ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ห่างฟ้า ไกลดิน ตอนที่ 1

เริ่มโดย footswitch, มกราคม 27, 2021, 03:38:29 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

footswitch

ตอนที่ 2 https://xonly8.com/index.php?topic=239448.0

....................

งานฉลองวันเกิดและมินิคอนเสิร์ตหาทุนมอบให้บ้านเด็กพิการซ้ำซ้อนจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายเป็นกันเองภายในบ้านพักของ จงธรรม ลภากุล นักเปียโนและนักประพันธ์เพลงชั้นครูของเมืองไทย แขกผู้เข้าร่วมงานก็ล้วนพี่น้องเพื่อนฝูงในแวดวงดนตรีคลาสสิกคุ้นหน้าคุ้นตากันดีบ้างยืนนั่งถือเครื่องดื่มตามอัธยาศัย บ้านไม้อายุเกือบร้อยปีหลังนี้เป็นที่ขึ้นชื่อรู้กันในหมู่นักเล่นเครื่องเสียงระดับไฮเอนด์ว่ามีอะคูสติกรูมที่ยอดเยี่ยม ยิ่งมีวงเชมเบอร์เครื่องสายเล่นให้ฟังสดๆตรงหน้ายิ่งสัมผัสได้ถึงคุณลักษณ์เสียงของเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ

นลิน ลูกสาวคนโตมือเชลโลฝีมือฉกาจประจำวงเวียนนาออเคสตร้าเคลื่อนปลายนิ้วไปตามเส้นสายบนเฟรดบอร์ดสีคันชักรวดเร็วแม่นยำเพอร์เฟคพิชระดับโลก ข่าวว่าเธอเพิ่งปฏิเสธทุนของมหาวิทยาลัยบอสตันต่อสัญญากับวงไปอีกสองปีเพื่ออยู่หาประสบการณ์ต่อที่ออสเตรีย ฉับพลันท่วงทำนองฮึกเหิมท้าทายเปลี่ยนเป็นสงบเย็น

ที่แกรนด์เปียหลังใหญ่สีดำเงาวับ กรพินธุ์ ลูกสาวคนเล็กอยู่ในชุดเดรสลูกไม้อ่อนหวานเธอหลับตาสงบนิ่งสูดลมหายใจยาวก่อนจะพร่างพรมปลายนิ้วลงบนลิ่มเดี่ยวเปียโนบทเพลงในองค์ที่สาม ท่อนเอาท์โทรเชลโลเคาน์เตอร์พอยท์สอดประสานปิดฉากอย่างน่าประทับใจความยาวรวมทั้งสามองค์กว่ายี่สิบนาที เสียงปรบมือดังอื้ออึงต่างชื่นชมยกย่องฝีไม้ลายมือของสองศรีพี่น้องคนดนตรีรุ่นใหม่อนาคตไกล นลินและกรพินธุ์ยืนขึ้นยกมือไหว้ขอบคุณ

จงธรรม มองกรพินธุ์ลูกสาวคนเล็กอย่างชื่นชม นิ้วมือเล็กเรียวบอบบางของสาวน้อยร่ายลีลาราวนักเต้นบัลเล่ต์สะกดผู้ฟังให้คล้อยตามไปกับเรื่องราวที่เธอกำลังบอกเล่าผ่านตัวโน้ตแสนหวานที่เขาบรรจงเรียงร้อยเพื่อเธอ

..........

จงธรรมจูงมือนลินและกรพินธุ์ออกมายืนกลางห้อง เสียงตบมือชื่นชมดังขึ้นอีกครั้ง

          "ขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาอวยพรวันเกิดและร่วมกันทำบุญในวันนี้ ขอบคุณน้องๆนักข่าวด้วยนะครับ .. ขอบคุณทุกท่านครับ"

          "อยากทราบถึงแรงบันดาลใจของบทเพลงพิเศษที่เพิ่งบรรเลงจบไปเมื่อสักครู่นี้ครับ" นักข่าวชายถาม
         
          "แรงบันดาลใจ .. อืม .. แรงบันดาลใจของบทเพลงทั้งสามก็มาจากลูกสาวของผมทั้งสามคนนี่ล่ะครับ องค์ที่หนึ่งนั้นผมตั้งชื่อว่านลิน ให้อารมณ์ตื่นตัวท้าทายด้วยตัวโน้ตที่เรียบงายแต่ซับซ้อนที่จังหวะ องค์ที่สองผมตั้งชื่อว่าลูกศร ท่วงทำนองสนุกสนาน ฟังแล้วอมยิ้มขยับโยกได้ ส่วนองค์ที่สาม กรพินธุ์ .. ชวนฝัน ความสงบสันติภายในจิตใจ บ้านอันแสนอบอุ่น แก้วตาดวงใจ" จงธรรมยิ้ม "ทั้งสามเพลงส่งผ่านข้อความที่ผมและภรรยาอยากบอกกับลูกๆ ความหมายของการใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ ความรักความห่วงใย ความมุ่งมั่นตั้งใจจริง ความเบิกบาน .."

          "ได้ข่าวว่าบินกลับจากกรุงเวียนนาเพื่อควบคุมการซักซ้อมและร่วมบรรเลงในวันนี้โดยเฉพาะ ถ้างั้นขอถามเจ้าตัวดีกว่าค่ะว่ารู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้มีเพลงเป็นของตัวเอง" นักข่าวสาวหน้าตาจิ้มลิ้มหันไปยิ้มถามลูกสาวคนโต "ดีใจมั้ยคะคุณนลิน"
         
          ".. ดีใจค่ะ" นลินตอบยิ้มห้วนถอนหายใจมองบน

          "เมื่อกี๊เท่าที่ฟังรู้สึกเหมือนมีบางท่อนที่เล่นค่อนข้างยาก ด้วยเพราะเหตุนี้รึเปล่าครับที่ถึงกับต้องบินกลับมาบรรเลงด้วยตัวเอง" นักข่าวชายอีกคนถาม
          "อ๋อ..  ไม่ใช่หรอกค่ะ" นลินยิ้มตอบ

          "ถามคุณลูกศรบ้างดีกว่า รู้สึกยังไงบ้างครับที่คุณพ่อแต่งเพลงให้" นักข่าวและแขกผู้ร่วมงานทุกคนหันมองไปที่กรพินธุ์ กรพินธุ์ทำหน้าเลิ่กลั่ก

          ".. ก็ถามเจ้าตัวเค้าเองเลยสิคะว่าปลื้มมั้ย คุณลูกศรเค้าถือกล้องนั่งอยู่ข้างคุณนั่นแหละค่ะ" นลินส่ายหัวระอาใจกับห่ามความทะลึ่งทะเล้นของน้องสาวคนกลาง ทุกคนมองหน้ากันไปมาสายตาทุกคู่หยุดที่นักข่าวสาวส่งเสียงเจื้อยแจ้วยิงคำถามเมื่อกี๊นี้

          "แหะๆ สวัสดีค่ะ ลูกศรค่ะ" เธอยกมือเช็คชื่อ "พอดีวันนี้รับจ๊อบมาทำข่าวค่ะ" ลูกศรยิ้มแหยๆ

          "ข่าวลือว่าหวงลูกสาวมากแล้วทำไมวันนี้ถึงพามาเปิดตัวล่ะครับ" เพื่อนสนิทของจงธรรมยิงคำถามแกล้ง

          "ไหนๆก็เอาชื่อพวกเค้ามาเป็นชื่อเพลงก็ควรจะต้องเอาเจ้าตัวมาอวดด้วยสิครับ แต่ถ้าใครจะจีบหรือคิดจะส่งลูกชายมาจีบ .. ข้ามศพผมไปก่อน" จงธรรมเน้นเสียง มุขพ่อตาปืนโตเรียกเสียงหัวเราะเฮฮาตบมือจากแขกเหรื่อทั่วห้อง

..........

เสียงบรรเลงเพลง Minuet in G Major คลอบรรยากาศหลังขั้นตอนส่วนพิธีการสำคัญผ่านไปแล้ว

          "เจ้าลูกศรนี่มันน่ารักแก่นๆดี คนนี้ลูกติดของจงธรรมใช่มั้ย" คุณหญิงบัวถาม อัญชลิกา

          "ยัยลูกศรนั่นลูกอัญค่ะ คนโตที่เล่นเชลโลสิคะลูกพี่จง" อัญชลิกายิ้ม "อะไรกันพี่บัวทำเป็นจำหลานไม่ได้" อัญชลิกายิ้ม
         
          "ก็สับสนน่ะสิลูกใครเป็นลูกใครอะไรก็ไม่รู้วุ่นวายไปหมด" คุณหญิงบัวส่ายหัว

          "ลูกศรเค้านิสัยชอบอะไรคล้ายๆผู้ชายน่ะค่ะก็เลยค่อนข้างสนิทกับพี่จง"
          "รักให้เท่ากันไม่แบ่งลูกฉันลูกเธอก็ถือว่าเป็นโชคดีของเด็กมัน"
          "ค่ะ.." อัญชลิกายิ้ม

เสียงพ่อลูกทะเลาะกันดังลั่นจนช่างแต่งหน้าทำผมเก็บข้าวของหนีแทบไม่ทัน จงธรรมหน้าแดงก่ำยืนจังก้าขวางประตูห้องน้ำ นลินเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดเตรียมเดินทางเบียดแทรกออกมาจนได้ สองคนจ้องตาไม่มีใครยอมใคร

          "ยังไงพ่อก็ไม่ยอมให้แกกลับไปที่นู่นอีก" จงธรรมคว้ากระเป๋าถือของลูกสาวมาสะพายเป็นตัวประกัน

          "นึกถึงวันที่ลินเป็นฝ่ายไม่อยากไปสิคะ แต่ไม่ว่าจะอ้อนวอนขอร้องยังไงคุณพ่อก็ยังบังคับให้ต้องไปอยู่ดี คราวนี้ก็เหมือนกันแหละ" นลินประชด
          "ไม่รู้ล่ะ พ่อไม่ให้แกไป ไปเล่นประเดี๋ยวประด๋าวพ่อไม่ห้ามแต่ต้องไปกินนอนอยู่ประจำเป็นปีๆไม่เอา พอแล้ว"

          "อยู่ดีๆก็นึกอยากจะให้อยู่ใกล้ๆขึ้นมา หึ.. เพิ่งจะรู้สึกรับรู้ถึงรสชาติของความเหงาเหรอคะพ่อ ช้าไปรึเปล่า"
 
          "เครื่องหนูออกสี่ทุ่มนะคะ ขอกระเป๋าคืนด้วย"

