ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

รักแท้ฯ ตอนที่ 4

เริ่มโดย apinyaporn, มิถุนายน 12, 2020, 03:43:51 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

apinyaporn

รักแท้ฯ ตอนที่ 3 https://xonly8.com/index.php?topic=231205.0

....................

ออกจากบ้านของคุณปู่หมอเราสองคนนั่งละเลียดในคอฟฟี่ช้อปเล็กๆข้างทาง กาแฟร้อนยามบ่ายแก่ๆกับอากาศที่กำลังเย็นสบายรับฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่กำลังจะมาถึง แปลกดีที่คุณตาเจ้าของร้านไม่รู้จักกาแฟเย็น(ใส่น้ำแข็ง) เพิ่งรู้ว่าคนที่นี่ไม่นิยมกินน้ำแข็งแม้แต่เบียร์ก็ไม่ใส่น้ำแข็ง

          "อ่านให้ฟังหน่อยสิคะบอส"           
          "ก็มีภาษาอังกฤษนิ.."
          "ขี้เกียจแปลค่ะ" บอสหยิบแว่นตารับแผ่นพับประชาสัมพันธ์แจกฟรีสำหรับนักท่องเที่ยวไปเปิดดู

'ข้าวของเครื่องใช้และหลักฐานการขุดค้นพาย้อนกลับไปช่วงราวต้นคริสต์กาล บริเวณรอบๆทะเลสาบสุริยันจันทราบนเกาะไต้หวันเคยเป็นแหล่งรวมชุมชนผู้มีความรู้ความสามารถพิเศษเฉพาะทางด้านการบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยโดยสมุนไพร น้ำพุร้อน แร่ธาตุและการประคบ

สงครามจีนญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่งเกาะไต้หวันถูกเข้าปกครองโดยชาวญี่ปุ่นต่อเนื่องยาวนานจนกระทั่งเสียคืนให้จีนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชนเผ่าเก่าแก่ต่างๆบนเกาะถูกรุกรานจากชาวฮั่นที่เริ่มทะยอยอพยพเข้ามาเพื่อหาประโยชน์ ไม่เว้นแม้แต่ชุมชนรอบๆทะเลสาบสุริยันจันทรา ทางการประเทศญี่ปุ่นเจราเข้าช่วยเหลืออพยพจัดหาสถานที่ตั้งรกรากใหม่บริเวณริมทะเลสาบคุโรเบะจังหวัดโทยามะ หลังการประกาศยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขของเยอรมันนีในเดือนสิงหาคม1945 ญี่ปุ่นอยู่ในสภาพถูกโดดเดี่ยวและเสียเปรียบเป็นอย่างมากแต่ก็ไม่คิดยอมจำนน จนกระทั่งมีการทิ้งระเบิดไฮโดรเจนลูกที่สองญี่ปุ่นจึงประกาศยอมแพ้สงครามอย่างไม่มีเงื่อนไข กัมมันตภาพรังสีแพร่แผ่พิษร้ายไปทั่วทุกทิศทั้งในน้ำในอากาศและผืนดิน ญี่ปุ่นตกอยู่ในสภาพขาดแคลนอาหารอย่างหนักเพราะไม่สามารถเพาะปลูกทำการเกษตรได้เลยผู้คนอดอยากยากแค้นถึงขั้นกลียุค

ทั่วทั้งประเทศญี่ปุ่นเริ่มหันมาให้ความสนใจกับเมืองที่ครั้งหนึ่งเคยนิยามว่า เมืองหลังเขา ไม่น่าเชื่อว่าจังหวัดโทยามะจะยังสามารถทำการเพาะปลูกพืชผลให้ผลผลิตทางการเกษตรที่ปลอดภัยต่อการบริโภคได้อย่างน่าอัศจรรย์'

