ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ใบไม้ผลัดสี ตอนที่ 1 (นิยาย Y ช-กะเทย)

เริ่มโดย declangombley, ตุลาคม 26, 2020, 05:54:46 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

declangombley

ใบไม้ที่ผลัดสี

1

   เป็นครั้งแรกที่เขาเหลืออด บันดาลความเกรี้ยวกราดภายในห้องทำงานสุดแสนจะส่วนตัว

   ชายหนุ่มลุกขึ้นพรวดจากเก้าอี้สำนักงาน มันหมุนคว้างสามสลบก่อนจะเซล้มลงตึงไปนอนกองกับพื้นหินอ่อน เขากวาดต้อนเอาทั้งคอมพิวเตอร์โน๊ตบุคยี่ห้อแอปเปิล สมุดจดบันทึกเล่มเล็ก พร้อมปากกามองก์บลังก์ รวบทรัพย์สินราคาแพงทั้งหมดเข้าไว้ด้วยพละกำลังแขนขวา สะบัดแค่ครั้งเดียว ทุกอย่างก็พากันกระแทกใส่บานกระจกอย่างแรงภายในหนึ่งวินาที หัวใจของเขาเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวผ้าทวิลด์ที่ได้รับการตัดเย็บพอดีตัวเข้ากันได้ดีกับกางเกงสแล็คสีดำและรองเท้าอ็อกซ์ฟอร์ดสีเดียวกัน แผ่นอกหนากำยำสั่นกระเพื่อมขึ้นลงตามลักษณะการหายใจที่ดูเหมือนคนเพิ่งเสร็จจากวิ่งมาราธอน วงหน้าขาวสะอาดแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำเหมือนลูกตำลึงสุกมีหนวดเคราเล็กน้อย ชายหนุ่มได้แต่ยืนเท้าสะเอวจ้องมองอุปกรณ์การทำงานของเขา ซึ่งตอนนี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นเศษซากขยะอิเล็กทรอนิกส์ -- ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงนั้น แต่เหล่าพนักงานทั้งชายและหญิงคนอื่นๆต่างก็พากันหยุดฝีเท้า ไม่กล้าเดินต่อ ทุกคนเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในห้องกระจกใสเปิดโล่งกว้าง มองออกไปจะเห็นวิวสวนสวย เต็มไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ที่ยังคงความงดงามภายใต้แสงไฟประทับ แม้ในช่วงยามวิกาลก็ตามที ถึงตอนนี้เป็นเวลาประมาณสามทุ่มครึ่งของคืนวันศุกร์แล้ว แต่พนักงานก็ยังไม่ได้กลับบ้าน รวมถึงตัวชายหนุ่มตัวสูงใหญ่อารมณ์คุกกรุ่นในคุกแก้วใสนั่นด้วย ไม่มีใครเคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน คนอย่างเขาไม่เคยทำลายข้าวของ ไม่เคยโวยวายไร้สาระ --

"ค -- คุณ -- คุณกานต์คะ" เลขาสาวใหญ่วัยกลางคนในชุดเดรสสีดำเรียบหรู ทำใจดีสู้เสื้อ บังอาจกล้าผลักบานประตูกระจกเข้ามา ถามเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "เอ่อ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?"

กานต์ส่ายหน้า ไม่พูดอะไร เขายืนหลับตา แน่นิ่งอยู่อย่างนั้นประมาณห้าวินาที

   "ขอโทษด้วยนะครับ ป้าไหม" และเขาก็เอ่ยปากพูดขึ้นจนได้ มิหนำซ้ำ เขายังกลับมายิ้มแย้มได้เสมือนว่าครู่ก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาจัดแจงจับเก้าอี้ขึ้นมาตั้งเช่นเดิม ก้มลงเก็บปากกามองก์บลังก์และสมุดจดบันทึก วางเอาไว้บนโต๊ะทำงานอีกครั้ง เว้นเสียแต่คอมพิวเตอร์โน๊ตบุคที่เสียหายเรียบร้อยโดยไม่ต้องสงสัย เขานั่งลงบนเก้าอี้ พยายามข่มตาทำสมาธิ ถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

"พอดีว่าเมื่อกี๊ ผมได้รับข่าวไม่ดี...เป็นข่าวร้าย" ชายหนุ่มบอกกับเลขา เขาโบกมือและยิ้มให้เหล่าพนักงานคนอื่นๆ ทำสัญลักษณ์ว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี จนแล้วจนรอด ทุกคนก็ทยอยกลับไปทำงานของตัวเองต่อ หลายคนคงแอบสงสัยเหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้านายหนุ่ม -- และเขาเป็นบ้าอะไร?