          กรพินธุ์วิ่งขึ้นบันไดตามมาถึงรีบเข้าไปกอดแขนออเซาะ "ใจเย็นๆค่อยๆพูดค่อยจากันนะคะ พี่ลินก็ด้วยอย่าทะเลาะกันเลยวันนี้วันเกิดคุณพ่อ" กรพินธุ์กอดแขนจงธรรม
          "ยัยพิน เอากระเป๋าคืนมาให้พี่ซิ" นลินหน้านิ่วมองนาฬิกา "ถ้าสายกว่านี้ลินจะตกเครื่องนะคะ"

          "คุณพ่อคะ" กรพินธุ์เลียบๆเคียงๆพูดเสียงเบา "เอ่อ.. พินขึ้นมาจะบอกว่า.. พี่ศรไปแล้วค่ะ"
          "ห่ะ .. อะไรนะ โอ้ย ให้มันได้อย่างนี้สิวะ!! แขกเหรื่อยังอยู่กันเต็มบ้านดันหนีหายหัวกันหมด" จงธรรมรีบลงบันไดแหวกผู้คนเดินออกไปดูที่หน้าประตูรั้วแต่ก็ไม่ทันลูกศร ฉุกคิดเรื่องปืนสั้นกล็อคที่เขาเพิ่งเอาออกมาอวดรีบวิ่งย้อนแทรกผ่านแขกเหรื่อกลับขึ้นบันไดเข้าห้องทำงานเปิดลิ้นชักดูโล่งใจที่ปืนยังอยู่เรียบร้อยดี มองผ่านหน้าต่างลงมาเห็นนลินกับลูกศรกำลังช่วยกันขนกระเป๋าขึ้นรถแล้วขับออกไป

อัญชลิกายืนมองสามีวิ่งเข้าวิ่งออกด้วยความสงสัยเห็นลูกสาวคนเล็กเดินผ่านมาจึงเรียกตัวมาสอบสวน "พ่อเราเค้าเป็นอะไรวิ่งเข้าวิ่งออกแขกเหรื่อแตกตื่นตกใจกันหมด"

          "พ่อวิ่งตามพี่ลินกับพี่ศรค่ะ" กรพินธุ์เองก็วิ่งจนเหนื่อยหอบอยู่เหมือนกัน
          "จะตามให้เหนื่อยทำไมเมื่อกี๊นลินยังมาลาแม่กับป้าบัวอยู่เลยพิลึกคนจริง"

          "สวัสดีค่ะคุณป้าบัว" กรพินธุ์ยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อมกริยามารยาทไม่กระโดกกระเดกเหมือนพวกสาวรุ่นสมัยนี้ถูกจริตคุณหญิงบัวยิ่งนัก

          "เมื่อตะกี๊หนูพินเดี่ยวเปียโนซะป้างี้เคลิ้มตามเลย ไพเพราะมากๆจ้ะ"
          "ขอบคุณค่ะ เอ่อ .. คุณแม่เห็นคุณพ่อมั้ยคะ พินสงสารคุณพ่อจัง"
          "ขึ้นไปข้างบนซักพักแล้วยังไม่ลงมาเลย พินตามขึ้นไปดูคุณพ่อซักหน่อยก็ดีจ้ะ" อัญชลิการู้ว่าสามีรักลูกสาวคนเล็กดั่งแก้วตาดวงใจ นาทีนี้คงไม่มีใครให้กำลังใจเขาได้ดีกว่ากรพินธุ์

..........

ด้วยความเร็วจัดขี่พายุทะลุฟ้าเพียงชั่วอึดใจเจ้าสีหมอกซูซูกิวีทาร่าคู่ใจวนเข้าจอดสมทบที่จุดนัดหมาย ทีมงานทุกคนยืนสีหน้าเข้มรออยู่ก่อนแล้ว

          หน้าทีมข่าวภาคสนามเรียกประชุมซักซ้อมรอบสุดท้าย "หนึ่งชั่วโมงหลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะสนธิกำลังเข้าตรวจค้นหาสิ่งผิดกฏหมาย"

          "ลูกศร .." พี่อิฐสีหน้าจริงจัง
          "ข่ะ ขา .."
          "เช็คกล้องหรือยัง"
          "เช็คแล้วค่ะ" ลูกศรคลำกล้องกระดุมที่หน้าอก

          "เดี๋ยวนะ นี่กระดุมมันคนละสีกับเม็ดอื่นรึเปล่าวะ" พี่อิฐยื่นหน้าใกล้จนลูกศรรู้สึกเขิน "ข้างในมืดๆคงไม่เป็นไรมั้งพี่" ฝ่ายเทคนิคเดินเข้ามาตรวจดู

          "เก็บภาพบรรยากาศอยู่วงนอกก็พอไม่ต้องลุยเข้าไปกับคนอื่นๆ พอเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นคุณก็เออออไปด้วยทำตัวเหมือนนักเที่ยวคนนึง" พี่อิฐย้ำ "ทุกคนฟังผมให้ดีนะ ปลอดภัยไว้ก่อน เราต้องการเพียงภาพบรรยากาศความสับสนวุ่นวายช่วงที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจเอาแค่นั้นพอ อย่าให้เกิดเรื่อง เข้าใจมั้ย" 

อีกมุมหนึ่ง นิเวศน์ มาเที่ยวผับกับเดชพลเพื่อนสนิทที่ควง หลิน กิ๊กสาวสุดเซ็กซี่คนล่าสุดมาด้วย สองคนตัวติดกันอย่างกับปาท่องจนโก๋นิเวศน์แอบมองบนหมั่นไส้รู้ว่าเพื่อนกำลังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน

          เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของเดชพลดังขึ้น "เฮ้ย.. เดี๋ยวมึงพาหลินไปต่อแถวก่อนกูขอโทรศัพท์แป๊ป เดี๋ยวตามไป" ตั้งท่าจะด่าแต่พอเพื่อนซี๊ขยิบตาส่งซิกนิเวศน์ก็จำต้องพาหลินไปยืนต่อแถวรอตรวจบัตรผ่านเข้าประตูตามคำขอ

ลูกศรเดินมาเข้าแถวต่อหลังหลินพอดี เธอสะดุดตานึกนับถือความกล้าชุดเสื้อผ้าเว้าบนแหว่งล่างล่อไอ้เข้ของหลิน แอบมองแฟนหนุ่มที่ยืนอยู่ด้วยกันเขาก็หน้าตาดูดีหล่อเหลาเอาเรื่อง ทั้งคู่แต่งตัวเนี้ยบอย่างพวกผู้ดีมีตังค์อดไม่ได้ที่จะนึกถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมที่เคยถ่ายทำสกู๊ปข่าว จนคนคุมประตูเรียกขอตรวจบัตรจึงหลุดจากภวังค์ ขึ้นเหนือล่องใต้บุกตะลุยไปแล้วทั่วสารทิศแต่บรรยากาศในสถานที่อโคจรแบบนี้ลูกศรกลับทำตัวไม่ค่อยถูก

          "หลินขอไปห้องน้ำแป๊ปนึงนะคะ"
          "จ้ะ.." นิเวศน์ยิ้ม

สาวสวยโต้ะข้างๆส่งยิ้มยกแก้วให้ นิเวศน์ยิ้มยกแก้วเหล้าชูขึ้นตอบรับไมตรีนึกถูกชะตาโหงวเฮ้งเธออยู่เหมือนกัน ทั้งหมดอยู่ในการจับตามองของลูกศร เพียงแค่แฟนลุกไปยังไม่ทันไรพ่อหนุ่มหล่อก็เริ่มบริหารสเน่ห์สานสัมพันธ์กับสาวอื่นไปทั่วแบบนี้สินะพ่อถึงได้เตือนนักเตือนหนา ขึ้นชื่อว่าผู้ชายหาดีทำยาไม่ได้สักคน

เสียงเอะอะดังขึ้นที่หน้าประตูวงดนตรีหยุดเล่นกลางคันปรากฏร่างเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบยืนบนเวทีถือไมโครโฟนบอกบรรดานักเที่ยวให้อยู่ในความสงบมองนาฬิกาการบุกเกิดขึ้นก่อนดีเดย์กว่าสี่สิบนาที ลูกศรสังเกตุเห็นเดชพลเดินเข้ามาหานิเวศน์กระซิบกระซาบมีพิรุธแล้วพากันเดินไปทางห้องน้ำจึงตัดสินใจเดินตาม สองคนนี่ต้องมีอะไรสักอย่างเกี่ยวพันกับยาเสพติดแน่ๆและนี่จะต้องเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง

ลูกศรขยับเสื้อให้กล้องกระดุมอยู่ในองศาที่คิดว่าจับภาพพฤติกรรมของชายสองคนนั้นได้ชัดเจนที่สุด

          "พี่คิม.. ผมเจอผู้หญิงแม่งติดกล้องเดินตาม เอาไงดี" ชายหน้าเหี้ยมเห็นก็รู้เลยว่าเป็นตัวโกงสองคนยืนโทรศัพท์อยู่หน้ากระจก "มันเดินตามผมแน่ๆ อีนี่เสื้อมันติดกล้อง .. ตอนนี้ผมหลบอยู่ในห้องน้ำ" มันมองสะท้อนผ่านกระจกสบตานิเวศน์จึงลดเสียงพูดลง เสียงปลายสายอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์แต่เขาน่าจะโมโหมาก "โอเค .. ลากออกประตูหลัง ได้ครับ" มันเหลือบสบตานิเวศน์อีกที

นิเวศน์ชิงเดินออกมาจากห้องน้ำก่อนเห็นลูกศรยืนรอทำฟอร์มเป็นเล่นโทรศัพท์ ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งไล่หลังผิดวิสัยจึงพุ่งเข้าไปกอดดันจนติดกำแพง ลูกศรได้แต่งงพูดอะไรไม่ออกตื่นตกใจสุดชีวิตเมื่อมือของนิเวศน์ล้วงเข้าใต้เสื้อควานหาอะไรสักอย่างแถวๆหน้าอกของเธอ "เฮ้ย..!! อะ.." เขาซุกหน้าลงบนพวกแก้มก่อนที่เธอจะร้องโวยวาย

          "เห้ย !! ไม่ต้องมาทำฟอร์มเลย เอากล้องมาเดี๋ยวนี้!!" ชายสองคนในห้องน้ำจับทั้งสองแยกออกจากกัน บนหน้าอกของลูกศรไม่มีกล้องอะไรที่พวกมันกล่าวหา

          "เฮ้ย..นี่ไง กระดุมเสื้ออีนี่มันหายไปเม็ดนึง"