'ข้าวของเครื่องใช้ที่สำรวจขุดค้นพบเจอบริเวณริมรอบทะเลสาบสุริยันจันทราส่วนหนึ่งถูกนำมาเก็บไว้ที่นี่เพื่อแสดงถึงความเชื่อมโยง เครื่องมือรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดและยังเป็นที่ฉงนสนเท่ห์ของนักประวัติศาสตร์ถึงชนิดและวิธีการใช้งาน ความรู้ดึกดำบรรพ์ที่ขาดห้วงสูญหายไปกับสายธารแห่งกาลเวลาอย่างน่าเสียดาย'

บอสอ่านและแปลข้อความจากแผ่นพับประชาสัมพันธ์ประวัติความเป็นมาของชุมชน พร้อมข้อความเชิญชวนให้มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ของเมือง 

          "แล้วที่นี่มีแบบ ตำนาน.. นิทาน เรื่องเล่าสนุกๆบ้างมั้ยคะ เผื่อจะเอาไปใส่แทรกในบล็อคบ้าง มีแต่ประวัติเยอะๆมันเครียดเริ่มจะน่าเบื่อ"

          "เรื่องเล่าเหรอ.." บอสคิ้วขมวด "เห็นรูปสลักไม้สุนัขจิ้งจอกนี่มั้ย"
          "ไหนคะ เออ สีขาวตัดกับท้องฟ้าสวยดี แต่แปลกนะเพราะทุกสิ่งอย่างของเมืองนี้เหมือนจะเป็นสีดำหมดเลย แต่อันนี้สีขาว"

          "รูปนี้ผมเป็นคนถ่ายเองนะ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของเมืองคงเห็นว่าสวยดีก็เลยเอาไปลงในแผ่นพับ"
          "สวยดีค่ะ ไม่ยักรู้ว่าบอสชอบถ่ายรูปกะเค้าด้วย"
          "ก็บ้าๆอยู่พักนึงเหมือนกัน สมัยก่อนกว่าจะถ่ายได้แต่ละรูปดีบ้างเสียบางสนุกดีทุกวันนี้พออะไรมันง่ายไปหมดก็เลยเลิก"

          "ตำนานเหรอ.." บอสซีครุ่นคิดมองผ่านกระจกออกไปข้างนอก
         
          "ไป่ ซื่อ เด็กชายวัยแปดขวบเดินทางติดตามผู้เป็นพ่อหนีความอดอยากแร้นแค้นจากแผ่นดินใหญ่ออกทะเลรอนแรมฝ่าคลื่นลมจุดหมายปลายทางคือเกาะผินอิน เกาะซึ่งถูกปกคลุมด้วยเมฆฝนตลอดทั้งปีร่ำลือกันว่าเป็นถิ่นพำนักของเทพเจ้าแห่งการเพาะปลูก เมื่อมาถึงเกาะทั้งสองคนหันหลังให้ทะเลเดินเท้าเข้าป่าดิบรกชัฏข้ามลึกผ่านภูเขาสูงเสียดเทียมฟ้า เมื่อเดินเท้ามาถึงเย็นวันที่เจ็ดทะเลสาบอันสงบงดงามปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าต่อสายตาของคนทั้งคู่ ควันไฟลอยเอื่อยขึ้นจากหลังคาบ้านกลิ่นอาหารหอมหวนลอยเตะจมูก จุดสิ้นสุดของการเดินทางคือชุมชนตักศิลารอบๆทะเลสาบสุรยันจันทราแห่งนี้"

          "ผู้เป็นพ่อออกปากฝากลูกชายเพียงคนเดียวให้เป็นข้ารับใช้ของบรรดาอาจารย์เพื่อศึกษาเล่าเรียนสรรพวิชาอันล้วนเป็นของวิเศษ ส่วนตัวเขาจะขอออกเดินทางเพียงลำพังท่องเที่ยวสำรวจเกาะแห่งความอุดมสมบูรณ์นี้ให้ถ้วนทั่วคุ้มค่าที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึง"