"คุณน้านิรมล เพื่อนสนิทของคุณแม่ผม" นายกานต์เบ้ปากและส่ายหน้าขวับขวับซ้ำไปมาเหมือนไม่อยากยอมรับความจริง "ท่านเสียชีวิตแล้วนะครับ เมื่อเร็วๆนี้ ที่ประเทศอังกฤษ"

"เอ่อ" คุณเลขาก้มหน้า ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ "เสียใจด้วยนะคะคุณกานต์ ได้ยินแบบนี้ป้าเองก็ช็อคเหมือนกันนะคะเนี่ย แล้ว -- แล้วคุณกานต์รู้ข่าวมาจากไหนคะ?"

"อินเตอร์เน็ตน่ะครับ ข่าวต่างประเทศจากเว็บนอก หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน" ชายหนุ่มบอก "หรือป้าไหมจะลองเปิดทีวีดูก็ได้นะ ผมว่าป่านนี้คงได้เวลาออกข่าวในเมืองไทยแล้วล่ะ"

เธอทำตามทันทีด้วยความอยากรู้อยากเห็น ป้าไหมรีบคว้ารีโมทขึ้นจากโต๊ะทำงานของกานต์โดยไม่ลังเล กดเปิดโทรทัศน์ เท่านั้นเอง ข่าวโศกนาฏกรรมสุดสะเทือนใจทั้งภาพและเสียงก็พลันปรากฎขึ้นบนจอแอลอีดีโค้งมนบนกำแพง ถึงตอนนี้เลขาสาวใหญ่เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความรู้สึกของเขา:

'...น่าเศร้าทีเดียวครับ กรณีอดีตภรรยาและลูกชายเพียงคนเดียว ทายาทอภิมหาเศรษฐี ตระกูลสิริวัฒน์ ได้ประสบอุบัติเหตุทางท้องถนนที่ประเทศอังกฤษ ยืนยันว่าทั้งสองคนเสียชีวิตแล้วครับ...'

ป้าไหมกดปิดทีวีและวางกลับคืนที่เดิมโดยไม่สนใจจะยอมรับฟังต่อ เช่นเดียวกับเจ้านายหนุ่มที่ออกอาการมือสั่น ใบหน้าเกร็งแข็ง เสมือนว่าในค่ำคืนวันนี้เขาไม่ต้องการรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว

"ทั้งคุณนิรมลและคุณหนูชนันธวัชเลยเหรอ" เลขาสาวใหญ่หลับตานิ่ง สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด

"ใช่ครับ ทั้งสองคนเลย ทั้งน้ามล แล้วก็..." มือของกานต์สั่นหนักขึ้นกว่าเดิมเช่นเดียวกับริมฝีปากบางของเขา หรือแม้แต่ดวงตาของเขา และแว่นสายตากรอบหนาสีดำของเขาก็ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นเกราะกำบัง ซุกซ่อนหยดน้ำตาที่ค่อยๆเติบโตขึ้น อ้วนขึ้น ก่อนจะไหลพรากอาบแก้มเขาได้ คนอย่างเขาไม่เคยมีน้ำตาให้ใครเห็น นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ป้าไหมเห็นชายหนุ่มผู้นี้หลั่งน้ำตา กานต์ทั้งร้องไห้และหัวเราะสมเพชโชคชะตาตัวเองในคราวเดียวกัน "วัช... ทั้งน้ามลและไอ้วัช พวกเขาสองคนจากผมไปแล้ว ฮ่าๆ ชีวิตคนเรานี่แม่งเหมือนโดนสวรรค์ โดนคนบนฟ้ากลั่นแกล้ง"

"คุณหนูวัช -- ป้าจำได้ค่ะ จำได้แม่นเลย คุณกานต์เคยเล่าให้ป้าฟังอยู่บ่อยๆว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทวัยเด็กเพียงคนเดียว คุณกานต์รู้จักเขามาตั้งแต่ยังไม่เข้าอนุบาลเลยด้วยซ้ำ ป้าเสียใจด้วยจริงๆนะคะ"