          "อย่าทะลึ่งเล่นบทฮีโร่กับกู..ไอ้สัส ชีวิตไม่ได้หยอดเหรียญเล่นใหม่นะเว่ย" พวกมันหันมาทางนิเวศน์ "เอากล้องมาเดี๋ยวนี้!!" แต่คนถูกขู่นอกจะไม่กลัวแล้วยังสะบัดคอหักนิ้วหมุนไหล่เตรียมพร้อมจะไฝว้เอาไงเอากัน เดชพลออกจากห้องน้ำเดินตามมายืนจังก้าอยู่ข้างๆ เมื่อเพื่อนมีภัย ไม่ต้องเสียเวลาถามสาเหตุ 

          "ไอ้สี่ห้าคนที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำน่ะ ออกมาเดี๋ยวนี้เลย" นายตำรวจหนุ่มพูดผ่านโทรโข่งพลางกวักมือเรียก

เจ้าหน้าที่แยกแถวชายหญิง ลูกศรยกมือกุมปิดร่องกระดุมตลอดเวลาตาเขียวปั้ดจ้องหน้านิเวศน์อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อระหว่างรอตรวจปัสสาวะ เขาหันไปทีไรก็สบสายตาอาฆาตสัมผัสได้ถึงรัศมีอัมหิตแผ่ซ่านหน้าแดงก่ำอย่างกับองค์กวนอู

นักเที่ยวหลายคนถูกควบคุมตัวข้อหาฉี่ม่วงรวมถึงผู้ชายสองคนในห้องน้ำที่เกือบจะมีเรื่องเมื่อกี๊ด้วย ลูกศรใส่เสื้อกั๊กโลโก้ทีมข่าวถือไมค์โครโฟนกำลังรายงานสถานการณ์สดหน้ากล้อง นิเวศน์แอบมองรอจนไฟหัวกล้องดับลงจึงค่อยเดินเข้าไปหา

          "คุณ .. คุณ .." ลูกศรไม่พูดไม่จาหันกลับมาอัพเปอร์คัทหมายให้เข้าปลายคางแต่นิเวศน์ฉากตัวหลบทัน

          "เอากล้องชั้นคืนมา!!" นิเวศน์ส่งกล้องกระดุมคืนให้
          "นี่ถ้าผมหลบไม่ทันป่านนี้คงหงายท้องนอนวัดพื้นไปแล้ว" ลูกศรถือโอกาสเล่นทีเผลอปล่อยหมัดตรงเข้าครึ่งปากครึ่งจมูกอย่างจัง "โทษฐานที่แกจับหน้าอกชั้น ไอ้คนชั่วถือโอกาส!" ได้ระบายแค้นสมอารมณ์หมายแล้วเดินกลับไปสบทบกับทีมงานคนอื่นๆ นิเวศน์แกล้งยั่วทำเป็นเอามือมาดมเกือบโดนลูกศรกระทืบซ้ำ         

..........

เกือบตีสอง จงธรรมยังนั่งจ่อมอยู่ที่เปียโนเล่นไปเรื่อยไม่เป็นเพลง อัญชิกากับกรพินธุ์รู้ว่าเขากำลังเป็นห่วงรอลูกศรกลับบ้าน ส่วนตัวโน้ตที่ร้อยเรียงออกมาอย่างไม่ตั้งใจนั้นเปรียบดั่งความคิดถึงนลินที่ป่านนี้คงกำลังอยู่บนเครื่องบิน

          "วันนี้คึกคักดีนะคะ พวกเพื่อนเก่าๆก็มาหลายคน" อัญชิกาเดินเข้ามานวดไหล่
          "คุณพ่อแต่งเพลงใหม่อีกสิคะ ได้ชวนคนมาฟังแถมยังได้ทำบุญอีกด้วยสนุกดี" กรพินธุ์เข้ามานั่งซบออเซาะ

          จงธรรมยิ้มกดลิ่มเปียโนเล่นเมโลดีพร้อมคอร์ดคร่าวๆ "โห.. เพราะจัง เพลงใหม่เหรอคะ"
          "เพลงเก่าแล้ว.." เขาเงยหน้าสบตาเมีย "พ่อแต่งจีบแม่เค้าตอนที่รู้จักกันใหม่ๆ"

          "โรแมนติกอ่ะ อยากฟังเต็มเพลงจังค่ะ"
          "ก็มีแค่นั้นแหละ .." จงธรรมตอบหน้าตาเฉย "พอรู้ว่าแม่เค้ามีแฟนอยู่แล้วพ่อก็เลยขี้เกียจไม่มีใจจะแต่งต่อให้จบ ..เทแม่งเลย" กรพินธุ์หัวเราะคิกคัก

          "นอนก่อนเถอะพี่จงนี่จะตีสองแล้ว เมื่อกี๊ศรมันโทรมาบอกว่างานเสร็จแล้วกำลังจะขับรถกลับ" อัญชลิกาบอก
          "ต้องกลับบ้านดึกดื่นขนาดนี้หางานอื่นทำดีกว่ามั้ง" จงธรรมหอมแก้มกรพินธุ์ลุกขึ้นลูบบั้นท้ายอัญชลิกาแกล้งยั่วลูกสาวเล่น

          "จัดหนักเลยนะคะคุณพ่อ อยากมีน้องชายค่าา.." กรพินธุ์ยิ้มทะลึ่ง

..........

          เกือบตีห้า อยู่ดีๆทั้งบ้านก็สว่างพรึบลูกศรกำลังย่องเข้าบ้านถึงกับสะดุ้งโหยง กรพินธุ์ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับ

          "โหย.. ตกใจหมด ยัยพินนี่เองนึกว่าใคร" ลูกศรยกมือทาบอกสาวแตก

          "คุณพ่อเข้านอนแล้วค่ะ พินห่วงพี่ศรก็เลยออกมานอนรอที่โซฟาข้างนอก"
          "โถ.. จะรอพี่ทำม้าาายยยย" ลูกศรเดินมากอดหอมน้องสาว "นอนดึกเดี๋ยวขอบตาดำไม่สวยนะ"

          "ดีจังนะคะ พี่ศรได้ทำงานสนุกอย่างที่ชอบ พี่ลินก็ได้ไปอยู่เมืองนอก พินสิ..ไม่เคยได้ทำอะไรเลย" กรพินธุ์สลดผสมง่วง

          "ก็ทำตัวน่ารักอยู่ทุกวันนี่อยู่แล้วงาายยย.." ลูกศรหมั่นเขี้ยวน้องสาวแกล้งกอดรัดฟัดเหวี่ยงเหมือนเธอยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ

          "หูย..!! นมใหญ่อ่ะ เป็นสาวแล้วนะเรา" กรพินธุ์ถอยหนีลูกศรผลักน้องสาวนอนหงายบนโซฟา "พี่ศร!! ไม่อาววว!!.. !" ขึ้นคร่อมด้วยท่าเมาส์แบบมวยMMA

..........

ออกจากสนามบินนลินจับแท็กซี่บึ่งไปย่านถนนคิงส์คาร์ลชานกรุงเวียนนาทันที เธอกำชับให้คนขับจอดห่างจากจุดหมายสักหน่อย โรสแมรี่ ร้านอาหารอิตาเลียนพิซซ่าสไตล์พื้นๆพบได้แทบจะทุกหัวมุมถนน แต่บรรยากาศในวันนี้ดูแปลกตาผู้คนคึกคักถึงขนาดต้องเข้าไลน์ต่อคิวจนล้นออกมานอกร้าน เจ้านิโคล่าลูกจ้างหนุ่มน้อยเชื้อสายสลาฟยิ้มกว้างให้นลินพลางชี้มือชี้ไม้บอกว่า เทียนฉาย เพื่อนชายคนสนิทกำลังง่วนอยู่ในครัว

          "คุณ .." ทันทีที่นลินเอ่ยทักชายหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่หน้าเตาไฟผละจากทุกอย่างเดินมาสวมกอด "ฟรานซิสบอกว่าคุณยังไม่ได้เซ็นต์ต่อสัญญากับวง บอกตามตรงเราแอบคิดว่าคุณอาจจะไม่กลับมาที่นี่แล้ว"

          "หืม.. กลิ่นไหม้" นลินทักทำจมูกฟุตฟิต "เห้ย..!! ชิ้บหาย!!" เทียนฉายกระโจนกลับไปปิดเตาแก๊ส "เชี่ย.. เกือบ เกือบ ยังไม่ไหม้ ยังได้ๆ" เขากวาดทุกสิ่งอย่างในกระทะจีนลงชามอ่างใบใหญ่

          "กอต้นกะเพราหลังร้านตอนนี้โกร๋นเลยอ่ะ"
          "กอนั้นอ่ะนะ" นลินยิ้มถาม

          "เรื่องของเรื่องคือพอไอ้หว่องมันได้งานภัตาคารในเมืองแล้วมันเสือกทิ้งร้านไปเฉยเลย เราโทรไปถามเจ้าของร้านว่าจะเอาไงต่อเจ้าของร้านมันบอกเอ็งเอาไงก็เอากัน" เทียนฉายเล่าเหตุการณ์วุ่นวายช่วงที่นลินกลับเมืองไทยราวกับเป็นเรื่องสนุก

          "คุณก็เลยทำพิซซ่าหน้าผัดกะเพราเนื้อสับขายฝรั่งเนี่ยนะ" นลินยิ้ม จำนวนคนที่เข้าไลน์ต่อคิวเป็นเครื่องบอกว่าไอเดียประหลาดนี้ประสบความสำเร็จแค่ไหน

          "คุณรีบไปไหนรึเปล่า" เทียนฉายถาม
          "ไม่อ่ะ ทำไมเหรอ"
          "ช่วยไปเด็ดใบกะเพรามาเพิ่มหน่อยสิ"
          "อ้าว ไหนว่าโกร๋นแล้วไง"
          "ยังเหลืออีกหน่อย เด็ดให้เหี้ยนเลย"
          "ให้เหี้ยนเลยนะ" นลินนึกสนุกไปด้วย ตั้งแต่เธออยู่ที่เมืองนี้ยังไม่เคยเห็นร้านโรสแมรี่มีคนนั่งกินพร้อมกันเกินสองโต้ะเลยสักครั้ง

เกือบสี่ทุ่มตามเวลาท้องถิ่น เทียนฉายโบกมือลาลูกน้องปิดไฟหน้าร้านเหลือไว้เฉพาะตรงมุมเคาน์เตอร์คิดเงิน

          "พรีเมี่ยม เดอ โกลด์ 2002 ไวน์ดีๆเพียบ ไอ้หว่องมันทิ้งกุญแจไว้" เทียนฉายชวนนลินชนแก้ว
         