          "ทำไมอาจารย์รับง่ายจัง ไม่ต้องแบบ ข้าจะคุกเข่าจนกว่าท่านจะรับเป็นศิษย์อะไรงี้เหรอ" เรายกกาแฟร้อนขึ้นจิบ
          "เด็กแปดขวบนะ จะให้คุกเข่าเชียวเหรอ"

          "ไป่ ซื่อ เป็นเด็กที่มีบุคลิกนอบน้อมถ่อมตนพูดจาไพเราะ ประกอบกับสติปัญญาอันหลักแหลมเป็นเลิศจึงเป็นที่โปรดปรานของบรรดาอาจารย์ทั้งหลาย เคล็ดวิชาสูตรลับต่างๆถูกถ่ายทอดแนะนำอย่างไม่ปิดบัง แต่.. ในใจของไป่ซื่อนานวันไปกลับยิ่งขัดแย้ง เพราะทุกสิ่งอย่างที่เป็นของวิเศษล้ำเลิศล้วนมีไว้เพื่อปรนเปรอเฉพาะชนชั้นอาจารย์ด้วยกันเองเท่านั้น เขาไม่เคยได้ใช้วิชาความรู้เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเลย"
         
          "ในวัยห้าสิบ เหล่าบรรดาอาจารย์ออกเดินทางจากไปไม่ส่งข่าวนานหลายปีแล้ว ไป่ซื่อเกิดความเบื่อหน่ายจึงตัดสินใจลงจากภูเขาอวดอ้างว่าตนคือหมอเทวดาสามารถรักษาหายได้ทุกโรคเพื่อโปรดเพื่อนมนุษย์ผู้ทุกข์ยาก ในช่วงนั้นประเทศญี่ปุ่นซึ่งนำโดยท่านนายพลนายกองเรือเพิ่งเดินทางมาถึงเกาะใต้หวันพร้อมกำลังทหารจำนวนมาก หมอไป่ซื่อเห็นนิมิตรว่าจะเกิดภัยสงครามในเวลาอันใกล้จึงหลีกหลบกลับขึ้นภูเขา เสียงลือเสียงเล่าอ้างเรื่องความเก่งฉกาจของหมอเทวดาทำให้ท่านนายพลขึ้นไปติดตามถามหาถึงทะเลสาบสุริยันจันทราด้วยตัวเอง"

          "ชิโอริ บุตรสาวของท่านายพลนายกองเรือผมหงอกขาวสีผิวขาวซีดราวหิมะอยู่ในสภาพผ่ายผอมจนแทบจะเหลือแต่กระดูกนอนอยู่ในเสลี่ยงปรากฏกายแก่สายตาผู้คนในหมู่บ้าน พวกเขาขนานนามเด็กสาวลับหลังท่านนายพลญี่ปุ่นว่า นางจิ้งจอกหิมะ"

          "หมอไป่ซื่อตรวจวินิจฉัยลงความเห็นว่าผิวพรรณที่ขาวซีดจ้ำสีแดงคล้ำที่เกิดขึ้นเองนั้นบ่งบอกถึงอาการเลือดเป็นพิษ ตอนนี้หัวใจของเด็กสาวคงกำลังอ่อนล้าถึงจุดวิกฤต จำเป็นจะต้องผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจโดยเร็วถึงจะมีโอกาสรอด"     
         
          "แล้วรอดมั้ย.." เราอดถามไม่ได้

          "ในระหว่างที่ไป่ซื่อง่วนอยู่กับการตระเตรียมสถานที่เพื่อการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ภรรยาสุดที่รักของหมอไป่ซื่อที่ล้มป่วยออดๆแอดๆมานานเกิดอาการทรุดหนักลงอย่างปัจจุบันทันด่วน"

          "เป็นถึงหมอเทวดารักษาเมียตัวเองไม่ได้เนี่ยนะ" ..
         