"ฮ่าๆ ผมกับเขา เราเป็นเพื่อนซี้กันมาตั้งแต่จำความได้นั่นล่ะครับ" ชายหนุ่มถอนหายใจดัง เขาเริ่มเอนแผ่นหลังลงบนเก้าอี้ เงยหน้ามองเพดานเสมือนว่ากำลังคาดคั้นอะไรบางอย่างจากหลอดไฟแอลอีดีสีนวลผ่อง อันที่จริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะมองเพดานหรอก สายตาคมกริบของเขามองทะลุทะลวงไปมากกว่านั้น เขาเพียงแค่จินตนาการ อยากเห็นหน้าไอ้บ้าห้าร้อยตนใดสักตัวบนสวรรค์ เขาคิดว่าคงจะมีไอ้งั่งสักตัวทำหน้าที่เป็นคนเขียนบทละครชีวิตห่วยๆให้กับครอบครัวของคุณน้านิรมลและลูกชาย

"เราสนิทกันมาก เล่นด้วยกันทุกวันที่โรงเรียน จนกระทั่งประมาณช่วงประถมปลาย จู่ๆน้ามลก็มีเรื่องฟ้องหย่ากับสามี ร้ายแรงมาก ร้ายแรงโคตรๆ ถึงขั้นต้องหอบเสื้อผ้าพาไอ้วัชลาออกจากโรงเรียน ย้ายไปอยู่ที่อังกฤษกันสองคนแม่ลูกโดยไม่ได้บอกลาผมสักคำ" ชายหนุ่มระบายความอัดอั้น เลขาสาวใหญ่ได้แต่ยืนนิ่ง พยักหน้ารับฟังด้วยความเข้าใจ "แต่ผมไม่เคยโกรธนะครับ ก็ดีแล้วไง ในที่สุดสองแม่ลูกคู่นี้ก็ได้ย้ายออกไปจากไอ้ตระกูลเฮงซวยนั่นสักที ทุกอย่างมันผิดที่ไอ้คนพ่อกับน้องสาวของเขานั่นล่ะ ถ้าผมเป็นเขา -- ถ้าผมเป็นไอ้วัช ผมคงประสาทแดกทุกวันแน่ๆ ถ้าต้องอยู่ใต้ชายคาเดียวกับพ่อที่ไม่มีความรับผิดชอบ พ่อที่โคตรปัญญาอ่อน พ่อที่แม่งไม่เคยคิดจะทำความเข้าใจลูกชายตัวเอง"

"คุณกานต์กำลังหมายถึง คุณชมธวัช เศรษฐีพันล้าน เจ้าของอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ใช่ไหมคะ?"

"เรียก ไอ้เชี่ยชมธวัช จะดีกว่าครับ" นายกานต์หัวเราะทั้งน้ำตาคลอเบ้า "ผมไม่เคยนับถือผู้ชายคนนั้นเลยแม้แต่น้อย เป็นพ่อประสาห่าอะไร?​ ทั้งตี ทั้งด่าทอลูกชายสารพัด แถมยังทำตัวสำส่อนมีบ้านเล็กบ้านน้อยไปทั่วจนน้ามลเครียดจัดขนาดนั้น ทุเรศสิ้นดี พ่อแบบไหนกันที่โคตรเห็นแก่ตัว เห็นแก่ชื่อเสียงของตระกูลมากกว่าความสุขของลูกเมีย ไม่รักลูก ไม่ยอมรับลูก กะอีแค่ลูกชายเป็น..."

        กานต์ทิ้งประโยคกลางอากาศเอาดื้อๆ

   "เป็น?" คุณเลขาทวนคำ

   "ช่างเถอะครับป้าไหม ฮ่าๆ" แต่เจ้านายหนุ่มกลับตัดบทแทนที่จะไขความคลุมเครือให้กระจ่างชัด ส่วนป้าไหมก็ไม่ได้ติดใจอะไรนัก สังเกตจากสีหน้าหล่อเหลาทว่าแฝงเร้นความเจ็บปวดบางอย่างไว้ในดวงตา แค่อวัจจนะภาษาเล็กๆน้อยๆก็พอจะอ่านได้แล้วว่า ตัวเขาเองคงไม่อยากพูดอะไรต่อ