          "นี่คุณต้องเป็นคนจ่ายเงินค่าจ้างลูกน้องด้วยเหรอ"
          "อ้าว..ก็ต้องจ่ายสิ ถ้าเราไม่จ่ายแล้วใครจะจ่ายล่ะ" เทียนฉายหัวเราะในลำคอ
          "เปล่า ก็แค่ถามดู .. แล้วพวกค่าน้ำค่าไฟล่ะ"
          "เราก็ต้องจัดการทั้งหมดแหละ ยิ่งตอนนี้ขายดีต้องซื้อวัตถุดิบเข้าร้านทุกวันก็ต้องหมุนเงิน"

          "ความจริงก็ได้ประสบการณ์ดีเนอะ ทำทุกอย่างเหมือนเป็นเจ้าของร้านเองเลย" นลินยกแก้วขึ้นจิบ อื้ม.. ของแพงนี่มันรสหวานกินง่ายจริงๆ

          "ก็ใช่ .." เทียนฉายยิ้ม

          "ขายดีขนาดนี้ไม่คิดจะเปิดร้านเองบ้างเหรอ พิซซ่าหน้ากะเพราเนื้อบายเชฟเทียน เอาให้ดังระดับโลกขายแฟรนไชส์ไปเลย" นลินชวนฝัน

          "เป็นเจ้าของร้านก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ไหนจะเรื่องใบอนุญาตเรื่องภาษีเรื่องมาตรฐานสุขอนามัยเรื่องกฏหมายท้องถิ่น เราเป็นลูกน้องไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องพวกนี้ก็ไม่รู้หรอก"

          "นึกว่าควมฝันของคนทำอาหารคืออยากจะมีร้านเป็นของตัวเองซะอีก" นลินหน้าบูด
         
          "มีอะไรให้ทำก็แค่ทำ ทำให้ดีเอาใจใส่ ไอ้พิซซ่าหน้ากะเพราเนื้อนี่ที่จริงเราก็แค่ทำเล่นสนุกๆกับเจ้านิโคล่า ของมันมีติดร้านอยู่แล้ว เป็นเจ้าของเองอาจจะไม่ได้ขายดีขนาดนี้ก็ได้นะ"

          นลินเบะปากที่ถูกขัดคอ อารมณ์ขุ่นเคืองพวกนี้มาจากฤทธิ์ไวน์หรือเปล่านะ "แค่ฝันเล่นๆสนุกๆไม่ได้เหรอไง"

          "ฝันเล่นๆเหรอ งั้นถามคุณดีกว่าว่าชีวิตนี้ฝันอยากจะทำอะไร" เทียนฉายรินไวน์เพิ่มให้

          "อืม.. ฝันอยากเป็นนักเชลโลมีชื่อติดอันดับท้อปไฟว์ของโลก" นลินตอบ
          "นั่นมันความฝันของพ่อคุณไม่ใช่เหรอ เอาของตัวเองสิ" เทียนฉายหัวเราะ
         
          ".. .. เออ ก็นั่นแหละ ฝันอยากเป็นท็อปไฟว์ของโลก"
          "โอเค งั้นเราขอดื่มอวยพรให้คุณได้เป็นเชลโลลิสต์สาวสวยประจำวงเซินเจิ้นซิมโฟนี่ออเคสตร้า สมดังฝัน"
          "ประสาท.." นลินบ่นแต่ก็ยังยอมชนแก้วด้วย

          "ตอนเด็กๆเราเคยฝันว่าจะขี่จักรยานรอบโลก" เทียนฉายยิ้ม
          "แล้วตอนนี้ล่ะ อยากทำอะไร"

          "ตอนนี้อย่างเดียวที่อยากนะ .. เราอยากรักคุณ" เล่นจู่โจมกันแบบนี้นลินตั้งตัวไม่ถูก รู้ตัวเองเลยว่าป่านนี้หน้าตาหัวหูคงแดงไปหมดด้วยความเขินอาย

          "ตลก .. เมาป่ะเนี่ย"

          "คุณคิดว่า.. ภรรยาเป็นนักเชลโล่ท็อปไฟว์ของโลก สามีของเธอควรจะต้องมีร้านพิซซ่ากี่สาขากันนะถึงจะคู่ควร" เทียนฉายเพ้อ เขารู้ตัวเสมอว่าเป็นแค่ลูกจ้างร้านอาหารยังห่างชั้นกับนักดนตรีฝีมือฉกาจอนาคตไกลอย่างนลินมากนัก

          "คู่ควรอะไรอีกล่ะ ชีวิตคู่นะไม่ใช่การแข่งขัน" เทียนฉายใจเต้นโครมครามที่นลินไม่ทักท้วงเรื่องที่เขาตู่ว่าเธอเป็นภรรยา

          "ก่อนไปเมืองไทยคุณคืนห้องพักไปแล้วไม่ใช่เหรอ"
          "ใช่ ฝากของไว้ที่ห้องแป๋ม มาถึงก็ตรงมาหาคุณที่นี่ยังไม่ได้แวะหามันเลย เดี๋ยวนะนี่กี่โมงแล้วอ่ะ เดี๋ยวรถไฟหมด"
         
          "แต่ข้างนอกหนาวนะ.." เทียนฉายอ้างลมฟ้าอากาศ
          "คืนนี้เราคงนอนห้องแป๋มก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน"

          "พรุ่งนี้ไปเดินตลาดซื้อของตอนเช้าด้วยกันมั้ย เราว่าจะแวะไปแถวตลาดจีนซักหน่อย ตั้งแต่หว่องออกไปห้องหับเราก็จัดใหม่ก็พอนอนได้ คืนนี้คุณพักที่นี่แล้วไปตลาดด้วยกันตอนเช้า" เทียนฉายพูดชวนตะกุกตะกัก "พรุ่งนี้ว่าจะลองทำหน้าแกงเผ็ดเป็ดย่าง"

          "ตลกแระ .. ชวนจริงป่ะเนี่ย" นลินยิ้มหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์ไวน์ 
 
....................

เครื่องเป่าเทียบเสียงดังลอดออกมานอกห้อง เด็กนักศึกษาวัยละอ่อนหัวร่อต่อกระซิกหยอกล้อกันสนุกสนาน จงธรรมเคาะประตูกระจกก่อนถือวิสาสะเปิดเข้าไปอย่างคนคุ้นเคยเพราะได้เวลานัดหมายพอดี

          "เฮ้ย.. มาๆ เข้ามา" คณะบดีคณะดุริยางคศาสตร์มหาวิทยาลัยชื่อดังทักทายตามประสาเพื่อนซี๊ "ตรงเวลาเป๊ะเหมือนเดิม นั่งก่อน กาแฟมั้ย"
         
          "ไม่ล่ะขอบคุณมาก อั๊วแค่จะเข้ามาขอโทษลื้อเรื่องลูกสาว" จงธรรมหน้าสลด
          "ลื้อไม่ต้องคิดมาก ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร"
          "ยังไงอั๊วก็ต้องมาขอโทษด้วยตัวเอง อุตส่าห์เดินเรื่องเอกสารจนเรียบร้อย เกรงใจว่ะ .. ยัยนลินเพิ่งกลับไปเวียนนาเมื่อคืน บอกว่าจะขออยู่หาประสบการณ์เล่นกับวงต่ออีกสองปี"

          "เอาน่ะ ลูกสาวลื้อก็ไม่ได้ผูกพันทุนเรียนให้ต้องทำงานใช้ใครนี่หว่า เรื่องที่ลื้อฝากให้มาเป็นอาจารย์ที่นี่น่ะไม่ต้องเป็นห่วงเดี๋ยวมีตำแหน่งเปิดใหม่แล้วค่อยดูกันว่าลูกลื้อยังสนใจอยู่มั้ย" คณะบดีเอนตัวพิงพนักเก้าอี้

          "ลูกบอกว่าอั๊วเคยเป็นคนผลักไสไล่ไปแล้วจะมาห่วงหาอะไรทำไมตอนนี้" จงธรรมระบายเรื่องในใจกับเพื่อนรัก
          "มีแก่นชุดความคิดของตัวเอง พวกนักดนตรีก็แบบนี้ล่ะวะลื้อจำไม่ได้เหรอสมัยโน้นทะเลาะกับพ่อแม่บ้านแทบแตก" ท่านคณะบดีหัวเราะ

....................

สองปีต่อมา

ร้านโรสแมรี่ ย่านถนนคิงส์คาร์ลชานกรุงเวียนนา ข้าวของบนตู้โชว์แทบไม่มีเหลือ กล่องหลายใบแพ็คกิ้งอย่างดีพร้อมส่งกลับเมืองไทยทางเรือ นลินคร่ำเคร่งซ้อมเชลโล่อยู่คนเดียวในห้องเกือบห้าชั่วโมงแล้ว

          "คุณ .. ทานข้าวก่อนเถอะ" เทียนยืนถือจานข้าวไข่เจียวหอมกรุ่นเคียงด้วยน้ำพริกปลาสลิดจากตลาดจีน เขามองแหวนแต่งงานบนนิ้วนางพริ้วไหวไปมาตามท่วงทำนองอย่างเพลิดเพลิน รู้ว่านลินให้ความสำคัญกับการแสดงครั้งสุดท้ายครั้งนี้มากแค่ไหน

          "นั่งซ้อมนานๆเดี๋ยวก็บ่นว่าปวดหลังอีกหรอกคุณ"
          "ขออีกสิบห้านาที" นลินจับจ้องที่โน้ต เทียนฉายตักข้าวแกล้มไข่เจียวน้ำพริกหน่อยนึง "อ่ะ.. อ้ำ หม่ำๆนะ" 
          "เฮ้ย คุณ!! ก็เราบอกว่าขออีกสิบห้านาทีไง" นลินขึ้นเสียง
          "คุณขอแต่เราไม่ให้..ขออีกสิบห้านาทีนี่มาสองรอบแล้วนะ อ่ะ .. เคี้ยวไปด้วยซ้อมไปด้วยก็ยังดี อ้ำ..มม" เทียนฉายยังไม่เลิกล้มพยามจะป้อนข้าวเมียให้ได้

          "เอามานี่กินเองก็ได้" นลินหน้าบูด
          "ก็เท่านั้นแหละต้องให้บังคับข่มขืนใจ ค่อยๆเคี้ยวเดี๋ยวก็ติดคอตายหรอก"

          "แต่นึกแล้วก็ใจหาย" เทียนฉายมองไปรอบห้อง "วันพฤหัสเราก็ต้องจากที่นี่ไปแล้ว สองปี..เร็วเหมือนกันเนอะ"