          "ก็ตำนานเค้าว่ามาอย่างนั้น.."
          "..เชิญบอสเล่าต่อค่ะ"

          "ภรรยาของหมอไป่ซื่อเสียชีวิตตอนก่อนรุ่งเช้า ด้วยความอาลัยรักในตัวภรรยาเขาจึงผ่าเอาหัวใจของเธอแอบใส่ลงในร่างของเด็กสาววัยสิบหกปี เพียงไม่ถึงสิบวันผิวพรรณขาวซีดนั้นกลับใสสว่างกระจ่างอมชมพูเลือดฝาด นางจิ้งจอกหิมะฟื้นคืนร่างกลายเป็นเด็กสาววัยสิบหกปีผู้น่ารักสดใส ท่านนายพลนายกองเรือดีใจมากตกรางวัลเป็นที่ดินและทรัพย์สินเงินทองมากมายให้แก่หมอไป่ซื่อ แต่ทรัพย์สมบัติพวกนั้นหาเป็นที่ต้องการไม่เพราะเขารู้ว่าล้วนถูกตีชิงปล้นสะดมมาทั้งสิ้น ชิโอริ เด็กสาวที่กำลังพักฟื้นดีวันดีคืนอยู่นี่ต่างหาก ที่พึงใจเขา"
         
          "หืม.. เด็กนะคะหมอ ไอคุกๆเลยนะ" เราแซว
          "แต่หัวใจในร่างเด็กสาวเป็นของเมียไป่ซื่อนะอย่าลืมสิ" บอสจิบกาแฟ

          "ในตอนนี้ระหว่างเขากับเธอกลายเป็นชายวัยห้าสิบกับเด็กหญิงวัยเพียงสิบหกปี ด้วยข้ออ้างที่ว่าชิโอริยังไม่แข็งแรงดีจึงพอจะยื้อตัวเด็กสาวไว้กับเขาได้ต่อ จากที่เคยอ่อนแอนอนซมอมโรคไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะลุกเดิน ชิโอริ ทวงคืนชีวิตวัยเด็กของตัวเองด้วยการหนีออกไปเดินดูโน่นนี่ท่องเที่ยวไปตามหมู่บ้านใกล้ไกล ทุกสิ่งอย่างล้วนให้รสชาติใหม่ๆแปลกใหม่น่าตื่นใจชวนให้ได้สัมผัสลิ้มลอง ซึ่งมักจะโดนหมอไป่ซื่อต่อว่าทุกครั้งเมื่อกลับมา"

          "แต่การผ่าตัดหัวใจในครั้งนั้นไม่เสร็จสมบูรณ์อย่างที่ไป่ซื่อคิด ร่างกายของเด็กสาวเริ่มออกอาการอีกครั้ง จ้ำสีแดงช้ำค่อยๆปรากฎชัด ไป่ซื่อบอกกับเด็กสาวตรงๆว่าเขาหมดปัญญาและเวลาของเธอเหลือน้อยเต็มที ดีที่สุดในตอนนี้คือดูแลรักษาไปตามอาการเท่านั้น"

          "แล้วสรุปว่าชิโอริรอดมั้ย.." เราถาม
         
          "คืนนั้นเธอวิ่งหนีออกไป มีอะไรกับผู้ชายแทบทั้งหมู่บ้าน"
          "เย้ยยย..!!" เราแทบสำลักกาแฟ "อายุสิบหกเนี่ยนะมีอะไรกับผู้ชายทั้งหมู่บ้าน"

          "ชาวเมืองเล่าว่าทั้งคืนนั้นชิโอริเดินไล่เคาะประตูทีละหลัง ป่าวร้องว่าถ้าใครอยากมีอะไรกับเธอให้ออกมานอกบ้าน หลังจากที่เด็กสาวเสียชีวิตจากอาการแพ้เลือดตัวเอง หมอไป่ซื่อก็ทำการผ่าเอาหัวใจของภรรยาสุดที่รักของเขากลับคืนออกมา"

