ์ของเธอขณะนั้นเอาไว้ครบถ้วน... ไม่รู้อะไรดลใจ ผมตัดสินใจว่าจะวาดรูปเธอเอาไว้ น่าจะเป็นการบรรเทาความคิดถึงเธอลงไปได้บ้าง และอาจจะเป็นของขวัญที่ดีในวันที่เธอกลับมา... ก่อนอื่นผมต้องหากระดาษ ดินสอเขียนรูป และเผอิญว่าวันนั้นเป็นวันสงกรานต์ ใช่... ทำไมต้องวันนี้ด้วย ร้านรวงในย่านที่ผมอยู่น่าจะปิด ทั้งหมดมาจากผลกระทบของมหากาพย์เทศกาลวันใหล แต่ยังมีความหวังว่าในรัศมี 10 กิโลเมตรต้องมีร้านเครื่องเขียนที่ยังเปิดอยู่บ้าง... ผมแต่งตัวลงไปลานจอดรถทันที บรรยากาศในซอยดูเงียบสงบ แต่มีเค้าสัญญาณว่ามีการจลาจลในระยะไม่ใกล กระทั่งรถมอเตอร์ไซค์หลายคันขับเข้าซอยมาอย่างรวดเร็ว ทั้งวัยรุ่นคนขับและคนซ้อนเปียกโชกเนื้อตัวขาวเป็นจุดๆ ท่าทางสนุกสนาน นี่เรากำลังฝ่าห่ากระสุนน้ำเพื่อออกไปซื้อเครื่องเขียนในงานเทศกาลวันใหลสงกรานต์เหรอนี่ ผมคงบ้าไปแล้ว... แข็งใจขี่รถออกมา แค่เห็นปากซอยก็เกือบจะถอดใจวนรถกลับ ตลอดทางลงหาดทั้งขาเข้าและขาออกแน่นขนัดไปด้วยผู้คน เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เสียงดังอื้ออึงจากเครื่องเสียงในรถ เสียงกรี้ด เสียงโวยวาย และเสียงประชาสัมพันธ์จากทางการ สติผมกระเจิงไปหมด ในมือทุกคนมีขันน้ำและปืน ทั้งเดินตามถนน อยู่บนรถกระบะ ขี่มอเตอร์ไซค์ ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งใหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย บางคนเนื้อตัวเต็มไปด้วยแป้ง ดินสอพอง ผมหยุดรถกวาดสายตามองไปรอบๆ เห็นผู้หญิงวัยรุ่นนุ่งน้อยห่มน้อยเข้าร่วมเทศกาลประจำปีกับคนแปลกหน้าแปลกตาอย่างไม่ระมัดระวังตัว กลายเป็นจุดโฟกัสสำคัญของงานด้วยแรงดึงดูดทางเพศ การสัมผัส ถูกเนื้อต้องตัว การล่วงละเมิด กลายเป็นเรื่องปกติสำหรับเทศกาลนี้และถูกพบเห็นได้ทั่วไปตลอดพื้นที่ของการจัดงาน




ขอบคุณรูปภาพจาก thairath




งานวันใหล คือเทศกาลสงกรานต์ของภาคตะวันออกที่เกี่ยวเนื่องกับประเพณีก่อพระทรายน้ำใหลโบราณ ด้วยวันเวลาและสภาพภูมิประเทศที่ผันเปลี่ยน ทำให้การก่อพระทรายทำได้แค่บางพื้นที่ คงเหลือไว้เพียง "เทศกาลวันใหล" ที่เล่นใหลกันลงมา มีความหมายทั้งในแง่ของพื้นที่และช่วงเวลา เริ่มจากตัวเมืองชลบุรี บางแสน บางพระ ศรีราชา พัทยา สัตหีบ ระยอง จันทบุรี และน่าจะจบที่ตราด กินระยะเวลาประมาณครึ่งเดือนตั้งแต่เทศกาลสงกรานต์ตามปฏิทินราชการจบลง