          "ถ้าคุณไม่อยากกลับงั้นเรากลับเมืองไทยคนเดียวก็ได้นะ" นลินถาม
          "บ้า คุณกลับสิเราก็กลับสิจะแยกกันอยู่ทำไม"
          "ก็เห็นอาลัยอาวรณ์นึกว่าอยากจะอยู่ต่อ"

          "แล้วคุณคิดว่าจะทำร้านแบบโรสแมรี่นี้ที่เมืองไทยได้อีกทีรึเปล่าล่ะ" นลินถาม
          "ไม่รู้สิ คงต้องลองดู"

          "ถึงเมืองไทยเมื่อไหร่ผมอยากไปพบคุณพ่อของคุณให้เร็วที่สุด ผมอยากกราบขอขมาท่านเรื่องของเรา" เทียนฉายนวดไหล่นลินเบาๆ

          "ฝันไปเถอะขืนพ่อรู้มีหวังคุณไม่ได้ตายดีแน่ เรื่องนี้จะให้ใครรู้ก่อนไม่ได้"
          "อ้าว แล้วเราจะอยู่กันยังไง ต้องหลบซ่อนๆเงี้ยเหรอ"
          "ก็คงต้องแยกกันอยู่บ้านใครบ้านมันไปก่อน ค่อยเป็นค่อยไป" นลินถอนหายใจ
          "แยกกันอยู่เหรอ แต่เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะคุณ" เทียนฉายทวง
         
          "ถึงได้ถามไงว่าถ้าคุณอยากจะอยู่ที่นี่ต่อก็ได้นะ"

          "ไม่ เราเป็นครอบครัวเดียวกันเมื่อเจอปัญหาก็ต่องผ่านไปด้วยกัน"
          "แต่ถ้าคุณไม่ทำตามที่เราบอกรับรองว่าได้เจอปัญหาใหญ่แน่" นลินยื่นจานเปล่าคืนให้ "อร่อยมาก .. ขอบคุณค่ะ"

ความฝันของคนทำอาหารคือการอยากมีร้านเป็นของตัวเองไม่ใช่ถีบจักรยานรอบโลก เทียนฉายรำพึงในใจพลางจิบไวน์ท้องถิ่น แม่เลี้ยงของนลินโทรข้ามประเทศมาขอให้กลับเมืองไทยหลังจากหมดสัญญากับวง ในเมื่อเขากับเธอแต่งงานกันแล้วก็ไม่อยากจะต้องแยกอยู่ห่างกันคนละซีกโลก เขารู้ว่านลินคือดาวจรัสแสงเทียบชั้นกับผู้ช่วยเชฟในร้านพิซซ่าคงห่างชั้นแต่เหตุผลเพียงเท่านั้นคงห้ามไม่ให้เขารักเธอไม่ได้ เมื่อการเดินทางหยุดลง ไม่มีจุดหมายใดบนแผนที่โลกที่เทียนฉายอยากไปถ้าไม่มีนลินไปด้วย 

          "ทำไมไม่เก็บรูปลงกล่องล่ะ" นลินเข้ามาข้างหลังไม่ทันรู้ตัว รูปที่เธอถ่ายคู่กับเขาในวันแต่งงาน

          "เราว่าจะเก็บไว้กับตัววันเดินทางถึงกรุงเทพจะได้หากรอบใส่เลย ใส่กล่องไปกับเรือมันต้องรออีกตั้งนานกว่าจะถึง"

          นลินจิบไวน์แก้วของเทียนฉายหยิบกรอบรูปมาดู "ให้พ่อเห็นไม่ได้เลยนะรูปเนี้ย"

          "นี่เราแต่งงานกันแล้วจริงๆใช่มั้ยคงไม่ใช่ความฝันหรอกนะ" เทียนฉายรำพึง
          "เรารักคุณ นลินเป็นภรรยาของเทียนฉายอย่างถูกต้องตามกฏหมาย และด้วยความเต็มใจอย่างที่สุด" เธอบอกเขา

นลินนั่งบนขาของเทียนฉายสองมือเลิกเสื้อยืดของเขาขึ้น พรมจูบที่หัวไหล่เรื่อยไปถึงต้นคอ เทียนฉายลูบไล้เรือนผมสาวคนรักช้าเนิบ "ขึ้นไปข้างบนมั้ย.." แทนที่นลินจะตอบเธอกลับกระกบปากจูบดูดดื่มร้อนแรง

เทียนฉายจัดการกับเสื้อผ้าท่อนบนของเมียสาวสองเต้าเปลือยเปล่าขาวเนียนลอยคว้างอยู่ตรงหน้าเขาพรมจูบซุกไซร้สลับเคล้นคลึงเขี่ยที่ยอดปทุมถัน "อืมม..มม อ่าห์.. ซื้ดดสส" เมียสาวครางเสียวพลางปลดเข็มขัดถอดกางเกงของผัวออก ท่อนเนื้อแข็งปั๋งเป็นลำ ".. อืมมม .." เทียนฉายหลับตาผ่อนคลายอารมณ์ เขารู้ว่าเมียรักกำลังจะทำอะไร นลินถอดกางเกงชั้นในออกคว้าท่อนเนื้อเข้าปากอย่างโหยกระหาย ทั้งเลียทั้งดูดผงกหัวถี่ๆจนผัวต้องร้องห้ามฝืนกลั้นไว้แทบไม่ไหว

เทียนฉายพลิกให้นลินนั่งบนเก้าอี้บ้าง ถอดกางเกงของเธอออกพรมจูบตั้งแต่ปลายนิ้วเท้าเรื่อยขึ้นไปถึงหว่างขาสูดหายใจร้อนผ่าวผ่านเนื้อผ้าเนียนนุ่ม นลินหลับตาถอนหายใจหนักๆตอนผัวลากลิ้นดุนติ่งเนื้อแน่น เขาถอดกางเกงในของเธอออกเนินสวรรค์ปกคลุมด้วยขนบางๆ ซุกหน้าลงลิ้มชิมรสน้ำทิพย์เกสรฉ่ำหวาน "ซี๊ดสสส .. อื้มมมม เทียนขา.. โอย เสียว.." นลินครางเสียงแหบพร่า

          เขาโลมเลียเคล้นคลึงสองเต้าปลายนิ้วเขี่ยวนติ่งเสียว นลินบิดสะโพกโยกยกส่ายรับสะดุ้งเกร็งสั่นสะดิ้งไปทั้งตัว "โอย ซี๊ดดส .. อืมม เทียน.." เธอโน้มต้นคอจ้องตาเขา เทียนฉายค่อยๆขยับสะโพกจนแนบชิดมิดด้าม "โอ้ยย.. ซื้ดดสส ..อ่าห์" ค่อยๆขยับสะโพกเนิบช้าเริ่มเร่งจังหวะเสียงเก้าอี้ดังเอี๊ยดอ๊าด นลินครางเสียวสุขหายจากความเครียดเรื่องคอนเสิร์ตสุดท้ายเป็นปลิดทิ้ง สองคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงปรนเปรอมอบความสุขสมมอบให้แก่กันไปทั่วร้านไม่เว้นแม้แต่ในครัวหรือบนเคาน์เตอร์คิดเงิน

....................

งานวันเกิดของจงธรรมเวียนครบรอบวาระสองปีครั้ง บริเวณบ้านถูกตกแต่งอย่างสวยงามมีแผ่นโฟมตัดแขวนเขียนข้อความ 'สุขสันต์วันเกิด จงธรรม ลภากุล 52 ปี' งานนี้กรพินธ์ุรับหน้าที่เป็นแม่งาน เธออบขนมเค้กจัดเตรียมสถานที่อาหารเครื่องดื่มโดยมีอัญชลิกาและคุณหญิงบัวคอยเป็นผู้ช่วยกิตติมศักดิ์ ส่วนลูกศรพี่สาวคนกลางคอยเลียบๆเคียงๆแอบขโมยกินขนมปังหน้าหมู

          "พี่ศร! เหลือให้แขกทานบ้างสิคะ" กรพินธุ์ดุพี่สาว
          "แหม แค่ชิมเองพี่ไม่ได้จะกินหมดนี่ซักหน่อยพินก็พูดเกินไป๊.." แต่ไม่มีทีท่าว่าลูกศรจะหยุดชิม  "อื้มม.. สามผ่านอร่อยทุกอย่าง พินทำเองหมดนี่เลยเหรอ"

          "คุณแม่กับป้าบัวก็ช่วยด้วยค่ะ"
          "หัดใช้แรงงานคนแก่นะเรา"

          "แล้วไม่เล่นเปียโนเหรอ วันเกิดพ่อปีนี้ไม่ยักกะมีใครเล่นดนตรีแฮะ" ลูกศรถาม
          "คุณพ่อบอกว่าปีนี้อยากประหยัดจัดง่ายๆชวนแค่คนสนิทก็พอค่ะ"
          "คงเพราะพี่ลินไม่อยู่น่ะสิก็เลยไม่มีกะใจ เฮ้อ.. สองคนนี้อยู่ใกล้ก็ทะเลาะกันพออยู่ไกลก็หงอย" ลูกศรตั้งท่าจะหยิบฮ่อยจ๊อปูเข้าปากอีกลูก
         
          "พี่ศร!! เดี๋ยวก็ไม่พอเลี้ยงแขกกันพอดีค่ะ!!"

..........

แท็กซี่สนามบินลงจากทางด่วนค่อยๆคืบคลานเบี่ยงเข้าถนนสุขุมวิท แสงสีทองยามโพลเพล้สะท้อนกระจกตึกรามสำนักงาน ผู้คนมากมายเดินสวนกันขวักไขว่บนฟุตบาท เทียนฉายนั่งหลังไม่ติดเบาะตื่นตากับความเปลี่ยนไปของกรุงเทพ แต่ที่ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยก็คือรถติด สิ่งแรกที่เขาตั้งใจเมื่อมาถึงเมืองไทยคือการไปกราบขอขมาพ่อของนลิน สารภาพอย่างลูกผู้ชายว่าเขารักเธอมากแค่ไหน แต่กลับกลายเป็นต้องเล่นละครตบตาไม่ให้ใครรู้

          "คุณไม่ได้กลับเมืองไทยกี่ปีแล้วคะ" นลินถาม
          "เกือบสิบปีแล้วมั้ง กรุงเทพเปลี่ยนไปเยอะเลย"
         
          "สัญญานะคะว่าคุณจะไม่หลุดปากเรื่องของเรา" นลินจ้องตาสามี
       
          "จ้ะ ผมสัญญา" เทียนฉายเบือนหน้ามองออกไปนอกกระจก
          "ไม่ใช่ไม่รักหรืออยากจะปิดบังอะไรนักหนาหรอกนะ แค่ขอเวลาให้เราตั้งตัวหาจังหวะบอกเรื่องนี้คุณกับพ่อ คุณรอหน่อยนะ"
          ".. จ้ะ .." เทียนฉายยิ้มตามประสาคนอารมณ์ดีเรื่องน้อย นลินถอดแหวนแต่งงานเก็บในกระเป๋าถือ เทียนฉายสลดลงอย่างเห็นได้ชัด "ขอโทษนะแต่เราจำเป็นต้องทำแบบนี้"

          "ไม่เป็นไรเราเข้าใจ" เทียนฉายยิ้ม "แต่ของเราขอไม่ถอดนะ แหวนวงนี้คือสิ่งที่เรารักที่สุดและจะติดตัวไว้จนวันตาย"

          "ขอโทษ.." นลินถอนหายใจ
          "ไม่เป็นไรจ้ะไม่ต้องคิดมาก" เขาทำได้เพียงลูบผมสลวยปลอบใจเธอ

..........