     "ผ่านไปห้าปีบรรดาอาจารย์เดินทางกลับมาพบว่าหมู่บ้านอยู่ในสภาพทรุดโทรมเสื่อมถอยผู้คนเดินทางจากไปเพราะหมดสิ้นศรัทธา อาจารย์ทราบเรื่องที่ไป่ซื่อลงมือผ่าตัดหัวใจโดยแอบอ้างว่าตนเป็นหมอเทวดา เล่นบทแทนพระเจ้าจนเป็นเหตุให้อำนาจแห่งกามราคะเข้าครอบงำทำลายผู้คนทำลายหมู่บ้าน ไป่ซื่อแย้งว่าเขาทำไปเพราะความรักในภรรยา อาจารย์จึงสาบให้ ไป่ ซื่อ เป็นผู้ไม่รู้จักความตาย ให้เขาไม่มีวันได้พบภรรยาสุดที่รักอีกเลยไม่ว่าในภพใด" 

          "ตำนาน ทำไมจบดาร์คจัง"
          "ต้องทนรับรู้เรื่องที่ชิโอรินำพาหัวใจของภรรยาตัวเองออกไปมีอะไรกับผู้ชายไม่เลือกหน้าทั่วทั้งหมู่บ้านนั่นสิ เศร้ากว่า" บอสหน้าสลด

          "คืนบาปพรหมพิรามชัดๆ"
          "คืออะไร.." บอสถาม
          "ป่าวค่ะ.."

          "แล้วพ่อของชิโอริไม่โกรธเหรอทำลูกสาวเค้าตายทั้งคน" เราถาม
          "กองทัพญี่ปุ่นใช้เหตุนั้นเพื่อกล่าวอ้างเริ่มต้นสงครามจีนญี่ปุ่นครั้งที่สอง"

          "สรุปนี่ตำนานหรือเรื่องจริงคะนี่ บอสเล่าอย่างกะตาเห็น"
          "สนุกมั้ยล่ะ" บอสยิ้ม

          "เศร้ามากกว่าค่ะ สงสารหมอไป่ซื่อ"

เราปิดท้ายการเดินชมเมืองก่อนแสงจะหมดด้วยการเข้าสักการะศาลเจ้าโบราณ พระพุทธรูปแกะสลักจากไม้ประดิษฐานงาดงามเด่นอยู่บนแท่นสักการะ

          "ขอลูกได้นะที่นี่ท่านศักดิ์สิทธิ์" บอสหันมาบอก

          "แล้วบอสขออะไรคะ ขอลูกรึเปล่า" เราทำตาเยิ้ม
          "ผมขอให้โลกสงบสุขน่ะ.." บอสตอบซะเจื่อนเลย 

ระหว่างที่บอสกำลังเดินดูเครื่องรางเราปลีกตัวเดินดูโน่นนี่ไปเรื่อย ถึงจะไม่ค่อยอินกับวิถีพุทธแบบชินโตแต่กลับชื่นชอบสวนสวยๆตามวัดแบบนี้มากคล้ายๆเกลียดตัวกินไข่ ต้นเมเปิ้ลใบสีแดงสลับต้นก่อใบสีส้มต้นแปะก๊วยสีเขียวเหลืองเรื่อยไปตามทางเดิน สะดุดตากับเสาไม้ต้นใหญ่สูงประมาณสี่เมตรที่ปลายด้านบนสลักเป็นรูปใบหน้าคนจมูกโตคล้ายตุ๊กตาดารูมะ เสาทั้งต้นเหมือนเคยถูกฉาบทาด้วยสีแดงสดดูน่าเกรงขามคาดว่าคงจะเป็นเทพเจ้าอะไรสักอย่าง

"แม่หนู.." เราหันควับกลับไปหาต้นเสียง ชายในชุดสีเทาคล้ายนักแสวงบุญสวมหมวกฟางปีกกว้างยืนถือไม้เท้าสงบนิ่ง ไม่เห็นเขาขยับริมฝีปากด้วยซ้ำและบอกไม่ได้ว่ามันคือภาษาอะไรที่กำลังดังก้องอยู่หู