   "งั้นเอาเป็นว่าขอให้คุณกานต์ใจเย็นๆนะคะ แล้วป้าก็ขอแสดงความเสียใจด้วยอีกครั้งนะคะ"

   "ครับผม ไม่ต้องกังวลหรอกนะครับ" ชายหนุ่มกลับมายิ้มได้อีกครั้ง แม้จะไม่เต็มใจนัก

   "อาทิตย์หน้าพวกเราจะต้องบินไปแสดงแฟชั่นโชว์ที่ปารีส ผมไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นภาระของทั้งสตูดิโอ ฮ่าๆ ก็นะ คอลเลคชั่นระดับโอร์กูตูร์ ถ้าผมมัวแต่นั่งซึมเศร้า ห้องเสื้อของเราก็คงเจ๊ง"

   "ห้องเสื้อของ คุณ ต่างหากล่ะคะ คุณกานต์" ป้าไหมแก้คำ เธอเองก็ยิ้มแหยๆแห้งๆ เพราะในเมื่อไม่รู้จะให้ความเห็นเรื่องการเสียชีวิตของคุณนิรมลกับลูกชายอย่างไรแล้วล่ะก็ อย่างน้อยเธอก็ควรให้กำลังใจเจ้านายหนุ่มเสียบ้าง "อย่าลืมสิคะว่า คุณกานต์เป็นทั้งครีเอทีฟไดเร็คเตอร์ เป็นหัวหน้าดีไซเนอร์ แล้วก็เป็นผู้ก่อตั้งห้องเสื้อ 'เฮดีส' ที่ตอนนี้กำลังโด่งดังเป็นพลุแตกจนฉุดไม่อยู่ตั้งแต่แฟชั่นโชว์ที่มิลานปีก่อน พวกสื่อต่างประเทศต่างก็ยกย่องว่าแบรนด์เพิ่งเกิดอย่างเฮดีสเนี่ย เทียบชั้นแบรนด์ระดับโลกได้สบายๆเลยล่ะค่ะ อันที่จริงถึงขั้นไฮเอนด์แซงหน้าทั้งทอมฟอร์ด ชาแนล หรือแม้กระทั่งซูแฮร์ มูราด ไปแล้วด้วยซ้ำนะคะ นี่ถ้าไม่ใช่ฝีมือของคุณกานต์ ห้องเสื้อนี้ก็คงไปไม่ได้ไกลหรอกค่ะ"

   "ฝีมือของพวกเราทุกคนครับ" ชายหนุ่มยกมือขึ้นปราม "และก็เป็นแบรนด์ของพวกเราด้วย"

   "ค่า คุณกานต์" ป้าไหมลากเสียงยาวเหยียด "งั้นป้าขอตัวไปทำงานก่อนะคะ คืนนี้ท่าจะยาว"

   "ฝากย้ำทีมงานด้วยนะครับว่าคอลเลคชั่นนี้ให้เน้นสีขาว -- สีขาวเยอะๆ อย่าพยายามเอาสีอื่นมาเจือปน ผมอยากให้คุมโทนเข้ากับธีมแนวๆเจ้าหญิงในนิยาย"