พลบค่ำบรรยากาศเริ่มคึกคักถึงแม้แขกร่วมงานจะน้อยกว่าทุกๆครั้งหากแต่ล้วนเป็นเพื่อนพี่น้องคนสนิทสนมทั้งสิ้น กรพินธุ์กวาดตาดูแลความเรียบร้อยพลันเห็นชายหญิงที่เพิ่งมาถึงกำลังเดินเข้างาน เดินหลบเข้าไปมองใกล้ๆ เขาคือผู้ชายเพียงคนเดียวที่ทำให้หัวใจของเธอหวั่นไหว สารภาพว่าหลงรักชายคนนี้ตั้งแต่วัยเด็ก 

          "ยัยพิน.." คุณหญิงบัวเดินมาข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ "แอบมองใครอยู่จ๊ะ อ้าว.. นั่นมันเจ้า วศิน กับเมียนี่นาบอกให้มาตั้งแต่ตอนเย็นดันโผล่มาเอาซะป่านนี้"

          คุณหญิงบัวจูงมือหลานสาวคนสวยเดินเข้าไปหา "วศิน ดูซิจะป้าพาใครมาด้วย"
          "สวัสดีครับพี่บัว" วศินยกมือไหว้
          "สวัสดีค่ะ .." กรพินธุ์ยกมือไหว้สวัสดี

          "เดี๋ยวนะ .. กรพินธ์ุ โห.. ไม่เจอกันแค่สี่ห้าปีโตเป็นสาวขนาดนี้แล้วเหรอ" อาวศินทักทาย 
         
          "โตแล้วแถมยังสวยด้วยด้วยสิคะ หึๆ" สิริยากร ภรรยาของวศินเปรยกับสายลมเอื่อย ไม่มีใครอยากสนใจคำพูดจาดปากของเธอนัก

          "สวัสดีค่ะ.." กรพินธุ์ยกมือไหว้สิริยากร
          "ทีหลังเนี่ยนะหนูอาจะสอนให้ สวัสดีผัวแล้วก็หัดสวัสดีเมียเค้าด้วยนะจ๊ะ" สิริยากรทำหน้าเหยียด

          "แหม่..! ทีหล่อนยังไม่เห็นจะสวัสดีชั้นเลยยืนหัวหงอกหัวดำอยู่ตรงนี้ทั้งคน" คุณป้าบัวก้าวออกหน้าแทนหลาน

          "อุ๊ย! สวัสดีค่ะคุณพี่บัว" สิริยากรไหว้ย่อเข่ามารยาทมาแบบจัดเต็ม

          "สิริ.. " วศินออกปากเตือนเมีย "คุณสัญญากับผมแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะทำตัวดีๆ"

          "ถ้าอย่างงั้นก็เชิญคุณวศินรำลึกความหลังกับหลานสาวคนสวยต่อไปละกันค่ะ สิริขอเดินไปทักทายเจ้าของวันเกิดตามมารยาทแขกที่ดีก่อนดีกว่า" สิริยากรกรีดตาจิกใส่คุณหญิงบัวหนึ่งที "คุณพี่เองก็เหมือนกัน รู้เห็นเป็นใจก็บาปนะคะไม่ใช่ไม่บาป"

          "เมียแกนี่มันโรคจิตวิปริตแถมจิตใจสกปรกอีกต่างหาก" คุณหญิงบัวรีบปิดหูหลานสาวพึมพำด่าไล่หลังน้องสะใภ้ "หนูพินอย่าไปฟังนะลูก"

เคยได้ยินว่าผู้หญิงมีลางสังหร อันที่จริงวศินเองก็เผลอไผลหลุดจากการควบคุมจิตใจตนเองทันทีที่เห็นกรพินธุ์โตเป็นสาวสวยสะพรั่ง เมื่อครั้งเธอยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อยเขาเคยให้เธอขี่คอพาเดินเที่ยวเล่นไปทั่วโรงละครแนะนำกับใครๆว่ากรพินธุ์เป็นว่าที่เจ้าสาว จนเมื่อห้าปีที่แล้วได้ข่าวว่าอาวศินแต่งงานกับลูกสาวมหาเศรษฐี กรพินธุ์เตือนตัวเองขีดเส้นใต้สามเส้นว่ารักเขาข้างเดียวของเธอไม่มีวันเป็นจริงได้

          "สวัสดีครับพี่จง .."
          "เฮ้ย วศิน!! สวัสดีจ้ะ" จงธรรมหันไปรับไหว้สิริยากร "พี่ยังนึกสงสัยว่าป่านนี้เอ็งคงอยู่ฮ่องกง"
          "ผมกลับมาได้เกือบเดือนแล้วครับ งานที่โน่นไม่ค่อยมีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว"

          "แล้วเมื่อไหร่จะมีน้องล่ะ อยู่กันแค่สองคนไม่เหงาเหรอ หืม.." จงธรรมหันไปชวนสิริยากรคุย เธออยู่ในชุดราตรีสั้นอวดเรียวขาขาวรูปร่างยังสวยหน้าท้องแบนราบหน้าอกหน้าใจสะโพกฟิตเฟิร์มไม่แพ้สาวรุ่น แม้อายุอานามจะย่างเข้าสี่สิบกะรัตแล้วก็ตาม

          "ขี้เกียจเลี้ยงค่ะ สิริยังเที่ยวไม่รอบโลกเลย" สิริตอบแบบมั่นใจไม่แคร์สื่อ

          "ไปหาอะไรทานกันก่อนเถอะ อาหารในงานนี่ฝีมือยัยพินเป็นคนทำทั้งนั้น รับรองว่าอร่อยสะอาดรับประทานได้อย่างสะดวกใจไร้สารพิษแน่นอน" จงธรรมยิ้มอวดลูกสาว

          "อาหารจะไร้สารแต่แม่ครัวมีพิษรึเปล่าก็ไม่รู้นะคะ อิอิ พวกแอ๊บใสๆนี่แหละตัวดีเลย" สิริยากรเหลือบมองผัว

          "เอ่อ.. น้องสิริกำลังหมายถึงยัยพินลูกสาวพี่รึเปล่าครับ" จงธรรมรู้สึกว่าเมียของรุ่นน้องพูดจาไม่ค่อยเข้าหู
          "อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะสิริก็พูดเผื่อๆหว่านๆไปอย่างงั้นเองใครอยากรับก็รับไป ขอตัวไปหาอะไรทานก่อนนะคะ สุขสันต์วันเกิดค่ะพี่จงธรรม"

จงธรรมถอนหายใจมองหน้าเพื่อนรุ่นน้องที่ได้แต่ยิ้มจางๆ เขารู้เรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังของคู่นี้พอสมควรเสียใจที่เคยเห็นดีเคยเห็นงามตอนวศินมาปรึกษาว่าเขากำลังจะแต่งงานกับลูกสาวนักธุรกิจมหาเศรษฐี

          "เป็นไงไอ้เสือ พักนี้ได้เล่นดนตรีบ้างรึเปล่าเนี่ย" จงธรรมถาม
          "ไม่ได้จับเลยครับ วันๆทำแต่งาน" วศินยิ้มถอนหายใจ "นี่กลับมาอยู่เมืองไทยคราวนี้ก็ว่าจะฟื้นๆซักหน่อย จะชวนพี่จงซ้อมอยู่เนี่ย"

          "อยากเมื่อไหร่มาได้เลย ของแบบนี้ก็เหมือนถีบจักยานนั่นล่ะจับๆหน่อยเดี๋ยวก็ฟื้น เออ พวกเจ้าโป้งเจ้าเป้งมันนั่งกินเหล้าอยู่มุมโน้นแหนะ วศินเจอกันรึยัง"
          "ยังไม่เจอครับ ถ้างั้นเดี๋ยวผมขอตัวไปหาพวกมันก่อน"
          "ตามสบายเลยวศิน" จงธรรมตบไหล่รุ่นน้องเบาๆ

คู่แฝดมหัศจรรย์นักเรียนทุนสาขาดนตรีตะวันตกจากมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิลนั่งจิบเหล้าคุยกันที่โต้ะม้าหินอ่อน "เห้ย.. " วศินเดินเข้ามาจับมือทักทายถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันตามประสาเพื่อนสนิทสมัยมัธยม ต่างออกปากเสียดายที่รู้ว่าเพื่อนเบนเข็มทิศชีวิตกลายเป็นนักธุรกิจวุ่นวายจนไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับดนตรีอีก

          "เชี่ย.. นั่นเมียมึงเหรอครับคุณวศิน เห็นมึงเงียบๆเสือกได้เมียอย่างเซ็กส์" เป้งหรี่ตาถาม
          "เออ .. ทำไมวะ"
          "เด็ดจริงว่ะ กูขอชื่นชม" เจ้าโป้งชวนชนแก้ว "อายุขนาดนี้แล้วยังเช้งกระเด๊ะอยู่เลยแม่งต้องมีวินัยนะเว่ย"
          "เมียเพื่อน ไอ้สัส" วศินแกล้งแขวะเพื่อน

          "ถ้าเป็นเมียกูนะมึง จะทำลูกแม่งหัวปีท้ายปีเลย" เจ้าโป้งเลียริมฝีปากหื่น
          "ก่อนจะทำลูกมึงหาเมียให้ได้ก่อนเถอะไอสัส" เจ้าเป้งเตือนแฝดพี่ที่เริ่มจะเลอะเทอะรุงรังทุกครั้งที่เหล้าเข้าปากเมาได้ที่

..........