"ทำไมเธอถึงลบหลู่ท่านแบบนั้น มันไม่ดีรู้มั้ย" เราตกใจจนหน้าชาขาสั่นตัดสินใจเดินหนี ทำไมเขารู้และอ้างถึงคำอธิษฐานอันสุดแสนลามกสัปดนของเราได้ หันกลับไปมองโชคดีที่เขายังยืนอยู่ที่เดิม ถ้าหันไปแล้วไม่เจอใครคงได้วิ่งป่าราบ

          "ตกลงเมื่อกี๊ขออะไร ขอลูกรึเปล่า" บอสแกล้งแซวตอนเดินกลับออกมาหน้าวัด
          "เปล่าค่ะ.."

....................

ขับรถเพียงสองสามนาทีก็ออกพ้นเขตเมืองเหมือนภาพตัดสลับป่าสนซีดาร์กับทุ่งเลี้ยงสัตว์ บ้านสไตล์คันทรี่ตะวันตกตั้งห่างๆแทบทุกบ้านจะมีเรือนกระจกเล็กๆไว้ปลูกผักสวนครัวอวดแข่งผลงานกันดูน่ารัก รถเอสยูวีสีดำหรูจอดสนิทบนพื้นหินกรวด แสงไฟสีเหลืองส้มสว่างเรืองไปทั้งรีสอร์ทสไตล์คันทรี่ให้ความรู้สึกอบอุ่นท่ามกลางอุณหภูมิที่เหมือนจะลดลงอย่างก้าวกระโดด เราเข้าพักที่นี่เป็นคืนที่สองซึ่งดูทรงแล้วก็คงจะอีกหลายคืนจนกว่าเมืองจะอนุญาตให้กลับเข้าใช้บ้านเก่าของบอสได้

ฟูจิซัง ชายร่างเล็กหุ่นมะขามข้อเดียวไว้ผมทรงหงจินเป่า ถึงจะดูสูงวัยแต่ก็ยังพูดเสียงดังมีพลังเดินเหินคล่องแคล่ว เขายิ้มกว้างกล่าวคำต้อนรับเราก็เลยลองดูบ้าง ค้อมตัวโปรยยิ้มสยาม "tadaima moraimashita.." พยามไม่เขินเวลาพูดกดสำเนียงลงต่ำๆ คุณตาเจ้าของรีสอร์ตถูกใจตอบกลับอะไรมาไม่รู้อีกชุดใหญ่ งงๆ ฟูจิซังออกตัวว่ายังไม่เข้าฤดูท่องเที่ยวแขกก็เลยดูบางตาพลางขอบคุณที่เราเลือกพักที่รีสอร์ตของเขาในระหว่างที่ซิตี้กำลังพิจารณาว่าจะต้องต่อเติมเสริมความแข็งแรงในส่วนใดบ้าง

บทสนทนาเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษง่ายๆ เราชอบฟูจิซังพูดภาษาอังกฤษสำเนียงท้องถิ่น เร็ว มั่นใจ รู้คำศัพท์เยอะและไม่ใส่ใจไวยากรณ์มากนัก ภรรยาของฟูจิซังดูอ่อนวัยกว่าพอสมควร เธอพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แต่ก็พอเข้าใจว่ากำลังชักชวนให้เราอย่าพลาดการลองลงแช่ออนเซ็นของรีสอร์ต ธาตุกำมะถันอ่อนๆในช่วงเดือนตุลาส่งผลดีกับระบบภายในต่างๆของลูกผู้หญิง

ที่ทั้งบอสซีและฟูจิซังถึงกับเมามายแทบไม่ได้สติก็เพราะคุณแม่ท่านนี้ล่ะที่ทั้งรินทั้งชนทั้งเชียร์ปากว่ามือถึงเอนเตอร์เทนสุดฤทธิ์ ส่วนของตัวคุณแม่เองก็ใช่ย่อยเติมไม่มียั้งเหมือนกันบรรยากาศสนุกสนานคล้ายกำลังอยู่ในบาร์โฮสต์ กว่าจะเลิกรากลับมาที่ห้องพักก็เกือบจะห้าทุ่มน้ำท่ายังไม่ได้อาบ