ยังไงก็ต้องไปให้ได้... ผมเลือกที่จะไปสำรวจที่ซอย SS ก่อน เพื่อที่จะไม่เสียใจภายหลังว่าทำไมไม่เสี่ยงมาดู ซอยหอผมเป็นซอยตัน มีทางเลือกเดียวต้องฝ่าออกไป ก่อนที่ความคิดจะหลุดไปใกล ผมก็ฟื้นด้วยกลุ่มน้ำโครมใหญ่เต็มหน้า ตัวเปียกโชก... แว่บแรกผมเกือบจะหงุดหงิด แต่ก็คิดได้ว่าเราต่างหากที่ผิด เลือกมาหาซื้อของในวันที่เค้าเล่นน้ำกัน แต่สิ่งที่ทำให้หงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ กลายเป็นการปิดทางยูเทรินตลอดสองข้างทางทั้งขาขึ้นและขาลงต่างหาก ผมหักเลี้ยวซ้ายคล้ายหักลำเรือแล่นลงไปในกระแสผู้คนที่เชี่ยวกรากแน่นขนัด ไม่มีใครที่สนใจหลบรถที่กำลังขับมา แต่ด้วยความชำนาญกับเส้นทาง ผมรอดไปได้... ตัดเข้าเส้นทางฝั่งประตูตะวันออกของมหาลัย เพื่ออ้อมด้านหลังไปสู่ซอย SS... ในซอยถนนดูโล่งขึ้น ขี่สบาย ผ่านไปได้รวดเร็ว เมื่อมาถึงก็ต้องทำใจว่าร้านเครื่องเขียนปิดหมดจริงๆ ทั้งซอย ผมใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว ตัดสินใจไปที่ตลาด ASL เพื่อวัดดวง... ภาพจินตนาการวันใหลบริเวณถนนเส้นสุขุมวิทลอยมา คงไม่เลือกไปทางนั้นแน่ๆ ผมตัดสินใจใช้เส้นทางชายทะเลตัดผ่านเขา SM... วกรถกลับไปเส้นทางเดิมอีกครั้ง ใช้เวลาวิ่งเลาะฝ่าฝูงชนบริเวณถนนตัวหาดด้านในอยู่เกือบ 20 นาที เนื้อตัวเต็มไปด้วยแป้งกรังและชุ่มโชกไปด้วยน้ำ ขี่ไปขี่มาตามทางที่เค้าจัดไว้ให้จนทะลุมาถนน KL กลายเป็นว่าถนนเส้นนี้คล้ายกับถนนข้าวสารในกรุงเทพ ใช้เวลานานกว่าเดิมอีก โอยย... ตลอดทางถูกเรียกให้จอดบ่อยมาก จากนั้นก็คงไม่ต้องบอก ผมมองหน้าตัวเองในกระจกข้าง... เละเทะจนจำหน้าตัวเองไม่ได้

...แล้วก็เจอจนได้ ร้านขายเครื่องเขียนที่ไม่น่าจะเปิด บริเวณตลาด ASL เจ้าของร้านไม่ลืมที่จะใช้ถุงยาวสวมกระดาษร้อยปอนด์ให้ ส่วนดินสอผมเลือก 2B HB และ EE มาใช้งาน...

ผมกลับมาที่ห้องด้วยความเหนื่อยล้า ราวกับว่าไปผจญภัยในแดนเถื่อน รีบอาบน้ำถูตัว... อยู่ในชุดกางเกงขาสั้นใช้ผ้าเช็ดตัวคลุมหัวใหล่ บรรจงใช้เทปใสติดกระดาษร้อยปอนด์เข้ากับโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กในห้อง เลือกรูปที่ไม่โป๊มาก ใช้รูปที่เธอนั่งในท่าเทพธิดาแอ่นบั้นท้ายไปด้านหลัง เอามือยันที่นอนเอาไว้ แขนเธอข้างนึงบังเข้ากับยอดหน้าอกเธอพอดี และในท่านี้ต้นขาบังจุดสงวนเอาไว้ไม่เห็นแม้ไรขน ผมร่างภาพบางๆ กะสัดส่วนทุกอย่างตามเส้นแบ่ง ค่อยๆ วาด ค่อยๆ ลบ จนได้ภาพที่มีองศาใกล้เคียงภาพจริงมากที่สุด และไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะวาดให้เสร็จภายในวันเดียว... วันแล้ววันเล่า... ค่อยๆ แต่งเสริมเติมแต่งจัดที่ทางให้กับผงดินสอ 3 ชนิดบนกระดาษหยาบผืนนั้นจนเป็นรูปเป็นร่าง แสงและเงาสมดุล สมาธิก่อตัวเข้มข้นจนตระหนักได้ว่าการที่เราได้ทำอะไรเพื่อเป็นการแสดงความคิดถึงต่อคนๆ นั้น และรอวันส่งมอบให้กับเค้า มันช่วยให้คลายความคิดถึงไปได้จริงๆ...

blackjack

 ::HoHo:: เริ่มจะเห็นภาพและเข้าใจชื่อเรื่องแหละ อย่าทิ้งไปนานนะครับผมเป็นแฟนคลับอยู่คนหนึ่งหละ

Boomm

บรรยากาศสมัยปี 54 มันก็ดีไปอีกแบบ ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้


test1234

จะมีฉากสวิงกับเพื่อนๆ มั้ย หนึ่งน่าจะชอบ

nowhereman

เนื้อเรื่องเริ่มเข้าทางหละ ภาพประกอบก็สวยมากๆครับ งานนี้หรือว่าเพื่อนๆกะจะเล่นกับหนึ่งแน่ๆ ขาวๆแบบนี้ จังหวะบรรยากาศให้ ท่าทางไม่น่ารอด

ผู้เฒ่าเซราะกราว

ดูเหมือนตั๊นเพื่อนสมัยเด็กของนนจะต้องใจหนึ่งเข้าแล้วนะ ว่าแต่หนึ่งกลับบ้านตั้งสองเดือนนี่ไม่คิดถึงผัวแย่เหรอ....อิอิ

Fury War

บรรยายได้ดีและเห็นภาพตามเลยครับ จะรอติดตามต่อครับ

Aoffy Naja

น่าจะมีฉากตามชื่อเรื่องเกิดขึ้นเร็วๆนี้เเน่ๆ

ponggunyuki2527


olemantu

เป็นเรื่องเล่าที่ให้รายละเอียดและความคิดใส่ลงไปให้คนอ่านเข้าใจมากขึ้นเรื่อย ๆ

MAC

เหมือนสมัยผมตอนกลางคนอยู่เลย ::Shy::

M_ne

ใกล้ถึงจุดสวิง กับเพื่อนๆๆแล้ว  

santichai_o


ones26421