ลูกศรจูงมือจงธรรมกับอัญชลิกาและชวนแขกเหรื่อมายืนรวมกันที่สนามหญ้าเป็นนัยว่ากำลังจะเข้าสู่ขั้นตอนพิธีการงานฉลองวันเกิด "ก่อนที่พวกเราจะร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์อวยพรให้คุณพ่อ ศรอยากให้คุณพ่อกล่าวอะไรสักนิดหน่อยค่ะ"

          "ก็คงต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานวันเกิดของผมนะครับ ทุกคำอวยพรขอให้ย้อนกลับไปบังเกิดกับทุกท่านด้วย ขอบคุณครับ" จงธรรมยกมือไหว้ขอบคุณ
         
          "วันเกิดปีนี้คุณพ่ออยากได้อะไรเป็ของขวัญมากที่สุดคะ" ลูกสาวคนกลางจอมทะเล้นทำหน้าเป็น
          "ขอแค่ทุกคนในครอบครัวมีความสุขปราศจากอันตรายโรคภัยไข้เจ็บก็พอแล้ว"   

ไฟส่องสว่างหรี่แสงลงลูกศรเป็นต้นเสียงนำทุกคนร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ จงธรรมหันไปมองเค้กที่กรพินธุ์ทำให้แต่คนที่ถือเดินมากลับเป็น "นลิน..!!" เขายิ้มกว้างแก้มแทบปริไม่รู้เลยว่าลูกสาวสุดที่รักจะกลับมาเซอร์ไพรส์ครบรอบวันเกิด

          "เป่าเค้กสิคะ คุณพ่อ" นลินยิ้ม จงธรรมเป่าเค้กท่ามกลางเสียงตบมือ
          "ของขวัญถูกใจมั้ยคะพ่อ" ลูกศรยิ้ม
          "เป็นของขวัญที่พ่ออยากได้ที่สุดเลย ขอบใจนะ" พ่อลูกสวมกอดกันแนบแน่นให้หายคิดถึงไร้ซึ่งร่องรอยของความบาดหมาง 

          "เล่นดนตรีกันดีกว่า" จงธรรมยิ้มชวนทุกคนเข้าไปในบ้าน บรรยากาศกลับคึกคักแขกเหรื่อต่างหาจับจองมุมต่างๆตามอัธยาศัย อยู่ดีๆก็มีดนตรีดีๆให้ดู

          "วศิน มา .. เล่นด้วยกัน" จงธรรมชวน "ไอ่..โป้งเป้ง เอาไวโอลินมาด้วยรึเปล่า"
          "ติดมาครับอยู่ในรถ เดี๋ยววิ่งไปหยิบแป๊ปนึง" เจ้าโป้งวิ่งตื๋อออกไปหน้าบ้าน

          "จะเล่นอะไรเพลงอะไรพี่จง นลินเค้าเล่นได้อยู่แล้วแต่ผมนี่สิเรื้อมาหลายปีเต็มทน" วศินออกตัว
          "มูนไลท์โซนาตามั้ยคะอาวศิน เล่นง่ายๆ เพราะดี" นลินนำเสนอ

          "เพลงร้องดีกว่า เอชาร์ป เดี๋ยวเลี้ยงเปียโนให้ไม่ต้องห่วง" จงธรรมบอก "พินเล่นไวโอลินนะ .. ลิน"
          "ขา.."
          "ขึ้นคอร์ดแบบมูนริเวอร์แปดบาร์เฟอร์มาต้าแล้วเข้าร้อง ไม่ต้องนับห้องนะฟีลไปเลยขออารมณ์หวานๆหน่อย" จงธรรมนัดแนะกับลูกสาวมือเชลโลฝีมือระดับโลก

          "ตกลงเล่นเพลงอะไรยังไม่รู้เลย" นลินบ่น
          "ไม่มีโน้ตให้ดูพินก็ไม่รู้จะเล่นอะไรอ่ะค่ะ"
          "แล้วใครจะร้องล่ะ แม่เหรอ" ลูกศรถาม

จงธรรมพรมนิ้วลงบนลิ่มแกรนด์เปียโนล้อกลิ่นทำนองเพลงมูนริเวอร์นำท่อนอินโทร นลินสอดประสานคุมโทนโน้ตต่ำ วศินกับกรพินธุ์คลออาร์เพจจิโอมองหน้ากันไปมา คุณหญิงบัวก้าวออกมายืนกลางห้อง เสียงตบมือให้กำลังใจศิลปินแห่งชาติหญิงสาขาขับร้องไทยดังลั่นห้อง
         
          'หากฉันรู้ สักนิดว่าเธอรักฉัน บอกกันวันนั้นให้รู้สักหน่อย ว่าดวงใจที่ฉันเฝ้าคอย ยังไม่เลื่อนลอยเป็นของใคร' เสียงคุณหญิงบัวแหลมใสดังแก้วผู้ชมตบมือเป่าปากโห่ร้องเชียร์ดังลั่น

เพียงแต่กระซิบ ว่าสุดที่รัก ฉันก็จะมิอาจจากไป
ใจเราสองชอกช้ำระกำใน คงไม่สลายมลายลงพลัน

หากฉันรู้สักนิดว่าเธอรักฉัน บอกกันวันนั้นให้รู้สักหน่อย
ยอดดวงใจที่ฉันเฝ้าคอย คงไม่เลื่อนลอย
จากสุดที่รักเอย

..........

กว่าปาร์ตี้เพลงเก่าจะจบลงก็ล่วงเลยเที่ยงคืนเข้าไปแล้วต้องขู่ว่าตำรวจจะมาจับเพราะเสียงดังถึงจะยอมเลิกรากลับบ้านกัน นานๆจะได้สนุกสุดเหวี่ยงโดยมิได้นัดหมายแบบนี้สักที

          "เฮ้ย วศิน .. เมียนายกำลังคุยกับใครอยู่น่ะ" จงธรรมหรี่ตามอง

          สิริยากรแทบจะโกยนมขึ้นมาวางบนโต้ะ เธอรู้สึกพึงพอใจรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาของเทียนฉาย ส่วนเทียนฉายเองก็กร้านโลกพอที่จะรู้ว่าเขากำลังโดนอ่อย "แล้วถ้าพี่จะจ้างเชฟเทียนไปทำอาหารให้ทานส่วนตัวที่คอนโดนี่คิดค่าตัวยังไงคะ" สิริยากรหว่านสเน่ห์

          "สิริ.. ไป กลับบ้านกัน" วศินเหลือบตามองเทียนฉายอย่างไม่เป็นมิตร เขารู้ดีว่าผู้ชายทุกคนรู้สึกอย่างไรเมื่อได้อยู่ใกล้เธอ "ขอโทษนะภรรยาผมคงจะเมามากไปหน่อย ขอตัวนะครับ" เทียนฉายได้แต่ยิ้ม

          "เดี๋ยวนะ นี่คุณมากับใครอ่ะแขกคนอื่นเค้าก็กลับกันไปหมดแล้ว เห็นเดินไปเดินมาสักพักแล้วก็ว่าจะถามอยู่" จงธรรมเดินเข้ามาสมทบ
          "เอ่อ.. สวัสดีครับ ผม.." นลินลงจากชั้นสองเห็นเหตุการณ์พอดีรีบวิ่งตัวปลิวเข้ามาอธิบาย

          "เพื่อนลินเองค่ะพ่อ พอดีกลับมาเมืองไทยไฟลท์เดียวกันก็เลยชวนมาเที่ยวงานวันเกิดพ่อ"
          "แฮปปี้เบิร์ธเดย์ครับคุณพ่อ" เทียนฉายยิ้ม

          "แล้วนี่ดึกดื่นทำไมยังไม่กลับบ้านกลับช่อง ใจคอจะนอนค้างที่นี่ด้วยรึไงฮึ!" จงธรรมเริ่มเสียงดัง กรพินธุ์เดินลงบันไดมาสมทบ "ใจเย็นๆค่ะคุณพ่อ"
         
          "กำลังจะกลับอยู่นี่ล่ะค่ะพอดีเพื่อนบอกว่าอยากอยู่สวัสดีคุณพ่อก่อน"
          "โอเค สวัสดีแล้วก็คงกลับได้แล้วสินะ"
          "ถ้างั้นผมขอตัวกลับก่อน สวัสดีครับ"
          "เชิญ.."

          "หนูไปส่งเพื่อนหน้าบ้านนะคะพ่อ"
          "ส่งหน้าบ้านพอนะ!!" จงธรรมย้ำ

          "ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอตัวพาสิริกลับเลยละกันครับ ส่วนคุณพี่บัวเห็นบอกว่าจะค้างกับหลานๆที่นี่ยังไงพรุ่งนี้เช้าผมจะมารับอีกที"
          "เอาเถอะขับรถดีๆละกันกับเมียเราก็ค่อยพูดค่อยจาใจเย็นๆ ส่วนเรื่องคุณพี่บัวฝากไว้หลายๆวันก็ได้ยัยพินจะได้มีเพื่อนคุย สองป้าหลานนี่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย" กรพินธุ์แอบเหลือบมองสบตายิ้มหวานกับวศิน

นลินหน้าบูดบึ้งเดินกลับจากส่งเทียนฉายขึ้นรถแท็กซี่

          "ยัยลิน ตกลงผู้ชายเมื่อกี๊นี้เพื่อนแน่นะ" จงธรรมถาม
          "เพื่อนค่ะ .. "

....................