    ชายหนุ่มพูดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เลขาคนสนิทจะพยักหน้าตอบรับและเดินผละจากออกไป ปล่อยให้คุณกานต์ได้มีเวลาเงียบๆเพียงลำพัง ในห้องทำงานสีขาวสะอาดตา ประดับประดาด้วยประติมากรรมสไตล์โรมันอย่างรูปปั้นเทพเจ้าแห่งความตายจากความเชื่อโบราณ 'เฮดีส หรือ ฮาเดส' แล้วแต่คนจะเรียก ถัดมาคือภาพวาดด้วยสีน้ำมันอัดใส่กรอบแปะบนผนังด้านซ้าย เป็นภาพลอกเลียนแบบฝีมืองานเขียนของไมเคิลแองเจโลในยุคเรเนซองค์ ชื่อภาพว่า 'การสรรสร้างอดัม' กานต์ชอบภาพนี้มากเป็นพิเศษ เพราะในความคิดเห็นของเขา มันเป็นชิ้นงานศิลปะที่สามารถตีความได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการมองว่าพระเจ้าได้ให้กำเนิดเรา พระเจ้าได้ให้อิสระแก่เรา พระเจ้าได้ให้ชีวิตแก่เรา หรือบางคนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ก็อาจตีความไปว่าลักษณะท่าทางของชายชรากับเหล่าสตรีในอ้อมแขน เมื่อมองรวมกันแล้ว ดูคลับคล้ายคลับคลากับโครงสร้างสมองของมนุษย์ นั่นก็แล้วแต่จะสรรหาความหมายไปอีก แต่ในทัศนะของกานต์ เขาตั้งใจติดตั้งภาพเขียนนี้เอาไว้เคียงข้างกับประติมากรรมเทพเจ้าแห่งนรกและความตาย เพราะเขาเชื่อว่า ชายชราในภาพวาดที่ใครต่อใครต่างเรียกกันว่าพระเจ้าผู้ให้กำเนิดนั้น ได้ทรงทอดทิ้งและสาปส่งอดัม ผู้เป็นบุตรชาย ซึ่งเปรียบเสมือนมนุษย์เราทุกคน 'พระเจ้าทอดทิ้งพวกเราไปแล้ว' เขามักพูดคำนี้อยู่บ่อยๆเวลาที่มีใครสักคนต้องการคำชี้แนะ 'พระผู้สร้างผู้ประเสริฐแบบไหนกันที่เรียกร้องอะไรจากมนุษย์ ถ้าผู้สร้างรักเราจริง ทำไมถึงได้ปล่อยให้เราต้องทนทุกข์ทรมานอยู่เรื่อย?' นอกนั้นภายในห้องทำงานของเขาก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าแจกันดอกไม้ ทั้งดอกทิวลิป ดอกกุหลาบขาว และที่เขาโปรดปรานที่สุดเห็นจะเป็นกระถางต้นใบเมเปิลสีส้มชะอุ่ม -- แน่ล่ะก็มันเป็นของปลอม

-- ความสวยงามของจริงน่ะปลูกอยู่ในสวนสวยข้างนอกห้องทำงานต่างหาก

ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขาเดินเข้าใกล้กระจกใส ทอดสายตาออกไปสู่ท้องฟ้าในยามราตรีกาล เหม่อมองมวลเมฆที่ไกลแสนไกลออกไปในความเงียบงัน เห็นพระจันทร์กลมโตนวลผ่องส่องประกาย เขาตัดสินใจหลับตาเบาๆและหวนนึกถึงวันวานเก่าๆเมื่อครั้งยังเป็นแค่เด็กประถมหน้าแว่นธรรมดาๆคนนึง เขาเห็นภาพตัวเองกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งหินแข็งๆกับโต๊ะหินโง่ๆหนึ่งตัว กำลังเล่นวาดรูประบายสีกับเด็กผู้ชายหน้าหวานคนนึงที่โรงเรียน เขาจำทุกอย่างได้ดีทุกเสี้ยววินาที ไม่เคยลืม...

"กานต์ เธอกล้ามาเล่นกับเราจริงๆเหรอ" เด็กชายคนตรงข้ามเอ่ยถาม แววตาเป็นกังวล

"กล้าดิ ทำไมอะ" ตัวเขาเองย้อนถามกลับไปอย่างไร้เดียงสา นึกแล้วก็อดขำตัวเองตอนนั้นไม่ได้

"ก็คนอื่นเขาหาว่าเราเป็นตุ๊ด เป็นกะเทย" เด็กคนตรงข้ามบอก "เราไม่ชอบเล่นแรงๆ ไม่ชอบกีฬา"

"แล้วไงอะ เราก็ไม่ชอบเตะบอลเหมือนกัน เราชอบวาดรูป" เขายิ้มและไม่เข้าใจคำว่าตุ๊ด กะเทย

 

เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน
เลิกเขียน เลิกแต่ง พอๆ เบื่อว่ะ

boymm



aumoum

น่าสนใจเกริ่นมาแบบนี้​ มีอะไรกับน้องสาวเพื่อนหรือ​ปล่าวน้า

playnut


oddsk



Monari


rongler


57130246.


swgxxx26


armmylife


Moo Muzz


Peelly

ได้อ่านนิยายแนว Y ก็น่าจะสนุกนะ ขอลองติดตามเนื้อเรื่องไปเรื่อยๆแล้วกัน 

Nickeezz

น่าสนใจครับ ปกติไม่ได้อ่านแนวนี้เท่าไหร่ ขอติดตามดูครับผม