          "บอสคะ เสาสีแดงที่ตรงปลายสลักเป็นหน้าคนอ่ะ เสาอะไรคะ"

          "เสาอะไร ตรงไหน.."
          "ในสวนอ่ะค่ะ ตรงสามแยกจะมีเสาปักอยู่ต้นนึง"

          "จะว่าไปผมน่าจะรู้จักที่วัดนั้นแทบทุกตารางนิ้วเลยนะ สงสัยเค้าทำใหม่มั้งก็เลยไม่เคยเห็น"
          "เสาหน้าตาเหมือนตุ๊กตาดารูมะอ่ะค่ะ จมูกโตๆ"

          "ตรงสามแยกที่ต้นเมเปิ้ลใหญ่ใช่มั้ย"
          "ค่ะ.."
          "ไม่เป็นไร เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมแวะไปดูหน่อย"
         
          "อำปิ่นเล่นป่ะคะเนี่ย ทำไมทำหน้าเครียดแบบนั้นอ่ะ"
          "อ๋อ.. ไม่มีอะไรหรอก" บอสยังไม่ยิ้ม

          "ปิ่นดันไปแซวว่าเหมือนปลัดขิก.. เห็นสีแดงๆ" เราสารภาพ

          "อะ.. อะไรนะ ปลัดข.. อ่อ.. โอเค รู้แล้ว" บอสซีเพิ่งนึกภาพออก

          "แต่ว่าแค่แซวเล่นในใจนะคะไม่ได้พูดออกมา"
          "ปิ่นแซวเสาเทพเจ้าว่าหน้าตาเหมือนปลัดขิกเนี่ยนะ"
          "โหย.. นั่นเสาเทพเจ้าเลยเหรอ งานงอกดิ ศักดิ์สิทธิ์มั้ยอะเดี๋ยวพรุ่งนี้ไปขอโทษ"
         
          "เอ๊อ.. อย่าคิดมากเลยนี่มันปีสองพันแล้ว ไม่มีอะไรหรอก"
          "บอสทำหน้างี้สงสัยต้องศักดิ์สิทธิ์แน่เลยอ่ะ"

....................

 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

notkey

ญี่ปุ่นก้มีของเหมือนกันนะเนี่ย ปิ่นเราจะโดนอะไรมั้งเนี่ย

xonly-1786

ขอบคุณมากครับ ปิ่น ชอบเจออะไรให้ตื่นเต้น ได้ตลอดเลยครับ

dumrongsak

โดนเสาเทพเจ้าลงหลุมแน่เลย

six


sp502

ปิ่นเชื่อว่าบอสศักดิ์สิทธิ์ แล้วแบบนี้จะเจออะไรให้ตื่นเต้นละเนี่ย รอลุ้นครับ


sammyadong


mrcat2019

ญี่ปุ่นด็มีประวัติเยอะแยะดีนะ

Pra-in

ปิ่นจะโดนอาถรรพ์ แล้วโดนล่อทั้งเมืองหรือเปล่า

ieaky

ปิ่นซัง ดีจังบอสพาไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ จะได้หายเหงา มาแช่ออนเซ็นจะมีเรื่องอะไรตื่นเต้นกับปิ่นมั้ยรอบนี้

ads_s7

ปากหนอปากพาไปแต่ไม่รู้ย่อมไม่ผิดท่่นคงให้อภัย

teerawatc

จะเปลี่ยนเนื้อเรื่องโรแมนติค  กลายมาเป็นเรื่องผีหรือเปล่าครับเนี่ย

Montakan

 ::HeyHey::สงสัยอะไรเสาสีแดงเดียวก็เจอ

nicky1976

ปิ่นโดนอาถรรพ์ เสาศักดิ์สิทธิ์แน่

po3026

แซวมากๆระวังคำสาปนะ เดี่ยวจะเป็นแบบชิโอริ