เกือบจะตีสองแล้วแต่สามสาวยังไม่นอนรวมตัวคุยกันที่ห้องของนลิน

          "ของฝากพินจ้ะ ซื้อจากตุรกี" กระจกแต่งหน้าขนาดพกพาน่ารักประดับประดาด้วยลูกปัดและหินสีอย่างสวยงาม กรพินธุ์ถูกใจของฝาก

          "อันนี้ของเธอยัยลูกศร"
          "สนับมือ! โหย .. เจ๊ ต่อยคนตายเลยนะเนี่ย" ลูกศรใส่แล้วลองทดสอบชกลมหนึ่งสอง
          "ก็เห็นชอบหาเรื่อง นี่ล่ะ..เหมาะกับเธอที่สุดแล้ว"   

          "พี่ไม่อยู่ตั้งสองปีเหลวไหลรึเปล่าฮึ" นลินจิกตาใส่น้องสาวคนเล็ก
          "พินซ้อมทุกวันนะคะคุณพ่อเป็นพยานได้ แต่พี่ศรไม่เคยซ้อมเลย" กรพินธุ์ฟ้อง
          "อะไรยัยพิน! พี่ทำงานก็ยุ่งจนแทบไม่ได้หลับได้นอนอยู่แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปซ้อม"

          "แล้วเจ๊ล่ะอยู่ทางโน้นเป็นไงบ้าง" ลูกศรเป็นฝ่ายถามพี่สาว

          "ก็เครียดนะเพอร์ฟอร์มตกไม่ได้เลยมันมีมือสองมือสามตัวสำรองพร้อมรอเสียบแทนเราตลอด จะว่าไปก็คล้ายๆนักกีฬานั่นแหละ ความคาดหวังสูง ต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา"

          "แล้วไม่เหงาบ้างเหรอบ้านช่องก็ไม่ยอมกลับ ถ้าเป็นศรนะต้องอยู่คนเดียวแบบนั้นมีหวังเหงาตาย"
          "อาชีพนักดนตรีก็แบบนี้แหละ ชินแล้ว" นลินแยกเสื้อผ้าออกจากกระเป๋า "เสื้อตัวนี้พินเอาไปใส่สิพี่ว่าน่ารักดี"
          "ขอบคุณค่ะ" กรพินธุ์รับเสื้อยืดสีชมพูหวานไปทาบกับตัวเอง

          "แล้วนี่เจ๊กลับมากะจะทำงานอะไรล่ะ เป็นอาจารย์เหรอ"
          "ก็คงงั้นแหละ ไม่รู้สิ"
          "เอ่อ งั้นพินขอตัวไปนอนก่อนนะคะ หาวหลายทีแล้ว"
          "เห้ย.. ไปด้วย" ลูกศรลุกขึ้นเดินชกลมหนึ่งสองเดินตามน้องสาวออกไป

..........

เทียนฉายรีบนุ่งผ้าขนหนูตัวเดียวเดินออกจากห้องน้ำกดรับโทรศัพท์ทั้งที่ตัวยังเปียกโชก

          "ทำอะไรอยู่รอตั้งนานกว่าจะรับ .." นลินถามเสียงห้วน
          "อ๋อ พอดีอาบน้ำอยู่จ้ะ ได้ยินเสียงโทรศัพท์ก็รีบออกมารับเลย"

          "แล้วห้องเป็นยังไงบ้าง คุณพออยู่ได้มั้ย" นลินถาม
          "ห้องโอเคอยู่ได้จ้ะ แต่ก็นะ นอนคนเดียวแบบนี้ไม่รู้จะเจออะไรบ้าง"
          "ดี..! คืนนี้ขอให้เจอผีหลอกหัวโกร๋น"
          "ทำเป็นเล่นไปคุณ บรรยากาศมันเย็นๆชวนขนลุกยังไงก็ไม่รู้"

          "แถมเมื่อกี๊ยังเจอเรื่องแปลกๆด้วย เราขึ้นลิฟท์เจอผู้หญิงคนนึงหน้าตาดีแต่งตัวสวยแต่ท่าทางน่าจะเมาๆหน่อย เราก็ไม่ได้สนใจอะไรใช่ป่ะอยู่ดีๆเค้าแม่งหันมาคุยกับเราเฉยเลย" เทียนฉายหยุดกลืนน้ำลาย
          "คุยว่า.."

          "ถามว่าเราเพิ่งมาอยู่เหรอทำไมไม่เคยเห็นหน้าก็ตอบว่าเพิ่งมาอยู่ พอออกจากลิฟท์เราก็เข้าห้องปกติไม่มีอะไรกำลังจัดข้าวของอยู่ดีๆมีคนมาเคาะประตูพอเปิดดูกลายเป็นผู้หญิงอีกคนใครก็ไม่รู้นะ เค้าถามว่าเราเพิ่งมาอยู่ขาดเหลืออะไรบ้างมั้ย เออ แปลกป่ะ"   

          "แล้วคุณตอบเค้าไปว่าไง" นลินพยามข่มอารมณ์
          "เราก็บอกไม่มีอะไรขาดแล้วก็ปิดประตูห้อง คราวนี้มาอีกแต่ว่าเป็นผู้หญิงคนที่เราเจอในลิฟท์มาชวนไปกินเหล้าที่ห้องเราบอกไม่ไป ยังถามอีกนะว่าถ้างั้นเอาเหล้ามากินที่ห้องเราได้มั้ย"

          "แล้วไงต่อ" นลินเสียงแข็งอารมณ์ขุ่นมัวสัมผัสได้ผ่านสำเนียงพูด
          "ไม่รู้ดิหายไปสักพักแล้วเนี่ย คุณว่ามันคนหรือผีวะ"

..........

นาฬิกาแขวนผนังบอกเวลาตีห้ากว่า นลินใส่ชุดออกกำลังกายลงบันไดมาชั้นล่างเจอคุณแม่กับป้าบัวกำลังเตรียมของใส่บาตร

          "พอดีนอนไม่หลับสงสัยจะยังปรับเวลาไม่ได้น่ะค่ะ เลยว่าจะออกไปวิ่งออกกำลังกายแถวๆนี้ซักหน่อยเผื่อจะง่วง" นลินบอก
          "ทำไมไม่รอให้ฟ้าสางสว่างกว่านี้ซักหน่อยล่ะ วิ่งคนเดียวมืดๆมันอันตรายนะอยู่ใส่บาตรกับป้าดีกว่า" คุณหญิงบัวชวน
          "เอ่อ .. ลินออกไปวิ่งดีกว่าค่ะ เดี๋ยวมานะคะแม่"
          "ระวังตัวนะลูก" อัญชลิกากำชับลูกสาวคนโต

          "ไหนบอกจะไปวิ่งแถวนี้ทำไมถึงต้องเรียกแท็กซี่ล่ะ" คุณหญิงบัวมองตามนลินถึงหน้าบ้าน

          "ใครออกไปไหนแต่เช้า .." จงธรรมหาวงัวเงีย
          "ยัยลินบอกจะออกไปวิ่งแถวๆนี้ค่ะ"
          "แล้วเธอให้ลูกออกไปได้ไงคนเดียวมืดๆ" จงธรรมตำหนิเมีย
          "แหม.. ลูกสาวเธอไปอยู่เมืองนอกเมืองนาคนเดียวได้ตั้งไม่รู้กี่ปี มันคงเก่งพอตัวเอาตัวรอดได้อยู่ล่ะ" คุณหญิงบัวแขวะ

          ".. โธ่ ว่าจะชวนใส่บาตรด้วยกันสักหน่อย" จงธรรมบ่นกับสายลมยามเช้า

..........

นลินแนบคีย์การ์ดเปิดประตูอย่างแรงจนเทียนฉายสะดุ้งตื่นคว้าผ้าห่มพันตัวทั้งที่เพิ่งหลับไปได้ไม่ถึงชั่วโมง เธอไม่พูดพล่ามรีบเดินเข้าไปดูในห้องน้ำไม่เห็นใครซ่อนอยู่ที่ห้องครัวข้าวของเครื่องใช้ก็วางเป็นระเบียบเรียบร้อย

          "สรุปตกลงว่าคนหรือผีคะ!!" นลินหาหลักฐานมัดตัวไม่ได้จึงคาดคั้นหาความจริงเอากับเทียนฉาย

          "อะไรกันคุณ.. แล้วนี่แต่งตัวจะไปออกกำลังกายที่ไหน" เทียนฉายงัวเงียหัวเราะ นลินนึกเอะใจเดินไปคุ้ยถังขยะก็ยังไม่เจอสิ่งของผิดสังเกตุ "หรือว่าคุณไปปาร์ตี้ที่ห้องผู้หญิงพวกนั้น"

          "เห้ย คุณ เดี๋ยว.. ใจเย็นๆก่อน คือว่า .."
          "เอาผ้าห่มออก..!" นลินออกคำสั่ง

          "ห่ะ.. อะไรนะ"

          "เอาผ้าห่มออกซิซ่อนอะไรไว้" นลินรู้ทัน

          "ผมไม่ได้ใส่อะไรนอนนะคุณอยากดูจริงๆเหรอ"

          "เดี๋ยวนี้ค่ะ!!" ยิ่งเทียนฉายอิดออดนลินยิ่งสงสัย ผ้าห่มเลื่อนหลุดร่างเปลือยเปล่าปรากฏตรงหน้า ท่อนเนื้อกำยำค่อยๆแข็งตัวคาตาเมียสาว นลินอายหันหลังหนีเทียนฉายเดินเข้ามาโอบกอดจากด้านหลัง

          "เราขอโทษ เราแกล้งโกหกยั่วคุณเล่นๆเผื่อว่าคุณจะโมโหจนต้องรีบเผ่นมาดู" เขาพยามอธิบาย "ไม่คิดว่าคุณจะมาจริงๆไง" เขาหอมเบาๆที่ต้นคอ
          "เราไม่ชอบคนโกหกคุณก็รู้" นลินยังงอนไม่หาย

 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

Ritsy


err

ผู้หญิง เซ้นส์มันแรง  ต้องตามไปดูให้รู้  ....แล้วคู่นลินนี่จะไปกันรอดมั้ย..ดูไปพ่อฝ่ายสาวหวงลูกสาวมากๆเลย

thongdaeng_skk

เริ่มต้นบรรยายรายละเอียดเรื่องดนตรีดีมาก เดินเรื่องแล้วเดาทางไม่ถูกว่าจะเป็นแนวไหน ลงยาวอ่านจุใจครับ

biggiggog

ตัวละครฝ่ายหญิงเยอะดี ท่าทางน่าสนุก
ออกได้หลายหน้าเลยนะเนี่ย
ขอบคุณครับ

13igboss

เนื้อเรื่องสนุกน่าติดตามมาก รออ่านตอนต่อไปนะคับ ::Glad::

drof666


retirenavy


ขอนลอย บักเคียบ


pad1983

มันให้ความรู้สึกงงหน่อยๆ แต่เข้าใจว่าปูประวัติตัวละคร แต่ลงเนื้อหาเยอะมากสำหรับตอนแรก ยังจะติดตามต่อนะครับ

santosan

 ::JubuJubu::พลอตเรื่องน่าติดตามครับ ตัวละครหลายคนดี หวังว่าจะได้เสียวทุกคนนะครับ

surfaced

เรื่องยาว กลิ่นอายเรื่องสมัยก่อนจางๆ
คลาสสิก

Montakan

 ::HeyHey::จะไปกันรอดหรือเปล่าก็ไมารู้

ovident

แบบนี้คู่ของนลินจะไปได้ยาวไหมครับนั่น เพราะยังไม่ได้เปิดตัวกับพ่อ แต่แต่งงานไปแล้ว พ่อน่าจะแอนตี้มากก

absolteone